เจาะลึกอริยสัจ ... .หรือเจาะลึกอริยสัจนี่หนากว่าเก่า เอาเนื้อหาพระไตรปิฎกต่างๆ มาใส่เอาไว้เยอะ
จะได้อ่าน ค่อยๆอ่านไป ถ้าเผื่อว่าผู้ใดอ่านๆ พวกนี้แล้วอ่านดีๆ ก็จะได้ข้อคิด
เพราะเป็นธรรมบท เป็นพระสูตรต่างๆ ที่รวบรวมมา ก็คงจะได้ประโยชน์แน่นอน
สำหรับผู้ที่ใฝ่ธรรมที่แท้จริง อ่านแล้วก็ต้องเอาไปสังวรสำรวม ประพฤติเพิ่มเติมกันจริงๆ
จังๆ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราไม่มีปริยัติ ไม่มีปฏิบัติ แม้มีปริยัติไม่มีปฏิบัติก็ไม่มีผลอะไร
ยิ่งไม่มีทั้งปริยัติ ปฏิบัติก็ไม่ก้าวหน้าในนัยละเอียด นัยที่ซอยลึก เพิ่มเติมอะไรก็ไม่เพิ่ม
ไม่เติมไม่มี ยิ่งคนปฏิบัติก็ไม่ปฏิบัติเลย มีแต่ปริยัติ หรือไม่มีปริยัติเอาแต่ปฏิบัติทื่อๆ
ปฏิบัติไม่ศึกษา ไม่ฟังหรือว่าอ่าน ก็เหมือนฟังธรรมะนั่นแหละ เอามารวบรวมเรียบเรียงไว้
จะอ่านซ้ำอ่านซากอีกก็ได้ เพราะว่าพระสูตรหรือพระธรรม ของพุทธเจ้านี่ข้น ถ้าเผื่อว่าผู้ใดที่เข้าใจดี และเห็นว่าทรัพย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นทรัพย์ที่ทุกคน
ผู้ใดก็แล้วแต่ จะเห็นว่านี่เป็นทรัพย์แท้ๆ เป็นทรัพย์ที่น่าได้น่ามีน่าเป็น
เป็นสิ่งวิเศษ เป็นสิ่งประเสริฐ เหมือนกับคนในโลกเห็นว่าลาภ ยศสรรเสริญ
โลกียสุขเป็นสิ่งวิเศษ เป็นสิ่งประเสริฐ ชีวิตทั้งชีวิตเขาก็ยังอุตสาหะวิริยะ
พากเพียร พยายามแย่งชิงด้วยซ้ำ กอบโกยเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างไร ก็ลงทุนลงแรง
เพื่อไขว่คว้าแสวงหา เอาทรัพย์นั้นมาให้แก่ตน ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ใดเห็นว่าธรรมะนี้เป็นทรัพย์
ในชีวิตเกิดมาก็ควรอย่างยิ่ง จะได้ทรัพย์ที่เป็นธรรมะนี่แหละ พระพุทธเจ้าก็เคยบอก จะกตัญญูต่อพ่อต่อแม่ ต่อให้หาบ้านหาเมืองให้ หรือต่อให้ดูแล
รักษาพ่อแม่เอาไว้บ่าทั้งสองข้าง แบกพ่อไว้ข้างซ้าย แบกแม่ไว้ข้างขวา พ่อแม่จะขี้รด
เยี่ยวรดอย่างไรก็อยู่ทน กตัญญูกตเวทีถึงขนาดนั้นก็ตาม ก็ยังไม่ชื่อว่ากตัญญูกตเวที
หรือได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ โดยเหมาะโดยควรอะไรเลย ไม่ยิ่งใหญ่อะไร แต่ก็ควรทำ นี่แหละภาษา ถ้าเผื่อว่าเราหมายความไม่ดีแล้วน่ะ สูตรนี่ของพระพุทธเจ้าอ่านแล้ว
แล้วก็จะตัดพ่อจะตัดแม่เลย ถ้าอ่านไม่ดีสูตรนี่ มันก็ เฮ้อ! เรื่องทรัพย์สินเงินทอง
เรื่องดูแลรักษาเกื้อกูลอุ้มชู ก็เลยไม่ต้องทำกันทั้งนั้น จะเอา ให้แต่ท่านเจริญด้วยศรัทธา
ศีลจาคะปัญญา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ศรัทธาศีลจาคะปัญญา ให้พ่อแม่ได้เข้าถึงศรัทธาสัมปทา
ศีลสัมปทา จาคสัมปทา ปัญญาสัมปทา นี่แหละชื่อว่าได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ สูตรนี้
ถ้าอ่านไม่ดีคล้ายๆกับว่า ให้ทรัพย์ให้สินพ่อแม่ ไม่ถือว่าตอบแทน หรือว่าเลี้ยงดูพ่อแม่
อุ้มชูพ่อแม่ ไม่ถือว่าตอบแทนพ่อแม่ ถือว่าแค่ต้องให้ได้ศรัทธา ได้ศีล ได้จาคะ
ได้ปัญญาเท่านั้น จึงจะถือว่าตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ซึ่งก็ที่จริงก็ไม่ถึงขนาดนั้นทีเดียว
มันตอบแทนพ่อแม่ แต่ว่าก็เป็นขั้นเป็นตอน ทรัพย์เงินทอง ถ้าเผื่อว่าไม่อยู่ในฐานะนั้น
ก็ต้องให้ แต่ในฐานที่สูงถึงขั้นแล้วไม่มีปัญญาเรื่องเงินเรื่องทอง หรือว่าจะต้องเลี้ยงดูอุ้มชู
ประคบประหงม จนเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวอะไรอย่างนั้น ก็ยังเป็นเรื่องด้อยกว่า ถ้าได้ศรัทธา ได้ศีล ได้จาคะ ได้ปัญญานั่นแหละ เป็นยอดแห่งทรัพย์ ท่านว่าให้หาบ้าน
หาเมืองโน่นนะ ไม่ใช่ทรัพย์น้อยๆนะ ให้เป็นเจ้าบ้านผ่านเมืองโน่นนะ ให้พ่อให้แม่
ก็ยังไม่ยิ่งยอดเท่า ในความหมายนั้นพูดถึงยอดๆ ทั้งนั้น แม้แต่จะดูแลพ่อแม่ขนาดเอาแบกไว้
บ่าซ้ายบ่าขวา ตลอดเวลา ขี้เยี่ยวราดอะไรเราอยู่เราก็ดูแล นั่นหมายความว่า
พูดถึงขั้นยอดๆ สุดยอดเลย ยอดแห่งการบูชา ยอดแห่งการยกย่อง ยอดแห่งการกตัญญูกตเวที
ในรูปของวัตถุ ในรูปของน้ำใจ วัตถุก็เอาบ้านเอาเมืองโน่นแหละ ให้หาบ้านหาเมืองให้
ทางด้านน้ำใจ ก็กตัญญูกตเวทีอย่างโลกๆ อย่างที่เป็นไปได้จริง ก็เอาขนาดแบกเอาไว้
บนบ่าทั้งสอง เชิดชูบูชาหนักขนาดนั้น จะขี้จะเยี่ยวรดอย่างไงก็เต็มใจถึงขนาดนั้น
ก็ยังไม่เท่าให้พ่อแม่ได้เข้าถึงศรัทธา ถึงศีลถึงจาคะถึงปัญญา หมายความว่า
อย่างนั้น เพราะฉะนั้นที่เป็นธรรมะ โดยเฉพาะเป็นอริยทรัพย์ เป็นเทวธรรมถึงขนาดนี้
มันเป็นยอดแห่งทรัพย์ ถ้าเข้าใจไม่ได้ เราก็ไม่ซาบซึ้งอะไร ใครเข้าใจแล้วซาบซึ้ง จริงน่ะ จิตใจมันเข้าถึงความจริง
พวกนี้แล้ว ชีวิตแต่ละวันๆ ที่เกิดมา ชาวโลกเขาเป็นฉันใด เราแต่ก่อนนี้ก็เป็นฉันนั้น
ก็ต้องมุ่งหาทรัพย์สิน เงินทองเลี้ยงชีพ พยายามแสวงหาลาภ ยศสรรเสริญโลกียสุข
อุตสาหะวิริยะ เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างไร ก็พยายามพากเพียร ยิ่งพอได้บ้าง
หรือว่าดูท่าทีจะได้มากได้อะไร ก็ยิ่งอุตสาหะขมีขมัน ได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยหยุดเคยหย่อน
ได้เท่าไหร่ก็ไม่เคยหยุดเคยพอ แล้วอริยทรัพย์นี่ มันด้อยกว่าโลกียะอย่างไร
ที่จะต้องหยุด ต้องพอ คำว่าสันโดษนั่นน่ะ ท่านห้ามโลก สันโดษหมายความว่าพอ น่า ท่านห้ามโลกียะ
พอเสียบ้างเถอะ ไอ้ลาภ ยศสรรเสริญโลกียสุข ท่านไม่เคยห้ามเลยนะว่า สันโดษในกุศล
แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็ไม่เคยสันโดษในกุศล ไม่เคยพอ ไม่เคยหยุดในกุศล ไม่เคยยั้ง
ไม่เคยหยุด ขนาดเป็นพระพุทธเจ้า ท่านยังไม่หยุดเลย และเราใครละ เราถึงไหน
ได้ขนาดไหน เห็นไหมว่าอัตตา เจ้าออเซาะ ขี้เกียจ เห็นแก่ตัว กลัวเหน็ดกลัวเหนื่อย
มันมากแค่ไหน คนเราพอได้ที่ได้แป้นได้อะไรพอสมควร พออยู่ พอเบาๆ เจ้ากิเลสลึกๆ มันขึ้นมาแล้ว
เห็นแก่ตัว เลี่ยง ชะลอไปวันๆ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ
เห็ดก็มีคนเก็บกิน อะไรก็มี เลยแฝงอยู่ไปอย่างนั้นไปวันๆ เราก็กินน้อยใช้น้อยแล้วนี่
วันๆ ก็อยู่ร่อยๆ เป็นเลือดฤาษี เป็นแบบฤาษี มันขี้เกียจ มันรังเกียจ มันไม่ขวนขวาย
มันไม่มีความอุตสาหะวิริยะ ไม่พากเพียร หรือไม่ก็ประมาท มันก็ไม่เจริญน่ะ นี่ค่อยๆ เอาไปอ่าน อาตมาก็ไม่อ่านสู่ฟังหรอก เอาไปอ่านเอง แล้วก็สำนึกสังวรเอง
บทไหนนี่ เออ บทนี่ซาบซึ้งนี่ ดีอย่างโน้นอย่างนี้ ให้เป็นเครื่องกระตุ้น
ได้กระตุ้นให้เราขมีขมันปฏิบัติขึ้นมาบ้าง นี่ทศวรรษที่ ๓ แล้ว ที่อาตมาทำงานด้านนี้มา
พวกเราก็ได้มรรค ได้ผลได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา จากธรรมะก็พอสมควร จริงๆ ก็มีผล
อาตมาเห็นอยู่รู้อยู่ พวกเราไม่ได้แกล้งหรอก ถ้าแกล้งได้ก็เอาไปเถอะ แกล้งจนตายเลยนะให้มันได้
เรามามีชีวิตกินน้อยใช้น้อย มาอยู่อย่างในสังคมของชาวอโศก อยู่ได้อย่างราบรื่น
หรืออยู่ได้อยู่พอเป็นพอไป ทนได้ อยู่โดยไม่ยากไม่ลำบากขนาดนี้ มันก็ไม่ใช่เล่นนะที่จริง
และอย่าไปเลี่ยงๆ หลบๆ อย่าไปเที่ยวได้หาอัตตามานะเสพ ติดยึดอะไรของตัวเองนัก
แม้ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน ดีบ้างก็ควรจะดีต่อนะ เพราะว่าทางที่ดี ทางที่เจริญ
มันมีอีก มีให้ไปถึงที่สุด สุดๆ นั่นแหละ อาตมานี่ตั้งใจจริงๆ นะ พยามเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านี่อะไร ก็ไม่ว่ากระไร
ก็พักเอา ตั้งใจจริงๆ ว่าจะต้องให้สิ่งนี้อยู่ ของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องวิเศษ
เป็นเรื่องที่มนุษย์ จะต้องมาใช้กับสังคม สังคมทุกวันนี้มันล้มเหลวจริงๆ
ล้มเหลวอย่างไม่น่าเชื่อเลย ไม่รู้มันจะเลวที่คนไทยเท่านั้นหรือเปล่า ต่างประเทศมันจะเลวอย่างนี้หรือเปล่าไม่ทราบ
ข้าราชการก็ตาม นักธุรกิจไม่ต้องพูดเลย เขาขมีขมันของเขาเต็มที่ เพื่อที่จะแย่งลาภ
ยศ สรรเสริญโลกียสุข เอาเปรียบเอารัด สร้างวิธีการคิด จ้างคนมาช่วยกันคิด
รวมหัว ใครฉลาดใครสามารถ ประมูลตัวมาเลย ให้เงินดาวเงินเดือน ให้รายได้กันมากมาย
เข้ามาช่วยกันแย่งชิงกัน หาวิธีการที่จะเอาชนะคะคานกัน ในวงการธุรกิจ เสร็จแล้ว
ไอ้ที่ถูกดูดก็คือ ไอ้คนที่โง่เง่าหลงใหล มันก็ทุกข์จัด เพราะเขาก็ยังอยากได้
คนที่ถูกรีดถูกขูด ชาวพื้นฐานที่ไม่รู้จักธรรมะนี่ กลายเป็นทาสทางเศรษฐกิจ
ไม่ใช่เป็นทาสอย่างสมัยโบราณ ที่ไปใช้แรงงานข่มขี่ดุจข้า ก็มีสิทธิ์ฆ่าแกงๆ
ได้เลย เหมือนสมัยโน่นหรอก ก็ดูท่าทีเจริญ นี่แหละมันเป็นมารยาทของโลก เรียกว่า
มารยาทของโลก เหมือนไม่เป็นทาส ปลดแล้วความเป็นทาสทั่วโลกนี่ ประเทศไหนก็ปลดความเป็นทาส
ซื้อหาคนไปเป็นทาส เป็นเจ้าเป็นนายแห่งชีวิตเลย สามารถจะกดขี่ข่มเหงอย่างไงก็ได้
แม้ว่าจะปลดปล่อย ระบบวิธีแห่งความเป็นทาสอย่างนั้น เขาก็มีระบบวิธีอย่างใหม่
เป็นระบบวิธีที่ซับซ้อน ลึกซึ้ง ก็เป็นทาสทางเศรษฐกิจอยู่ดี เป็นวิธีการที่ยอมรับกันอยู่
ในสังคม แม้จะบอกว่าเป็นสังคมอิสรภาพ ที่เรียกว่าประชาธิปไตยนี่ก็ตาม มันก็ประชาธิปไตย
