สลัดคืนเข้าแก่นสามัคคี หน้า ๒

โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๕
ณ สันติอโศก
ต่อจากหน้า ๑


นั่นก็อยู่ในภพอย่างเดิม ยังไม่ได้เดินต่อ ยังปะติดปะต่อไม่ได้ พูดอาตมาพูดปะติดปะต่อ อะไร ตั้งเยอะ ตั้งแยะ ก็เข้าใจไม่ได้ว่ามัน เอ้! สัมพันธ์กันอย่างไร แล้วมันหมายถึง ความซ้อนลึก สูงขึ้น ต่ำลงอย่างไร ไอ้ที่ขึ้นก็ว่าเจริญ ไอ้ที่เจริญนี่เจริญขึ้นๆ เอ๊ะ ไอ้ลงมันเจริญอย่างไร มันดิ่งลงนรก ไปอย่างนั้นน่ะ ไม่รู้เรื่องหมายความว่าอย่างไร มันเจริญอย่างไร เจริญ เอ้ ! เจริญอย่างไร ไอ้ยิ่งไม่เข้าใจเจริญ เจริญมาระนาบเดียว มิติเดียวก็ฟังรู้ หรือดูก็รู้ แล้วไอ้ที่ว่า เจริญขึ้น แล้วไอ้ที่ว่า เจริญเจริญทำไม มันดิ่งลงนั่นน่ะ แล้วคนพาซื่อ แล้วก็ระนาบเดียว ก็ไม่เข้าใจล่ะ เจริญแล้วทำไมมันลง เจริญมันก็ต้องขึ้นซี เพราะเข้าใจระนาบเดียว ว่าเจริญคือ ขึ้นท่าเดียว ก็ไม่เข้าใจ แล้วมาซับซ้อนวนมาอย่างนี้ มาซ้อนกัน มาเจอที่เดียวกัน แต่มันไม่ได้ อยู่ที่เก่า ไม่ใช่เก่าน่ะ มันก็เหมือนเก่า แต่มันเก่า เอ มันเจริญอย่างไร มันขึ้นอย่างไร ไม่เห็นขึ้น มันก็ไอ้ที่เดิม ก็วนมาอยู่ที่เดิม ถ้าคุณอยู่ระนาบเดิม คุณก็วนอยู่ที่เดิมนะซี เพราะคุณระนาบเก่า คุณไม่ได้เป็นระนาบที่ เจริญขึ้นไปเหมือนกับหอย หรือเหมือนขึ้นไปสู่ยอดเจดีย์ บันไดเวียน ไปสู่ยอดเจดีย์ อะไรอย่างนี้

แต่อาตมาพยายามเอามิติของรูปธรรมมาประกอบ ส่วนที่รูปธรรม และนามธรรมที่ทำได้ มันสานกันรอบ ไม่รู้ว่าขึ้นลง ไม่รู้ว่ามุมไหน อาตมาก็ทำ จนกระทั่ง นึกไม่ออก ที่เคยพูดกันมา เอ้! มันย้อนกลับไป ย้อนกลับมา ย้อนกลับไปกลับมา แล้วเหมือนกับ วกวน เหมือนกับย้อนไปย้อนมา เหมือนกะ โห ! พูดกลับไปกลับมา แบบนี่ตลบแตลงตอแหล แก้ตัวอะไรอย่างนี้ มันคล้ายๆ อย่างนั้น แต่นั่นแหละ คนที่เจริญตามกันจริงๆ แล้วจะรู้ อาตมาเคยยกตัวอย่าง และเคยยก องค์ประกอบว่า แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้า กับเดี๋ยวนี้ มันไม่เหมือนกันเลย หลายอย่าง สมัยพระพุทธเจ้าไม่มีน่ะ ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก ละเม็งละคร สมัยพระพุทธเจ้า กับสมัยนี้ เหมือนกันที่ไหน ไม่เหมือนกันหรอก ละเม็งละคร สมัยพระพุทธเจ้า ก็โอ้! มะลื่อทื่อ อย่างนั้นแหละ นิดๆหน่อยๆ แต่พวกที่มีภูมิสูง อย่างพระสารีบุตร อย่างพระโมคคัลลาน์ ไปดูละคร มันไม่ได้หวือหวาอะไรหรอก ท่านดูแล้ว ทานก็ซาบซึ้ง เข้าใจ โอ้โห! เป็นบทเรียน ละหน่าย คลาย

ใครคงได้อ่านประวัติ พระโมคคัลลาน์ กับพระสารีบุตรบ้าง ท่านเป็นเพื่อนกันมา เป็นลูกเศรษฐี ด้วยกัน เสร็จแล้วก็เบื่อหน่าย ไปดูละเม็งละคร แล้วก็ โอ้ย ! ชัดเจน แล้วก็หลุดพ้นออกมาได้ ท่านก็ได้ประโยชน์จาก ละเม็ง ละครนา แล้วละเม็งละคร ก็ไม่ได้หวือหวา อย่างเดี๋ยวนี้หรอก เดี๋ยวนี้หวือหวามากเลย แล้วก็มีเรื่องราว มีองค์ประกอบ มันก็ตามเหตุปัจจัย ตามสมัย ตามความปรุงแต่ง ตามสังขารธรรม สมัยพระพุทธเจ้า มีมากมายอะไร สมัยนี้สังขารธรรมมัน โอ้โฮ! ลึกซึ้ง พิสดาร ซับซ้อนมากมาย รสชาติก็เยอะ ถ้าพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลาน์ ดูละครสมัยนี้ ไม่แน่หรอก อาจจะติดละครสมัยนี้ ไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ก็ได้

อาตมาพูด อย่างนี้ พวกคุณอาจจะ ไม่เชื่อก็ได้ หรืออาจจจะคิดไม่ออกก็ได้ เพราะมันเรื่อง ของเรื่อง คนละอย่าง เหตุปัจจัย ก็ต่างกันไปหมด แต่ที่อาตมายกตัวอย่างว่าสมัยนี้ มันต้องหนักมาก มันต้องปรุงแต่งมาก เพราะว่า วัตถุดิบ ทรัพยากรของโลกมาก มันลดไปมาก มันน้อยลงไปมาก เพราะฉะนั้น มันต้องหนักหนา แบกหามมาก ต้องสร้างมาก ต้องทำมาก เราต้องมามีพฤติกรรม แม้แต่สมณะ ต้องมาทำอะไรต่ออะไรมาก อย่างอาตมานี่จะต้องมาทำ นั่งพูดเรื่องราวอะไรพวกนี้ มากกว่า พระพุทธเจ้า ต้องมาสอนเกษตร ต้องมาสอนการค้า พระพุทธเจ้าไม่ต้องสอนเกษตร ไม่ต้องสอนการค้า เพราะเรื่องการค้าก็ไม่ซับซ้อน เรื่องเกษตร ก็ไม่ซับซ้อน ชาวนาไม่ต้องพูดถึง ต้องมาพูดเกษตรธรรมชาติ ไม่ต้อง มันธรรมชาติอยู่ทั้งนั้น สมัยพระพุทธเจ้า เกษตรธรรมชาติ นี่ ไม่มีหรอกสารเคมี ไม่มีความรู้จะต้องทำเกษตรสมัยใหม่ ไม่มีความรู้ เทคโนโลยี่อะไรไม่มี อย่างไร มันก็ไม่ต้องจ้าง ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่อง เกษตรธรรมชาติเลย

