กว่าจะถึงสัมมาทิฐิ ๑๐ ตอน ๗
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
เมื่อ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
เนื่องในงานปลุกเสกฯครั้งที่ ๑๖ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก อ.กันทรลักษ์
หน้า ๒ ต่อจากหน้า ๑


ถ้าผู้ใดนั่งอยู่นี่ อาตมาพูดไปแล้วจะหาว่า อาตมาตู่เอา อาตมาก็ว่าเป็นลูกนะนี่ อาตมาพึ่งลูก พวกนี้ได้ ไม่อกหัก แม้คนนี้ไม่ให้พึ่ง คนนี้ก็พึ่งได้ พึ่งไม่กี่คน อาตมาก็อยู่ได้แล้ว คนตั้งมาก ตั้งมายอย่างนี้ โอ๊ย ตกหล่นไปสักร้อยหนึ่ง ก็ยังอยู่ได้เลย เออ ลูกร้อยคน ขบถไม่เป็นไร เหลืออีก หลายร้อย เหลืออีกหลายร้อย มีลูกให้ได้จริงๆ อย่างนี้ มาเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่แต่อาตมา พวกคุณ มาอยู่อย่างนี้ ก็มีลูก มีลูกทางธรรม วันนี้ไม่ถึงโอปปาติกโยนิ ไม่ถึงแหงๆเลยวันนี้ มันช้าอยู่ ถ้าไปถึง โอปปาติกโยนิ นะ มีแม่มีพ่อขึ้นไปในระดับนั้น เราจะเข้าใจลึกซึ้งขึ้นไปอีกเลย บอก อ๋อ เราไม่ต้องไปทำคลอด ไม่ต้องไปตั้งท้องแบบนั้นหรอก มาตั้งท้องอย่างนี้ มาเป็นแม่อย่างนี้กัน มาเป็นพ่ออย่างนี้กัน ไม่ต้องไปสมสู่อย่างโน้นหรอก ไอ้นั่นมันของสัตว์ชั้นต่ำแล้ว

พระพุทธเจ้าว่า คามะธัมมัง วะสะละธัมมัง ทุฏฐุลลัง เขายังมีกรรมกิริยาอย่างนั้น ขออภัยนะ ผู้ที่ยังมีอยู่ ก็ขออภัย ตอนนี้ก็ฟังกันหน่อย ต้องยอมรับความจริงกันหน่อย มันเป็นของ สัตว์สถุล ชั้นสถุล วะสะละธัมมัง ของคนถ่อย ฟังแล้ว แหม เขาแปล อาตมาไม่ได้ใช้สำนวนใหม่นะ ในพระไตรปิฎกแปลเองนะ วสลธัมมัง มันเป็นกรรมกิริยา หรือว่าเป็นธรรมะของคนถ่อย คนถ่อยยังทำกันอยู่ คนที่พ้นพวกนี้แล้วเขาไม่มีหรอก กรรมกิริยาอย่างนี้ ไอ้เรื่อง เมถุนธรรมนี่ ขอมาอย่างนี้เถอะ มาสร้างลูกอย่างชนิดโอปปาติกโยนิ มาสร้างลูก มีพ่อ มีแม่ แบบโอปปาติกโยนิ ไม่ต้องไปทำกรรมกิริยาแบบโลก แบบสัตว์โลก เดรัจฉานทั้งหลาย หรือว่า สัตว์ที่ยัง ไม่ถึงภูมิโลกุตระน่ะ พอมาถึงภูมิโลกุตระอย่างนี้ มีพ่อมีแม่อย่างนี้ เป็นพ่อเป็นแม่ อย่างนี้ แล้วก็มีการเกิดทางโอปปาติกะอย่างนี้ มีลูกทางธรรมอย่างนี้ ทางวิญญาณนี่ ทำให้ เกิดให้ได้กันจริงๆ อย่างนี้ พวกคุณก็ทำได้

แต่ถ้าเป็นโพธิสัตว์ มีลูกจำนวนพัน เป็นอเนก พระโพธิสัตว์ ลูกเป็นจำนวนพันเป็นอเนก คุณจะเชื่อ อาตมาว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ เพราะอาตมา มีลูกจำนวนพันเป็นอเนก แล้วลูกคุณ ก็ต้องทำตามตนเอง ให้เป็นผู้ที่เกิดทาง โอปปาติกะ และมีปัญญาญาณรู้ว่า เราเกิดจริงๆ จิตวิญญาณเราเกิดจริงๆนะ จิตวิญญาณเรา เกิดเป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิเทพจริงๆนะ คุณเกิดจริง คุณจึงรู้ว่า คุณเป็นลูกอาตมาจริง มีจำนวน ถึงพันจริงๆ แต่ละคน แต่ละคน ยืนยันได้ อาตมาก็เป็นโพธิสัตว์จริง ฟังออกไหม

อาตมาก็เป็นโพธิสัตว์จริง คุณจริงไหมล่ะ คุณเชื่อมั่นจริงไหมล่ะ ไม่ได้ถูกหลอกแต่บัญญัตินะ ยังไม่รู้ ปรมัตถ์ ยังไม่รู้ว่า จิต เจตสิก เราเกิดเป็นยังไง ก็ไม่รู้เรื่อง ต้องจิต เจตสิกของเราจริงๆ ฆ่ากิเลสตาย แล้วเราเกิดออกมาจริงๆ เกิดใหม่ เป็นจิตวิญญาณที่ไม่เวียนกลับ เป็นจิตวิญญาณ ที่เที่ยงแท้ เที่ยงแท้มั่นคงเท่าไหร่ ยิ่งดี ในรอบที่เที่ยงแท้มั่นคง บอกว่าไม่เวียนกลับไปสู่ที่ต่ำ อีกแล้ว เที่ยงแท้ต่อที่สูง เจริญไปถึงนิพพานจริงๆ คุณรับรองตัวเอง มีญาณ ต้องมีญาณจริง ไม่ใช่ญาณปลอม เห็นจิตเจตสิก เห็นนะ เห็นจิต เจตสิกเราเกิด การเกิดของจิต เจตสิก โอปปาติกะโยนิ เป็นสัตว์ทางโอปปาติกะ สัตตา โอปปาติกา นี่ เกิดจริงๆ

เมื่อคุณรับรองตัวเองจริง พันคนขึ้นไป ว่าคุณเกิด เพราะอาตมาให้การเกิด อาตมาบอกแล้วว่า อาตมานี่ ชาตินี้ มันเป็นทั้งแม่ทั้งพ่อน่ะ เอ้า ยังไม่ถึงมันไปก่อนแล้ว พอจะไปก็ไปเลย ข้ามไปเลย ข้ามทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ไปเลย เอาละ อาตมาจะไม่เน้นมากนัก คนที่ทำประโยชน์ ก็ต้องเป็น ปรมัตถ์ เป็นเรื่องของชาวโลกุตระพูด ถ้าชาวโลกียะพูดก็เอาเถอะ ฟังเขา ก็มีประโยชน์บ้าง ทางโลกียะเขาใช้พูดไปอย่างนั้น ก็มีประโยชน์บ้าง เขาต้องอาศัย ถ้าไม่อาศัย เขาก็ไปไม่รอด

ธรรมะของพระพุทธเจ้า จะเอาไปอาศัย อธิบายเอาเองเป็นแบบโลกียะบ้าง ก็เอา มันก็พออาศัย แต่มันไม่ใช่แท้ มันไม่ใช่ไปสูงสุด ถ้าโลกุตระแล้ว มันจะไปประเสริฐสูงสุดเลย อย่างโลกียะ ก็ไม่ค้านแย้ง เขาจะค้านแย้งอะไรขยันเหมือนกัน อารักขสัมปทา ก็อารักขสัมปทาที่สูงส่งกว่า ด้วย กัลยาณมิตตตา เป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ยิ่งกว่า ไม่ใช่มิตร ข้างหลัง ถือปืน ข้างหลังถือมีดด้วย ไม่มีการขบถกัน ไม่มีการพรางกัน ลวงกัน หลอกกัน อะไรกัน

แม้คุณจะยังมีกิเลสบ้าง จะหลอกเล็กๆน้อยๆ ก็รู้ตัวแล้วก็แก้ไข เข้าไปสู่ความจริงใจ กลายเป็น มิตรที่เกื้อกูลเอื้อเฟื้อ เป็นมิตรที่ไม่ใช่มาคอยอำพราง คอยหักหลัง คอยขบถอะไรกัน แล้วก็สู่ สัมมาอาชีพ เลี้ยงชีวิตชอบ เลี้ยงชีวิตที่มี สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา กันจริงๆ ไม่ใช่มา งอมืองอเท้า อาชีพนั่งอยู่เฉยๆ อาชีพนั่งหลับตา ถ้าสมมุติว่า พวกเรา บรรลุธรรมกันหมดเลย เก่งทางนั่งหลับตาหมดเลย ไม่มีใครทำงานเลย เหมือนอย่าง ลัทธิฤาษี แล้วจะเป็นยังไง จะพึ่งใคร แล้วโลกเขาให้เราพึ่งง่ายๆหรือ มันพึ่งกัน เป็นที่พึ่ง อันเกษมหรือ มันเป็นที่พึ่งที่จะหวังได้หรือ ไม่ได้ ต้องพวกเรา พึ่งกันเอง มีกรรม การงาน มีทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ มีความขยันหมั่นเพียร มีสมรรถภาพ มีการสร้างสรรทางความรู้

การทำงาน มีโรงสีอย่างบุญนิยม มีโรงพยาบาลอย่างบุญนิยม มีโรงเรียนอย่างบุญนิยม มีเรือน ศาลาช่าง มีช่างโรงช่างอย่างบุญนิยม มีกิจกรรม กิจการงาน สัมมาอาชีพ อย่างได้วงจักร สมบูรณ์เลย เป็นแบบลัทธิบุญนิยมเลย สร้างสรรสมบูรณ์ แล้วพวกเราทำกันเอง พวกเรามีน้ำใจ อย่างกันเอง พึ่งพากันได้เอง

สังเกตไหมว่า พวกเราทุกวันนี้ ไปเหนือก็มีข้าวกิน ไปใต้ก็มีข้าวกิน ไม่มีค่ารถ ก็ไม่ต้องไปห่วง เท่าไหร่ เดี๋ยวก็เกื้อกูลกันมา ขอให้มันจริงเถอะ พิสูจน์จริงเถอะ ไม่ต้องถึงขั้นอาตมา อาตมาน่ะ หายห่วงเลย ไปไหนก็เขาไม่ต้องกลัวจะตกรถ ไม่ต้องกลัวอดอยาก ไปเหนือ ไปใต้ ก็ไม่ต้องห่วง แม้แต่พวกเรา เป็นฆราวาสก็ตาม เดี๋ยวนี้ก็มีพี่มีน้องทั่วประเทศ จริงๆนะ อาตมาว่า อย่าเพิ่งตาย พิสูจน์ไปเรื่อยๆ อย่าเพิ่งตาย พิสูจน์ไป จะมีพี่มีน้องทั่วประเทศ ไปไหนก็ โอ๊ย วัฒนธรรม เดิมๆ ของไทยเรา แต่ก่อนแต่ไหนแต่ไร เพราะไทยเรามีศาสนาพุทธมาตั้งเกือบ ๒ พันปีแล้ว วัฒนธรรม ของพระพุทธเจ้านี่แหละ มาอยู่กับไทยเรา แต่ก่อนนี้ วัฒนธรรมนี้ เดี๋ยวนี้หายไปแล้วในไทย แต่ก่อนนี้ พึ่งพาอาศัย จะกินจะอยู่ขึ้นบ้านช่องเรือนชาน มีที่หลับที่นอน มีที่กินที่อยู่กัน พึ่งกันได้

