เห็นความจริงต้องวิ่งลุย
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อ ๓ มีนาคม ๒๕๓๓
ณ พุทธสถานสันติอโศก หน้า ๒ ต่อจากหน้า ๑


 

ยังไม่เห็นความจริงของตนเอง ยังไม่เป็นบัณฑิต เท่าที่แท้เท่าไหร่หรอก มีทุกข์อยู่ ก็ยังหาทุกข์ มาทับถมตนเสียอีก น่ะ มืดอยู่ ยังมืดไม่พอหา ความมืดมาใส่ตนเสียอีก ให้ราตรีมันยาวนาน ยิ่งขึ้นไปอีก ไม่พยายามที่จะหาทางออก ไม่ขวนขวาย ไม่อุตสาหะ วิริยะ ไม่พากเพียรปฏิบัติ ประพฤติ เมื่อเราเจอทาง เรารีบเดิน นั่นคือบัณฑิต เมื่อไม่เจอทาง ต้องหาทางให้พบ นั่นคือ บัณฑิต เมื่อพบทางแล้ว ต้องเดินอย่างขมีขมันเอาใจใส่ ขวนขวาย อุตสาหะ คุณจะได้หลุดพ้น ราตรีจะไม่ยาวนาน ทางจะสั้น สังสารวัฏก็จะสั้นลง เพราะฉะนั้น สังสารวัฏของคนพาล ผู้ไม่รู้แจ้งพระสัทธรรมยาว ยาวแน่นอน สังสารวัฏ ของผู้ที่รู้แจ้งทางแล้ว รีบเดิน แล้วมันจะสั้น จะรีบเดินได้อย่างไร ก็ขวนขวายปฏิบัติเท่านั้น รู้เป็นสัมมาทิฏฐิ ในการปฏิบัติ ในทางปฏิบัติ แล้วหรือยัง รู้อย่างข้องใจอยู่ หรือรู้อย่างพ้นวิจิกิจฉา รู้อย่างพ้นวิจิกิจฉาแล้ว พหุลีกัมมัง ขวนขวาย อุตสาหะวิริยะ มีวิริยารัมภะ มีสัมมาวายามะ ให้จริง เท่านั้นอย่างเดียว

เพราะฉะนั้น ในประเด็นวิจิกิจฉานี่สำคัญเหมือนกัน พระอริยะ จะโสดา สกิทา อนาคา บอกแล้วว่า สังโยชน์ ๓ เป็นตัวต้นทาง สักกายทิฏฐิ หรือ อัตตานุทิฏฐิ ก็ตาม ตั้งแต่เริ่มต้น มิจฉาทิฏฐิโน่นแหละ ก็เคยเอามาบรรยายแล้ว มิจฉาทิฏฐิสูตร สักกายทิฏฐิสูตร อัตตานุทิฏฐิสูตร ตามเห็นให้ได้ ตามเห็นสักกายะ สักกายาทิฏฐิ ตามเห็นสักกายะ รู้สักกายะ แล้วก็ลดสักกายะ ตามเห็นอัตตา ในมิจฉาทิฏฐิสูตรนั้น ท่านให้ตามเห็นความไม่จริง ความไม่ถูกต้อง ก็คือ มิจฉาทิฐิ เราจะเห็น เราจะรู้ความไม่เที่ยง อาตมาอธิบายความไม่เที่ยง ปรมัตถ์ให้ฟัง คือเราเอง เรามีกิเลส เราไม่รู้กิเลส พอเรารู้กิเลสแล้ว เราก็ทำให้กิเลสนั้นลดลงได้ มีสักกายะ มีศีล มีพรต ศีลและพรตที่ปฏิบัติได้ผล ถ้าศีลพรตปฏิบัติไม่ได้ผล เรียกว่า สีลัพพตปรามาส ได้แต่จะมีศีล มีพรต มีหลักเกณฑ์อะไร ทำอยู่นั่นแหละ ไม่เกิดผล ไม่เกิดมรรค ไม่เกิดญาณ ถ้าเราเกิดมรรค เกิดผล เกิดญาณ รู้แจ้งตลอดเวลา

นั่นคือ การปฏิบัติ มีอุภโตภาควิมุติ อยู่กับเราเอง แล้วมีญาณประกอบ ไม่ใช่คนทำงมงาย มีญาณประกอบ มีธาตุรู้ มีตัวญาณปัญญา ที่ตามรู้ตามเห็นด้วยความไม่เบลอ ไม่งมงาย ไม่ผิดเพี้ยน แล้วคุณก็ทำไป จริงๆๆๆ พากเพียร ทำไปจริงๆน่ะ เกิดเจโตปริยญาณจริงๆ แรกคุณปฏิบัติรู้ รู้ว่า มันได้ผล นั่นแหละ คุณพ้นมิจฉาทิฏฐิ เพราะกิเลสมันมาก แล้วคุณก็ลดลงได้ มันไม่เที่ยงที่มันลดลง ลดลงด้วยสามารถ ลดลงด้วยภาคปฏิบัติ ที่มีญาณรู้อย่างแท้จริง คุณไม่ได้งมงาย คุณไม่ได้เบลอ คุณมีญาณทัสสนวิเสสที่แท้จริง มีอภิญญา

เมื่อเวลาเราทำอย่างนี้ๆๆๆอยู่นี่แหละ เราเห็นอนิจจัง พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน มิจฉาทิฏฐิสูตร แล้วผู้ใดเห็นอนิจจัง ผู้นั้นพ้น มิจฉาทิฏฐิสูตร แล้วมีผัสสะเป็นปัจจัยด้วย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปอ่านดู มิจฉาทิฏฐิสูตร อาตมารวบรวมไว้ในหนังสือทางเอกก็มี ในหลายๆ อันก็มารวบรวมไว้ ในหนังสือสัมมาสมาธิ หรือสมาธิพุทธก็มี อาตมาว่า สูตรเหล่านี้ สำคัญ จะพ้นมิจฉาทิฏฐิก็เพราะเห็นอนิจจัง จะพ้นสักกายทิฏฐิก็เพราะเห็นทุกข์ จะพ้น อัตตานุทิฏฐิ ก็เพราะเห็นอนัตตา อนัตตาปรากฏ ทุกข์ปรากฏ แล้วก็ลดทุกข์ได้

เมื่อพ้นมิจฉาทิฏฐิแล้ว เห็นอนิจจังก็คืออันนี้ ลดเหตุแห่งทุกข์ แม้มันเอง จะไม่พ้นทุกข์ อย่างสมบูรณ์ มันก็รู้แล้วว่าจางคลาย จนกระทั่ง คุณลดลง เออ! เบาแล้ว ทุกข์ขนาดหนึ่ง มันลดลงไป แล้วนั่นคุณเห็นทุกข์ แล้วคุณก็เห็นความทุกข์มันลด เพราะคุณรู้จัก สักกายะ ตามเห็นสักกายะ มีสัมผัสเป็นปัจจัย มีวิธีการลดเหตุแห่งทุกข์ สมุทัย ลดลงไปได้ สักกายะก็คือ เหตุแห่งทุกข์ ตัวตนของกิเลส สักกายะตัวตนหยาบ จนกระทั่งไหลเลื่อนไป จนกระทั่งถึง อัตตานุทิฏฐิ ตามเห็นเลยว่าไอ้ตัวตนนี่

อาตมาบอกแล้วว่า สักกายะก็ตัวตน อัตตาก็ตัวตน ถึงอาสวะก็ตัวตน จนกระทั่งลด ตามเห็น อัตตาว่า มันเล็กๆลงๆ วิราคะ วิราคานุปัสสี มีนิโรธานุปัสสี นี่ ตามเห็นความจางคลาย ตามเห็นความลดอัตตา จนกระทั่งเห็น ความดับ นิโรธานุปัสสี ดับไม่มีตัวตน หมดอาสวะ มีชานโต ปัสสโต เห็นอยู่ รู้อยู่ เป็นปัจจุบันนั่นเทียว ไม่ใช่หลับหูหลับตาพูดแต่ตรรกะ พูดแต่ทฤษฎีโวหาร เห็นอย่างแท้จริง มีญาณเห็น อย่างแท้จริง ไม่มีตัวตนนั้น คือไม่มีกิเลสนั้นๆ จริงๆ คุณกำหนดถูก สัญญาย นิจจานิ กำหนดชัด กำหนดถูกเที่ยงแท้มั่นคง ไม่แปรปรวน ไม่เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่แปรปรวน ไม่เปลี่ยนแปลง อวิปริณตัง มั่นคงเป็นนิจจานิ ไม่รู้ละ ประโยคเขาจะไปใช้ฝึกสอนกันอยู่ บาลีน่ะ จะไปผันอย่างไร ตามเรื่องตามราวของหลัก ไวยากรณ์ อย่างไร ก็ตามใจเถอะ มันก็มาจากรากศัพท์ ของความจริงแท้นั่นแหละ มันเป็น ความจริงแท้อันนั้น คุณกำหนดรู้ความจริงแท้ อันเที่ยงแท้ จริงแท้ และเที่ยงแท้อันนั้น ไม่แปรปรวน มั่นคง แข็งแรง ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอื่นอีก คุณก็จะรู้ อันนี้ชัดเจน ถึงขั้นสูงสุด นี่เห็นความเที่ยงแท้ กำหนดรู้ความเที่ยงแท้โดยสัญญา สัญญาที่เป็นญาณ การกำหนดรู้ด้วย ญาณทัสสนะของเราเองจริงๆ เห็นของจริง สิ่งรองรับ มีสภาวะ รองรับความจริง

