เอกลักษณ์อโศก
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑ มีนาคม ๒๕๓๕
ณ ภูผาฟ้าน้ำ บ้านแม่เลา ต.ป่าแป๋ เชียงใหม่

สำนึกดีทุกๆคน

วันนี้มาถึงที่นี่แล้วก็เห็นอะไรต่ออะไรมันเกิดขึ้นนี่ ก็อยากจะพูดถึงเรื่อง อาหารการกินด้วยบ้าง แล้วก็ว่า เท่าที่ผลมันเกิดมานี่ อาตมาคิดว่า มันเป็นผลจาก ที่เกิดอาหารการกิน อาหารการกิน ที่เรากินทุกวันนี้ เป็นอาหารมังสวิรัติที่มันเป็นอาหารที่จะได้ความเย็น มากกว่าความร้อน แล้วเราก็อยู่ ในพื้นภูมิที่เย็นอีกด้วย เสร็จแล้วเราก็ได้รับอาหารที่ไม่ค่อยคำนึงกกันเท่าไหร่ มันก็เลยกลายเป็น ความขาดหรือความไม่สมบูรณ์ ร่างกายก็เลยไม่ค่อยสมบูรณ์ดี ภูมิแพ้ ก็เกิดง่าย เรียกว่า ความรับเชื้อรับอะไร จากทางที่จะทำให้ร่างกายของเราไม่แข็งแรง เจ็บป่วย ได้ไข้ มันก็ง่ายขึ้น

เท่าที่สังเกตรู้สึกว่าพวกเรานี่ไม่ค่อยศึกษา หรือไม่ค่อยเอาใจใส่ ไปตามใจปากกันมาก ไปหน่อย ไม่ตั้งใจศึกษา เรื่องของอาหารให้ดี ว่าเราควรจะกินอะไร ที่ซึ่งมันสมควรเห็นว่าขาดเรื่อง ทางพวกอาหารถั่ว อาหารที่เป็นพวกเครื่องเทศ ที่จะให้ความอบอุ่น เรียกว่า แก้สิ่งที่ขาดนั้น แล้วก็ไปกินอาหารอะไร ที่มันไม่ค่อยจะกิน ไอ้พวกอาหารขยะ junc food อะไรพวกนั้น กินง่ายๆ พวกอาหารที่ เขาปรุงมาไม่เข้าเรื่องเข้าราว ไอ้ประเภทที่เขาทำขายอะไรต่ออะไรกัน พวกนี้ง่ายๆ มันขี้เกียจ หรืออย่างไรไม่ทราบ

เราควรจะเรียนรู้แล้วก็ควรจะต้องพยายามให้มันประณีตขึ้นไปอีก ไม่ใช่ตามใจปากง่ายๆ ตามใจปาก แล้วก็เอาง่ายๆเข้าว่า แม้ว่ามันจะต้องฝืน มันจะต้องกิน ในสิ่งที่เราเอง เราไม่ค่อยชอบ ไม่อร่อย แต่ว่ามันเป็นคุณค่าทางอาหาร เราก็ควรจะต้องศึกษา และพากเพียร ปฏิบัติ เพราะว่าเรากินโดย ไม่ตามใจปาก ฝืนๆบ้างอย่างนั้น มันเป็นการปฏิบัติธรรม อยู่ไปตัว อยู่แล้ว ก็รู้ๆอยู่ เราก็จะต้องรู้ว่า นั่นมันเป็นสาระ มันเป็นคุณค่า ประโยชน์ที่แท้จริง แล้วเรา ก็ได้ลดกิเลสด้วย มันกลับได้ประโยชน์สองด้าน ประโยชน์ทั้งทาง ปฏิบัติธรรม เราไม่บำเรอจิต บำเรอใจ บำเรอกิเลสของเรา แล้วแถมอาหารมันก็ถูกต้อง เป็นอาหารที่มีคุณค่า มีประโยชน์ อะไรด้วย มันเป็นประโยชน์ทั้งสองด้านเลย มันก็กลับเป็นดี ก็ควรจะคำนึงถึง อย่างนั้น ให้มากกว่า ไม่ใช่ว่าไปตามใจปาก แล้วก็ไม่ศึกษาให้ลึกซึ้ง ไม่มีความรู้ใ นด้านโภชนาการก็ไม่ดี

ถ้าเราศึกษาพวกนี้จริงๆแล้ว คิดว่าโรคภัยไข้เจ็บ หรือว่าความเป็นอยู่อะไร คงจะไม่นั่นนัก นี่บอกว่า ป่วยกันทุกคน บ๊ะก็แย่กันพอดี แสดงว่าต้องมีข้อผิดพลาดอะไรกันมากมาย ซึ่งเรื่องของสถานที่ เรื่องของอากาศ เรื่องของอะไรต่ออะไร อาตมาว่ามันสมบูรณ์ดี ในที่นี่ มันสด มันสะอาด มันไม่น่าจะมีเชื้อ มีอะไรต่ออะไร ที่เป็นเชื้อแบบทางโลกๆ ทางเมืองกรุง ทางอะไรพวกนี้ เดี๋ยวนี้ มีเชื้ออะไรร้ายแรง และเชื้อไม่เข้าท่า อยู่อย่างนี้มันไม่น่าจะมี แต่มันเกิด มีได้ นี่ต้องพยายามเอาใจใส่ ทุกคนขอฝากๆไว้ว่า พวกเราต้องศึกษาดีๆ ปรึกษาหารือกัน แล้วก็ พยายามที่จะฝึกตน เพื่อที่จะให้มันอยู่ดี เป็นไปด้วยดี อะไรๆ เราก็ค่อยๆก่อ ค่อยๆทำขึ้นมา

มันมีมุมเหลี่ยมที่อาตมาคิดว่าต่อไปในอนาคตนี่ คนจะต้องเพ่งโทษ มากขึ้นตรงมุมเหลี่ยม ที่มันจะมีรูปแบบ ที่แตกต่างไป จะมีรูปธรรมที่แตกต่างไป วัฒนธรรมที่แตกต่างไป จากคน ที่เขาเป็นอยู่เดิม เพราะมันยังไม่มี เมื่อไม่มีมันก็จะแปลก แต่แรกเริ่มเรามากิน มาอยู่อย่างนี้ เขาบอกว่า โห เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่เป็นพระ เป็นฆราวาส จะมานั่งอด นั่งอยากอะไรกัน มีอะไรก็กินไปซี จะถือศีล ถือธรรมก็วันพระวันเจ้าก็ไปถือศีล แค่นั้นก็พอแล้ว จะต้องมาทำ เป็นประจำวัน มากินข้าวสองมื้อ มากินข้าวมื้อเดียว มากินอาหารมังสวิรัติ มังสวิรัติก็เขาก็กินเจ เกาอ่วงเจ ๙ วัน ก็เหลือแหล่แล้ว มากินอะไรตลอดชีวิตอะไรอย่างนี้ เขาก็จะรู้สึกว่า เป็นเรื่องที่ มันมากไป เป็นฆราวาสเป็นคนธรรมดาก็ไม่น่าจะทำ แล้วก็เป็นความแตกต่างเป็นความแตกแยก เป็นสิ่งที่แปลก ผิดแปลก ผิดแผกไปจากมนุษย์มนาธรรมดาเขา มันไม่สามัคคี มันไม่อะไรพวกนี้ ไอ้เรื่องราวแค่นี้แหละ มันจะเป็นปัจจัยที่คิดไม่ดี แล้วมันก็จะกลายเป็นสภาพ อย่างที่เขาว่า คิดอย่างนั้นน่ะได้

แต่โดยจริงๆแล้ว ถ้าคิดให้ดีแล้วลึกซึ้งเข้าไปอีก มันเป็นเรื่องที่พัฒนาชีวิต ที่เรามาทำนี่ ไม่ใช่มา ทำเพื่อความเห็นเป็นแฟชั่น เป็นแฟชั่นที่แปลกดี เรามากินข้าวมื้อเดียวสองมื้อ แปลกจากเขา เก๋ดี โก้ดี ทั้งๆที่ทำไปแล้วก็เสื่อมทราม ทำไปแล้วก็ทรุดโทรม ทำไปแล้วก็เสียหาย มันก็ไม่ใช่ เรามาทำเพราะเห็นว่า เนื้อหาของมันว่า เอ้อ เรามาทำอย่างนี้ มันก็ดีน่ะ มันดีทั้งทางด้าน เศรษฐกิจ มันดีทั้งด้านสุขภาพร่างกาย มันดีทั้งนิสัยใจคอ มันดีทั้งตัวที่ได้ลดกิเลสตัณหา กินอะไรบำเรอปาก บำเรอท้อง บำเรอลิ้น บำเรอ ไอ้รูป รส กลิ่น เสียง อะไรของตัวเอง ก็มากมาย ซึ่งเราก็เรียนมา ทุกมุม มันดีไปหมดรอบเสียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น ที่เราทำนี่ เราไปทำเพราะ เป็นแฟชั่น เป็นความแปลก เก๋ดี โก้ดี เหมือนอย่างโลกๆเขา มันแปลกเขาหน่อยน่ะ มันเก๋ดี โก้ดี มันไม่เหมือนใคร มันอะไรต่ออะไร ไม่ใช่น่ะ แต่มันจะแปลกไปเรื่อยๆ นี่อาตมาเล่าไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ยกตัวอย่าง เพียงแต่แค่เริ่มต้นที่มันแปลกพวกนี้ จนกระทั่ง คุณจำลองถูกหาว่า แปลก มนุษย์มนา จะเป็นพระก็ไม่ใช่ จะเป็นคนก็ไม่เชิง ครึ่งผีครึ่งพระอะไร ต่างๆนานา ครึ่งคน ครึ่งพระ อะไรต่างๆนานา นี่เขาก็เริ่มว่าโดยการใช้ภาษา เพื่อที่จะให้ดึงดันโดยกิเลส ที่มันฉลาด ความเป็นกิเลสนี่มันพยายามจะดึงดันเอา ไอ้คนที่จะแปลกไปในทิศทางดีไม่ดี ก็แล้วแต่เถอะ