แต่ภาษา โดยนัยซับซ้อนลึกซึ้งที่เฉลียวฉลาด สร้างกรรมวิธี สร้างกฎหลักของสังคม
มันก็เป็นทาสทางกฎหลักของสังคม อยู่นั่นแหละ ถ้าเราเข้าใจแล้วศึกษาธรรมะ จะรู้ชัดเจน ประชาธิปไตยก็รู้ มันมีทาสทางเศรษฐกิจ
อย่างไร ซับซ้อนอย่างไร ก็รู้จริงๆ รู้แล้วเราก็ไม่ไปเป็นทาส เราไม่ฉลาดที่จะไปเป็นเจ้า
นายทาส แต่เราก็เป็นคนฉลาด ที่จะปลดตัวเองออกจากความเป็นทาสของโลกีย์เขามาได้
แม้เราจะไม่ฉลาด เป็นนายทาสที่สะสม ซึ่งเป็นบาปนะ สะสมทาส พยายามหาทาสมาเป็นทรัพย์ของตน
มีทาสในเครือข่าย บริวารทาสของตนมันเป็นบาป เพราะว่าไปเป็นเรี่ยวไปเป็นแรง
ตัวประกอบ ที่จะสะสมลาภยศ สรรเสริญโลกียสุขอะไร มาให้แก่ตัวเอง แล้วตัวเอง
ก็ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ของทั้งฤทธิ์เดช ของลาภยศ สรรเสริญโลกียสุข นี่แหละมาเป็นเครื่องประกอบ
ประกอบกัน ทั้งความคิดที่เฉลียวฉลาดซับซ้อน ที่จะวางกลไก เครือข่ายวิธีการต่างๆ
ที่ซับซ้อนมาก แล้วก็ได้เป็นนายทาสที่ยิ่งใหญ่ นายทาสระดับสังคมกลุ่มเล็ก
ไปจนเป็นนายทาสระดับสังคมกลุ่ม กว้างขึ้นใหญ่ขึ้น มันเป็นนายทาสในระดับโลกๆ
เป็นลูกหนี้ ลูกหนี้ที่เขาจะต้องมีอำนาจในที ยิ่งใหญ่ในที อย่างเยอรมันเคยทำ
อย่างอเมริกาเคยทำ ญี่ปุ่นทำตาม ญี่ปุ่นทำได้อย่างหนึ่ง เขายังเหลืออยู่นะ
ยังไม่ได้ความเป็นอำนาจใหญ่ ยังไม่เป็นนายทาสโดยสมบูรณ์ แต่ในด้านทรัพยศฤงคารนั้นเขาได้แล้ว แต่ทางอำนาจยศยังไม่ได้ สรรเสริญเขาได้
ส่วนหนึ่ง สรรเสริญเขาได้ ในส่วนสามารถที่จะแย่งชิงเอาฐานะของการได้ลาภ มากๆ
ญี่ปุ่นเขาได้แล้ว ทุกวันนี้ ทางด้านอำนาจที่เป็นตำแหน่งฐานะที่ยิ่งใหญ่
ยังแย่งชิงกันอยู่ ระหว่างอเมริกากับญี่ปุ่น ตอนนี้กำลังแย่งชิงกันอยู่
ญี่ปุ่นยังไม่ได้สิทธิ์ขาด อเมริกาก็ชักแพ้ญี่ปุ่นในด้านลาภ แต่ทางด้าน
ตำแหน่งอำนาจยังได้อยู่ เพราะมีสิทธิ์สร้างนิวเคลียร์ ญี่ปุ่นถูกกดข่มไว้
ไม่มีสิทธิ์ได้สร้างนิวเคลียร์ ไม่มีสิทธิ์สร้างอาวุธเป็นเชลยทางสงคราม
อย่างนี้เป็นต้น มันเป็นวิธีการที่ซับซ้อน อาตมาว่าอาตมาไม่ได้เรียนไปทางโลก เรียนการบริหาร เรียนรัฐศาสตร์ หรือแม้
เศรษฐศาสตร์ อาตมาไม่ได้เรียน ทางโลกไม่ได้เรียน แต่อาตมาว่าอาตมาไม่ได้โง่
อาตมาก็เข้าใจ ทุกวันนี้อาตมาเข้าใจลักษณะไหนที่ตกเป็นทาสเขานี่ เข้าใจตรงนี้แหละดี
แต่วิธีการที่ว่าจะไปเป็นนายทาส ที่จะสร้างบริวาร สร้างอำนาจใหญ่ยิ่งนั้นน่ะ
อาตมาไม่ได้สร้าง ไม่ได้ปรุง ไม่ได้คิดค้น ไม่ได้ติดตามนะ แม้แต่ทางด้านเศรษฐศาสตร์
เรื่องเล่นหุ้น เล่นจัดการเรื่องการเงิน ธนาคาร ทรัสต์ วิธีการหมุนเงิน ซับซ้อน
อาตมาไม่ได้ศึกษา อาตมายอมรับว่าอาตมาไม่เก่ง ในเรื่องที่จะเข้าไปหากลวิธี
ทางจะเป็นนายทางด้านลาภ เป็นนายทาสทางด้านลาภ จึงเป็นกลวิธี เล่นหุ้นเป็นต้น
จัดวิธีการเงินเรื่องทรัสต์ เรื่องธนาคารเรื่องอะไรพวกนี้ อาตมา อาตมาไม่เก่ง
วิธีปรุงที่จะไปเป็นนายทาส แต่อาตมารู้เหลี่ยม รู้เหลี่ยมว่าจะต้องไม่ไปเข้าข่าย เครือข่ายที่จะไป
เป็นทางที่เขาร้อยไว้ เราก็หลุดพ้นออกมาได้ พระพุทธเจ้าท่านมีวิธีหลุดพ้น
สอนวิธีที่จะไม่ไปติดเหยื่อ ท่านสอน เพราะฉะนั้น เราหลุดพ้นได้ โลกเขาจะเลวร้ายขนาดไหน
วิธีมีหลุดพ้นออกมาได้ ยิ่งพวกเรานี่ อาตมาเชื่อว่า คงไม่อยากจะไปเป็นขั้นนายจอมธุรกิจใหญ่ ที่จะผงาด
อยู่ในสังคม สังคมเล็ก จนกระทั่งสังคมโตขึ้น จนกระทั่งสังคมในระดับประเทศ
จนกระทั่งเป็นสังคมในระดับโลก เป็นเจ้าแห่งลาภด้วยวิธีการต่างๆ เป็นเจ้าแห่งลาภอย่างไมเคิล
แจ็คสัน น่ะได้ลาภเยอะจริง แจกไม่ครบครันหรอก ไม่เหมือนนักธุรกิจ นักธุรกิจนี่เขาฮั้วกับนักการเมือง ฮั้วกับกลุ่มอำนาจ
ฮั้วกับเจ้าพ่อเจ้าแม่ สังคมในประเทศ สังคมใหญ่ในระดับซับซ้อนอย่างไงก็แล้วแต่
พวกนักธุรกิจนี่เขาเอาหมด เอาหมด รวบหัวรวบหาง แม้แต่อย่างพวกเต้นกินรำกิน
หรือพวกไปในทางรสชาติของกามอย่างเดียว เป็นเจ้านายและเป็นสัตว์เศรษฐกิจ
ทางโลกียสุขนะ อย่างไมเคิล แจ็คสัน พวกดารา พวกอะไรพวกนี้ เขาว่าเป็นความสุข
ความสุขเสพสมต่างๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยเฉพาะกามคุณห้า รูปรสกลิ่น
เสียงสัมผัส ก็เป็นดารา เป็นเจ้าได้ทรัพย์ศฤงคารมา แต่อำนาจแบบนี้ ธุรกิจ
ไปฮั้วกับนัการเมือง ฮั้วกับทหาร ก็เจ้าอำนาจที่มีอำนาจ คนเกรงคนกลัว เพราะเอา
ความตายมาขู่ เอาความพ่ายแพ้ที่จะต้อง...เรียกว่า เดินถนนไม่ได้ ถูกริดรอนสิทธิต่างๆ
นานา ไปได้ทันที อย่างไมเคิล แจ็คสัน นี่ไม่มีสิทธิที่จะริดรอน สิทธิอำนาจ
ไม่ได้หรอก ไม่มี เขาก็เด่นอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้ครบครัน ไม่ได้ยิ่งใหญ่
ในโลก เหมือนกับอย่างพวกนักธุรกิจ นักการทหาร สุดท้ายก็ไปเป็นนักการทหาร
กอบโกย อย่างฮิตเล่อร์อะไรอย่างนี้เป็นต้น นักการทหารในระดับประเทศหลายประเทศ แม้แต่ประเทศไทยก็มีตัวอย่าง มีอำนาจและก็กอบโกยทรัพย์ศฤงคาร จนกระทั่งถูกเขา
ริบๆ มันก็ยังไม่หมดเลย ขนาดนั้นลูกเมีย ทุกวันก็ยังเป็นอยู่ระเริงสบาย ขนาดริบหมด
เอาอำนาจทางทหาร เอาอำนาจทางโลก มันมีอยู่อย่างนี้นะ ซึ่งมันเป็นกลวิธี
ซับซ้อน ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราไม่ต้องไปทำหรอก บาปอย่างนั้นนะ เราก็อยู่อย่างมีคุณค่าประโยชน์
อย่างที่เราเป็นกันมาได้ทุกวันนี้ ขนาดนี้ก็มีรูปรอย มีสภาพเจริญขึ้นมา
เพราะฉะนั้น ใครมาทำบุญทางนี้ยิ่งน้อย ในโลกนี้ ไอ้อย่างพวกเราเป็นนี่น้อย
ยิ่งน้อยค่าของทางเศรษฐกิจ ยิ่งมาก สูง และที่บอกว่าสูง ก็ไม่ได้หมายความให้พวกคุณขี้เกียจ
ก็เราสูงแล้วนี่ เราได้มากแล้วนี่ ค่าแพงก็เลยขี้เกียจต่ออีก อย่าฉลาดแกมโกง
อย่างนั้นเลย หรือฉลาดโง่ๆ ไม่รู้จะใช้ภาษาอะไรแล้ว ฉลาดแต่โง่ๆ อย่างนี้
อย่าไปฉลาดอย่างนั้นเลย ฉลาดให้มันถูกทาง ฉลาดให้มันซ้อนเชิง ฉลาดให้มันดีงามขึ้นไปนะ
แล้วเราจะได้พัฒนา เจริญขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด วันเวลาที่เรามีชีวิตอยู่ มิตรดีสหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีก็มีอยู่ อาตมาพานำทำเคี่ยวเข็ญ ไม่ได้เคี่ยวเข็ญอะไรหรอก และไม่มีใครมาจ้างให้อาตมา มาเคี่ยวเข็ญด้วย คุณอาจจะ เรียกว่า เสือกก็ได้ เสือกเคี่ยวเข็ญ ไม่ชอบสักหน่อยก็ได้ แต่ว่าอาตมาว่า อาตมาเจตนาดี ปรารถนาดีนะ อายุก็มากขึ้นมากขึ้น แล้วจะอยู่กี่วันกี่เดือนกี่ปี บางคนนี่ยึด ศรัทธา มาเอาอาตมานี่เป็นหลัก คนอื่นๆ ที่จะเป็นผู้ที่รู้
เป็นผู้มีเรี่ยวแรง เป็นผู้มีสมรรถนะ สามารถ ได้ช่วยเหลือเฟือฟายเรา เราก็เกิดไม่ค่อยศรัทธา
เพ่งโทษจุดนั้นจุดนี้ พยายามมองจุดดีจุดประเสริฐ ดูความจริง ถ้าเผื่อว่า
เราฝึกฝน เรามีญาณปัญญารู้ได้ว่า ใครที่เป็นผู้มีคุณธรรมมากๆ คุณธรรมพอเป็นที่พึ่งสูงส่งอะไรได้
เราจะได้มีที่พึ่งมากๆ ไม่ขาดทุนหรอก คนเราก็มีจุดบกพร่อง อาตมาก็มีจุดบกพร่อง บางคนนี่ แม้อาตมาอยู่ อยู่ไป เพ่งโทษ มีนิสัยอย่างนั้นนะ มองจุดบกพร่อง
ก็เลยศรัทธาที่มีมากก็ลดลงๆๆ ตัวเองก็มีอัตตามานะขึ้น และอาตมาก็ไม่ได้พึ่ง
หรือไม่ค่อยอยากจะพึ่ง อัตตามานะมันชักใหญ่ องค์อื่นๆ ก็ไม่คิดจะพึ่ง แม้แต่สิกขมาตุด้วยกัน
เป็นผู้หญิงด้วยกัน มองดูถูกดูแคลนกัน ทั้งๆที่สิกขมาตุก็มีดี มีจุดที่จะพึ่งพาอาศัยกันได้
ศึกษาได้จริง ไม่ละ ไม่เชื่อน้ำมือน้ำมนต์ สู้ศรัทธาสมณะไม่ได้ แต่ศรัทธาแต่สมณะ
และยิ่งฆราวาสด้วยกัน ก็ไม่ศรัทธากันเลย ฆราวาสเหมือนกันนี่หว่า แม้ใครจะมาก่อนมาหลัง
ใครจะมีภูมิธรรมจริง ไม่มีปัญญารู้ เคารพนับถือกันไม่ได้ โรคอัตตามานะทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นศึกษาดีๆ พากเพียรเข้า ถ้าไม่พากเพียรเข้า ไม่ถึงที่สุด อาตมาตั้งใจจริงๆ จะต้องควรมีที่สุด มีผู้ที่เป็นอรหันต์ เป็นอนาคามี พิสูจน์ยืนยันสัจจะ
พุทธเจ้า จริงๆนะ อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะได้ก่อนตายหรือเปล่า ถ้าได้ก่อนตายนี่ได้สัก
๙ รูป อย่างที่ว่า ก็ไปกันรอดนะ ได้มากก็ยิ่งดี มากกว่า ๙ ได้อรหันต์มากกว่า
๙ รูปก็ยิ่งดี ก็ยิ่งจะไปได้รอด ไปได้มาก ไปได้ไกล ถ้าได้น้อยกว่านั้น ก็เข็ญกันต่อ
ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ถ้ายิ่งไม่ได้เลย มันก็ได้เท่าได้ บอกแล้วว่า อาตมาตายในวินาทีนี้
อาตมาก็ไม่เสียดายชีวิตแล้วละ เพราะว่าก็ปลูกฝัง ก็พอได้พอมี พอมีอริยทรัพย์
มีอริยบุคคล ก็ไม่ต้องไปเที่ยวพยากรณ์คนนั้นคนนี้อะไรหรอก รู้กัน รู้ในใจว่า
องค์นี้น่าเคารพนับถือนะ องค์นี้มีคุณธรรม ขนาดนั้นขนาดนี้ ในหมู่ของพวกเรานี่ จะเข้าใจกันแม้ผิดๆพลาดๆ ว่า โอ๋ รูปนี้คงเป็นอรหันต์แล้วนะ
ทั้งๆที่ไม่จริง รูปนี้คงเป็นอนาคามีแล้วนะ รูปนี้คงเป็นสกิทาคามีแล้ว
มันไม่เสียหายเท่าไหร่หรอก เพราะพวกเราเป็นสูงอย่างไงๆ ก็ยังเป็นผู้ที่ปฏิบัติ
พากเพียรอยู่ในหมู่ในกลุ่ม และก็เป็นผู้ปรารถนาดี มีดีพอสมควร เราไม่ได้ไปเข้าใจเอาคนชั่วมาเป็นคนดี