อนัตตานี้ มีสภาพรองรับ ไม่ใช่อนัตตาคะเนคำนวณ เป็นแต่ตรรกะเท่านั้น ไม่ใช่ อะไรๆ ก็ไม่ใช่ตัวตน นี่มันคะเนคำนวณ ใครๆก็เข้าใจ แล้ว พูดเดี๋ยวนี้ก็รู้เดี๋ยวนี้ มีปัญญา พอเพียง ก็รู้แล้ว แต่นี่เห็นอนัตตาน่ะ อนัตตาไม่ใช่คำพูด อนัตตาไม่ใช่การคะเนคำนวณ อนัตตาไม่ใช่ ตรรกศาสตร์ ไม่ใช่เหตุผลเท่านั้น แต่มีผลจริงๆไม่ใช่เรื่องของเหตุผล มีผลของ ความไม่มีตัวตน ตัวตนอะไรล่ะ ตัวตนของกิเลส กิเลสเป็นอย่างไร กิเลสมันหมด แต่ก่อนนี้ มันมี มันเหลือน้อย ก็รู้จนกระทั่งสักกายะก็รู้ขนาด อัตตาก็รู้ขนาด อาสวะก็รู้ขนาด ไม่มีแม้อาสวะ ก็รู้ความจริงว่า ไม่มีแล้ว เป็นสุญภาพ เป็นสุญตา ไม่มี สูญ เห็นอยู่ รู้อยู่ เป็นปัจจุบันนั่นเทียว อยู่หลัดๆ เลยว่าไม่มี

เพราะฉะนั้น อนัตตาอันนี้ เป็นอนัตตาปรมัตถ์ ไม่ใช่อนัตตาของเหตุผล ไม่ใช่อนัตตาของ ตรรกศาสตร์ ไม่ใช่อนัตตาของการที่อตักกาวจรา ไม่ใช่เป็นตัวจริง เป็นสภาพไม่มี เป็นสภาพ สูญจากกิเลสอย่างนั้น คุณกำหนดรู้กิเลสได้ด้วย อาการ ลิงคะ นิมิต แล้วมันก็ไม่มี ไม่มีจริงๆ คุณก็จะรู้ถึงอารมณ์ของความไม่มีว่ามันเป็นอย่างไร นั่นคือ บทสังสารวัฏ นั่นคือ ผู้แจ้งสัจธรรม จบเดี๋ยวนี้ หมดสังสารวัฏเดี๋ยวนี้ ไม่มีความยาว ไม่มีความสั้นอีกแล้ว สังสารไม่มีแล้ว ไม่ยาวแล้ว สังสารวัฏหมดแล้ว ไม่ต้องไปรอสังสารวัฏ ไม่ต้องไปรอว่า จะหมดสังสารวัฏเมื่อไร ทำได้เมื่อนั้นก็เมื่อนั้น

โยชน์คือระยะทางของผู้เมื่อยล้า ยาว จบสังโยชน์ ไม่มีโยชน์ ถ้าจะว่าสังโยชน์ เป็นความผูกมัดอยู่ ไม่ผูกไม่มัดอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นระยะทางก็ได้ โยชนะ จะแปลว่า ระยะยาวก็ได้ จะหมายความเอาความผูกความมัดก็ได้หมด ไม่ยาว ไม่สั้น ไม่ถูกผูก ถูกตรึง อยู่ตรงไหน ไม่มีตัวตนแล้ว ล่อนแล้ว ลอยแล้ว ฟรีแล้ว

นี่ แปลพระบาลีผิดหรือเปล่า ทำให้พระบาลีวิปริตหรือเปล่า แสดงธรรมวินัยให้วิปริตหรือเปล่า ฟังดีๆเถอะ สัจธรรมมีความจริงอย่างหนึ่งที่อาตมากล่าว อาตมาจะขยายความไป ให้มันวิจิตร พิสดารกว่านี้ จนกระทั่งเขาหาว่าอธิบายเอาเอง นอกอรรถนอกคำของเขาเรียนกันมา จริง เขาเรียนกันมา เขาก็บันทึกกันไว้แค่นั้น แล้วเขาก็เรียนกันตามพยัญชนะกันมา เสร็จแล้ว เราอธิบาย ต่างจากพยัญชนะที่เขาไปท่องไปจำกันมา เขาก็ว่าเราออกนอกรีตนอกทาง ก็ไม่ว่าอย่างไร อาตมาเอง อาตมาก็เข้าใจเขา เห็นใจเขาเหมือนกัน เอาละ เราก็ไม่ต้องไป วิจารณ์ อะไรเขามาก แต่ว่ามันเจอ ก็เอามาพูดให้คุณฟัง เพื่อพิจารณา เราก็ไม่ต้อง ไปดูถูกดูแคลน อะไรเขา เขาก็ยืนหยัดยืนยัน เขาก็แม่นดีน่ะ ภาษาที่ร่ำเรียนมา ตามๆกันมาก็แม่นดี แล้วก็พยายาม รักษาอันนั้นไว้ อาตมาขอขอบคุณ ทางด้านเถรวาทอะไรก็ตาม มหายานก็ตาม เถรวาทโดยเฉพาะ ที่รักษาสิ่งเหล่านี้เอาไว้ จนกระทั่งทุกวันนี้ อาตมายังมีส่วนได้รับด้วย มันเป็นพระคุณอย่างยิ่ง รักษาสิ่งเหล่านี้มาไว้ แม้มันจะเพี้ยนไปบ้าง มันจะเปลี่ยนแปลงไป เป็นกลองอานกะ กลองที่ได้มีไอ้โน่นแทรก ไอ้นี่แซม

มีพวกต่างประเทศ ชาวต่างประเทศไปสัมภาษณ์อาตมา ไปไถ่ถาม เขาถามอยู่อันหนึ่ง อาตมา ไม่รู้จะตอบเขาอย่างไร ตอบเขาไม่ได้ ไม่ใช่ตอบไม่ได้หรอก ตอบได้ แต่อวดตัว มันพูดไม่ออก เขาถามว่า ท่านกำลังปฏิรูปศาสนาใช่ไหม อาตมาก็ตอบเขาว่า เปล่า ศาสนาทุกวันนี้ เป็นศาสนา ปฏิรูปแล้ว อาตมากำลังทำความปฏิรูปนั้น ให้กลับไปสู่ศาสนาเก่า ศาสนาเดิมต่างหาก กำลังวิ่ง ทวนเข้าไปหาของแท้ เพราะศาสนาทุกวันนี้ มันปฏิรูปมาตั้งมากแล้ว เขาถามอีกว่า ทำไมท่าน ถึงรู้ว่า เขาปฏิรูปล่ะ อาตมาตอบไม่ได้ ถ้าตอบไปแล้วมันใหญ่ ไม่ใช่ตอบไม่ได้หรอก ตอบไม่ออก ตอบได้ ถ้าจะตอบ แต่มันตีหน้าแงกันเหลือเกิน เขายกสถานนั้นสถานนี้มา อาตมายิ่ง โอ้โฮ! ไม่รู้จะทำอย่างไร ไปพูดก็ข่มเขาอีก ยกอาจารย์นั้น อาจารย์นี้มาอีก อาตมา แหม! ยิ่งโอ้โฮ! ตาย ตอบอย่างไร เมื่อไรเราจะพูดได้ ตอนนี้มันยังพูดอะไรไม่ได้ มันก็จะต้อง มีมารยาทไปบ้างก่อน สักวันหนึ่ง ก็คงไม่ต้องเป็นมารยาทละ ต้องพูดกันด้วยไม่มีมารยาท หรือ ไม่มีมารยาอะไร พูดกันตรงๆ ไปเลย แต่ตอนนี้ ยังพูดไม่ได้ ต้องอาศัยเวลา ต้องอาศัยพวกคุณ ช่วยอาตมา ทำรูปธรรมะนี้ ให้มันเป็นรูปจนเขาจำนน เขายอมรับฟัง แล้วทีนี้ เมื่อนั่นแหละพูดได้ พูดไปตอนนี้ ยังทะเลาะกันใหญ่เลย ยิ่งอวดดี อวดเด่น อวดข่มกันใหญ่เลย โอ! บ้าๆบอๆ ไปใหญ่โตมโหฬาร อวดดีอวดข่ม รู้คนเดียว คนอื่นไม่รู้ อะไรต่างๆ นานา คนอื่นผิดหมด ตัวเอง นั่นแหละถูก ตัวเองรู้จักมรรคองค์ ๘ คนอื่นไม่รู้อะไร ต่างๆนานา

อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ศาสนาทุกวันนี้ เป็นศาสนาปฏิรูป มันเป็นกลองอานกะ อาตมา ไม่ได้พูด คำว่ากลองอานกะออกไปน่ะอันนั้น ไม่อยากจะพูดยาว ถ้าพูดกลองอานกะ เดี๋ยวก็ไป อธิบาย กลองอานกะอีก แล้วยิ่งเป็นฝรั่งด้วย โอ้! มี translator มีคนแปล คนอะไรยืดยาด ยุ่งยาก วุ่นวาย ไอ้เราก็ฟังไม่ค่อยรู้ภาษาเขา คนแปลก็ปวดหัวด้วย เพราะอาตมามันยิ่งพูดลึก มันยิ่ง แปลยาก มันไม่มีศัพท์ตรง มาถามว่าสมาธิ ท่านทำสมาธิไหม อาตมาก็บอกว่า เอาละ! ยุ่งละ พอถามสมาธิก็ยุ่งละ อาตมาก็บอกว่า คำว่าสมาธิ ภาษาอังกฤษไม่มี เขาไม่ได้ถาม สมาธิหรอก เขาก็ใช้ภาษาอังกฤษว่า meditation อาตมาก็บอกว่า สมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ meditation สมาธิของพระพุทธเจ้า ไม่มีภาษาอังกฤษเรียก เขาเรียกว่า สัมมาสมาธิ

ส่วนสมาธิคำว่า meditation รู้กันทั่วโลก ใครก็รู้ อาตมาก็รู้ อาตมาก็เคยเรียน ฝึกเป็นด้วย สมาธิอย่างนั้นๆ เขารู้ทั่วโลก เขาก็เรียนกันทั่วโลก แต่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้า เป็น สัมมาสมาธิ ไม่ได้เกิดจากการนั่งหลับตา ไม่ใช่สมาธิที่จะอยู่ในภพ สมาธิของ พระพุทธเจ้า ลืมตาโพลงๆ สมาธิของท่านตั้งมั่นแล้ว กิเลสมันออกจริงๆ มันสงบ ด้วยกิเลสจริงๆ แล้ว แคล่วคล่อง หมุนเร็ว แววไว แกล้วกล้า อาจหาญอย่างนี้ ไม่ใช่จัดจ้าน สมาธิของ พระพุทธเจ้า แกล้วกล้า อาจหาญ แข็งแรง รู้เร็ว แววไว แข็งแรง ไม่ใช่แข็งกระด้าง อ่อนโยน สุภาพ ไม่ใช่อ่อนแอ นี่อย่างนี้เป็นต้น ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น

ซึ่งจะพูดกันไปแล้วทุกวันนี้นี่นะ โลกทั้งโลก เรียนศาสนาพุทธนี่ เรียนสมาธิของฤาษีทั้งนั้น ไม่ได้เรียน สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า อาตมาก็ยังไม่เก่ง ที่จะอธิบายสัมมาสมาธิ ให้แก่เขา ฟังกันได้ ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะทฤษฎีของพระพุทธเจ้า อาตมาพูดไปวันนั้น ก็บอกเขานะว่า ทฤษฏีของพระพุทธเจ้า ยิ่งใหญ่กว่าทฤษฎีไอน์สไตน์นะ E=Mc ไอน์สไตน์ไปบรรยายที่ไหน บรรยายเสร็จ คนก็มาถามว่า เป็นอย่างไร ประสบผลสำเร็จไหม พยายามที่จะอธิบายสูตรนี้ ที่ตัวเองคิดค้นได้นี่ ไอน์สไตน์เคยพูด เคยตอบว่า ผมก็พยายามอธิบายเต็มที่แล้วนะ แต่ผมรู้สึกว่า เขาเข้าใจยังไม่ได้ ไอน์สไตน์เคยพูดอย่างนี้

จริง อาตมาบอกว่าสูตรของพระพุทธเจ้ายากกว่า E=Mc ที่จะอธิบายให้คนเข้าใจได้ สูตรนี้ ค้นพบชื่อว่า พระพุทธเจ้าเท่านั้นท่านค้นพบ คนธรรมดาค้นพบไม่ได้นะ สูตรของไอน์สไตน์ นี่เป็นเรื่องของวัตถุ เป็นเรื่องของรูปธรรมเท่านั้น ขนาด E=Mc หรือสูตรอย่างไอน์สไตน์นี่ เรียนกัน รู้ทั่วโลก จบดอกเตอร์กันมาแล้วตั้งหลายคน เรียนสูตรของไอน์สไตน์ จบวิชาวิทยาศาสตร์ จบวิชาปรมาณูอะไรมา เรียนสูตรพวกนี้มาได้ เอาไปหากินเลี้ยงตัวเองไป ตายไปหลายคนแล้ว แต่เขา ไม่ได้ทำอะไรออกมาจากสูตรนี้น่ะ สูตรนี้เขาไม่ได้ปฏิบัติ สูตรนี้เขาไม่ได้เอาไปสร้าง คนที่เอา E=Mc ไปประกอบการ ไปกระทำ มีผลสำเร็จ มีไม่กี่รายนะ ใช่ไหม คนที่เอาสูตร ไอน์สไตน์ไปทำจริงๆ ไม่ใช่เรียนรู้เท่านั้น ไม่ใช่มีความรู้ เท่านั้น เอาไปทำ ลงมือสำเร็จผลขึ้นมานี่ มีไม่กี่รายในโลก ขอยืนยัน

สูตรพระพุทธเจ้ายากกว่านั้น คนเอาไปทำจริงๆ มีผลจริงๆ จะมีสักกี่รายล่ะ อาตมาว่า อาตมาไขความอันนี้ ออกมาพอสมควร เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ คนเราไม่เข้าใจสูตรพระพุทธเจ้า ไม่เข้าใจทฤษฎีเลิศ เอเสวะ มัคโค นัตถัญโญ ของพระพุทธเจ้า ไม่รู้ว่า เอกายนมัคโค นี่ ไม่เข้าใจง่ายๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างผยองเลยนะ ในมหาปรินิพพานสูตร อาตมายังจำได้

ท่านบอกว่า มรรคองค์ ๘ นี้ ไม่มีในที่อื่น ท่านใช้คำว่าสุญญเลยนะ อาตมายังเคยเอา พระบาลี ประโยคนี้มาใช้เลย แต่ลืมหมดแล้ว ตอนนี้ลืมหมดแล้ว ท่านใช้ว่าว่างจากมรรคองค์ ๘ ลัทธิใดๆ ว่างจากมรรคองค์ ๘ ลัทธินั้นไม่มีอริยะสี่เหล่า ใครยังเรียนมานี่ จำได้ในมหาปรินิพพานสูตร ลัทธิใดว่างจากมรรคองค์ ๘ ลัทธินั้นว่างจากสมณะสี่เหล่า

คำตรัสของพระพุทธเจ้าอันนี้ยืนยันว่า ในลัทธิใดๆ ถ้าไม่เข้าใจมรรคองค์ ๘ ไม่มีมรรคองค์ ๘ ที่ทั้งรู้ และปฏิบัติจริงๆ ถูกต้องจริงๆ ลัทธินั้นก็ไม่มีพระอริยะสี่ แต่เรียก ลัทธิพุทธ ด้วยกันก็ตาม พุทธ ก. พุทธ ข. พุทธเถรสมาคม พุทธอโศก พุทธสวนโมกข์ พุทธธรรมกาย พุทธอะไรก็ตาม พุทธไหนล่ะ ที่ไม่มีมรรคองค์ ๘ ไม่รู้มรรคองค์ ๘ แล้วก็ไม่ได้ ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ อย่างถูกจริงๆ ไม่มีสมณะสี่เหล่า แล้วพระพุทธเจ้า ท่านตรัสยืนยันไว้ว่า