โดยเฉพาะ ยิ่งไปในทิศทางดีนี่น่ะ เขารู้ว่าดีน่ะ ไม่ใช่ไม่ดี มาถือศีลถือธรรม ปฏิบัติประพฤติ มักน้อยสันโดษอะไรไม่รู้ ไม่ใช่ไม่รู้น่ะ ลึกๆเขารู้น่ะว่าดีเพราะฉะนั้น ปฏิภาณของคนรู้ว่าดี นี่แหละ มันริษยามันก็ขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น มันก็เขาไม่อยากให้เราดียิ่งขึ้นไปอีก การที่จะ ประท้วง เพื่อที่จะให้ดึงกลับลงไป สู่ความไม่ดี เหมือนกับกูซิ เรื่องอะไร ที่เอ็งจะดียิ่งขึ้นไปน่ะ มันก็ใช้วิธีการพวกนี้ ประท้วงทำให้เรานี่โดนตู่ โดนว่า อะไรแล้ว เราก็เลยเห็นว่า เราก็ผิด เราก็เลยจะต้องกลับไปเป็นอย่างเขา เป็นอย่างเดิม อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันก็จะได้ดึง พวกดึงหมู่เอาไว้ แม้แต่แง่เชิงว่าแตกแยก เป็นการแตกแยก เป็นความไม่สามัคคี ให้มันแตก มันต่างอะไรกันไปทำไม ทำเหมือนๆกันก็ดี อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นวิธีการ เป็นนโยบาย ของเขาเหมือนกัน ที่จะทำให้ ดึงเรากลับเข้าไป ความเป็นอย่างที่เขาเป็นอยู่อย่างเดิม ไม่ได้ พัฒนา ไม่ได้แก้ไข แล้วประเด็นความแปลกที่แตกต่างไปนี่ เราไม่ได้ทำด้วยเรื่องของแฟชั่น และไม่ทำความแปลก แตกต่างไป เพื่อที่จะให้เกิดโก้เก๋ ไม่เหมือนใคร เราเด่นเราวิเศษเด่น อะไรไม่ใช่

เราทำเพราะเนื้อหาสาระ สาระสัจจะของมันว่า มันดีน่ะ เรามาเป็นอย่างนี้ เป็นได้อย่างนี้ มักน้อยสันโดษอะไรต่ออะไรลงไปต่างๆ นานา สารพัด แล้วเราก็ทำได้ โดยที่เราไม่ทรมานตนเอง ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราจะอาบน้ำ ๕ ขัน มันก็มักน้อยดี มันก็สันโดษดี มันก็ไม่เปลืองไม่ผลาญดี เขาก็หาว่า มันแอ๊คมากไปแล้ว อาบน้ำ ๕ ขัน แหม ทำเป็นโก้เป็นเก๋ ทำเป็นคุยเขื่องมาเอาเหตุ ปัจจัย ในการที่จะทำให้ตัวเองเด่น ทำให้ตัวเองดัง อะไรต่างๆนานา เขาก็ว่าไปอย่างนี้เป็นต้น แม้เราจะมาเปลี่ยนอะไรไปเยอะแยะ เสื้อผ้าหน้าแพร อะไร การแต่งเนื้อแต่งตัว การเป็นอยู่ ผมเผ้าก็มาตัดสั้น หน้าตาก็ไม่แต่งไม่ทา ไม่พอก ไม่อะไร เสื้อผ้าหน้าแพร ก็ไม่ไปแต่งหรู แต่งหรา แต่งสะแต่งสวย หนักเข้า รองเท้า ก็ไม่ใส่ อะไรไปอีก อะไรต่างๆนานา มันก็ดูเป็นคน อีกประเภทหนึ่ง อันนั้นจริง เราไม่ได้ทำแปลก อย่างที่กล่าวแล้ว ไม่ได้ทำแปลกไป เพราะว่าเรา เห็นว่าเป็นแฟชั่น แต่เราทำแปลกไป เพราะเราเห็นว่า มันก็สดวกดี มักน้อย สันโดษดี

แม้จนกระทั่ง การประพฤติปฏิบัติ มีพฤติกรรมต่างๆนานา ที่แตกต่างกันไป การเดินการเหิน การไปการมา การส่งเสียง การพูดจา การหัวเราะเอิกอ้าก ซู่ซ่าหวือหวาอะไร เราก็ไม่เป็นอย่างนั้น เราก็สงบลงมา เราก็ไม่ แม้แต่ที่สุด พวกเราเคร่งมากๆหน่อย หรือว่าบางทีเราไม่อะไรหน่อย เราปล่อย ให้มันไปในทางที่จืดๆชืดๆมากๆหน่อย มันก็ดูไม่หวือหวา ไม่เหมือนกับไม่สดชื่น เหมือนกัน เงียบๆสงบ ขรึมๆ เขาก็มองไปในเชิงว่า ไอ้พวกนี้นี่มันจะตายแล้วน่ะ มันซึมแล้ว มันเชื่องแล้ว มันไม่ตื่น มันไม่สดชื่น มันไม่เบิกบานแล้ว อะไรไปอย่างนี้เป็นต้น มองก็มองได้ มองในแง่นี้ก็มองได้ โดยจริงพวกเราไม่หวือหวาขึ้น ไม่ร่าซ่า ไม่กะปี้บกะป้าบกัน ไม่กะดี๊กะด๊า อะไรแบบโลกๆเขา มันก็เป็นได้น่ะ เมื่อมารวมกลุ่มกันเข้า มันก็เห็นเป็นรูปชัด เขาก็เอามาๆๆ เป็นจุด ที่เอาไปว่า ไปตีข่มอะไรต่ออะไรได้เหมือนกัน

โดยความจริงแล้ว พวกเรานี่มันสงบ มันระงับลงมาในตัว ที่ถูกต้องตามทางธรรมแล้ว สงบจาก โลกียะหวือหวา ปรุงแต่งเป็นแบบ โลกๆไป แล้วก็มองหาว่าพวกเรานี่ เป็นพวกปรุงแต่งออกไป ความจริงเราจะว่าเปลี่ยนแปลง จะว่าปรุงก็ได้ ใช้ภาษาปรุงก็ได้ เปลี่ยนแปลง คือมันไม่มี เราทำให้มีขึ้นนี่เรียกว่าปรุงก็ได้ แต่เปลี่ยนแปลงมานี่ มามีอย่างที่เรามีนี่ ที่จริง มันไม่ใช่มี ไปแปลกใหม่อะไร มันเข้ามาหาเก่า เก่าที่อย่างมองในมุมเดิมแล้ว เรานี่เหมือนกับ กลับมาหา คนโบราณ มาเป็นไทยเดิมๆเก่าๆมากกว่าด้วยซ้ำ ถ้าจะว่าพวกเรานี่ไปทำอะไรเปลี่ยนแปลกปลีก ไปจากไทย เรากลับเข้าไปเป็นไทย ถ้าจะว่าเขานี่ยึดติดอยู่ ที่เขาติดยึดอยู่อย่างที่เขา ติดยึด ส่วนเราแปลกเปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้ ก็หาว่าเราแปลกเปลี่ยนไปใหม่ เขาจะถือว่า เขาเป็นนัก อนุรักษ์นิยม พวกเรายิ่งกลับเป็นพวกอนุรักษ์ยิ่งกว่า เพราะเรากลับไปหาไทยเก่า ถ้าจะว่าเป็น พุทธ ก็เป็นพุทธเดิม... เข้าไปหาหลักแก่นเดิม เอาหลักศีลหลักธรรมอะไรมา เป็นให้มันจริงๆ ทำให้มันได้ เป็นคนมีศีล มีธรรม มันเข้าไปหาเดิมๆได้

เดี๋ยวนี้ มันไม่มีศีล ไม่มีธรรม มันไม่เอาศีล มันไม่เอาธรรม แล้วเขาก็บอกว่า เขาเป็นอย่างนี้น่ะ ดีแล้ว เขาเป็นสมัยนี้ รวมๆกันเป็นประชาธิปไตย เป็นคนหมู่มาก แล้วเขาก็จะเอาหมู่มาก ลากเรากลับ ให้ไปเป็นอย่างเขา ซึ่งเราเห็นว่ามันไปกันใหญ่แล้ว มันเลอะเทอะ ไปกันใหญ่ เพราะฉะนั้น แม้เราจะย้อนกลับไป มันน่าจะเรียกเราว่า เป็นนักอนุรักษ์นิยม เขาจะออกไปจาก ไทย ไปหาอะไรก็ไม่รู้ ยกตัวอย่างเช่นว่า เราจะตั้งโรงเรียน แล้วเราก็มีชุดนักเรียนของเรา แล้วเรา ก็จะให้มานุ่งผ้าถุง ไอ้เด็กผู้หญิงเดี๋ยวนี้ มันนุ่งผ้าถุงไม่เป็นแล้ว มันไปนุ่งกางเกง มันไปนุ่ง กระโปรงอะไร กะปี๊บกะป๊าบกันไปหมดแล้ว วัฒนธรรมเดี๋ยวนี้ ไม่มีเหลือ เราจะกลับไปนุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อเป็นแขนกระบอก ใส่เสื้ออะไรของไทยๆ กลับไปหาว่า พวกนี้ไม่สุภาพ ไปถึงโน่นแล้วน่ะ โอ๊ย ตาย อาตมาฟังแล้ว ก็นึกปลงสังเวช คนไทย มันถูกครอบงำ ทางความคิดไปถึงไหนแล้ว หาว่าเป็นชุดไม่สุภาพ มานุ่งผ้านุ่งผ้าถุง มาใส่เสื้อง่ายๆ เป็นเสื้อไทยๆ สัญลักษณ์ของไทยเดิม เสียด้วยซ้ำ

