ความไม่เที่ยง...ที่เที่ยงคืออะไร
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๓๖
ณ พุทธสถานปฐมอโศก


อาตมาได้อธิบายถึงเรื่องสัจจะ อยู่ที่สันติอโศก พอดีอาตมาอยากจะรู้ เรื่องที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงเรื่องของ การกำหนดเที่ยง ที่อาตมาเคยพบ แต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน เขาก็เลยไปตรวจสอบ ในพระไตรปิฎกมาให้ดู มีอยู่ที่เดียว ในพระไตรปิฎกทั้งหมด ๔๕ เล่ม กดคอมพิวเตอร์ออกมาดู มีสัญญายะ นิจจานิ นั้นมีอยู่ที่เดียว ครั้งเดียว สูตรเดียว ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสประโยคนี้ ทั้งหมดในพระไตรปิฎกทั้ง ๔๕ เล่ม ของเถรวาท คำว่า สัญญายะ นิจจานิ มาดูแล้วก็ เป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด เพราะว่า แม้แต่คำตอบคำถาม พระพุทธเจ้าตอบพระพุทธนิมิต ก็คือเทวดานั่นเอง ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเทวดา ก็คือสอนตัวเอง พระพุทธนิมิตเป็นผู้ถาม พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตอบ คิดดูก็แล้วกันว่ามันเป็นอะไร คือเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด ถามเรื่องสัจจะ ถามเรื่องความเห็น ความเห็นที่เลื่อน เลื่อนไปเรื่อย ความเห็นของทุกคน ก็จะยึดความเห็นเป็นอัตตา ยึดความเห็นเป็นตัวอุปาทาน เสร็จแล้วพระพุทธเจ้า ท่านอธิบายความเห็นมาก่อน พออธิบายความเห็นมาแล้ว ก็บอกได้ว่า ทำไมความเห็นของเจ้าลัทธิ ซึ่งถือว่าปราชญ์เหมือนกัน จึงเป็นความเห็นที่ต่างกันได้ ทำไมสัจจะจึงไม่เป็นสิ่งเดียวกัน ทำไมปราชญ์เหมือนกัน ถึงกำหนดสัจจะคนละอย่าง ทำไมสัจจะไม่เป็นอันเดียวกัน ก็เป็นปราชญ์ด้วยกันทั้งนั้น มันก็น่าจะมีสัจจะ อยู่หนึ่งเดียวเท่านั้น ทำไมสัจจะจึงมี ๒ อย่างได้

สุดท้าย พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสตอบว่า สัจจะทั้งหลายแหล่ต่างๆนานา เว้นสัญญาที่เห็นว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลก หมายความว่า สัจจะไม่มีหรอกในโลกนี้ มีจริงๆก็คือ สัญญายะ นิจจานิ จะจริงที่สุดก็มีอยู่ที่ตัวนี้ ตัวสัญญายะ นิจจานิ คือตัวการกำหนดรู้ว่า เที่ยง เที่ยงจริงๆ นิจจา นิจจานิ เพราะฉะนั้น ใครกำหนดรู้ว่าเที่ยง ตัวที่เที่ยงนี่ได้ ตัวนั้นแหละ คือสัจจะ เพราะฉะนั้น ต่างคนต่างก็ไปกำหนดเที่ยงว่าของตัว เพราะฉะนั้น จะไปเอาสัจจะ ไม่มีในโลก มีการกำหนดเที่ยงเท่านั้น

อาตมาเคยบรรยายมาแล้วในเรื่องเที่ยง คือเรื่องของเป็นสิ่งนั้นสิ่งหนึ่งแล้ว ไม่เป็นอื่นอีก มันอันหนึ่งอันเดียว เราจะเห็นจริงเห็นจังในตัวเราเลยว่า อันนี้เที่ยง และความเที่ยงคืออะไร ความเที่ยงก็คือความแข็งแรง คือความตั้งมั่น ความไม่แปรปรวน คือความไม่เป็นอื่น เมื่อใดๆๆ ก็ไม่เป็นอื่นอีก ทีนี้รูปนี่ก็เป็นอื่นไปได้ เวทนาก็เป็นอื่นไปได้ สัญญา ก็เป็นอื่นไปได้ สัญญาก็คือการกำหนดรู้หรือความจำ เอาละ ถ้าแปลว่าความจำนี่ เราจำอะไรได้แม่นมั่น จำอะไรได้ ก็ถ้าเผื่อว่า เราจะรู้จักนิพพาน เราก็ต้องกำหนดรู้นิพพาน แล้วก็จำนิพพานให้แม่น อาการของนิพพานเป็นอย่างไร สภาวะของนิพพานเป็นอย่างไร เรียนให้ดี เรียนให้ถึงจุด

ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ที่ปฏิบัติเป็นขีณาสพ หรือเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นผู้ที่จบกิจ เป็นผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอีก ไม่ต้องอบรมอีก หมายความว่า ไม่ต้องปฏิบัติอีกแล้ว ปฏิบัติจบแล้ว เสร็จแล้ว จบแล้วจบเลย จบแล้วนี่เที่ยงแล้ว หมายความว่า ไม่แปรปรวน ไม่เป็นอื่นอีก ไม่ต้องกลับมาศึกษาใหม่ ไม่ต้องมีความรู้ใหม่อีกแล้ว สำหรับตัวนิพพานนะ แต่สัพพัญญุตญาณนั้น มีเพิ่มได้ มีใหม่เพิ่มไปอีกได้ แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีความรู้ลึกซึ้งใหม่ขึ้นไปอีก ไม่มีจบหรอก ในเรื่องของการรู้ในโลก เพราะว่าโลกที่ตัวเองไม่เกี่ยวข้องมันมีเยอะ เพราะฉะนั้น รู้ใหม่พวกนี้ได้ แต่รู้จักกิเลส แล้วก็ดับกิเลสได้สนิทในผู้ใด ในตัวตนของใคร ในอัตภาพหรืออัตตาของใคร สามารถทำลายอัตตา จบอัตตาตัวตนของตน ไม่มีตัวตน จบกิจของตัวตนได้อย่างแน่ชัดแล้ว จบจริงๆ เที่ยงจริงๆ ไม่ต้องไปศึกษาอีก ไม่ว่าจะอีกชาติใด จะปฏิญาณตนหมุนเวียนอยู่ เป็นพระโพธิสัตว์เกิดอีก อีกกี่ชาติ กี่ชาติๆ ก็ตาม ก็ไม่ต้องไปทำแบบฝึกหัดอันนั้นซ้ำซากอีก ถึงทำก็ทำ มันมีซ้อนอยู่ ที่อาตมาเคยพูดว่า เหมือนลิงลมอมข้าวพอง เป็นแค่เพียงทำสมมติ นิดๆหน่อยๆเท่านั้น โดยปรมัตถ์ ไม่ต้องไปทำอีก เพราะปรมัตถ์นั้น พอทำสมมติ ที่มันถุกหุ้มถูกพอก ตามเขาข้างนอก ของคนอื่นเขามาพอกเราหน่อย เราก็ล้างนิดหน่อยแล้ว จุดนั้นจะเป็นจริง โดยไม่มีต้องใครบอก ไม่ต้องไปเรียน ไม่ต้องไปศึกษา ไม่ต้องมีใครมาบอกมาสอน เป็นปัจเจกของตนเองแล้ว อันนั้นก็ยังคงเป็นของเดิม ไม่เป็นอื่นไปอีก ก็คือวิมุติหลุดพ้น ดับสนิท มีความเที่ยงแท้ของนิพพาน ของความสูญกิเลส สูญตัวตน มีอันนั้น ไม่เป็นอื่นอีกเลย ไม่แปรปรวนเลย

อาตมาก็ได้ขยายความ เอามิจฉาทิฐิสูตร สักกายทิฐิสูตร อัตตานุทิฐิสูตร มาขยายให้ฟัง ก่อนที่จะเจอจูฬวิยูหสูตร สูตรว่าด้วยสัจจะ ผู้ยึดมั่นในทิฐิของตน

อาตมาอธิบายมิจฉาทิฐิสูตร สักกายทิฐิสูตร อัตตานุทิฐิสูตร อธิบายมาก่อน เคยเจอสูตรนี้ ก่อนที่จะเขียน ทางเอกด้วยซ้ำ แล้วก็เคยบรรจุสามสูตรนี้ไว้ในทางเอกด้วย แต่อันนี้ไม่เคยเจอหรอกอันนี้ มาเจอทีหลัง ซึ่งก็สอดคล้องกับที่อาตมารู้แล้ว เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว เอามาพูดแล้วด้วย ตรงกัน นั่นคล้ายๆกับว่า ศาสนาพุทธนี่ สอนความไม่เที่ยง แต่ทำไมต้องเป็นความเที่ยง มันคล้ายๆกับกลับนี่แหละ คล้ายๆกับพูดตลบตะแลง พูดไม่อยู่กับร่อง กับรอย ความจริงไม่ใช่ พวกเราศึกษาดีๆแล้วจะรู้ว่า ไม่ใช่ ความหมายของความจริงแท้ หรือสัจจะนั่นแหละ ความจริงความเที่ยงนั้น เกิดจากสัญญา และสัญญาที่เที่ยงนั้นคือสัจจะ โดยเฉพาะที่เที่ยงก็คือ อาการที่กิเลสสูญ เที่ยง นอกกว่านั้นไม่มีอะไรเที่ยง เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นเวทนา สัญญาเอง ที่ท่านกำหนดรู้ เพราะฉะนั้น การกำหนดรู้ได้ที่เที่ยงที่สุด มีการกำหนดรู้ว่า เมื่อใดๆก็สูญ เมื่อใดๆก็ไม่มีกิเลส ตัวนี้ยั่งยืนหรือเที่ยง อันอื่นใด จะไม่เที่ยงทั้งนั้น จะมีการเจริญขึ้น ส่วนไปสุดก็มีสูญ เพราะอะไรๆก็จะเสื่อมทั้งนั้นแหละ ถ้าเสื่อมไปถึงที่สุดก็คือ สูญ เพราะฉะนั้น การกำหนดรู้ความเสื่อมเป็นที่สุด ความดับเป็นที่สุด ความไม่มีเป็นที่สุด ก็ที่สูญ ทีนี่สูญอะไรก็ไม่จริง ถ้าเกิดภาวะที่ปฏิเสธ อย่างที่ได้อธิบายสุดโต่งไปด้านข้างปฏิเสธ ไม่ ไม่ ไม่ แล้วไม่ได้ศึกษารายละเอียดของอะไร ดับมันกดมันไว้เฉยๆ แล้วก็ไม่ เหมือนไม่มีเฉยๆ ที่จริงนะกลบภพ กลบภวตัณหา กลบภวภพ กลบ กลบมัน ปิดมันบังมัน โดยตนเองไม่ได้เข้าไปกระทุ้งกระแทก ให้มันออกมาให้มัน

จนกระทั่ง มันเห็นหน้าเห็นตามันแล้ว ก็ดับกิเลส ตัณหา อุปาทานนั้นๆ ให้หมดจริงๆ ไม่รู้รายละเอียดของคำว่ากิเลส ตัณหา อุปาทาน อาการมันเป็นอย่างไรไม่รู้ เมื่อไม่รู้ มันได้แค่กลบๆ มันก็เลยกลายเป็นภพอีกภพหนึ่ง ซึ่งเป็นภพที่ปฏิเสธได้วิธีหนึ่ง เป็นการปฏิเสธ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ปิดจิต แต่เราจะเปิดจิตตลอดเวลา แต่นั่นแหละ คนที่ยังไม่แข็งแรง ก็แบ่งไว้ ปิดไว้ครึ่งหนึ่ง ทำครึ่งหนึ่ง เพราะตัวเราเองเราไม่เก่ง ก็ต้องสร้าง สร้างสัจจะความจริง สร้างบุญบารมี สร้างภูมิ สร้างสภาวะ อินทรีย์พละของตนก่อน แบ่งมาทำทีละส่วนๆ บางทีนี่แบ่งครึ่งหนึ่งยังสู้ไม่ได้เลย ต้องแบ่งเอามาทำสัก ๑๐ % คนอ่อนแอ ทำ ๒๐ % เพิ่มขึ้น ทำ ๓๐ % ไป ไปตามลำดับได้ ก็ต้องแบ่งทำ แต่ต้องทำ อย่างเปิดจิต ไม่ใช่กลบ ผู้ใดเปิดจิตก็จะเป็นฐานจริงให้แก่เรา เมื่อทำได้ ทำได้แล้ว มีฐานรอง เป็นสั่งสมวิมุติ สั่งสมวิราคะ สั่งสมวิมุติไปได้จริง