ผู้ที่จะตรัสรู้ มรรคองค์ ๘ นั้น มีแต่ความเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น คนที่ต่ำกว่า ความเป็น พระพุทธเจ้า ตรัสรู้มรรคองค์ ๘ ไม่ได้ เมื่อตรัสรู้แล้ว ก็เอามาสอนให้คนอื่น ปฏิบัติตามรู้ตาม ผู้รู้ตามก็เป็นอนุพุทธ เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมาตรัสรู้มรรคองค์ ๘ ขึ้นมา ก็คือไม่มีมรรคองค์ ๘ แล้ว ในโลกนี้ ไม่มีใครรู้ มรรคองค์ ๘ ไม่ได้มีแต่ภาษา

พระพุทธเจ้าก็ถึงโผล่ขึ้นมา มาตรัสรู้สูตรนี้ขึ้นมา โดยที่ไม่มีใครรู้จริงๆ สูญไปหมดแล้ว แม้แต่บัญญัติภาษาก็ไม่มี ในยุคกาลที่พระพุทธเจ้าจะต้องตรัสรู้ จะต้องเป็นอย่างนั้น แต่นั่นแหละ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มรรคองค์ ๘ นั้น ก็ไม่ได้มีมาลอยๆ อยู่ดีๆ มรรคองค์ ๘ ก็โผล่ขึ้นมาที่ในหัว ไม่ใช่ ทุกอย่างมาแต่เหตุ พระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้มรรคองค์ ๘ เรียนมาจาก พระพุทธเจ้า องค์แต่ปางไหนๆ ใช่ไหม เอ้า! ใครนะ อ่านจากอะไร ที่บอกว่า พระพุทธเจ้า พระสมณโคดม นี่กว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ได้รับคำพยากรณ์ จากพระพุทธเจ้า องค์ก่อนๆ มาถึง ๒๔ พระองค์ หา... อะไรนะ ไม่ใช่สัมภารวิบาก ใครนั่งเอามาเรียบเรียงใหม่ๆนี่ ของหมอ หรือ เอามาจากไหน ๒๔ นี่ ๒๔ พระองค์ พระไตรปิฎก ว่าอย่างนั้นหรือ อ้อ! ในเถรวาท นี่น่ะหรือ อ้อ! ได้รับการพยากรณ์ มาจากพระพุทธเจ้าถึง ๒๔ พระองค์

และการที่ได้รับการพยากรณ์ มาจากพระพุทธเจ้าทั้ง ๒๔ พระองค์ มันไม่พบพระพุทธศาสนา ได้อย่างไร พบพระพุทธเจ้าแล้วไม่พบพระพุทธศาสนา มันมีที่ไหนในโลก แล้วก็กว่า จะตั้งอธิษฐาน กว่าจะศึกษาตามพระพุทธเจ้ามานี่ กี่ปางกี่ชาติกัน แล้วก็ได้เล่า ได้เรียนมา มันมีมาแต่เหตุ ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วมันโผล่ ไม่ใช่ได้มาลอยๆ จากฟากฟ้า อยู่ในอากาศ ฟากฟ้า ฟากดินที่ไหน ไม่มี มาแต่เหตุ แต่มันมีความหมุนวน มีวัฏสงสาร ในปางที่ท่านเกิดมา ในปางสุดท้าย ปางที่จะตรัสรู้พระพุทธเจ้านั่น ไม่มีใครรู้หรอก แล้วใครก็ไปสืบทราบเอาไม่ได้ว่า พระพุทธเจ้า ท่านมาอย่างนั้นๆๆ ผู้ที่สืบทราบได้ ก็คือผู้ที่มีอภิญญาด้วยกัน มีความรู้ด้วยกัน หยั่งสิ่งที่มัน ย้อนกาลด้วยกันได้ มีภาวะที่มีสิ่งจริงด้วยกัน ได้รู้ได้เห็นแจ้งด้วยกันได้ สัมผัส สัมพันธ์กัน มีสิ่งที่มันเกิดมาจริง เป็นจริงด้วยกัน มันก็ยืนยันกันเอง

สิ่งเหล่านี้เป็นอจินไตย อาตมาพยายามอธิบายนี่เป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่ลึก พยายามไขความ ด้วยเหตุผลให้คุณฟัง เป็นอจินไตย ก็พยายามเอาเหตุผล เข้ามาไขความให้ฟังว่า พระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ตรัสรู้เอง โดยตัวเองปั้นขึ้นมาเอง ไม่ ก็ของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ แต่ปางไหนๆๆ แล้วก็สืบทอดกันมา แต่ปางที่ท่านเกิดมา ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่มีมรรคองค์ ๘ ท่านเอามาตรัส มากล่าวเอง เพราะท่านมีอยู่ในตัวของท่านมาแล้ว สั่งสมบุญบารมี สั่งสม ความรู้เหล่านี้มาแล้ว

อาตมาเคยพูดนะ เคยบอกว่า พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในปางที่ท่านมาเกิดเป็น พระพุทธเจ้า ในร่างของ เจ้าชายสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าท่านมีคุณธรรมมาเพียงพอแล้ว มรรคองค์ ๘ ท่านไม่ได้เรียน จากฤาษีคนไหน มรรคองค์ ๘ ท่านไม่ได้ไปเที่ยวได้เรียนอะไรมาอีก หรือวิชา อย่าว่าแค่ มรรคองค์ ๘ เลย พุทธธรรมต่างๆ นานา ที่ตั้งไม่รู้เท่าไหร่ๆ ที่ท่านมาสอนตั้ง ๔๕ พรรษานี่ เอามาจากไหน ท่านไม่ได้เรียนมาจากใคร แต่ท่านก็เรียนมาจากพระพุทธเจ้า แต่ปางไหนๆๆๆ ท่านจะพยายามยกของพระพุทธเจ้าองค์นี้ๆๆ มาตรัสมากล่าวอะไร ก็นั่นแหละ ยืนยันว่า ท่านเรียนมาจากพระพุทธเจ้าองค์นั้นๆๆๆ ใช่ไหมเล่า เดี๋ยวท่านก็บอกยกของ พระพุทธเจ้า ทีปังกร ยกของพระพุทธเจ้าสิกขี เดี๋ยวก็ยกของพระพุทธเจ้าพระมหานาม อะไรต่างๆ ท่านก็ยกมากล่าว ก็ท่านเรียนมาจากพระพุทธเจ้า องค์เหล่านั้น ใช่ไหมเล่า ท่านไม่ได้บอกว่า ของท่านเองทีเดียว แต่จริงของท่านในปางนี้ ก็เรียนมาจาก พระพุทธเจ้า องค์ก่อนๆ องค์ก่อนๆ ก็เรียนมาจากองค์ก่อนๆ ต่อทอดมา

คำว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุ มันถึงจะถูกต้อง มันไม่ใช่ไปตัดลอยๆ เอามาเอง มันมาจากเหตุทั้งนั้น มันมาจากต้นทางทั้งนั้น มันมีการเชื่อมต่อมาทั้งสิ้น แต่เราเรียกว่า ท่านตรัสรู้เอง เพราะตอนนี้ ท่านไม่มีครูบาอาจารย์ และที่ท่านไปศึกษาอยู่ ๖ ปี กว่าจะตรัสรู้ ท่านไม่ได้ศึกษา วิชาพระพุทธเจ้า เป็นความผิดพลาดเสียด้วยซ้ำ ๖ ปีน่ะ เรียนมา ไปศึกษาแต่ไอ้วิชาที่มัน นอกรีต ที่จริงเป็นการไปทดสอบสุดท้ายเท่านั้นเอง เสร็จแล้วท่านก็มาไตร่ตรอง นั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ตรวจสอบ บุพเพนิวาสานุสติญาณ โอ้โฮ! กี่แสนกัป กี่สังวัฏกัป วิวัฏกัป เสร็จแล้ว ท่านก็ได้รู้แล้ว ว่า ท่านพบ ท่านผ่าน ท่านมีอะไรต่อะไรมาหมดแล้ว แล้วท่านก็สำรวจ งบบัญชีว่า โอ้! เราสมบูรณ์ แล้วหรือยัง เราจะเป็นพระพุทธเจ้าได้หรือยัง สมเหมาะสมควรหรือยัง มีใครเหนือบ้าง อันนี้ต่างหากเล่า ที่ท่านนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์นั่น ไม่ใช่ว่าท่านเรียน ท่านตรวจสอบ ใช้ญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็รู้กันอยู่ แล้ว ญาณ ๓ วิชชา ๓ ก็รู้กันอยู่แล้ว

ท่านก็ไม่ได้ตรวจสอบอะไร ตรวจสอบความจริงที่ท่านเป็นท่านมี แล้ว ท่านก็งบดุล ให้คะแนน ของท่านว่า เอาละ เป็นพระพุทธเจ้าได้แล้วจริงๆ ไอ้สิ่งต่างๆนานา ที่มันผ่าน ๖ ปีนั่นน่ะ บางคน บอกไปศึกษา จะไปศึกษาตามพระพุทธเจ้า ถ้าใครไปศึกษาตามพระพุทธเจ้า ที่ท่านเรียนอยู่ ๖ ปี นั่นน่ะ รับรองลงทะเล ยะเยือกเย็น มันนอกเรื่องนอกทาง ไม่ใช่วิชาที่ถูกต้อง