ถ้าเผื่อว่าพวกเรานี้ เป็นอนุรักษ์นิยม ประเภทอนุรักษ์ชนิด ขวาตกขอบเลย ก็ว่าได้เลยนะ หน็อย ดันว่าว่าพวกเรานี่ ไม่อนุรักษ์เองนี่ มันกลับไปกลับมานะ มันกลับไปกลับมา เหมือนกันกับเรา เปลี่ยน นี่ก็เหมือนกัน ก็เปลี่ยนชื่อกัน เป็นภาษาไทยๆ เอ๊อ ไทยมันอาจจะแปลก เพราะว่าเขา ไม่ได้ปรุงแต่ง ภาษาไทยนัก มันก็มีแต่ชื่อ เดิมๆใช่ไหม ชื่อนายสี นายสา นายมา นายมี ไอ้สมสี สมสาอะไร ต่างๆนานา มันเป็นชื่อไอ้กุรุตน่ะ ชื่อสมชาย สมใจ อะไรก็แล้วแต่เถอะ มีภาษา ผสมผเสเข้าไป เป็นใหม่บ้าง จะว่าเราปรุงแต่งก็ปรุงแต่ง จะว่าเราอนุรักษ์เดิม คือว่าภาษาไทย ก็ได้ แต่เขากลับ มองไม่ออก ในความหลายหลากพวกนี้ ในจุดมุ่งหมายในความมีปัญญาพวกนี้ ยังกับว่า เราเปลี่ยนชื่อไปทำไม ก็เปลี่ยนชื่อไปอะไรนี่ ยึดมั่นถือมั่น เอ๊ เขายึดชื่อเขา อย่างที่เขา มีนะ เขาไม่ได้เปลี่ยน เขากลับ เขายึด เขาหาว่าเราไปยึดมั่นใน...ก็เราเปลี่ยนไป ก็หาว่าเรายึดมั่น อะไรอีก อย่างนี้เป็นต้น มันดูแล้วมันก็ตลกไปหมดนา ไอ้พวกนี้เป็นมุมที่ต้องคิดให้ดี ที่จริง ถ้าเราไม่ยึดแล้ว ก็ไม่มีปัญหา ที่จริงอาตมาเปลี่ยนชื่อมานี่ แต่เดิมอาตมาเข้าใจอยู่แล้ว เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนเสียง แต่เดิมมาแต่ไหน แต่ไหนแล้ว แม้น้องนุ่ง อาตมาก็จับเปลี่ยนชื่อเป็น ไทยๆ มาตั้งแต่ไหนๆ น้องเปลี่ยนมา

น้องอาตมานี่นา คนผู้หญิงคนโต นายชาติแต่เดิมเขาก็ชื่อโกมล อาตมามาเปลี่ยนเป็นชื่อชาติ อย่างกิ่งรัก แต่เดิมเขาชื่อโกศล ก็เป็นภาษาบาลี อาตมามาเปลี่ยนเป็นกิ่งรักภาษาไทย อย่าง บัวบูชานี่ แต่เดิมชื่ออุบล ก็ภาษาบาลีแปลว่าดอกบัว อาตมาก็มาเปลี่ยนเป็นบัวบูชา อย่างนี้ เป็นต้น อย่างนายฟ้านี่ แต่เดิมเขาชื่อธีรพล นั่นภาษาบาลีทั้งนั้นแหละ อาตมาก็มาเปลี่ยน เป็นนายฟ้า ภาษาไทย นายด้าวอย่างนี้ชื่อเดิมก็ชื่อปริพล อาตมาก็เปลี่ยนเป็นด้าว อาตมาก็ เปลี่ยนมาเป็น ภาษาไทยเดิมๆ ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้ไปหวือหวาอะไร แต่ก่อนเขาก็เปลี่ยนกันไป เป็นธรรมดา ใครมาให้ตั้งชื่อให้อะไร อาตมาก็ตั้งให้ ด้วยชื่อภาษาไทยๆ ซึ่งไม่ได้หวือหวาน่ะ ก็ไม่ค่อยมีมาก ไม่ค่อยมีใครเกรียวกราวฮือฮา เหมือนอย่างทุกวันนี้ ต่อมาๆๆๆ มันก็ค่อยๆมา คนนั้นเปลี่ยนบ้าง คนนี้เปลี่ยนบ้าง ก็อาตมาก็อธิบายบ้างว่า ชื่อไทยๆนี่ดีนา มาเป็นไทยๆ เราย้อนกลับมา ก็คงความรู้สึกของพวกเราก็เปลี่ยน กลับนิยม กันขึ้นมาบ้าง พอนิยมกันมา มากๆขึ้น มันก็ฮือฮากันขึ้นมา ก็อยากจะให้เปลี่ยนกันขึ้นมาก็เอา

เมื่อฮือฮา ก็ดีแล้วล่ะ อาตมา ก็จะเปลี่ยนให้เลย ก็เลยชักชวนกัน พวกเราก็เห็นดีเหมือนกัน มันก็มีรสนิยม แบบแฟชั่น บ้างเหมือนกัน แบบผสมผเสน่ะนา พวกเรา...ก็มีรสนิยมแฟชั่น แล้วมันก็เกิด จะว่าอัตตา ก็เป็นอัตตาได้เหมือนกัน ว่า เออ พวกอโศกเรามาเป็นอย่างนี้ ก็เอาเถอะ ถ้าว่าไปจริงๆแล้ว ด้านจิตวิทยา อาตมาก็ลึกๆเข้าไป อาตมามองทางด้านจิตวิทยา มันก็ดีเหมือนกัน อโศกเรา ก็จะได้เป็นเนื้อตัวอโศกแน่นยิ่งขึ้น แม้แต่แค่ผิวเผิน แต่แค่ภาษาน่ะ พูดว่าน่ะภาษาบอกว่า พวกนี้นี่ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อนี่ ไม่ใช่อโศกแท้ ภาษาว่าอย่างนั้นน่ะ อาตมาก็ว่า อันนี้มันก็หยั่งไปถึงจิตใจเหมือนกันน่ะ ถ้าใครก็ตาม แต่บอกว่า เออ เราชื่อนี่ แต่ก่อนเราก็ชื่อ อย่างโลกๆมา พอมาเปลี่ยนชื่อเป็นบอกว่า เออ อย่างนี้มันชื่อแบบอโศกน่ะ มันก็ทำให้เราลึกๆ ในจิตวิญญาณ ในเรื่องของจิตวิทยา มันก็นึกๆเหมือนกันนะว่า ของเรามี อโศกน่ะ เปลี่ยนชื่อไปแล้วนะ เป็นอโศกแล้วน่ะ แม้มันจะหวือหวา ถึงขนาดว่า เอ้า อย่างป๋อง อย่างนี้ ชื่อชัชวาลย์ดีๆ เอาละจะมาเปลี่ยนชื่อบ้าง คนนั้นคนนี้เรียก ก็ชักตามภาษา ก็คงบ๊องๆ ว่าไปตามภาษาด้วยบ้างนะนา ดีเหมือนกันนะ เพื่อนมันเรียก ตะกายภู มันก็ดีเหมือนกันนะนา เราก็ชื่อตะกายภูนี่บ้างนะนา ก็ฟังมันก็บ้าๆดีเดือดเหมือนกันน่ะ ชื่ออะไรวะ ชื่อตะกายภู

แต่เมื่อเจ้าตัวเขาชอบ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร มันก็เป็นความพยายามของเรา ว่าเราจะปีนขึ้นไปสู่ ที่สูงของเรา ตะกายภูก็มีความหมาย ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร เราจะเรียก มันแปลกหูอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นภาษาไทย แล้วก็เป็นความหมายที่เราจะใช้ ก็คนชื่อหมู ชื่อหมาก็มี เอ้า หมูก็อยู่ที่นี่ ก็มี เอ้า หมูก็ไม่น่าเกลียดอะไรสักเท่าไหร่ ถ้าฝรั่งเขาน่าเกลียดน่ะ มาด่าไอ้ หมูนี่ เขาโกรธยิ่งกว่า ด่าเขาไอ้หมา เขาถือว่าหมูนี่มันสกปรก เขาก็ว่าด่าไอ้หมูนี่ เขาโกรธยิ่งกว่าด่าไอ้หมา ถ้าด่าไอ้หมา เขาไม่โกรธหรอก แต่คนไทยถ้าถึงด่า ไอ้หมาโกรธ ถ้าด่าหมูเฉยไม่โกรธ ก็แล้วแต่จะถือกันใช่ไหม ก็ไม่แปลกอะไร ก็คนชื่อหมาก็มี ไม่เห็นจะแปลกอะไร ชื่อน่าเกลียดกว่านั้นก็มี ก็ไม่เห็นจะไป ประหลาดอะไร ถ้าเราจะชื่อ หา ชื่อขี้หมาเลย อาๆ... น้องเขา ยายขี้หมา เขาก็ชื่อขี้หมา ก็ไม่เห็น จะเป็นอะไร มันก็ชื่อของเขา เขาก็ไม่ถือสาอะไร มันก็ดี มันก็แปลกอะไร

แต่อาตมามาอธิบายสู่ฟังน่ะ เขามีความหมายด้วยซ้ำไป ดีกว่าชื่อฝันเฟื่อง ไม่เข้าเรื่องเข้าราว โอ แปลกออกมา นี่ภาษาพระบาลีน่ะนา แปลออกมาชื่อนี้ โอ้โฮ แปลว่า ยิ่งใหญ่ แปลว่าวิเศษวิเสโส อะไรมันเยอะแยะไป ภาษาบาลีที่มาแปลออกมา เป็นไทยแล้ว มันก็อย่างนั่นแหละ เยอะแยะไป เขากลับ ไม่น่าอายด้วยซ้ำไป หรือฟังแล้วมัน แหม ตัวเอง ใฝ่สูงเกินตัว ทำอะไรมากมาย ทำอะไร ทำเกิน ฟังชื่อแล้วมันแปลออกมา บางทีมันอย่างที่ แปลแล้ววิเศษวิเสโสทั้งนั้นแหละ แล้วกลับ ไม่น่าอาย แล้วมาว่าเรา ของเรานี่ จะมีชื่อเป็นกรรมฐาน เป็นอะไรให้แก่เราเอง เป็นชื่อง่ายๆ เป็นภาษาไทยๆง่ายๆ แล้วก็เป็นภาษาที่ บางทีจะเป็นภาษาเพราะๆ อะไรก็ตาม ก็เป็นภาษาไทย เพราะๆ ก็ทำ ไม่เล่าก็ชื่อภาษาบาลี เขาก็อยากให้เพราะเหมือนกันนั่นแหละ ตั้งไว้ก็อยากให้ เพราะเหมือนกัน พอมาตั้งชื่อไทยๆหน่อย เพราะก็หาว่าลิเก เอ้า แล้วไอ้ตั้งบาลี ไม่ลิเกยิ่งกว่า หรือ ลิเกโบราณด้วยนะ (หัวเราะ) ลิเกดันเข้าไปหา ทางแขกไปโน่นแน่ะ ไอ้จักรๆวงศ์ๆ แขกๆ อะไรไปอีกนะ