การค้าก็ยังไม่ต้องซับซ้อนอย่างทุกวันนี้ ค้าขายไปแค่นั้นๆ ก็รู้แล้ว ใครโลภโมโทสัน เอาเงินมาก ก็แค่นั้นเอง วิธีการก็ไม่ลึกลับ ทุกวันนี้ล่ะ โอ้โฮ! ไม่ได้ ไม่พูด ไม่บอกกัน ไม่รู้ทัน แล้วก็พาทำ ให้ลึกซึ้งเข้าไป ว่าไอ้ที่ลึกซึ้งน่ะ คืออะไร สมัยพระพุทธเจ้าท่านลึกซึ้งทันที อย่างพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ ออก ออกเลย สมัยนี้ ถ้าจะออก ไปดูพวกที่ดูละเม็งละคร แล้วก็ดูละคร เกิดความเข้าใจ จะออก มันออกไม่ได้ทันที เหมือนพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์หรอก เขาซับซ้อน ค่อยๆเขยิบออกมา คลายออกมา โอ้โฮ! กว่าจะพ้นเขตของโลกียะ คือสังขารธรรม ของโลก สมัยนี้มากมาย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่า ทุกวันนี้ สอนกันไป จะเกิดความรู้ ความอะไร กว่าจะหลุดพ้นออกมา กว่าจะเป็นพระโสดาบัน กว่าจะเป็นอะไร ต่ออะไรได้ โอ้ ไม่รู้กี่ชั้นๆ กว่าจะถดถอยออกมาได้ แล้วที่อาตมาเคยพูดว่า พวกเราก็มีบารมี ไม่เหมือนสมัย คนสมัยพระพุทธเจ้า คนที่เกิดร่วมสมัยพระพุทธเจ้า มีบารมีมากด้วย แล้วสิ่งที่จะมีปรุงแต่ง สิ่งที่เป็นสังขาร ก็ไม่จัดจ้านอะไร ท่านก็ออกได้ ทีนี้เป็นมุมกลับ เอ้า! ก็มันจัดจ้านซี มันออกง่าย นะ มุมกลับอีก อ้าว ! ก็เขามีบารมี เขาก็ไม่เจอจัดจ้าน จริงๆแล้ว มุมกลับอีก พวกเรานี่ ถ้าไม่แรงจัด จ้างก็ดึงเราไม่อยู่ รสชาติไม่จัดจ้าน ก็ดึงเราไม่อยู่ พอตกรสชาติจัดๆ ถึงจะดึงเราอยู่ มุมกลับ ทีนี่ ถ้าเผื่อว่า เราติดรสจัดจ้าน ให้ออก ออกไม่ได้ ไอ้รสไม่จัดไม่จ้าน นี่ไม่ต้องไล่ ออก เพราะว่ามันไม่พอใจ ไม่เอาละ ไอ้นี่ ออก เห็นไหม กลับกัน แล้วพวกที่ฐานสูงแล้วนี่ แม้รสไม่จัดจ้าน เขาก็ติดได้ ฟังดีๆ อีก พวกที่ฐานสูง แม้รสไม่จัดจ้าน เขาก็อยู่ได้ แค่นี้อยู่ไปได้ แต่ก็ยังติด ติดรสที่ไม่จัดจ้าน นั่นแหละ อยู่อาศัยไปเรื่อย บำเรอ แอบเสพไป ก็อยู่ได้เหมือน พระอรหันต์เลยน่ะ แต่ไม่ใช่หรอก ยัง ยังไม่หมด เชื้อเหลืออยู่ ยังไม่หมด แต่พวกรสจัดจ้านนี่ อยู่ไม่ได้แล้ว ฟังใหม่ ไม่ได้วกไป วนมา วกไปวนมา มุมกลับไป มุนกลับมา มองในมุมใด มุมใด กลับไปกลับมา แล้วจะเห็นว่า มันกลับกัน อยู่ตลอดเวลา

เพราะฉะนั้น ในสมัยพระพุทธเจ้ากับสมัยนี้ ถ้าจะมาเปรียบกันแล้ว หลายอย่างเปรียบเทียบกัน ไม่ได้เลย เหมือนกับสมัยพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เหมือนหรอก จริงๆ ด้วยว่า สมัยพระพุทธเจ้า ไม่มีหรอกอย่างนี้ สังขารขนาดนี้ ก็ไม่มี คนที่ทำอภินิหาร ได้ขนาดสมัยนี้ก็ไม่มี สมัยพระพุทธเจ้า มันไม่ได้ทำอภินิหารอะไรหรอก แค่นั้นๆ ก็เลิกละได้แล้ว ยิ่งประเภทเหมือน "พระพักกุลละ" นะนา เราออกมาบวช ๗ วัน เราก็บรรลุอรหันต์ อย่าบอกว่า เราเสพกามกี่ครั้งเลย จะมีสัญญาในกาม อย่างไร เราไม่มีสัญญาในกามเลย มาปฏิบัติธรรม ๗ วัน เราก็เป็นพระอรหันต์แล้ว ทุกวันนี้ อย่าหวังเลยว่าจะมี มันเป็นไปได้อย่างไร คุณอาจจะคิดไม่ออกเลย มันอะไรวะ มาบวช มาบรรลุ ๗ วัน ปฏิบัติ ไม่มีสัญญา ไม่มี ไม่เกิดกามสัญญา พระพักกุละ ที่มีในพระสูตร พระพักกุละ ๗ วัน ไม่เกิดกามสัญญาเลย แล้วก็บรรลุเป็นพระอรหันต์เลย อย่าถามว่า เราเสพเมถุนกี่ครั้งเลย เดี๋ยวนี้ หาคนอย่างนี้ได้ไหม บวชถึง ๗ วันหรือยัง เกินแล้ว เออ ๗ ปีแล้ว แล้วบรรลุ พระอรหันต์หรือยัง? ยัง ไม่มีกามเมถุนก็บุญแล้ว ในกามสัญญาไม่ต้องถาม เกิดกี่ครั้ง นับครั้งไม่ได้ครับ เมื่อไม่รู้จะนับ เมื่อไหร่นับไปแล้วลืมแล้ว เพราะมันไม่ได้ติ๊กไว้ ลืมแล้ว นับไปถึงหางลืมหัว นับไปถึงหัวลืมหาง คนบารมี เขาต่างกัน กามที่ยั่วยุก็แรงผิดกัน ฐานอะไรที่ซับซ้อน ต่างกันมาก

