น้ำใจของผู้กอบกู้สังคม
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๓๔ ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก หน้า ๒ ต่อจากหน้า ๑


 

ทุนนิยม นี่ มองอย่างที่จะต้องได้เงินมา ทุนนิยมนี่ อะไรที่คนมันนิยม อะไรที่คนมันจะได้หมุนดุล แลกกับเงินเข้ามา มันไปเพ่งตรงนี้กันทุนนิยม ส่วนบุญนิยม จะไปเพ่งที่สารัตถะเนื้อหา เพราะฉะนั้น อุปสงค์ของทุนนิยม อุปสงค์ หรือ demand ของทุนนิยม กับบุญนิยมนี่ก็ต่างกัน มันลึกซึ้ง ซ้อนลึกผิดกัน มองกันในไปแง่ที่ บางทีเขาก็บอกว่า เราจำเป็นจะต้องมีคาสิโน ให้เกิดการละเล่น หมุนเวียนเงินกัน เพราะว่า ตอนนี้ การเงินแย่แล้ว เพราะฉะนั้น แม้แต่จะเลว จะต้องมีเล่นการพนัน บ่อนคาสิโนอะไรก็เอา เพื่อที่จะให้การจัดระบบ ของเงินหมุนเวียน เข้าไปหากัน ซึ่งซ้อนเชิง ลึกๆแล้ว คนก็เลวลง นอกจาก คนเลวลงแล้ว เงินที่สะพัดจริงๆ มันหาได้ไป สะพัดไปทั่วถึง ตามที่เขาต้องการไม่ จริง เกิดการสะพัดเงิน แต่เงินเหล่านั้น ไม่ได้ไปถูกเนื้อหา คุณค่าของการงาน ไม่ได้น่าภาคภูมิอะไรเลย มีแต่คนเอาไป เสียแรงงาน เสียเวลา ทุนรอน อาจจะสะพัดอะไรก็ตามเถอะ

เพราะฉะนั้น ทุนนิยมนี่ เขาถึงว่า เขาแก้ปัญหาสังคมด้วย แค่จะต้องให้ยอมให้ตั้งคาสิโน ตั้งอะไร ต่ออะไรนี่ เขามองตื้นๆ เขาเห็นด้วย ทุกวันนี้ เมืองไทย ยังส่งเสริมกันอยู่เลยว่า จะตั้งคาสิโน นี่เขายอมให้ตั้ง ไม่เช่นนั้น มันจะไปเล่นกันที่หมาเก๊า มันก็ไปฮ่องกง หมาเก๊า กันไปเล่นการพนัน เพราะมันติด ต้องให้มัน อย่างนี้เป็นต้น นี่เขามองตื้นๆ เผินๆ อย่างนี้ละนะ ทำไมเขาไม่หา มาตรการอื่น เพื่อที่จะให้เขาจำนน จนกระทั่ง เขาเกิดญาณปัญญาว่า เขาเลิกสิ่ง เหล่านี้ ละสิ่งเหล่านี้เสียเลย ไม่ใช่ไปให้เขาย่ามใจ ให้เขาได้เสียเวลา แรงงาน มันก็เสียแรงงาน ของมนุษย์ เสียเวลาของมนุษย์ไป มนุษย์แทนที่จะจะสร้างสรรสิ่งที่เป็นคุณค่า ก็ไปเสียเวลา ในคาสิโน หมุนเงินหมุนทองอะไรอยู่เปล่าๆ แล้วก็เลวๆ ร้ายๆ ยิ่งคิดยิ่งฉลาด ยิ่งฉลาดเล่น การพนันเก่งๆ ก็ยิ่งมีเล่ห์ มีเหลี่ยมโกง แล้วเอามาทำไม เล่ห์เหลี่ยมโกง พรรค์นั้นน่ะ มันเป็นมนุษย์เจริญอะไรกัน มันไม่ได้ก่อให้เกิดการรังสรรค์ อะไรขึ้นมาเลย ซ้อนลึกไป มีตั้งเยอะ ตั้งแยะ

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นว่า ไม่ได้หรอก เมืองไทย นี่ ไม่ให้ปรุงเหล้าขาย ไม่ได้หรอก ต้องมีโรงเหล้า เพราะไม่ปรุงเหล้าขาย เดี๋ยวจะมีแต่เหล้าเถื่อน อะไรอย่างนี้เป็นต้น แค่นี้ เขาก็จำนนนะ จำนนแล้ว ไม่ให้มีโรงเหล้าไม่ได้หรอก เสร็จแล้ว ก็โอ้โฮ กลายเป็นบ่อนคอร์รัปชั่น เป็นสิ่งที่ ติดสินบน เป็นเรื่อง อะไรต่ออะไร คนก็ยิ่งเลวลง เพราะว่ามีเหล้ามาก คนก็เลย ยิ่งกินเหล้า จนกลายเป็น เครื่องอะไรต่ออะไร เพราะรัฐบาลก็ส่งเสริม ว่างั้นนะ ไปกันใหญ่เลย

อาตมา วิเคราะห์ไปอีก ก็จะมีมาก ในรอบกว้างข้างนอก หันเข้ามาถึงข้างในของเราดีกว่า เพราะว่า เราก็พอใจข้างนอกว่า เราไม่เป็นแล้วล่ะ สิ่งโน้น เราไม่เป็น ไม่มี อาตมาพูดไปก็ว่า อาชีพ หรือการงานอะไร หลายการงานนี่ เราไม่เปิด พวกเราจะไม่ไปเสียแรงงาน เสียเวลา เสียทุนรอน กับสิ่งเหล่านั้นเป็นอันขาด เราจะทำในสิ่งที่มันเป็นแก่นสารสาระ ยิ่งอะไร ที่มันจำเป็น สำคัญมาก เราก็จะทำอันนั้น

อาตมากล่าวมาหลายวันแล้ว พูดมาหลายทีแล้วว่า อโศกเรา เป็นพวกล้ำยุค ล้ำหน้า ไปหลาย สิบปี ล้ำยุคของสังคมมนุษย์ทุกวันนี้ กรรมกิริยา พฤติกรรม อะไรของมนุษย์ จารีตประเพณี วัฒนธรรม แม้แต่การงานอาชีพ แม้แต่การกระทำอะไรของสังคมทุกวันนี้ เขายังล้าหลังอยู่มาก ล้าหลังนะ อาตมาใช้คำว่าล้าหลัง ถ้ามองตื้นๆ ก็บอกว่า พวกเราล้าหลัง มียังไงวะ ดูมันสาน กระบุง ตะกร้าเอง มันทอผ้าทอเผ้อด้วยมือ พุทโธ่ มันถอยหลังเข้าคลองนี่ แบบนี้ มันล้าหลัง ตายเลย เดี๋ยวนี้ เครื่องจักรเครื่องกลเขาทอผ้า วันหนึ่งเขาทอ ไม่รู้กี่พัน กี่หมื่นเมตร ที่นี่ ทอไป วันหนึ่ง ได้ ๕ เมตร ๘ เมตร ก็บุญแล้ว ๑๐ เมตร แค่นั้นเอง จะไปทันกินอะไร เขาก็ว่าเราล้าหลัง อย่างนี้เป็นต้น