เดี๋ยวนี้ขนาดญาติ ญาติแท้ๆ ญาติทางสายเลือดนะ เฮ้ย เอ็งไปพักไหนล่ะ ไปพักโน้นนะ ที่นี่ มันแคบ ไปหาที่พักอื่นเถอะ แหม แย่จริงๆเลยนะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น พวกเรา จะมีชีวิตที่ดี อย่างนี้

๖.ภาคโลกหน้า ปโร โลโก โลกหน้าหรือโลกอื่น หรือโลกที่ต่างไปจากโลกนี้ ต่างไปจาก อยัง โลโก ต่างไปจาก อยัง โลโก หรือว่า อิมัญจะ โลกัง นั่นน่ะ ชีวิตคือการทำงาน คนเราเกิดมาเพื่อ พัฒนา ตนเอง ให้สมบูรณ์ที่สุด งานของแต่ละคน จึงคือการพัฒนาชีวิต ปรับเปลี่ยนกรรม ของตน จากมิจฉาสู่สัมมา จากสาสวะสู่อนาสวะขึ้นเรื่อยๆ ธรรมชาติของมนุษย์ ชีวิตผ่านไป วันหนึ่ง คืนหนึ่ง กลางวันทำงาน กลางคืนพักผ่อน นี่เป็นธรรมชาติธรรมดา วันนี้ทำงานไม่เสร็จ รุ่งขึ้นก็ต้องมาทำต่อ จนกว่าจะเสร็จ โลกนี้จึงคือวันหนึ่ง อธิบายโลกนี้บ้าง โลกนี้จึงคือวันหนึ่ง โลกหน้าจึงคือ วันรุ่งขึ้นนั่นเอง โลกหน้ามิได้มีของมันเอง โลกหน้าต้องมีทุนไปจากโลกนี้ โลกหน้าย่อมเกิดจากโลกนี้

เช่นเดียวกับวันนี้ เกิดจากเมื่อวานนี้ การเรียนรู้โลกหน้า พิสูจน์ โลกหน้า จึงจำเป็นต้องมี การเรียนรู้ โลกนี้ และพิสูจน์โลกนี้ก่อนด้วยการพิสูจน์กรรมเป็นปัจจุบัน พิสูจน์การพ้นกิเลส เป็น ปัจจุบัน ชำระล้างกิเลสทุกตัว มิให้เหลือแม้แต่ธุลีละอองขนาด อโสกะ วิรชะ อโสกะหมายถึง ธุลีหมอง วิรชะหมายถึงธุลีเริง ซึ่งผู้ที่แม้จะสัมผัสกระทบกับโลกธรรมใดๆ ไม่หวั่นไหว ไม่แปรปรวนแล้ว (ผุฏฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ) ก็ตาม คือ ผุฏฐัสสะ แปลว่าสัมผัส โลกธัมเมหิ นี่โลกธรรม สัมผัสโลกธรรม จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ จิตก็ไม่หวั่นไหว กัมปติแปลว่าหวั่นไหว น แปลว่าไม่ ไม่หวั่นไหว ก็ตาม

แม้หากจะมีธุลีละอองของความไม่แจ่มใส ไม่พอใจ มัวหมอง มัวนิดหน่อย พลิ้วพรายขึ้นมา คือ อโสกะ อโสกะนี่ เราจะเรียนรู้ให้ละเอียดเลย จะเป็นคนเบิกบาน แจ่มใส ถ้าใครยังจำจุดหมาย ปลายทางของเรา ซึ่งอาตมาตราไว้ตั้ง แต่เริ่มแรกแดนอโศกเลย จุดหมายปลายทางนี่ เบิกบาน ไม่มีความโศกหมดเลย ตั้งแต่เริ่มต้น อันนั้น โศลกนั้น เกิดก่อนจะได้เรียกพวกเราว่า ชาวอโศกนะ อันนั้น อาตมาตราไว้ก่อนจะเกิดชาวอโศก จะเรียกว่าชาวอโศก จนกระทั่งมา มีหมู่ มีกลุ่ม ค่อยเป็นแดนอโศก ตราไว้ แล้วก็เอาไปเขียนติดไว้ตั้งแต่เริ่มต้นมีแดนอโศก ตั้งแต่มี สวนอโศก โน่นแน่ะ แดนอโศก คือมีเบิกบาน มันไม่มัว ไม่หมอง ไม่อะไรต่ออะไรหมด

ซึ่งอาตมาคงอธิบายยาก แล้วมันค่อยเป็นไป หรือมีธุลีละอองของความเห็นแก่ตัว ความใคร่เสพ แก่ตน ระคนนิดติดขึ้นมา (คือวิรชะ) เมื่อใด ก็จะต้องรู้เท่าทัน และชำระล้างให้สะอาดหมดจด หมดสิ้น จึงจะเรียกว่า พ้นพิสุทธิ์ ถึงขั้นสุขเกษม (เขมัง หรือเขมะ) เหตุปัจจัยใดก็ตาม ที่เป็นอกุศล ฆ่ามันให้สิ้นเกลี้ยง แล้วเราจะได้ผลไปเป็นตัวที่เราปรารถนา ให้เป็น เป็นแล้วก็จบ ก็แล้วก็ จบน่ะ ลงตัวแท้ เป็นจบแท้ ทำได้วันนี้ พรุ่งนี้ไม่มีปัญหา ทำได้ในโลกนี้ โลกหน้า ไม่มีปัญหา เป็นแล้วในชาตินี้ ชาติหน้าจะมีปัญหาอะไร โลกหน้าจึงเป็นเรื่องที่คนเราไม่จำเป็น ต้องกังวล ทำดีที่สุดในปัจจุบันเท่านั้นแน่แท้ ถ้าเราไม่ปรินิพพาน ก็ยังมีโลกหน้าแน่ๆ

ดังนั้น จึงทำปัจจุบันนี้ให้ดีขึ้นเถิด ดีขึ้นอีก ดีขึ้นเรื่อยๆเสมอๆ เราจะรู้ตัวว่า เราได้ดี และได้ดีขึ้น เราจะเห็นอานิสงส์ของการได้ดี เรียกว่า เทวตานุสติ คือการพิจารณาย้ำยืนยัน เห็นให้แน่ว่า เราได้ดี และเราก็ควรได้ดียิ่งๆ ขึ้น นี่ตัดส่วนหนึ่งมาจากหนังสือสมาธิพุทธ

ทีนี้โลกหน้าก็อ่านสัมปรายิกัตถประโยชน์ ต่อไปเลย จะได้อธิบายถัวไป และจะได้ไปขึ้นถึงแม่ พ่อ อะไรโน่นสักที

สัมปรายิกัตถะ ๔ ก็บอกแล้วว่า อัตถะก็คือประโยชน์ สัมปรายิกะก็คือภายหน้า ประโยชน์ ภายหน้า ประโยชน์ขั้นสูงขึ้นไป ๔ น่ะ สัมปรายิกะ ประโยชน์ขั้นสูง ประโยชน์ขั้นสูงขึ้นไป ๔ นี่ แต่ที่จริง มาจากคำ สัมปรายิกัตถะสังวัตตนิกธรรม สังวัตตนิกะ ก็วงเล็บไว้ให้แล้ว ความหมาย ในหน้า ๓๔ นั่น สังวัตตนิกะนั้นก็คือ มีความหมายว่า มีความเกี่ยวข้องด้วย มีความเป็นไปด้วย ไม่ใช่ว่าลอยๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นไปด้วย เกี่ยวข้องด้วยอยู่นี้ ทำให้มันเกี่ยวข้อง ทำให้มัน เป็นไป ที่เป็นประโยชน์ขั้นสูงขึ้นๆ สูงขึ้น ก็คือสร้างให้เกิดศรัทธาสัมปทา ให้ถึงจุด ให้ถึงพร้อม ด้วยศรัทธา

๒.ศีลสัมปทา ให้ถึงจุดให้ถึงพร้อมด้วยศีล
๓.จาคสัมปทา ให้ถึงพร้อมถึงจุดในการเสียสละ
๔.ปัญญาสัมปทา ให้ถึงพร้อมด้วยปัญญา หรือให้ถึงจุดถึงพร้อมเข้าถึงจุด อย่างนี้

โดยการปฏิบัติทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์นั่นแหละ เกี่ยวเนื่องกันมา มา จนถึงเกิดสภาพพวกนี้ เป็นเนื้อหาสาระ เป็นอริยทรัพย์ เราเรียนมาแล้ว ศรัทธา ศีล จาคสัมปทา เราเรียนมาแล้ว ถ้าใครไม่เรียน ก็ไปหาเท็ปฟังเอา จะเป็นสมาชิกเท็ปก็ได้ มีเป็นชุดเลย ปลุกเสกฯ ปีที่แล้ว พุทธาภิเษกฯ ปีที่แล้ว

จริงๆแล้วสัมปรายิกัตถประโยชน์นี้ มันมีความหมายเสริมเนื่องประโยชน์เข้าสู่โลกหน้า เพราะฉะนั้น สัมปรายิกะ ก็แปลว่า โลกหน้า ภายหน้า หรืออย่างอื่นอีก ประโยชน์อย่างอื่นอีก ประโยชน์อย่างคน อย่างพระพุทธเจ้าเน้นว่า ควรจะสร้างให้เกิดอันนี้ ธรรมดา ถ้าคนไม่เรียน จะไม่เรียนรู้ชัดเจนว่า ศรัทธามันสำคัญขนาดไหน ศีลสำคัญขนาดไหน จาคะสำคัญอย่างไร แค่ไหน หรือแม้แต่ปัญญาไม่ถูกทาง มันก็ไม่ได้เรื่อง ปัญญาที่ถูกทาง ปัญญาอะไร ปัญญาที่เห็น กิเลสนี่แหละ เป็นตัวสำคัญ ถ้าล้างกิเลสออก มีปัญญาญาณ มีญาณทัสสนะวิเศษ มีอธิปัญญา เห็นกิเลส เห็นว่าเราล้างกิเลสออกแล้ว มีอารมณ์สุข วูปสโมสุข แล้วก็เป็นคน เสียสละ จาคะ สร้างสรร เกื้อกูล มันเป็นสัจจะที่วิเศษในมนุษย์นะ เพราะฉะนั้น ให้ได้เกิด ประโยชน์อันนี้ ให้ได้มีอัตถะอันนี้ มีสาระอันนี้ให้ได้

สาระอัตถะอันนี้แหละ ที่พระพุทธเจ้าท่านเน้นว่า เป็นสาระอัตถะที่มนุษย์ควรได้ ควรเป็น ไอ้แค่ ขยันไปแล้ว ก็ไปโลภโมโทสัน ไม่เป็นจาคะ ขยันไปแล้ว ก็ไม่ใช่ เป็นเรื่องของศีล ขยันไม่มีศีล ยิ่งไร้ศีล มันยิ่งบรรลัย เพราะฉะนั้น ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ไม่มีสัมปรายิกัตถประโยชน์ไปควบ ไม่มีสัมปรายิกัตถประโยชน์เข้าไปกำกับ ศรัทธาที่ไร้ศีล ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ยอมรับ เพราะฉะนั้น จะบริบูรณ์ด้วยองค์นั้น ศรัทธาต้องมีศีลจึงจะบริบูรณ์ ด้วยองค์ที่หนึ่ง ศรัทธาไม่มีศีลกำกับ เหลว นอกจากศีลกำกับแล้ว ก็ต้องมีพหูสูต ต้องไปอ่านในศรัทธาสูตร อีกที ไล่ไปจนถึง ที่สุดก็ถึง วิมุตติญาณทัสสนะ หรือปัญญาวิมุติโน่นแหละ นั่นแหละ เป็นศรัทธาที่ยิ่งประกอบ ไปด้วย คุณธรรมพวกนี้สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ในทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ จึงเกี่ยวเนื่องกันอยู่ กับสัมปรายิกัตถประโยชน์