แต่ท่านมาสอนนี่ซี ต้องเรียนตามท่าน ท่านเอามาสอนนี่ ท่านเอาของท่าน ที่มีมาเดิมทั้งนั้น มาสอน ก็ท่านไม่เรียนมาจากฤาษีองค์ไหน ก็ท่านไม่เรียนจากอาจารย์ที่ไหนนั่นน่ะ ไม่มี ในปางนี้ ท่านมีชีวิต เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ไปเรียนมา ๖ ปี ไม่มี ยิ่งไปเรียน ๑๘ วิชามา โยนทิ้งหมดเลย ไปจบปริญญามา ๑๘ ปริญญา ที่ท่านจบวิชามาเก่งๆ ในอะไรมา ท่านก็ไม่ได้เอามาใช้ ท่านก็เอา วิชาของท่าน ที่สั่งสมมาแต่ปางบรรพ์ อาตมาพูดเรื่องนี้ อาตมาก็เอามาอ้างอิง กับตัวเองบ้าง เผื่อคุณจะเชื่อ ว่าอาตมาก็ไม่ได้เรียนมาจากใคร ชาตินี้ ปางนี้ แต่ก็มีเชื้อของ พระพุทธเจ้า มาบ้าง เชื้อคำสอนนี่ ยังมีเหลืออยู่ในพระไตรปิฎกเป็นต้น พระสูตรอะไรนี่ โอ๊! แค่นี้ อาตมาก็คุ้ยได้หลาย

เพราะฉะนั้น อาตมาเอง อาตมาอ่านพระไตรปิฎก อาตมาไม่ต้องไปอ่านทบทวน เตรียมตัว มาก่อนหรอก นี่ท่านองค์นี้เคยเพ่งโทษอาตมา ท่านวสวัตติโก แต่ก่อนนี้ อะไรวะ ไม่อ่าน พระไตรปิฎก มาอ่าน แล้วก็พูดเอาเองหมดเลย ไม่เตรียมตัวมาก่อนเลย ยกพระไตรปิฎกมา ก็อ่านๆๆๆ แล้วก็อธิบายไป อาตมาอธิบาย พระไตรปิฎกเป็นเล่มๆ ในพุทธประวัติ จากพระโอษฐ์ อาตมาอธิบาย ตั้งแต่บรรทัดที่หนึ่ง จนบรรทัดสุดท้าย นี่บรรยาย กันอยู่ที่นี่ พระพุทธประวัติ จากพระโอษฐ์ ของท่านพุทธทาสทำไว้ อาตมาก็เปิดมา ถึงบทนั้น อาตมาอ่าน อธิบาย อ่าน อธิบาย องค์นี้ไม่เชื่อ บอกอะไร ไม่เตรียมตัว ไม่ตรวจ ไม่หาอะไรเสียก่อน แล้วมาอธิบาย ไม่เป็นครูเลย ครูเขายังเตรียมการสอน อาตมามันผ่าเป็นครูไม่เตรียมการสอน เพ่งโทษ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่รู้จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ยังไม่รู้ จะพิสูจน์ต่อไป อีกนานเท่าไหร่ ก็ยังไม่รู้ ไม่รู้จะเชื่อ หรือยัง

อาตมาแตะพั้บนี่ อาตมารู้แล้ว อันนี้เข้าใจ เชื่อไหมว่า อาตมาเป็นอุคฆติตัญญูคนหนึ่ง แตะแต่ หัวข้อเท่านั้น อาตมาก็ว่าไปได้แล้ว ถ้าเข้าใจว่า อุคฆติตัญญู คืออะไร วิปัญจิตัญญู คืออะไร เนยยะคืออะไร ยากอยู่ที่จะให้เนยยะ มาเข้าใจวิสัยของอุคฆติตัญญู ไม่ได้ถูกถูกน่ะ ก็ยากอยู่ เนยยะจะมาเดาวิสัย ของอุคฆติตัญญูก็ยาก แต่โดยโวหาร โดยหลักฐาน โดยปฏิภาณ ปัญญา ก็เราเข้าใจ ดูซี แม้แต่เพียงพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อุคฆติตัญญู คือผู้ที่ได้ฟัง แต่เพียงหัวข้อ ไม่ต้องฟัง ฟังแต่เพียงหัวข้อนะ วิปัญจิตตัญญู ก็ขยายความหน่อย ใช่ไหม วิปัญจิตัญญูก็ ขยายความหน่อย แล้วก็บรรลุ ส่วนอุคฆติตัญญูนั่น ฟังแต่หัวข้อก็บรรลุแล้ว สว่างแจ้งแล้ว ไม่ต้องไปพูดอะไรท่านมากหรอก สั้นๆ น้อยๆ ข้นๆ หัวๆ พั้วะ! ท่านก็รู้แล้ว หรือสำคัญๆ เกี่ยวกับสำคัญๆ ท่านก็รู้แล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น

อาตมาว่า อาตมามีธาตุอันนั้นอยู่จริงเลยนะ ก็ได้พิสูจน์กันมาหลายปีแล้วว่า มีธาตุอันนี้ ไม่รู้ว่า ธาตุอันนี้ จริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ ฟังดูเอาเองก็แล้วกัน ตรวจตราดูเองก็แล้วกันŠ เอ้า วันนี้ก็คุยตัวเอง ไปมากหน่อยนะ อย่าอาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่ง ออกจากปากน่ะ

พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่าท่านสอนสาวก ๑๘๐ รูป ท่านสอนมันก็แรงน่ะ มันก็จัด มันก็อย่างนี้ สอนแรงจัด พูดอะไรจัดๆออกไปแล้วนี่น่ะ คนรับไม่ได้ นี่ ถึงอาเจียนเป็นโลหิตร้อน พุ่งออก จากปากไป ๖๐ จะตายหรือไม่ตาย ท่านไม่กล่าวต่อ เรียกว่าโลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก ๖๐ แหม ! มันเป็นอย่างไรกันน่ะ คือ หมั่นไส้นี่ภาษาไทยเราเป็นแค่เพียงว่าอ้วกน่ะ แต่นี่มันเกิน หมั่นไส้มั้ง นี่มันหมั่น อะไรล่ะ มันถึงโลหิตร้อนพุ่งออกจากปาก อ้วกนี่มันก็ขนาดหนึ่งนะ นี่มันโลหิตร้อน พุ่งออกจากปาก นี่มันจะมหาอ้วกขนาดไหน อภิมหาอ้วก มันก็คงจะสุดยอด อภิมหา หมั่นไส้ น่ะหนอ สุดยอดของอภิมหาหมั่นไส้ ๖๐ รูปไป อีก ๖๐ รูป บอกลาสิกขา บอกไม่เอาละ แหม ! ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ทำไมมันโม้มากนัก ทำไมมันใหญ่นัก ทำไม แต่อีก ๖๐ รูป บรรลุเป็น อรหันต์ไป

อาตมาเอาสูตรนี้มาอ้างบ่อยๆ กับพวกเรา ข้างนอกอาตมาไม่กล้าอ้างเท่าไหร่หรอก เพราะว่า มันไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดกับเขา แต่อย่างพวกคุณน่ะพูดแล้ว ก็มีเรื่องราวมา มีเหตุมีปัจจัย อาตมาก็ยกตัวอย่างที่มาสำทับ มาขยายความต่อ เพื่อให้พวกเราลองฟังดู ไม่ใช่มาอ้างเพื่อเอาดี เอาเด่นอะไร อาตมาบอกตรงๆว่า อาตมาไม่...จิตของอาตมาตรวจน่ะ กิเลสของอาตมาก็ตรวจ ว่าอาตมา อยากใหญ่จริงๆ เพื่อจะให้คุณมาศรัทธาเลื่อมใสจริงนะหรือ อาตมาเชื่อมั่นในสัจจะ เท่านั้น อาตมาไม่ต้องการนะ ว่าคุณจะมาศรัทธาเลื่อมใสอาตมา อยากให้คุณมาศรัทธา เลื่อมใสอาตมา อาตมาว่า อาตมาไม่มีน่ะ อาตมาไม่ได้อยากหรอก