ชั่ว ๑๐๐ % ขนาดปุถุชน มาเข้าใจผิดว่าเป็นอาริยชน
อย่างนี้ มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น แม้มันจะหลงผิด ภูมิธรรมเราไม่พอ มันก็ยังดี
ดีกว่าไปข่มกัน และไม่ค่อยจะรวมพลังกัน ดูถูกดูแคลนกัน ประสานกันไม่ได้ พลังไม่รวม
ความสร้างสรร การสร้างสรรก็ไม่เจริญพอ เรายิ่งน้อย พลังรวมเรายิ่งควรรวมขึ้น
อย่างยิ่ง เพราะโลกนี้ก็มีพลังของโลภ โลกีย์ พลังของโลกีย์ จะว่าเราไม่ต่อสู้
มันต่อสู้ แข่งขันอยู่เหมือนกัน แต่การแข่งขันของเราไม่ได้ไปทำร้ายใคร ถึงแม้ว่าเราจะให้
โลกเขาเสียหาย ก็โลกียะที่มันเลวร้าย เสียหายมาเรื่อยๆ เพราะมันทำลายมนุษย์
มันทำลายสุข สุขที่แท้ด้วย มันมีแต่ทุกข์ที่ร้ายกาจ มันเป็นบาปจริงๆ มันมีทุกข์มีบาปที่ร้ายกาจ ยิ่งเขาเองมีบทบาท การแก่งแย่ง บทบาทของความโลภ เห็นแก่ตัวที่จะได้โลกียะ
ได้ลาภยศ สรรเสริญโลกียสุขมากเท่าใด กอบโกยเห็นแก่ตัวมากเท่าใด ความรู้ที่ฉลาดและ
ลึกแหลม ที่จะเอาชนะคะคาน ในโลกีย์ของเขา กลวิธีโลกเขามากเท่าใด เขาก็ยิ่งทำ
ความทุกข์ร้อน ให้แก่สังคมมากเท่านั้น เพราะปริมาณการเอาเปรียบมันไม่มีที่จบ
มันไม่มีที่หยุดที่ยั้ง มันไม่เหมือนการละๆๆ ละนี่มันมีที่จบ เพราะเราขีด
สันโดษนี่คือขีดเขตให้รู้ว่า ตัวเองพอแล้ว ไม่เอาเกินกว่านี้ มันเป็นภูมิธรรม
ของคนมีสันโดษ สันโดษแล้วก็ต้องมักน้อยลงไปอีก จนกว่าจะน้อยที่สุด หรือถึงจุดสุดท้าย
สูญ ได้อะไรๆ สูญๆ อะไรที่ต้องใช้บ้าง เป็นปัจจัยชีวิต เป็นบริขารชีวิต
เราก็ใช้ปัจจัย ใช้บริขารนั้นเท่านั้น มันมีขีดจบนะ ของพุทธนี่มีขีดจบ และมันจบได้
สุดท้ายก็มีเครื่องอาศัย มีเครื่องปัจจัย เท่าที่เราเป็นไปได้น้อยที่สุด
และเราก็เป็นผู้ที่มีพลังงาน มีสมรรถภาพสร้างสรร ขยันเพียร มีอิทธิบาท เป็นผู้สร้างให้แก่โลก ถ้าจะเรียกอย่างสายศาสนาพระเจ้า ก็เป็นพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เป็นตัวแทนพระเจ้า
เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า เป็นผู้สร้างผู้ประทาน เป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ให้แก่โลกอยู่
ในจิตวิญญาณเป็นอันเดียวกัน ในทางศาสนาคริสต์เขาก็สอนว่า จิตวิญญาณพระเจ้า
ผู้ที่เป็นพระเจ้า หรือเป็นลูกพระเจ้า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระเจ้าเป็นฉายาพระเจ้า
ตัวแทนพระเจ้า ก็คือ มีจิตวิญญาณที่มันสร้างสรร จิตวิญญาณที่เสียสละ ประทานหรือให้
เป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ บริสุทธิ์เท่าศาสนาเขาเข้าใจ และเขาก็มีวิธีการล้างกิเลสได้
ซึ่งอาตมาก็เข้าข้างพระพุทธเจ้าว่า สู้พระพุทธจ้าไม่ได้หรอก ทุกวันนี้เดี๋ยวนี้ เขาก็เอาตำราพระพุทธเจ้า ไปเป็นของตนเอง เอาไปเป็นของตนเองเลย
นวโกวาท นี่เขาก็ไปแปล และเขาบอกว่าเป็นของคริสต์ เป็นของเขานะ แปลคำต่อคำเลย
จากนวโกวาทนี่ ไปเป็นภาษาอังกฤษ นี่เป็นคำสอนของพระเจ้า คำสอนของพระเยซู
ทั้งๆที่ไม่มีหรอก เขาก็รวมเอาไว้แล้วคำสอน สามปีท่านก็ไปแล้ว ก็มีแค่นั้น
เขาก็บอกว่าพระพุทธเจ้า เป็นประกาศกของพระเยซู เป็นประกาศกของพระเจ้ามานำทาง
เอาคำสอนนี้มาขยาย มานำทางก่อน เขาก็เข้าใจกันอย่างนั้นจริงๆ เชื่อตามอย่างนั้นจริงๆ
เพราะฉะนั้น เขาเอาอย่างดื้อๆเลย เขาเอาจริงๆเลย เขาไม่อายนะ เขาเห็นอย่างนั้นจริงๆ
เขาบอกว่าเป็นประกาศก เป็นแขนเป็นมือของพระเยซูเท่านั้นแหละ มานำทาง มาทำเอาไว้ เหมือนอาตมานี่ มาอธิบายละเอียดลออเอาไว้ ของพระพุทธเจ้าอธิบายเอาไว้แค่นี้
อาตมาอธิบายละเอียดลออ มาบอกมากล่าว พระพุทธเจ้าไม่ตั้งคำไว้ว่า บุญนิยม
ไม่ได้ตั้งหรอก ไม่ได้ตั้งอะไรหลายๆอย่าง ไม่ได้ตั้งชื่อ จะต้องมีคุณลักษณะอิสรเสรีภาพ
ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ ไปในหัวข้อนี้ ไม่ได้ตั้ง พระพุทธเจ้าไม่ได้ตั้ง อาตมาตั้งขึ้นก็คล้ายๆกับ พระพุทธเจ้าบัญญัติอธิบายขยาย พระเยซูก็ถือว่านี่เหมือนกับ
เขาเป็นพระพุทธเจ้า เหมือนพระเยซูเป็นพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าเป็นพระสารีบุตร
มาอธิบายนำไว้ หรือไม่เป็นพระสารีบุตร ก็เป็นพระมหากัจจายะมาอธิบาย เอาไว้มาก
แสดงไว้ และลูกศิษย์ลูกหา ก็ถือกันเป็นอันเดียวกัน เหมือนกับคำอธิบายของพระเถระ
ที่เอามาบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ก็เหมือนกัน เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นประกาศกของพระพุทธเจ้า พวกเรานี่ เป็นประกาศกของพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นประกาศกของ
พระพุทธเจ้า ก็นัยเดียวกัน เขาเห็นอย่างนั้นจริงๆ และเขาก็เอา จะไปว่าอย่างไง
ก็ไปว่าไปซิ ไม่มี เพราะว่าศาสนาพุทธเจ้าเป็นสาธารณะ เป็นสากล ฟ้องศาลโลกก็ไม่ได้
ก็นี่ไปเอาของพระพุทธเจ้า มาตู่เป็นของตัวเองนะ ฟ้องศาลโลก ศึกละเมิดลิขสิทธิ์
ไปซิไปฟ้อง เถรสมาคม ไปฟ้องบ้างซิ ไปฟ้องทางสายคริสต์ เขานี่ขโมยคำสอน ละเมิดลิขสิทธิ์
คำสอนของพระพุทธเจ้า ไปฟ้องศาลโลกไหน แพ้ศาลโลกนั้น เพราะของนี่เป็นสากล
ของดีเอาไปได้ เหมือนเราเอามาใช้นี่ มหาเถรสมาคมจะมาฟ้องเรา ฟ้องซิ ฟ้องว่า
เราเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามา มาฟ้องซิ อาตมาขอยืนยันว่า เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสอน ติดคุก เขาใช้อำนาจอะไรที่เราสู้ไม่ได้ พอเถียงแล้วขึ้นศาลแล้ว เถียงไม่ได้
เขาตัดสินเอาเข้าคุกก็ต้องเข้า เพราะเราแพ้อำนาจวิธีการกลวิธีเขา เราไม่เก่งนี่
ชนะความไม่ได้ เขาจะเอาเข้าคุกก็ยอม เข้าคุกเสร็จออกมาทำอย่างเก่านี่แหละ
ยิ่งเข้าคุก ออกมายิ่งใกล้ตายมากขึ้น ยิ่งสอนจัดกว่านี้ เอาให้จัดกว่านี่จริงๆ เรามาฟังธรรมะดู ธรรมะทำให้มีความสุขโสมนัส ในหน้า ๕๔ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฟังไปเรื่อยๆก่อนนะ เดี๋ยวอาตมาจะอธิบาย
ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรมะ ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้มากด้วยสุขและโสมนัสอยู่ อยากมีไหมเล่า
อารมณ์สุขโสมนัส และโดยเฉพาะเป็นเนกขัมมโสมนัสด้วย ไม่ใช่เคหสิตโสมนัส
ตอนนี้ชักเก่งนะ ช่างรู้ พอบอกเคหสิตโสมนัส หรือว่าเป็นเนกขัมมโสมนัส
ก็ชักเข้าใจขึ้น ต้องมีคำของพระพุทธเจ้าเทียบเคียง เพราะอาตมาบอกว่าโลกียสุข ก็พอเข้าใจ
แต่ยังไม่ซึ้งเท่า ถ้าผู้ใดเลื่อมใสศรัทธาภาษา ใช้ภาษาบัญญัติเป็นของนำ
โอ๋ย นี่แน่ใจว่ามาจาก พระไตรปิฎกชัดขึ้น อาตมาพูดเอง อุตส่าห์เอาพระไตรปิฎกมานะ สุขัลลิกะบ้าง โลกียสุขบ้าง มันต่างกับวูปสโมสุขนะ ในคำว่าสุขมาเรียก
ไปเอาคำว่าโสมนัส แต่อันเดียวกันแหละ ความหมายเดียวกัน ก็แบ่งให้ชัดและเป็นของชาวโลก
เป็นเคหสิตโสมนัส สุขแบบโลกๆ อันนี้เป็นเนกขัมมสิตโสมนัส เป็นสุขแบบโลกุตระ
สุขแบบออกจากโลก สุขอย่างวูปสโมสุข สุขอย่างสงบ เนกขัมมสิตโสมนัส นี่ต้องเข้าใจให้ดี ภิกษุประกอบด้วยธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นผู้มากด้วยสุขและโสมนัส
ท่านเอาสุขโสมนัส มาหมด จะต้องเข้าใจว่า สุขโสมนัส วูปสโมสุข สุขอย่างเนกขัมมสิตโสมนัส อยู่ในปัจจุบันนั่นเทียว และย่อมเป็นผู้ปรารภเหตุ
ผู้ที่มีสุขโสมนัสนี่เขายังปรารภ ปรารภนี่หมายความว่า จะต้องเอาเสมอ
เตือนตนเสมอ ปรารภนี่ไม่ใช่เป็นคนเฉื่อยๆ ไม่ใช่เป็นคนไม่มีสำนึก จะมีสำนึก
มีสำเหนียก ในตัวเองเสมอ ขยันเพียร มีปรารภความเพียร มีปรารภเรื่องปรารภเหตุ
ปรารภตนอยู่เสมอ เป็นผู้ปรารภเหตุ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะ
ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ผู้ใดเบิกบานในธรรม สุขโสมนัสในธรรม จะเป็นเป็นผู้ที่ปรารภเหตุ
เพื่อที่จะสิ้นไปแห่งอาสวะ เรายังไม่หมดอาสวะ ยังไม่สิ้นอาสวะ ยังไม่เป็นพระอรหันต์
ก็จะเป็นผู้ที่มีปรารภตน ปรารภเรื่องราว ปรารภเหตุ ปรารภอยู่ตลอดเวลา ธรรมะ ๖ ประการเป็นไฉน คือภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้ยินดีธรม ๑ ย่อมเป็นผู้ยินดีภาวนา ๑ ย่อมเป็นผู้ยินดีการละ ๑ ย่อมเป็นผู้ยินดีปวิเวก ๑ (ความเป็นผู้สงัดจากกาม) อาตมาก็เคยเอามาอธิบาย ย่อมเป็นผู้ยินดีความไม่พยาบาท ๑ ย่อมเป็นผู้ยินดีธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรมะ ๖ ประการนี้แล ย่อมเป็นผู้มากด้วยสุข และโสมนัสอยู่ในปัจจุบันเทียว และย่อมเป็นผู้ปรารภเหตุ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายฯ (เล่ม๒๒ ข้อ ๓๔๙) นี่สุขสูตร มีเท่านี้แหละสุขสูตร แต่ว่าเดี๋ยวมาขยายกัน อ่านต่อหน่อยก่อน
การกำหนดรู้รอบ ๓ ของทุกขอริยสัจ มนุษย์ต่างมีกรรมเป็นของของตน มีกรรมเป็นมรดก
มีกรรมพาเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เจาะลึกอริยสัจเล่ม
๒ นี่มีจุดประสงค์ เพื่อให้เราแต่ละคนได้ใคร่ครวญ ทบทวนถึงชีวิตของตนอย่างลึกซึ้ง
พระสูตรที่รวบรวมมานี่ เป็นสิ่งพระพุทธเจ้าได้บอกสอนแก่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