มาปลูกผัก ปลูกพืช ดูซินี่ เดี๋ยวนี้ เขามีกรรมวิธี มีเทคโนโลยีที่จะปลูกกัน ทำทีหนึ่งมันพัน ไร่ หมื่นไร่ ทำ พวกเราดูซิ ง้อมแง้มๆ นี่ทำนาอยู่ ๒,๓ แปลง ยังไม่เสร็จสักทีเลยนี่ นาธรรมชาติ ธรรมชาติอยู่นั่นแหละ อู๊ว์ แบบนี้ มันจะทันกินอะไร ทันไหมล่ะ เราทันกินไหม เราอดอยากไหม ไม่อดอยากหรอก เราทันกิน แต่เราไม่ได้ทำ เพื่อที่จะไปหมุนค้าหมุนขาย เพื่อโลภเอาเงิน มาเข้ากระเป๋าเรา เท่านั้นเอง ถ้าคุณเพ่งพุ่งไปแบบอย่างทุนนิยาม เขาจะทำให้มันปริมาณ มากออกไป ขายเป็นแบบอุตสาหกรรมนะ ทำเกษตรก็ตาม ทำหัตถกรรมอะไรก็ตาม เป็นอุตสาหกรรม จะทำอะไรก็ตาม เป็นอุตสาหกรรม เพื่อที่จะไปขาย แลกเอาเงิน ขายแลกเอาเงิน มาให้ได้มากๆ ได้เปรียบมากๆ นั่นเอง

แต่ของเรานี่ ไม่ใช่ว่า เราไม่อยากให้ได้มากๆ แต่เราไม่ได้มีจุดพุ่ง ตรงที่ว่า เราจะต้องทำไปขาย เพื่อที่จะได้เงิน แลกเปลี่ยนมามากๆ ไม่ เราไม่ต้องไปแลกเปลี่ยนมามากๆ ถ้าเราทำได้มากๆ เราก็จะแจกจ่าย เจือจานได้มากๆ ยิ่งมากเท่าไหร่ อุดมสมบูรณ์เท่าไหร่ เรายิ่งจะขายถูก หรือ ให้ฟรีเลย ยิ่งเกิดวงจรสมบูรณ์ พวกเรา แรงกลของเรานี่ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่จะเป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่เป็นแรงกล มันช่วยเราได้มาก อุดมสมบูรณ์ เพราะเราก็ทันเครื่อง อย่างต้นไม้ มันก็ออกต้นได้ไว ได้มาก ได้แข็งแรง แล้วมันก็ออกลูกออกผลมา เราก็กินก็ใช้ ก็พอแล้ว เราก็เผื่อแผ่คนอื่น เหลือเฟือ เอาไว้ก็เน่า ก็เหม็น ก็ทิ้ง เราก็เอาไปแจกจ่ายคนอื่นด้วยซ้ำ ไม่ใช่เอามาขาย ไม่ใช่มีมากก็ขายโก่งราคาเลย คนอื่นยิ่งไม่มี เรายิ่งโก่งราคาได้ ไม่เอา คนอื่น ยิ่งไม่มี เรายิ่งเห็นความจำเป็นว่า สิ่งนี้จำเป็นในมนุษย์นะ เขายิ่งไม่มีน่ะ ยิ่งต้องควร ให้เขาได้ ไม่เช่นนั้น ก็ขาดแคลน เขาก็เสียหายเสื่อม บางทีสุขภาพร่างกายก็เสื่อม เราควรเกื้อกูลเขา เอ็นดูกัน อย่างนี้เป็นต้น นี่ในรอบที่จะยาวยืด เกื้อกูลออกไปสู่ข้างนอก

แต่ข้างในนี่ซี เรามันมีอะไรขวางๆกันอยู่น่ะ พยายามพูด พยายามแนะ ตอนนี้ มีเด็กมาแล้วนะ เป็นเด็ก เป็นลูกเรา หลานเรา ช่วยกันสอดส่อง ดูแล เอื้อเฟื้อกันไป มีอะไรก็ค่อยๆดู อย่าไปทำ ให้แก อะไรนะ เมื่อกี้ spoilt เอาแต่ใจตัว จนกระทั่งตามใจเขา จนเขาเสียคน เป็นคนเอาแต่ใจตัว นี่ขยายความ spoilt น่ะ อย่าไปให้เขาเกิดอย่างนั้นก็แล้วกัน ระวัง จะตามใจหรือว่า เอาใจ หรือว่า เกื้อกูลจนเกินการ จนกระทั่ง กลายเป็นคนเอาแต่ ใจตัวไปเลย อย่างนี้ จุดเสีย ต้องระวัง

แต่นอกนั้น ก็ดูซิ เราจะเกื้อกูลเขาได้สัดได้ส่วนขนาดไหน ต้องเห็นจริงๆเลยนะ ทำให้เห็นจริงๆ เลย ใจเราว่าเป็นลูกเป็นหลานเรานะ เป็นคนที่อยู่ในครอบครัว เป็นพี่เป็นน้อง เป็นภราดรภาพ จริงๆ ทำใจในใจอย่างไร มีความรู้สึกอย่างไร ให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่เป็นคนกิเลส ไม่เป็นคน จิตวิญญาณตายด้าน เด๋อ ไม่เอื้อเอ็นดูอะไรกันละ ไม่ประสานอะไรกันละ นี่แหละ ว่าง นี่แหละจิตว่าง ประเดี๋ยวมันจะทุกข์ ไปเที่ยวได้มีความสัมพันธ์กับเขา แล้วมันจะเกิดทุกข์

คนที่มีความสัมพันธ์โดยความรู้ รู้ว่าเรากำลังมีชีวิต เรากำลังมีธรรมชาติ ชาติก็คือการเกิด เราก็จะต้อง ทำสิ่งที่นั้นให้เกิด ลึกซึ้งลงไปในปรมัตถธรรม แม้สิ่งใดเกิดก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา โดยสัจจะแล้ว โดยหลักของปรินิพพานแล้ว หรือโดยหลักของนิพพานสูงสุด วิมุติสูงสุด ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อย่าไปติดไปยึด อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเราเป็นอันขาด เราไม่สำคัญมั่นหมาย ในตัวนี้ เราก็ฝึกซ้อนลงไปซิ เราจะมีมากเท่าไหร่ เราก็ฝึกซ้อน วาง นั่นแหละ มันจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เพราะเราสัมพันธ์มาก เราก็ยิ่งวางได้มาก ยิ่งสัมพันธ์มาก ยิ่งวางได้มาก ยิ่งสัมพันธ์มาก ยิ่งวางได้มาก ยิ่งสัมพันธ์มาก ยิ่งวางได้มาก นั่นคือ สมรรถภาพ ของนิพพานที่แน่นอน ไอ้นี่ไม่ได้สัมพันธ์กับใครเลย วาง แล้วคุณรู้หรือเปล่า ว่าจิตของคุณ ถ้าสัมพันธ์ เข้าจริงๆแล้ว คุณวางไม่เป็น คุณรู้ตัวหรือเปล่า มันมีแต่ตัวกูนี่แหละ ไม่สัมพันธ์กับใคร

ศาสนาพระพุทธเจ้า มันมี ๒ ด้าน มันมีกุศล อกุศล นี่เรียกว่า สมมุติสัจจะ เพราะฉะนั้น เราต้องอยู่ อยู่ด้วยสัจจะ อันที่เป็นกุศล อกุศล อย่างสมบูรณ์ด้วย ปรมัตถ์สูงส่ง ไม่ใช่ว่า วาง ประเภทที่ไม่รู้จักสมมติ ไม่ใช่ รู้จักสมมติ แล้วยิ่งทำให้สมมตินี้ยิ่งเก่งยิ่งดี อย่างที่อาตมา อธิบาย เมื่อกี้แล้วว่า เรายิ่งสัมพันธ์ได้มาก ก็ยิ่งวางได้มาก ไม่ใช่ว่าวางได้ เพราะเราไม่สัมพันธ์กับใคร สัมพันธ์เข้าไม่เป็น ถ้าเกิดสัมพันธ์เข้า ว่างไม่ได้เลยด้วย ไอ้อย่างนั้น มันไม่เป็นข้อพิสูจน์ ว่าคุณปลอดพ้น คุณสมบูรณ์ ไม่ได้เป็นความหลุดพ้น หรือความปลอดพ้น อย่างสมบูรณ์เลย เป็นแต่เพียงว่า อย่างฤษี อย่างพรากมาเป็นตัวกู อย่างเดียว