เอาละสรุปแล้วมันก็คือ มันก็มีแปลกใหม่อะไรขึ้นมาอีกบ้าง แต่ในลึกๆ มันก็มีอะไร อย่างที่ อาตมาว่า เออ อันนี้มันเป็นสัญลักษณ์ คล้ายๆสัญลักษณ์ เกิดเอกลักษณ์อะไรอันหนึ่ง ขึ้นมา ของอโศกเรา แล้วมันก็ช่วยให้พวกเรา สำนึกหรือว่าเตือนตัวเองขึ้นมาว่า เราเองเราก็เป็นอโศก น่ะ มันยังไม่ได้เป็นอโศก เรายังต้องระมัดระวัง อย่าให้มันเปลี่ยนแปลงไปจาก ไอ้สิ่งที่เรากำลัง เดินทางอยู่นี่ มาประพฤติปฏิบัติอบรมฝึกฝนอยู่นี่ เพื่อที่เราจะได้แข็งแรงขึ้น เราจะได้มีเนื้อหา สาระของอโศกขึ้นไปอีก แล้วไม่เห็นว่า มันจะตกต่ำตรงไหน อาตมาก็ว่า ไอ้เหตุผลต่างๆ หรือว่า องค์ประกอบต่างๆ แฟคเตอร์ต่างๆ ที่อาตมาขยายไปในเรื่องต่างๆ พวกนี้ มันก็ล้วนแล้วแต่ มันไม่ได้เสียหายอะไร จะเอากันให้เป็นโล้เป็นพายขึ้นมา ก็ดีเหมือนกัน อาตมาก็ทำนะ เพราะฉะนั้น ในหมู่พวกเรานี้มีอะไรเกิดขึ้นทั้งเนียนใน ลักษณะพวกนี้ก็ลักษณะเนียนใน อย่างหนึ่ง เหมือนกัน เขามองว่าเป็นอัตตา ต้องแตกแยกกับกลุ่มอื่น กับคนหมู่ใหญ่เขา ความจริงแล้ว มันกำลังแยก

ที่อาตมาขึ้นต้นแล้วว่า มันจะมีอะไรแยก มีอะไรแปลกออกไปออกไปเรื่อยๆ เพราะว่าลักษณะ ของอโศกเรานี่ มันเป็น ยังไม่ถึงกันหร็อกในคน ในคนจะเป็นอย่างอโศกเรานี่ มันยังไม่ถึง แล้วก็เราเองก็ไม่ใช่ว่า เราเป็นได้แค่นี้ถึงที่สุดแล้ว หรือดีที่สุดแล้ว แม้แต่พฤติกรรมส่วนรวมๆ ของพวกเรานี่ มีพฤติกรรมเนื้อหา ที่เราต้องการที่สุดก็คือ เป็นไปเพื่อ ความไม่เห็นแก่ตัว เป็นไป เพื่อความมักน้อยสันโดษ เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ เป็นคนมีศีลเคร่งได้ เป็นคนขัดเกลา เป็นคนที่มี อาการที่น่าเลื่อมใส โดยเฉพาะคำว่า อาการที่ น่าเลื่อมใสนี่แหละ มันซ้อนเชิงลึกมาก อาการอย่างไร ก็อาการอย่างเรานี่แหละ อาการที่มักน้อย อาการที่สุขุม สงบ ระงับ อาการที่เขาจะเอา เราจะให้ มันเป็นอาการที่กลับกัน อาการพวกนี้ ดูซิ มันมาอะไรกัน มันมาตัดราคา มันมาลดราคา มันมาทำให้น้อย ให้ถูกลง ทำงานฟรี ไม่เอาเงิน เอาทอง เป็นพฤติกรรม เป็นอาการของ มนุษย์โลกุตระนะ

ซึ่งจะค้านแย้งกับโลกเขา อย่างจริงๆ จังๆ เสร็จแล้ว เราก็ว่ากันจริงๆ มันน่าอวดไหม มันน่าโชว์ ไหม อาการดีๆพวกนี้ เราก็เป็นไป ของเรา จนบางทีบางครั้งก็ มันก็อวดกันบ้างละ โชว์กันบ้างล่ะ ถึงแม้ไม่อวดไม่โชว์ มันมีมากขึ้น มันก็เหมือนอวด เหมือนโชว์ มันมีนี่ มีกลุ่มมีหมู่มีคนที่เป็น พฤติกรรมสอดคล้องอย่างนี้ มันเหมือนไม่อวด มันก็ต้องอวด แล้วเราก็ยืนหยัดของเรา เราบางที เข้าไปในกลุ่ม ของคนอื่นเขาอย่างนี้น่ะ กลุ่มของคนอื่นเขาก็เป็นอย่างโลกๆ แต่เราก็มีพฤติกรรม อย่างนี้ ไปไปก็เหมือน แอ๊คนะ ดูซิเขากิน มันก็ไม่กิน เหมือนกับเขา เขาทำก็ไม่ทำเหมือนอย่างเขา เขาแต่งอย่างนี้ ก็ไม่แต่ง เหมือนอย่างเขา ไอ้เราก็บอกจะยืนหยัดของเรานะ เขาก็ว่าเราต่าง เขาก็ต้องประท้วง อย่างนี้ ซึ่งมันจะแปลกมากขึ้น ไม่ใช่ธรรมดา มันลึกขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะเป็น พฤติกรรมคนอย่างเรา จะค้าจะขาย ก็ค้าขายอย่างของเรา จะกิน จะอยู่ จะปลูก จะสร้าง จะผลิต ก็ผลิตอย่างของเรา ทำลงไปให้เป็นเนื้อ เป็นแก่นเป็นสารอย่างนี้

นับวันมันจะเป็นเรื่องราว นับวันมันจะเป็นเนื้อหา สาระ นับวันมันจะเป็นลักษณะอย่างพวกเรานี่ มากขึ้น แล้วเราก็ใช้ปัญญานำนะ ทำไมเราจะต้องมากินอย่างนี้ ทำไมเราจะต้องมาปลูกมาสร้าง เตรียมตัวรับไว้เถอะนะ พวกเรานี่ เตรียมตัวรับไว้ ว่าเราจะได้รับฟังคำประท้วงว่า เราเองนี่ แปลกไป ทำให้แตกต่าง ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคม มันไม่แตกแยกหร็อก เพราะว่าเรา มาเป็นเช่นนี้ มาเป็นอย่างที่เรามีปัญญา เราเลือกเฟ้น เรียกว่าเราได้เรียนรู้แล้วว่า เรามาเป็น อย่างนี้ๆๆๆ แล้วเราก็ทำกันจริงๆ จังๆ เพราะฉะนั้น มันก็จะเกิดสภาพพวกนี้ขึ้นมาจริงๆ เมื่อเกิด สภาพพวกนี้ขึ้นมาแล้ว นับวันมากขึ้น มันก็จะยิ่งเด่นชัดยิ่งขึ้น เด่นชัดว่ามันแยก มันแปลก มันไม่เหมือน โดยเฉพาะ ยิ่งลักษณะทางโลกเขา เขาก็จะพุ่งไปในทางเอารัดเอาเปรียบ ด้วยวิธี การปรุงแต่ง ซับซ้อน ฉ้อฉล จะมีพฤติกรรมมารยาท หรือ เราเรียกว่ามารยาซ้อน อย่างที่เรากำลัง ศึกษาอยู่นี่ เป็นมารยาทสังคมชนิดหนึ่ง เป็นพฤติกรรมอย่างนี้น่ะ พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง นี่เป็นของจริงแล้ว

ทุกวันนี้ เขาพูดอย่างหนึ่ง ทำอีกอย่างหนึ่งเป็นของจริงแล้วน่ะ เพราะฉะนั้น คุณฟังดีๆ แค่คำว่า พูดอย่างหนึ่ง แต่พฤติกรรมการกระทำของเขาอีกอย่างหนึ่ง นี่แล้วก็เป็นบทบาทของคน คนเขาก็ดู เออ ไอ้คำพูดมันอย่างนี้ แต่ทำมันอย่างนี้น่ะ ถ้ายิ่งเป็นผู้ที่ยอม ที่เคารพนับถือ ยอมรับ ในสังคมเขาทำ คนที่เขาสูงๆ เขาก็ทำอย่างนี้ มีคนที่เคารพนับถือในสังคม เขาทำอย่างนี้ พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่งนี่ เป็นลักษณะ เป็นพฤติกรรม หรือเป็นลักษณะของคนคนนี้ ก็เขา ก็เป็นใหญ่เป็นโตน่ะ เราก็ต้องเอาอย่างเขาซี มันก็จะกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เป็นรูปแบบ อย่างหนึ่ง เป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่ง นับวันก็จะซ้อนๆไป ก็จะกลายเป็นจริงๆไปเลยนะ

แต่เรากลับไม่อย่างนั้นน่ะ เราอย่างไร เราพูดตรงๆ เราทำอย่างนี้ เราก็พูดอย่างนี้ ยถาวาที ตถาการี , ยถาการี ตถาวาที เราก็มาทำตรงอย่างนี้ ไม่ใช่ว่า พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง จนกระทั่ง เขาจะยอมรับกันว่า ไอ้นี่เป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่ง ที่ถูกแล้วดีแล้ว ของคนชั้นสูง เรากลับเห็นว่า เป็นคนชั้นเสีย ไม่ใช่คนชั้นสูงหรอกคนชั้นเสีย เราต้องมาทำให้มันถูกตรง พอเรากลับมาพูดอย่างนี้ มาทำอย่างนี้ เขาก็หาว่าเราอวดตัว นั่นเป็นคำประท้วงจากเขา เอ็งอย่าพูดอย่างนี้ อันนี้ไม่ดี เขาพยายามที่จะประณามอย่างนี้ว่าไม่ดี อย่างโน้นต่างหากที่ดี เพราะการพูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้กระทำตรง พูดอย่างนี้มันเป็นการอวด หาแง่เชิงที่ว่าเรา