การศึกษาธรรมะนี่ ไม่ใช่เรื่องที่ตื้นเขิน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ผิวๆ เผินๆ ศึกษาดีๆ อาตมาพยายาม พูดนี่ รู้สึกว่า ตนเองยังพูดไม่ได้หมด ก็พยายามน่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเรา มีฐาน มีภูมิเอง ฟังธรรมอาตมา แม้อาตมา จะพูดสับไปสับมา กลับไปกลับมา วนไปวนมา อย่างไรน่ะ คุณไม่ปวดหัวหรอก คุณจับได้ไล่ทัน แล้วคุณก็เข้าใจดี เพราะฉะนั้น ใครที่ฟังธรรมะ อาตมาแล้ว อย่าโทษอาตมาว่า พูดวนน่ะ คุณนั่นแหละ จับไม่ทัน เพราะคุณยัง ไม่มีภูมิ ปัญญาแววไว มุทุภูเต ก็ไม่พอ ปัญญาแววไว ก็ไม่พอ ฐานจริงก็ไม่มี มันก็เลย เฮ้ย! อุตส่าห์พยายามกำหนด กำหนดตามๆๆ เอ้า! ไม่ทันแล้วโว้ย หลุดตรงนี้โว้ย ถ้าอันไหนหลุด มากๆๆๆ เข้า ยุ่งเป็นไหม ผูกเป็นไหม วุ่นเลยตอนนี้ เฮ้ย งงแล้วตอนนี้ ตกภพเก่าเลย ทีนี้ มืดเลย

แล้วก็ยิ่งมีมานะ ปฏิฆะ ก็บอกโง่ สอนอะไรก็ไม่รู้ พูดไม่รู้เรื่อง พูดวนไปวนมา สับไปสับมา หนักเข้าก็ไม่รับ ไม่รับ ไม่โทษตัวเองว่ามีมานะ ไม่โทษว่าตัวเองว่าฐานไม่เลื่อน โทษผู้สอน สอนไม่รู้เรื่อง ตัวเองก็ใหญ่ขึ้น เพราะผู้สอนชักจะต่ำกว่าเราผู้ศึกษาแล้ว ลูกศิษย์ ก็โตกว่าครูแล้ว เพราะครูตกต่ำลงแล้วนี่ ครูสอนไม่รู้เรื่อง ครูโง่ลง ครูไม่มีความสามารถ แต่ผู้ที่เป็นลูกศิษย์ ภูมิชักสูงกว่าแล้ว ชักเก่งกว่าขึ้นไปทุกทีๆ หนักเข้าครูก็ไม่เก่งเลย ลูกศิษย์ก็ดูถูกครู พอดูถูก ลงไปๆๆๆ ก็คือดึงครูลงมา ครูมาเท่ากับเรา หนักเข้า เราก็สูงกว่าครู อ้าว! ตอนนี้ ก็แยกวง พอดังก็แยกวง ลูกศิษย์ก็แยกวงไปแข่งกับครูเลย แข่งก็ไม่ว่าน่ะ ฯลฯ..

เหมือนกับสญชัยน่ะนา เหมือนพูดประชด ในเชิงมุม ที่ไม่ดี พระสารีบุตร จะแยกวงไปอยู่กับ พระพุทธเจ้า เรามองดูคน กลางๆแล้ว บอกพระสารีบุตร แยกวง จากสญชัยเวลัฏบุตร ที่เป็นอาจารย์ของพระสารีบุตร ออกไปอยู่กับพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร ถูกแล้ว เออ ไปเถอะ เธอไปอยู่กับคนฉลาด เราจะอยู่กับคนโง่ ฟังภาษาก็รู้ว่า สญชัยก็ยอมรับ ในฐานะตัวเอง ก็อยู่ได้ เพราะได้เป็นครู ได้กับขนาดคนโง่ระดับนี้ เอ้า สารีบุตร เจริญไปอยู่เถอะ เราไปยังไม่ได้ เราต้องการจะเป็นอาจารย์ เป็นครูคน แล้วมีคณะมีหมู่ กลุ่ม ก็ขออยู่แค่นี้แหละ สญชัยเวลัฏบุตร ก็ยอมรับ ถ้าสญชัยเวลัฏบุตร จริงใจก็ฉลาด และโดยความจริง เราดูคนกลางก็รู้แล้วว่า พระสารีบุตร ไปเจริญ แล้วก็ไปอยู่กับวง พระพุทธเจ้า จนไปเป็น รองพระพุทธเจ้าโน่นแน่ะ แล้วก็สร้างวงใหญ่ๆ กว่าสญชัย ก็ฝ่อหายไปแล้ว ทุกวันนี้ ลัทธิสญชัยเวลัฏบุตร ไม่มีแล้ว แต่ลัทธิของพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร ก็เป็นไป เป็นมือที่ดี ใหญ่ขึ้นมา จนถึงป่านนี้ เอาซี ใครแยกวง แล้วก็เป็นใหญ่อย่างนั้น ด้วยสัจจะมันก็จริง แต่แยกวงแล้ว ไปฝ่อลงๆ ก็เป็นจริงเหมือนกัน ช่วยไม่ได้ ฯลฯ..

ถ้าความโตไม่มีภูมิธรรม ก็คือตกต่ำ ... อาตมาเคยอธิบายบอกว่า ต้นไม้นี่น่ะ มันก็ดูดเนื้อ ขึ้นมาเรื่อยๆ แต่เนื้อขึ้นมานี่ ดูดธาตุ ดูดอาหารขึ้นมาเรื่อยๆ ธาตุอาหาร มีหลายค่า ไอ้สิ่งที่ไม่ค่าดีๆ ก็จะดูดเอาแก่นเนื้อเข้าไป จะทำตัวเป็นแก่นไม้ ไอ้ที่ไม่ได้ดี ก็จะได้กาก ได้เศษ ได้เนื้อ ที่มันออกมาเนื้อๆ อยู่ตรงกลาง หนักๆเข้ากินกลางก็ไม่เก่ง ถูกเขาขจัดออกมา กลายมาเป็นเปลือกไม้ จากเปลือกไม้ เป็นอะไร หาจากเปลือกไม้ ก็ร่วงมาเป็นดินไปเท่านั้นเอง ไปเป็นปุ๋ยของต้นไม้ อีกต่อไป มันจะสะกัดกันอย่างนี้ ต้นไม้ต้นเดียวกัน พุทธศาสนาเหมือนกัน อะไรจะไปเปลือก อะไรจะไปแก่น สมมติไว้ก่อน เราก็ต้องเข้าใจผู้ที่เชื่อแน่ เห็นจริงแล้ว เราก็ต้องเข้าไปเป็นแก่น อีกอันหนึ่ง ก็ต้องถูกสะกัดออกไปเป็นเปลือก สะกัดเป็นพุทธศาสนา พุทธศาสนามีทั้งเปลือก ทั้งแก่นเหมือนกัน แต่ใครเล่า จะไปเป็นแก่น หรือจะถูกสะกัดเข้าไปเป็น แก่นเรื่อยๆๆๆๆๆ จริงๆ ใครเล่าจะถูกสะกัดออกไปเป็นเปลือก นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ

พวกเราเหมือนกัน หลายคนจะเลื่อนลงไป จนกระทั่งเป็นฐานของศีล ๕ หลายคน จะเลื่อนขึ้นไป เป็นพระอรหันต์ ไม่รู้ใครจะเลื่อนขึ้นไปเป็นพระอรหันต์ ไม่รู้ใครจะเลื่อนฐานลงไปเป็นศีล ๕ ท่านติกขฯ จองหรือยัง เลื่อนลงไปเป็นฐานศีล ๕ แต่เยอะนะ ฐานศีล ๕ จะเยอะน่ะ แต่เข้าไปเป็น พระอรหันต์ เป็นแก่น นี่จะน้อยลงๆๆๆ แต่ก็คือสิ่งที่จะต้องอยู่ ในสิ่งรวมนี่แหละ ฐานศีล ๕ นี่ยังถือว่า ไม่ตกจากต้นน่ะ ยังไม่เป็นเปลือกน่ะ ตกนอกฐานศีล ๕ นั่นแหละ เป็นเปลือก ที่มันร่วง ลงไปเป็นปุ๋ย เพราะจากเปลือกก็เป็นปุ๋ย เป็นปุ๋ยยังดีน่ะ ดีกว่าจากเปลือก ไปเป็นยาพิษนี่ แหม ! เมาเลย ร่วงจากเปลือกไปเป็นยาพิษเลย ขบถแท้ๆ เลย มาแฝงอยู่ ไม่ได้อะไรเลย แล้วเอาต้นนี้ไปด่าเลย ต้นนี่ถูกไม่อยู่ด้วยหรอก โหย! เลวร้าย มันไม่มีดีสักอย่าง เพราะไม่รู้แก่น ไม่รู้เนื้อของต้นนี้เลย อุตส่าห์มาอยู่กับต้นนี้ ได้มาคลุกคลีกับต้นนี้ ถูกขจัด ออกมาเป็นเปลือก จนกลายเป็น สิ่งที่หลุดออกไปจากต้นแล้ว กลายไปเป็นพิษใหญ่ข้างนอกเลย

เพราะฉะนั้น พวกนี้ จะไม่เวียนมาเป็นปุ๋ยของต้นนี้ จะกลายไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ ไปเป็นโน่นแน่ ตอนนี้ เราก็เรียกว่า ต้นสัก พอออกมาเป็นเปลือก ตอนนี้ ออกไปเป็นต้นตำแยเลย ไปหาเหล่าใหม่ แล้วก็บอกว่า ไอ้ต้นสัก ไม่ได้เรื่อง เลวร้าย ก็ไปเป็นต้นตำแย แยกไปเป็นต้นตำแยเลย ฟังรู้เรื่องไหม อาตมาอธิบายหลายอย่าง ที่ยกตัวอย่างประกอบ บอกว่า มันซับซ้อนหลายชั้น มันซับซ้อนมากมาย ธรรมของพระพุทธเจ้านี่ นะ เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาดีๆ ระวัง อยู่ในนี้แหละ พวกเรานี่แหละ พวกเลื่อนลงก็เสื่อมลง ศีล ๘ อธิศีล ศีล ๘ บางคนอธิศีล บางคนไม่อธิศีลหรอก ศีล ๘ อยู่เหมือนกันนะ แต่ก่อน นี่ศีล ๘ ของเราเจ๋ง อย่างนี้น่ะ พอนานไปๆๆ ศีล ๘ ของเรา ก็ลงมาเรื่อยๆ เลื่อนลงมา ๘ เหมือนกัน ยังไม่ขาด ๘ หรอกนา แต่ก็ ๘ จางลงๆ รักษาฐานของศีล ๘ ได้ก็ดี ไม่ได้ก็เอา ๕ เข้มๆก็แล้วกัน ๘ ไม่ไหว ลงมา ๕ เข้มๆ เอา ๕ เข้มๆ หนักเข้าก็ ๕ เข้มๆ ก็แหม ไม่เป็นไรหรอก นา เราก็ยังเป็นพุทธ ก็จางหน่อย เราก็เอาน่า อยู่กับอโศกได้ก็ดีแล้วละ ๕ กลางๆ จางๆหน่อย สุดท้ายบอก ๕ จางที่สุด คุณก็อยู่ใต้ฐานเจดีย์ที่สุด ระวังอย่าออกนอก ฐานแล้วกัน ไม่ออกนอกต้นก็แล้วกัน นี่มันเป็นอย่างนี้ส่วนคนที่สูงได้ ก็สูงไป เข้าแก่นก็เข้าไป

มีมุมท้วงมาว่า ปฏินิสสัคคะ หรือการสลัดคืนนี่ ก็มีพวกเรามองเห็นว่า เป็นเหตุให้คนเสื่อมลง เช่น การดูวิดีโอ ทำให้หลายๆคนติด พวกเราไม่อยากเห็นพวกเดียวกันเอง ต้องเสื่อมลงไปเลย เพราะแบบฝึกหัดต่างๆ ที่พ่อท่าน เอามาทดลอง ไม่ใช่ทดลองน่ะ มันต้องมี อาตมายืนยันว่า ทั้งพูด แล้วก็เชื่อว่า พูดอยู่อย่างที่เคยพูดว่า เราจะไม่มีวิดีโอไม่ได้ ไม่มีไม่ได้หรอก ในอนาคต เด็กเล็ก เด็กน้อยอะไรต่างๆ นานา โตไปในอนาคต วิดีโอ หรือว่า เทคโนโลยีพวกนี้ จะหวือหวา ยิ่งกว่านี้อีก จะ practical นี้ก็จะรวดเร็ว หรือจะไว หรือจะจัดกว่านี้อีก ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน เราเลี่ยงไม่ออก เพราะไม่เรียนรู้ แล้วก็ต้องใช้สิ่งเหล่านี้ ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ อันนั้นเป็นภัย เป็นพิษ ที่อาตมาจำนนอยู่นี่ เพราะอาตมาเห็นแล้วว่า อย่าไปปัด อย่าไปปิดเลย ถ้าเราเอง เราจะต้องไม่มีวิดีโอ นี่ อย่าไปปิดเลย

ต้องมีมาตรการ และจะต้องสอนให้รู้เท่าทัน แล้วก็ต้องพยายาม ทั้งอาตมา แต่ก่อน จะไปได้มาถึงวันนี้นี่ อาตมาเซ็นเซอร์มานี่จัดกว่านี้ เดี๋ยวนี้วาง ไม่ใช่ว่าวางไว้เดี๋ยวนี้ ให้เซ็นเซอร์ ที่อาตมาเข้าใจอยู่ว่า เซ็นเซอร์มีปรุงแต่งมากขึ้น มีอะไรต่ออะไรมากขึ้นกว่าเก่า แต่ก่อนนี้ โอ้ย เซ็นเซอร์จัด ตัดทั้งตอน ซอยทั้งตอนน่ะนา บทจูบก็ไม่ให้มี บทอะไรก็ไม่ให้มีน่ะ แต่ก่อนนี้ บทจูบยาวๆ ตัดให้เหลือนิดหนึ่ง อะไรอย่างนี้เป็นต้น เซ็นเซอร์ถึงขนาดนั้น ต้องมาลบกันเลยนา เดี๋ยวนี้ เอาเถอะ จูบยาวๆ ก็ลองดูซิ อะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ บทพยาบาท บทเข่นฆ่ารุนแรง บทอย่างโน้นอย่างนี้ อะไรก็แล้วแต่ ถ้าเข้าใจว่า เราเลี่ยงไม่ออกหรอก ทุกวันนี้ นี่เลี่ยงไม่ออก อย่างเถรสมาคม หรือวัดต่างๆนานา ทุกวันนี้นี่นา ส่วนใหญ่มีวิดีโอ ดูวิดีโอ แล้วทั้งนั้นแหละ มีโทรทัศน์แล้วทั้งนั้นแหละ แต่เขาไม่ได้ศึกษา เขาก็เสร็จ แพ้ แล้วก็เริ่มต้น จะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