๒,๕๐๐ กว่าปีก่อน ภิกษุเมื่อได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ต่างก็ชื่นชมยินดี
มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะได้ เพราะการได้ฟังและใคร่ครวญ ทบทวนตนตามคำสอนนี้
เพราะภิกษุเหล่านั้น เป็นผู้มีความเพียร มีจิตแยบคายใส่ใจในคำสอน จึงสามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเรา ผู้ยังยินดีอยู่ในวัฏสงสาร ผู้ยังเพลิดเพลินอยู่กับชีวิต
ถึงแม้บางเวลาเราจะเห็นทุกข์ของชีวิต รู้สึกเบื่อหน่ายในวัฏสงสาร แต่ความรู้สึกเหล่านี้ก็เกิดขึ้น
เป็นบางครั้งบางคราว ซึ่งมักจะเกิดเมื่อเราประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบใจ
แต่เมื่อใด เมื่อเราไปประสบกับสิ่งที่รักที่ชอบใจ วัฏสงสารนี่ก็ช่างน่าอยู่จริงหนอ
เพลิดเพลินจริงหนอ ชีวิตที่ได้ร่วมบุญกับพระโพธิสัตว์นี้ดีจริงหนอ เป็นบุญจริงหนอ
ขอให้ได้เกิดมาร่วมบุญกับพระโพธิสัตว์อีก ทุกชาติไป หารู้ไม่ว่าขณะที่เราคิดอย่างนั้น
คือขณะของผู้ประมาทโดยแท้ เรามีความหวังในภพชาติหน้าอันเลื่อนลอย ในขณะที่ปัจจุบันในความเป็นจริง
เราคือผู้ตั้งตนอยู่บนความประมาท มีความเพียรอันย่อหย่อน ความปรารถนาถึง
ความเจริญ ในภพชาติหน้าจักเป็นจริงได้แต่ไหน ก็ขนาดแม้ชาตินี้ แม้พระโพธิสัตว์ก็ทุ่มเทเคี่ยวเข็ญ เราก็ยังไปได้เท่านี้
ไปได้อย่างยากเย็นและอ่อนกำลัง เพราะอะไร เพราะเราไม่รู้จักทุกข์ในวัฏสงสาร
มีความเกรงกลัว ละอายต่อบาปน้อยเกินไป ไม่ได้พากเพียรกำหนดรู้ ไม่ได้พิจารณาให้มากในทุกขอริยสัจ
เรายังเป็นผู้ประมาทในชีวิตนักหนา แม้เราจะอยู่ในแวดวงของชาวเรานี้แหละแล้วก็เถอะ
พระสูตรที่รวบรวมมานี้ ที่มีพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนเอาไว้ชัดเจนว่า เราควรจะมีความเข้าใจอย่างไร และจะต้องทำอะไรบ้าง จงศึกษาด้วยความแยบคาย และมีความเพียรให้ยิ่งเถิด เพราะชีวิตที่เหลืออยู่ของอาตมานี้ จะไม่มีประโยชน์มากนัก ถ้าพวกเราไม่พยายามพากเพียร หรือพากเพียรน้อยเกินไป อาตมายังมีเพชรอยู่อีกมาก ที่จะเอามาบอก
มาสอนกับพวกเรา ที่จะนำพาพวกเราไปถึงที่สุดของทุกข์ได้ แต่ถ้าพวกเราไม่พากเพียร
ไม่แยบคายให้มากพอ จนมีฐานมีสภาวะ อาตมาก็ไม่สามารถจะบอกสอนในสิ่งที่สูงยิ่งๆ ขึ้นต่อไปได้ แม้จะอธิบายสูงขึ้นก็จะไม่ได้ผล เพราะผู้ไม่มีสภาวะ
ไม่มีพื้นฐาน ก็จะรับไม่ได้ จะไม่รู้เรื่อง จะยาก จะไม่ซาบซึ้ง ก็จะเบื่อ
จะไม่ใส่ใจ จะเซ็ง และไม่อยากมาฟังมารู้ หรือแม้รู้ได้ ถ้าไม่ทำก็จะเบื่อเป็นที่สุดอีก
เช่นเดียวกัน หรือแม้จะอธิบายซ้ำ พวกเราก็ยิ่งจะเบื่อง่ายซ้ำเสียอีก เพราะพวกเราไม่พากเพียรให้แยบคาย
เพิ่มภูมิ เพิ่มฐานขึ้นให้ได้จริง เพราะมันมีภูมิอยู่ได้พอสบายแล้วจริง
เท่าที่เราเป็นอยู่ในกลุ่มในหมู่ ในขณะนี้เท่านี้ เราก็พอสบายแล้ว จึงไม่ทุกข์อะไรนัก
ไม่ขวนขวาย ไม่พากเพียร (ติดแป้น) อย่างนี้คือประมาทแท้ๆ นั่นเอง ตราบใดที่ยังไม่ถึงที่สุด คือถึงขั้นเป็นพระอรหันต์ เราจะต้องมีความเจริญ
วุฒิ เจริญๆขึ้นอยู่เสมอ ไม่อยู่ฐานเท่าเดิม ฐิติ โดยเฉพาะยิ่งเสื่อมลง
ปหายะนั้น ยิ่งต้องไม่ให้เกิดขึ้นเป็นอันขาด ใครทำตนให้เสื่อมนั้นต้องเนิ่นช้าแน่ๆ
แม้จะไม่เสื่อมอยู่อย่างเก่า อยู่ที่เก่า ไม่เพิ่มความเจริญให้ได้ ก็คือเนิ่นช้าเช่นเดียวกัน
ที่เนิ่นช้าเพราะประมาท เพราะไม่เร่งตัวเพียร ธรรมใดวินัยใด ที่ทำให้เนิ่นช้า ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของเราตถาคต
วุฒิๆ หรือให้เกิดความเจริญให้ได้มากขณะจริง ยิ่งได้ถี่ทุกขณะ ก็ยิ่งจะถึงผลสำเร็จสูงสุดได้จริง
และเร็วเป็นธรรมดา ใครละจะช่วยเรา อาตมาหรือผู้ยิ่งใหญ่ใดๆ ก็ไม่สามารถช่วย
ผู้ที่ไม่ช่วยตนเองได้ แต่อาตมาก็อุตส่าห์ช่วยคุณเท่าที่สามารถ โดยพยายามไม่ท้อ และมันจะมีผลได้แน่นอน
เมื่อคุณก็พยายามช่วยตนเอง คำเหล่านี้ดูเถอะในตัวหนังสือก็เน้น คำไหนเน้น
คำไหนไม่เน้น คำไหนอะไรก็ดูเอาก็แล้วกัน เพราะลักษณะเน้นมันก็มี ลักษณะน้ำหนัก
ทำให้เราเข้าใจอะไร โดยปริยายอยู่นะ มีผลได้แน่นอน เมื่อคุณก็พยายามช่วยตนเองอีกด้วยจริง แม้คุณขวนขวายตนเองจริง โดยไม่มีอาตมาช่วย คุณก็จะมีผลได้แน่นอน
ทว่าผลนั้น ได้อะไรเท่านั้นเอง ที่คำว่ามีผลนั้นได้ ได้เท่านั้นก็คือ ถ้าคุณมิจฉาทิฐิก็ได้ผล
คนช่วยตนเอง แต่ถ้าคุณสัมมาทิฐิแน่นอน คุณก็ได้ผลและเป็นผลสัมมาทิฐิ ถ้าคุณช่วยตนเองเท่าที่คุณมีอยู่ เดี๋ยวนี้พวกเรานี่มีรู้พอสมควร ช่วยตนเอง ขวนขวายพากเพียร
ตามปฏิบัติที่รู้ก็ได้ และยิ่งได้เติมปริยัติ เติมคำสอนเป็นปริยัติ เติมปฏิบัติ
เรียกว่าปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ซึ่งอาตมาแน่ใจว่า อาตมาไม่อยู่ที่เก่า พยายามเสริมความรู้ที่ให้แยบคาย
ให้เกิดโยนิโสมนสิการ ทำอยู่จริงๆ และก็พยายามที่ให้เกิดปรโตโฆษะ โฆษณาอันอื่น
ถ้าจะแปลแค่ ปรโตโฆษะในความหมายหนึ่ง โฆษณา โฆษะก็คือโฆษณา ทำให้ได้รู้
ทำให้ได้ยิน โฆษะให้ดัง โฆษะนี่แปลว่าดังกึกก้อง แปลว่ากระจายไป ปรโตอื่นๆ
สิ่งเป็นอื่นที่ต่างจากอันเดิม อาตมาพยายามปรโตโฆษะ พยายามโฆษณาอย่างอื่นอยู่
คุณก็ควรจะต้องรับปรโตโฆษะนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ใดไม่ได้รับปรโตโฆษะ ไม่มีปรโตโฆษะ
ไม่รับสิ่งอื่นอีกที่ได้รู้มา แม้จะเป็นอาตมา แม้จะเป็นคนอื่นๆ ชาวอื่นๆเขา
เราก็รับข้อมูลนั้นมาเพิ่ม เพราะฉะนั้นปรโตโฆษะ ไม่ได้หมายความว่า รู้จากอาจารย์อย่างเดียว
โลกวิทู พหูสูตด้วย ปรโตโฆษะนั้นหมายความว่า รู้โลกเขาด้วย ลึกซึ้ง บริษัทอื่น
เข้าสู่บริษัทอื่นอีก แกล้วกล้าในบริษัทอีก สามารถรับ สามารถโต้ สามารถกระจาย
สามารถจำแนก สามารถอธิบาย สามารถปรับปวาทะเขาได้อีกด้วย ในความหมายของพระพุทธเจ้านี่
รอบถ้วน ท่านบรรยายเอาไว้หมด แต่เรามาหลงเอาแต่แค่แคบๆ และก็พากเพียรได้แต่แค่แคบๆ
แค่ความเห็นความชอบของตนมันก็ตื้น มันก็ไม่ก้าวหน้า เอาหันมาหน้า ๕๔ อีก ธรรมะทำให้มีสุขโสมนัส ๖ ประการ ถ้าผู้ใดที่มีความร่าเริง
เบิกบานในธรรม จะเป็นคนขวนขวาย เป็นคนยินดีในธรรม นี่ข้อที่ ๑ เพราะเบิกบานในธรรม ยินดีในธรรม พอใจในธรรม จะเป็นคนเบิกบานร่าเริง มีสุขโสมนัส แม้จะยังไม่หมดกิเลส ก็สังเกตเราเองก็ได้ ในขณะที่เราเองเบิกบานในธรรม ยังไม่เซ็ง
ยังไม่เบื่อ ยังไม่อัตตา มานะ ยังไม่ขึ้นถึงขีดนะ โอ้เบิกบาน เราก็รู้ว่า
เรายังไม่หมดกิเลส ยังไม่ถอนอาสวะสิ้นหรอก เราเบิกบาน เพราะถ้าทำถูกสัดถูกส่วนของพระพุทธเจ้า มันจะเบิกบานร่าเริงตลอด แม้เราจะยังไม่หมดอาสวะ
ยังไม่เป็นพระอรหันต์ก็เบิกบาน ไม่ซึ่มไม่เศร้าไม่เซ็งหรอก ธรรม ๖ ประการ คือเอาพระบาลีกำกับมาด้วย
เล่ม ๒๒ ข้อ ๓๔๙ ผู้ยินดีในธรรม ธัมมาราโม อารามะ อารามนี่แปลว่ายินดี ความยินดีในธรรมะ
รวมความหมด เพราะฉะนั้น ผู้ใดยินดีในธรรมะ จะเบิกบานร่าเริง มีสุข มีโสมนัส
และยิ่งมีหลักเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติ มีปัญญาเข้าใจ มีศรัทธาสมบูรณ์แบบ
มีทิศทางที่ดี ผู้นั้นก็ใส่ใจในภาคปฏิบัติ ซึ่งอาตมาบอกยืนยันเลยนะว่า อาตมาพาปฏิบัติอย่าง
มรรคองค์ ๘ พาคุณคิด พาคุณดำริออกเนกขัมมะหมดแหละ พาคุณพูดอย่างออกจากโลกียะ
เนกขัมมะหมดแหละ พาคุณทำงานทำกรรมกิริยา กายวาจาใจ กัมมันตะ ออกจากกิเลส
ตัณหา อุปาทาน พาคุณทำงานอาชีพ มีการมีงานอาชีพ หลายคนยังไม่สนิทใจว่า เอ๊
พาทำงานอะไรมากมาย มีอาชีพอะไรมาแบก มาหามอะไรกันนักกันหนา โดยเฉพาะเป็นสมณะแล้ว
สมณะปางนี้ ไม่ใช่สมณะปางพระพุทธเจ้า สมัยพุทธเจ้าอาชีพก็ไม่มากหรอก วัตถุดิบ ทรัพยากรของโลกก็เยอะ ไม่แย่งไม่ชิง
ไม่ลำบากไม่ลำบน มีกินมีอยู่มีใช้ สมัยนี้พระต้องหาเงินเลี้ยงชีพเอง ถ้าพระไม่มีเงิน
เขาก็อยู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ มันต่างกันนะ ยุคสมัยต่างกันมาก เพราะฉะนั้น พระทุกวันนี้
จะมานั่งงอมืองอเท้า เหมือนพระสมัยพระพุทธเจ้าไม่ได้ ต้องขวนขวาย ช่วยทำความเข้าใจให้แก่ญาติโยม ฆราวาสต้องทำงาน ฆราวาสต้องรู้การงานอาชีพ เพราะความหลอกความล่อ ความมอมเมา เศรษฐกิจ ธุรกิจอย่างโลกๆ ที่อาตมาพูดผ่านตอนต้น
เขาร้อยเขาจะดึง เขาจะลากจูงเอาไปมาก เพราะฉะนั้น พวกเรา ถ้าไม่เข้าใจเพียงพอ
ว่าสัมมาอาชีพต้องเป็นอย่างนี้ จะทำนาทำสวนทำไร่ก็ต้องเป็นอย่างนี้ และพอได้มาแล้ว
จะเอาไปค้าไปขาย ก็ต้องเป็นอย่างนี้จริงๆ แม้แต่การเมืองก็ควบคุมดูแล แต่ว่าเขาเพ่งโทษกัน
อาตมาก็ตีห่างก่อน ลองตีชิดเข้าไปดูซิ เขาเชื่อกันหมดเลย เอามาโฆษณา จนกระทั่ง
จะเอาข้อนั้นเข้ามาถล่มทลาย เขายืนยันนะว่า อาตมานี่เล่นการเมือง เป็นพระไม่ถูกต้อง
อาตมาไม่เล่น อาตมาบอกแล้ว อาตมาจะสอนการเมืองด้วย พอแสดงตัวเข้านิดหน่อยเท่านั้นเอง ประกาศนิดหน่อย เขาเอามาตี เราก็รู้แล้วละ กระแสสังคม และอำนาจของมัน
นี่อาตมาวัดค่า ดันทุรังต่อไปไม่ได้ เพราะคนโง่นี่มันทำโง่ได้ ทำบาปได้มาก