นี่มันซึ้งซับซ้อนลึกซึ้งอย่างนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็ขอให้พวกเราได้พยายามกันน่ะ ได้ไปมองมุมนี้ ทำสิ่งนี้ ทำทิศทางนี้ จุดที่อาตมากำลังอธิบายให้เจริญ เจริญน่ะ เกื้อกูล สัมพันธ์อบอุ่น เบิกบาน ร่าเริง แต่ไม่ใช่เจี๊ยวจ๊าว เอิกเกริก เฮฮา เอะอะมะเทิ่ง เหมือนกับโลกๆ เขาไม่ใช่หรอก เราสัมพันธ์กันด้วยเนื้อหา สัมพันธ์กันด้วยความเบิกบานร่าเริง พอเหมาะพอดี จะสัมพันธ์อันสนิทก็ ด้วยสาระแก่นสาร ที่ทำงานร่วมกัน แล้วก็มีโน่นมีนี่อะไร ใครยังมีกิเลส เล่นๆหัวๆ อยู่บ้าง นิดๆหน่อยๆ ก็มี ไม่เอิกเกริก ไม่เฮฮา ไม่เปี๊ยวป๊าว ปี๊ดป๊ายอะไร เหมือนกับ อย่างโลก ๆ เขานี่ มันไม่มันๆๆ มันไม่สุข มันทุกข์ มันก็เลย ต้องเอาไอ้นี่มากลบเกลื่อน ความร่าเริง เบิกบาน ก็กลายเป็นร่าซ่า ต้องเกี๊ยวก๊าว เปี๊ยวป๊าวอะไร หวือหวามากมาย มันถึงจะ พอถ่วง ความกดดัน ความเครียด ความไม่เบิกบาน ความเศร้าหมอง ความอึดอัด มันมีมาก มันเลยถ่วงมาก

ถ้าเราไม่มีมาก ไม่ต้องไปทำมากหรอก นิดๆหน่อยๆ ก็แสนที่จะเบิกบานน่ะ ไม่ต้องเอาตลก มาเล่นตลกให้ชม ถึงจะเบิกบาน ถึงจะหัวเราะออก ไม่ ยิ้มก็ง่าย นิดหน่อย ก็ เบิกบานแล้ว เส้นไม่ลึก เส้นตื้นๆ อยู่กับโลกเขารู้ดี แววไว นิดๆหน่อยๆ ก็เบิกบานแล้ว ไม่ต้อง ไปทำอะไร ต้องจัดๆจ้านๆ ฉันถึงจะ...เส้นลึกน่ะ ฉันถึงจะเบิกบานตามได้ เพราะไปฝึก แต่ประเภท มะลื่อทื่อ เส้นลึก ไอ้แบบนั้นก็แย่ หรือกดดันเอาเอง ตัวเองกดดันไว้ลึก เลยรับสัมผัส ความเบิกบาน ไม่ได้ง่ายๆ คนที่เบิกบานง่ายๆนี่ เบิกบานง่าย แล้วไม่เบิกบานร่าซ่าด้วย ไม่บานเบิกด้วย มีขีดมีเขต เบิกบานแค่นี้ ก็เบิกบานแล้ว มีกิริยาขนาดไหน พอเหมาะ เรียกว่า มัชฌิมา ขนาดนี้แหละพอเหมาะ เบิกบานขนาดนี้พอแล้ว เบิกบานกว่านี้เลยเขต กลายเป็น บานเบิก ร่าเริงแค่นี้พอแล้ว ไม่ใช่ว่ามากกว่านี้ มากกว่านี้มันร่าซ่าแล้ว ไม่ใช่ร่าเริง มันซ่าไปแล้ว ร่าซ่าไปแล้ว ไม่เอา อย่างนี้เป็นต้น

เราจะรู้จักขอบเขต แล้วเราก็ไม่เลยขอบเขตนั้น ฝึกเอา อบรมเอา เราก็จะชำนาญ ไม่เลยขอบเขต แค่นี้ก็พอ พออาศัย แม้ความร่าเริง เบิกบานนี้ ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นเครื่องอาศัย ที่เรายัง มีขันธ์ ๕ เท่านั้น เป็นเครื่องอาศัยเท่านั้น ที่โลกอาศัย เราอาศัยด้วย แต่เราอย่าไปสร้าง ความติดใจ อย่าไปสร้างความดูดซับ แล้วก็กลาย เป็นอุปาทาน ยึดติดอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ หรืออย่าว่าแต่อุปาทานเลย กลายเป็น อภินิเวสายะ อาตมาแปล อภินิเวสายะว่า ลงหลัก ปักแหล่ง อภินิเวสายะ เขาแปลว่าที่พัก ที่อยู่ ลงหลักปักแหล่งเลย เรียกว่า อภินิเวสายะ นี่คือ ที่เราเคยได้ยิน สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลาย ไม่ควรลงหลักปักแหล่ง ท่านแปลเป็นภาษาไทยว่า ธรรมทั้งหลาย ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น อภินิเวสายะ แปลว่า ยึดมั่น ถือมั่น ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ไม่ควรลงหลักปักแหล่ง อภินิเวส...คือ ที่อยู่ บ้านช่อง เรือนชานก็ได้ ก็คงได้ยิน นิเวส นิวาส สถานที่อยู่ ไม่ต้องไปลงหลัก ปักแหล่ง เป็นที่อยู่ที่ยึด ที่ข้าจะต้องอยู่ที่นี่ ต้องเป็นที่นี่ เป็นของข้า ไม่ใช่ ไม่ให้มีความเป็นอย่างนั้น ไม่ให้มีอาการอย่างนั้น ทางนามธรรม นี่แหละ ไม่ใช่วัตถุธรรมหรอก

เพราะฉะนั้น เขามาแปลวัตถุธรรม นิเวส เขาก็แปลว่าบ้านเรือน แปลว่าหมู่บ้าน หมู่เรือน หมู่บ้าน นิเวส นิวาสสถานที่อยู่ ที่อาศัย นิเวส นิวาสนี่ เขามาแปลเป็นรูปธรรมอย่างนั้น ในนามธรรม เขาก็แปลว่า ...เหมือนกัน เราจะเอาจิตวิญญาณนี่แหละ ฝังลงหลักปักรากที่นี่ อยู่ที่นี่ เป็นที่นี่ ไม่ถอด ไม่ถอน ยังมีความอยู่ ยังมีความเป็น ยังมีภพ ยังมีสถานที่อยู่ เรียกว่าภพ ยังเกิดอยู่ตรงนี้ ไม่ตีแตก ไม่ลอย ไม่หลุด ไม่ลอยตัว ไม่หลุด อภินิวาสายะ นั่นละ เราจะเอาใจ ไปผูก หรือจะเอาใจไปติดใจ จะเอาใจไปลงหลักปักรากลงไปในอันนั้น รู้แล้วก็ปล่อย วาง รู้แล้วรู้ชัดด้วย ไม่ใช่รู้แล้วรีบวาง คนที่รู้อย่างเคล้าเคลียอารมณ์เป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ มีนิโรธอย่างที่ว่า สัญญาเวทยิตัง นิโรธัง สัญญาเวทยิตะ สัญญาเข้าไปเคล้าเคลียหมด รู้ทั่วเวทนา สังขาร เคล้าเคลียได้ลึกซึ้งเลย แต่ไม่ติดเลย รู้ละเอียดลออ นั่นละเป็นผู้ที่ฉลาด มีวิชชา มีความเฉลียวฉลาด มีอภิญญารู้รอบ รู้ลึก มีโลกวิทู มีพหูสูต แต่ไม่ติดยึด วาง ปล่อยได้จริงๆ