เพราะการดับ การละ การทำลายของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อได้แล้วเป็นทรัพย์ เมื่อได้แล้วเป็นอินทรีย์ เมื่อได้แล้วเป็นพละ เมื่อได้แล้วเป็นทุนที่แท้ อย่างลืมตา อย่างอยู่เหนือโลก อย่างไม่หลบไม่ลี้ไม่หนี ผจญประจันสัมผัส แต่อันนั้น ไม่มีฤทธิ์เลย ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นฐานอาศัยเฉย แต่ไม่ใช่หน้าด้าน มีปัญญา มีความรู้ แล้วก็ได้รับความรู้ซ้อนเติมขึ้นไป เพิ่มเติมขึ้นไป เสริมเติมขึ้นไปได้ละเอียดๆๆยิ่งขึ้น จึงเกิดเป็นดวงตา เกิดเป็นแสงสว่าง เกิดเป็นความรู้ มาเป็นตัวแข็งแรงแทน เพราะฉะนั้น ตัวความรู้ กับตัวแข็งแรง กับตัวเจโต ปัญญาก็เจโต จึงเป็นหนึ่งเดียวกัน

เจโตที่วิมุติด้วยเหตุปัจจัยใด มันสงบสนิทแข็งแรงสนิท ตั้งมั่นสนิทแล้ว อาเนญชาได้แล้ว กับปัญญา มันอยู่ร่วมกัน อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา เป็น เจตโส อภินิโรปนา นั่นแหละ เป็นจิตที่ตั้งมั่นแข็งแรง เป็นฐาน ไม่หนี ฐานนี้ไม่กลบ เป็นฐานที่ตื้น ฐานที่อยู่ปัจจุบัน ฐานที่ไม่มีอะไรฝัง ไม่มีอะไรหลบอะไรแฝงเลย เป็นฐาน อยู่ในปัจจุบันนี่เทียว ดับสนิทแล้ว เจโตที่ดับสนิทได้แล้ว อกุปปา เจโตวิมุติ ไม่เป็นอื่น วิมุติโดยไม่อกุปปา ไม่กำเริบอีกเลย แล้วปัญญา ก็เป็นตัวปัญญาที่อยู่ร่วมกับเจโตวิมุตินี้ ด้วยกันชัดๆเลย เพราะฉะนั้น มันจะเป็นอำนาจแสงสว่าง อำนาจที่แข็งแรงมาก ไม่เหมือนกับเจโตที่กลบ ไม่มีปัญญาเข้ามาเรืองแสงช่วย ปัญญาที่ไม่มีเจโตวิมุติ ปัญญานั้นก็วน ไม่เที่ยง แปรปรวน ไม่ชัดเจน ไม่ยืนหยัด เพราะมันวน มันไม่เที่ยงนั่นแหละ ปัญญามันไม่ใช่ตัวปัญญา มันคิดมาตั้งแต่เหตุแต่ผลอะไร มันไม่มีตัวเจโตวิมุติที่แท้ตัวนี้

อาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร มันยากที่จะอธิบาย แต่ว่าฟังดีๆเถอะคุณ แม้แต่คิดตาม อาตมาคิดว่า ปฏิภาณของคุณ พอเข้าใจได้ ถ้ายิ่งคุณมีภาวะรองรับแล้ว จะเห็นจริงเลยว่า เจโตวิมุติกับปัญญาวิมุติ มันตัวเดียวกัน อยู่ในปัจจุบันนี้เทียว ไม่หลบไม่หลีกไม่ลี้ แล้วเป็นตัวจริงที่ดึงชัดขึ้นมาใช้กันหมด ไม่ได้กลบได้ฝังได้พราง ได้ซ่อนอะไรเลย คุณคิดดูซิว่าจิตสภาพอย่างนี้ นี่แหละ โลกุตรจิต ที่เป็นอุภโตภาควิมุติ มันวิเศษสุด มันแข็งแรง มันยอดเยี่ยมอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงทำงานได้อย่างยิ่ง เป็นฐานได้ไปส่วนหนึ่ง ได้ไปเหตุปัจจัยหนึ่ง หรือ ๕ เหตุปัจจัย ๑๐ เหตุปัจจัย มันก็ยิ่งเป็นอินทรีย์ เป็นพละ เป็นกำลังวิเศษ ทั้งแข็งแรงและรู้จริงรู้แจ้ง รู้แจ้งรู้จริง สูงส่งขึ้นไปเรื่อยๆ ตามลำดับ

เพราะฉะนั้น จิตวิมุติของพระพุทธเจ้านี้ จึงไม่เหมือนฤาษี ไม่ว่าจะเป็นฤาษีป่า หรือฤาษีกรุง ฤาษีเมือง ไม่ว่าจะเป็นฤาษีชนิดไหน ไม่เหมือน มีความเที่ยง ความมั่นคงแน่นอน ชัด ยืนหยัดยืนยันให้ผู้รู้ เจ้าของเจ้าตัวผู้รู้ ได้เห็นของจริงอย่างนี้

การกำหนดรู้เมื่อใดๆ ก็เห็นจริงเลยว่ากิเลสไม่มี กิเลสไม่มี ไม่เป็นอื่นเลย แข็งแรง ไม่แปรปรวน เพราะฉะนั้น ตรวจสอบจิตเจโตปริยญาณ มันก็จะตรวจไปเรื่อยๆเลย เห็นจิตว่า โอ๊ วิเศษเยี่ยมนี่ เป็นสอุตรจิตอย่างไร อนุตรจิตอย่างไร และอนุตรจิตที่มีสภาพเป็นประโยชน์คุณค่าต่อผู้อื่นอยู่จริง เป็นสมาธิแบบสมาหิตะ แล้วก็ไม่มีอวิมุติจรเลย เจโตปริยญาณตัวหลักสุดท้าย ที่อาตมาอธิบายแล้วว่า อนุตรจิตก็จะประกอบไปด้วย สมาหิตะ ประกอบไปด้วยวิมุติจิต สมาหิตจิต วิมุติจิตอยู่ในเจโตปริยญาณ ๑๖ ด้วย สามตัวสุดท้ายนี่ จะเป็นตัวยืนหยัดยืนยัน อย่างแท้จริงเลย ลักษณะของอนุตรจิตนั้น สมาหิตจิตจะเป็นอย่างไร มันเป็นความแข็งแรงตั้งมั่น ที่อะไรมากระทบสัมผัส อะไรที่มา โดยเฉพาะเหตุปัจจัยที่เราทำได้เป็นลำดับๆ มันมากระทบสัมผัสอย่างไรๆ มันก็แข็งแรงๆ มันเป็นตัวพิสูจน์ยืนยันอยู่ ไม่หนี นี่แหละพิสูจน์ เมื่อไรก็ประจำ เมื่อไรก็ประสบ เมื่อไรก็กระทบกระแทกสัมผัสอยู่ แรงจัดจ้าน มีเหลี่ยมมีมุม มีเล่ห์มีเลสอะไรมากอีก เท่าใดๆ มันก็ยิ่งจะพิสูจน์ตัวเราว่า เรารู้ทันไหม รู้เท่าทันโลกียะอันนี้ไหม เพลี่ยงพล้ำไหม นอกจากรู้ทันแล้ว มันยังแวบวาบ มันยังเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น มันยังมีอารมณ์กิเลส จะเป็นอารมณ์กามภพ หรือภวภพก็ตาม มีไหม

ผู้ที่ศึกษาจริงๆ ก็พยายาม ก็จะอ่านของตัวเองอยู่ตลอด ตรวจสอบของตัวเอง ยิ่งสภาวะปัจจุบันเลย กระทบเดี๋ยวนี้ กระแทกเดี๋ยวนี้ จะเกิดหรือไม่ อาการอารมณ์ อาการ ลิงคะ นิมิต อ่านออกเดี๋ยวนี้ ไม่มี ไม่มี สัญญากำหนดรู้ว่าไม่มี ไม่เกิด ไม่มี ไม่เกิด ไม่มี ไม่เกิด ไม่มี ไม่เกิด เที่ยง ตรง ไม่แวบไม่วาบ ไม่หวั่นไม่ไหว ๑ ครั้ง ล้านครั้ง แล้วที่มีสภาพจริง กระทบสัมผัสนี่ มันไม่ใช่ว่ากระทบ ๑ แล้วก็ผ่านไป ถ้ามันมีอยู่จริงๆ มันก็จิตเกิดรับรู้อยู่นี่ มันเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ รับ รู้ๆ แล้วก็รับรู้ รับรู้มันนับครั้งไม่ถ้วนหรอก และวาระที่เราจะมีเหตุการณ์ตรงนี้ อีกมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นหลักฐาน ยืนยันเรามากครั้ง มากวาระเท่านั้นๆ ว่า สัญญายะ นิจจานิ สัญญาย นิจจานะ สัญญาย นิจจานิ กำหนดรู้ว่ามันแข็งแรง เที่ยง ตรง ไม่มีเป็นอื่น ชัดๆ ปัญญาก็ยิ่งจะชัด เจโตก็ยิ่งจะบอกว่า โอ๋ย มันเก่ง มันแข็ง เจตโส อภินิโรปนา ปักมั่น แข็ง เที่ยงแท้ ไม่แปรไม่ปรวน ไม่หวั่นไม่ไหว ไม่โอนไม่เอน ไม่แวบไม่วาบไม่วูบ ไม่มีธุลีละออง ญาณคุณต้องรู้ด้วยตน ชัด ยิ่งชัดจริงของตน ไม่มีใครมารู้ให้แทนเราได้ ย่อมเกิดญาณตัวนั้นเอง เพราะฉะนั้น อย่าไปหลบเลย ยิ่งหลบก็ยิ่งนาน ยิ่งช้ายิ่งเนิ่นช้า ยิ่งไม่ประสบผล

คุณลักษณะพวกนี้ เป็นคุณลักษณะที่อาตมายึดมาอธิบาย สู่พวกคุณฟัง ฟังไว้ดีๆ บันทึกภาษา อาตมาพยายาม ที่จะใช้การบรรยายนี่ โดยตั้งใจที่จะอ่านสภาวะอันลึกๆ มาเป็นครั้งคราว ที่จะบรรยาย บางทีมันพูดแล้ว มันไม่ใช่ง่าย

อาตมาจะอ่านสูตรหลายๆสูตร ซึ่งเป็นสูตรที่อาตมาอธิบายมาบ้างแล้ว คล้ายกันแต่มีนัยะต่างกัน แล้วก็ละเอียด บางแง่บางมุม อธิบายถึงความไม่เที่ยง ถึงความกำหนดลงไป แล้วที่สุด ภพก็คือภพ ท่านใช้ภาษาว่าภวะ เรียกว่าภพ เพราะฉะนั้น จริงๆแล้ว เราก็ดับภพ คือดับภวตัณหาเท่านั้น กามตัณหาก็เป็นภวตัณหา