และทำลายเราด้วย อาตมาก็พักไว้เรื่องนี้ตัดไม่ต้อง การเมืองอาตมาไม่ต้องเข้าไปยุ่ง
อาตมาก็ทำสิ่งที่เขายังไม่ถือสา จริงๆ แม้แต่การค้าการขายเขาจะถือสา การเงินการทองนี่ อาตมาตั้งธนาคารบุญนิยม
กองบุญสวัสดิการอย่างนี้เป็นต้น จริง เราทำได้ไม่เหมือนเขา และเราก็จัดแจงใช้สิ่งนี้
ทำงานกันอยู่เป็นไป เป็นกิจการงานอะไรนี่ ซึ่งมันไม่เหมือน เราต้องช่วย อาตมาเองนี่แหละ เป็นตัวหลักที่จะต้องเข้ามาช่วย และพวกเราก็ต้องทำความเข้าใจว่า
เราต้องศึกษาด้วย เราต้องช่วยเป็นมือเป็นไม้ ลองกันมาต้องกระทำ สมัยก่อนแม้แต่โรงเรียน ก็ไปเปิดในวัดในวา เพราะการศึกษาก็ไม่ค่อยมีเหมือนเดี๋ยวนี้ การศึกษา ก็ไปศึกษาในวงศ์ของผู้ร่ำรวยฐานะดี หรือก็ส่งไปสำนักตักศิลาศึกษาโน่น มีวิชาการที่จะศึกษาจะสอน มันไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้ต้องเอามาเรียน โรงเรียนต้องมาตั้ง ต้องมาดูแล ต้องมาคอยประคบประหงมตั้งแต่เด็กไป ซึ่งพัฒนาการคนละเรื่องกับ สมัยพระพุทธเจ้า เราต้องเอาใจใส่ต่อมนุษยชาติ มากกว่าสมัยพระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้าถึงปล่อย เขาก็ไม่ทุกข์เท่าขนาดนี้ ไม่เหมือนทุกวันนี้ ทุกวันนี้มนุษย์
มันทุกข์มาก ต้องเอาใจใส่ ต้องช่วยทุกเหลี่ยมทุกมุมได้ ต้องทำ อะไรเกินเราก็รู้
แล้วเราก็ต้องปล่อย อย่างอาตมาว่าจะลองดูซิการเมือง ไม่ได้แตะเข้าไม่ได้ แล้วก็มีฤทธิ์แรงคนเชื่อเขาโฆษณา
ต่อไปเราตาย เอาต่อไปไม่ได้ การเมืองนี่ โดยเฉพาะเป็นพระ แต่ฆราวาสจะไปทำ
ก็เชิญเถอะ มันจะได้ขนาดหนึ่ง ถ้าใจสู้ ถ้าไม่สู้ก็ต้องถอยมา ก็เรามีเรี่ยวมีแรงแค่นี้
ก็ทำอะไรไปเท่าที่จะทำได้ จริงๆ เราจะทำงานอะไรอยู่ในสังคม ฟังตรงนี้ เราจะทำงานอะไรอยู่ในสังคม มันการเมืองทั้งนั้น ในธุรกิจเขาก็ทำการเมืองเห็นไหม ทุกวันนี้เขาคุม
นักการเมืองเลย นักธุรกิจนี่ เขาคุมเอาไว้จนเป็นนายของนักการเมือง นักการเมืองจะหาเงินเอง สู้นักธุรกิจไม่ได้หรอก เหลี่ยมมุมในการที่จะต้องได้เงิน สู้นักธุรกิจไม่ได้
ถ้าจะให้มีสภาพของความซับซ้อน ที่ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย ผิดกฎหลักเกณฑ์ได้ทีเดียว
นักธุรกิจเก่งกว่าเยอะ เพราะฉะนั้น นักการเมืองนี่ ถ้าไม่อาศัยนักธุรกิจจริงๆเลยนะ โกงมาจากงบประมาณโดยตรง โกงลูกเดียว แต่ไม่เก่งเท่านักธุรกิจหรอก
เพราะอาศัยนักธุรกิจ ประมูลอันนั้น ขายอันนี้ เขาจะให้ค่าตรงนั้นให้ตรงนี้นั่นแหละ
เขาเรียกว่ากิน แต่ก็โกงนั่นแหละ แต่ต้องอาศัยพวกนี้ เอาไปทำเองนะ ไม่ได้ตรงหรอก
โกงหลัก โกงๆเลย ถ้าไม่อาศัยนักธุรกิจ และไม่เก่งเท่าด้วย ไม่เก่งเท่านักธุรกิจหรอก เขาเก่งกว่าเยอะ
ซับซ้อน จนกระทั่งเป็นวิธีการหากินอยู่ทุกวันนี้ นักการเมืองก็คบหากับนักธุรกิจนั่นแหละ
หรือมีเครือข่าย นักธุรกิจของตัวเอง จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ นักธุรกิจเองเข้ามาเป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรีเองก็ทำเลย เขาก็หากระทรวง ที่มันเกี่ยวข้องกับตัวเองมีเครือข่ายอยู่
คุมทั้งอำนาจ คุมทั้งทรัพย์ ก็ใหญ่ซิ โลกียะมันก็ใหญ่ ก็เป็นนายทาสที่ยิ่งใหญ่
นายทาสทางเศรษฐกิจ และอำนาจครอบงำอยู่ในนี้ วิเคราะห์ไปก็อย่างนั้นนะ ทีนี้มาต่อในข้อ ๒ คำว่ายินดีในภาวนา ตัวนี้แหละเป็นตัวกลาง ภาวนาแปลการปฏิบัติ
ประพฤติทำให้เกิดผล การกระทำให้เกิดผล ภาวนา ภาวนาราโม
ในนี้คำว่าธรรมะ ธัมมาราโม ก็คำสนธิของธรรมะกับอารามะ ภาวนาราโม
ยินดีในภาวนา คำว่าภาวนา คือทำให้ผลการปฏิบัติ ภาวนานี่คือการปฏิบัติ ปฏิบัตินี่รวมทั้งฟังธรรมด้วยนะ
แล้วเอามาสาธยายธรรม ท่องทวนทำด้วย บทธรรมะต้องท่องทวน ตรวจสอบและเอามาเปรียบเทียบ
ตรวจสอบวัดตัวเอง แล้วก็ทำให้ลึกซึ้งแยบคายขึ้น ภาวนาแปลว่าทำให้เกิดผล ต้องมีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คือภาวนา แต่ก็เข้าใจเบี่ยงไปเรื่อย จนกระทั่งสุดท้าย ภาวนา เข้าใจว่าไปท่องบ่นเฉยๆ ภาวนาคือท่องบ่นเฉยๆ สวดมนต์เฉยๆ ภาวนา เดี๋ยวนี้เข้าใจเพี้ยนไปถึงขนาดนั้น ทำให้เกิดผลนะ ไม่ใช่ไปนั่งท่องบ่นภาษาเท่านั้น แต่เข้าใจเอาเอง เลยเพี้ยนไปเองนะ มันเพี้ยนได้อย่างนี้ ได้จริงๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าเดี๋ยวนี้ถ้าพูดกันกว้างๆ ด้วยเข้าใจในภาษาไทย เพราะว่า เออ
ภาวนาอะไรอยู่นะ แปลว่าอะไร แปลว่ากำลังบ่นอะไร เป็นแสลงไปเลย กำลังท่องบ่นอะไรอยู่
ความจริงแล้ว เพี้ยนไปกว่า ถ้าเข้าใจภาวนาว่ากำลังปฏิบัติ ภาคปฏิบัติเลยนะ
ประพฤติอะไร เพื่อให้เกิดผลขึ้นมาอยู่ ถ้าเข้าใจอย่างนี้นี่นะ ไม่รวมเอาปริยัติด้วยนะ
ไม่รวมเอาท่องบ่นด้วยนะ ก็ยังดีกว่าไหมปฏิบัตินะ ภาวนาคือกำลังปฏิบัติ ประพฤติความเพ่งเพียร
เพื่อออกจากกิเลส ออกจากโลกียะอยู่ เออ อย่างงี้ยังเข้าท่ากว่า และมันดันเพี้ยนไปเอาท่องบ่น
คิดว่ามันเสื่อมไปขนาดไหน มันเพี้ยนไปขนาดไหน ความหมายนะ ความจริงภาวนา
มันคลุมหมดทั้งปริยัติ จะท่องทวนตรวจสอบก็ด้วย ปริยัติท่องทวนตรวจสอบ และปฏิบัติประพฤติสังวร กายวาจาใจ ประพฤติมีมรรคองค์ ๘ นั่นเองจริงๆ ตรงๆ
เพราะภาวนาแท้คือ มรรคองค์ ๘ และมันจะเกิดผล ทำให้เกิดผล ถ้าเกิดผล ก็ทำให้สมบูรณ์ ภาวนามีผลของภาวนา มีปฏิเวธธรรม ผู้ใดยิ่งปฏิบัติ อย่าว่าแต่ท่องบ่นสวดมนต์ มาฟังธรรมะนี่ ก็บอกแล้วว่า
ประกอบไปด้วยภาวนาทั้งนั้น มาเข้ามีกิจวัตร ฟังธรรม สาธยายธรรม ปฏิบัติธรรม
ภาวนา ทั้งส่วนที่ศึกษาปริยัติ ทั้งส่วนที่ปฏิบัติ ทั้งส่วนที่มีปฏิเวธ
เป็นผลแท้เป็นผลจริง ปฏิเวธก็คือแทงทะลุผล รู้แจ้งแทงทะลุผลโดยอรรถ โดยภาษา
ก็หมายความว่าการบรรลุธรรม ปฏิเวธ เวธะแปลว่าแทง แปลว่าเจาะ ถึง เข้าถึง
เจาะถึง แล้วก็ทวนไปทวนมาๆ ก็หมายความว่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้แล้วรู้เล่าได้สมบูรณ์
ได้ซ้ำบ่อยๆ จนกระทั่งแน่ใจมั่นใจทุกอย่าง ถ้าเรารู้ว่าเราเองปฏิบัติธรรม เรามีปริยัติเบิกบานยินดีในปริยัติ มีพากันปฏิบัติก็เบิกบาน
ในปฏิบัติทั้งการสังกัปปะ เราก็เบิกบานในสังกัปปะเราอยู่ วาจาที่เราได้พูด
ได้ฝึกฝน มีสติสัมปชัญญะ ปัญญา สังวรสำรวม ไม่เป็นมิจฉาวาจา เป็นสัมมาวาจาได้เรื่อย
พร้อมกันนั้นก็ไม่ขาดไม่ตกหล่น กัมมันตะมีกรรมการงาน กระทำทางกาย ไม่ใช่เอาแต่นั่งพูด เอาแต่พูดๆ กายกรรมก็มีสมบูรณ์พอเพียง ยิ่งกัมมันตะ ยิ่งอาชีวะ มันยิ่งยากขึ้น
ยิ่งหนักขึ้น เพราะสังกัปปะก็ตามไปซ้อนอยู่ในนั้น วาจามันก็ตามไปซ้อนอยู่ในกัมมันตะ
ตามไปซ้อนอยู่ในอาชีวะ การงานที่เป็นการงานประจำ ชีวิตส่วนมากเรามีทั้งบทบาทครบ
กายวาจาใจ แล้วเป็นสัมมาอาชีพ เป็นอาชีพการงานที่ทุกคนรู้ว่าเป็นงานหลัก
หลักๆ หรืองานส่วนใจ หรืองานส่วนมาก หรืองานสำคัญที่ผู้นั้นพึงทำอยู่สมบูรณ์
สมเหมาะสมควรกับสังคม สังคมกลุ่มในเรา สังคมที่สัมพันธ์ไปกับสังคมข้างนอก
เป็นการงานอาชีพเหมาะควร ถูกหลักเศรษฐศาสตร์ ถูกเศรษฐศาสตร์ในสมัย ว่านี่เป็นงานที่มี
demand สูงอะไรก็แล้วแต่ เรามาเร่งกสิกรรมๆ มาเร่งงานขยะ งานปุ๋ย เพื่อที่จะให้มันรอบรัด คลุมไปทั้งงานกสิกรรม
งานสิ่งแวดล้อม กสิกรรมกับสิ่งแวดล้อม มันสัมพันธ์กันมาก เราก็เร่งรัดพัฒนาอันนี้ขึ้นมา อย่างนี้เป็นต้น เป็นงานอุปสงค์ในสังคม เพราะคนทิ้ง คนเบื่อหน่าย แม้ชาวไร่
ชาวนา เขาเบื่อหน่าย เขาไม่ยินดีที่จะเป็นชาวไร่ชาวนาหรอก แต่เขาดิ้นไม่ออก
เขาไม่มีทางไป สักวันเขาก็มีทางขึ้นเรื่อยๆแหละ ลูกเต้าเหล่าหลานชาวไร่ชาวนา
หนีมาเป็นครู หนีมาเป็นข้าราชการ เรียนเกษตรก็ไปเข้ากระทรวงเกษตรโน่น นั่งโต๊ะไม่กระทำจริงหรอก
จบเกษตรก็ไปเป็นดารา จบเกษตรก็ไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ หากินออกนอกเรื่อง จบให้มันมีปริญญาติดตัว
เป็นเครื่องอลังการ เป็นเครื่องประดับชนิดหนึ่ง นอกนั้นก็ไปทำอะไรเละๆเทะๆ
หาเงินหาทองได้มากเอาหมด จบนิติศาสตร์ จบเกษตร จบอะไรมาไปเป็นดารา ไปเป็นนักร้อง
ไปเป็นอะไร ที่มันหาเงินได้ง่ายๆ หรือไปเป็นนักการเมือง จบเกษตรจบอะไรไป
เป็นนักการเมือง เพื่อที่จะได้ช่องทาง ได้ลาภได้ยศอะไร ไม่ได้เป็นนักการเมืองเต็มที่
อะไรหรอก อ้างไปอย่างนั้นแหละ มันล้มเหลวหมดแล้ว มันเหลวไหลหมดแล้ว ไม่แน่หรอก ในอนาคตชาวอโศกเรานี่ อาจจะส่งเสริมให้เรียนเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตร
จบปริญญาเอกมา แต่มาทำจริงๆนะ มาแนะนำมาสอนมาลงมือทำ ช่วยกันจริงๆ พัฒนา
กิจการกสิกรรม เกษตรกรรมอย่างจริงๆ ให้เรียนจบปริญญาเอกเลยได้ ต่อไปมีวิชา
ทำเต้าหู้ปริญญาเอก อาจจะส่งไปเรียนปริญญาเอกเต้าหู้มา วิชาขยะ อาตมาร่ำร้องอยู่นี้ ไม่ตั้งคณะขยะวิทยาขึ้นสักที เอาจริงๆนะ
อาตมาว่าในอนาคต คงจะต้องตั้งจริงๆ ขยะวิทยา เพราะมันใกล้ชิดตัวคนเข้ามาแล้ว
มันมาทำร้ายตัวคนเข้ามา มันเป็นวิชาที่จะต้องเรียนรู้ ป้องกันและแก้ไขปรับปรุงมัน
ถ้าไม่อย่างนั้นมันทำลายเรา ขยะนี่จริงๆเลย มันเป็นตัวร้ายเข้ามา มามากแล้ว