นี่ต้องวิเศษอย่างนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วกรรมกิริยาของจิต วิญญาณต้องลึกซึ้ง วิเศษอย่างนี้ด้วย จึงจะเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านอันสมบูรณ์ ตนก็แน่ใจชัดเจนเลยว่า โอ...เรานี่อยู่เหนือโลก โลกหยาบ โลกแรง โลกจัดจ้านยังไง เราก็อยู่เหนือได้จริงๆ ไม่ใช่อะไรนิด อะไรหน่อยก็ไม่เอา ทนไม่ได้แล้ว นั่นมันก็อัตตาอยู่แล้ว มันก็ชัดอยู่แล้ว มันจะไปเหนือโลกอะไร มันหนีโลก มันหนีโลก สู้ไม่ได้ มันยังเป็นทาส แค่นี้ก็...โลกแคบๆ เล็กๆแค่นี้ ยังทนไม่ได้เลย ของพระพุทธเจ้า จะต้องเหนือโลกไปอย่างกว้างขวาง จนสามัญธรรมดาของโลก เขามีอะไร จัดจ้านขนาดไหน เราก็อยู่เหนือมันจริงๆ คนในโลก เขาสัมผัสสิ่งอย่างนี้ของโลกียะแล้ว เขาทนไม่ได้ เขาต้องมีกิเลส ตกเป็นทาส แต่เราสัมผัสได้เลย สัมผัสแล้วก็ไม่มีกิเลส ไม่ตกเป็นทาส จริงๆ เป็นโลกุตรจิตจริงๆเลย เป็นอย่างที่เห็นอยู่รู้อยู่ สัมผัสหลัดๆนี่ ไม่ใช่ไปนึก ด้นเดาคะเน ถ้าฉันไปเจอ ฉันต้องหลุดพ้น แต่เจอจริงๆ ไม่เอา ไม่กล้า ไม่เอา นี่มันก็ยังไม่จริง น่ะซี ไอ้นี่อยู่จริงเลย เจอจริงเลย เป็นธรรมชาติของความเป็นอยู่ ตามบุญบารมีของคน บุญบารมี มันจะเป็นเอง มันจะมีวิบาก มันจะมีการโคจรมาเจอกัน

เหมือนกับดวงดาว ในจักรวาล ในเอกภพนี้นี่ ดวงดาวต่างๆ มันมีเส้นทางโคจรของมัน มันมีตั้งไม่รู้ เท่าไหร่ล้านๆ ล้านๆๆๆลูก แล้วมันก็มีเส้นทางโคจรของมันมีระเบียบ ไม่เช่นนั้น โอ้โห นี่ห้วงอวกาศ แล้วหวังอะไรอยู่นี่ แม้แต่รอบโลกเรานี่นะ อยู่ดีๆ โลกเราก็ เดี๋ยวดวงดาว ดวงนั้น ก็วิ่งมาชน โลกเราแตกเท่านั้นเอง มันไม่...หรอก มันจะมีระบบ เหมือนวิบาก ของสิ่งต่างๆ วิบากของ แต่ละอัน มันจะไปของมัน จะไปเจอกัน แล้วจะไปสัมผัสกัน หรือ จะไปเกี่ยวกับอันโอ้น ไปของมัน เหมือนกับดวงดาวฮัลเลย์ ๗๒ ปี ก็โคจรมาผ่านโลกเราทีหนึ่ง อะไรอย่างนี้ มันจะมี วงโคจรของมัน อย่างนั้นแหละ เป็นวิบาก แต่เราปรับวิบากเหล่านี้ได้ ปรับเส้นโคจรเหล่านี้ได้ เพราะพระพุทธเจ้า อยู่เหนือโลกอย่างนั้น ปรับเส้นโคจร ปรับวิบาก เหล่านี้ได้ อยู่เหนือโลก อย่างนั้น ๆ ปรับเส้นโคจร ปรับวิบากเหล่านี้ได้ แล้วได้อย่างเร็วด้วย ได้อย่างชะงัดด้วย จะให้เร็ว ให้สั้น ดาวฮัลเล่ย์นี่ ๗๒ ปี จึงจะโคจรมาเจอกับโลกมนุษย์เรา ปรับมาให้ ๕ ปีมาเจอ อย่างนี้ เป็นต้น มีอำนาจ นี่สมมุติวัตถุธรรมให้ฟัง แต่จริงๆเราไม่สามารถ ไปปรับดาวฮัลเล่ย์มาได้ ๗๒ ปี ... เราจะให้มันเหลือ ๕๐ ปี ให้มาใกล้ขึ้น ก็ยังทำไม่ได้

แต่ในเรื่องของวิญญาณ เรื่องของวิบากกุศลอกุศล เราปรับได้ ยิ่งมีอินทรีย์พละ ยิ่งมีบารมี ยิ่งมีคุณภาพ สมรรถนะของเราสูงเท่าไหร่ เราก็ยิ่งปรับเส้นทางได้ดี ปรับวิบากน่ะ สั่งสมแต่ กุศลวิบาก กุศลวิบากที่เราสั่งสม... จะเป็นฤทธิ์ เป็นแรง เป็นอำนาจที่จะเอาอำนาจนั้น ไปใช้ ในการปรับ ปรับวิบากเราได้ เท่าที่เรามีจริง ฤทธิ์แรงของบุญบารมีของเรานั่นแหละ ไปปรับได้น่ะ แต่ขนาดนั้น ก็ใช่ว่าจะปรับได้หมดง่ายๆ ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังปรับได้ระดับหนึ่ง คำว่าปรับ ก็หมายความว่า ความเป็นไปได้น่ะ มีบุญบารมีมากก็ปรับ หรือว่า ความเป็นไปได้ ในทางที่ จะพ้นทุกข์ ในทางที่ไม่เจอวิบากที่เลวร้าย เราหนีวิบากไม่ได้ทั้หมด แต่เราสามารถปรับ ให้วิบาก ไม่มาประจัญกับเราได้ จนเราปรินิพพานแล้ว ก็เลิกวิบากกันหมดเลย วิบากดี วิบากชั่วอะไร ก็โละทิ้งหมดเลย เพราะเราไม่มีขันธ์ ๕ มาให้วิบากตามมาอีกแล้ว สูญ นั่นแหละปรินิพพาน เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายัง ไม่ปรินิพพาน แม้จะเกิดมาเป็นพระโพธิสัตว์ เกิดมาเป็น พระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีรูป นาม ขันธ์ ๕ อยู่ วิบากก็ยังมีฤทธิ์มีแรง เท่าที่เรามีบุญบารมี พระพุทธเจ้า ยังบุญบารมีในระดับที่วิบากบางอย่าง ยังตามมาทันเลย ขนาดพระโมคคัลลานะ ก็วิบากตาม ฐานะของท่าน อย่างนี้ เป็นต้น ก็แต่ละคน ก็แต่ละอย่างแต่ละอัน ก็เท่าที่มันพอเป็น ไปน่ะ