ถ้ามีแต่ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์โดดๆ บรรลัย เพราะฉะนั้น พวกนี้ไม่เรียนสัมปรายิกัตถประโยชน์ ยิ่งไปเข้าใจว่า อย่าไปเรียนเลย ศรัทธา ศีล มันจะไปได้โน่น โลกหน้าโน่นแน่ะ มันเป็นประโยชน์ ในโลกหน้า ประมาทแล้ว ผิดแล้ว มันต้องเรียนในโลกนี้ และต้องรู้ปรมัตถ์ หรือว่าโลกหน้า อยู่ที่ตัวเราเดี๋ยวนี้ เราได้เดี๋ยวนี้ ได้สัมปรายิกัตถประโยชน์เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตายแล้วค่อยได้ ได้เดี๋ยวนี้ เป็นอีกประโยชน์หนึ่ง ถ้าว่ากันไปแล้ว เป็นอีกประโยชน์หนึ่ง สัมปรายิกะประโยชน์เกี่ยวเนื่องกัน อยู่กับโลกนี่แหละ เราต้องรู้โลกนี้ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่า ท่านได้อธิบายไว้ในนี้แล้ว มีโลกนี้ แล้วก็ต้อง มีโลกหน้า เราก็ต้องเข้าใจโลกนี้ให้ดี

โลกหน้า อาตมาอธิบายประกอบมาเรื่อยๆ กับการอธิบายโลกนี้น่ะ โลกหน้าหรือว่าปรโลก หรือว่า ปโร โลโก อธิบายมาเสมอๆ แม้อาตมาจะผ่านไปเลยตอนนี้ ไม่ขยายความ จะรู้โลกหน้า คำนี้ไหม จะปรโลกนี้ไหม เข้าใจไหม เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว แต่ก่อนนี้ คุณเข้าใจอย่างนี้ไหม ปรโลก ไม่, เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง มาเรียนกับอาตมาแล้ว ถึงเข้าใจโลกหน้าเป็นอย่างนี้ โลกหน้า มีในเดี๋ยวนี้ โลกหน้ามีในเดี๋ยวนี้

สรุปความจากสมาธิพุทธ ก็คุณไปอ่าน ตั้งใจอ่านเอาดีๆก็แล้วกัน อาตมาจะไม่ย้อนไป ขยายความ อะไรมากนัก เพราะว่าเคยขยายความผ่านความหมายพวกนี้มาอยู่ตลอดเวลา อยู่แล้ว เยอะน่ะ ประเดี๋ยวมันจะไม่จบ อาตมาอยากจะไปเน้นที่มารดา บิดา ซึ่งอาตมาคิดว่า พวกเรา ยังจะเข้าใจได้น้อยกว่าปรโลก หรือโลกหน้านี้อยู่ คุณคงจะเข้าใจได้น้อยกว่าอยู่ เพราะฉะนั้น อยากจะผ่านมามารดา บิดา ไปเรื่อยๆก่อนนะ แม้แต่สัมปรายิกัตถประโยชน์ อาตมา ก็อธิบายบอกแล้วว่า อธิบายมาหนักแล้ว ศรัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา ปัญญาสัมปทา นั่นน่ะ อันนี้ก็ขออภัยนะ สำหรับผู้มาใหม่ ผู้ที่ยังไม่ได้เรียน ก็ตอนนี้ ต้องถือประโยชน์ สำหรับผู้ที่เขาได้เรียนมาแล้วก่อนนะ

๗.ภาคมารดา มาตา มารดา หรือแม่นี่ พฤติกรรมของแม่ จะเป็นไปในลักษณะของการเลี้ยงดู ด้วยอาหาร เริ่มตั้งแต่ ข้าวสุก ขนมสด อาหารที่เป็นวัตถุ เรียกภาษาธรรมะว่า กวฬิงการาหาร นอกจากนี้ ยังมีอาหารประเภทอื่นด้วย เป็นอาหารธรรมะ อาหารทิพย์ ละเอียดลึกซึ้งขึ้นเป็น ปรมัตถธรรม มีการเลี้ยงดูด้วยผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร และวิญญาณาหาร

แม่ที่จะสามารถให้อาหารประเภทเหล่านี้แก่ผู้อื่นได้ ก็ต้องเรียนรู้ด้วยตนเสียก่อน เป็นอันดับแรก เมื่อเรียนรู้แล้ว ก็ต้องทำให้มีในตนก่อนที่จะสามารถผลิตออกเลี้ยงดูผู้อื่น ฟังให้ดีว่าแม่มีหน้าที่ อะไร คำว่าแม่ มาจากภาษาบาลีว่า มาตา เมื่ออธิบายเป็นธรรมาธิษฐาน ที่ไม่ใช่บุคคล ตัวตน เราเขา จะหมายถึงจิตส่วนที่ตั้งอยู่บนฐานแห่งธรรมะ เป็นตัวเชื้อทุนพาเกิด ทุกอย่างเกิดด้วยเหตุ เกิดโดยไร้เหตุไม่ได้ แม่จึงเป็นเพียงพาหะให้เกิด ถ้าเป็นแม่ที่ดีที่ประเสริฐ ก็จะเป็นแม่ที่พาให้ เกิดกุศล เกิดปัญญาญาณ เกิดวิชชา เกิดปัญญาตรัสรู้ เป็นแม่ที่จะคลอดตัวตรัสรู้ ศีลคือแม่ ที่จริง ในหนังสือสมาธิพุทธ คำว่าศีลคือแม่ไม่มี อาตมามาเติมใส่เข้าไปเท่านั้นเอง เดี๋ยวจะได้ อธิบาย เอ้า ผ่าน เดี๋ยวจะอ่านไปเรื่อยๆ ไปถึง ๙ ก่อนน่ะ ๗,๘,๙ นี่จะต้องอธิบายสัมพันธ์กัน อธิบาย แต่ละอย่างๆ ไม่สัมพันธ์กัน จะเข้าใจยาก

ภาคบิดา
ภาคบิดา ปิตา บิดาหรือพ่อ ใช้คำบิดาหรือพ่อ จิตแม่คือจิตที่คิดจะสร้าง คิดจะทำให้เกิดสิ่งที่ดี สาระการงาน แต่ความสำเร็จของการงานเกิดจากการกระทำ คิดเฉยๆ โดยไม่มีการลงมือทำ ผลก็มีเป็นแต่ความคิด ไม่เกิดการสร้างสรรค์ สร้างสรรค์ตัวนี้ ค.การันต์นะ สร้างสรรค์ตัวนี้ หมายความว่า ไม่เกิดผลสร้าง สร้างๆ สรรคะนี่ แปลว่าสร้างเหมือนกัน แต่ถ้าสร้างสรร ที่ไม่มี ค การันต์ สรร เลือกเฟ้น หมายความว่า สร้างอย่างเลือกเฟ้น ตัวนี้ที่หมาย เอา ค การันต์ เพราะว่า ไม่เกิดการมีสภาพสร้าง ไม่ต้องใช้คำว่าเลือกก็ได้นะ ผลก็มีเป็นแต่ความคิด ไม่เกิดการ สร้างสรรค์ แม่จึงเป็นแต่ตัวผลักดันให้เกิดกิจกรรมการงาน ส่วนตัวที่สร้างการงานคือพ่อ

ในเรื่องมหาปุริสลักษณะของพระมหาโพธิสัตว์ หรือของพระมหาบุรุษ หรือแม้แต่ของ พระพุทธเจ้า ก็มีคำกล่าวชี้ไว้ชัดว่า พระมหาโพธิสัตว์ก็ดี หรือแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ดีนั้น ย่อมมี พระโอรสมาก พระโอรสของพระองค์มีจำนวนหลายพัน ล้วนเป็นผู้แกล้วกล้า มีความเพียร เป็นองค์สมบัติ กำจัดปรเสนาเสียได้ นี่เป็นคำตรัส เป็นคำกล่าวในพระไตรปิฎก สำนวนนี้ มันเป็น สำนวนในพระไตรปิฎก มีความเพียรเป็นองค์สมบัติ กำจัดปรเสนาเสียได้ หรือสามารถ ให้ศัตรูพ่ายไป หรือ ล้วนแต่ดำเนินตามพระพุทธพจน์ อันนี้มาจากลักขณสูตร เอ้า ทีนี้ มาตัดมาจาก หนังสือสมาธิพุทธก็

พระพุทธองค์ สมเด็จพระบรมศาสดา ได้นำทางมาเป็นสมเด็จพ่อผู้ยิ่งใหญ่ มุ่งหวังใน พุทธบริษัท ดำเนินชีวิตตามรอยพระยุคลบาท ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่เราทำได้ คือ แกะรอย พระพุทธเจ้า ซึ่งต้องเป็นอย่างพระพุทธเจ้า เป็นอย่างพระโพธิสัตว์ เป็นอย่างพระอรหันต์ เราจะเป็นพ่อ อย่างนี้ได้ ด้วยการเรียนรู้คุณธรรม เรียนรู้กรรมกิริยา และลงมือสร้างตนเอง สู่ความเป็นอรหันต์ สู่ความเป็นโพธิสัตว์ เรียกว่าเพิ่มภูมิไปเรื่อยๆ สู่ความเป็นพุทธะที่สมบูรณ์ เมื่อสร้างตนได้แล้ว จึงสร้างลูกทางธรรมได้ ปัญญาคือพ่อนะ ในหนังสือสมาธิพุทธ ก็ไม่ได้มี ปัญญาคือพ่อ แต่อาตมาเขียนใส่ลงไป เติมเข้าไปเดี๋ยวๆ อธิบายน่ะ จะอ่านต่อไปอีก

มารดา บิดา เป็น ๔ อย่าง
๑.พรหมา เป็นพรหมของบุตร
๒.ปุพพาจริยา เป็นบูรพาจารย์ของบุตร
๓.อาหุเนยยา เป็นผู้ควรคำนับของบุตร
๔.อนุกัมปกา เป็นผู้อนุเคราะห์บุตร