แต่เขาไม่รู้กัน เอาละ ไม่มีอะไร มหาวิทยาลัยเราตั้งขึ้นได้ เราจะตั้งขยะวิทยาก่อนเขาเลย
ใครจะเป็นคณบดี ดินเย็น ต้องไปทำปริญญาเอกไว้ก่อนนะ เอ้าต่อมา ยินดีในการละ อันนี้ก็อยู่ในภาวนานั้นแหละ ในการละ ภาษาบาลีบอกว่า
ปหานาราโม ปหายะหรือปหานะ ปหาน ทำลายลงไป ปหานะ ปหาตัพพา ในอริยสัจ ๔ ข้อ
ก็ทุกข์ สมุทัย ปหาตัพพา การละ การทำลาย แปลว่าฆ่า เขาก็แปลปหาน นี่เป็นภาษาไทย
เขาเรียกว่าฆ่า ปหานะ ปหายะ ยินดีในการละ แปลให้หนักๆหน่อย ยินดีในการฆ่า
เป็นนักฆ่าตัวยง ฟังแล้วน่ากลัว เป็นนักฆ่าตัวยง ขอให้เป็นนักฆ่าที่เป็นสัมมาทิฐิ อย่ามิจฉาทิฐิแล้วกัน เป็นนักฆ่ากิเลสตัวยง เห็นเมื่อไหร่ก็ โอ้โฮ
พรั่งพร้อมไปด้วยสังกัปปะ กัมมันตะ อาชีวะ เป็นนักฆ่าตัวเยี่ยม วันๆหนึ่ง
แหม พร้อม ไม่ใช่เป็น นักฆ่าก็คือ นักพิงทวน เก็บดาบ นอน เข้าห้อง มีดาบแต่ดาบไม่ได้เอาออกจากฝักเลย
นักฆ่าขี้หมาอะไรอย่างนั้น ถ้าผู้ใดพรั่งพร้อม สมบูรณ์ทั้งอาชีวะ กัมมันตะ วาจา ตัวประพฤติอยู่ตรงนี้
สังกัปปะอยู่ตรงนี้ ถ้าใครปฏิบัติไปสอดซ้อน ซับซ้อนลึกซึ้ง สังกัปปะ เราก็อ่านได้ทัน
วาจาเราก็อ่านได้ทัน กายกรรมหรือการงาน ประกอบไปด้วยการงานใดๆ เราก็อ่านได้ทัน
พร้อมกันนั้น เป็นหลักในอาชีพให้แก่หมู่ฝูงหมู่กลุ่ม สร้างสรรเสียสละ
นำพาให้เข้าระบบหมด ทำการงานอาชีพอะไรก็ถูกต้อง เป็นระบบบุญนิยมอะไรที่ลึกซึ้งก็มีหมด
มีสมรรถนะ มีสมรรถภาพ แต่ก็ได้ละชำนาญ เป็นนักรบมือเอก นักฆ่าตัวยง เพราะปฏิบัติมรรคองค์
๘ ช่ำชอง โพธิปักขิยธรรม หรือโพชฌงค์อยู่ในนี้เสร็จ กายก็รู้ดี เวทนารู้ดี
เจโตปริยญาณ หรือจิตรู้ดี ธรรมะรู้ดี ไม่ว่าจะเป็นนิวรณ์ ๕ อุปาทานขันธ์
๕ เข้าใจดี จับสภาวะอาการ ลิงคะ นิมิตถูก ปฏิบัติประพฤติช่ำชอง อายตนะ ๖
สบายมาก ไม่ว่าอายตนะนอก อายตนะใน นะมีรูป อายตนะนอก มีตาเป็นอายตนะใน มีวิญญาณ
จักขุวิญญาณ เป็นองค์ประกอบ รวมธรรมะทั้ง ๓ ประการ เป็นผัสสะ นี้เรียกว่าผัสสะ
ผัสสะไม่ใช่ว่า นั่งมุดอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ตาก็ไม่เปิด หูก็ไม่เปิด หูก็ไม่ได้รับเสียง
ไม่ใช่ผัสสะ จะต้องมีตา มีรูป มีอายตนะนอก คือรูปหรือเสียง กลิ่นหรือรส
สัมผัสแม้แต่ธรรมารมณ์ ก็เป็นอายตนะนอก นอกที่อยู่ในจิตวิญญาณ แล้วก็มีใจเป็นมโน
เป็นอายตนะใน มีกายเป็นอายตนะใน มีโผฏฐัพพะ เป็นอายตนะนอก แล้วก็มีวิญญาณ
โดยทวารทั้ง ๖ นั่นแหละ จะเป็นจักขุ โสตะ ฆาน ชิวหา อะไรไปจนกระทั่งถึงมโน เป็นวิญญาณ
๓ อัน ๓ ประการนี้ เรียกว่าผัสสะ เป็นผัสสะ ผัสสะต้องมี ๓ อย่างครบ ไม่ใช่ไปนั่งหลับหูหลับตา
เหมือนกับอย่างฤาษี ปิดหูปิดตา ไม่ใช่ ซึ่งสามัญก็รู้อยู่แล้ว และต้องมีโอกาส ถึงจะมีสิ่ง
๓ อย่างนี้ เรียกว่า ผัสสะครบ ก็เหมือนกับอาตมาอธิบายกัมมันตะ มันต้องเกี่ยวข้องทั้งสังกัปปะ วาจา นั่นแหละ
ผัสสะก็ต้องเกี่ยวข้องกับตา รูป และวิญญาณ จึงเรียกว่าผัสสะ นี่มันลึกซึ้งอย่างนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ผัสสะ ก็คือดับผัสสะ ก็คือไปแตะไปผัสสะ
ไม่ให้มีผัสสะ และก็จะดับเวทนา เพราะผัสสะเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งเวทนา ไม่ใช่มีผัสสะ
และผัสสะก่อให้เกิด เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงให้เกิดเวทนา เวทนาเกิด และผัสสะมีอยู่อย่างนี้แหละ
และเวทนาอันนั้นก็ไม่ใช่ดับเวทนา มีผัสสะแล้วดับเวทนา ไม่ให้มีผัสสะ มีผัสสะ
มีจักขุวิญญาณ ก็เป็นจักขุวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ มีรูป ก็มีรูปตามธรรม
ตามสัจจะ มีตา ก็ตาอันเปิดโพลงสบายๆ วิญญาณก็มีวิญญาณอันบริสุทธิ์ เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่ใช่ว่าวิญญาณไม่มี วิญญาณทางจักขุ วิญญาณทางตา มีตัวรับรู้ แต่ไม่มีอวิชชา เพราะฉะนั้น ผัสสะก็มีผัสสะ แต่ผัสสะเหล่านั้น ไม่ก่อให้เกิด
ทุกขเวทนา ถ้าก่อสุข ก็สุขเวทนา สุขโสมนัส เนกขัมมโสมนัส จนถึงอุเบกขา เป็นเนกขัมมอุเบกขา
สงบ เป็นเนกขัมมอุเบกขา เป็นสุขยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ สุขยิ่งกว่าโสมนัสที่ยังมีอุปกิเลส
แม้อุเบกขาเองก็...ยังเรียนรู้ซ้อนอยู่อีกว่า ถ้าขืนยึดอุเบกขา นี้เป็นฐานนิพพานก็ตาม
ว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็ยังมีภพชาติต่อ แต่ถ้าจะวาง วางภพชาติหมดเลย เป็นปรินิพพาน
เป็นพระอรหันต์ แม้แต่อุเบกขาที่เป็นฐานอาศัยนี้ก็ไม่เอา ไม่ยึดไม่ติดต่อ
วางเป็นจริงๆ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เวทนาก็ไม่ใช่ตื้นๆเขินๆ ว่าดับเวทนา เขาไม่ดับเวทนาหรอก เขาไปดับสัญญา การดับจริงๆดับแค่สัญญา เวทนาก็ไม่มีแล้ว
ไม่ต้องกำหนดรู้อะไรเลย ไม่ต้องจำ ไม่ต้องคิดอะไรเลย ไม่ระลึกทบทวนอะไรทั้งนั้น
แม้แต่ปัจจุบันนี้ ก็ในสัญญาก็ไม่กำหนดอะไร นั่งเด๋อดับนิโรธแบบฤาษี แบบอสัญญี
อสัญญีนั่นแหละ นิโรธฤาษีคือไม่สัญญา คือไม่กำหนดอะไรทั้งนั้น เป็นพรหมลูกฟัก
แบบนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาด้วย ดับสัญญาแบบนี้ แต่คนฟังก็ไม่เข้าใจสักที
อาตมาก็พยายามขยายความ พยายามอธิบายละเอียด คนคืออะไร ให้รู้เลย เวทนาคือลักษณะ
อย่างไรก่อน สัญญายังไงก่อน สังขารยังไงก่อน ดับสังขารก่อนคืออย่างไร เหลือเวทนากับสัญญา ในสัญญาและเวทนาสุดท้าย ก็มาสำคัญอยู่ที่สัญญา สูงสุดแม้แต่เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา
เราก็ต้องรู้ละเอียด จนกระทั่งสุดท้าย มีสัญญาเวทยิตนิโรธ ที่อย่างที่มีสัญญาเคล้าเคลียอารมณ์
เวทนาคืออารมณ์ เวทนาก็คือความรู้สึก เพราะฉะนั้น ความรู้สึกเหล่านี้ เราเข้าใจถึง
๑๐๘ เวทนา และก็รู้ว่า ฐานเวทนาที่บริบูรณ์สุด คืออุเบกขาเวทนาได้อย่างไร
ทำได้อย่างไร ทำได้แล้วนั่นแหละ เป็นฐานนิพพาน แล้วคุณก็อย่าไปยึดหรือว่าอย่าไปติด ต้องฝึกวาง แม้แต่ฐานนิพพานอุเบกขาให้ได้
เพราะมันเป็นตัวตนสุดท้าย ที่เราจะอาศัยอย่างนี้เป็นต้น เราก็ต้องรู้นะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา นี้แลเป็นความเกิดแห่งทุกข์
ตารูปก็ตาม หูเสียงก็ตาม ไปจนกระทั่งครบ สูตรนี้ท่านไล่ถึง ๖ ทวาร จบทุกขสูตร ไม่ใช่สุขสูตร ที่เรากำลังอ่านนี้สุขสูตร
ในทุกขสูตร เพราะฉะนั้น เรายินดีในการละ มีองค์ประกอบพร้อม มีผัสสะ ประกอบไปด้วยทวาร
อายตนะ และวิญญาณ รู้เท่าทันอายตนะ ๖ รู้ว่าเรามีโพชฌงค์ ๗ หรือไม่ มีอริยสัจ
๔ หรือไม่ นี่ธรรมในธรรม ๕ ข้อ รู้ เห็น เข้าใจจริง ได้ละลดจริง ผู้ใดยินดีในการละ ผู้นั้นก็เป็นผู้ปรารภความเพียร ที่มีมรรคมีผลอยู่ และ
เรารู้ด้วยว่า เราได้ละอยู่ เราได้ละได้ปหาน มีปหาตัพพา มากหรือน้อยก็แล้วแต่
ถ้าคุณมีญาณปัญญา อ่านออก คุณเป็นผู้เจริญไม่ประมาท และต้องทำให้ได้อยู่เสมอ
ๆ เป็นวุฒิๆอยู่เสมอ ย่อมเป็นผู้ยินดีปวิเวก ปวิเวกคือผลสงบระงับอย่างพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่สงบรำงับสะกดจิตเอาไว้เท่านั้น นี่ก็นัยต่างกัน อธิบายสงบ อธิบายวิเวก
คนละอย่าง อาตมาอธิบายวิเวก กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก ไม่ได้เคยบอกว่ามีเสนาสนวิเวก
ไม่เคยมีวัตถุวิเวกสถานที่วิเวก เรียกได้เรียก สถานที่วิเวกเป็นองค์ประกอบที่ไม่จุ้นจ้าน
เกินไป ก็เรียกได้ แต่ไม่อยู่ในองค์ธรรมขององค์ธรรม แต่ไม่วิเวก สงบรำงับ
มีกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวกเท่านั้น อุปธิก็คือกิเลส มันสงบจากกิเลส
กิเลสทั้งองค์ประชุมกายวิเวก ทั้งจิตของเรา ในจิตก็วิเวก องค์ประชุมนี้ก็วิเวก
องค์ประชุมก็หมายความว่า องค์ประชุมอยู่นะ แต่เราสงบสงัด เพราะอุปธิของเราไม่มี
กิเลสของเราไม่มี เพราะฉะนั้น กิเลสของเราไม่มี เราก็ยิ่งมีกายอันโตใหญ่ได้
มีองค์ประชุมอันโตใหญ่ได้ เพราะเรามีโลกุตรจิต โลกุตรธรรม เราจึงคลุกคลีเกี่ยวข้อง
สัมผัสสัมพันธ์ มีปฏินิสสัคคะช่วยเหลือมนุษย์ มนุษย์โลก ลงไปในนรกแรงขนาดไหน ก็ลุยได้
เหมือนเดินอยู่ในที่ว่าง นรกจะใหญ่เท่าภูเขา กองกิเลสจะใหญ่เท่าภูเขาก็เดินลุยได้
เหมือนเดินอยู่ในที่ว่าง มีปาฏิหาริย์อย่างนั้นจริงๆ ผู้ใดที่อ่อนแอป้อแป้ ไม่เจริญหรอก ตนเองก็ไม่ได้พิสูจน์สัจจะ ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัย
อ่อนแอ ช้า เพราะฉะนั้น เนิ่นช้าก็ประมาทแล้ว เนิ่นชาแล้วก็ไม่เข้าหลักการธรรมะ ของพระพุทธเจ้า
แล้วนะ ในนี้มีอยู่ในนี้เอา รู้จักสงัดสงบในนั้นที่ถูกต้อง และยินดีในสงัดนั้น
ยินดีนะ เบิกบานร่าเริงที่เราได้สงัดอย่างนี้ สงัดอย่างพระพุทธเจ้านี่
ถ้าคุณไปนั่งหลับตาสงัดนะ ถ้าคุณเข้าใจพุทธ คุณไม่ต้องหลับตาเลย คุณอยู่เหนือมันเป็นโลกุตระแล้ว
มีตัวสงัด สงบ มีวิเวก สงัดอย่างอยู่เหนือมันอยู่กับมัน กระทบสัมผัสมัน ก็ไม่ทำให้เรากิเลสเกิดเลย
ผุฏฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ โลกธรรมขนาดนี้เท่านี้ เรื่องนี้อย่างนี้