พูดก็พูดเถอะ แม้แต่การใช้เงินทอง การใช้เงินทองของพระนี่ ทุกวันนี้ เถรสมาคม เขาถือเป็นเรื่อง ธรรมดากัน การใช้เงินทอง เป็นของธรรมดา พวกเรานี่ ก็เถอะ พูดเผื่อไว้เลยอีก สองพันปี ข้างหน้านี่ รับรอง มันใช้เงิน ชาวอโศก พระอโศก พูดไว้เผื่อได้เลย แต่ต้องดึงเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แล้วก็จะต้อง มีวิธีการที่ชัด ที่จะมีไวยาวัจกร ที่จะมีกองกลาง ที่จะมีไม่ใช่ของเรา ที่จะต้อง รังสรรค์ ที่จะต้องสร้างสรรไป ขอให้ตรึงเอาไว้ให้ไปได้เลย อย่างน้อย นี่พระอโศก ถ้าพันปี พระอโศก ก็ไม่ใช้เงินนี่น่ะ ไปรอดถึงสองพันห้าร้อย แต่ถ้าใช้เงิน ตั้งแต่ห้าร้อยปี พระอโศก ก็ใช้เงินหมดแล้ว ไม่ถึงสองพันปี สองพันห้าร้อย แต่ถ้าตรึงไว้ได้นี่น่ะ อย่างนี้เป็นต้น มันจะต้อง ซับซ้อน และก็ต้องเสื่อมเป็นธรรมดา เสื่อมเป็นธรรมดา ไม่ใช่ไม่เสื่อม พูดไว้ได้เลย เสื่อม มีหลายๆเรื่อง หลายๆเหตุ หลายๆ ปัจจัยน่ะ มันก็จะเป็นอย่างนี้

อาตมาว่ามันพอประมาณแล้วทุกวันนี้ หลายคนดูวิดีโอ จะรู้สึกว่า เออ!จริงๆ เลยน่ะ ผู้ที่พัฒนา ตอนแรกก็รู้สึกว่า ดีน่ะ โอ มาดูดีๆๆๆๆ พอดูไป ดูไปๆๆๆอยากดู พอดูไป ดูไปๆ เกิดอริยญาณ ทำการปฏิบัติ อัดพลังกุศล ฝึกฝนโลกวิทู เข้าไป ๆ ก็เออ ชักลดการติดยึด ลดรสอร่อย ดูวิดีโอ ก็รู้สึกว่า เออ! ธรรมดา ก็พอดู มาดูอย่างการศึกษา ตามที่จะเกิดรสชาติในการดูวิดีโอ ก็ลดลง ผู้เจริญจักมีในพวกเรา ส่วนผู้ไม่เจริญ ยิ่งดูยิ่งติดๆ ดูก็ยิ่งอร่อย ยิ่งดูก็ยิ่งเกิดกิเลส ดีไม่ดี ก็เอ๊ เราไปเป็น อย่างที่เขาเป็นนี่ดีหนอ อย่างนี้ๆ ไปนี่ดีหนอ แง่มุมดี ของคนที่มันยังรักกัน ยังมีครอบครัวที่น่าดู มันก็มีตัวอย่างเหมือนกัน ครอบครัวที่น่าดู ครอบครัวของความรัก ที่ดีพอสมควร ความรักอย่างชาวโลก ที่ดีน่ะ แต่ จริงๆแล้ว ความรักโลกีย์เป็นคู่ เป็นอะไร มันก็ไม่ดี ทั้งนั้นแหละ มันก็ยังทุกข์อยู่นั่นแหละ ศีล ๕ แต่ว่าเราก็เอ้! ศีล ๕ อย่างนี้ มันก็ชักดีหนอ เรานี่ศีล ๕ ดีกว่า มันก็พูดให้เข้าฐานของตัว เพราะว่าตัวเอง ศีล ๕ นี่มันแทบ จะไปไม่รอดแล้ว ศีล ๘ ชักจะไปไม่รอดแล้ว หาเหตุผล แง่ที่ดีกว่า ศีล ๕ ดีกว่าตัวเอง ออกไปมีคู่

ตอนแรก ก็อาจไม่ถึงอย่างนั้นน่ะ กิเลสอนุสัย หลอกตัวเองน่ะ เราไป เราจะอยู่อย่างศีล ๘ นี่แหละ เราจะไม่มีคู่นี่แหละ แต่ว่าเราไปอย่างนี้แหละ ทำอย่างนี้ดีกว่า หาเงินหาทอง แล้วก็เอาเงิน มาทำบุญ ทำทาน อู้ย ทีนี้ยิ่งจะต้องสร้างวิหาร เขาไม่ต้องใช้เงินน่ะ เราไปหาเงิน มาให้สร้างวิหาร ดีกว่า อู้ย ดีกว่า คุณไปหาเงินข้างนอก คุณก็ไปโลภมา แล้วไอ้เงินที่คุณโลภมา มันดีกว่า คุณทำอย่างนี้หรือ คุณทำที่นี่ให้น่ะ คุณทำอย่าง ชมร. ชาวชมร.นี้ หาเงินให้พวกเรา ทำงาน นี่น่ะ คุณหาเงินที่นี้ได้บาทหนึ่งนี่นา ค่ามันต่างกันกับที่คุณไปหาพันหนึ่งข้างนอก เอามาทำบุญน่ะ พันหนึ่งข้างนอกน่ะ ทำบุญนี่ คุณหาให้ที่นี่บาทหนึ่ง นี่บุญมากกว่า เพราะอะไร เพราะที่นี่ มันบริสุทธิ์กว่า นานาประการ อาตมาสรุปง่ายๆ เพราะบุญ คุณไปหาพันหนึ่ง คุณก็ต้องไปหา เล่นแบบโลกๆ ไปหาทางเอาเปรียบ เอารัด แบบโลกได้ง่ายกว่า ใช่ไหม ได้อะไร ง่ายกว่า ที่นี่ยากกว่า โอ้โฮ ต้องอดทน ต้องอะไรต่ออะไร ตัวเองก็ไม่ได้บำเรอ คุณก็ไม่ต้องบำเรอ แหม เล่นตัวเองบำเรออะไรล่ะ แบบโลกๆ มากขึ้นก็ได้ง่าย ก็ได้มาพันหนึ่งมาก ได้มากมาพันหนึ่ง จึงจะเอามาทำบุญ เปื้อนมาเยอะกว่ากัน เงินพันหนึ่งน่ะ เปื้อนมากกว่าเงินบาทอันนี้เยอะแยะ แล้วบุญมันจะไปมาก ตัวเลขมันมากก็จริงอยู่ แต่บุญมันน้อยกว่า อาตมาว่า อาตมาอธิบาย ยังไม่เก่งตรงนี้น่ะ แต่คุณฟังๆดูซี พอเข้าใจได้ไหม