กามตัณหาเป็นภวตัณหาก็คือ มันก็เป็นภพ กามมันก็เป็นภพ วิภวตัณหาก็เป็นภวตัณหา เพราะวิภวตัณหาก็เป็นภพ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงตรัสตัวกลาง ตรัสจริงๆว่า ดับสนิท ก็คือเป็นผู้ดับภวตัณหาหรือดับภพ ผู้ดับภพหรือดับภวตัณหาได้สิ้น ผู้นั้นก็สูงสุด ส่วนวิภวตัณหานั้น เป็นสมมติสัจจะได้ เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็มีวิภวตัณหาเป็นเครื่องใช้สอย เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นไปเท่านั้นเอง สำหรับตนนั้น เมื่อเที่ยงแท้แน่นอนแล้ว หมดภวตัณหาครบแล้ว วิภวตัณหาท่านก็ปฏินิสสัคคะ แม้แต่ท่านจะอนุโลมกับคนอื่น เหมือนกับท่านไปสัมผัสกาม แล้วก็แสดงความยินดี เหมือนกับอย่างเล่นกับเด็กๆ เด็กๆที่เขาจะต้องสนุก หรือเขาจะต้องอร่อย เราไปเล่นกับเด็กๆ เราก็แสดงอาการให้มันเหมือนเลยนะ เล่นกับเด็กๆ ก็จะต้องสนิทสนมเหมือนกัน เด็กบอก เอ๊ะ สนุกจริง เราก็ เอ้อ สนุก อร่อย เออ อร่อยด้วย แต่ที่จริงก็เป็นสมมติสัจจะ เหมือนมีกาม แต่ความจริงท่านไม่ได้มีหรอก ท่านไม่ได้เสพหรอก แม้ท่านจะสามารถที่จะปฏินิสสัคคะ สลัดคืนกลับไปปรุงร่วมด้วย รู้ด้วย เหมือนเขารู้

เหมือนอาตมานี่ พยายามอยู่ทุกวันนี้ พยายามที่จะฟังเพลงสมัยใหม่เขาให้เพราะ ปรุงตามเขา พยายามปรุง เพื่อที่อาตมาจะได้รับรสนี้ แล้วก็จะได้รู้รสนี้ จะได้มาแต่งรสนี้ตามเขาด้วย เพื่อจะได้แต่งทันสมัยกับเขาบ้าง มันยังไม่ขึ้นเลย แต่ก็ขึ้นมาจิ๊ดหนึ่งแล้ว พยายามฟังเพลงสมัยใหม่ ที่มัน.. แหมเขาร้องสมัยใหม่ที่ขายดีๆนี่ ไม่ว่าใครร้องนี่ มันร้องเป็นชิดช้ายแล้ว มันร้องไม่เป็นจิตใจแล้ว มันร้องชิดซ้ายแล้ว พวกนี้นักร้องสมัยใหม่ มันเพราะ แล้วก็จังหวะลีลาอย่างนั้น พยายามปรุงตาม ทั้งๆที่อาตมานี่ ติดเสียง ติดลีลาศิลปะเพลง หรือเสียงนี่ นานช้ากว่าเพื่อน ละล้างทีหลังเพื่อน ล้างออกสุดเพื่อนนี่นะ ซึ่งคุณก็คงเคยได้ยินอาตมาเคยบอกแล้ว มันก็ยังโบราณ ไม่มัน แล้วก็ไปเกิดรสชาติ จำได้กับรส ลีลาศิลปะสมัยเก่าๆ เพลงทำนองลีลา แต่งออกมาทีไร มันก็ยังไม่ออก เขาก็ว่า มันเชยอยู่นั่นแหละ ซึ่งอาตมาก็ต้องยอมรับนะว่า จริงด้วย เราก็ยังลีลาเพราะแบบเก่าๆอยู่ มันไม่เพราะ แบบสมัยใหม่เขาเลย ก็พยายามปรุงตามอยู่นี่ พยายามปฏินิสสัคคะ มันก็ยังไม่ออก ยังไม่ได้ ยังไม่ค่อยเจ๋ง ยังไม่ค่อยเต็มรูปเลย แต่มันก็ได้น่ะ มันจะได้ มันจะได้เหมือนกันนั่นแหละ คอยๆดูก่อน มันจะเมื่อไรจะได้ ยังไม่รู้

แต่แน่นอน อาตมารู้แล้ว แม้ที่สุด อาตมากลับมาฟื้นฟูปรุงเป็นรสเพลงเก่า โบราณ หรือว่า เคยเพราะอย่างนี้ อาตมาก็ทำมา อย่างเพราะอย่างนี้ ซึ่งผู้ที่รู้ร่วมกัน เขาก็เข้าใจได้ว่า เออ ก็เพราะอย่างนี้ได้ แต่อาตมาก็ดูที่ใจ อาตมาติดใจเพราะอันนี้หรือเปล่า ยึดติดปัญญาเป็นของเราหรือไม่ เมื่อเราแน่ใจว่า เราไม่มี มันก็คือไม่มี ถ้ามีเราก็ต้องรู้ว่ามันมีอยู่ มันเหลือรส เหลือชาติ เหลืออะไรอยู่ เรามีญาณรู้จริงแล้ว เราโกหกตัวเอง ตัวเองก็ต้องซวยละ มันก็ยิ่งเท่ากับตัวเองหลอกตัวเอง แล้วก็หลอกผู้อื่นต่อ แต่ถ้าเผื่อว่า เรารู้จริงรู้ชัด แล้วไม่ปฏิเสธ เออ อันนี้เรามีจริงๆ แม้นิดแม้น้อยเรามี เราก็ต้องรับรองตัวเรา โกหกตัวเราเองเราก็ซวยไปต่อ เพราะฉะนั้น อย่าไปโกหกตัวเองเลย แล้วก็อย่าผ่าไปโกหกคนอื่นต่ออีกละ โกหกตัวเองก็บาปแล้ว ดันผ่าไปโกหกคนอื่นต่อด้วย โดยเฉพาะ อุตริมนุสธรรม พวกนี้นี่ สภาวจิต เจตสิก รูป นิพพาน หรือกิเลสพวกนี้แล้วก็ อย่าเทียวนะ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ โกหกอันนี้ อุตริมนุสธรรมพวกนี้นี่ ถ้าเป็นสมณะ ก็ถึงกับตัดขาดจากศาสนาไปชาติหนึ่งเลย พรหมทัณฑ์อย่างแรง ไม่เอาภาระด้วยเลยทั้งชาติ ๑ ชาติตัดทิ้งไป หมายความว่าฆ่าทิ้ง ๑ ชาติ จำคุกตลอดชีวิต หรือฆ่าทิ้งไป ๑ ชาติ เป็นการลงโทษทางธรรมแรงมาก เมื่อได้รับรู้จักอาการของโทษ อย่าไปทำผิดในเรื่องอย่างนี้ อย่าไปทำผิดขั้นประหารชีวิต

ถึงแม้ว่าเราเองทำผิดแล้วเราโกหก ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นคุณค่าของสัจจะ เป็นคุณค่าของสัจจะ เป็นบาป ไม่ใช่ค่าของบุญนะ เป็นคุณค่าของบาป ที่ว่าร้ายแรง

มีอยู่สูตรหนึ่ง อาตมาไปเจอ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัด ถึงเรื่องภวตัณหา มีพระบาลีรองรับเลยว่า ชีวิตย่อมไม่ทำให้ผู้ใดเดือดร้อน ผู้นั้นย่อมไม่เศร้าโศกในที่สุดแห่งมรณะ ถ้าว่าผู้นั้นมีบทอันเห็นแล้วไซร้ มีบทนี่คือมีตัวที่เป็นพฤติกรรม เป็นพฤติกรรม เป็นบท เป็นปริบท เป็นความประพฤติ หรือเป็นลีลาอาการโดยเฉพาะลีลา อาการของปรมัตถธรรม จิตเจตสิก อาการของอยู่ในจิต ถ้าว่าผู้นั้นมีบทอันเห็น (นี่แปลจากบาลี อย่างภาษาตรงตัว ซึ่งมาจากภาษาบาลีว่า ทิฏฐปโท ปทะก็บทนั่นแหละ ทิฐิ ก็เห็น ปทะก็บท ก็แปลทับศัพท์ว่า บทอันเห็น นี่คือเปรียญหรือปราชญ์ ภาษาท่านแปล ก็ไม่มีภาษาจะแปลแล้ว ท่านก็ทับศัพท์ บทอันเห็นทิฏฐปโท หรือทิฏฐบทนั่นแหละ) ถ้าว่าผู้นั้นมีบทอันเห็นแล้วไซร้ นับเป็นนักปราชญ์ธีโร เป็นนักปราชญ์ย่อมไม่เศร้าโศก ในท่ามกลางแห่งสัตว์ผู้มีความโศก สำนวนนี้ก็คงพอเข้าใจ ผู้ใดถึงที่สุดอย่างนี้แล้ว เป็นนักปราชญ์ ย่อมไม่เศร้าโศก ในท่ามกลางแห่งสัตว์ผู้มีความโศก ฉะนั้นผู้ใดยังเศร้ายังโศกอยู่ ผู้นี้ไม่โศก

ภิกษุผู้มีภวตัณหาอันตัดขาดแล้ว (ภวะ นะไม่ใช่วิภวะ ฟังดีๆ) ภิกษุผู้มีภวตัณหาอันตัดขาดแล้ว มีจิตสงบ มีชาติสงสารสิ้นแล้ว นี่หมายถึงคุณลักษณะของพระอรหันต์ มีจิตสงบ มีชาติสงสาร หมายความว่า มีความเวียนวนสังสาระ ไม่มีการเวียนวนอีกแล้ว ไม่มีการเกิดเวียนวนชาติสังสาระ มีชาติสงสารสิ้น ก็หมายความว่า ดับ ของวัฏสงสาร หรือชาติสงสาร ดับการเกิด เราต้องรู้ว่าอะไรเกิดหรือดับ กิเลส อนุสัยอาสวะ ดับสนิทไม่เกิดอีก ธุลีละอองพวกนี้ไม่เกิดอีก ดับชาติสิ้นชาติสงสารหมดแล้ว ย่อมไม่มีภพใหม่ เป็นผู้ไม่มีภพใหม่แน่นอน เพราะฉะนั้น ผู้นี้ดับภพหมด มีแต่ภพที่อาศัยเท่านั้น เรียกว่า วิภวภพ หรือวิภวตัณหา ตัณหาอันยิ่ง หรือวิภวภพ ภพอันยิ่ง ภพอันยังไม่หมดรูปนามขันธ์ ๕ ภพยังจะศึกษาเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่ภพเพื่อตนเองอีกแล้ว หมดอัตตาตัวตน หมดตัวตนของตนจริง แม้จะมีอีกต่อไป ก็เป็นแค่เพียงอาศัยเพื่อผู้อื่น จิตสุจริตว่าเราไม่ได้เสพ ไม่ได้บำเรอ ไม่ได้มาหลงสุขหลงทุกข์ ไม่หลงมาเอร็ดอร่อย ไม่ได้มีอัสสาทะให้แก่ตนอีกต่อ

พระพุทธเจ้าใช้คำจบก็ใช้ภวตัณหา ไม่ได้ไปดับวิภวตัณหาเลย (พระบาลีบอกว่า ยัง ชีวิตัง นะ ตปติ มรณันเต นะ โสจติ) ที่บอกว่า ชีวิตย่อมไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ผู้นั้นย่อมไม่เศร้าโศกในที่สุด ในที่สุดย่อมไม่เศร้าโศกในที่สุดแห่งมรณะ มรณันเต นะ โสจติ

ถ้าว่าผู้นั้นมีบทอันเห็นแล้วไซร้ ที่อ่านไปแล้วเมื่อกี้นี้ สเจ ทิฏฐปโท ธีโร เป็นนักปราชญ์ ถ้าว่าผู้นั้น มีบทอันเห็นแล้วไซร้ เป็นนักปราชญ์ ย่อมไม่เศร้าโศก ในท่ามกลางแห่งสัตว์ผู้มีความเศร้าโศก โสกมัชเฌ ท่ามกลางความโศก เศร้าโศกในท่ามกลางความโศกนี่ น นี่ก็คือไม่ ย่อมไม่เศร้าโศกในท่ามกลางแห่งสัตว์ผู้ความโศก โสกมัชเฌ สัตว์ผู้มีความโศก โสกมัชเฌ น โสจติ