เอ้า วนกลับมาหาเรื่องของหมู่กลุ่มข้างในเราอีกทีหนึ่งน่ะ ว่ายังไงๆ ก็ขอให้พวกเราได้สำนึก สำเหนียก ในเรื่องของการเกื้อกูล ความมีน้ำใจ การประสานกันในเนื้อใน ทุกวันนี้ สังคม มันหมดหวังจริงๆเลย ยิ่งเห็นว่า หมดหวัง แม้แต่ด้านศาสนา ด้านอะไรก็เละเทะ ไม่ได้เป็น ที่พึ่งอะไร อาตมาพูดแล้ว เหมือนกับเราหลงตัวหลงตนนะ เหมือนกับมัน แหม เอ็งดี อยู่คนเดียว กลุ่มเอ็งน่ะดี กลุ่มอื่นเลวหมด มันคล้ายๆ อย่างนั้นจริงๆล่ะนะ พูดขึ้นมาทีไร เราก็พูดกับพวกเรา กันเอง แล้วก็รู้สึกว่า ...ยิ่งไปเที่ยวได้ข่มคนอื่น ไปดูถูกดูแคลนคนอื่นเขา แล้วก็ยกตัวยกตนเรา ความจริงมันไม่ใช่หรอก ความจริง เราก็พูดความจริงสู่กันฟังว่า พวกเรา ได้ดีมาจริงไหม... เกิดบทบาท อาตมาพูดมาก่อนแล้วว่า พวกเราล้ำยุคมาหลายสิบปี ความเป็นอยู่ของพวกเรา แม้แต่การกิน การอยู่ การรังสรรค์ ระบบของเศรษฐกิจ ระบบของรัฐกิจ จะเป็นระบบของ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ แม้แต่เกษตรศาสตร์ มันจะช้าไปหน่อย ทุกวันนี้ เกษตรศาสตร์ เราก็กำลังเพิ่ม กำลังที่จะทำระบบเกษตรศาสตร์ให้มันดีน่ะ ซึ่งอาตมาก็ถือว่า เราก็ยังล้ำ

เพราะว่าข้างนอก เขาไม่มีนะ ในประเทศไทยนี่แหละ บอกนาธรรมชาติ ก็พูดกันมานาน ใครมีล่ะ บอกมาดู ที่ชาวอโศกสิ เราก็เหนี้ยมเหนียม อ๊ายอาย มันยังไม่มีเท่าไหร่เลย แต่แสดงว่า เขายิ่ง ไม่มียิ่งกว่าเรา แม้เกษตรศาสตร์อย่างที่ว่านี่ เป็นแบบธรรมชาติ เราก็ยังไม่ช้าไปหรอก ยังเร็วกว่าเขาเลย ยังล้ำหน้ากว่าเขาเลยน่ะ ด้านอื่นๆ ใดๆ เราไม่ได้ช้า ไม่ได้ยิ่งกว่าเขาเลย ล้ำหน้า ล้ำยุค การเป็นอยู่ ยิ่งมีวัฒนธรรม วัฒนธรรมชาวอโศกนี่ ล้ำหน้าไป จนเขาคิดไม่อออก ว่าเราล้ำหน้า จริงๆนะ เขายังหลงนิยมอยู่แบบเก่าๆ แฟชั่นเก่าๆ หลงสวย หลงงาม หลงเฟ้อ หลงเฟ้อเพ้อพกอะไรอยู่นั่นนะ ทั้งๆ ที่มันทำทุกข์ ให้แก่เขามากมาย เขายังไม่รู้ตัว ขณะนี้นี่นะ ว่ากันจริงๆแล้วนะ แฟชั่น หลงแฟชั่นกันนี่นะ แม้แต่ต่างประเทศ อเมริกาก็ตาม ฝรั่งเศส ด้วยซ้ำไป ประชาชนส่วนใหญ่ เขาไม่หลงแฟชั่น มากเท่าเมืองไทย แหม มันโง่เง่าดักดาน กันจริงๆ ไม่เท่าเมืองไทยนะ จริงเขาบ้ามาก่อน แต่ตอนนี้ เขารู้สึกตัวแล้ว จะเป็นคนอเมริกา ก็ตาม ฝรั่งเศสก็ตาม เขารู้แล้วว่า ป่วยการ

จะเห็นได้ว่า พวกที่มาๆ นี่นะ พวกชาวต่างประเทศที่มานี่ เขาไม่ได้มาบ้าแต่งตัว เหมือนกับ พวกเรา พวกเราไปเมืองนอก โอ้โห แต่ง แข่งเขาใหญ่เลยนะ แต่ง เขาไม่ค่อยแต่ง กันหรอก แต่ตัวเราบ้าไปแต่ง ของเขามาเมืองไทย เขาก็ไม่แต่งตัว เขาอยู่บ้านเขา ก็ไม่ค่อยแต่ง อย่างนี้คือว่า เขาเลิกแต่งตัวไปเท่าไหร่แล้ว ไอ้ที่มีพวกแต่งก็คือ พวกติดน่ะ พวกที่ยังเฟ้อๆ พวกเฟ้อๆ เพ้อๆ กันอยู่ ติดๆ เดี๋ยวนี้ ยิ่งโอ้โห คนไทยนี่ มีเงินมีทองเข้าหน่อย คุณหญิงคุณนาย ไม่แต่งไม่ได้นะ ตื่นเช้าขึ้นมา ต้องอยู่โต๊ะ หน้าเครื่องแป้งนั่นก่อน ไม่รู้กี่ชั่วโมงก่อน ไม่เช่นนั้น จะไปให้ใครเห็นหน้าไม่ได้ จริงๆนะ ยิ่งมีเงินมีทอง ยิ่งมีเวลาเหลือ เพราะว่า ต้องไปหาเงินแล้ว มีคนรับใช้ มีอะไรต่ออะไรแล้ว ตัวเองก็เอาแต่ภาระ ปรุงแต่งตัวเองให้มาก คนเดียวไม่พอ ให้คนอื่น มาช่วยแต่งด้วยนะ มันหลงถึงขนาดนั้น เมืองนอกเขารู้ รู้แล้วว่ามันไร้ค่า เขาเลิกกัน ไปนานแล้ว เขาลดลงไปตั้งเยอะแล้ว ยังไม่เลิกหมด ก็จริงอยู่ เขาลดลงไปตั้งเยอะแล้ว แต่พ่อไทยสิ เอ้า ไม่ใช่พ่อ ต้องเป็นแม่ เพราะผู้หญิงน่ะ แต่งมากล่ะเนาะ แม่ไทยสิ โอ๊ กำลังเห่อกันใหญ่เลย ตอนนี้ โอ๊ คนร่ำคนรวย พวกไฮโซไซตี้ (high society) บ้าๆบอๆ หลงเฟ้อ ให้เขาหลอก ล้วงตับกินไส้ เขาก็เลยยิ่งเศรษฐกิจเขาดี เพราะเขาทำสิ่งเหล่านี้ มาหลอกขาย เราได้ ไอ้เราก็รับเละไปสิ ยิ่งขนหนักเข้าไปใหญ่เลย ไอ้สิ่งนั้นเขาไม่ใช้ เขาก็ทำมาขายเรา เขาไม่ใช้ เขาไม่นิยม แต่เรานิยม เขาเองเขารู้แล้วว่ามันเฟ้อ มันผลาญ มันไม่ได้สารัตถะอะไร เขาก็หยุด

แต่เราสิ ยังไม่หยุด เรากำลังเดินหน้า กำลังจะปรุงแต่ง กำลังจะเฟ้อ จะเพ้อไปใหญ่ ยังไม่ยอมจบนะ ยังจะมากขึ้นไปเรื่อยๆ ส่งเสริมหนักหน้า เดินหน้าเข้าไปหาแฟชั่น เข้าไปหา อะไรกันเข้าไปอีก โอ๊! ตาย นั่นน่ะ แต่เรารู้ทันแล้ว แล้วเราไปไกลลิบแล้ว พวกเราไปไกลลิบแล้ว ยิ่งไอ้เข้าสิ่ง ผลาญพร่าเหล่านั้น มันไม่ใช่สารัตถะอะไร ไม่ใช่แก่นสารอะไร แต่เราเลิกมาได้ ก่อนแล้ว นี่เราล้ำหน้ากว่าเขา มันย้อนสวนทางกัน อย่างชัดเจน พวกเรานี่ ไปอย่างนี้ แล้วบางคน ก็ยังไม่ชัดใจ ใจยังไม่มีปัญญาพอ แต่งเนื้อ แต่งตัว แบบนี้เป็นยังไง