ที่จริงคำว่าอวดนี่ เป็นคำยอมรับอันหนึ่งว่า เราทำดี ดีแล้วอย่าอวดซี จริง ในความหมายคำว่า คนอวดอ้างนี่ไม่ค่อยดี เขาก็เอาความหมายว่าอวดอ้างไม่ดีนี่ มาตีเรา เราทำดีแล้ว เราก็ยืนยัน การทำดี หรือแม้จะพูดของคำความดีของเราบ้าง เขาหาว่าเราอวด เพื่อที่จะเอา ความเลวนั้นมา แปดป้าย แปดเปื้อน ไอ้ความดีงามของเรานี่ เพื่อให้เห็นว่า ไอ้นี่มันไม่ดีๆ มันดี แต่ไม่ดี ฟังให้ดีน่ะ (มันดี) แต่ไม่ดี เพื่อที่จะถล่มทลายว่าให้คนเขาฟัง กลบเกลื่อนว่าให้เรานี่ไม่ดี แล้วจะได้ไปยอมรับที่เขาพูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง

อย่างคุณจำลองแสดงออกไปบทบาททางสังคมนี่ อาตมาว่าเป็นการยืนหยัดว่า เป็นการมี วัฒนธรรมใหม่ ว่าเราก็เราพูดอย่างนี้ เรารักษาศีล เรารักษาธรรมแล้ว แล้วบอกว่า เรารักษาศีล ๘ เราประกาศว่า เรารักษาศีล ๘ มาอวดอ้างทำไม แน่ ก็ทำไมละ ที่โลกๆน่ะเขาอวดอ้าง อย่างกับ อะไรดี เป็นคนไม่มีศีล เป็นคนทำอะไรเลอะเทอะ เป็นคนทำอะไรโอ่อ่า หรูหรา ฟู่ฟ่า ข่ม เบ่ง นั่นแหละ อวดยิ่งกว่าอวด ไอ้หรูหรา ฟู่ฟ่า ข่มเบ่ง นั่นน่ะ อวดยิ่งกว่าอวด ข่มยิ่งกว่าข่มน่ะ แต่เขาทำกัน แล้วก็ไม่ได้ทำอย่างธรรมดาด้วยนะ ทำเป็นงาน จัดงาน ทำเป็นถ่ายรูป ทำเป็น ออกโทรทัศน์ ทำเป็นเอารูปมาลงโฆษณาทางหนังสือค่ะ ทำอะไรต่ออะไร ประกาศไปทั่ว แล้วทำเฉย พวกคนจน พวกอะไรต่ออะไร มันไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำอย่างนี้ เพื่อประกาศไปทั่ว ประเทศเลยใช่ไหม แล้วใครอวด ใครโอ่ นี่เขาไม่รู้ตัวเลยน่ะ เขาไม่รู้เรื่องว่า เขาเองนะ เป็นคน ที่อวดอ้างแล้ว แล้วก็กระทำอยู่ เพราะเรามีน้อยคนเท่านั้น พูดบ้าง อวดกันไปบ้าง เขาก็ว่าแล้ว ทั้งๆที่มันเป็นส่วนน้อย ทั้งๆที่มันเป็นลักษณะอวด เราอวดสู้เขาได้ที่ไหน ถ้าลักษณะอวด เพราะว่า เราไม่มีแรง ไม่มีกระบอกเสียง ไม่มีทุนรอน ไม่มีหมู่พวก ที่จะไปเป็นพวก อยู่ในหัวหน้าสื่อสาร หัวหน้าที่จะโฆษณา ใช่ไหม เราไม่มีหร็อก พอเราพูดหน่อยเดียว มาแล้ว

นี่คุณฟังแล้วคุณลองคิดตามซี มันจริงไหมในโลก พอเราอวดนิดหน่อย ก็ว่าเราอวด แล้วก็ว่า เอาประเด็นการอวดไม่ดี แล้วใครอวดมากกว่ากัน แล้วไอ้ใครไม่ดีมากกว่า เมื่อสรุปแล้ว จริงๆ ใครมาอวดมากกว่ากัน ใครไม่ดีมากกว่ากัน ถ้าจะสรุปผล เขาอวดมากกว่า ไม่ดีมากกว่า แต่เอาเถอะ ไม่ใช่จะมาเถียงกัน เรื่องไม่ดี ไม่ใช่ว่าเราอวด แล้วว่าเราไม่ดี เราก็ฟัง ถ้าไม่อวดได้ ดีกว่าก็จริง แต่ทุกวันนี้นี่ เราต้องการเผยแพร่ เห็นใจเราบ้างซี ว่าเราทำดีได้แล้ว ไม่ใช่เผยแพร่ ออกไปเลย แล้วก็ยังไม่มีใครค่อยรู้ ไม่ค่อยมีใครเห็น แทนที่จะไปเงียบๆ แล้ว มันก็ควรจะออกมา แล้วก็อธิบายมุมเหลี่ยม ดีอย่างไรๆ เผยแพร่โฆษณาไปให้มากๆๆๆ ด้วยน่ะซี เราถึงพยายาม ทำอยู่เป็นสื่อสาร เป็นหนังสือ เป็นคำอธิบายเป็นเรื่องที่จะพยายามให้คนเขารับรู้ว่า มันถูกต้อง นะ มันดีอย่างไร แล้วหาสาระแท้มันอย่างไรๆ เราก็ต้องมีหลักการ โฆษณาเหมือนกัน มีหลักการเผยแพร่ เหมือนกัน มีวิธีการแล้วก็กระทำเหมือนกัน คุณทำได้ เราก็ทำได้ และ เราก็ควรจะอวดในสิ่งที่ดี ให้ดีจริงๆ

เราแน่ใจว่า เราไม่ได้มาหลอกเขาน่ะ เรามาทำน่ะ เราเป็นคนมักน้อย เราเป็นคนสันโดษ มาเป็นคนขยันหมั่นเพียรเสียสละ กินน้อยใช้น้อย แล้วต้องการที่จะบอกให้คนรู้ว่า ฉันกินน้อย ฉันมักน้อยนะ ฉันเสียสละมากนะ ฉันโลภน้อยนะ ต้องการประกาศอย่างนี้ ให้มันดี ดี อย่างนี้ ให้ออกไปดังๆ ให้คนเขาคนอื่นได้ยิน จะได้มาเอาอย่าง ว่ามันดีจริงๆ เหมือนกับคุณโฆษณา ของคุณน่ะ คุณมักมาก คุณหรูหรา คุณฟู่ฟ่า โอ่อ่า ร่ำรวยมากมาย มีวิธีการ โพนทะนาเชิงนั้น จะหรูจะหรา จะใหญ่จะโตจะอย่างไร แล้วคุณก็ทำของเราบ้างซี เราก็โฆษณาไอ้น้อยๆ เรายิ่งน้อย มีบ้านหลังเล็ก ผู้ว่าจำลองมีบ้านหลังน้อย ก็โฆษณาของฉันบ้างซี แล้วมันว่าเราน่ะ จริงๆ ถ้าเผื่อว่าเราเป็นนักเจ็บกระดองใจ มันน่าจะเจ็บกระดองใจยิ่งกว่าเขานะ แหม ทีเขาทำเอ๊า ทำเอาแล้วไม่ว่า ทีเราทำบ้างละว่าเรา

จริงๆแล้วไอ้สิ่งที่ดี มันน่าจะต้องเผยแพร่กันออกไปบ้าง มันเป็นการต่อสู้ ของธรรมา ธรรมะ สงคราม มันเป็นการต่อสู้กันจริงๆเลย ใช่ไหม มันเป็นการรบราฆ่าฟันกัน ระหว่าง สิ่งดีกับสิ่งไม่ดี มันก็สู้กันไป วิธีการซ้ำซ้อนกันบ้าง ต่างคนต่างว่ากันบ้าง เขาว่าเราบ้าง เราก็ว่าเขาบ้าง มันเป็นสงคราม มันเป็นการรบกัน

แต่ทีนี้เมื่อหยั่งลงไปถึงเนื้อหาแก่นแท้แล้ว อะไรมันน่าโฆษณามากกว่ากัน อย่างที่อาตมาว่า เราน่าโฆษณามากกว่า เราพูดว่าโฆษณาเพื่อการที่จะให้รับรู้กันถ้วนทั่วไป เราน่าทำ มากกว่า ด้วยซ้ำ แต่เราก็ทำได้แค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้น เราเข้าใจแล้วก็เอาเถอะ ยอมให้เขาว่า เมื่อเขาว่า เราก็อธิบายบ้าง ก็คุณก็ยังทำนะ เหมือนกับว่าเขาคืนน่ะนาอันนี้น่ะ คุณก็ยังทำน่ะ ทำไมคุณ ไม่ว่าตัวเองบ้างละ ทำไมว่าแต่เรา แล้วคุณทำได้มากกว่าเราด้วย เพราะคุณมีทุนรอน มีสื่อสาร มีเครือข่าย มีแรงงาน มีหมู่พวก มากกว่าเราเยอะแยะ มันก็รักษาฐานะนะ ว่าอย่างนั้นจริงๆ เขาก็พยายาม รักษาฐานะของเขา เขาก็คิดว่า ของเขาดี เราก็ได้ฐานะมาน้อยๆ เท่านั้นเอง นี่เป็นฐานเล็กๆเท่านั้นเอง ไม่ใช่ฐานหนัก ฐานใหญ่ ฐานโตอะไร เราก็ต้องรักษาฐานะของเรา ก็เผยแพร่ฐานะของเราเหมือนกัน

เหมือนอย่างที่าอาตมาพูดมาแต่ต้นว่า ต่อไปมันยิ่งจะมีความแปลก พวกเรานี่จะแปลก เพราะว่า ยิ่งมีบทบาทมาก ยิ่งมีพฤติกรรมที่มากเข้า แม้แต่ในลักษณะสัจจะลึกๆ เรามาเสียสละมากๆนี่ มันยิ่งจะเป็นกอบเป็นกำ ต่อไปนี้ การค้าของเรา ก็จะเป็นหน่วยค้า ที่ตรึงราคาถูก ทำราคาถูก ต่อไป ยิ่งให้เราสร้างผลผลิต มีวัตถุดิบเข้าไปป้อนพวกเรา เราก็ยิ่งลดต้นทุน เราก็ยิ่งจะถูกได้ มันยิ่งจะถูกได้ จริงๆเขาก็ยิ่งขึ้นราคา ไปใหญ่ พวกนั้นเขาจะหยุดยั้งที่ไหน มันยิ่งจะเดินทาง ไปคนละทิศเลย มันยิ่งจะแปลกต่างกันออกไปๆ อย่างนี้เป็นต้น แม้แต่เราจะทำอาชีพอะไรอื่นๆ เราจะมีโรงเรียน โรงเรียนเราก็จะถูกลง สอนฟรี สอนให้เด็กอบรมกัน ให้มักน้อยสันโดษ ไปในทิศทางเรานี่แหละ แล้วเราก็แสดงจริง อย่างโรงเรียนเรา ก็จะตั้งโรงเรียน ที่ไม่เก็บเงินอะไร จะสอนอะไรพวกนี้แล้ว มันจะได้เป็นอะไรแค่ไหน ก็แล้วแต่เถอะ