๙.ภาคโอปปาติกสัตว์
สัตตา โอปปาติกา สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ โอปปาติกสัตว์ คำนี้มาจาก ภาษาบาลีว่า สัตตา โอปปาติกา โอปปาติกา ก็โอปปาติกะนั่นแหละ สัตตาก็คือสัตว์นั่นแหละ ก็แปลเป็นไทยแล้ว ก็ร่วมคำเป็น โอปปาติกะสัตว์ น่ะ หมายความว่าสัตว์ที่เกิดอยู่ในจิตตัวเรา สัตว์ที่เกิดอยู่ในจิต ตัวเรา คือในจิตนี่เราเรียกว่าสัตว์ด้วย จิตคนนี่ เรียกว่า ชีวะ ภูตะ ปาณะ เป็นชีวิต เป็นชีวะ สัตว์ที่เกิดอยู่ในจิตตัวเรา จิตมันเกิดได้ ตายได้ คำว่าโอปปาติกะ คือการถือกำเนิด โดยไม่ต้อง อาศัยดิน น้ำ ลม ไฟ โอปปาติกะ คือ วิญญาณ คือสัตว์วิญญาณ เป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดโดย ไม่ต้องอาศัยดิน น้ำ ลม ไฟ มันเกิดได้ในตัวของมันเอง ผุดเกิดในตัวของมันเอง ถือกำเนิดโดย ไม่ต้องอาศัย ดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงร่าง เปลี่ยนแต่จิตใจ เปลี่ยนแต่ จิตวิญญาณ เท่านั้น เปลี่ยนแต่กรรมของตน เป็นอาการของสัตว์เกิดเพราะจิตวิญญาณ เป็นลักษณะ อาการของจิตที่ผุดโผล่แสดงฤทธิ์ แสดงชีวิตขึ้นอยู่ในตัวตน เราเรียนที่ตัวเรา นี่แหละ เราจะเห็นการเกิดของโอปปาติกะในตัวเรา

แต่ไม่ใช่เอาไปอวดเป็นโอปปาติกะนอกตัว แล้วก็หลง เป็นอัตตา เป็นอัตภาพ ลอยลิ่วไปโน่นไปนี่ เหมือนทางด้านอาจารย์พร ขอออกชื่อเลย ซึ่งพาออกนอกเรื่องไปมาก อาจารย์พร รัตนสุวรรณ โอปปาติกะ แกก็แปลว่าจิตวิญญาณ เหมือนกัน แต่จิตวิญญาณกลายเป็น ศึกษานอกตัว เลอะเทอะไปเป็นอัตภาพ ไปเป็นอะไร ต่ออะไร มีฤทธิ์มีเดช มีโน่นมีนี่ยุ่งไปหมดเลย เลยไม่ค่อย รู้ชัด เพราะไปศึกษาอย่างโน้น มันจะไป จับได้ยังไง เราจะจับวิญญาณได้ ก็ต้องเอาในหลอด ทดลองนี่ ร่างกายเรานี่ เป็นหลอดทดลอง ที่มี SUBJECT มีตัววิญญาณ จิตวิญญาณอยู่ในนี้แล้ว วิจัยมัน นี่ หลอดทดลองนะ วิทยาศาสตร์ ทดลองของจริง ในตัวเรานี่ มีของจริงแล้ว พิสูจน์อันนี้ เราจึงจะสำเร็จ ไปพิสูจน์งมๆงาย อยู่โน่น จับเนื้อจับตัวก็ไม่ได้ อะไรไม่ได้ เลยเลอะกันใหญ่เลย ไม่แม่น ไม่ชัด ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ที่จับแม่น เพราะฉะนั้น โอปปาติกสัตว์นี่ มันอยู่ที่ตน แสดงชีวิตขึ้นอยู่ในตน แล้วมันจะเกิดเป็นโอปปาติกโยนิ โยนิแปลว่าการเกิด มันจะเกิดอย่างไรๆ ก็เรียนรู้

โอปปาติกสัตว์คือจิตวิญญาณที่มีการเกิดจริง จิตเกิดก็รู้ว่าจิตเกิด กิเลสเกิดก็รู้ว่ากิเลสเกิดในจิต นั่นเอง จิตบริสุทธิ์เกิดก็รู้ว่าจิตบริสุทธิ์ กิเลสปลอมมาเป็นวิญญาณเกิดอยู่ในจิต ก็ต้องพยายาม รู้ คนที่ไม่รู้ก็คือคนหลงอยู่ หลงผิดว่าเป็นจิตเราเกิด ที่จริงไม่ใช่จิตเรา แต่เป็นตัวแฝงเกิด มันเป็นแขก (อาคันตุกะ) มันเป็นแขก เป็นสมบัติอื่นเข้ามาปนอยู่ต่างหาก ไม่ใช่จิตแท้ จะเป็นตัว น้อยๆ มากๆ ใหญ่ๆ ก็ต้องรู้ให้ได้ว่า น้อย มาก ใหญ่ รู้ให้ได้ว่านี่น้อย นี่มาก นี่ใหญ่ รู้ให้ชัด เราต้องเรียนรู้โอปปาติกะ มีจริง มีทั้งเป็นจิตแท้ สัตว์มนุษย์น่ะ (สัตว์มนุสโส) มีทั้งเป็นผี สัตว์อบาย (สัตว์อบาย) เป็นเทวดา (สัตว์สวรรค์) ล้วนคือโอปปาติกะสัตว์ทั้งสิ้น เดี๋ยวค่อย ย้อนมาอ่านน่ะ เดี๋ยวค่อยย้อนมาอธิบาย

กำเนิด ๔
เล่ม ๑๒ ข้อ ๑๖๙ ดูกรสารีบุตร กำเนิด ๔ ประการเหล่านี้แล ๔ ประการ เป็นไฉน คือ อัณฑชะกำเนิด ชลาพุชะกำเนิด สังเสทชะกำเนิด โอปปาติกะกำเนิด กำเนิดหรือเการเกิด นั่นแหละ การเกิดจากอัณฑชโยนิ โยนิแปลว่าการเกิดหรือกำเนิด อัณฑชโยนิ ก็อัณฑชะกำเนิด ชลาพุชโยนิ ก็คือ ชลาพุชกำเนิด สังเสทชโยนิ ก็คือ สังเสทชะกำเนิด โอปปาติกโยนิ ก็คือ โอปปาติกกำเนิด

ดูกร สารีบุตร ก็อัณฑชะกำเนิดเป็นไฉน สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ชำแรกเปลือกแห่งฟองเกิด นี้เราเรียกว่าอัณฑชะกำเนิด คือเกิดจากไข่น่ะ เดี๋ยว ค่อยๆ อธิบายน่ะ ดูกรสารีบุตร ชลาพุชะกำเนิด เป็นไฉน สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด ชำแรกไส้ (มดลูก) เกิด ที่จริง มันเป็นคำ ของบาลี เขาแปลมาตรงตัวว่าไส้ ที่จริงมดลูก ชำแรกมดลูกเกิด นี้เราเรียกว่า ชลาพุชะกำเนิด ดูกรสารีบุตร สังเสทชะกำเนิดเป็นไฉน สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นใด ย่อมเกิดในปลาเน่า ในซากศพเน่า ในขนมบูด หรือในน้ำครำ ในเถ้าไคล (ของสกปรก) หรือแม้แต่มันแตกตัวเอง นี้เราเรียกว่า สังเสทชะกำเนิด ดูกรสารีบุตร โอปปาติกะกำเนิดเป็นไฉน เทวดา สัตว์นรก มนุษย์ บางจำพวก และเปรตบางจำพวก นี้เราเรียกว่า โอปปาติกะกำเนิด นี่จากพระไตรปิฎก พุทธพจน์ น่ะ ทีนี้อาตมามีแทรกอันหนึ่ง ที่ไม่มีในหนังสือจะอ่านให้ฟัง

หลักไตรสิกขา และกำเนิด ๔ นี่นะ ต่อจากกำเนิด ๔ หลักไตรสิกขา มีปัญญาเป็นพ่อ ฟัง นี่ไม่มี ในหนังสือนะ หลักไตรสิกขา มีปัญญาเป็นพ่อ ผู้เป็นเจ้าของเชื้อ ผู้ให้เชื้อแท้ เชื้อถูกต้อง (สัมมา) ปกป้อง ไม่ให้ผิดเผ่าพันธุ์มาเสมอ พ่อจะเป็นตัวเชื้อ เป็นผู้ดูแลเชื้อ เป็นผู้ให้เชื้อ ไม่ให้ผิดเผ่า ผิดพันธุ์ เป็นเจ้าของเชื้อ เป็นเจ้าของตระกูล เรียกว่าปัญญา ปัญญานี่เป็นพ่อ แต่ถ้าปัญญา หรือ ทิฏฐิไม่เป็นสัมมาจริง เชื้อก็จะเริ่มเพี้ยน เริ่มผิด โอปปาติกสัตว์นั้นๆ ก็จะเกิดผิดเผ่า เพี้ยนพันธุ์ ผุดไปตามเชื้อที่ไม่แท้ จะเพี้ยนเผ่า เพี้ยนพันธุ์ไปเรื่อย หนักเข้ากลายเป็นพันธุ์ทาง กลายเป็น พันธุ์อะไรก็ไม่รู้ไปเลย เชื้อที่ปนๆปลอมๆ กันจริงๆ มันจะกลายเป็นเชื้อปนๆ ปลอมๆ ไปจริงๆ อย่างที่มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ ตามแต่จะผิดจะเพี้ยนมากเพี้ยนน้อยนั้นๆ และมีศีลเป็นแม่ ผู้เป็นเจ้าของการเกิด ผู้อบรมฟูมฟัก เลี้ยงดูให้อาหาร เป็นการเจริญเติบโตเรื่อยมา ฟังแค่นี้ ก็คงพอเข้าใจขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว เดี๋ยวจะค่อยขยายความ ทีนี้มาดู ผลแห่งการละกิเลส ๖ นี่ก็นำ มารวมไว้น่ะ

ผลแห่งการละกิเลส
เล่ม ๑๒ ข้อ ๒๘๘ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในธรรมะที่เรากล่าวไว้ดีแล้วอย่างนี้ เป็นของตื้น เปิดเผย ปรากฏ แยกขยายแล้ว

๑.ภิกษุเหล่าใดเป็นพระอรหันต์ มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่จำต้องทำ ทำเสร็จแล้ว มีภาระปลงลงแล้ว ลุถึงประโยชน์ของตนแล้ว มีสัญโญชน์ในภพหมดสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้โดยชอบ ภิกษุหล่านั้นย่อมไม่มีวัฏฏะ เพื่อที่จะบัญญัติต่อไป หมายความว่า ในพระอรหันต์รูปใด เอาบัญญัติ ไปบัญญัติท่าน มันเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น ไม่มีบัญญัติอะไร จะบัญญัติเป็นปรมัตถ์อีกแล้ว เอาบัญญัติอะไรไปบัญญัติลงไป ไปเรียกอะไรๆ ท่านก็ด้วยได้ ทั้งนั้นแหละ

๒.ภิกษุเหล่าใดละโอรัมภาคิยสัญโญชน์ ทั้ง ๕ ประการ (คือสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะ และพยาบาท) ได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นโอปปาติกะ ที่เอาสูตรนี้มานี่ เพื่อจะเอาคำว่าโอปปาติกะ นี่คำเดียวน่ะ ปรินิพพานในโลกนั้น มีการไม่กลับ มาจาก โลกนั้นเป็นธรรมดา นะ

๓.ภิกษุเหล่าใด ละสัญโญชน์ ๓ ประการ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลลัพพตปรามาส ได้แล้ว กลับมีราคะโทสะและโมหะเบาบาง ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นพระสกทาคามี มาสู่โลกนี้คราวเดียวเท่านั้น จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได

๔.ภิกษุเหล่าใด ละสัญโญชน์ ๓ ประการได้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด เป็นพระโสดาบัน ผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้เป็นเบื้องหน้า เที่ยงต่อนิพพาน แล้วเป็นผู้เที่ยงแท้ ได้จริงแล้ว มันไม่เปลี่ยนแปลงหรอก เที่ยง

๕.ภิกษุเหล่าใด ผู้เป็นธัมมานุสารี เป็นสัทธานุสารี ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด มีปัญญาเป็นเครื่อง ตรัสรู้ดี เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