อาตมาพูดเย้าพวกเรา เราก็ไปเดิน กับเพื่อนกับฝูงเขา อย่างเขามี อย่างแจ๋ว แจ๋วน่ะ นางสาว ขวัญบุญ เคยเป็นแอร์ เขาก็ไป คบหากับเพื่อนแอร์ ไอ้เพื่อนแอร์ มันก็แต่งตัวเฟี้ยวๆ ใช่ไหม แล้วกำลังเห่อแฟชั่นนี้ มันหาเงินได้ง่าย ซื้อ เขาก็เอามาอวดมาอ้าง ทำเฟี้ยว... แล้วเขาก็ต้อง ให้แต่งตัวด้วย คนพวกนี้ ตามกฎ ตามระเบียบ เขาให้แต่งตัว เพื่อรับแขก ไม่อย่างนั้น เขาจะดูถูก เขาจะอะไร ก็แล้วแต่ เขามีกฎหลักกัน อย่างนั้น ทีนี้ ก็ติดซี ก็แต่งตัว ก็ติด เสร็จแล้วแจ๋วนี่ ออกมาเป็น ชาวอโศกแล้ว ไม่ไปเป็นแอร์แล้ว ไปกับเขาก็นุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อง่ายๆ อะไรไป ดีไม่ดี ไม่ใส่รองเท้า อะไรไป หน้าตา ก็ไม่ได้แต่ง เติ่งอะไร อาตมาก็เย้าว่า ทำไมเราจะไป กับเพื่อนเขา คุณไม่ต้องไปเปลี่ยนกระปุง กระโปรงไปกับเขานี่ ไม่กล้า... เขาบอกว่าไม่กล้า ขนาดไปกับน้องรุ่นน้องด้วย เขาก็ไม่กล้าแนะนำว่ารุ่นพี่ เขาอายนะ แล้วคุณอายไหมล่ะ ถ้าเรามั่นใจแล้ว เราจะไม่อาย เราจะไม่กระดาก เราไม่จำเป็นจะต้อง ไปตามเขา... แหม ต้องนุ่ง กระโปรงไปกับเขา ต้องมาใส่โน้น ใส่นี่ ต้องมาโน่นนี่หน่อย ไม่อย่างนั้นเขาก็จะว่าเอา อาตมาว่า คุณไม่ไปโป๊ หรือเดินไป คุณไปกับเขา เสื้อผ้าของคุณ น่าเกลียดอะไร คุณโป๊หรือ เสื้อผ้าก็ดู กะรุ่งกะริ่ง เหม็นสาบอะไรหรือ มันเปล่านี่ มันก็เรียบร้อยดี สมสัดสมส่วนของมัน มันไม่เป็น อย่างที่ คุณสมมติ ติดสมมุติว่าจะต้อง แหม เป็นแฟชั่นนั้น ทรงนั้นแบบนี้อะไรนี่ มันก็คือ เสื้อผ้า หน้าแพร ที่เป็นเครื่องนุ่งห่ม กันร้อน กันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย กันอุจาด สะอาดสะอ้าน ก็ดีแล้วนี่ ทำไมล่ะ เราก็กระทบ ไหล่ดาราได้ ไปกับเขาได้ สังคมกับเขาได้ เราไม่ใช่ว่าจะไม่รู้เขา เราก็รู้เขา แต่เราไม่เห่อเหิม อย่างเขา แล้วเราก็พอเหมาะ พอดีแล้ว สังคมต้องการความฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยที่ไหน ต้องการ ความหรูหราฟู่ฟ่า เบ่งข่มกันที่ไหน มันจนจะแย่อยู่แล้ว มันเฉลี่ย ไม่ถึงกันอยู่แล้ว ไอ้ขาดก็ขาด แทบตาย ไอ้เฟ้อก็เฟ้อแทบตาย มันเฉลี่ยถึงกันที่ไหน

เราเอาส่วนเฟ้อนั่นลงมาเฉลี่ย ให้มาหาผู้ที่ขาดแคลนก่อนเถอะ เราเริ่มต้นก่อน เราก็เป็น ผู้ที่เฉลี่ยมาหาผู้ขาดแคลนก่อน เป็นบุญก่อน เราไม่ได้ตายนี่ เราไม่ได้ทรมานตนนี่ เรามาใส่เสื้อ ใส่ผ้าอย่างนี้ เราทรมานตนอะไร เพราะฉะนั้น ผู้ใดมีปัญญา จิตวิญญาณ ละกิเลสได้ ไม่ต้องฝืน ต้องยากอะไร ก็มาทำไป ก็ไม่อายอะไร อย่าไปมีกิเลส กิเลสซ้อนอีกล่ะ เลย แหม ฉันมักน้อย ได้นะนี่ ฉันลดละลงมาได้ ทำแอ๊คเบ่งข่ม พวกคุณนี่ ยังเฟ้อ ยังผลาญ ไปด่าเขา เดี๋ยวเขาก็กำปั้นยัดปากให้เท่านั้นล่ะ ระวังอย่าแจ๋ก็แล้วกัน ดีก็ดีเถอะ แล้วก็จะ ต้องเห็นใจเขาบ้าง ว่าเขาเอง เขารับไม่ได้ ก็ต้องคอย ทำยังไงล่ะ เราจะพูด ภาษาประสาน ทำยังไง เราจะผสานผสมให้มันดูเกื้อกูลกัน ให้พอไปกันได้ ว่าอย่ารังเกียจเราเลย ถึงแม้อย่างนี้ เราก็ไม่ได้มีความบาป ความชั่วอะไรหรอก แม้เราจะมาแต่งตัวอย่างนี้ หรือว่าจะมากินน้อยมื้อ อย่างนี้ จะมาใช้น้อยอย่างนี้ กินน้อย ใช้น้อยแล้ว แต่เราก็ไม่ได้ทรมานตน คุณก็ประสาน กับเขาให้ดี ให้เขายอมรับเรา เราก็อนุโลมเขา อย่าไปแดก ไปดัน ไปประชด ไปข่มเขานัก ถ้ามีปัญญา จะให้เขาเห็นจริงว่า เออ ลดมาดีกว่านะ เขาจะบอกว่า เออ ดี พวกคุณลดได้ สบายดี นะ เขาจะเห็นนะ เออ ลดได้ เบาสบาย ว่างนะ ดีนะ เรายังลดไม่ได้ เรายังมีกิเลส เออ ให้เขารับอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะค่อยๆ เราก็ว่า... ลองดูซิ ไอ้ นี่นิดหน่อย ก็ได้นะ ไอ้นี่นิดก็ได้ ไอ้นั่นหน่อยก็ได้ ค่อยๆไป ตะล่อมไป มันก็จะดูดี ดูประสาน ไอ้นี่ยิ่งมีมานะ ฉันทำได้ ฉันก็จะเบ่งเลย ฉันจะตวาดเลย แว๊ดๆๆๆ เข้าข่มขี่เข้า มันก็คบกันไม่ได้ ประสานกันไม่ได้ เลยเป็นศัตรูกันไปหมด