ถ้าคุณจะมาเลื่อมใสศรัทธา ก็เพราะคุณเอง มองเห็นความจริง แล้วมาศรัทธาเลื่อมใส เออ! อย่างนั้นน่ะ มันเป็นของจริง ถ้าอาตมาจะหว่านล้อมนะ ใช่ ไอ้นั่นหว่านล้อมไปน่ะ ดีไม่ดี ใช้เลศเล่ห์ด้วย เพื่อให้คุณมาศรัทธา โดยเฉพาะ ใช้เลศเล่ห์นะ นั่นให้คุณมาศรัทธา ก็ได้ ทุกวันนี้ คนเขาก็ทำ แต่อาตมาว่า อาตมาลึกซึ้งกว่านั้นนะ อาตมาว่า อาตมาไม่ทำไอ้อย่างนั้น ถ้าอาตมาทำอย่างนั้น ยิ่งใช้เลศเล่ห์หว่านล้อมเข้าด้วย คุณก็จะหลงใช่ไหม ใช้เลศเล่ห์ คุณฉลาดไม่เท่าอาตมาใช่มั้ย คุณก็จะถูกอาตมาหลอก

คุณถูกหลอกมานี่ คุณฉลาดหรือคุณโง่ คุณถูกหลอกมานี่ คุณฉลาดหรือคุณโง่ อาตมาก็ได้ คนโง่มาใช่ไหม คุณเป็นอาจารย์ขี้หมาอะไร อยากได้คนโง่มาสอบเอนทร้านซ์ทุกวันนี้ อยากได้คนโง่ หรือคนฉลาด อยากได้คนฉลาด ใช่ไหม อาตมาไม่เอา สอบเอนทร้านซ์ เอาคนโง่มา ถ้าจะสอบเอนทร้านซ์เข้ามา ก็ต้องเอนทร้านซ์เอาคนฉลาดเข้ามา ต้องให้คุณ ไม่ถูกลอก โดยอาตมาไม่หลอก ความจริงคุณเข้าถึงไหม? เข้าถึง มา เข้าไม่ถึง อย่าเพิ่งมา คนฉลาด ความจริงจึงเข้าถึง แล้วมา ขนาดที่ว่า คัดเลือกเอนทร้านซ์ขนาดนี้นะ ยังสอนกัน ลิ้นจะห้อยตายอยู่แล้ว แล้วจะเอาคนโง่มาทำพริกอะไร ใช่ไหม แค่นี้ อาตมาก็ว่าคัดเลือก อาตมาถึงบอกว่า ประเทศไทย หรือว่าศาสนาพุทธมีหวัง พวกคุณเข้าใจได้ พวกคุณ ผ่านเอนทร้านซ์นี่ เข้ามาได้ แล้วก็มาเล่าเรียน อุตสาหะวิริยะ บางคนก็หน้านองน้ำตาอยู่ บางคนก็บอก อื้อฮือ ! จะทนไม่ไหวแล้ว มันก็จะหลุดออกแล้ว จะไปแล้ว แต่มันก็ชัดนะ มันก็ดีจริงๆนะ สู้ เอา สู้ต่อไป บางคนก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ก็อยู่ได้ พอเป็นพอไป แต่ไม่อุตสาหะนี่ซี เฆี่ยน เฆี่ยน ไม่อุตสาหะนี่ ก็ไม่ถึงกับจะหลุดจะลอยไปหรอก ไม่ไป อย่างไรก็ไม่ไป อยู่นี่แหละ อยู่ละ แต่อยู่โดยไม่วิ่งนี่ อาตมา ก็ตีอยู่ที่นี่ เอาไฟจุดก้นอยู่ที่นี่ทั้งนั้น ยากแสนยาก ใช่ไหม

ไอ้เรื่องที่พูดถึงเหตุถึงผลนี่ อาตมาพูดนี่ก็พูดอย่างกระจะๆ ไม่ใช่เป็นเลศเล่ห์ เหลี่ยมลิ้นลมอะไร อาตมาไม่กลัวหรอก ไม่กลัวว่าคุณจะเข้าใจอาตมาไม่ได้ อาตมาจะดีใจ ที่คุณเข้าใจได้ อาตมาไม่กลัว ถ้าอาตมาพูดอย่างนี้ไป รู้สึกว่ามัน แหม ! มันแบบนี้มันแรงนะ แรงทนได้ไหมล่ะ ได้แล้วดี กลัวคุณจะไม่ได้เท่านั้นแหละ ถ้าได้แล้วดี แรงก็เอา เพราะฉะนั้น คนที่ทนแรงของ อาตมาได้ คนนั้นก็มีความแข็งแรง ก็เป็นข้อสอบเอ็นทร้านซ์ ข้อหนึ่ง ก็เข้ามาซี แล้วก็มีคน เข้ามาได้ หลายคนบอก แหม! ทำไมคนอื่นเขาทนไม่ได้นี่น่ะ เขาก็ต้องมาต่อว่า แน่นอน แล้วเขาก็มาร้อง พวกนี้ มันพวกซาดิสม์ พวกแรง มันทำอะไร เคร่งจัดเกินไป สุดโต่ง มันต้อง แรงๆ มันก็ต้องอยู่กับพวกมันนั่นแหละ ใช่ ต้องอยู่กับพวกนี้ แต่ว่า เราก็ไม่ใช่ว่า เราไม่รู้โลก เราก็ไม่ใช่ไม่อนุโลม ทุกวันนี้ อาตมายืดหยุ่นอนุโลมปฏิโลมไป ไม่ใช่น้อยแล้วนะ เชิงที่อาตมา เคี่ยวเข็ญเข้มข้นก็มีอยู่ เชิงที่อาตมายืดหยุ่นก็มีอยู่ ข้อสำคัญ พวกคุณ อย่าเพิ่งไปยืดหยุ่น ให้อาตมาเถอะน่ะ พวกคุณยืดไม่เป็น ยืดแล้วมันจะไม่หยุ่น ยืดแล้ว มันจะยาวยาน ยืดแล้วมันจะไม่หยุ่น มันไม่เด้งกลับน่ะ หยุ่นนี่ ใช่ไหม ยืด ยืด มันไม่หยุ่นนะ มันไปเลย มันไม่หยุ่นแล้วนะ มันไปเลย ระวัง เพราะฉะนั้น พวกคุณอย่ายืดหยุ่นเลย

อาตมานี่จะยืดหยุ่นเอง คนที่ยืดหยุ่นได้ บางคนก็ต้องรู้ว่า มันจะต้องกลับไปกลับมาได้ อย่างคุณ มันไม่ได้ ไม่ใช่หนังสติ๊กนะ ยืดซะหมด ไม่เป็นไร ไม่หยุด แล้วก็ยืด แล้วก็ยานไป แล้วก็หย่อน ไปเลย หายต๋อมไปเลย มันไม่ได้ เอาทั้งภาษาของวัตถุรูป เอาทั้งภาษาของนามธรรม มาอธิบาย ประกอบกันไปเรื่อยๆ เราก็จะได้รับรู้ อะไรต่ออะไร เพิ่มเติมขึ้น

สรุปแล้ว ราตรีของผู้ตื่น ผู้ตื่น ชาคระ หรือชาคริยะ ชาคริยา ผู้ที่มีความตื่น เป็นผู้ตื่นจริงๆนี่ ในความหมายนี่ มันก็คือความหมายเดินทางไปสู่ความเป็นพุทธ ที่เรียกว่าผู้ตื่นนั่นแหละ ตื่นจริงๆ ไม่หลับใหลแล้วในโลกนี้ รู้ความจริง แม้ในที่มืด แม้ในที่แจ้ง ความมืดคืออะไร ก็รู้ความมืดได้อย่างชัดเจน ถูกต้อง ความแจ้งคืออะไร ก็รู้ความแจ้งความสว่างได้ถูกต้อง ไม่งมงายแล้ว ชัดเจน เป็นผู้หลับผู้ตื่นอันรู้ชัดเจนว่า เราต้องไม่พัก เราต้องไม่เพียร เราเป็นผู้ ไม่พักไม่เพียร ข้ามโอฆสงสารได้

อาตมาไม่ดูถูกเขาหรอกนะ ว่าคนเดี๋ยวนี้พระอาจารย์ต่างๆนานา ไม่ได้ซาบซึ้งประโยคนี้ เราไม่พัก เราไม่เพียร เราคือผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว หรือ สรุปง่ายๆ คือ ผู้ถึงนิพพาน ผู้ข้ามถึงฝั่งแล้วนั่นเอง ความหมายแค่คำว่า ไม่พักไม่เพียร เป็นเงื่อนไขคำตอบ ของความเป็น ผู้ถึงนิพพาน ผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้วน่ะ มันไม่ใช่สำนวนตื้นเขิน มันลึกซึ้งมาก แล้วอาตมา ก็เอาอันนี้มาเปิดเผย เอามายืนยันกับพวกเรา อาตมาซาบซึ้งกับประโยคนี้มาก มันเป็นการไข ศาสนาพุทธ ที่ต่างจากศาสนาฤาษี ศาสนาที่กำลังหลงผิดหลงทางกันอยู่ในพุทธ อยู่ในประเทศไทย ก็ตาม