๖.ภิกษุเหล่าใด มีเพียงความเชื่อ (ศรัทธา) เพียงความรัก (เปมะ) ในเรา นี่พระพุทธเจ้าตรัส ในเรา หมายถึงพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีเพียงมีความรักในเรา บุคคลเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีสวรรค์ เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

ก็ดี มีสวรรค์บ้าง เอาละย้อนในสูตรนี้นะ ในผลแห่งการละกิเลส ๖ อาตมาบอกแล้วว่า เราต้องการ คำว่าโอปปาติกะ โอปปาติกะคำนี้ท่านเรียกแทนพระอนาคามี ผู้ที่เป็นพระอนาคามี บางทีท่านเรียกในพระไตรปิฎก ท่านจะไม่เรียกว่า พระอนาคามีหรอก ท่านเรียกว่าผู้โอปปาติกะ หมายความว่าอย่างนี้ อธิบายย้อนตรงนี้ก่อน หมายความว่าผู้ที่มีภูมิฐานในระดับพระอนาคามี จะเป็นผู้ที่ รู้จักจิตวิญญาณ รู้จักปรมัตถ์ได้ดี เข้าภูมิฐานของจิตจริงๆ ได้ละ ได้ลด มาตั้งแต่ ฐานโสดา สกิทา จะมีญาณทัสสนวิเสส แจ่มชัด มีญาณแจ่มชัด มีญาณที่รูจักจิตวิญญาณ ได้ดี โอปปาติกะคือจิตวิญญาณ แล้วรู้จักกิเลสที่มาปลอมตัวอยู่ในจิตวิญญาณ มันเป็นแขกนะ กิเลสนี่เป็นแขก ไม่ใช่จิตจริงหรอก เรียกว่า อาคันตุกะ มันเข้ามาปลอมตัวอยู่ในจิตวิญญาณ ของคน ตั้งแต่ไหน แต่ไหนไม่รู้ จนกระทั่งคนหลงมันว่าเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเราเอง เป็นจิตวิญญาณเรา เลยเป็นทาสจิตวิญญาณตัวเอง เป็นทาสกิเลส ซึ่งมันบังคับ มันมีอำนาจ อยู่ควบคุม จริงๆมันไม่ใช่เรา จริงๆ มันเป็นแขก เพราะฉะนั้น จิตจริงๆ ของพระอรหันต์ เรียกว่าจิตแท้นี่ ไม่มีกิเลส ไม่มีแขก

แต่จิตของคนที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์นั้น จะมีแขกอยู่ประจำ ทีนี้คำว่า แขกจรนี่ ไปแปลภาษา เอาเองว่า จิตปภัสสร ย่อมมัวหมอง หม่นหมอง เพราะแขกจรเข้ามา แล้วก็เลยไปเข้าใจกันว่า อ๋อ ไอ้แขกจร หมายความว่าประเดี๋ยวไป ประเดี๋ยวมา ประเดี๋ยวไป ประเดี๋ยวมา เพราะว่า แท้จริง บริสุทธิ์ ก็คือจิตพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ธรรมดา จิตนี้ก็ปภัสสร เขาว่าอย่างนั้นนะ จิตนี้ต้อง อยู่ปภัสสร กิเลสมันเป็นแขกจรมาเท่านั้น เพราะฉะนั้น คนที่เขาอธิบายอย่างนี้ ก็หมายความว่า คนๆนั้น ประเดี๋ยวก็เป็นพระอรหันต์ ประเดี๋ยวก็เป็นจิตที่มีกิเลส ตกลงการอธิบายอย่างนั้น ก็หมายความว่า พวกคุณเป็นพระอรหันต์อยู่เป็นบางคราว เขาอธิบายอย่างนี้จริงๆ คุณเชื่อหรือ เชื่อว่า คุณเป็นพระอรหันต์อยู่บางคราว แขกจรเข้ามา กิเลสเข้ามาเท่านั้น ถึงเป็นผี นั่นมันหยาบ จริง แต่ไม่ใช่อรหันต์บางคราวหรอก แม้เขกกิเลสจะไม่เข้ามา กิเลสมันก็อยู่ในเรา มันเป็นแขก ประจำ ไม่ใช่แขกจรหรอก เพราะเขาเข้าใจอย่างนี้

จึงอธิบายกันไปใหญ่เลย อธิบายกันว่าเด็กเกิดมานี่จิตบริสุทธิ์ มีจิตเดิมแท้ เขาเรียกว่า จิตเดิมแท้ เราอย่าไปพูดเดิม นะ เพราะจิตเดิมนี่ มีกิเลสมาทั้งนั้น จิตเดิมนี่คนเกิดมา เป็นปุถุชน มาก่อนทั้งนั้น เป็นสัตว์เดรัจฉานมาก่อนทั้งนั้น ไม่ได้มาเป็นพระอรหันต์มาก่อน แล้วค่อยมาล้าง ออก แหม ถ้าเป็นพระอรหันต์มาก่อน มาล้างออก มันง่ายตายเลย ง่ายจริงๆนะ แล้วไม่ต้อง พยายาม เพราะพระอรหันต์เที่ยงหรือยัง ไม่ต้องล้าง มันก็เป็นพระอรหันต์นี่ ไม่ต้องพยายาม อะไร เห็นไหม ประมาทแล้ว แค่เป็นโสดา ก็ยังจะเที่ยงต่อนิพพาน ยิ่งเป็นพระอรหันต์ ยิ่งเที่ยงแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เห็นไหม มันค้านแย้ง

แม้แต่ว่าพระอรหันต์จบกิจแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว แล้วบอกว่า เป็นพระอรหันต์ แล้วบางคราว แล้วไปทำอะไรอยู่ ทำไมเล่า คราวไหนก็เป็นของแน่แล้ว ของเที่ยงแล้ว ของที่ไม่วนเวียน ไม่แปรปรวน ไม่กลับแล้ว แต่ประเดี๋ยว ก็แปรปรวนอีกแล้ว ประเดี๋ยวก็มีกิเลส อีกแล้ว เพราะฉะนั้น กิเลสมันไม่ได้จรมาเท่านั้น มันประจำอยู่ด้วย ต้องล้างกิเลสออกให้หมด

พระอรหันต์เกิดตามหลังการเกิดของนานาสัตว์โลก พระอรหันต์เกิดตามหลัง ไม่ใช่พระอรหันต์ เกิดก่อน แล้วค่อยมีกิเลส ไม่ใช่ เริ่มต้นการเกิดก็เป็นทุกข์ เพราะพระอรหันต์จะรู้ทุกข์ อย่างละเอียด มันยาก เกิดมาเป็นทุกข์ ถ้าไม่ปรินิพพาน ต้องเป็นทุกข์ พระโพธิสัตว์มีทุกข์ทุกคน อย่างอาตมา หรือว่าไม่มีทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ทุกข์ ตราบที่ระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพาน ยังไม่ตาย ดับขันธ์ไปหมด ทุกข์ ต้องสร้างสรรทุกข์ อย่างน้อยก็ต้องมีนิพัทธทุกข์ ถ้าพระพุทธเจ้า ท่านยัง ไม่ตายนะ นิพัทธ์ทุกข์ เช่น ปวดขี้มั่ง ปวดเยี่ยวมั่ง ใครปวดขี้แล้วไม่ทุกข์ พระพุทธเจ้าก็ เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็ต้องทุกข์ นี่แหละเรียกว่า เรียนทุกข์ไม่บริบูรณ์ ไม่เป็น ลงเกิดมา ไม่มีอรหันต์มา มีธาตุอรหันต์ แต่ว่าไม่ได้เป็นพระอรหันต์มาเลย มาเกิดด้วยวิภวตัณหา มีธาตุอรหันต์ แต่ไม่ได้เกิดด้วยอรหันต์ เพราะการเกิดไม่ใช่อรหันต์

อรหันต์ต้องเอาธาตุดับ เป็นตัวสำคัญ เกิดด้วยวิภวตัณหา เป็นตัณหาอุดมการณ์ เกิดมาเพื่อ ช่วยโลก เป็นโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้น มาถูกมอมเมา จะถูกฉาบพอกมาด้วยโลกียะ จะหลงทาง จนกระทั่งรู้ตัวของท่าน มีของท่านเอง เป็นปัจเจกแล้ว ท่านจะสลัดออกได้ ท่านไม่ต้องมีใคร มาสอน ก็รู้ได้ เพราะว่าท่านเป็นปัจเจก แล้วท่านก็จะคืนเป็นธาตุอรหันต์ของท่านในตัวได้ ขอให้ มีจิตที่มันเที่ยง แต่ยังไม่มี เราต้องเอาให้มันมีก่อน อย่าไปคิดว่าจะเกิดๆๆๆ เลย ไม่เอา ให้มี เป็นธาตุอรหันต์ แต่ไม่ได้เป็นทันที จะถูกโลกมอมเมา เหมือนลิงลมอมข้าวพองก่อน ถูกฉาบหลง หลงไปกับโลก แต่ท่านเป็นของท่านปัจเจกแล้ว ท่านจะล้างออกง่าย ไม่ต้องให้ใครมาสอนก็ได้ ขอให้จริงเถอะ

ราคะปลอม ราคะไม่ใช่แท้ ไม่ใช่แก่น ก็นั่นแหละเป็นของปลอม ไม่ใช่แก่น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ จะต้องมีปัญญาญาณจริงๆ ถึงจะฟังรู้ ถึงจะเข้าใจ นี่แหละ มันเป็นเรื่องที่ยาก ในเรื่องของ แบบมหายาน แบบยานใหญ่ แล้วเถรวาทสั้นจู๋ ก็เลยตื้อเลย ไม่ได้เรื่องอะไรเลย แล้วไปมีทิฏฐิ อย่างนี้อยู่ มีศรัทธา มีปัญญาอย่างนี้อยู่ เข้าใจยาก มันชนกันแล้ว เอ๊ะ ทำไมตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย แล้วทำไม เกิดอีกตายอีก

แม้แต่สูตรที่ว่าใครว่า พระขีณาสพ หรือ พระอรหันต์ ตายแล้วขาดสูญ ตายแล้วไปเกิดอีก ผู้ใด กล่าวอย่างนั้น ผู้ใดเชื่ออย่างนั้น มิจฉาทิฏฐิ มีนรก กับเดรัจฉาน เป็นที่ไปเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่อง เล็กนะ เรื่องใหญ่น่ะ เรื่องนี้ค่อยๆพูดไป ภูมิยังไม่ถึง ก็ค่อยฟังไปก่อน อย่าพึ่งปฏิเสธ อย่าพึ่งรับ เราพัฒนาไปแล้ว เราเจริญแล้ว เราจะรับได้น่ะ เอาละ เรื่องนี้จะไม่เน้น เรื่องที่ว่า อรหันต์เกิด อรหันต์ตาย จะไม่เน้นก่อน

อีก ๑๕ นาที ๖ โมงแล้ว ไปไม่ถึงไหนเลย แหม ถึง ๖ โมงแล้ว ขอแน่ๆ เอาแน่ๆ ๖ โมง ยังไง วันสุดท้ายแล้วน่ะ ยังไงๆ ก็ไปบิณฑบาตทัน ไม่ทันไม่เป็นไร อดกินที่นี่ให้หมด ทุกครัวเลยน่ะ ไม่ต้องกลัว น่ะ