ถ้าเผื่อเราเองเรารู้ประมาณ รู้จักการเกื้อกูล ค่อยๆ เชื่อมโยงสัมพันธ์กันพอดี ใช้ได้ สุดท้าย ก็จะเข้าใจด้วยปัญญา ก็ไม่รังเกียจอะไรกัน แม้จะแต่งตัวกันคนละแบบ แต่งตัวกัน อย่างมอซอ ไปเดินคู่กับคนที่เขาแต่งหรูหรา ฟู่ฟ่า ก็ไปด้วยกันได้ คนที่เขาหรูหรา เขาก็ไม่รังเกียจ เพราะเขา ไม่ได้คบหาที่เปลือก เขาคบหาที่น้ำใจ เขาคบหาที่คุณค่าความดี อะไรต่างๆนานา เข้าใจกันได้ เราก็ยอมรับว่า เราลดยังไม่ได้ คนนี้เขาได้จะเคารพบูชาเขาด้วยซ้ำจริงๆ

คนที่แบบโลกๆ หรูหราฟู่ฟ่าอยู่ มีเพชรเต็มตัว ก็จะบูชายกย่องคนที่แม้ รองเท้าก็ไม่มีใส่ด้วยซ้ำ ใครมาดูถูก ดูแคลนนี้ ก็จะค่อยๆ อธิบายสู่เขาฟัง ก็เกิดการเผยแพร่ เกิดการอธิบาย เกิดการ ยืนยัน เกิดการทำความเข้าใจต่อเนื่องกันไปอีก มันก็จะงอกงามเจริญออกไป สัจจะก็ค่อยๆ คืบคลานเผยแพร่ เติบโตเจริญรุ่งเรืองออกไป ถ้ามันได้สัดส่วน อย่างที่ว่านี้น่ะ

เพราะฉะนั้น ข้างในเรานี่แหละ แม้แต่ข้างในเราเอง เราก็ไม่ทำให้มันแข็งแรง ทำให้มันประสาน ทำให้มันสมาน ทำให้มันเป็นเนื้อหนึ่งเนื้อเดียวกัน โดยปัญญาญาณ เราจะรู้ละเอียด พอรู้ละเอียด แล้วนี่ ไอ้ข้างนอกมันหยาบ ถ้ารู้ละเอียดแล้ว รู้เรื่องหยาบได้ง่าย ถ้าเรารู้ละเอียด ยังไม่ได้ รู้แต่หยาบๆ มันจะไม่สามารถมารู้ละเอียดที่ลึกซึ้งขึ้นไปได้เลย ไม่ได้ เพราะละเอียด มันรู้ยากกว่า หยาบมันมีเนื้อมีตัว มีอะไรที่สัมผัสได้ง่ายกว่า มีเหตุ มีมุม มีเหลี่ยมอะไรได้ ชัดเจนกว่า มันรู้ง่าย ไอ้ละเอียดนี่ มันรู้ยาก

ที่ปฐมอโศกนี่ รู้สึกว่าสมาชิกจะมากกว่าสันติฯแล้วตอนนี้ ในลักษณะของเวลามารวมงานนะ ลงศาลา ทำวัตร อะไรพวกนี้ คนจะมากกว่า แต่ก่อนนี้น้อยกว่า เดี๋ยวนี้ชักมากกว่า แต่จริงๆแล้ว คนที่ปฐมอโศก นี่น้อยกว่าคนสันติฯ คนสันติฯคนมากกว่า อยู่ประจำก็มากกว่า ๒๐๐ กว่านะ อยู่สันติฯ อยู่ที่นี่ นี่รวมกันแล้วนี่ ประเดี๋ยวประชุมเย็นนี้ก็รู้เรื่อง อ้อ ไม่ใช่เย็นนี้ประชุม ยังไม่ได้ ประชุมชุมชน วันนี้ เราประชุม ๔ องค์กรก่อน ประชุมชุมชนแล้วจะรู้ เพราะเรามีทะเบียน นายทะเบียนดู รวมคนน่ะ ไม่เท่าไหร่หรอก ที่นี่ร้อยกว่าคน คนที่อยู่ในปฐมอโศกนี่ ที่กว้าง ยังกับอะไรดี ยิ่งดูโหรงเหรงใหญ่เลย แต่เวลามารวมแล้ว เห็นมาก ที่สันติอโศกแคบ เวลามารวมกัน ไม่ค่อยมาร่วมกันหรอก แตกกระจาย มารวมลงศาลาน้อย ทั้งๆที่คนมากกว่า เห็นไหม ภาวะซับซ้อน มันเป็นอย่างนี้ นี่ ซับซ้อนอย่างนี้ หา... ชาวปฐมอโศกนี่ ถ้าเรื่องพิธีกรรม นิยมพิธีกรรม มากกว่าสันติฯ ถ้าหูกว้างตากว้าง ไปในงานนกว้างๆ สันติอโศกไวกว่าปฐมอโศก พวกปฐมอโศกนี่ พวกสายเจโต พวกสันติอโศกพวกสายปัญญา แต่ปัญญาค่อนข้างไปทาง เฉกัง รู้ไหม เฉกังนี่เป็นอะไร ฉลาด แต่ฉลาดโกงน่ะ ฉลาด มันฉลาดกิเลส ไม่ใช่ฉลาด อย่างสุจริต ฉลาดสุจริต เขาเรียกปัญญาน่ะ มันก็มีพัฒนาการของมันนะ ปฐมอโศกก็มีพัฒนาการของ ปฐมอโศก สันติอโศกก็มีพัฒนาการของสันติอโศก

ข้อสำคัญ พวกเราจะต้องพยายามคำนึงถึงสิ่งขาด สิ่งบกพร่อง ใครเป็นสายเจโต ต้องญาติดี กับปัญญา เติมปัญญาให้ได้ ใครสายปัญญาก็ต้องญาติดีกับเจโต เติมเจโตให้ได้ อย่าไปตีทิ้ง อย่าไปดูถูกดูแคลน เอามุมดีจากส่วนดีมาให้ได้น่ะ บางคนเฉลียวฉลาด แล้วดูถูกคนมะลื่อทื่อ ไม่ได้ เราจะต้องมองมุมดีของความมะลื่อทื่อ เพราะเรา มันฉลาด จนกระทั่งเปรี้ยว ฉลาด จนกระทั่ง โอ้โห กลมเป็นลูกกลิ้งเลย เราจะต้องหาตัวหยุด เราต้องหาความ...เขาทำไม หยุดได้ ทำไมเขามะลื่อทื่อ เราต้องเอาตัวมะลื่อทื่อมาถ่วงไอ้ตัวที่มันกลิ้ง จนกระทั่ง ไม่มีมุมหยุด ต้องถ่วง แล้วไปดูถูกว่า พวกนี้ไม่ฉลาดเลย ไปดูถูกเขา คุณก็เสร็จน่ะสิ ก็คุณนะ มันฉลาดเกินไป เพราะฉะนั้น ต้องเอาคนโง่นี่มาถ่วงฉลาด คุณต้องเติมความโง่ ที่จริงไม่ใช่โง่หรอก ต้องรู้ตัวหยุด ฉลาดนี่มันกลิ้ง ต้องเอาตัวหยุด มาถ่วงตัวกลิ้งคล่อกเลยนะ ฉลาดแกมโกงนี่ คล่อก โอ๊ มีเหตุ มีผล มีความปฏิภาณแววไว ปั๊บๆๆๆ แล้วหลงตัวว่าเก่ง นั่นละ ถลำตัวแล้ว หลงตัวว่าฉลาด หลงตัวว่าเก่ง แล้วก็ไปเจอกับคนที่เขาไม่ไวเท่าเรา ไปเจอสายเจโต หลงตัว ภูมิใจ เสร็จแล้ว ก็ไปข่ม ไปดูถูกดูแคลน คนนี้เสียท่าแล้ว ไม่รู้ส่วนขาดของตนเอง ควรบูชาส่วนขาด ควรที่จะต้อง เอาส่วนดีของส่วนขาด เราขาดอะไรนั่นน่ะ มันดีอันนั้น เอามาเติมให้แก่เรา เราต้องรู้ตัวเราว่า เรามันคล่องเกิน เรามันเปรี้ยวเกินไป เรามันรอบจัดเกินไป เราจะต้องเอาของคนที่ เขารอบไม่จัด นี่นะ แล้วเขาสบายกว่านะ ไอ้รอบจัดนี่ล่ะ ทุกข์อยู่คนเดียว ไอ้คนที่เขาหยุด นั่นเขาสบาย แล้วก็ไม่รู้ว่า คนละมุมนั้น มุมเขาสบายแล้ว มุมเขาพ้นทุกข์แล้ว มุมเขาดีแล้ว ตัวเองก็โง่ รอบจัด หลงภาคภูมิว่า ฉันชนะ ฉันใหญ่ ไอ้นี่โง่ สู้ฉันไม่ได้ หนอย ไอ้ฉลาดแล้วก็ให้ตัวเองทุกข์ โง่ตาย ไม่รู้ตัว ตัวเองทุกข์ยังไม่พอ ยังแถมไปดูถูกคนอื่นเขาอีก ให้ตัวเองกลายเป็นเหตุปัจจัย ในทางอกุศล ให้แก่ตัวเอง เพราะฉะนั้น ความฉลาดที่จะซ้อนความฉลาดลงไปนี่ ฉลาดอย่าง ปัญญา นี่ จึงไม่ใช่ตื้นๆ เขินๆ