อุจฉินนะภวตัณหัสสะ อุจฉินนะก็คือ ดับแล้ว สงบ ดับสนิทแล้ว ตัดขาดแล้ว อุจฉินนะ ตัด อุจเฉทแปลว่าขาด แปลว่าไม่มี ตัดขาด อุจฺฉินฺนภวตณฺหสฺส ภิกษุผู้มีภวตัณหาอันตัดขาดแล้ว สันตจิตตัสสะ สันตะก็สงบ มีจิตสงบแล้ว ภิกขุโน ภิกษุผู้มีจิตสงบ มีภวตัณหาอันตัดขาดแล้ว วิกขีโณ ชาติสังสาโร มีชาติอันสงบสิ้นแล้ว นัตถิ ตัสสะ ปุนัพภโวติ ภโว คือภพ นัตถิ ตัสสะ ปุนัพภโวติ ย่อมไม่มีภพใหม่ พระไตรปิฎกเล่ม ๒๕ ข้อ ๑๐๘

อาตมาเอาอันนี้มาเพราะว่า อาตมาเขียนเติมลงในหนังสือ คนคืออะไรอยู่ แล้วก็เรากำลังอธิบายให้เห็นว่า จิตตัวอาสวักขยญาณ ตัวจบกิจของพระอรหันต์นั้น คือตัวที่ไม่มีอาสวะ ดับอาสวะสิ้น แต่ไม่ได้ดับที่ภวตัณหา แล้วอาตมาก็อธิบาย ที่ได้เคยเอามาอ่านให้ฟังแล้วว่า วิภวตัณหานั้น เป็นเหมือน อากังขาวจร หรือ อิจฉาวจร เป็นอาการของจิตที่เก่งด้วย เยี่ยมยอด มีความอยากได้ มีความปรารถนา มีความต้องการมุ่งมาด ที่แข็งแรงด้วย แต่ไม่เพื่อตน ไม่ได้เสพแก่ตน เป็นกำลังอันวิเศษของพระอรหันต์ด้วย ที่ใช้ในการสร้างกอบก่อ คุณค่าประโยชน์ ให้แก่มนุษยชาติ เป็นความวิเศษของมนุษย์ เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้ดับวิภวตัณหา หรือวิภวภพ ดับภพเรียกมันว่าภพ เรียกมันว่าภวะ อาตมามาเจออันนี้ก็เลย นี่ยังไม่ได้ใส่เข้าไปในคนคืออะไร เขียนไปแล้ว ส่งไปแล้ว มาเจออันนี้อีก แหม นี่เอามาอ้างอิงประกอบด้วย ก็จะลึกซึ้ง มีหลักฐานยืนยันชัดขึ้นไปอีก ว่าพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้กล่าวว่า พระอรหันต์นั้นดับที่ภวตัณหา แต่ดับอาสวะดังกล่าวแน่นอน พระอรหันต์นี่ ดับอาสวะดังกล่าวแน่นอน แต่ไม่ได้กล่าวว่า ดับที่ภวตัณหา จริง วางวิภวตัณหาได้ ไม่ได้ติดใจในวิภวตัณหาได้จริง แต่บอกแล้วว่า วิภวตัณหามันก็คือ ภวตัณหานั่นแหละ คือตัณหาในภพ เป็นภพอันยิ่ง เป็นภพอันวิเศษ เป็นภพอันที่ท่านไม่ได้ติดเป็นตัวตนแล้วนั่นแหละ แม้ภพที่ท่านไม่ติดเป็นตัวตนแล้ว ท่านก็ไม่ได้หมายว่า จะเอาภพนี้ไปด้วย พระอรหันต์ต้องรู้ ว่าเอาภพนี้ไปด้วยไม่ได้ ถ้าจะดับภพอย่างสนิท เป็นปรินิพพาน แต่ถ้าพระอรหันต์จะไม่ดับภพนี้สนิท จะไม่ปรินิพพาน ก็สัญญาย นิจจานิ กำหนดอันนี้เที่ยงไว้ก่อน อันนี้ต่อไว้ก่อน อย่าเพิ่งสูญ ก็เป็นเรื่องของท่าน อย่ามายุ่งกับกู เป็นเรื่องของท่าน นี่เป็นภาวะพิเศษ ดีที่สุดหรือสมบูรณ์ที่สุด ก็อยู่ที่จิตต้องละเอียด อย่าโกหกตัวเอง ตัวนี้แหละสำคัญ

ผู้ใดที่ชัดเจนแล้ว สัญญากำหนดรู้อย่างชัดหมดทุกอย่างจริงแล้ว เห็นจริงว่าดับสนิท จึงจะปฏิญาณตนว่าดับสนิท ถ้าไม่ดับสนิท อย่าไปปฏิญาณตนพล่อยๆ อวดอุตริมนุสธรรม อันเป็นความชั่วร้ายที่สูงสุด อวดอุตริมนุสธรรม โดยเฉพาะไปปฏิญาณตนว่าบรรลุ ปฏิญาณตนว่าดับสนิท ปฏิญาณตนว่าหมดกิเลส ถ้ารู้อยู่จริงๆ จะรู้โดยญาณแวบไหว ที่รู้ตัวเองเล็กน้อยเท่าไหร่ ไม่แน่ใจอย่ากล่าว เว้นแต่เป็นความหลงที่แท้จริงว่า เรารู้สึกว่า เราดับจริงๆ นะ แล้วเป็นความหลง มันซุกซ่อนได้ นั่นก็แล้วไป พระพุทธเจ้าก็ไม่เอาผิดแม้แต่อาบัติ ท่านก็ไม่เอาผิดหรอก ไอ้อย่างนั้นมันหลงจริงๆ น่ะ มันรู้ตัวจริงๆเลยนะ ว่าเราดับสนิทจริงๆเลย ไม่ใช่ไม่เคย รู้แว็บๆ วาบๆ เรายังไม่หมดน่ะ ยังมีแวบๆวาบๆอยู่ อย่าอุตริปฏิญาณออกมา ต้องเอาให้มันชัดแน่ เที่ยงแท้ ร้อยครั้ง พันครั้ง โอ้น่ะ ดับแน่แล้ว ไม่เหลือจริงๆ อย่างนี้นี่หลายทีแล้ว มันไม่เกิด อย่างนี้ไม่เกิด เอาให้จริง หยั่งญาณให้รู้ตนให้จริง

ทีนี้ลองฟังสูตรต่างๆ ที่จะสัมพันธ์กันไป ว่าด้วยทรงแสดงส่วนสอง (ข้อ๑๒๔ เล่ม๑๐)

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยส่วนสอง วิญญาณเกิดเพราะอาศัยส่วนสอง เป็นอย่างไร จักษุวิญญาณเกิดขึ้น หมายความว่าวิญญาณทางตา เพราะอาศัยจักษุและรูป นั่นคือส่วน ๒ อาศัยตากับรูป ซึ่งเป็นอายตนะนอก อายตนะใน เราก็เรียนมาแล้วในทุกขสูตร อาตมาเอามาอธิบายไปแล้ว เกิดผัสสะ ก็ต้องมีสภาพ ผัสสะก็ต้องเกิดสาม คือมี อายตนะนอก อายตนะใน กับวิญญาณ ถ้าวิญญาณทางตา ก็เรียกจักษุวิญญาณ วิญญาณทางหูก็เรียกโสตวิญญาณ อะไรอย่างนี้เป็นต้น สรุปแล้วคือเกิดสาม ก็คือ เกิดตา เกิดทวารนอก อายตนะนอกกับอายตนะใน รูปเป็นอายตนะนอก ตาเป็นอายตนะใน เสียงเป็นอายตนะนอก หูเป็นอายตนะใน กลิ่นก็เหมือนกัน จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะนอก อายตนะใน แล้วก็เกิดเป็น มามีวิญญาณ วิญญาณที่จากรูปก็เรียกวิญญาณตา วิญญาณจากเสียงก็เป็นวิญญาณหู อะไรอย่างนี้เป็นต้น จนกระทั่งครบ ๖ รวม ๓ นี้เป็นผัสสะ ตรงนี้ต้องอธิบายซ้อนลงไปอีกว่า แล้ววิญญาณมันเกิดจากอะไร เกิดจาก ๒

วิญญาณเกิดขึ้น เพราะอาศัยส่วนสองเป็นอย่างไร จักษุวิญญาณเกิดขึ้น เพราะอาศัยจักษุและรูป จักษุไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น รูปไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น ส่วนสองอย่างนี้ หวั่นไหวและอาพาธ ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้น เอาตา เอารูป เอาอะไรพวกนี้ เป็นที่พัก เป็นที่อาศัยไม่ได้ มันไม่เที่ยงหรอก เป็นทุกข์ จักษุวิญญาณไม่เที่ยง แม้มาเป็นจักษุวิญญาณ อาศัยตา อาศัยรูป แล้วมีจักษุวิญญาณได้ มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่นเหมือนกัน แม้เหตุปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้น แห่งจักษุวิญญาณ ก็ไม่เที่ยง เหตุปัจจัยอะไรก็แล้วแต่ รวมแล้วก็อธิบายไปหมดแหละ ที่มันจะก่อให้เกิดรูป ก่อให้เกิดมีอายตนะใน คือตา ทวารอื่นก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ก็เหมือนกัน มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็จักษุวิญญาณที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยปัจจัย อย่างนี้เป็นปัจจัย จักษุวิญญาณสัมผัส สัมผัสรูปข้างนอกก็มาเกิดจากตา มีตาก็มีรูปนอกกับใน เกิดเป็นวิญญาณ จักษุวิญญาณที่เกิดนั้นน่ะ เราเกิดรับรู้สึกแล้ว เป็นในอีกทีหนึ่ง เป็นในภายในเป็นรูปภายในอีกทีหนึ่ง ด้วยสภาวะ นึกออกไหม ไอ้นี่รูปนอก ตัววัตถุนอก ตาเป็นอายตนะใน เข้าไปข้างใน รับภาพนี้แล้ว รับรู้แล้วเป็นภาพอยู่ข้างใน เป็นรูปข้างในอีกทีหนึ่ง เป็นจักษุวิญญาณ วิญญาณรู้รูป เวทนา สัญญา สังขาร แล้วก็มาเป็นวิญญาณ ถ้ามันไม่ได้เรียนอะไร มันก็เป็นรูป ชอบหรือไม่ชอบ มันก็ไว สังขารปรุงแล้ว เวทนาไปกำหนดอุปาทานเอาไว้ว่า ชอบก็สุข ไม่ชอบก็เคืองในตา ที่จริงไม่มีฝุ่นมีอะไร เข้าไปในตาสักหน่อย ไม่ชอบก็ แหม เคืองนัยตา หมั่นไส้ ชัง เกลียด อะไรก็แล้วแต่ มันก็จะเกิดภาวะกิเลสทันที ไวนะ แต่ก่อนนี้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้ก็ยังไวอยู่ แต่ก่อนนี้ไว รู้เลย เดี๋ยวนี้ละ ก็ยังไวอยู่ แต่ถ้าเราได้ฝึก มันจะไม่ไวดอก มันก็จะเข้าใจได้ว่า อ๋อ เรานี้ยังมีเบรก ยังมีแตะ ยังมีห้ามอยู่ ยังมีรู้ทัน มีญาณเข้าไปแทรกตัวรู้ได้ ถ้าได้สังวรระวังหัดฝึก ก็ยิ่งจะชัดเจนว่าเรารับทัน เราไม่ไปพรวด ปรุงมาเป็นชัง หรือแม้ชัง ก็ยังไปกำหนดชัง เฮ้ย ช้า ชังอย่าไปทำงานไวนัก กิเลสอย่าไปทำงานเกลียดเร็วนัก ใช่ไหม เราจะมีการชำนาญ หรือว่ามีภาวะที่รู้จักห้าม รู้จักหยุด รู้จักอ่านอาการภาวะของกิเลส ของตัวเลว ของตัวไม่ดีอะไรบ้าง หรือแม้แต่ตัวอร่อย ตัวที่เรานึกว่าเป็นของดี แต่ก่อนนี้หลงมัน อร่อยปั๊บเป็นสุข โอ๊ยดีหมด เอ๊ มันสุขแท้หรือเปล่า มันสุขปรุง หรือว่ามันสุขอย่างไร มันจะรู้ชัดขึ้น ยิ่งเข้าใจเคหสิตะ เนกขัมมสิตะ แล้วยิ่งจะรู้ ไอ้สุขปรุงมันไม่ใช่สุขแท้หรอก สุขอร่อยโลกียะ ถ้ายิ่งคุณกำหนดโลกียสุขได้ชัด เคหสิตโสมนัสได้ชัด โอ มันไม่มีหรอก จริงสุขมันไม่มี ให้มันดับสนิท ไอ้ตัวเคหสิตโสมนัส หรือโลกียสุขนี่แหละ เป็นตัวซ้อน ที่ตัวพรางทุกข์ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นแหละ ต้านมันไว้ก่อน แล้วก็หัดลด อย่าไปติดมันนะ เป็นสุขหรือเป็นอะไร คุณก็ทำออกได้ เนกขัมมะได้ คุณก็หัด ฝึกปลดปล่อยได้ ก็จักษุวิญญาณที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยปัจจัยอันไม่เที่ยง จักษุวิญญาณก็คือตัวรูปใน เกิดแล้ว เพราะอาศัยปัจจัยอันไม่เที่ยง ไม่ว่าจะปัจจัยตา ปัจจัยรูป ก็บอกแล้วล้วนแต่ไม่เที่ยง แปรปรวนทั้งนั้น อาศัยมาก่อเกิด ผสมอยู่ในใจ เป็นจักษุวิญญาณก็ตาม มันก็ไม่เที่ยง