เราเหนือมันจริงๆ มันวิเวกได้ดีจริง คุณจะยินดีวิเวกนี้ ยิ่งกว่าคุณไปนั่งหลับตาสะกดจิตได้
ไปศึกษาดีๆ และอาตมากล้าท้าทาย ได้แค่เลี่ยงๆหลบๆ แล้วก็วิเวกแค่นี้แหละ
มันอ่อนแอ เหมือนเด็กๆ มันยังไม่ยิ่งใหญ่หรอก ยังไม่แข็งแรง ยังไม่อาจหาญ
ยังไม่แกล้วกล้าหรอก ต้องวิเวกอยู่เหนือมันจริงๆเลย มันกระทุ้งกระแทกกระเทือนอยู่
ยั่วยวนอยู่ เราก็ว่างเลย ไม่มีผลักไม่มีดูดได้จริง วิเวกอย่างนี้แหละ น่ายินดียิ่งกว่าวิเวกฤาษี
เชื่อไม่เชื่อ แล้วคุณไปพิสูจน์เอาก็แล้วกัน ย่อมเป็นผู้ไม่ยินดีในความไม่พยาบาท ตัวนี้พวกเราพยายาม พยาบาทมีอย่างหยาบ กลาง ละเอียด ถือสาก็เรียกว่าพยาบาทนะ ถือสาอยู่นี่ พยาบาทจองเวร แปลง่ายๆ พยาบาท อย่าไปแปลถึงขนาด จะต้องลงมือลงไม้ ต้องทุบต้องตี ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก พยาบาทก็คือ สภาพที่เราเองเรายังพัวพัน ยังผูกยึด โดยความเป็นโทสมูล ความไม่ชอบ ความผลัก เพราะเราอยู่โดยไม่ผลัก พยาบาทคืออยู่กับศัตรูได้ นั่นต้องเก่งถึงขนาดนั้น อาตมาเอง ก็ยังต้องเลี่ยงมาจากศัตรูใหญ่นั่น เพราะอาตมาเองมีงาน ถ้าอาตมาไม่มีอะไรจริงๆ นะ ให้อาตมาอยู่กับพวกศัตรูจริงๆ อยู่ได้ แต่อาตมาจะพยายามอยู่กับเขาให้ได้ จะอยู่กับเขาให้ได้ จริงๆ แต่อาตมามีงาน ก็นึกถึงลูกหลาน ต้องมาอยู่กับลูกหลาน ต้องช่วยลูกหลานก่อน งานที่จะไปรบรา ฆ่าฟันนั้น ไปประสานกับเขา ไปช่วยเขาให้เกิดลดละลงไกลไป เอาไว้ก่อนเถอะ อีกหลายชาติ อีกอภิมหาชาติหน้า เอาไว้ก่อน อภิมหาชาติหน้า แล้วค่อยเจอกัน ค่อยช่วยคุณ ชาตินี้ช่วยไม่ไหวหรอก มาช่วยลูกๆ เต้าๆ อาตมาก่อน มันอย่างนี้จริงๆ เพราะฉะนั้น เรื่องไม่พยาบาททำให้ได้ ไม่ใช่ยินดีในพยาบาทนะ มันมีหยาบ กลาง ละเอียด บรรจุซอง ละอองธุลีของความเป็นพยาบาท ต้องอ่านให้ได้
แม้แต่เราเองรู้สึกกัน มีอะไรนิดๆ ผลักกันหน่อยๆ พยายามเถอะ เข้าหากัน ดูซิยิ่งเหลือ
น้อยๆ ผลักกันหน่อยๆ นี้ประสานกันดู เหลืออะไรล้างมันให้เกลี้ยง แล้วเราจะได้
โอ้ ชื่นใจจริงหนอ เราล้างกันแล้ว เขาเข้ากันได้แล้ว ประสานกันแล้ว เขาจะมีอย่างนี้ก็
เออ ไม่ถือสาแล้ว เข้าใจเขา เห็นใจเขา ถ้าช่วยเขาได้ช่วย ถ้ายังไม่ได้ควรเป็นอย่างนี้เข้าใจแล้ว
ไม่ติดใจ จะทำอย่างไรจะเป็นเนื้อเดียวกัน ได้อย่างนี้ยิ่งมีน้อยๆ อยู่ แหม
ลูกพูดยาก พ่อแม่ปากเปียก ย่อมยินดีในการละ นี่ก็ ปหานาราโม ปหานะนั่นแหละ อาราโม ก็เป็น ปหานาราโม
ยินดีในวิเวก ก็ปวิเวการาโม ปวิเวก ไม่มีความยินดีในความไม่ประมาท ก็อัพยาปัชฌาราโม
ยินดีความไม่ประมาท ย่อมเป็นผู้ยินดีธรรมะที่ไม่เนิ่นช้า ตัวนี้ก็ลึกซึ้ง อาตมาเคยพูดบ่อยๆ
แต่พวกเราฟังเผินๆ ช่างมันเถอะ เราแค่นี้ก็ไปได้เรื่อยๆ แค่นี้เราและถ่อมตนด้วยนะ
ไม่เก่งเราก็ไปได้แค่นี้แหละ ก็ค่อยๆ เลี่ยงๆไป ว่าอย่างนั้นเถอะ มันยถาสุขังเกินไป นี่มันตั้งตนอยู่ในความสบายๆ ตัวนี้คือบำเรอตน ไม่ต้องตั้งตนอยู่ในความลำบาก
ไม่เป็นทุกขายะ อัตตานัง ปทหติ มีแต่เอา ยถาสุขัง โข เม วิหรโต เป็นอยู่อย่างสบายๆ
ยถาสุขัง โข เม วิหรโต วิหารก็อยู่ อย่างตามสบาย บำเรอกิเลส คนเรามีกิเลสนี่มันจะบำเรอฐานะ
อย่างโลกเขาก็อย่างเขา ฐานะอย่างเราก็อย่างเรา มันจะบำเรอ ครองความชอบ ความพอใจ
ในยินดีของเรานี้ แล้วก็ยินดีอยู่อย่างนี้ ไปเข้มงวดกวดขันตัวเอง ไปเคร่งอะไรมากมายนัก
ขนาดนี้ก็สบายดีแล้ว มันจะเข้าข้างตัวเอง เพราะฉะนั้น ต้องฝืน ต้องตั้งอยู่บนความลำบาก
ต้องพยายามดู กายวาจาใจ ต้องพยายามดูสังกัปปะ กัมมันตะ อาชีพ เราควรจะกาย วาจา ใจ อันใดที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เออ ในหมู่พวกกลุ่มของเรา
อะไรนะ เราจะเอานี่ เขาเรียกแล้วนะ นี่เขาขอแรงงานนะ ไปดูหน่อยนะ เพื่อนเราทำได้หรือ
เอ งานนี้เราทำได้ดี ไปหน่อยนะ ทำไมนะงานนี้เรารังเกียจจังเลย ลองฝืนมันดูซิ
รังเกียจนะ เข้าไปดูซิ เขาเรียกขาน งานนี้เราไม่ถนัด งานนี้เรารังเกียจจริงๆ
ก็ขี้เกียจๆ อะไรอย่างนี้ เอาบ้างซิ ใจสู้ดูบ้างซิ หัดฝึกดูใจเราจะง่าย
ไม่ใช่ใจง่ายแบบโลกๆ ใจเราจะคล่อง ใจเราจะไว ใจเราจะทำให้เราเกิดพฤติกรรม เป็นผู้คล่องแคล่ว
แววไว เราจะได้ศึกษารอบทั่วอยู่ในนี้ มันไม่พาตายนักหนาหรอกนะ พากระทำก็ไม่ใช่มิจฉา
กัมมันตะ ไม่ใช่มิจฉาอาชีพอะไร พาพูดก็ไม่ใช่มิจฉาวาจา พาคิดก็ไม่ใช่มิจฉากัมมันตะ
มิจฉาสังกัปปะอะไรไปนะ ที่เราไม่ค่อยขมีขมันพวกนี้แหละ และไม่ค่อยเอาใจใส่
สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะนี่แหละ พาให้เนิ่นช้า ตัวพยาบาทก็พาให้เนิ่นช้า
ตัวไม่เอาใจใส่ในภาวนา ตัวไม่ได้ละไม่ได้ลด รวมแล้วมันพาเนิ่นช้าหมดนะ ตัวที่ไม่ขมีขมัน
พยายามอุตสาหะวิริยะ พากเพียรเอาใจใส่การประพฤติ และก็ปฏิบัติให้มันมีภาวนามัย ธรรมะเหล่านี้นี่แหละ ไม่พาเราให้สมบูรณ์ ถ้าเราทำสมบูรณ์ คำนึงถึง ๖
อย่างนี้ เราย่อมเป็นผู้มากด้วยสุขและโสมนัส อยู่ในปัจจุบันนั่นเทียว และย่อมเป็นผู้ปรารภเหตุ เพื่อสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย แม้คุณจะเป็นอนาคามี
เหลือแต่อาสวะ กิเลสหยาบก็หมดแล้ว กิเลสกลางก็หมดแล้ว เหลือแต่อาสวะเท่านั้น
สบายนะ อนาคามีนี่สบายมาก เพราะของหยาบมันหมด มันไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากมายหรอก
อะไรนิดอะไรหน่อย ทนได้โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบาก แต่มันยังไม่หมดเชื้อ
ยังไม่หมดอาสวะ แล้วก็มาประมาท ไม่ยินดีในธรรม ไม่ยินดี ไม่เจริญทางปริยัติ
และไม่เข้มงวดกวดขัน ภาวนาให้มีปฏิบัติ ให้พยายามพากเพียร มีเหตุมีปัจจัย
มีสัมผัสเป็นปัจจัย ตาของเราก็เอาไปสัมผัส ตาของเราก็เอาไปให้เกิดจักขุวิญญาณ
ที่มันจะมีกิเลสผสมมา และเป็นระดับขนาด อาสวะด้วย มันยิ่งไม่มีอะไรกระทุ้งกระแทกแล้ว
โอ้โฮ มันก็อนุสัยนะ มันก็เป็นนอนเนื่อง สบายเลย มันก็ไม่ขึ้นหรอก อนุสัยก็เหมือนคน
ติดนอนนั่นแหละ เขาถึงแปลว่านอนเนื่อง อนุสัยมันไม่ขึ้นหรอก ขนาดเอาน้ำมาราด
มันยังมะงุมมะงาหรา ง่าๆ ต่อเลย มันไม่ขึ้นง่ายหรอก รู้จักสันดาน อนุสัย
ท่านแปลมาแต่โบราณกาลๆ นั้นท่านแปลเก่ง กิเลสนอนเนื่อง นอนงุด นอนมุด นอนขี้เซา
เนื่องแปลว่าต่อติดต่อไปไม่มีจบ นอนอยู่อย่างนั้น มันจะต่ออยู่ยาวอยู่อย่างนั่นแหละ
ก็ขี้เซานักแหละ ก็ขี้เซานั่นแหละ เอาน้ำมาราด ก็นอนต่อลงไปอีก นอนเนื่องลงไปอีก
ขอต่อไปอีก อนุสัยกิเลสขี้เซา ถ้าเผื่อว่าเราเข้าใจถูกทาง มีจิตอันแยบคายไป มีปัญญา ชาญฉลาดรู้ทิศรู้ทาง
รู้ขณะ รู้กรรมกิริยา รู้องค์ประกอบที่เราจะทำให้แก่ตนๆๆแล้ว ปรับปรารภตน
ปรารภเรื่อง ปรารภเหตุ ปรารภธรรม ถ้าเราเป็นปรารภตนอยู่ สมบูรณ์อย่างนี้
แล้วก็รู้ว่า เราควรจะอย่างไร อะไรน้อยไป เราฟังน้อยไปควรฟัง เราพูดน้อยไป
ควรพูดน้อยนะ แต่อโศกนี่เชื่อว่าพูดมาก เราพูดน้อยไป พูดและพูดอย่างควรนะ
พูดให้เป็นสัมมาวาจา พูดก็ให้ฝึกสัมมาวาจา ฝึกพูดให้ฝึกละมิจฉา เป็นนักฆ่า
ยินดีในการละนี่ ปหานาราโม ต้องให้รู้ว่า เรานี่น่ายินดีได้ เพราะปฏิบัติอันนั้นมีผล
ปฏิบัติอันนั้นเกิดผล ฟังก็เกิดผล พูดก็เกิดผล ทำกรรมกิริยาทุกๆอย่างก็เกิดผล
ทำการงานอาชีพใดๆ ก็เกิดผล และเป็นอริยผลด้วย เกิดบทบาทการสร้างสรร สร้างสรรวัตถุแท่งอะไรก็ได้ด้วย
อาตมาพูดนี่ เกิดวัตถุก้อนแท่งอะไรได้ด้วย เกิดคน คนไปผลิต คนไปทำงาน เดี๋ยวคนก็ไป
ทำนา เดี๋ยวคนก็ไปทำไร่ทำสวนจริง หรือทำจริงๆ กัมมันตะ มีผลผลิตทั้งวัตถุโลกียะขึ้นด้วย
มันสมบูรณ์เป็นโลกียะอันเป็นของจำเป็น ที่คนที่จะต้องอาศัย ยิ่งขาดแคลน เรายิ่งต้องสร้างให้เขาใช่ไหม แล้วเขาสร้างทุกวันนี้ แต่ละอะไรขึ้นมานี่
ประกอบไปด้วยมลพิษ ปลูกผักก็เอาผักมลพิษมาขาย กิน สร้างเครื่องใช้ก็เครื่องใช้
มีมลพิษ แม้แต่สร้างยารักษาโรคมา โรคก็มีผลข้างเคียง มีมลพิษเยอะ สร้างธรรมะ
สร้างศาสนา ก็ยังแฝงมลพิษในธรรมะเลย แล้วก็เถียงกับอาตมา อาตมาว่านั่นมันมีพิษ
ไม่เชื่อ ศาสนาพุทธต้องนักรดน้ำมนต์กัน ไม่เชื่อ ไปนั่งส่งบุญ ส่งบาปไปให้คนตายอยู่นั่น
มันเป็นมลพิษ ไม่เชื่อ ทำพระเครื่องเป็นมลพิษหยาบๆ ที่อาตมาพูดให้พวกคุณเข้าใจ
ต้องทำพระเครื่อง เสก พรม ปะน้ำมนต์ หรือแม้แต่คำสอน ธรรมวินัยประยุกต์หรือ
ปฏิรูป เขาก็เข้าใจว่า นี่เป็นปฏิรูปหรือไปประยุกต์ หรือไปให้ทำให้วิปริต
เขาไม่มองตนว่า ไปทำให้วิปริต เขาทำให้ธรรมะมันอ่อนยวบลงไป เบาไป ไม่เข้มข้น
ไม่เหมาะสมกับสภาวะ ไม่เหมาะสมกับยุคกาล ควรจะเข้มข้นอย่างไร ยิ่งอนุโลมอ่อนยวบไป
อย่าไปว่าเขา เขาจะทำพระเครื่องก็ว่าไปเถอะ ให้เขาทำเถอะ อนุโลม อนุโลมจนกระทั่ง ถึงก้นบึ้งของอติวินิบาตแล้ว รู้จักอติวินิบาตไหม นรกไม่มีที่จะไปแล้ว
มันสุดนรก นรกไม่มีที่ต่ำนี้อีกแล้ว อติวินิบาตนี่ ไม่มีที่ที่จะทะลุไปอีกแล้ว
มันตก ปาตะแปลว่าตก วิแปลว่าไม่ หรือยิ่ง นิก็แปลว่าไม่ นรกที่มันไม่มีนรกยิ่งกว่านี้แหละ
อติวินิบาตอันนี้แหละ ไม่มีอันอื่นอีกแล้ว นรกหมด หมดในภูมินรก ไม่มีนรกไหนยิ่งกว่านี้อีก