อาตมาคิดว่า เป็นไปได้ เพราะพวกเราเข้าใจ ด้วยจิตวิญญาณแล้ว เข้าความคุ้นคุณค่าของผล แล้วจริงๆ เป็นประโยชน์ คุณค่าจริงๆ เราเสียสละได้จริง เรากินเราอยู่ เราก็รู้จักพออยู่แล้ว เมื่อมัน พอได้จริงๆ เรามักน้อยได้จริง มันก็ไม่ต้องไปเปลืองไปผลาญ ไม่ต้องไปมีเงินมีทองมา ซึ่งอะไร ไปบำเรอกับตัวเอง เราก็เป็นอยู่กับหมู่กับฝูงนี่ จะอยู่กันเป็นกงสีใหญ่ๆ อยู่กันอย่างสังคม ใหญ่ เป็นอย่างที่พูดนี่แหละ เป็นคอมมูนพวกนี้แหละ ไม่ต้องไปยั้งปากยั้งคออะไรก็ได้ เป็นกลุ่ม สังคมรวมนี่แหละ สังคมหมู่รวมนี่แหละ แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้อยู่กัน โอ้โฮ พี่น้องมันเยอะแยะ พวกเรานี่ เป็นไฟ เหล่าญาติๆ ญาติดี เป็นไฟเหล่าญาติ ซึ่งจะต้องควรบูชาอย่างยิ่ง เพราะว่า มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าไฟแห่งสมณะ ไฟแห่งบิดามารดา ไฟแห่งเหล่า ญาติ นี่ เป็นไฟที่ควรบูชา ไฟนี่มันมีความหมายถึงสภาพที่สร้างสรร เจริญงอกงาม ทำให้เกิด พัฒนา ให้เกิดการสังเคราะห์ที่ดี ที่เจริญขึ้น เพราะฉะนั้น เราเร่งบูชา ก็หมายความว่า เร่งพัฒนา ให้เกิดความเป็นสมณะ ให้เกิดความเป็นบิดามารดา ให้เกิดความเป็นเหล่าญาติ บิดามารดา

เราเรียนมาแล้วสูง ไม่ใช่บิดามารดา แค่พ่อแค่แม่ แล้วก็สมสู่กัน คลอดลูกออกมา บิดามารดา แค่นี้มัน บิดาแค่ธรรมดาโลกธรรม เรื่องสามัญ ซึ่งไม่ใช่เรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องลึกซึ้ง วิจิตรพิสดาร ที่เรียนใน พระพุทธเจ้าสอนเรามานี่ มันเป็นเรื่องธรรมะที่ลึกซึ้ง บิดามารดามีผล บิดามารดาที่ ลึกซึ้ง ถึงระดับที่ทำให้เกิดทางวิญญาณ เพราะฉะนั้น บิดามารดาของเรานี่ ไม่จำเพาะอยู่ที่ คนสองคน เท่านั้น บิดามารดาเขาจะมีบิดามารดาหลายคนก็ได้ ทำให้เกิดอย่างทวิชาติ ทำให้เกิดอย่าง...สอง คนเราเกิดจากท้องแม่นี่เกิดครั้งหนึ่ง แล้วเราจะเกิดทางโอปปาติกโยนิ เกิดทางจิตวิญญาณ เกิดจริงๆเลยนะ วิญญาณของเราจะค่อยๆอบรมสั่งสม จนกระทั่ง คลอด เป็นวิญญาณโลกุตระ เป็นโลกุตรบุคคล เกิดพอได้รอบ ก็จะเกิด พอได้คุณธรรม ที่วิญญาณ ปรับเปลี่ยนใหม่แล้ว ก็เกิดอีก เรียกว่า ทวิชาติ แปลว่า คนเกิดสองครั้ง อยู่ในร่างเดียว ร่างเดิม นี่แหละ เกิดมาจากพ่อจากแม่นี่ ก็เกิดมาแท้ครั้งหนึ่ง แล้วเราก็มาเกิดในนี้อีก เกิดทางจิต วิญญาณอีก ในร่างเก่านี่เป็นโอปปาติกโยนิ ในร่างเดิม ผุดเกิดในร่างเดิม เป็นการเกิดอีก ในครั้งที่สอง เรียกว่าทวิชาติ อย่างนี้เราทำได้จริงๆ ทำให้เป็นจริงๆนี่นา มันก็จะเกิดจริง เป็นจริง แล้วก็จะมีพ่อมีแม่มากคน

อาตมาเป็นพ่อเป็นแม่ รุ่นที่หนึ่ง บางคนก็ยังคลอดไม่สำเร็จ ต้องให้พ่อแม่รุ่นที่สอง ไปกกไข่ ไปฟูมฟัก ไปทำให้เกิดใหม่ต่อไปอีก พ่อแม่รุ่นนี้ช่วยไปอีก พ่อแม่รุ่นนี้ยังไม่เสร็จ พ่อแม่รุ่นต่อไป อีก หรือพวกคุณเป็นพ่อแม่ ช่วยอบรมกันขึ้นมาอีก ความหมายอย่างนี้ มันก็มีความหมายเป็น ปรัชญา หรือเป็นปัญญา ที่ปัญญามันจะต้องรู้ความหมาย คำว่าพ่อแม่นี่ ไม่ได้หมายความว่า พ่อแม่จากท้องพ่อท้องแม่ คนมีปัญญารู้เป็นสัมมาทิฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฐิแค่นั้น ถ้าไม่อย่างนั้น เขาบอกไอ้พ่อที่เป็นพ่อแม่สมสู่กัน ก็มีลูกปรู๊ดออกมาอย่างนั้น ถ้าใครไม่รู้ว่าอย่างนี้คือพ่อ อย่างนี้ คือแม่ มันก็สัมมาทิฐิ ทุกคนแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเรียนทำไม ธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็มันตื้น แค่นั้นน่ะนา ใครมีใครไม่รู้บ้างว่า นี่คือพ่อ นี่คือแม่ ถ้าจะเอาแค่นั้นน่ะนา มันไม่ต้องมาเรียน หรอก ไม่ต้องไปเป็นวิชาการอะไรของพระพุทธเจ้า ว่าจะสัมมาทิฐิ หรือ มิจฉาทิฐิ จะไปเรียน ทำไม ใช่ไหม

ความจริงมันไม่ใช่แค่นี้ มันลึกซึ้งกว่านี้ แล้วไม่ใช่การเกิดทางรูปร่าง ร่างกายสรีระแค่นี้ มันทาง สัตว์โอปปาติกะ มันทางวิญญาณ อย่างนี้เป็นต้นน่ะ มันก็จะมีอะไรๆที่รวม ที่เกิด ที่เป็นใหม่ ที่เป็นจริง เพราะฉะนั้น พ่อแม่ก็จะมีมาก เหล่าญาติก็จะมีมาก แล้วก็ต้องพัฒนาเหล่านี้ เป็นไฟแห่งญาติ ไฟแห่งบิดามารดา ไฟแห่งสมณะ จนกระทั่ง เกิดเป็นสมณะผู้เจริญ สมณะ ผู้ที่ลอยบาป สมณะผู้สงบ สมณะคือผู้ที่หลุดพ้น เราต้องบูชาคนชนิดอย่างนี้ ไฟบูชาไฟก็บูชา คุณธรรม เป็นปฏิกิริยา ทำให้เกิดการเจริญในไฟนี่ เป็นภาษาที่มีสภาวะด้วย เรารองรับว่า ให้เรา เจริญขึ้นไป อย่างตรงนี้นี่ เราเข้าใจ แล้วเราก็มาเป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วจะเป็นคนที่มาบูชาคน อย่างนี้ ดีจริงอย่างนี้ มันก็จะเกิดพฤติกรรม เกิดสังคมกลุ่มที่มีระบบวัฒนธรรมจารีตประเพณี มีรูปร่าง มีเรื่องมีอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา กลายเป็นลักษณะที่จะต่างกันจากทางโลกเขา โลกเขาเป็นอย่างไร ทุกวันนี้ เดินทางไป

อย่างตะวันตกนี่นา พ่อแม่ลูกเต้าอะไรนี่หนัก ยิ่งนานวันนานปีเข้าพ่อแม่ ลูกไม่เกี่ยวข้องกัน สงเคราะห์กันไม่ได้ ช่วยเหลือเฟือฟาย อุ้มชูกัน พาให้เจริญกันไม่ได้ ต่างคนต่างตัวใครตัวมัน ต่างคนต่างเป็น ต่างคนต่างแตะ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนสุดท้าย เออไอ้ลูกเข้าโตมานี่ วัฒนธรรม ต่างประเทศ อายุ ๑๘ ๒๐ แล้วเอ็งไป ไปเลี้ยงตัวเองให้ได้ เขาก็ถือมุมดี เหมือนกันนะว่า อย่ามา หนักพ่อแม่ อย่างเก่า เอ็งต้องเลี้ยงตัวเอง เอ็งต้องพยายามเป็นประชาชนที่ดี สามารถสร้างสรร ได้ ไม่ต้องมาเกาะพ่อเกาะแม่อยู่ เขามองไปในมุมนั้น ก็ดูดีเหมือนกัน แต่เสร็จแล้ว มันก็กลาย เป็นเรื่อง ไม่เหมือนวัฒนธรรมไทย หรือ วัฒนธรรมตะวันออก วัฒนธรรมตะวันออก พ่อแม่ พี่น้องญาติโกโญติกา ยังอยู่รวมกัน จนกระทั่งตายจากกัน ยังมานั่งร้องห่มร้องไห้จากกัน ไอ้โน่นบางที พ่อแม่ตายไปสามวัน ห้าคืนแล้วยังไม่รู้เลย เน่าอยู่ที่บ้าน เพราะไม่มีใครดูแลเลย ต่างคนต่างอยู่ เดี่ยวเดียวดาย คือวัฒนธรรมแบบนั้น เราก็เห็นแล้วว่า มันไม่ดีนะ เราไม่เอา เราจะเอาวัฒนธรรมอย่างนี้