เพราะอาศัยปัจจัยอันไม่เที่ยง จักเป็นของเที่ยงแต่ไหน แล้วมันจะเอาอะไรมาเที่ยงเล่า พวกนี้ นอกก็ไม่เที่ยง ในก็ไม่เที่ยง มาก่อเกิดเป็นในเข้าไปอีก เป็นจักษุวิญญาณอีก มันก็ไม่เที่ยงอยู่นั้นแหละ รูปนั้นไม่ได้น่ารักน่าใคร่ ไม่ได้น่ายินดี แล้วไม่ต้องไปหลงว่ามันจะปรุงเป็นรส ก็เมื่อคุณไม่ปรุงเสียอย่าง คุณก็รู้ความจริงได้ว่า ขวดรูปอย่างนี้ คนเขาเรียกว่าขวด โอ๊ รูปสวยดี เออ เอ็งสมมติว่าสวย และรสชาติสวย และเราก็จะชื่นอกชื่นใจ ปรุง คุณก็หัดดูอาการปรุงของคุณต่อ ถ้ามันปรุง แก้ตรงปรุง แต่เขาบอกว่าสวยตามสมมติโลก เออ รู้ตามเขา คุณก็กำหนดรู้โลก เข้าใจสมมติสัจจะ แต่ปรมัตถสัจจะ คุณฆ่าให้ถูกนะ ฆ่าให้ตัวที่คุณชื่นชอบ คุณไปเสพรสอัสสาทะนั้น รู้สังขารนั้น อย่าให้มันปรุงเป็นรส ดับรสก็ได้ ดับสังขารของจิตที่จะไปเป็นรสยิ่งดี ยิ่งถูกตัวว่า ดับสังขารถูกแล้ว เพราะฉะนั้น ก็ดับรสไว้ก่อน ก็หมายความว่า เออ เราค่อยๆก้าวเข้าไปแล้วนี่ ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดเข้าไปอีกหน่อย สวรรค์น้อยๆ อยู่ที่วงนิพพาน ไม่ใช่วงฟ้อนรำนะ ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว ทีนี้ก็ต้องอ่านชัดลงไป ที่อัสสาทะนี่ ต้องมีสังขารนำหน้า เพราะปรุง จึงเกิดรสอัสสาทะ ตามฆ่าสังขารให้ได้อีกทีหนึ่งให้มันทัน เอ๊ อธิบายเป็น slow motion นี่เป็นหนังถ่ายช้า ถ้าอย่างนี้ยังไม่รู้อยู่ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว อาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้ว

เขาถามว่า ถ้าจับสังขารได้ นี่มันฆ่าสังขารอันนี้นะ สังขารกายนี่จะมาฆ่ามัน อันนี้อาศัยไว้ปฏิบัติ เป็น สูรา สติมันโต อิธ พรหมจริยวาโส เป็นตัวที่จะปฏิบัติพรหมจรรย์ให้สิ้นได้ อย่าเพ่งไปฆ่ามัน ไม่ต้องไปทำลายมัน ทำลายสังขารในจิต สังขารจิต กิเลสมันเป็นอย่างไร ตัวกิเลสตัวนี้แหละเป็นตัวไปสังขาร จับอาการตัวที่หลงเป็นตัณหา เป็นความอยากได้อยากมีอยากเป็น ฆ่าตัวนี้ได้จริงแล้ว ไม่มีสังขาร ก็ดี แล้วก็จบ

เพราะอาศัยปัจจัยอันไม่เที่ยง จักเป็นของเที่ยงแต่ไหน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความประจวบ ความประชุม (ประจวบก็คือประจันแล้ว ชน สัมผัสแล้ว ความประจวบมันมาพร้อมกัน พร้อมพรั่งแล้ว ความประจวบหรือความประชุม) มันมาครบครันแล้ว ความพร้อมกันแห่งธรรมะทั้ง ๓ นี้แล เรียกว่า จักษุสัมผัส

เพราะฉะนั้น เราเรียกสัมผัสโดยภาษาตื้นๆ เราบอกว่าเราไปกระทบนี่ เรียกว่าสัมผัส แต่นัยที่ละเอียดของอภิธรรมแล้ว สัมผัสนี่หมายความว่า กระแทกเท่านั้นเองแหละ แต่ความจริงต้องอ่านปรมัตถ์ มีอายตนะนอก อายตนะใน มีจักษุวิญญาณ รวมองค์สามนี้ ปรุงเป็นรูปเรื่องขึ้นมา อย่างนี้จึงเรียกว่า เนื้อหาของสัมผัส เพราะฉะนั้น สัมผัสด้วยภาษาโวหาร ตื้นๆหยาบๆ ของประถมหนึ่ง การกระทบกระแทก เรียกว่าสัมผัส ในเนื้อในของรายละเอียด จะเกิดเรียกว่า ทางตาเห็นรูป เรียกว่าจักษุสัมผัสแล้วไซร้ ก็คือมีรูป มีตา มีจักษุวิญญาณ นั่นรวม ๓ นี้ เรียกว่าสัมผัส ถ้าตาก็เรียกว่า จักษุสัมผัส หรือรูปเรียกว่า จักษุสัมผัส

ทีนี้ในภาษาที่เคยอ่านเคยผ่านมา ดับผัสสะ ไม่มีสัมผัส แล้วก็ดับสนิททุกอย่าง ไอ้นั่นก็เป็นภาษาอธิบายผ่านๆ อธิบายหยาบๆ ถ้าใครพาซื่อแบบนั้น ไปดับผัสสะ ก็คือไม่ต้องมีผัสสะ ก็เป็นฤาษีไพร ฝ่ายมุนีฤาษีไพร เป็นฤาษีป่า หนีผัสสะอย่างพาซื่อ หนีผัสสะอย่างตื้นๆประถม ๑ แล้วก็ไม่มีทางที่จะบรรลุอรหันต์ของพุทธดอกคนพวกนี้ เพราะยาก อธิบายไปแล้วมันจะวน นี่อธิบาย ที่จริงแล้ว อย่างนี้ต้องอธิบายต่ออุปสัมบัน จะอธิบายกับอนุปสัมบัน ไม่รู้เรื่อง มันลึก แม้แต่พวกเราบางคน ฟังแล้วก็พยายามฟัง เอ้อ ไม่ค่อยจะเข้าใจ มันลึก มันละเอียดเกินไป แต่ผู้ใดที่มีญาณรับได้ทัน ได้ดี เข้าใจความหมายที่อาตมาขยายความหมด ผู้นั้นอย่างน้อยก็มีความฉลาดพอที่จะรับรู้ แม้ไม่มีสภาวะจริง ยิ่งมีสภาวะจริงรองรับแล้ว โอ้โฮ ฟังดี ฟังดีนะมันฟัง แหม มันชัด มันอร่อย มันรู้เรื่องรู้ราว แล้วเราก็สนใจในเรื่อง จะไปนิพพานจริงๆ นะ โอ๊ แล้วท่านก็อธิบาย อ่านต่อไป

ก็ชิวหาวิญญาณเหมือนกัน แล้วก็ต่อไปก็วิญญาณอื่นๆ นั่นแหละทั้งหมด อธิบายมาถึง สัมผัส ทุกอย่างก็ไม่เที่ยง ไม่เที่ยง จนกระทั่งถึงมโน

ช้อ ๑๒๗ แม้มโนสัมผัสก็ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น แม้เหตุปัจจัย เพื่อความเกิดขึ้นแห่งมโนสัมผัส ก็ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มโนสัมผัสที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยปัจจัยอันไม่เที่ยง จะเป็นของเที่ยงแต่ไหน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอันผัสสะกระทบแล้วย่อมรู้สึก อันผัสสะกระทบแล้วย่อมคิด อันผัสสะกระทบแล้วย่อมจำ แม้ธรรมเหล่านี้ก็หวั่นไหว และอาพาธ ไม่เที่ยง มีความแปรปรวน มีความเป็นอย่างอื่น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย มโนวิญญาณย่อมเกิดเพราะอาศัยส่วนสองอย่าง ด้วยประการฉะนี้ แลฯ

เอาละ รู้แล้วว่า มันไม่เที่ยงแล้ว

ปัญจวัคคิยสูตร ว่าด้วยลักษณะแห่งอนัตตา ทีนี้เป็นตัวไม่มีตัวตน เล่ม ๙ ช้อ ๑๒๗

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้พระนครพาราณาสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุเบญจวัคคีย์ ฯลฯ แล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปมิใช่ตัวตน ก็หากว่ารูปนี้จักเป็นตัวตนแล้วไซร้ รูปนี้ก็คงเป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในรูปว่า ขอรูปของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด คือหมายความว่า อย่าเปลี่ยนแปลงเลย อย่าแปรปรวนเลย อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย อย่าได้ไปเป็นอื่น กำหนดจะเอาอย่างนี้ ก็ต้องเอาอย่างนี้ รูปนี้จะต้องอย่างนี้ อย่าเสื่อม อย่าเปลี่ยนแปลง อย่าแปรปรวน เที่ยงนะ รูปต้องเที่ยง ก็เพราะเหตุนี้ รูปมิใช่ตัวตน ฉะนั้นรูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ อาพาธก็คือมันจะต้องเปลี่ยนแปลง มันจะต้องเจ็บป่วย มันจะต้องทุกข์ และไม่ได้ตามความปรารถนาในรูปว่า ขอรูปของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย อย่างนั้นก็คือ ต่างจากอย่างนี้ นี้ๆ เที่ยงนะ อย่าเป็น หน่อยก็ไม่ได้ เป็นอย่างโน้น ก็ไม่ได้ เป็นอย่างนี้ นอกจากนี้แล้ว อย่างนั้น อย่างนั้นแหละ อย่างกำหนดนั่นแหละ อย่าเป็นอื่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เวทนามิใช่ตัวตน ก็หากเวทนานี้ จักเป็นตัวตน แล้วไซร้ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาว่า ขอเวทนาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็น อย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุที่เวทนาไม่ใช่ตัวตน ฉะนั้น เวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามปรารถนา ในเวทนาว่า ขอเวทนาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัญญามิใช่ตัวตน ก็หากสัญญานี้จักเป็นตัวตนแล้วไซร้ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในสัญญาว่า ขอสัญญาของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุนี้ สัญญามิใช่ตัวตน ฉะนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปรารถนา ในสัญญาว่า ขอสัญญาของเรา จงเป็นอย่างนั้นเถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารมิใช่ตัวตน ก็หากสังขารนี้ จักเป็นตัวตนแล้วไซร้ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในสังขารว่า ขอสังขารของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุที่สังขารมิใช่ตัวตน ฉะนั้น สังขารจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปรารถนา ในสังขารว่า ขอสังขารของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณมิใช่ตัวตน ก็หากวิญญาณนี้ จักเป็นตัวตนแล้วไซร้ ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนา ในวิญญาณว่า ขอวิญญาณของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย. ก็เพราะเหตุที่วิญญาณมิใช่ตัวตน ฉะนั้น วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ และไม่ได้ตามความปรารถนา ในวิญญาณว่า ขอวิญญาณของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย.