อาตมาอธิบายไม่ค่อยไหวแล้ว นี่ พยายามอธิบายสิ่งที่เป็นสัจธรรมพวกนี้ ขึ้นมาให้พวกเราฟัง เมื่อกี้ บอกประเด็นที่ว่า ประเด็นของสิ่งที่ตนขาด จะต้องรู้ตัว เป็นสักกายะ หรือเป็นอัตตา ของเราว่า เออ นี่ มันเป็นอัตตา เป็นสักกายะ เป็นตัวเรานะ เราขาดอันนี้นะ นี่ทุกอย่างต้อง สมดุล เจโต ปัญญา ก็ต้องสมดุล จะต้องมีมากพอกัน เจโตเป็นกำลัง ปัญญาเป็นความรู้รอบ

ฉะนั้น กำลังกับปัญญา ถ้าปัญญามาก กำลังไม่มี มันก็ไม่สำเร็จ กำลังมาก แต่ปัญญาไม่มี พังทลายไม่ได้เรื่อง กำลังทั้งความหยุด กำลังทั้งความเดินหน้า ไปก็ไปอย่างประเภทมะลื่อทื่อ ชนแหลกไปเลย อะไรก็ต้านไม่อยู่ บรรลัยเลย ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร อะไรถูกไม่ถูก เดินถูกช่อง ไม่ถูกช่องไม่รู้ กูจะเดินล่ะ มีกำลังด้วยนะ ลุย ถ้าไปไม่ถูก ก็พังฉิบหาย วายป่วงหมดเลย ยอดกำลัง เพราะฉะนั้น จะต้องมีประกอบกันหมด ทั้งกำลังและปัญญาที่จะได้สัดส่วน ต้องเรียนรู้จริงๆ ต้องระมัดระวังจริงๆ

คนที่มีปัญญา พยายามสำเหนียก สังวร พยายามอย่าดูถูกสายเจโต สายมะลื่อทื่อ ตัวมะลื่อทื่อ ก็พยายามเข้าไปหาปัญญา เข้าไปหาความคล่อง เข้าไปหา ความแววไว เข้าไปหาสิ่งที่เป็น บทบาท ลีลาที่เดิน อันหนึ่งหยุดกับอันหนึ่งเดิน คนที่หยุดเก่งๆ แล้วมันจะกลายเป็นเลยเถิด แล้วไปดูถูกไอ้ที่เขาวิ่งๆไม่ได้ ไอ้ที่วิ่งเก่งๆ หยุดไม่ค่อยเป็น หรือ หยุดได้เหมือนกัน แต่หยุดได้น้อย ก็อย่าไปดูถูกตัวที่เขาหยุดได้ หยุดน้อย หรือแม้แต่ จะใช้ภาษา ว่ามะลึ่มทึ่ม มะลื่อทื่ออะไร อย่าไปดูถูก เราจะต้องพยายาม เอาอย่างนั้นแหละ ให้ได้ เอาตัวหยุด เอาตัวมะลึ่มทึ่ม มะลื่อทื่อ อะไรนั่นมาบ้าง ยังไงๆ เราก็มีความเฉลียวฉลาด เราจะไม่เป็นมะลึ่มทึ่ม หรือหยุดประเภท ที่เซ่อๆซ่าๆ มะลึ่มทึ่ม ไม่เข้าเรื่องหรอก

ถ้าเราฉลาด เรามีตัวเนื้อฉลาด เป็นเนื้อของเราอยู่แล้ว เราไปเอาอันนั้นมา มันจะมาผสม ผสานกัน ให้เราได้ พันธุ์ใหม่ ที่เป็นการผสมพันธุ์ ที่ได้ ๒ ส่วนขึ้นมา จะเกิดความเจริญ อีกอันหนึ่ง ตัวใหม่ เหมือนพ่อกับแม่ ๒ อย่าง ผสมพันธุ์กันใหม่ขึ้น จะเกิดความเจริญ ที่ได้ตัวสมบูรณ์ๆๆ ได้ตัวสมบูรณ์ขึ้น ตัวมะลื่อทื่อ ตัวที่เอาแต่หยุดๆ ก็อย่าไปหยุดมากนัก ต้องสัมพันธ์กับคน ที่เขาคล่อง กับคนที่เขาฉลาด คนที่เขามีอะไรต่ออะไร... ไม่ค่อยหยุด เพราะว่าเขาเองน่ะ เราหยุดมากไป เราก็ต้องเอาตัวไม่หยุดมาเสริม เอาโลก เอาโลกีย์ เอาอะไรต่ออะไร มาผสมบ้าง ไม่ใช่เอาโลกมาเป็นกิเลสนะ โลกก็คือตัวสังขาร ตัวโลกตัวที่เรา จะต้องรู้รอบ เป็นโลกวิทู เป็นตัวพหูสูต ต้องเอาความรู้ เอาอะไรต่ออะไรมาใส่มาเพิ่ม มาเติม มันจึงจะได้เกิดการพัฒนา ไม่เช่นนั้นจม ไม่เช่นนั้นเสียหาย

เอาละ วันนี้ อาตมาก็เทศน์มา บรรยายมา ไม่ได้ขึ้นไปนั่งบนธรรมาสน์ เรียกว่าไม่ได้ตั้งนโม นึกว่า คนจะไม่มาก ทะยอยกันมา เอาไปเอามา ก็เกือบเต็มศาลา ก็เยอะเหมือนกันน่ะ เอ้า ก็ดี... ก็ได้บรรยาย ในส่วนที่ควรบรรยาย เราอาจจะไม่พิธีการอะไรมากนัก แต่แม้ไม่มีพิธีการ ก็เนื้อหา มันก็คงเดิม ไม่มีปัญหาอะไร อะไรที่ควรจะเทศน์ อะไรที่ควรบรรยาย อาตมาก็เทศน์ ก็บรรยาย ไปตามวาระ ที่อาตมามีน่ะ

เอ้า สำหรับวันนี้ พอ

สาธุ


ถอด โดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๑๔ ธ.ค.๒๕๓๔
พิมพ์ โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี
เข้าปก โดย ปะคมกล้า มีนาคม ๒๕๓๕
เขียนปก โดย พุทธศิลป์ มีนาคม ๒๕๓๕
2061B.TAP