ทุกวันนี้คนไทยก็ตาม กำลังจะเป็นอย่างนี้แล้ว ต่างคนต่างตัวใครตัวมัน จะเป็นลูกเป็นเต้า จะเป็นพ่อ เป็นแม่ก็เอา ข้าโตมา ข้าก็ไปสร้างครอบสร้างครัวของข้า พ่อแม่ก็อยู่ของพ่อแม่ไป ไม่เกื้อกูล ไม่กตัญญู ไม่อุ้มชูกันมากขึ้นแล้ว ว่าไหม คนเก่าคนแก่ว่าไหม สมัยนี้ มันจะเป็น อย่างนั้นขึ้นไปแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เขาก็นับวัน จะเป็นอย่างนี้ ไปหาตะวันตกแบบนั้น วัฒนธรรม อย่างนั้น แต่เรากลับมารวมกัน อย่าว่าแต่พ่อแม่ แต่พี่น้องจะต้องดูแลช่วยเหลือเฟือฟายกันได้ แม้แต่ผู้ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่เรา ก็มาเป็นพี่เป็นน้อง มาเป็นเหล่าญาติ มาเป็นพี่ เป็นน้อง มาเกื้อกูล เอื้อเฟื้อช่วยเหลือ เราก็กลับจะไปทางนี้ เขาก็ไปทางโน้น เห็นไหม มันก็จะกลับต่างกันไปอีก มันจะแปลกจะประหลาดกันไปเรื่อยๆ ยิ่งขึ้น พฤติกรรมอย่างนี้ ยิ่งจริงเท่าไหร่ เขาก็เป็นของเขา ไปโดยไม่รู้ตัว มิจฉาทิฐิ เขาก็จะไปของเขา เขาก็ปรุงสร้างพฤติกรรมวัฒนธรรม เขาก็จะไปอีก รูปหนึ่ง รูปแบบเขาก็จะไปทางโน้นไปเลย รูปแบบของเรา ก็จะไปทางนี้ มันก็นับวันจะห่างกัน ออกไป จะต่างกันไปอีก อย่างที่ว่านี้อีก เพราะฉะนั้น เตรียมตัวไว้เถิด คุณจะไม่ต้องห่วงอะไร เตรียมตัวไว้รับว่า เราจะถูกเขาว่า ว่าพวกเรานี่ แปลกจากสังคม แปลกแยก แตกต่างแตกแยก เขาจะว่าแน่นอน เราก็จะเป็นอย่างของเรา เราก็จะเกื้อกูลช่วยเหลือเฟือฟาย เป็นไปอย่างของเรา ทำไปอย่างที่เรียกว่า อย่างที่คนไปได้โดยยาก แต่เราเป็นไปได้ แล้วมันก็จะเกิดมากขึ้นๆ

ทุกวันนี้ที่อาตมาพูดได้นี่ก็เพราะมีสภาพแล้ว แล้วอาตมาก็ดูจะมั่นใจขึ้น แต่ก่อนนี้อาตมาก็ เอ้ จะเป็นไปได้ง่ายๆ มันเป็นเรื่อง โอ ถ้าพูดมาก่อน เดี๋ยวก็หน้าแตกเปล่าๆ ตอนนี้ก็ถึงแม้ว่า จะหน้าแตก ในโอกาสต่อไป มันไม่ใหญ่ไม่โต มันขนาดนี้ก็บอกก็เป็นได้แล้วนี่ น้อยๆแค่นี้ดี ก็ช่างเป็นไร เราการค้าขายก็ค้าขาย อย่างนี้ได้แล้ว แค่นี้ก็แค่นี้อยู่กันอย่างนี้ ทำงานไม่มีเงิน ไม่มีทอง ต่างคนต่างมา ช่วยเหลือเฟือฟายกัน เป็นเหมือนกับคอมมูนอย่างที่ว่านี่ ต่างคน ก็ต่างมา ช่วยกันสร้างสรรขึ้นมา ก็มารวมกองกลาง กินๆใช้ๆแบ่งๆแจกๆ เรามาหัดตัวเราเล็ก เราน้อย ลงไปอีก กินน้อยใช้น้อยไปอีก สร้างสรรมากขึ้นก็เหลือเฟือ แจกจ่ายคนอื่น คนไหน เขาจะแจกจ่ายไปได้ตามที่เราควรจะทำ เราก็ทำไป เรามีความรู้อย่างนี้แหละ วิธีการของเรา ก็อย่างนี้แหละ ก็ทำให้เป็นจริงขึ้นมา จะมีการเกื้อกูล อุ้มชู ช่วยเหลืออะไรกันก็ทำไป

ตอนนี้ เราเอื้อมมาถึง จนกระทั่งถึงเด็กขึ้นมาบ้าง มีโรงเรียน ก็มีลักษณะเราก็จะต้องประยุกต์ จะต้องพยายาม ปรับปรุงให้มัน ไม่ใช่ไปอย่างโบราณเลยทีเดียว สมัยนี้มันมีอะไรที่มันดีขึ้น กว่าเก่า ฉลาดขึ้นมากว่าเก่า เราก็มาร่วมมารวม แล้วก็มาประยุกต์ใช้ สิ่งที่มันเป็น ประโยชน์ได้ แล้วเราจะเป็นโรงเรียนอย่างเขา แต่ไม่เป็นอย่างเขาทีเดียว ก็มีเชิงซ้อน จะค้าขายอย่างเขา ก็ไม่ค้าขายอยางเขาทีเดียว จะมีสาธารณสุข จะมีโรงพยาบาลอะไรขึ้นมา คือจะมีอย่างเขา แต่ก็ไม่อย่างเขาทีเดียว นี่อาตมาก็พูดถึงครึ่งๆ กลางๆไว้อย่างนี้ก่อน แล้วไม่ทีเดียวอย่างไร ไม่เหมือนเขาทีเดียวอย่างไร เราก็เข้าใจนโยบายของเรา แล้วเราก็พยายาม กระทำให้มันจริง ให้เป็นไปในโลก แม้แต่จะเป็นนักการเมืองอย่างเขา เอ้า พูดก็ให้มันไปให้ถึง การเมืองเลยก็ได้ เราก็จะไปเป็นนักการเมืองอย่างเขาทีเดียว เป็นนักการเมืองที่ จริงจัง ที่เราจะเสียสละ สร้างสรร เป็นคนที่จะไปบริหารไปช่วยประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่มานั่งเป็นนักการเมือง ประเภท ปากว่า ตาขยิบ ฉ้อฉล ขี้หลอก ตัวเองก็ไปนั่งกอบโกย นั่งโลภโมโทสัน ซ่อนเชิง หาเล่ห์หาเหลี่ยม มาออกกฎหมาย มาออกระเบียบการ มาออกอะไรต่ออะไร ให้แก่บ้าน แก่เมือง เพื่อตัวเอง จะได้เอาเปรียบ แล้วก็สร้างทาง สร้างระบบวิธีเอาไว้ให้เผ่าของกู พรรคของกู พวกกู ทั้งนั้นแหละ ถึงจะได้ต่อสืบทอดอำนาจ สืบทอดผลได้อะไร โอ ดูไปแล้ว ก็น่าเกลียด

ทีนี้มันซ้อนเชิง ทางโน้นเขาออกไปอย่างนั้น มันก็ไปสืบทอดพวกเขา พวกเรานี่ จริงๆพวกเรานี่ ก็เหมือนกับออกกฎ ออกระเบียบออกวินัย สืบทอดพวกเราเหมือนกันน่ะ พูดไปแล้วมันก็ย้อนๆ เหมือนกับพวกเรา เหมือนกับพวกนั้นเหมือนกัน แต่เอาเถอะ ถึงแม้ว่าเราจะมีลักษณะนั้น เหมือนกัน แต่มันซ้อนเชิงสีขึ้นไปอีก ว่า ไอ้ลักษณะอย่างเรานา กฎระเบียบอย่างเรานี่ มาเป็นเหมือน เป็นศีลเป็นธรรม เป็นวินัย เป็นระเบียบ พวกนี้ แล้วมันเป็นไปกับพวกเรานี่แหละ จะทำได้ เขาก็ว่า มันทำให้เพื่อพวกมัน แล้วไอ้พวกเราที่ทำได้นี่ ไอ้ที่ทำอย่างนี้แล้ว มันกระจาย ไปสู่พลเมือง หรือประชาชนด้านนอกมากขึ้นไหมละ แต่อย่างนั้นน่ะ อย่างพวกเขาแบบ ทุนนิยม มันไปเป็น ระบบของวิธีอำนาจ และทุนรอนเป็นศักดินา เป็นทุนนิยม ของเขา ที่เป็นพวกของเขา แล้วพวกเขานั่น มันดูดจากประชาชนไปไหมละ เอ้า ลึกซึ้ง ซ้อนขึ้น แต่ของเรานี่ กลับกลายเป็น อย่างนี้แหละ ใช่พวกนั้นแหละ แต่พวกนี้แหละ เพื่อไปหาประชาชนชนบทขึ้นไหมละ เห็นไหมว่า มันต่างกัน ที่อาตมาพูดนี่โมเมหรือเปล่า กรรมวิธีของเรา หรือวิธีการ หรือลักษณะของพวกเรานี่ ทำกันอย่างนี้ บอกว่า จะเป็นพวกเหมือนของพวกมันน่ะ จะต้องมาไม่กินเนื้อสัตว์ มากินข้าว มื้อเดียว มาไม่เอาเงินเดือน แล้วมันเป็นอย่างไร