อาตมาอธิบายว่า ไอ้บาปนี่ ที่มันมีบุญมากกว่าพันบาท ที่คุณไปข้างนอกเอามาให้นี่ เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ ชาวชมร. โดยตรงนี้ ขณะนี้นี่นะ คุณทำบุญ คุณทำเงินทำงานอะไรให้ที่นี่นี่น่ะ เดือนหนึ่ง ให้เป็นแสน ที่ทำบุญ คุณก็เอาไปสนับสนุน สร้างหนังสือไปนี่น่ะ ทำอะไรออกไปนี่ เพื่อประโยชน์ธรรมะ ให้แก่ประชาชนนี่ บุญไม่ใช่เล่นๆ แล้วเงินนี่คุณทำนี่ บอกแล้วว่า ข้างนอก เขาเอามาบริจาคให้นี่น่ะ เงินเขาไปเอาเปรียบมาจากทางโน้น บางคนไม่ได้ทำอะไรเลย รับดอกเบี้ยมา จากแบงก์มา มาให้คือไม่ใช่ของตัวสักหน่อย ไม่ได้ออกเรี่ยวออกแรงอะไรหรอก เอาเงินแบงก์แท้ๆ มาทำบุญ บุญเขาไม่มากเท่าที่คุณทำด้วยเลือด ด้วยเนื้อของคุณหรอก บุญไม่มากกว่า ฟังเข้าใจหรือยังน่ะ ดีไม่ดี อย่าว่าแต่แบงก์อย่างเดียวเลย โกงเขามาด้วย ยิ่งไปเอาเปรียบ เอารัดเขามา ได้วิธีการอย่างโน้นอย่างนี้ โก่ง เอา แหม เอาเปรียบได้ เอามาทำบุญเข้าเถอะ มันก็บุญไม่เท่าที่คุณทำนี้สดๆ และที่ว่า ค่ามากนี่นา พวกชมร. หาให้ทางนี้มาทำบุญ ทำหนังสือนี้เดือนหนึ่ง เป็นแสนที่นี่น่ะ ไม่น้อยน่ะ ทีนี้ลองคูณไปซี เงินข้างนอกมานี่ ถ้าที่นี่แสนหนึ่ง หนึ่งต่อพัน แสนคูณพันข้างนอก ที่เป็นเงินฉ้อฉล ซี เดือนหนึ่งกี่ล้าน อ้า ถ้าคิดเป็นตัวเลขเฉยๆ เป็นภาษาตัวเลขเฉยๆ บุญมันจะต้องทับทวีอย่างนั้น นี่ซับซ้อนแล้ว เห็นไหม เพราะบุญมันไม่ใช่บุญน้อยๆน่ะ ราคาของบุญนี่ ยังมีการอธิบาย การขยายความ อาตมาขยายความที่พูดนี่ ยังไม่บริบูรณ์ ยังไม่สมบูรณ์

เพราะฉะนั้น พวกเราจะเข้าใจอะไรต่ออะไรเพิ่มเติมขึ้นให้ได้ เราอยู่ร่วมกันนี่ มันมีแก่น ความสามัคคีคือแก่น เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ได้รับการขัดเกลา แล้วไปร่วมแน่นก็เป็นแก่นยิ่งดี ยิ่งอะไรต่ออะไร จะมีเครื่องมือ ที่เราได้ทำแบบฝึกหัด จะเป็นวิดีโอก็ดี จะเป็นค้าขายก็ดี จะได้ทำงานอะไรอยู่ก็ตาม ถ้าใครยังอ่อนอยู่ มันก็จะเหลาะแหละ ไม่หนักแน่น แล้วจะไม่เข้าใจงาน ที่พัฒนาของพวกเรา เมื่อเราอยู่แต่ในภพ เราไม่รู้ว่างานขยายนี่ มันถูกสัดส่วน หรือว่าอาตมาชี้นำไป อาตมาพูดเอาเอง อาตมาหาเรื่องเก่ง อาตมามีเหตุผลมาก เราแพ้ เรายอมแพ้ แพ้โดยที่คุณไม่เข้าใจตามจริงๆ คุณก็จะสะสมและเราไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจ เราไม่ถึง เราก็นึกว่า ไอ้นี่มันแก้ตัว นี่อาตมาหาเรื่อง หาเหตุผลเอง ฟังไม่เข้าท่าเลย แก้ตัวให้ตัวเองอยู่เรื่อย อยู่เรื่อย คุณสั่งสมอันนี้มากๆ เข้า สักวันหนึ่ง คุณก็ไม่เห็นด้วยอาตมาเลย อาตมาจะขยายอะไร ก็ไม่เห็นด้วย แต่ถ้าผู้ใดมีปัญญาเห็นด้วย มีภูมิจริงๆ อาตมาขยายไป เดินขึ้นไปทุกทีๆ เดินฐานขึ้นไปทุกทีๆๆๆ ขยายขึ้นไปทุกที ดูมือนี่นะว่าขยายนี่ ที่จริงมันเล็กลงๆๆ ด้วยซ้ำ คุณก็มีเนื้อหาต่างๆ นานา นี่รองรับเข้าใจด้วยเรื่อยๆๆเลย จะไปสูง จะไปมาก หรือ จะขยายฐาน ก็ยิ่งสูง ฐานก็ยิ่งกว้างขึ้น โดยรูปของมัน ถ้าคุณไปกำหนด เหมือนรูปธรรม เจดีย์ก่อฐานแค่นี้ สูงขึ้นไป มันจะก็จะสูงขึ้นไปสุด เท่ากับฐานของมันนั่นแหละ แต่ถ้าเผื่อว่า มันสูงขึ้นจริงๆแล้วน่ะ ฐานมันจะขยายออกไปเรื่อย สูงขึ้นไปเรื่อย ฐานก็จะขยายออกไปเรื่อยๆๆ ดูตัวของมันเองน่ะ เพราะมันจะไม่ตายตัว ไดนามิก ไม่ตายตัวใช่ไหม ถ้าใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ จะรู้ดีเลยว่า มันไม่ตายตัว ขยายสูงขึ้นไปแล้ว ก็จะมีเนื้อของฐานที่รอบ ขึ้นไปนี่ มากๆๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ คุณก็จะเข้าใจที่อาตมาพูดว่า จะขยายใหญ่หรือจะเล็กลง หรือจะลดลง อาตมาพูดว่า ยิ่งคุณยิ่งลดราคาลง คุณยิ่งเจริญ ถ้าคุณทำงานได้กว้างขึ้น คุณยิ่งเจริญ คุณก็ต้องเข้าใจ สอดคล้องไปหมด มันใหญ่ มันกว้าง คุณก็จะไม่มีปัญหา