เมื่อกี้อธิบายถึงไหนแล้วล่ะ จะเน้นว่าโอปปาติกะนี้ ท่านเรียกว่าเป็นพระอนาคามี เพราะว่าเป็น ผู้ที่รู้จักจิตวิญญาณ จริงๆ ละได้ เลิกได้ แม้แต่กามภพ ท่านพ้นพระอนาคามี นี่กามภพ ก็คือ โลกตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่ รู้ดี กามคุณ ๕ รู้ดี แล้วท่านฆ่าได้จริง สะอาด เพราะฉะนั้น ท่านจะรู้จัก จิตสะอาดจากกามภพ จึงรู้จักจิตที่อยู่ในภพภวังค์จิต จิตในจิต จริงๆ และไม่มี สภาพที่เป็นเชื้อของกามภพ ที่จะนำเกิดได้ อนาคามีจึงอยู่แต่ในโลกโอปปาติกะอยู่ อยู่ในโลก ของจิตวิญญาณเท่านั้น

ถ้าท่านไม่ตั้งจิตจะเกิดมาหาภพกามอีก ท่านก็จะอยู่แต่ในภพจิตวิญญาณ ถ้าไม่สะอาด มันก็อยู่ แค่นั้น โอ้โฮ จิตวิญญาณของพระอนาคามี ที่ไม่ทำให้ถึงอรหันต์แล้วนะ ตายแล้ว ไม่เวียนกลับ มาสู่กามภพอีกนี่นะ เอาผ้าใยบัวมาเช็ด ภูเขาสุเมรุนี่ อีกไม่รู้กี่อสงไขยมหากัป กว่าจะสลาย อัตตาได้หมด ยืดยาด ยืนยาว นานเหลือเกิน เพราะว่ามันไม่มีสูรา ไม่มีสติมันโต ไม่ใช่ อิธ พรหมจริยวาโส ไม่ใช่ที่มีร่าง มีขันธ์ มีรูปนามขันธ์ ๕ ไม่มีทวาร ๕ ทวาร ๖ ไม่มีอะไรนี่นะ จะรู้จัก สัจจะที่จะล้างจะลดออกนี่ ยากมาก ฉะนั้น ก็แช่ไป อะไรไป เหมือนกับคุณนอนหลับ อาตมาเคย สมมุติบ่อยๆ คุณจะเป็นสุข ก็อยู่ติดหลงอยู่อย่างนั้นล่ะ เอาล่ะ สุขมันอาจจะไม่ค่อยอยาก ออกมาจากภพ ถ้าทุกข์สิ คุณนอนหลับนี่นะ ฝัน ฝันทุกข์นี่นะ ฝันร้ายๆนะ อยากออกมาจากภพ ใช่ไหม อยากจะออกมาจากจิตวิญญาณ มันอยากออกมาจากภวังค์ ดิ้น คุณมีรูปนามขันธ์ ๕ คุณมีตา หู จมูก ลิ้น กาย คุณมีภพกาม คุณมีสิ่งรองรับ สูรา หมดทุกแห่งทุกอย่าง มีดิน น้ำ ไฟ ลม คุณก็ออกมาสู่อันนี้ได้ เดี๋ยวมันก็ตื่นออกมา รับอันอื่น สัมผัสมาก็ปรุงแต่งอันนี้ไป ไปลืมอันนั้น หรือว่าไม่ทุกข์ในภพนั้น แต่โอปปาติกะ ไอ้ตัวที่มันไม่มีอันนี้แล้วนี่นะ ดิ้นยังไง มันก็ไม่มีออก เหมือนกับคุณถูกผีอำ หรือว่า มันดิ้นไม่ออกมาตรงนี้ คุณอยู่อย่างนั้นแหละ จะทุกข์ขนาดไหน คุณคิดเอา เดาเอา ไม่เดาหรอก ใครคงเคย มันไม่มีให้ออกจริงๆ

เพราะฉะนั้น จะเหลือเชื้อ ทุกข์มากหรือทุกข็์น้อยก็แล้วแต่ ก็จะไปอย่างนี้อีกนาน แล้วก็ไม่มี ผัสสะเป็นปัจจัย ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่มี ของแท้ ไม่มีโลกนี้ ที่จะเนื่องกัน ที่จะให้ปฏิบัติ เพื่อเห็นจริง ของจริง กระทุ้งกระแทกออกมา เพื่อที่จะล้างๆ เศษเหลือๆ เศษเหลือให้หมดจริง นี้ไม่มี แล้วก็ไม่ค่อยจะรู้ ไม่ค่อยเห็น เพราะว่า เหมือนกับนั่งหลับตาสะกดจิต ไม่รู้ง่ายๆหรอก โอ๊ กิเลสที่เหลือ อนุสัยอาสวะที่นอนเนื่อง แล้วอะไรจะกระทุ้งให้มันเกิดผุดขึ้นมา เหมือนฝุ่นอยู่ใต้ ก้นบึ้ง แล้วกดมันไว้แน่นๆ ละเอียดเสียด้วยนะ แล้วไม่มีอะไรมากระเทือน แช่อยู่ตรงนั้นแหละ ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆ ปี มันจะแช่อยู่ในก้นบึ้งนั่นน่ะ เพราะไม่มีอะไรจะมากระเทือน ไม่มีอะไรมากระทบ กระแทกอะไรออก

คุณคิดดูซิ ว่ามันจะสลายตัวมันเอง กว่ามันจะสลาย แล้วมันเป็นวิญญาณนี่ มันเล็กขนาดไหน ที่มันจะสลายได้ อนาคามีก็ตั้งใจมาเกิดได้ อรหันต์ยังตั้งใจมาเกิดได้ แล้วอนาคามี ตั้งใจมาเกิด ไม่ได้ยังไง ได้ แต่ภพของโอปปาติก จะตายเองได้ จะเป็นปรินิพพานเองได้ แต่นานแสนนาน ไม่กลับ มาเกิดอีกได้ สูญสลายเป็นปรินิพพานได้ เพราะไม่มีฤทธิ์เดชจะเวียนกลับมาสู่ภพต่ำ แล้วจริงๆ

แต่อาตมาเป็นโพธิสัตว์จึงรู้สิ่งนี้ดี ใช่ อย่างนี้ก็ถูก พูดอย่างนี้ก็ถูก มี แต่มันจะกร่อนไปตาม ธรรมชาติ ธรรมดา ซึ่งโอ้โฮ ถ้าก้อนหินใหญ่ๆ มันกร่อน มันยังเห็นรูปร่างกร่อนได้ง่าย แต่ไอ้ที่ มันเล็ก จนจะเล็ก จนกระทั่งไม่รู้จะเล็กยังไงแล้ว นี่มันกร่อน มันจะกร่อนได้ง่ายขนาดไหน มันกลับกัน มันยิ่งกร่อนยาก ยิ่งตีแตกยาก จับก็ไม่ติด สัมผัสไม่มีด้วยอีก แล้วจะเอาอะไร มาทำให้มันกร่อน นี่ อาตมาก็ไม่รู้สื่อยังไง ภาษามันเป็นอจินไตย มันเป็นเรื่องยากไป ก็พูดให้ คุณฟัง เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณโอปปาติกะ คือจิตวิญญาณที่ไม่มีภพกาม อยู่ในภพของภพ ภพภวะ ภวภพ หรือ วิภวภพ ภวภพ หรือ วิภวภพ เป็นภพที่ไม่ออกมาสู่ภพแล้ว ไม่เวียนกลับ มาเกิด ได้ฐานของอนาคามีแน่นอนแล้วนี่ แม้จะคลุกคลีเกี่ยวข้อง ก็ไม่เกิดหรอก หิริโอตตัปปะ ก็สูง เจโตก็แรงแล้ว แข็งแรง แล้วปัญญาก็รู้เท่าทันแล้วจริงๆ แลเห็นโทษเห็นบาป เห็นภัย มันพอแล้วจริงๆ ไม่เวียนกลับ

แม้เป็นอนาคามี ตั้งเป็นๆอยู่นี่ ก็ไม่ไปเสพกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสข้างนอก เหนียมอาย หิริจริง โอตตัปปะจริง อายต่อเรื่องโลกียะ อย่างนี้ ไม่เอา ตายดีกว่าจริงๆ อนาคามีจริงจะได้ภพ อย่างนั้น เอาละ อาตมาอาศัยสูตรนี้ เพื่อขยายความโอปปาติกะนี้เท่านั้น

ทีนี้ขยายสภาพของกำเนิด ๔ จะชักชัดขึ้น กำเนิด ๔ เกิดอย่างอัณฑชโยนิ ก็เกิดเป็นไข่ เช่น นก เช่นงู เช่นอะไรละ พวกนกพวกสัตว์ที่เกิดเป็นไข่ จรเข้ จิ้งจก ตุ๊กแกอะไรก็แล้วแต่ เกิดเป็นไข่ก่อน เกิด ๒ ครั้ง อัณฑชะแปลว่าไข่ เกิดจากไข่ก่อน แล้วค่อยมาเกิดเป็นตัวอีกทีหนึ่ง เรียกว่า อัณฑชโยนิ สัตว์ใดหรือลักษณะนามธรรมก็จริง นามธรรมที่จะเกิดเป็น ๒ ครั้ง เรียกว่า ทวิภพ หรือ ทวิชาติ เกิด ๒ ครั้ง เช่น ในรูปของรูปธรรม และ นามธรรมซ้อนกัน เขาเรียกนักบวช เป็นพวกทวิชาติ ที่เรียกว่าทวิชาติเพราะอะไร เพราะว่าตอนแรกเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ เสร็จแล้ว มาได้รับการเกิดโดยธรรม เกิดโดยพระพุทธเจ้าเป็นพ่อเป็นแม่ มีศีล มีปัญญา เป็นพ่อเป็นแม่ ได้รับการขัดเกลา เกิดทางจิตวิญญาณอีกทีหนึ่ง เกิดใหม่ในร่างเก่า ไม่ได้ผุดเกิด มาจาก ท้องแม่ ไม่ได้ผุดเกิดใหม่อีก ร่างเก่า แต่เกิดครั้งแรกจากท้องพ่อท้องแม่ เกิดครั้งที่ ๒ ในร่างนี้ แต่มีเกิดจริงๆ มีเกิดจริงๆ ในร่างนี้จริงๆ เกิด ๒ ครั้ง ทวิ แปลว่า ๒ เพราะฉะนั้น นักบวชนี่ ต้องให้เกิดจริงๆ มาใส่มานุ่งห่มจีวรเฉยๆ แล้วไม่ได้ปฏิบัติให้เกิดทางโอปปาติกโยนิ ไม่มีการบรรลุ ไม่มีการเกิดทางวิญญาณ จริงๆนะ ยังไม่ใช่นักบวชแท้หรอก ยังไม่ใช่พวกทวิชาติ นักบวชแท้ ต้องเกิดให้ได้ทางจิตวิญญาณแท้ เกิดจากปุถุชน เป็นอย่างน้อยโสดาบัน ผู้นี้ก็เป็น ทวิชาติ เรียกว่าเป็นพวกเกิด ๒ ครั้ง ออกจากกระเปาะของปุถุชน ออกจากครรภ์ของปุถุชน ครรภ์คำนี้เป็นนามธรรมนะ ไม่ใช่ครรภ์ของมดลูกนะ ครรภ์นี้เป็นนามธรรม ห้อง หรือครรภ์ หรือที่อยู่ ออกจากที่อยู่ หรือโลก โลกอันนั้น ออกจากโลกนั้น มาสู่โลกใหม่ได้ นั่นเรียกว่า เกิดใหม่ เป็น ๒ ครั้ง เพราะฉะนั้น อัณฑชะ หมายถึงอันนี้ด้วย