อติวินิบาต อบายทุคติวินิบาตนั่นแหละ มันไม่มีอะไรที่จะทุกข์ยิ่งกว่านี้
จะเป็นนรกยิ่งกว่านี้เขาไม่รู้ เพี้ยนไปย่อหย่อน ยืดหยุ่นๆ ประเภทต้องย่อหย่อน
ยาน นั่นเป็นมลพิษ ฟังให้ออก ฟังธรรมให้ดีๆ หย่อนยานเกินไป แต่มันก็มีความพอดี
ยุคสมัยนี้ต้องยืดยาน ยืดหยุ่นพอสมควร ยืดหยุ่นกว่าสมัยพระพุทธเจ้า ไม่ยืดหยุ่นไม่ได้
เพราะฐานไม่มี อาตมา มันเอาเคร่งมาก่อนแล้ว โอย แต่ก่อนนี้เคร่งครัด เลิกมาได้กี่คนกันเล่า
จนกระทั่งค่อยๆ ทำงานมาจนทุกวันนี้ ยืดหยุ่นมาขนาดนี้ ขนาดนี้บางคนเข้ามา
โอย ไม่ไหวแล้ว นิปปปัญจาราโม = ยินดีธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ถาม เวทนาทำให้เกิดอทุกขมสุข กับตัณหาทำให้เกิดทุกข์ ช่วยอธิบายทุกข์ทั้งสองนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไร ตัณหาจะทำให้เกิดทุกข์ หรือจะเรียกว่าโทมนัสก็ตาม โทมนัสเราเอาไปอธิบายอยู่ที่
เวทนา ที่เราเรียนมาแล้วในเวทนา เคหสิตโทมนัส เคหสิตโสมนัส เคหสิตอุเบกขา
เราไปเรียกที่เวทนา หรือถ้าเป็นเนกขัมมะ ก็ตรงกันข้ามกับเคหสิตะ เคหสิตะก็คือโลกียะ
เนกขัมมะก็คือ พากเพียรออกจากโลกโลกียะมาสู่โลกุตระ มาสู่โลกใหม่ มาสู่ปรโลก
โลกใหม่หรือเป็นสัมปรายิกภูมิ โลกใหม่ โลกที่พระพุทธเจ้า ท่านค้นพบให้เห็นในปัจจุบันนี้
ให้เกิดในปัจจุบัน ไม่ต้องไปหลงเอาชาติหน้า ตายไปแล้วถึงค่อยไปเข้าสัมปรายิกภูมิ
ไปได้ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เขาก็ตายแล้ว ถ้าไม่ปฏิบัติในชาตินี้ ตายแล้วก็ไม่ได้
ถ้าได้เป็นภูมิธรรม ได้เป็นธรรมะ ที่เราได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้แล้ว ตายไปแล้วจึงจะได้
ถ้าไม่ได้ตั้งแต่เป็นๆนี่ ตายไปแล้ว ปรโลกหรือสัมปรายิกภูมิ ภูมิหรือภูมิธรรมนี่
ภูมิรู้ ภูมิธรรรมของคุณนี่ ถ้าไม่ได้ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ตั้งแต่ตอนนี้
เป็นๆนี้ ตายไปแล้ว ไม่มีสูรา สติมันโต อิทธ พรหมจริยวาโส ไม่มีทาง ไม่ได้ ขอเอาหัวตีดินเลย
ยืนยัน นั่งยันนอนยัน มีตัณหาถึงค่อยเกิดเวทนา คุณมีเวทนา มีตัณหา คุณจะเอาทั้งเวทนา และตัณหา
พูดอย่างไร ทำความเข้าใจให้ดี เวทนาคืออารมณ์ ความรู้สึก ตัณหาคือความปรารถนา
เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นความปรารถนาดี แม้ที่สุดอาตมาก็ใช้คำว่า วิภวตัณหา เราจะมีตัณหา
ตัวนั้นอย่างมีวิชชากำกับ พ้นอวิชชาสูงสุดแล้วไม่มีปัญหาอะไรนะ ทุกข์เราก็รู้ว่าทุกข์
ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป พระอรหันต์ก็มีทุกข์
พระพุทธเจ้าก็มีทุกข์ เพราะฉะนั้น คำว่าตัณหาทำให้เกิดทุกข์ ใช่ อาตมาจะมีตัณหา
คุณจะทำไม ข้องใจหรือ อาตมามีวิภวตัณหา ไม่ได้ทำเพื่อตัวหรอก แต่เราทำอย่างเข้าใจ
จริงเป็นทุกข์ เราอ่านทุกข์ออก อาตมาอ่านทุกข์ออกนะ แสวงหางานก็เป็นทุกข์
แค่คิดจะแสวงหางาน แค่นี้นี่ก็เป็นทุกข์แล้ว แต่ทุกข์นี่คุณจะไปอ่อนแอกับมัน
คุณยังไม่ปรินิพพานอยู่ตราบใด ยังมีรูปนาม ขันธ์ ๕ มีทุกข์ทั้งนั้น เวทนาก็เป็นทุกข์
สังขารเป็นทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ วิญญาณเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ทั้งนั้น แต่เราอยู่กับทุกข์
อย่างอยู่เหนือมัน เพราะฉะนั้น จะใช้ภาษาว่ามีตัณหา มันไม่ได้เป็นกามเพื่อตัว
ไม่ได้เป็นภพเพื่อตัว วิภวภพเป็นภพเพื่อผู้อื่น เสียสละสร้างสรร ใคร แหม
จะทำเป็นว่า ต้องไม่มีตัณหาหมดเลย ต้องฟังแล้วก็ไม่เอาละ มีตัณหาอย่างนี้ไม่เอา
หยุดหมดเลย ไม่ต้องมีอะไร ไม่ปรารถนาอะไร นั่งจุมปุ๊กอยู่ ซื่อบื้ออย่างนั้นก็เอา
ไม่ว่าอะไร ตัวใครตัวมัน เป็นเสรีภาพส่วนตัว แต่อาตมาว่า อันนี้มันเป็นเรื่องมนุษยชาติที่เกลี้ยงสนิท
และมีคุณค่าสูงส่งถึงสูงสุด พากเพียรตนให้ไปถึงสูงสุดได้ ตัณหาคือความปรารถนาดี
จะอธิบายมาเป็นฉันทะ จะอธิบายว่าเป็นอากังขะ หรืออิจฉา อิจฉะเป็นอากังขาวจรก็ได้ เป็นอิจฉาวจร ทีนี้ความรู้สึกนั้น เราอ่านรู้ของเรา รู้อยู่เดี๋ยวนี้ อาตมารู้อยู่ว่าเป็นทุกขเวทนา
รู้อยู่ แต่ทุกขเวทนานี่ อาตมาเต็มใจ เต็มใจที่จะทุกข์ เหนื่อย ยากไม่ง่าย
ยิ่งอาตมากำลังพยายาม พากเพียรอธิบายนั้น นัยละเอียดนี่ต้องปรุง ต้องสังขาร
มีสังขารก็เป็นทุกข์ สังขารอยู่เมื่อไหร่ ก็เป็นทุกข์อยู่เมื่อนั้นแหละ อาตมารู้
ทุกข์เหมือนยิงศรไปที่รูกุญแจ ในระยะทางไกลร้อยดอก ให้เสียบกันอยู่ที่รูกุญแจนั้น
หรือจักเส้นผมออกเป็นร้อยแฉก แต่ละแฉกให้มันเท่ากันด้วยนะ ฝีมือยากนะ อันนี้ก้ต้องรู้
อาตมารู้ อาตมารู้ว่าทุกข์ การดับทุกข์ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีทุกข์กันจนกระทั่ง ไม่มีเหลืออะไร
สอนมาแล้ว อธิบายมาแล้ว ทุกข์ ๑๐ ชนิด ก็อธิบายมาแล้ว ทุกข์ที่จำนนเราก็ต้องจำนน
มันจำนน มันจะต้องอาศัย มันยังไม่ปรินิพพานอย่างสุดสมบูรณ์ อย่างพระพุทธเจ้า
อย่างพระอรหันต์ อย่างที่ไม่ต่อภพต่อภูมิ มันก็ต้องมี ฟังดีๆ คุณจะเข้าใจ
เพราะยังแย้งๆอยู่ ยังเข้าใจไม่ได้ ถ้าเข้าใจได้แล้ว จะไม่แย้งจริงๆ แต่แย้งดี อาตมาจะได้อธิบายลึกขึ้นไปอีก
แล้วคุณจะได้หมดปัญหา จะได้เข้าใจ อ๋อ เข้าใจแล้ว แล้วก็พากเพียรปฏิบัติให้มันลงตัว
ให้มันเป็นสภาวะสมบูรณ์ ถ้ายิ่งไม่แย้ง พอพูดอย่างนี้ก็เลย ประเดี๋ยวหาว่าเราไม่เก่ง
อัตตามานะเกิดแล้ว อย่าไปแย้งนะ ทั้งๆที่ข้องใจอยู่ ขืนแย้งอยู่คนเขายังเข้าใจว่า
เรายังไม่บริบูรณ์ ยังไม่เกิดปัญญา ยังโง่อยู่ เดี๋ยวเขาจะเข้าใจว่าเราโง่
ตี๊ต่างว่าเราฉลาดแล้วกัน เลยโง่ซ้ำเข้าไปอีกเลย แสดงออกเถอะว่าเราไม่รู้
อายครูบ่รู้วิชา ก็ไม่ต้องต่อ ไม่ต้องอาย ซักถามได้นะ เพราะฉะนั้น เวลาที่มันมีเวทนา
มันเกิดทุกข์เกิดสุข เกิดอทุกขมสุข อุเบกขา หรือ อทุกขมสุข นั้นก็แปลว่า
เรามีตัวสุญญตา ตัวที่เราวางได้สนิท ไม่มีกิเลส จิตก็ว่าง แต่ถ้าเผื่อว่าเราจะสังขาร เป็นวิสังขารขึ้นมาเมื่อใด เราก็ต้องรู้ซิ สังขารไม่ต้องวิสังขาร
มันก็ทุกข์อยู่แล้ว วิสังขารก็คือสังขารอย่างยิ่ง เรารู้นะว่าเราสังขาร เรารู้นะว่าเราปรุงไป
เพื่อเราของเราหรือไม่ เราไม่ได้ปรุงเพื่อเราของเรา มันก็หมดตัวเราของเราแล้วนี่
จริงไหมละ คุณจริงหรือว่าคุณยังแอบแฝงอยู่ โลภอยู่นี่ ปรุงไปนี่สังขารไปทำงานไป
ทุกข์ เพื่อจะได้สรรเสริญ เพื่อจะได้เสพกาม เพื่อจะได้ลาภได้ยศ เพื่อจะได้เป็นประธานหมู่
เพื่อจะได้เป็นเจ้าคณะ พระพุทธเจ้าถึงสอน ไม่ได้เพื่อได้เป็นเจ้าคณะเจ้าหมู่
ทำเพื่อมาจะล้มล้างลัทธินั้นลัทธินี้ เราไม่ได้ทำเพื่ออย่างนี้เลย พูดแล้วเหมือนแกล้งพูด เหมือนพูดกลับกลอก ใครพูดว่าไม่ได้เป็นหมู่เจ้าคณะ
ใครว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญ สัจจะมันมีย้อนแย้งอย่างนี้ สัจจะย้อนสภาพ
ท่านยิ่งทำ ท่านก็ยิ่งได้ อาตมายิ่งทำ อาตมาก็ยิ่งได้ อาตมาได้สรรเสริญ ถ้าอาตมาทำได้ดี
ถ้าอาตมาไม่ดีผิดพลาด ก็ได้นินทามากหน่อย ถ้าอาตมาทำได้ดี อาตมาก็จะได้สรรเสริญ
ลาภก็เยอะ ไป ตำแหน่งความยอมรับนับถือ มากขึ้นแน่นอนโดยธรรม แต่เราระเริงหลงยินดีในลาภ
ยศ สรรเสริญโลกียะเหล่านั้นไหม ถ้าเราหลงยินดีก็เรานั่นแหละ คุณต้องแยบคาย
ละเอียดต่อสภาวะนั้นในใจอย่างจริง ถ้าคุณละเอียด คุณไม่ได้ยินดี คุณไม่ได้หลงใหลติดยึดในสิ่งเหล่านี้ มันย่อมได้โดยธรรม
และคุณก็ไม่รับว่าเป็นของเรา ก็คือคุณไม่รับ คุณเอาแต่รู้ก็พอแล้วนี่ รู้ก็เออ
ให้สรรเสริญ รู้เขาให้ศรัทธาเลื่อมใสยกย่องเชิดชู ให้อัญชลีก็อัญชลี เราไม่หลงใหล
มันก็จบที่เรา สำคัญคุณรู้อาการ ลิงคะ นิมิต ความจริงอันนั้นไหม อ่านอาการ
ลิงคะ นิมิต อันนั้นออกไหม ในใจของคุณ นี่มันละเอียดลอออย่างนี้นะ เพราะฉะนั้น
เวทนาเหล่านี้ มันเป็นทุกข์เป็นสุข เป็นอทุกขสุข แม้ที่สุดเป็นอทุกขสุข หรืออุเบกขา
เราก็อาศัยมันใช้งาน เพราะมันจะทุกขเวทนาเท่าที่คุณทนได้ คุณทนได้เท่านี้
ถ้าคุณทนได้มาก คุณก็สร้างสรรได้มาก สังขารได้มากเป็นวิสังขาร วิสังขารได้ดียิ่งเท่าไหร่
ก็เท่ากับจัดอุเบกขาเวทนาได้มากเท่านั้น มันเป็นอุเบกขาเวทนาจริงๆ เนกขัมมสิตอุเบกขา
เป็นอุเบกขาในทางโลกุตระ คุณออกมาได้แล้ว ออกมาจากอะไรได้หมด เดี๋ยวนี้ก็เดี๋ยวนี้
มีเดี๋ยวนี้ ทุกข์เดี๋ยวนี้ ก็วางทุกข์เดี๋ยวนี้ มันเร็ว มันไว มันรู้ ทุกข์โดยสภาวะก็รู้
ทุกข์ในการทำงาน ซึ่งเป็นเครื่องอาศัย เป็นอาหาร การงานก็เป็นอาหารชนิดหนึ่งของพระอริยะ ท่านพุทธทาสประกาศมานาน ทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม ท่านเคยประกาศมาก่อน ท่านประกาศมาดี
ขอบคุณหลวงปู่ หลวงปู่นี่สอนอะไรเอาไว้ ให้เป็นฐานให้แก่อาตมามาก ขอบคุณไม่หายจริงๆ
ก็สืบสานกันไป สร้างสรรต่อกันไป ที่ท่านทำมาดีมากหลายอย่าง อันใดที่ไม่สมบูรณ์
เราก็ทำให้สมบูรณ์กันต่อๆไป อะไรยังไม่ดีงาม ยังไม่มากพอๆ ทำขึ้นไปอีก นะ เอาละอาตมาใช้เวลามา จนกระทั่ง ๖ โมง ก็คิดว่าจะได้ประโยชน์พอสมควร
จัดทำ โดย โครงงานถอดเท็ปธรรมะ ออกพิมพ์ให้ท่วมโลก |