ข้อ ๑๒๘ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง เที่ยงหรือไม่เที่ยง นึกว่าเที่ยง ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นตัวตนของเรา

แน่นอน มันก็ต้องไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า ตอบแทนพวกคุณ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจักสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวบเลยตอนนี้ ก็เหมือนกันนั่นแหละ ไม่เที่ยง ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เมื่อไม่เที่ยง เมื่อแปรปรวน สมควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นตัวตนของเรา

ข้อ ๑๒๙ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั่นแหละ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ทั้งที่อยู่ในที่ไกลหรือที่ใกล้ รูปทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ฟังให้ดีนะเห็นด้วยปัญญาอันชอบ เอาปัญญามาใช้แทน สัญญา นี่แหละไปเป็นปัญญา การกำหนดรู้นี่แหละไปเป็นปัญญา คุณคงเดาได้ เดาออก ตัวฉลาดจริงๆ ก็คือการ กำหนดรู้ให้ชัดที่สุด ตามความเป็นจริงที่สุดนี่แหละ มันคือปัญญาอันยอด แม้ที่สุดถึงขั้นปัญญาระดับ อาสวักขยญาณ เป็นญาณสุดยอด เพราะการกำหนดรู้นี่แหละ

เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่เป็นตัวตนของเรา แล้วท่านก็ไล่ไป นอกจากรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วก็สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง จนเป็นที่สุด โน่นแหละ มันก็ไป ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเราไม่ได้

ข้อ ๑๓๐ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ เพื่อความเป็นพระอรหันต์ หรือเพื่อความนิพพานอย่างนี้ กิจอย่างนี้ ไม่ต้องทำอีกแล้ว มิได้มี

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอนัตตลักขณสูตรนี้ จบลงแล้ว ภิกษุเบญจวัคคีย์ ต่างมีใจยินดี ชื่นชม พระภาษิต ของพระผู้มีพระภาค ก็แหละเมื่อพระผู้มีพระภาค กำลังตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ภิกษุเบญจวัคคีย์ ก็มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่น

เมื่อเราอ่านสูตรนี้แล้วเสร็จ เราก็เข้าใจแล้วว่า สูตรที่บอกว่า แม้ที่สุด ไม่ใช่ตัวตนของเรา ไม่เที่ยง แล้วก็ไม่ใช่ ตัวตนของเรา เพราะมันไม่เที่ยง มันก็ต้องเป็นทุกข์ เมื่อเราไปยึดเที่ยง หรือยึดอยู่ก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น เราต้องไม่ยึด เป็นตัวตนของเราเป็นที่สุด

ทีนี้ก็อ่านสูตรอื่นอีก สัญญาสูตร ทีนี้กลับมาที่สัญญา เพราะเรากำลังพูด อยู่ที่ตรงสูญ กับสัญญา หรือว่าไม่เที่ยง เป็นอนัตตระ ก็เรียกว่าสูญ อนัตตระไม่มีตัวตน ก็คือ สูญ นั่นแหละ เพราะว่าอาการสภาวธรรมของอนัตตา อนัตตโต ริตฺตโต ตุจฉโต สุญญโต สัญญาสูตร ว่าด้วยการเจริญอนิจจสัญญา

เล่ม ๙ ข้อ ๒๖๓ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนิจจสัญญาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมครอบงำ กามราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำรูปราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำภวราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำอวิชชาทั้งปวงได้ ย่อมถอนขึ้นซึ่งอัสมิมานะทั้งปวงได้ อัสสมิมานะ ก็คือมานะนั่นแหละ อัสมิมานะก็หมายความว่า มานะที่ยึดเป็นตน มานะที่อาตมาเรียกควบด้วย อาตมาไม่ได้เรียก อัสมิมานะเท่าไร อาตมาเรียกแต่อัตตามานะ ที่จริงถ้าจะเรียก ให้ถูกตามภาษา ก็จะเรียกเต็มว่า อัสสมิมานะ ถ้ายังมีมานะ แล้วยึดมานะเป็นตน ท่านเรียกว่า อัสมิมานะ แต่อาตมาก็เรียกเอาคำว่าตน หรือเอาอัตตา มาเรียกเลย อาตมาไม่เรียกอัสสมิมานะ อาตมาเรียกอัตตามานะ ย่อมถอนขึ้น ซึ่งอัสมิมานะทั้งปวงได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในสรทสมัย ชาวนาเมื่อไถนาด้วยคันไถใหญ่ ย่อมไถทำลาย ความสืบต่อแห่งราก (หญ้า) ทุกชนิด แม้ฉันใด อนิจจสัญญา อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมครอบงำกามราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำ รูปราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำกามกับรูป ย่อมครอบงำภวราคะทั้งปวงได้ เมื่อกี้อธิบายภวราคะไปจน กระทั่งถึงวิภวตัณหา บางทีวิภวะจะเรียกวิภวราคะก็ได้ แต่ที่จริงบอกแล้วว่า วิภวราคะ สุดท้าย พระพุทธเจ้าท่านไม่ตรัส ดับก็ดับภวราคะหรือวิภวตัณหาเท่านั้น ย่อมครอบงำ ภวราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำอวิชชาทั้งปวงได้

อาตมามาถึงตรงนี้แล้วไปนึกถึง ภวตัณหาสูตร อวิชชาสูตร แล้วก็ ภวตัณหาสูตร ในภวตัณหาก็เช่นเดียวกัน อวิชชานี่ก่อให้เกิดสุดท้ายสูงสุด ก็ภวตัณหาเท่านั้น เพราะฉะนั้น อวิชชาที่มันหมดโง่ เป็นวิชาสุดบริบูรณ์แล้ว ย่อมดับอวิชชา อวิชชาสวะ พอดับอวิชชาสวะแล้วนี่คือ ดับหมดเลย ภวตัณหา

พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยตรัสว่า ดับวิภวตัณหา ไม่เคยตรัส ไม่เคยมี ในพระสูตรก็ไม่เคยเห็น เคยเห็นแต่ว่า เมื่อดับอวิชชาแล้ว ภวตัณหาย่อมดับ ไม่ใช่วิภวตัณหาย่อมดับ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง เหมือนกลับไปกลับมา หรือย้อนไปย้อนมาเยอะ ซึ่งถ้าคุณฟังดีๆ ที่อาตมาอธิบายมานี่แล้ว จะรู้จัดหลัก จุดจบ จุดสำคัญ จุดสุดท้ายได้ดี ย่อมครอบงำภวตัณหาทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำอวิชชาทั้งปวงได้ ย่อมถอนซึ่งอัสมิมานะทั้งปวงได้ ฉันนั้นเหมือนกันแล

นั่นท่านก็ยกตัวอย่างอะไรอื่นๆ คล้ายกัน

เล่ม ๑๗ ข้อ๒๖๔ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนเกี่ยวหญ้ามุงกระต่าย เกี่ยวหญ้ามุงกระต่ายแล้ว จับปลาย เขย่า ฟาด สลัดออก แม้ฉันใด อนิจจสัญญา อันบุคคลเจริญแล้ว ฯลฯ ฉันนั้นเหมือนกันแล

คือหมายความว่า จะทำอะไร ก็ต้องให้มันสะอาด ให้มันเรียบร้อย ถอนรากถอนโคนถอน เรียกว่าทั้งเขย่า ทั้งฟาด ทั้งสลัด ทำอย่างไรให้มันออกให้เกลี้ยง ไม่ให้เหลือธุลีละออง อันอื่นๆ เหมือนกันแหละ ท่านยกตัวอย่าง

พวงมะม่วงเมื่อขาดจากขั้ว จะเอาหญ้ามุงกระต่าย ถอนออกให้ขึ้นทุกอย่าง ไม่ให้เหลือให้หรออะไร ก็แล้วแต่

ข้อ ๒๖๖ กลอนใดๆ แห่งเรือนยอด กลอนทั้งหมดนั้นไปสู่ยอด น้อมไปที่ยอด ประชุมลงที่ยอด ยอดชนทั้งหลาย กล่าวว่า เลิศกว่ากลอนเหล่านั้น แม้ฉันใด อนิจจสัญญา อันบุคคลเจริญแล้ว ฯลฯ ฉันนั้นเหมือนกันแล ก็ต้องตัดยอดเหมือนกัน

ข้อ ๒๖๗ ... ไม้มีกลิ่นที่รากใดๆ ไม้กะลำพัก ชนทั้งหลายกล่าวว่า เลิศกว่าไม้มีกลิ่นที่รากเหล่านั้น คือ ไม้กะลำพักนี่ มันเป็นกลิ่นอยู่ที่ราก เพราะฉะนั้น ก็ถอนรากของไม้กะลำพักนี้ ให้เกลี้ยงสิ้น ก็ถอนรากเหมือนกัน

ไม้มีกลิ่นที่แก่นใดๆ จันทน์แดง หมายความว่า ที่แก่นจันทน์แดงนี่ กลิ่นไปอยู่ที่แก่น ส่วนไม้กะลำพัก กลิ่นไปอยู่ที่ราก ก็ถอนราก ถ้ากลิ่นมันไปอยู่ที่แก่น อย่างไม้จันทน์แดง ก็ต้องทำลายแก่น ถอนแก่น

ไม้มีกลิ่นที่ดอกใดๆ มะลิ ชนทั้งหลายกล่าวว่า เลิศกว่าไม้มีกลิ่นที่ดอก ก็ทำลายตัวดอกมาสิ

พระราชาผู้น้อยใดๆ ทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นผู้เสด็จไปตามพระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้าจักรพรรดิ ชนทั้งหลายย่อมกล่าวว่า เลิศกว่าพระราชาผู้น้อยเหล่านั้น แม้ฉันใด อนิจจสัญญา อันบุคคลเจริญแล้ว ฯลฯ ก็ให้ถอนเหมือนกัน ที่จริงก็คือให้ฆ่าพระราชา ถ้าฆ่าพระราชาแล้ว พวกชนทั้งหลาย พวกพระราชาน้อยๆ เรียกว่า อนุยน อนุยนนี่คือ พระราชาน้อยๆ ก็ต้องหมดไป ฆ่าหัวพระราชาแล้ว หางพระราชาก็หายหมด ว่าอย่างนั้นเถิด

แสงดาวทั้งหลาย ชนิดใดชนิดหนึ่ง แสงดาวทั้งหมดนั้น ไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งแสงพระจันทร์ แสงพระจันทร์ ชนทั้งหลายกล่าวว่า เลิศกว่าแสงดาวเหล่านั้น ไปดับพระจันทร์เสีย ดาวก็หาย ถือเอาพระจันทร์ ให้แสงแก่ดาวต่อ

[๒๗๒] ในสรทสมัย ท้องฟ้าบริสุทธิ์ปราศจากเมฆ พระอาทิตย์ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ย่อมส่องแสงและแผดแสงไพโรจน์ กำจัดความมืด กำจัดความมืดอันอยู่ในอากาศทั่วไป แม้ฉันใด อนิจจสัญญา อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมครอบงำกามราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำรูปราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำภวราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำอวิชชา ทั้งปวงได้ ย่อมถอนขึ้นซึ่งอัสมิมานะได้ทั้งหมด ฉันนั้นเหมือนกันแล