ไม่ต้องไปนั่งหลับตา ออกป่าออกเขาออกถ้ำอยู่กันอย่าง อยู่ในภพ ของตนเอง อยู่ในวังวน อยู่ในสังสารวัฏของตนเองอยู่เท่านั้น แล้วตีสังสารวัฏนั้นไม่แตก ตีภพไม่แตก ไม่เรียนรู้ภวตัณหา กามพอเรียนรู้กันบ้าง แล้วก็หาวิธีกดข่มกามเท่านั้น ไม่ได้ล้าง กามอย่างละเอียด จนกระทั่ง ถึงสภาพกามที่ละเอียดไปถึงราคะชั้นใน กามชั้นใน จนกระทั่ง ถอนอาสวะ มันไม่ได้เป็นขั้น เป็นตอน มันไม่ได้ละเอียดลออ หมก หมัก บำเรอ แล้วก็ไม่รู้ ไม่มีญาณทัสสนวิเสส ที่ละเอียด ลออพอรู้ได้ โดยเฉพาะ ยิ่งภวตัณหาแล้ว ไม่พูดกันเลย รูปฌานอรูปฌานอย่างฤาษีเป็นอย่างไร ไม่รู้จัก ความแตกต่างรูปฌาน อรูปฌานของพุทธเป็นอย่างไร ไม่รู้จักความแตกต่าง

อาตมาคงจะต้องไปรื้อหนังสือทางเอก มาเขียนใหม่ ปรับปรุงใหม่จริงๆ เพราะอาตมา เขียนรากฐานไว้ที่นั่นมากแล้ว แต่อย่างว่า ตอนนั้น มันก็หวือหวา แต่ที่จริง อาตมาบอกให้ได้ว่า มันต้องเป็นเช่นนั้นแหละ ตถตา เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้น อาตมาทำงานไม่ได้ถึงปานนี้

อาตมาจะบอกให้ฟังอันหนึ่ง คนที่มีปัญญาในโลกนี้ที่มานะ คนที่มีความเฉลียวฉลาด นี่มีมานะ ถ้าอาตมาทำดีๆ อะไรๆ ก็งามออกมานะ ไม่เป็นเศรษฐี เพิ่งเป็นเศรษฐีบ้านนอก เป็นเศรษฐีเพิ้งๆ ออกมา เห็นอะไรดี คนจะกระโดดใส่ คนมีปัญญารู้เท่าทันเอาไปก่อนเลย เสร็จแล้ว คนเหล่านั้น มานี่น่ะ มีกิเลสหนาตรง มานะ โอ้โฮ! มานะนี่ อาตมาซึ้งมันที่สุดเลย ขนาดพวกเรา ยังไม่ได้ดิบ ได้ดี เท่าไหร่หรอก ไม่ใช่ดูถูกนะ เปรียญก็เท่านั้นๆ เรียนมา ยังไม่ได้ดุษฎีบัณฑิตกี่ใบ หรอกนะ พวกคุณน่ะ ใช่ไหม ไม่ยิ่งใหญ่เท่าไรหรอก ขนาดนั้น มานะยังขนาดนี้ ฟังให้ดี แล้วคนที่ เปรียญยิ่งกว่าคุณ ได้ดุษฎีบัณฑิตมากกว่าคุณ แล้วมาแล้ว อาตมาจะเป็นอย่างไร เข้าใจไหม แล้วเขาจะเข้าใจได้ไวด้วย ถ้าไม่มีอะไรที่เขาเป็นข้อตำหนิต้านเขาไว้ ไม่ให้เขามานะ เขาเข้ามาเลย แล้วอาตมาก็เลยมาเจอแต่พวกนี้ เข่งมานะอย่างนี้ อาตมาก็เลย ตายอยู่อย่างนี้ อาตมาอ้วกแตกตายแน่ๆ ทำไม่รอด ฟังออกไหม นี่ไม่ใช่อาตมาพูดเล่น พูดจริงๆ พระเจ้าสั่ง ให้เป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ตถตา มันต้องเป็นอย่างนั้น อาตมาก็ไม่เจตนา เท่าไหร่ หรอกนะ แต่เห็นว่า โอ! ทุกอย่างนี่ มันเหมือนกัน ความไม่รู้นี่ บางทีมันก็ทำให้เรา ทำอะไรดีๆ เหมือนกันนะ มันไม่รู้ตัว แต่สัจจะต้องลงตัว สัจจะต้องสอดคล้องกับสัจจะ ที่เรียกว่า สิ่งนั้นลงตัว หรือสิ่งนั้นเป็นไปตามดวง สิ่งนั้นเป็นไปตามอัตโนมัติ สิ่งนั้นต้องเป็น ตถตา สิ่งนั้นจะต้องเป็นเช่นนั้น

เราไม่ได้เจตนาจงใจ หรือแสร้งทำ มันก็เป็นความบริสุทธิ์ชนิดหนึ่ง อาตมาไม่ได้แกล้งกั้นใคร แต่เหตุการณ์ มันก็กั้นใครเอาไว้ แล้วมันก็เป็นผลดีหลายๆอย่าง ที่เป็นผลดี ที่อาตมาเอง อาตมาว่า โอ้โฮ! เราไม่ฉลาดถึงขนาดนั้นสักหน่อย ที่จริงเราทำโง่ๆด้วยซ้ำไป เอ๊ะ ! แล้วทำไม มันถึงได้ออกมาดี ต้องโทษดวง ดวงของอาตมาเป็นดวงของบารมี บารมีไม่เป็นอย่างนั้น บารมีมันจะไม่ซวย มันก็เลยออกมาอย่างนี้ เรียกว่าดวงเราไม่ซวยแล้ว นี่ อธิบายดวงให้ฟัง

เพราะฉะนั้น คนเราจะมีบุญบารมีของมันที่อธิบายยาก อาตมาพยายามอธิบายอจินไตย ในกรรมวิบากชนิดหนึ่ง อาตมาต้องมีกรรมวิบากอย่างนี้ และกรรมวิบากอย่างนี้ มันให้ผลดี แก่อาตมา ให้ผลดีกับพวกคุณ ถ้ามีคนที่ฉลาดเข้ามาอยู่ในนี้ คนฉลาดนั้น ก็จะมาได้รับ ความศรัทธาเลื่อมใส พวกคุณฉลาดไม่เท่า พวกคุณจะเป็นพรรค เป็นหมู่ของผู้ฉลาดนั้น แล้วผู้ฉลาดนั้น มีมานะด้วย เฉโกด้วย โอ้โฮ! อาตมาจะหนักขนาดไหน เพราะฉะนั้น เข้ามานี่น่ะ เมื่อกี้พูดไปทีหนึ่ง แล้วก็ย้อนทวนว่า อาตมาต้องการสอนพวกคุณ พวกคุณฉลาดหรือโง่ ถ้าอาตมาหลอกลวงแล้ว พวกคุณจะเป็นคนโง่แล้วได้เข้ามา อาตมาจะได้แค่คนโง่เดี๋ยวนี้

พูดแล้วมันจะย้อนแย้ง ไอ้ที่กำลังพูดนี่ว่า ถ้าได้คนฉลาด บอกแล้ว คนฉลาดเหล่านั้น ไม่ใช่ฉลาดทางธรรม ฉลาดเฉโก ฉลาดเฉลียวที่มีมานะ คนที่มีกิเลสประกอบ เป็นความฉลาด ที่มันไม่เข้าท่า โดยเฉพาะที่มีมานะ คนที่ฉลาดอย่างนั้นน่ะ จะมีลีลา คารมโวหาร อะไร ต่างๆนานา ดึงเอาพวกคุณไปเป็นหมู่ เป็นพวก แล้วก็เข้ามาอยู่ในนี้ โอ๊! ทีนี้ รวนเรเลย ทำอะไรๆ อาตมาก็ยากเลย เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องไปเป็นหมู่เป็นพวก ต่างคนต่างก็ฉลาดเท่านี้ๆ เพราะฉะนั้น การที่ไม่ไปฮั้ว กับไม่ไปหลงใหล ไม่ไปศรัทธา ไม่ไปเลื่อมใสอะไร กันมากเกินไปนี่ มันก็ดีอยู่อย่าง มันไม่เกิดคณะ ที่จะเป็นคณะ ที่จะเกิดมุ้งเล็กในมุ้งใหญ่ อะไรเกินไป