เพราะฉะนั้น คุณจึงเข้าใจความเชื่อมั่นก็ยิ่งดี ความแน่นเข้าไปสู่แก่น สูงอะไรก็ยิ่งแข็งแรง ยิ่งเป็นปึกแผ่น ยิ่งสามัคคี ถ้าไม่แล้วน่ะ มันก็จะระแหง ประเดี๋ยวก็ไม่เข้าใจ ประเดี๋ยว ก็ชักเพ่งโทษ ประเดี๋ยวก็ชักน้อยใจ ประเดี๋ยวก็ชักเสียใจ มีเหตุปัจจัยพวกนี้ รวมเข้าๆๆๆ ความสามัคคี ก็ฟ่ามขึ้นๆๆ ตัวใครที่เป็นตัวนั้น ก็ค่อยๆ หลุดออกไป ความศรัทธาเลื่อมใส น้อยลงๆ ๆ ก็หลุดออกไป สามัคคีก็ไม่มี แต่ถ้าเผื่อว่า มันยิ่งเข้าใจ มันยิ่งแน่น มันยิ่งแน่น แน่นเข้ามา นอกจากแน่นแล้ว แน่นถึงจุดแล้ว ไม่มีอะไรอีกแล้ว มันก็มีแต่ตัวมวลที่แท้ๆ โตขึ้นๆ แก่นก็จะโตขึ้น โตขึ้นด้วย แล้วแก่นที่แท้ด้วย แก่นที่มีราคาหรือมีค่า เป็นทิฐิสามัญตา สีลสามัญตา ถ้าเป็นศีลถึงขั้น อเสขศีลเลย ก็ยิ่งเจ๋งใหญ่เลย เพราะมีแต่ พระอรหันต์ทั้งนั้น นั่งแน่นๆๆๆๆ อยู่ในนี้ แต่พวกเราถึงแม้จะไม่อเสขศีล เป็น อริยกันตศีล เป็นปาริสุทธิศีลที่สูงขึ้นๆ มันก็จะรวมแก่นเข้า แก่นเข้าๆๆๆ เข้ากันได้ สอดคล้องกันได้ เข้าใจได้ร่วมกัน ร่วมมือกัน ร่วมแรงกัน มันก็ยิ่งแข็งแรง

เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ลดกาม ก็ยิ่งได้ลดด้วย ลดมานะ อัตตาก็ยิ่ง ลดได้ด้วย สอดซ้อน ซ้อนๆๆ ขึ้นเรื่อย ความเจริญก็จะเจริญขึ้น และการสร้างสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ ก็จะเกิดการขยาย ขึ้นไป แต่ไม่เหมือนกัน ก็ไม่เหมือนกัน

ต่อไปในอนาคต คนที่เก่งแล้ว เป็นพระอริยเจ้าสูงขึ้น เป็นพระอรหันต์ คุณไปดูวิดีโอโป๊ คุณก็ดูได้ ไปดูวิดีโอ ไม่ต้องเซ็นเซอร์ ไปดูเองได้หมด ดูที่ไหนก็ได้ แล้วคุณจะดูหรือไม่ดู คุณก็จะรู้เอง ได้ดูไปเพื่อตัวเสพ หรือว่าดูไปก็อย่างนั้นแหละ บางทีก็ไม่ต้อง เอ้อ อันนี้ก็ไม่ต้องดูล่ะ ดูไปทำไมเล่า ดูไปก็ ไอ้ป่วยการอย่างนั้นแหละ จะไปดูทำไม แต่ถ้าต้องดู ก็ดูเพื่องาน อย่างอาตมานี่ บอกคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามเถอะ อาตมาทนดูวิดีโออยู่ทุกวันนี้ ก็ โอ! พวกคุณดู นี่นา คุณดูเรื่องหนึ่งนี่ อาตมาต้องดูสามเรื่อง เพราะต้องเซ็นเซอร์ทิ้งไปสามเรื่อง อาตมาต้องดู มากกว่าคุณอีก ต้องดูมากกว่าคุณ คุณดูวันหนึ่ง สองชั่วโมง อาตมาจะต้องดู วันหนึ่ง ๖ ชั่วโมง เพราะต้องเซ็นเซอร์ทิ้งไปสองส่วน มาให้คุณส่วนหนึ่งใช่ไหม แล้วคุณดูทุกวั้น ทุกวัน วันละสองชั่วโมง ๒ ชั่วโมงทุกวันนี้อาตมา บางทีนี่ โอ้โฮ! ต้องแวบๆๆ ต้องอะไรต่ออะไร เก็บไปทำไป แต่มันก็ตายตัว ถึงอย่างไร คุณก็ดูไม่ได้เกินวัน ๒ ชั่วโมง ไม่ให้ดูมากกว่านั้นหรอก ดูมากกว่านั้น อาตมาตายแน่ เซ็นเซอร์ไม่ทันอีก ตาย ขนาดอาตมาก็ทำไปอย่างนี้ บางทีทัน บางทีไม่ทัน ก็ขนาดนี้ก็เยอะแล้ว แล้วอาตมาก็เซ็นเซอร์ เซ็นเซอร์มันง่ายขึ้น คือมันก็เก่งขึ้น ในตัวเอง ที่จะรู้เหลี่ยมรู้มุมแล้ว แล้วก็คำนวณให้พวกคุณนี่ เซ็นเซอร์บางอย่างนี่ บางเรื่อง บางอันนี่ แต่ก่อนดูไม่ได้ เดี๋ยวนี้ดูได้