ตรงนี้ข้อที่น่าสังเกตอีกอันหนึ่งก็คือว่า ท่านไม่กล่าวถึงอรูปราคะ เพราะอรูปราคะนั้นก็คือ รูปราคะนั่นแหละ อรูปก็คือรูป ที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว ก็เรียกว่าไม่ใช่รูป แต่รูปก็คือสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกรู้ ที่ละเอียดที่สุดนั่นแหละ ถ้าอธิบายโดยเนื้อหาก็คือ สิ่งที่ละเอียดจนกระทั่ง คนตาไม่ดี ก็ไม่รู้ว่ารูป ไม่เป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้ คนโสตไม่ดีก็ไม่รู้ว่าเสียง ไม่สามารถที่จะรู้ว่า เป็นเสียงที่ถูกรู้ได้ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ก็คล้ายกันกับที่อาตมาอธิบาย วิภวตัณหา ท่านก็มาสรุปลงที่ รูปราคะกับภวราคะ เหมือนกัน

๒๗๓ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อนิจจสัญญา สัญญาที่เห็นความไม่เที่ยง อันบุคคลเจริญแล้วอย่างไร กระทำ ให้มากแล้วอย่างไร จึงครอบงำกามราคะทั้งปวง ฯลฯ ถอนขึ้น ซึ่งอัสมิมานะได้หมด อนิจจสัญญา อันบุคคลเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ว่า รูปดังนี้ ความเกิดแห่งรูปดังนี้ ความดับแห่งรูปดังนี้ เวทนาดังนี้ สัญญาดังนี้ สังขารดังนี้ วิญญาณดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณดังนี้ ย่อมครอบงำกามราคะทั้งปวงได้ ฯลฯ ถอนขึ้นซึ่งอัสมิมานะได้ทั้งหมด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนิจจสัญญา อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ย่อมครอบงำกามราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำรูปราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำภวราคะทั้งปวงได้ ย่อมครอบงำอวิชชาทั้งปวงได้ ย่อมถอนขึ้นซึ่งอัสมิมานะได้หมด

เอ้า จบสูตรนี้ก่อน

ทีนี้ก็มาอ่านสูตรที่สรุปชัดเจน คือ นตุมหากสูตร ว่าด้วยอายตนะภายนอก ๖ ไม่ใช่ของตน เล่ม ๑๗ ข้อ ๗๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย (เมื่อเราเห็นว่าไม่ใช่ของตัวเรา ไม่ใช่ของเราแล้ว) เธอทั้งหลายจงละสิ่งนั้นเสีย สิ่งนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อะไรเล่าไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งหลายนั่นแหละ ที่อ่านมาแล้ว แล้วก็อธิบายไปแล้ว)

รูปไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละรูปนั้นเสีย รูปนั้นอันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข.เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ กำหนดนัยะเดียวกัน ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละธรรมารมณ์นั้นเสีย ธรรมารมณ์ทั้งหลาย เธอละได้แล้ว จะเป็นไปเพื่อประโยน์เกื้อกูล เพื่อความสุข ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนพึงนำหญ้า กิ่งไม้และใบไม้ที่มีอยู่ *** 1.08.50 ///// ***

เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญญาณ ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงละวิญญาณนั้นเสีย วิญญาณนั้นอันเธอทั้งหลาย ละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข.

ข้อ ๗๒ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนชนพึงนำไป พึงเผา หรือพึงทำตามปัจจัย ซึ่งหญ้า ไม้ กิ่งไม้ และใบไม้ ที่มีอยู่ในเชตวันวิหารนี้ ก็เธอทั้งหลายพึงมีความคิดอย่างนี้หรือว่า ชนย่อมนำไป ย่อมเผา หรือย่อมกระทำตามปัจจัย สมควรแก่เหตุดังนี้บ้างหรือหนอ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่ใข่อย่างนั้น พระเจ้าข้า

ก็เขาเอาเราไปที่ไหน ก็มันไม่ใช่เรา เขาเอากิ่งไม้ไป เขาเอาอะไรไป ฉันเดียวกัน ถ้าเขาเอาเวทนาเราไป เราจะบอกว่า เฮ้ย นั่นเอาความรู้สึกเราไปแล้ว เขาเอาสัญญาเราไป แล้วเราบอก เฮ้ย เขาเอา ความกำหนดสัญญาเราไปแล้ว เอาความจำเราไปแล้ว นั่นของเรานะ สังขารก็ดี วิญญาณก็ดี เขาเอาไปแล้ว จะไปตู่ว่า นั่นเขาเอาเราไปอย่างนั้น หรือหนอ

พระพุทธเจ้าถามว่า ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร ภิกษุก็บอกว่า เพราะเหตุว่า หญ้าเป็นต้นนั้น นี่เรียกเป็นตน หรือเป็นของเนื่องด้วยตน ของข้าพระองค์ทั้งหลาย เลย นั่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเนื่องจากตัวเราดอก เราตัดแล้ว เราไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ว่าเราเป็นของเราแล้ว พระเจ้าข้า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล รูปไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงละรูปนั้นเสีย รูปนั้น อันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข. เวทนา ฯลฯ สัญญา ฯลฯ สังขาร ฯลฯ วิญาณไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงละ วิญญาณนั้นเสีย วิญญาณนั้น อันเธอทั้งหลายละได้แล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข

ผู้ละได้แล้ว เมื่อละได้แล้ว ผู้นั้นจักเป็นไป จักดำเนินไป ถ้ายังไม่ปรินิพพาน ก็จะมีสุคติ หรือมีอากังขาวจร หรือมีอวจรของตัวเรา ยังดำเนินไปต่ออยู่ การดำเนินไปต่อของตัวเรา ก็จะเป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข สุขที่ว่านี้ รวมทั้งเราก็เป็นวูปสโมสุข สุขของคนที่อื่น ที่เราจะอนุโลมให้แก่เขา อย่างอาตมาอนุโลมให้คนไปร้องเพลง เขาสุข ก็สุขไปบ้างเถิด โปรดเปรตนิดหน่อยไป ปล่อยเปรตบ้าง อะไรอย่างนี้เป็นต้น เราเอง เราก็วูปสโมสุข คนอื่นก็เป็นสุขร่วมกันไปหมด

ทีนี้กลับมาอธิบายตรงที่ว่า ถ้าเราเข้าใจตรงที่ว่า อันนี้ไม่ยึดว่าเราเป็นเราได้นี่ มันตรงไหน ตรงที่สัญญากำหนดรู้ สัญญาตัวนี้แหละ คือตัวไปเป็นปัญญาไปเป็นญาณ ญาณกำหนดรู้ทั้งหมด และท่านตรัสว่า เที่ยงด้วย เช่นอาตมา เอาจูฬวิยูหสูตร มาอ่านสู่ฟังนี่ ที่ท่านบอกว่า สัจจะมากหลายต่างๆกัน เว้นจากสัญญา ว่าเที่ยงเสีย ไม่มีในโลกเลย

อันตรงนี้แหละ ที่อาตมาขยายความไปแล้ว เนื้อหาพวกนี้ อาตมาไม่อ่านต่อแล้ว ค่อยๆไปศึกษา เพราะฉะนั้น จุดจบจะเรียกว่าสัจจะที่สูงสุด ก็ต้องที่สัจจะ ไม่ต้องติดยึดในบัญญัติว่า สัจจะแล้ว แต่ก็เป็นสัจจะนะ สัจจะสูงสุด สุดที่ตรงสภาวะของการกำหนดรู้ และสัญญานี้ รู้ยิ่งเห็นจริง เป็นญาณหรือเป็นปัญญา กำหนดรู้ความเที่ยง ท่านบอกแล้ว ว่าสัญญาว่าเที่ยง สัญญายะ อาการตามกำหนด เป็นกิริยา กำหนดรู้แล้วนำการกำหนดรู้ รู้อะไร รู้ความเที่ยง แล้วอะไรล่ะ ที่สุดแห่งที่สุดของศาสนาพุทธ เที่ยง อะไรเที่ยง สัญญาไปเที่ยงอย่างไร วนแล้ว เข้าป่าแล้ว อะไรเที่ยง อุภโตภาควิมุติเที่ยง อาการนั้น ในตนของตนเท่านั้น

ฟังตรงนี้อีก อาการนิพพาน อาการอุภโตภาควิมุติ อาการเจตโส อภินิโรปนา จิต เจโตวิมุติ รู้ว่าจิตของเราเป็นธาตุรู้ และเป็นธาตุที่ทนได้โดยไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน ไม่เปลี่ยนเป็นอื่น ไม่ปรุง ไม่กิเลสเข้าไปแทรกได้ ไม่เป็นอื่น ไม่เป็นอะไร เป็นอย่างนั้นๆ ในสำนวนนี้ก็รู้สึกว่า เป็นอย่างนี้ เราก็กำหนดเป็นอย่างนี้ๆแหละ ไม่เป็นอื่นเลย ไม่เป็นอย่างนั้นๆ อย่างอะไรอีก ก็เป็นอย่างนี้ก็คือว่างจากกิเลส โดยรู้จริงจังเลยว่า กิเลสคืออะไร ธุลีละอองของกิเลสอาสวะคืออะไร อนุสัยคืออะไร มันไม่มี ไม่มีๆ มันไม่มีตัวตนของตัวนี้แล้ว อนัตตาแล้ว สูญแล้ว อนัตตาแล้ว สูญแล้ว ไม่มีตัวจะมาเป็นอะไรอื่นอีกเลย มันไม่เกิดอีก มีแต่สูญอยู่อย่างนี้ รู้แล้วตัวปัญญาหรือสัญญาที่กำหนดรู้นี่ เป็นปัญญาแล้ว เป็นญาณสูงสุดแล้ว เป็นวิมุตติญาณทัสสนะ เป็นญาณทัสนะวิเศษ ที่อ่านรู้วิมุติ วิมุติอันนี้ไม่เป็นอื่น ไม่ต้องศึกษาอีก ไม่ต้องมาฝึกหัดอีก ไม่ต้องมาทำใหม่ เที่ยงแท้แน่นอนมั่นคง เงียบเลยนะ นี่คือ สัญญายะ นิจจานิ แล้วธรรมารมณ์ทั้งหลายก็ไม่มีแล้ว ไม่มีอารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ อุเบกขา วางเฉย อทุกขมสุข ไม่มีทุกข์ และไม่มีสุข

อาการนี้คุณจะต้องรู้ด้วยตนจริงๆ บอกแล้วว่าแค่เป็นฐานอาศัย เพราะเรายิ่งมีรูปนามขันธ์ ๕ เรายังมีรูปจริง เรายังมีเวทนาจริง ตามสมมติสัจจะ ยังไม่สลาย เรายังมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วก็มาทำงานเก่งหมด เวทนากำหนด เวทนารู้ คืออาการมันรู้สึก มันรู้ รู้อะไร คืออะไร รู้นะมันรู้ แล้วตัวสัญญากับเวทนา ที่จะคู่กันทำงาน ปลีกเดี่ยวไม่ค่อยได้ดอก มันจะต้องมีสอง พอเวทนากระทบ เวทนารู้ สัญญาก็กำหนดเปลี่ยน กำหนดเทียบ กำหนดไปหาความจำ เราจำได้อย่างนี้ เราเรียกว่าอย่างนี้ เรา ไมโครโฟน กระดาษ เราก็ธรรมดา อ่านตัวหนังสือก็คือตัวหนังสือ บอกเรื่องก็รู้เรื่อง จำได้ เรื่องอะไรก็จำได้ แต่มีปรุงรสไหม ไม่มี ธรรมารมณ์ ไม่ได้ไปติดในอารมณ์ของอะไร อะไร ธรรมะคือทุกสิ่งทุกอย่างทั้งปวง ไม่ได้ติดในอารมณ์อร่อย อารมณ์โลกียะ อารมณ์อะไร มีแต่อารมณ์นิพพาน คืออารมณ์ว่าง อารมณ์ไม่มีกิเลส อารมณ์ไม่เป็นอื่นอีกเลย อารมณ์มันเป็นอย่างนี้ อย่างที่มันว่าง มันอุเบกขา มันบริสุทธิ์ มันเฉย มันไม่มีการสังขารร่วมปรุง แถมมัน สัญญากำหนดรู้แล้ว มันปรุงกับเขาอีก ยังได้เลย