ถ้าเราทำได้มากๆ มันไปเป็นส่วนได้ส่วนเหลือ ไปเป็นประโยชน์แก่พวกเราหรือ แล้วเราก็สละ เสียไปให้พวกอื่นเขา แต่เขาอย่างของเขาละ เป็นอย่างไรล่ะ มามีบ้านใหญ่บ้านโต มีพรรคพวก มามีทุนนิยมเยอะๆ แล้วใครฉิบหาย ประชาชนก็ฉิบหาย ดูดมาหาพวกคุณหมด แล้วพวกเรา กลับกระจายไปพวกประชาชน เอาละ จะมาโทษกันบอกว่า เอาแบบของมัน แล้วเพื่อก็พวกมัน ออกกฎหมายหลักอะไรออกมา หรือหลบหลักเกณฑ์ ก็เพื่อพวกมันเหมือนกัน ก็ไม่ว่า แต่ต้องให้ มันยาว ให้มันอธิบาย หรือ มันมีแนวต่อ แนวเชื่อม แนวโยงไปหาอะไร มันเป็นความเห็นแก่ตัว หรือเป็นความเสียสละล่ะ อะไรดีกว่ากัน เอาละ จะเอาอันนี้มาย้อนแย้งมาว่ากัน มาด่ากัน ก็ไม่ว่าอะไร แต่ต้องให้มันครบ ให้มันสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ในลักษณะที่อาตมากำลังอธิบาย สู่ฟังนี่ เป็นเรื่องที่เราจะต้องคำนึงมาก ที่จริง ไม่ได้คิดอ่าน จะต้องมาพูดเรื่องนี้มากมายขนาดนี้ เลยน่ะ ตอนนี้ มันน่าจะพูดกับคน เทศน์ให้คนฟัง เป็นร้อยเป็นพัน แล้วมาเล่นกับคน ไม่กี่คน นี่เอง

ในเรื่องนี้เป็นที่เรื่องใหญ่นะ เป็นเรื่องกว้าง เป็นเรื่องลึก และเวลาจะเทศน์นี่ ก็มาเทศน์กับ คนพวกนี้ก่อน แค่นี้เอง เอ้อ มันก็ดูๆ คิดลึกๆ แล้วมันก็แปลกๆ ดี ใช่ไหม มันน่าจะไปเทศน์กับ คนกลุ่มใหญ่ๆ เรื่องอย่างนี้ มันเรื่องที่จะรับรู้กันทั่วๆถ้วนๆ แต่ได้มาเทศน์กับคนน้อยๆ แค่นี้เอง มันก็เป็นไปตามกาละ ของมัน ไปตามไอ้นี่ของมัน ของเรามันมีบุญอย่างนี้ วิบากของเรา มันก็ แค่นี้ พอที่จะได้เทศน์ๆ ไอ้เรื่องลึกขึ้นมาได้ หรือว่ามีเหตุการณ์พอที่จะเป็นอย่างนี้ นี่มันก็กลับมา อยู่ได้แค่นี้ องค์ประกอบของมันเยอะแยะเลย ไม่รู้อะไรเป็นองค์ประกอบของมันน่ะ เหมือนกับ เทวดาสั่งการ มีบวกลูบคูณหารทุกอย่าง มาแต่เหตุ รวมแล้วเป็นก็ได้แค่นี้ก็เอา ถือว่าพวกคุณ โชคดี ได้ฟังก่อนก็แล้วกัน แต่ข้อสำคัญ อย่าฟังไปเปล่าๆละ เอาไปทำให้เป็นจริง ถ้าเห็นด้วยนะ นี่ไม่ได้บังคับน่ะ พูดไปแล้ว ก็ไม่ได้สั่งการให้พวกคุณไปทำไว้ เรื่องเป็นการบังคับ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่คำสั่ง ไม่ใช่อาณา ไม่ใช่ Command แต่เป็น สิ่งที่เน้น ที่แนะให้มากขึ้น ก็ควรน่ะ เห็นดีแล้ว ก็ควรจะไปทำมั้ย ทำแล้ว มันดี คุณก็เอา เป็นอิสรเสรีภาพ เป็นสิทธิส่วนตัว พยายามกระทำ ให้มันได้

ทุกวันนี้ มันมีบทบาท มันมีพฤติกรรมที่พวกเราทำกันขึ้นมาแล้วก็สานต่อ มาเชื่อมโยงเครือข่าย แต่มันเป็นฐาน แต่ละฐาน เพราะฉะนั้น คนที่ไหนยังทำไม่ได้ เราก็ยอมรับว่า ยังทำไม่ได้ แต่เรา ก็ไม่ริษยากัน เรายอมรับผู้ที่ทำได้ดีกว่าเรา เราก็อนุโมทนา ส่งเสริม ช่วยเหลือ ผู้ที่จะทำยังไม่ได้ ก็ต้องเพ่งเพียร พยายามพัฒนาตนขึ้นมาให้ติดๆหมู่ ติดๆกลุ่ม หรือว่าเดินตามขึ้นไป มันก็ไม่มี อะไร ที่จะแตกร้าว ไม่มีอะไรที่จะระแหงวิวาท บาดหมาง หรือว่าหลวม มีแต่จะแน่น มีแต่จะเป็น หนึ่งเดียว มีพลัง มีกำลังที่จะรวมสร้างสรรกันขึ้นไปได้

อาตมาเห็นว่า อาตมาไม่พลาดหวังนะ ไม่อกหัก ไม่อกหัก ทำงานมานี่ยาก มาทำงานศาสนา มาทำงาน ังคมแบบนี้นี่ยาก โดยเฉพาะก่อนจะจบ อาตมา ก็ขอบอกให้ทราบล่วงหน้านิดหนึ่ง โดยก่อนว่า ในรูปแบบของสังคมอย่างอโศก หรือ อย่างพวกเราที่ทำอยู่นี่ เป็นแบบบุญนิยมนี่ มันยังไม่มีในโลก มันจะแปลกมาก ถ้ามันยิ่งเป็นจริงชัดเจนแล้วนะ มันจะแปลกมาก ต่อไป ในอนาคต มันแปลกจนกระทั่ง มันจะเหมือนกับเราเจอของแปลกนี่แหละ กลายเป็นของ น่าสนใจ แล้วจะลือจะลั่นกันไป ถึงครั้งถึงคราวของมันครบสมบูรณ์เมื่อไร มันก็จะเป็น ลักษณะนั้น ครั้งนั้นแหละเรียกว่า ครั้งดัง ถึงรอบนั้น เรียกว่าถึงรอบ ครบรอบ เหมือนกับ อย่างทาง วิทยาศาสตร์ ความร้อนที่สูงจนกระทั่งได้รอบจุดชวาล มันก็จะลุกโช เป็นแสงติด เป็นจุดชวาล เหมือนกับรอบของรถยนต์ เครื่องที่รอบที่หมุนได้ ติดรอบ เครื่องยนต์ก็จะ ติดเครื่องได้ เมื่อสตาร์ตจนกระทั่งเครื่องยนต์มันได้รอบของมัน แรงที่มันเข้ามาสมดุล ในการที่ จะติดพลังงาน ต่อเนื่องได้ มันก็จะเกิดเป็นเครื่องยนต์ ติดเครื่อง ฉันใดก็ฉันนั้น มันจะเป็น ลักษณะนั้น

แต่จะถึงอย่างนั้นเมื่อไหร่ อย่าถามน่ะ อาตมาไม่มีคำตอบ อาตมาไม่ใช่หมอดู อาตมาตอบไม่ได้ มันจะถึงเมื่อนั้น ก็ต่อเมื่อทุกคนมีคุณภาพ หรือมีลักษณะที่จะเป็นสัจจะ เข้ามารวม จนกระทั่ง ถึงได้ครบสมบูรณ์ ถึงรอบของมัน คุณช่วยคนหนึ่ง คุณช่วยคนหนึ่ง คุณช่วยคนหนึ่ง หลายคน ช่วยกัน มามีคุณภาพอันนั้น รวมไปถึงจุดนั้น นี่คือคำตอบที่ไม่ผิด เมื่อนั้นถึงจุดเมื่อไหร่ มันถึง ครบรอบ เหตุปัจจัยนั้น เมื่อไหร่ มันก็จะเป็น อย่างที่อาตมาว่า

แต่ถ้าต่างคนต่างก็เหยาะแหยะๆ ไม่ค่อยทำล่ะ มันจะถึงเมื่อไหร่ ก็ยังไม่ค่อยรู้เลย อีกห้าล้าน ชาติ ก็ไม่รู้ แต่ถ้าเผื่อว่าคุณพากเพียรทำได้จริงขึ้นมา ถึงรอบของมันจริงน่ะ ในชาตินี้ เราอาจจะ ได้เห็นก็ได้ อาตมาไม่หวังนะว่า ชาตินี้จะได้เห็น แต่อาตมาก็คิดว่า จะไม่อยากนะ อาตมาไม่หวัง ว่าจะเห็น แต่อาตมาก็ไม่คิดว่าจะไม่อยากเห็นน่ะ เห็นก็ดี ได้เห็นก็ดี ถ้าไม่เห็นก็ไม่อกหัก ไม่เป็นไร ๆ เพราะว่าอาตมาไม่ได้ไปยึดมั่นถือมั่นอย่างที่ว่านี้จริงๆน่ะ เพราะฉะนั้น พวกเรามาทำ ถ้าแน่ใจว่าดีแล้ว ก็เอา ก็พยายามเพียรกันขึ้นไป อย่างโน้นอย่างนี้กันขึ้นไปเรื่อยๆ อาตมาเห็นว่า มันอบอุ่นน่ะ เป็นเรื่องดีน่ะ ยิ่งนับวัน อาตมายิ่งเห็นว่า เอ้อ เป็นจริง อบอุ่น เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม ยากแสนยาก แต่ก็เป็นไปได้ขนาดนี้ ก็ดีมากแล้ว แล้วก็ดี มากกว่านี้ แล้วก็อีกมากๆด้วยน่ะ มันไม่ใช่น้อยๆ ดีมากกว่านี้มากๆ เราก็ต้องทำเพิ่มเติมขึ้นไป แล้วก็เราก็รู้ว่าตัวเราเอง มีสิ่ง บกพร่อง สิ่งที่ไม่ดีของเราเอง ยังไม่มีอีกมาก เมื่อได้ยินได้รู้ว่า เรายังมีอีกมาก เราก็อย่าไป เหยาะแหยะ อย่าไปผัดวันประกันพรุ่ง อย่าไปอ่อนแอมากนักละ พยายามขมีขมันแข็งแรง อุตสาหะวิริยะขึ้นมา พยายามทำ ซึ่งมันก็ทำได้ ช่วยทั้งคน ช่วยทั้งส่วนรวมขึ้นไปด้วย ตามทิศทางนี้


ถอด โดย จอม ศรีสวัสดิ์
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๑๔ มี.ค.๒๕๓๕
พิมพ์ โดย อนงค์ศรี ๒๔ มี.ค.๒๕๓๕
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ป ๒๕ มี.ค.๒๕๓๕
FILE:2304.TAP