เพราะฉะนั้น ก็ปล่อยมาได้ง่ายขึ้น ก็มีอีก นี่มันก็ซ้อน เห็นไหมว่า มันซ้อนเชิง ปล่อยมาได้ง่ายขึ้น มันก็มีเรื่องมา ให้มากขึ้นได้ เพราะบางทีอาตมา ก็ต้องดู เมื่อยก็ต้องดู พักผ่อนไปในตัว ก็ดูวิดีโอ ก็ดีกว่ามานั่งเขียนหนังสือ เพราะนั่งเขียนหนังสือนี่ใช้พลังงานมากกว่าดูวิดีโอ ก็ต้องลดหย่อนไป ดูวิดีโอ ก็ยังง่ายขึ้นกว่า มานั่งพิพากษาพิจารณาแก้ปัญหา แหม ต้องคิดหนักกว่าดูวิดีโอ ก็เซ็นเซอร์ ง่ายกว่า อย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องหาเวลาสลับซับซ้อนไป ต้องคลายงานนั้น งานนี้บ้าง ไอ้โน่น ไอ้นี่บ้าง อะไรต่างๆ เหล่านี้ก็ทำไป ซ้อนเชิง ถ้าคุณรู้ตัวเอง อย่างจริงเลยนะ อ่านอะไร ต่ออะไรนี่ ชัดเจนจริงของตัวเองเลย ทีนี้ก็จะรู้ว่า เราเจริญขึ้น หรือเลวลง อย่างน้อย ฟังปริยัติ ฟังเหตุ ฟังปัจจัยของภาษาของความหมาย พวกนี้ไป แล้วก็เอาไปใช้จริงๆ ปฏิบัติจริงๆ ขาดปริยัติ ยากจริงๆน่ะ ยาก จริงๆ บางคนนี่ฟังธรรมะก็ไม่ฟัง อ่านหนังสือก็ไม่อ่าน หนังสือเราน่ะ แต่อ่านแต่หนังสือที่ตัวชอบ บางยกตัวอย่างง่ายๆน่ะ พวกคุณสมมติว่า พวกคุณชอบเรื่อง อภินิหาร เรื่องพระเครื่อง อย่างนี้เป็นต้น แล้วมาอยู่อโศก ให้อ่านหนังสืออโศก ไม่อ่าน ก็ไปอ่านหนังสือพระเครื่อง ไปอ่านหนังสืออภินิหาร หนักเข้าๆ ฟังธรรมที่นี่ก็ไม่ฟัง ปฏิบัติก็ไม่ปฏิบัติ หนักเข้า ก็อภินิหารดีกว่านี้ คุณก็ต้องไปอภินิหาร อีกหน่อยก็ต้องไป ทำงานอยู่นี้ แต่ก่อนทำงานโรงพิมพ์อโศก ต่อไปทำงานโรงพิมพ์หนังสือพระเครื่อง เพราะอันโน้น ดีกว่าแน่นอนๆ แต่ก่อนทำงาน ชมร. อีกหน่อย ไม่ทำงานชมร. มังสวิรัติเหมือนกัน ไปขายที่ มาบุญครอง เพราะที่นั่น จานละยี่สิบ เอ้า จริงๆ เพราะมันไม่เลื่อนชั้นแล้ว มันตก มันก็ไปโน่น ตก มันก็ไปเป็นพ่อค้ามังสวิรัติเหมือนกัน ยังเก๋น่ะ ยังบอกว่า ขายมังสวิรัติเหมือนกัน ดีไม่ดี พุทโธ่เอ๋ย ขายมังสวิรัติไม่พอรับประทาน เล่นลูกชิ้นเด้งดีกว่า ขายลูกชิ้นเด้ง ขายเนื้อตก หรือ ขายน้ำตกดีกว่า เนื้อน้ำตกดีกว่า ไปโน่นเลย บอกเลิกแล้วมังสวิรัติ ขายคนอยู่ในกระหย่อมเดียว มันจะพอกินอะไร มันก็เป็นไปได้

เพราะฉะนั้น ในเรื่องพวกนี้ลึกซึ้ง ซับซ้อนเสมอๆ ทุกวันนี้ เรามีความสามัคคีกันดี แน่น ไม่เลวเลย ระวังความสามัคคีที่ดีเกินไป แล้วก็จับคู่กัน เลย ดูดกับผลัก ดูดเกินไป ผิด ไม่ผลักหรอก แต่ดูด ดูดเลย ก็ผิดน่ะ ระวังกาม ระวังมานะ เพราะฉะนั้น เราก็ทุกมุม จะต้องดู ต้องอ่านทุกมุม ถ้าเราแน่ใจแล้วว่า เราจะลดจะละ มันเกิดได้อยู่ในพวกเรา ในฐานะที่ยังหนุ่ม ยังสาว อนุสัยก็ยังไม่หมด ระวังมันฟักตัว แล้วมันก็เกิด ถ้าจะไปทางไปทางนิพพาน ไปทางอรหันตผล มันจะมี มันจะเกิดอย่างไร ก็ต้องสู้มันให้ตายแหละ เอาจริงๆแหละ ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าสอนว่า มันหมดได้ สู้ให้มันตายลองดูซิ ตายเพราะมันจะต้องสู้ กับกิเลส ไม่ให้มันล่วงล้ำเขตนี้ ขีดนี้ไปได้ ไม่เอา ไม่ไปแต่งงาน ไม่ไปมีคู่ละ อยู่มันอย่างนี้ ให้มันตายไป เพราะไม่มีคู่นี่แหละ ลองดูซิ แต่กิเลสมันออเซาะเหลือเกินน่ะ บอก โอย ไม่ได้หรอก หาเรื่อง บางทีพรางเลยน่ะ รู้เลยว่า ประเดี๋ยวเพื่อนจะรู้ทันเลยว่า จะไปแต่งงาน หาเรื่องออกดีกว่า เราจะไปโน่น แหม แม่ป่วยหนัก ต้องไปรักษาแม่ แต่เปล่าหรอก อะไรก็แล้วแต่เถอะ จะต้องไป หาสตางค์ ส่งเสียน้องไปไม่รอดอะไรแล้วแต่เถอะ โอ๊ เก่ง กิเลสนี่มันฉลาด ถ้ามันไม่ฉลาด มันไม่ยิ่งใหญ่กว่า เรื่องศาสนาจะเสื่อมจะสูญได้ ก็เพราะกิเลสมันเก่งนั่นแหละ โลกุตตระจะสูญ โลกียะจะเกิดมานี่ จะเกิดกลียุคนี่ โลกียะก็ใหญ่ ก็โลกุตระ ก็ต้องแพ้ไป ต้องหยุดไปชั่วคราว เพราะโลกียะมันใหญ่ ผงาด กลียุคก็ขึ้น คุณจะเป็นชาวโลกียะ ก็ไปกับโลกียะ ก็แล้วกัน ถ้าคุณจะไม่ใช่ชาวโลกียะ คุณก็จะต้องเข้มแข็ง ต้องจัด ต้องแน่นอน จริงๆเลยน่ะ ถึงจะไปกับ ชาวโลกุตระได้ เพราะโลกทุกวันนี้ กำลังเดินทางไปสู่โลกียะ กลียุคมันอย่างนั้น

เอาละ อาตมาก็ขยายความตามเวลานะ นี่ก็เลยไป ๕ นาทีแล้ว เลยตี ๕ ครึ่ง ขยายไปอีก มันยังไม่จบหรอก ต้องขยายไปจนกว่า อาตมาจะพยายามอายุ ร้อยปีโน่น ต้องขยายไปถึง ร้อยปีโน่นแหละ ร้อยปี หรือ ไม่ร้อยปี ได้ ก็พูดไปอย่างนั้นแหละ อาตมาก็ยังไม่เชื่อตัวเองว่า จะร้อยปี นี่ยังไม่ทัน ๖๐ ดี เลยนี่ก็ใกล้ ๖๐ เข้ามานี้ยังรู้สึกว่า เอ๊ เรานี่แต่ก็รู้สึกว่า ยังไม่ได้อ่อนแอ อะไรน่ะ ยังไม่ได้ปวดได้เจ็บตรงนั้นตรงนี้ แต่เราก็ยังไม่รู้วิบากน่ะ ยังร่างกายยังไม่รู้สึก แต่ว่า อาตมา ก็จะไม่ประมาท ต้องระมัดระวังร่างกายให้ดีน่ะ เพื่อที่จะได้รับใช้ พวกคุณได้นานขึ้น เอาละ สำหรับวันนี้ เอวัง


จัดทำโดย โครงงานถอดเท็ปฯ
ถอด โดย จอม ศรีสวัสดิ์
ตรวจทาน ๑ โดย สุภาณี บูรพ์ภาค ๒๙ มี.ค.๓๕
พิมพ์ โดย สม.มาบรรจบ
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๒๔ เม.ย.๒๕๓๒

FILE:2349B.TAP