ที่อาตมาอธิบายเป็นปฏินิสสัคคะ สลัดคืน ไปปรุงร่วมกับเด็กๆ ที่ว่าเล่นหม้อข้าวหม้อแกงเหมือนเด็ก อาตมาสนุกกับเด็ก แล้วเราก็ต้องอ่านจิตเราด้วยว่า แล้วเราสนุกกับเขานั่นนะ เราแอบเสพหรือเปล่า เรามีอารมณ์ปรุง เรามีสังขารหรือเปล่า ต้องไปอ่าน คนคืออะไร มนุษย์ ๓ ขันธ์ มีรูป เวทนา สัญญาเท่านั้น สังขารไม่มี ตัดสังขาร ไม่มีตัวปรุงให้แก่ตน ถ้าเวทนากับสัญญาจะส่งไปหาวิญญาณ ก็เป็นธาตุรู้ ใช้ภาษาได้ว่า เป็นธาตุรู้ มันก็สักแต่ว่ารู้ โดยไม่มีสังขารแล้ว นี่แหละคือ การดับสังขารสิ้นในโลก ดับสังขารแล้วจบ

คุณ สัญญาย นิจจานิ คุณกำหนดรู้อันนี้ได้ การกำหนดรู้นี้ ชาญฉลาดขึ้นไป จนเป็นญาณปัญญา กำหนดรู้อย่างชัด ตามความเป็นจริง มันเป็นอย่างไร ต้องเห็นความเป็นอันนั้นให้ตรงที่สุด อย่าเบี้ยว อย่าหลอกตัวเอง คุณมีญาณเกิด ญาณฉลาด ญาณที่รู้แจ้งเห็นจริงของคุณ คุณยังหลงก็คือคุณหลง คุณจะรู้จริง ก็คือคุณรู้จริง

คุณเกิดญาณนี้จริงเมื่อใด แล้วมีสภาวะนี้จริงเมื่อใด ถึงที่สุดเมื่อใด เมื่อนั้นเราก็ถึงที่สุด เมื่อนั้น จบอยู่ที่ สัญญาย นิจจานิ แต่ไม่ได้หมายความว่า สัญญานั้นเที่ยงนะ สัญญานั้นเป็นปัญญา เป็นญาณทัสนะ ไปกำหนดรู้ รู้แล้วว่าอันนี้เที่ยง พอรู้แล้วเราก็ไม่ได้ติดยึด สุดท้ายพระอรหันต์เจ้า จะใช้สัญญานี้ ที่เป็นปัญญายิ่งยอดนี่ก็ใช้ไป แต่ท่านใช้แล้ว ท่านหลงเผินอีกไหมว่า โอ้ นี่มันน่าได้น่ามีน่าเป็นอยู่ มันเป็นเราเป็นของเรา คุณเวียนวนอีกแล้ว วนอีกแล้ว ว่าเป็นเราเป็นของเราอีก โดยคุณไม่ต้องจบตรงที่ ถึงอย่างนั้น ก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา แต่มันก็เป็นของเรานั่นแหละ

แต่เมื่อเราวางอาการไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา แค่สมาทานฉวยไว้ถือไว้อย่างสงบ สมะแปลว่าสงบ อาทาน แปลว่าถือไว้ ถ้าอุปาทานแล้ว ฉวยไว้ อย่า เกิด มันจะเกิดอะไรก็ตามแต่ เกิดกิเลส เกิดตัวเกิดตน เกิดอะไรไปอีกไปกันใหญ่เลย อุปะ + อาทานนี่ อุปาทาน มันจะติดยึด เพราะฉะนั้น เมื่อเราเฉยไว้ อย่างสมาทาน อย่างรู้ อย่างสงบแล้ว อย่างไม่เกิดกิเลสอีกแล้ว ก็ฉวยไว้ อาศัยฉวยไว้ เพื่อเกิดประโยชน์ เพื่อการประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข พหุชนสุขายะ เพื่อความสุขของชนเป็นอันมาก เราก็ร่วม วูปสโมสุข อยู่ด้วย เราก็สุขอย่างสงบอยู่ด้วย คนอื่นๆก็สุขด้วย ตามฐานะที่เราจะเกื้อกูลเขา แต่ไม่ให้เขาหลงใหลได้ปลื้มนะ ต้องขัดเกลา ต้องช่วยขัดเกลา เพราะฉะนั้น พระอริยเจ้า โดยเฉพาะพระอรหันต์ ก็จะทำงาน เพื่อที่จะช่วยเหลือมนุษย์ เป็นโพธิกิจ รื้อขนสัตว์ ช่วยสัตว์อื่นให้มาเป็นสุขอย่างเรา ให้มาได้ความประเสริฐอย่างเรา ให้มาได้รับความรู้ อันวิเศษเยี่ยมยอดนี้เหมือนเรา ไม่หวงแหน

อาตมาอยากให้ได้พร้อมกันหมดเลย นี่พรึบเลยนี่ ไม่หวงเลยจริงจริ้งนี่ ไม่หวงเลย มีแต่ แหม ทำอย่างไร มันจะได้ จะทำอย่างไรมันจะได้ มันไม่หวงเลย เพราะถ้าได้กันแล้ว มันไม่ต้องมาทะเลาะกัน ไม่ต้องมาริษยากัน ไม่ต้องมาแย่งชิงกัน ไม่ต้องมาอะไร เพราะคุณได้แล้ว คุณมีแต่จะไปเห็นแก่ผู้อื่น คุณมีแต่จะไปเกื้อกูลผู้อื่น คุณยิ่งจะไปทำให้โลกนี้สงบ ทำให้โลกนี้อุดมสมบูรณ์ ทำให้โลกนี้สว่างไสว ทำให้โลกนี้ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ ก็เรียนเป็นภาษานั้นนะ ให้มันมีอาการหน่อยเถิด

โดยเฉพาะ อาการภราดรภาพของชาวปฐมอโศก หรือชาวอโศกเรานี่ มันยังไม่ค่อยภราดรเลย มันภราดัน ภรา.. หา? อะไร? ภราดับ หนีบ้างนะ ดันบ้าง หนีบ้าง มันไม่ภราดร ประสานสมานกันเป็นพลังปึกแผ่น พลังหนึ่งเดียว พลังที่เบิกบาน รื่นเริง เป็นพี่เป็นน้องอันสนิทจริง มันยังไม่ ก็ขอแถมตัวจบ จุดจบตัวนี้ แก่พวกเราฝากไว้

ก็คือพวกเราที่ทำงานมากันแล้ว หรือฝึกหัดฝีกฝนกันมาแล้วนี่ จริง มีความเป็นภราดรภาพ เป็นพี่น้องกันพอสมควร แต่จิตใจหรือปัญญาญาณ หรือว่าการล้วงลึกเข้าไปถึงสภาวะ จนเราเป็นได้อย่างดีเยี่ยม มันยังมีการมองเพ่งโทษ เพ่งนั่น เพ่งนี่

ก็พวกเราดีขนาดนี้ ยังไม่ถือว่าเป็นพี่เป็นน้อง เป็นอะไรต่ออะไรกัน ยังถือสา เอาเป็นเอาตายกัน จะทะเลาะวิวาท สุดท้ายฆ่าแกงกัน จะไล่จากกัน แยกกัน มันจะบ้ากันนะ พวกเรานี่ เรามีดีกันขนาดนี้แล้ว มีพี่ดี มีน้องดี มีลูกดี มีหลานดี มีป้า มีน้า มีอา ดีขนาดนี้นี่ เรารักกันไว้ เราประสานกันไว้เถิด อย่าให้แตกแยกกันไปอีกเลย อาตมาก็พยายามซ้อน พยายามกรอง พยายามเอามาให้ได้ขนาดนี้แล้ว มาอยู่รวมกันนี้แล้วนี่ จะเป็นไก่ในเข่ง ไก่ในสุ่ม จิกกันไม่รู้จักจบ หัวล้างข้างแตก เออ อยากเอาหลายชาติ อนุโลมปฏิโลมกันบ้าง เข้าใจกันให้ได้บ้าง เออ คนนี้ จริตอย่างนี้ คนนี้ก็ฐานอย่างนี้นะ เราจะทำอย่างไร ช่วยเขาได้ ถ้าช่วยไม่ได้ มันจะเกิดทะเลาะเบาะแว้ง ไม่ประสานกัน เราก็เป็นคนยอมเสียก็แล้วกัน ประสานกันดู เรื่องไหน เหนือบ่ากว่าแรง เอาเข้าหมู่ เอาเข้าหมู่สงฆ์ หรือมาถึงอาตมา เป็นที่สุด เราช่วยไม่ได้แล้วหนอ แต่ปรารถนาจะช่วยเขา เอาเรื่อง เอารายละเอียดเหล่านั้น มาบอกข้อมูล

แล้วใจเรา การฟ้อง กับการบอกข้อมูลนี่ต่างกัน ก็เคยบอกแล้วว่า การฟ้องนี่ ประกอบไปด้วยอกุศลจิต ถ้าเราเอามาบอกผู้ใหญ่ หรือมารายงานผู้ใหญ่ก็เพื่อ เรา แหม ไอ้คนนี้นี่ เราเกลียดจัง หรือว่าเรารักมากเกินไป ก็ไม่ต้องไปรักมากเกินไปละ แต่ปรารถนาดีต่อกัน รักมากก็จะเพ็ดทูลแต่เรื่องดี ชังมากก็จะเพ็ดทูลแต่เรื่องชั่ว มันจะเอียง ก็พยายามวางใจเป็นกลางๆ เอาเรื่องตรงของผู้นี้มา อย่าไปเอามาด้วยความรักเขามาก ก็เลยมาเพ็ดทูล แต่เรื่องดีมาก เรื่องไม่ดีก็ลืมไป ตาฟางไม่เห็นความไม่ดีเขา เอาสิ่งจริงมาทั้งหมด เพราะฉะนั้น การเพ็ดทูลก็คือ การเอามารายงานด้วยจิตที่มีอกุศลจิต  อกุศลเจตสิก ที่มีความลำเอียงด้วยรัก หรือด้วยชังมาบอก เราจะพยายามมารายงาน ต้องพยายามเอามารายงาน อย่าให้มีกิเลสเหล่านี้เข้าไปร่วมปรุง ไปร่วมผสม ไปมีฤทธิ์ด้วย เรียกว่า มาบอกข้อมูล หรือมาบอกข้อมูล ได้ดีสุด จบ แล้วก็วางใจ ปล่อย เป็นหน้าที่ของท่านแล้ว เราร่วมช่วยไม่ได้ ไปช่วยคนโน้นคนนี้ไม่ได้ เป็นลูกก็ตาม ยังช่วยลูกไม่ได้เล้ย เราไม่เก่ง ไอ้ลูกมันเป็นลูกบังเกิดเกล้า หรือน้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รุ่นสูงกว่า แล้วจะช่วยผู้อื่นยาก รุ่นพี่ รุ่นพ่อ รุ่นแม่ รุ่นปู่ รุ่นย่า โอ! ยิ่งช่วยยาก เพราะคนเหล่านั้น จะถือตัวว่า เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้สูง ฉะนั้นผู้ใหญ่ ผู้สูง ก็มีอัสมิมานะได้ นั่นก็ยาก เราก็อยากจะช่วย ปรารถนาจะช่วย ก็มีวิธีการเอาเข้าหมู่ ให้หมู่ช่วย หรือผู้ใหญ่ที่เราคิดว่า ท่านจะช่วยได้ พูดอย่างนี้ หางานมาให้แก่ตัวเองเยอะนะนี่อาตมา


จัดทำโดย โครงงานถอดเท็ป
ถอดโดย จอม ศรีสวัสดิ์ ๑๗ มิ.ย. ๓๗
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ปึงเจริญ ๑๘ มิ.ย. ๓๗
พิมพ์โดย ทองแก้ว ทองแก้ว ๙ ก.ค. ๓๗
ตรวจทาน ๒ โดย ป.ป. ๑๕ ก.ค. ๓๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

๒๕๖๖

ADD5A-B.TAP