ชลาพุชะ ก็เหมือนกัน ถ้า จะแปลเป็นภาษาวัตถุธรรม ก็เป็นมดลูก เป็นครรภ์ เกิดจากมดลูก มาเป็นตัวเลย อย่างช้าง ม้า วัว ควาย อย่างคนนี่ พวกชลาพุชโยนิ ที่จริง ชลา ชละ นี่มา จากสัตว์น้ำ พุชะก็น้ำ มาจากน้ำ เพราะว่าในมดลูก มีแต่น้ำ คนอยู่ในมดลูก ไอ้ เด็กทารก อยู่ในมดลูก มีแต่น้ำ ชลาพุชะ นี่เกิดได้จากนั้น ในห้องน้ำ ครรภ์นี่คือห้องน้ำ ไม่ใช่ห้องส้วมนะ แหม พูดไปพูดมาภาษาไทยนี่ มันยุ่งนะ เกิดจากในครรภ์ออกมา แล้วออกมาเป็นตัวเลย นั่นเรียกว่า ชลาพุชะ ส่วนสัตว์ที่เกิดมาจากที่เรียกว่า สังเสทชะคือ เหงื่อ คือไคล คือน้ำ ครำน้ำเน่า พวกอาศัยอะไรต่ออะไรที่แตกตัวเป็นสัตว์เล็กสัตว์น้อย พวกสัตว์เยิม (Germ) สัตว์อะไร ที่แตกตัวได้ก็ได้ อะไรต่ออะไรพวกนี้ เรียกว่าสังเสทชโยนิ

โอปปาติกโยนิ คือ การเกิดทางวิญญาณ เพราะฉะนั้น วิญญาณนี่ ต้องเรียนรู้จริงๆเลย ต้องเกิด การรู้เห็นแจ้ง มีญาณรู้ว่า อย่างไรเรียกว่า มันเป็นลักษณะวิญญาณ ลักษณะเป็นพรหม บอกแล้วว่า แขกจร ที่มันอยู่ที่จิตนี่ หนักเข้าเป็นพ่อเก๊ จะนำพาลูกให้เชื้อแก่ลูกเพี้ยน ให้เชื้อ แก่ลูกผิด แม้ให้เกิดมาแล้ว ให้เชื้อแล้ว แม่คือศีล ศีลก็ศีลพาเพี้ยน เพราะเชื้อมันเพี้ยนแล้ว มาประคบประหงมด้วยศีล ศีลมันก็ไปประคบประหงมเชื้อปลอม เชื้อพันธุ์ทางไปเรื่อยๆ ถ้ายิ่งศีล ก็ศีลแม่ปลอมอีก ลูกเป็นตัวปลอมใหญ่เลย ศีล เมื่อกี้นี้อ่านให้ฟังแล้วนะ แต่ไม่ได้ มีในนั้น อาตมาอ่านบอกว่า ศีลเป็นแม่นะ คือแม่เป็นเจ้าของการเกิด เป็นเจ้าของการเกิด ชนิดที่เรียกว่า เหมือนอยู่ในครรภ์ อยู่ในมดลูก ฟูมฟักเลี้ยงมา เชื้อน่ะเอามา จริงมีไข่ก็ตาม แล้วก็มาเกิดผสมส่วน เชื้อแท้นี่ตัวสำคัญก็คือตระกูลของพ่อ เป็นเชื้อพันธุ์ เป็นเชื้อแท้

อันนี้ก็คงไม่มีปัญหา เป็นตัวปัญญาที่ต้องไม่เพี้ยน ไม่มีมิจฉาทิฏฐิ ถ้ามีมันก็เพี้ยนไปเรื่อยๆ แหละ เพราะฉะนั้น ปัญญานี่เป็นเจ้าของเชื้อ ต้องถูก ต้องเป็นสัมมา เป็นเผ่า เป็นพันธุ์ เป็นเจ้าของเผ่า เจ้าของพันธุ์ เข้ามาเสมอ เสร็จแล้วแม่นี่จะค่อยๆ เลี้ยงในเนื้อหาอันนี้ เราก็ว่าอยู่นะในแม่ อ่านดูที่แม่ มารดา แม่คือพฤติกรรมของแม่ จะเป็นลักษณะของการเลี้ยงดู ด้วยอาหารด้วย ตั้งแต่ ข้าวสุกขนมสด อาหารที่เป็นวัตถุ เรียกภาษาว่า กวฬิงการาหาร อันนี้ ก็เริ่มเป็นรูปธรรม นั่นก็เห็นชัดๆอยู่แล้ว แม่จะคอยเลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงดูแล อะไรต่ออะไรอยู่ นอกจากนี้ ยังมี อาหารประเภทอื่น แม้ศีลก็จะสั่งสม ถ้าเราเรียนศีลถูกทาง เราก็จะเกิดการเรียนรู้ ผัสสาหาร จะเรียนรู้ มโนสัญเจตนาหาร จะเรียนรู้วิญญาณาหาร ถ้าเรียนศีลถูกทาง

ที่อาตมาพยายามสอนพวกเรานี่ศีล แล้วก็ให้ปฏิบัติศีล รู้จักสังกัปปะ คุณก็จะรู้จักการกระทบ สัมผัส เมื่อรู้สังกัปปะแล้ว กระทบสัมผัสแล้วเกิดจะดำริอะไรล่ะ จิตจะเกิด วิญญาณจะเกิด จะเกิดอะไรล่ะ ผัสสะแล้ว เกิดกระทบ แล้วจะเกิดโกรธ จะเกิดโลภ อ่านเรียนรู้ เรียนรู้ นั่นแหละ เราจะเรียนรู้ผัสสาหาร เมื่อเรียนรู้ผัสสาหารแล้ว เราก็จะต้องศึกษาตนเอง ว่าตนเองจะต้องรู้จัก มโนสัญเจตนาหาร จะต้องรู้ตัวเจตนา ตัวจิตของเรา เราต้องให้มันเป็นไปตามเรากำหนด สัญเจตนา เราต้องกำหนดให้มันเป็นธาตุวิญญาณ ธาตุจิต ที่เป็นสัมมาขึ้นไปเรื่อยๆ ปฏิบัติ สังกัปปะให้เข้าสัมมา ปฏิบัติจนกระทั่งเกิดวาจา เกิดกัมมันตะ ก็ให้เข้าสัมมา จากจิตเป็น ประธาน ต้องเรียนรู้ตรรกะ วิตรรกะ สังกัปปะ ให้มันแข็งแรง ให้มันรู้วิจัยออกว่า อะไรควรเลิก ทางจิต วิญญาณ ที่มันเป็นผี ล้างไปตามลำดับ จนอัปปนา พยับปนา เจตโส อภินิโรปนา จน วจีสังขารา จนสังขารได้อย่างเป็นบุญ สังขารได้อย่างชำระ สังขารได้อย่างฆ่ากิเลส สังขารได้ อย่างสร้างสรร ปรุงอย่างสร้างสรร ก็เกิดมโนสัญเจตนาหาร เกิดตัวเจตนา เกิดตัวมุ่งมั่น เกิดตัว กำหนดรู้ เป็นอาหารชั้นดี แม่ก็จะมีอาหารชั้นดีพวกนี้เลี้ยงลูก

อาตมาเป็นทั้งแม่ เป็นทั้งพ่อ เมื้อยเมื่อยจริงๆ ให้เชื้อก็พยายามกำหนดเชื้อจริงๆเลย พวกคุณ ก็เอาไป เอาเชื้ออาตมาไปแปรเปลี่ยนเรื่อย พอให้สัมมาก็ไปเอามิจฉาเรื่อย เป็นให้ปัญญา ก็ไปเป็นขี้ยาเรื่อย นี่ พ่อก็กำหนดอยู่ กำหนดทิศทาง กำหนดสัมมาทิฐิอยู่เรื่อยๆๆๆๆให้เชื้อที่ดีอยู่ เป็นแม่ ปากเปียกปากแฉะ อบรมให้สังกัปปะดีนะ วาจาดีนะ การงานการกระทำดีนะ อาชีพ ดีนะ อบรมพูดจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ พูดจนกระทั่งคนอื่นเขาก็ไม่เข้าใจว่าอาตมาไม่พูดธรรมะ

บอกว่าพูดธรรมะ อาตมาพาทำอาชีพนี่ เหมือนแม่ ปากเปียกปากแฉะอย่างนี้ โอ้โฮ ต้องคอย ฟูมฟักให้เกิดอาชีพ เกิดการงาน เกิดการคิด เกิดการพูดที่ดี ออกมาเป็นสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะด้วย ศีลกำหนดบอกแล้วว่า ตัวปฏิบัติศีลอยู่ที่สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ด้วยศีล ตัวปฏิบัติศีลอยู่ที่นี่ ศีลกำหนด ศีลให้ปฏิบัตินี่คือแม่ทั้งนั้น เลี้ยงดู ทำให้เป็นให้มีขึ้นมา จนได้ จนจิตวิญญาณนั้นน่ะบรรลุ สะอาด บริสุทธิ์ เกิดขึ้นมาได้ๆๆ ด้วยเชื้อก็ถูกทาง ปัญญา นำทางๆ นำทางแล้วก็ทำให้เกิดผล เกิดผล ช่วยกัน พ่อแม่ต้องช่วยกัน จะไล่เรียงไปยังไงๆ เพิ่มเติมขึ้นก็ได้น่ะ ขยายไปมากๆก็ได้ อาตมาเป็นตัวเชื้อ เป็นพ่อจริงๆ

พวกเรา สมณะทั้งหมดนี่ ช่วยเหลือเลี้ยงดูเป็นแม่ก็ได้ ขยายไปอย่างนี้ก็ได้ ช่วยเลี้ยงดู ช่วยพา นำพา ทำ แม้แต่พวกคุณกันเอง ช่วยกันสร้างช่วยกันสรร ช่วยกันให้เกิดสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ ปฏิบัติประพฤติตนเอง หลักเกณฑ์ นโยบาย วิธีประชุมกัน อะไรกัน เกิดการสร้างกันขึ้นมา เป็นระบบ เป็นแม่พิมพ์ เป็นแบบอย่างเป็นขอบเขต เป็นรั้ว เป็นอะไรที่กั้น ที่จะทำให้ เราเกิดเจริญและตรง เกิดเจริญและตรงน่ะ เพราะฉะนั้น จึงกำกับทิศทางอยู่เสมอ ไม่ให้เชื้อเพี้ยน แล้วก็ต้องให้ทำ ให้เกิด ให้ฟูมฟัก อบรม ดำเนินไป

สังกัปปะก็ดีขึ้น เจริญขึ้น แล้วก็มีความขยันขึ้น ดำริดี ดำริความขยัน ความเพียรมั่ง แทนที่จะ ดำริขี้เกียจ ดำริอดทนมั่ง แทนที่จะอ่อนแอ ดำริเมตตา เกื้อกูล เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือมั่ง แทนที่ จะเห็นแก่ตัว ก็ดำริ ให้มันถูกทางไปเรื่อยๆ จริงๆ แล้วก็ทำให้จริง มีวาจา มีการกระทำ มีกรรมกิริยา มีทั้งจนกระทั่งประกอบเป็นการงาน อาชีพทำประจำชีวิต เกิดบทบาทรวมขึ้นมา สมบูรณ์ จากจิตเป็นประธาน เป็นโอปปาติกะ แล้วต้องเกิดจริง แข็งแรง เป็นจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตที่ล้างกิเลส ละกิเลส จนตั้งมั่น ต้องแข็งแรงขึ้นไปเรื่อยๆๆๆๆเจอเรื่อยๆ