เหมือนกับเหตุการณ์ ของสังคมทุกวันนี้ มันก็เลยไม่ยุ่งยากนัก ทำให้อาตมา มีโอกาสที่จะทำงาน ได้โดยไม่ต้อง เสียเวลาที่จะต้องมาต่อสู้ เสียเวลาจะต้องมาพิพากษา หรือมาทำอะไรต่ออะไร ถ้าเกิดมุ้งเล็ก หลายมุ้งเล็ก ก็ยุ่งอีกเหมือนกัน กลุ่มนี้ฉลาด ก. กลุ่มนี้ฉลาด ข. กลุ่มนี้ฉลาด ค. บ๊ะ สนุก พิพากษาคดี ก็ไม่รอดแล้ว ไม่มีเวลาทำอะไรแล้ว แต่ความฉลาดที่ไม่มีมานะนี่ มันก็ไม่เป็น อย่างนั้นมากมาย มันก็ยังพอทำเนา มันก็ยังพอฟังพออะไร มันก็ยังพอเกลี่ยๆ เฉลี่ยๆ มันไม่ค่อยถึงขั้น ที่จะต้องเข้าไปฮั้วอะไรกันได้มากมาย แล้วก็ค่อยๆไล่ขึ้นมา มันก็จะประสานกัน จนเป็นศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา มันไม่มีช่องห่าง ช่องว่าง อะไรกันมากมายนัก

อาตมาพยายามอธิบาย แค่นี้ก็ยากอยู่นะ พยายามอธิบายว่า การคัดเลือกคนเข้ามา ต้องคัดเลือก คนในระดับที่จะต้องมีศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตาได้ด้วย ที่อาตมาจงใจ จะอธิบายอันนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เกิดห่างทิฏฐิ ความฉลาด ที่จริงไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ญาณหรอก ความฉลาดนี่ มันเป็นเฉกตา เฉโก เฉกตา เฉกะนี่ มันเป็นความฉลาด ส่วนตัวของเขา ถ้าเขามีกันมากๆ มากๆแล้ว แล้วมีกิเลสด้วยน่ะ มันไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ จะเป็นเครื่องกั้นชนิดหนึ่ง ให้แก่อาตมาโดยธรรม

อาตมาไม่ได้ เจตนาแสร้ง ไม่ได้เจตนากั้น อาตมาไม่เจตนาจะพูดผิดด้วยซ้ำ ไม่เจตนาที่จะเขียน อะไรผิดนะ แต่ก็ยอมรับแล้วว่า ขณะนี้โดยหลักของสังคมมันผิด แต่ปรมัตถ์อาตมา ก็ขอยืนยัน อยู่ทุกวันนี้ว่า มันไม่ผิด โดยปรมัตถ์ มันไม่ได้ผิด โดยอรรถเนื้อหา โดยแก่นสาร มันไม่ผิด มันไม่ผิด แต่โดยพยัญชนะ โดยบัญญัติ โดยเปลือก พวกนี้มันผิดได้ มันโดยหลักเกณฑ์ของ สมมติสัจจะ โดยสมมติสัจจะมันผิด อาตมาก็ยอมรับผิดในส่วนสัจจะนี้

แต่ส่วนปรมัตถสัจจะ อาตมาก็ขอยืนยันอยู่นั่นเอง ว่า มันไม่ผิด แม้จะอธิบายว่า ตัน แปลว่า มันไม่มีรู หายังไม่เจอ ก็เอามาอธิบายไปสู่นิพพานได้จริงๆ แต่อาตมาไม่เคยแปล ตัณหานี่ อาจารย์พุก เขาเรียกกัน อาจารย์อยู่ใต้ร่มลานอโศกนั่น (วัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์) โอ๊ย! แกอธิบาย อยู่นั่นแหละ ตัน แปลว่าไม่มีรู หา แปลว่า ยังไม่เจอ อื้อ! ไอ้หมอนี่ มันอธิบายตลกดี แล้วเราก็จำได้ เอามาพูดบ้าง ผ่าว่าเราแปล ดีว่าอาตมาจำได้ แกชื่อพุกน่ะ นี่แต่ก่อนอาจารย์ ทางธรรมะบรรยายไว้ ที่ลานอโศกนั่นน่ะ โอ๊ย! สำนักตักกสิลา ขรมเลยคุณเอ๋ย แต่ก่อนนี้สนุก ใครเคยไปย่านนั้นบ้าง สมัยนั้นน่ะ มีไหม? ใคร? ย่านนั้นสมัยนั้น โอ๊! ขรมเลยน่ะ สำนักตักกสิลา แหม บรรยายธรรมะ กันแต่ละวงๆ มีลำโพง มีไมโครโฟนส่วนตัวกันคนละอัน ไอ้ไม่มีก็เยอะ ตะโกนกัน คอแห้งคอแหบ มากันทุกเสาร์ ทุกอาทิตย์ สนุก ย่านนั้น ตอนนั้นจริงๆ ไอ้เราก็ไป เป็นหนึ่ง ในสำนักตักกสิลา เราก็ตะโกน เหงื่อแตกเหงื่อแตน อยู่ที่นั่นด้วย สนุก

อาจารย์พุก นี้ อธิบายตัณหานี่ แกแยกคำ ตันกับหา ตันก็ไปอธิบายว่าไม่มีรู หาก็แปลว่า ยังไม่เจอ ยังต้องหาอยู่ มันยังไม่เจอนี่ ต้องหาอยู่ มันยังไม่เจอ ตันก็ไม่มีรู เอามาอธิบายให้ เป็นนิพพาน โดยเอาเนื้อหาก็ได้นะ ทำไมจะไม่ได้ ป่วยการกล่าวไปไย จะไปอธิบายอะไรอื่น เอามาอธิบาย ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าจะอธิบาย โดยที่ผู้แม่นทิศทางแล้ว แม่นเป้าไปสู่นิพพานแล้ว อธิบายได้ อย่างอีสานนี่ พระอีสาน พระแก่ๆ นโม ตัสสะ เออ! ตั๊ดสาหล่า ตั๊ดสา ก็คือ ตัดเสียนั่นเอง ภาษาอีสานเขาบอก ตัดสา นโม ตั๊ดสานั่น พระพุทธเจ้าเพิ่นสอนให้ตั๊ดสา ก็ตั๊ดสา ก็ได้นี่ อธิบายอย่างนั้น ก็ได้นี่ ไปนิพพานเหมือนกัน แล้วมันเข้าบาลีไหมเล่า ตั๊ดสะ นั่นแปลว่า ตัดเสีย เข้าบาลีไหมเล่า มันถูกไวยากรณ์ไหมเล่า มันก็อธิบายกันอย่างนั้น อาจารย์ หลวงปู่แหวน ก็ เออ! ทำโม ทำเมา อย่าไปเอาทำเมา เอาทำโม เอาธรรมะ อะไรอย่างนี้ ว่าไปตามประสา ก็อธิบายมีเนื้อหาอะไรขยายความให้มันสู่อรรถสาระ เข้าสู่นิพพาน ถ้าไม่ถือสากัน ถ้าไม่เพ่งโทษกัน มันไม่มีปัญหาหรอก

ข้อสำคัญนั้นเป้าหมายหลัก อุดมการณ์ แล้วก็ทิศทางที่เขาพูดนำพาให้คนเข้าใจ ให้คนมีศรัทธา ให้คนเข้าใจถูกทาง เพื่อจะละลด หน่าย คลายได้ นั่นคือ เป้าหมายหลัก นี่มาหลงแต่ภาษา ติดแต่ไอ้พวกนี้อยู่ เกี่ยงกันอยู่ เอ้า! ว่ากันเข้าไป อาตมาไม่เถียงด้วยหรอก เพราะอาตมารู้อยู่ว่า อาตมาไม่มีส่วนเด่นอันนั้น ที่จะไปเถียงได้ อาตมาก็ละ เรื่องอะไร จะไปเอาส่วนไม่เด่นของเรา ไปเถียงกับเขา มันไม่สนุกหรอก ใช่ไหม ไม่เถียง แพ้ก็ยอมรับ แพ้ได้ แต่อาตมาจะทำงานอย่างนี้ อาตมาว่า อาตมาไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางอะไร อาตมาจะพาไปหานิพพาน อาตมาว่า อาตมาพาไปได้ พาไปถูกทาง อาตมาก็ทำอย่างนี้

เอาละ อาตมาได้สาธยายอะไรต่ออะไรมายาวนานพอสมควร ก็สรุปแล้ว สูตรต่างๆ นี่ก็ขยายความได้ ด้วยประการฉะนี้แหละนะ ใครเอาก็เอา ใครไม่เอาก็ไม่เอา ก็ไม่ว่าอะไรกันน่ะ เอ้า เอวัง


ถอด โดย จอม ศรีสวัสดิ์ ๒๔ ม.ค.๒๕๓๕
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๖ ก.พ.๒๕๓๕
พิมพ์ โดย อนงค์ศรี ๑๑ ก.พ.๒๕๓๕
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๑๓ ก.พ.๒๕๓๕

:2194B.TAP