ทุกวันนี้ ถ้าใครอ่านออก มีปรมัตถ์ รู้จักปรมัตถสัจจะ จับจิตวิญญาณได้ แล้วเราก็ปฏิบัติ ประพฤติ ปฏิบัติศีล ก็ขัดเกลา สังวร ระวัง ปฏิบัติสัมมาได้ทั้งสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมา กัมมันตะ ได้เรื่อยๆ ได้ความเจริญขึ้นจริงแล้วรู้ว่า โอปปาติกโยนิ การเกิดทางจิตวิญญาณ นี้ เกิดจริงๆ เกิด จริง เจริญ เป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิเทพขึ้นมาได้เรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัย ละเว้น ไอ้ที่ควรละเว้นเลิก ฆ่าไอ้สิ่งที่ควรฆ่า ทำลายสิ่งที่ควรทำลาย ปรับมาทั้งกาย วาจา ใจ มาเรื่อย ๆๆๆ จริงๆ ผู้ใดเห็นจริง ผู้ใดมีจริง มีแล้วก็เห็นของตัวเอง จริงๆน่ะ เจริญจริงๆ ผู้นั้นมี ตาทิพย์ เห็นโอปปาติกะ รู้จักสัตว์โอปปาติกะ รู้จักแม่ รู้จักพ่อ เสร็จแล้วเราก็ได้หลักประกอบ เราจะรับมาจากนอก รับศีลมาจากนอก มาเป็นแม่ รับเชื้อปัญญามาจากนอก

อย่างอาตมาพูดให้ฟังเป็นสุตมยปัญญา เป็นจินตามยปัญญา จนเป็นภาวนามยปัญญา ของคุณเอง เกิดผลเอง ก็ได้เกิดปัญญา มาจนกระทั่งเราเกิดเป็นตัวรับเชื้อภาวนามยปัญญา เกิดที่เรา เราก็รับว่าเป็นเชื้อ พ่อเอง มีเชื้อพ่อ มีเชื้อแม่ เกิดขึ้นมาในตัว แล้วก็มาฟูมฟัก จิตวิญญาณ มาเพิ่มเติมขึ้น เป็นเหตุปัจจัย หนุนเป็นทุนรอน เป็นกำลังอินทรีย์พละ สูงขึ้น แข็งแรงขึ้น จริงขึ้นๆ จริงขึ้น พ่อแม่ก็อยู่ในตัวคุณ โอปปาติกะก็อยู่ในตัวคุณ มาจากนอกก็มี ตั้งแต่ พ่อ ที่อาตมาเป็นพ่อจริงๆ มาช่วยให้โอปปาติกะคุณเกิด มาให้ปัญญา แล้วก็พานำคุณ ให้มันเกิด ให้มันคลอด ฟูมฟักเลี้ยงดูมา ทั้งตี ทั้งทุบ ทั้งถอง แต่ไม่ได้ตีจริงๆหรอก นะ อาตมาไม่เคยตีใคร ใช้สำนวนน่ะ ทั้งเคี่ยว ทั้งเข็ญ บางคนก็ถูก ฝ่ามืออรหันต์หลายที หลายครั้ง สลบไป หลายพัก หลายยก อะไรก็แล้วแต่เถอะ ช่วยกันขึ้นมาได้เรื่อยๆๆๆ

เกิดการโอปปาติกโยนิ เกิดจริงๆ ไม่รู้จะพูดยังไงแล้วว่า จิตวิญญาณคุณเกิดจริงๆ แม่นี้จึงไม่ได้ หมายความ ถึงแม่ที่คือผู้หญิงคนหนึ่ง แม่มี ผู้ใดเห็นแม่ไม่มี ผู้นั้นมิจฉาทิฏฐิ คนเกิดมา ใครล่ะ ว่าแม่ไม่มี คุณมีแม่ไหม สัมมาทิฐิมาแต่เกิดงั้น ไม่ต้องมาเรียนกับอาตมาหรอก ไม่ได้หมายถึง แม่อย่างนั้น มา แม่อย่างนั้น โถ อย่าว่าแต่คนเลย สัตว์บางประเภท มันก็รู้ว่านี่แม่ของมันนะ เพราะฉะนั้น สัมมาทิฐิ นี่แม่ สัตว์มันยังรู้เลย คนมันก็รู้ นี่เป็นแม่ นี่เป็นพ่อ เพราะฉะนั้น แม่พ่อ อันนี้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องหยาบๆ อย่างนั้นหรอก แม่พ่ออย่างที่ว่านี่ มันลึกซึ้งแล้ว เพราะฉะนั้น คนที่เข้าใจแม่ เข้าใจพ่ออย่างนี้ไม่ได้ คือมิจฉาทิฏฐิอยู่ แล้วมันจะได้เป็น พระอริยะหรือ

ที่เขาสอนกันน่ะ แล้วบอกแม่มี พ่อมี แล้วเขาไม่รู้เรื่องกันอย่างนี้ ไม่ใช่ง่ายนะ กว่าคุณจะรู้อย่างนี้ นี่คุณจะรู้แค่ไหน ยังไม่รู้เลย คุณจะรู้แค่ไหน แล้วคุณจะใช้ให้มันมีแม่มีพ่อในตัวเราเอง จนกระทั่ง เกิดโอปปาติกสัตว์ โอปปาติกะ เกิดเป็นเทวดาแท้ เป็นอุบัติเทพ เป็นวิสุทธิเทพ เองแท้ แล้วมีพ่อมีแม่ จนกระทั่งถึงตัวเรานี่ ศีลกำกับ ปัญญาทิฐิกำกับ จนกระทั่ง เกิดเป็นลูก เป็นโอปปาติกสัตว์ เป็นเทวดาแท้จริงๆ กว่าจะได้อย่างนี้ กว่าจะมีสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ จึงจะเรียกว่า สัมมาทิฐิ

แล้วคุณลองคิด ลองเดาดูซิ ข้างนอกสอนกันยังไง สอนทิฏฐิพวกนี้ครบสมบูรณ์ ๑๐ ข้อนี้ไหม อาตมาเป็นอริยะ ในข้อที่ ๑๐ ไม่ต้องอ่าน ไปอ่านเอง สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ เป็นผู้ที่เปิด โลกนี้ โลกหน้า สอนโลกนี้ โลกหน้า สอนโอปปาติกะ สอนพ่อ สอนแม่ สอนใหัคุณทำการเกิด จนได้จริงๆ บรรลุจริงๆ เข้าถึงธรรม เข้าถึงความเป็นมนุษย์โลกุตระจริงๆได้ มนุษย์โลกุตระจริงๆ นะ ไม่ใช่เรื่องจะเอาแต่ปาก เชื่อมั่นกันบ้างไหมว่า เกิดเป็นมนุษย์โลกุตระได้ หลายคนเชื่อว่า เออ เราเกิดได้แล้ว อย่าคิดแต่ปาก ได้ ๒ คิด ได้ ๕ คิด ๑๐ คิดมีจริงๆ เรามั่นใจว่าเรามีจริงๆเลย เชื้อโอปปาติกโยนิ ที่เป็นโลกุตรบุคคล เป็นสัตวโลก ปรโลก ของพระพุทธเจ้าท่านพาเป็นนี่

ไม่ใช่เรื่องธรรมดา กว่าจะได้ฟังธรรมอย่างนี้ ไม่มีสมณพราหมณาอย่างนี้ คุณก็มิจฉาทิฏฐิ อยู่ตลอด โลกแตก แล้วยิ่งไม่รู้พ่อ ไม่รู้แม่ เป็นสัมมาทิฐิอย่างนี้ ทำให้โอปปาติกสัตว์เกิดสู่ ความเป็นเทวดาแท้ ไปสู่นิพพานอย่างนี้ เป็นโลกุตรบุคคลอย่างนี้ ทำให้เกิดจริงไม่ได้ คุณก็ยัง มิจฉาทิฐิ อยู่ตลอดกาลนาน ใครสัมมาทิฐิบ้าง สำนักไหน ที่ไหนบ้าง พูดแล้วเหมือนท้าทาย เพียงแต่ชี้ ให้คุณฟังแค่นี้ก็เถอะ แล้วคุณไปทำจริงๆ แล้วก็พิสูจน์ซี ยังไม่เชื่ออาตมาก่อน ได้ ไปพิสูจน์ อย่างที่อาตมาว่านี่ จะเห็นว่า ควรจะลงมือทดลองก็เอาซิ เกิดจริงเป็นจริง แล้วคุณ จะเห็นเอง ไม่ต้องมาเชื่ออาตมาหรอก คุณเชื่อสิ่งที่เกิดจริงเป็นจริงเองต่างหาก ไม่ได้เชื่อ เหมือน ในกาลามสูตร ๑๐ ข้อ เชื่อเพราะกุศลกรรมนั้นเกิดแล้ว เป็นแล้ว ได้แล้ว ตามที่พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสไว้ ในกาลามสูตร คุณเชื่ออันนั้น แต่มันก็เชื่อที่อาตมาพูดให้ฟังไปก่อนนั่นแหละ ทีนี้ คุณจะ มาเชื่ออาตมาเอง เพราะว่าคุณพิสูจน์แล้ว เออ ตรงที่อาตมาว่า คุณก็เชื่ออาตมาเองแหละ อาตมาไม่ต้องอยากให้มาเชื่อหรอก ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ คุณก็ไม่เชื่อ อาตมาก็ไม่มีปัญหา

ถ้าคุณพิสูจน์ได้จริง ตรงกันเป๊ะเลย คุณไม่เชื่ออาตมา ช่างคุณเถอะ อาตมาก็ไม่ได้อยากได้คุณ มาเชื่ออาตมา หรือง้องอน อาตมาก็ไม่ได้ยึดติดว่าเป็นเราเป็นของเราอะไรหรอก ขอให้คุณเจริญๆ ทุกๆ คนเทอญ

เอ้า เอวัง ก่อน


รวบรวม โดย โครงงานถอดเท็ปธรรมะออกพิมพ์ให้ท่วมโลก
ถอด โดย นายประสิทธิ์ ฝายทอง
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๑ เม.ย.๓๕
พิมพ์ โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๒๒ พ.ค.๓๕
Printed โดย วนิดา วงศ์พิวัฒน์ มิถุนายน ๒๕๓๕
เข้าปก โดย นาคคมกล้า มิถุนายน ๒๕๓๕
เขียนปก โดย พุทธศิลป์
2312M.TAP


พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี เล่มที่ ๒๓ ข้อ ๒๒๕
ตีหิ ภิกฺขเว ฐาเนหิ ชมฺพุทีปกา มนุสฺสา อุตฺตรกุรุเก จ มนุสฺเส
อธิคฺคณฺหนฺติ เทเว จ ตาวตึเส ฯ กตเมหิ ตีหิ สูรา สติมนฺโต
อิธ พฺรหฺมจริยวาโส ฯ
อิเมหิ โข ภิกฺขเว ตีหิ ฐาเนหิ ชมฺพุทีปกา
มนุสฺสา อุตฺตรกุรุเก จ มนุสฺเส อธิคฺคณฺหนฺติ เทเว จ ตาวตึเสติ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาว
อุตรกุรุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน
คือเป็นผู้กล้า ๑ เป็นผู้มีสติ ๑ เป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยม ๑ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐกว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและ
พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยฐานะ ๓ ประการนี้แล ฯ