นรกพัง-สวรรค์แตก
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๓๔
ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก

เจริญธรรม ท่านผู้ใฝ่ในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ทั้งหลาย

วันนี้ เราจะมีงานศพ ที่จริงวันนี้วันพุธ เราไม่ได้เทศน์เราไม่ได้บรรยายอะไร ก็เพราะว่าเป็นวันพุทธัง เป็นวันสงบ แต่ว่าวันนี้พิเศษนะ มีงานศพ ที่เราจะต้องได้ฌาปนกิจกัน ก็เป็นธรรมเนียม เป็นธรรมเนียม ของพวกเรา งานศพเราก็มีบรรยายธรรมมีเทศน์ เทศน์วันหนึ่งสองวัน บรรยาย หรือ เทศน์ หรือสวด เขาก็เรียกว่าสวดก็ตาม แล้วก็เราสวดเป็นภาษาอย่างนี้แหละ สวดก็คือ สาธยาย สวดสาธยาย ความหมาย ความรู้อะไรต่ออะไรเกี่ยวกะธรรมะพวกนี้แหละ ที่จะเราจะได้ประโยชน์นะ

เมื่อเวลามีศพ หรือมีผู้ตาย เราก็จะใช้เป็นการรวบรวมกันมาแสดงน้ำใจ การแสดงน้ำใจผู้ที่สูญเสีย สูญเสียผู้ที่รักเคารพ จะเป็นผู้ที่รัก เคารพ หรือผู้รักเป็นธรรมดา ไม่ถึงขั้นเคารพ แต่เป็นเด็กก็ตาม ที่ตาย ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ยิ่งเป็นที่เคารพนับถือ เพราะได้สร้างคุณงามความดีมามาก เราก็เคารพ นับถือมาก บางทีก็ยังไม่สมควรจะตาย ยังไม่ถึงวัยควรจะตาย บางทีก็ถึงวัยควรจะตาย ก็แล้วแต่ แต่ก็ยังไงๆ มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชน มีจิตใจอาลัย อาวรณ์ ระลึกถึงอะไรอยู่บ้าง

เราก็มาทำความเข้าใจกัน ผู้ที่รู้สัจธรรม สมณะ หรือภิกษุที่เป็นผู้ปฏิบัติ หรือประพฤติตาม พระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าพาประพฤติปฏิบัติแล้ว ก็เป็นผู้เข้าใจสัจธรรมลึกซ้ง สามารถที่จะอธิบาย ไขข้อไขความ อะไรต่างๆนานา ที่ยังเข้าใจไม่ได้ สู่ผู้ที่ไม่รู้ได้รู้ได้แจ้งได้ชัด แม้จะต้องทุกข์โศกเศร้า เสียใจอาลัย อาวรณ์ ก็แจ้งก็อธิบายนำพากัน ชักจูงกัน ทำความเข้าใจกันให้ได้ คลายทุกข์ได้ คลายความโศกเศร้า อาลัยอาวรณ์นั้นๆ ก็เป็นการช่วยกันพ้นทุกข์ หรือได้รับสัจธรรมเพิ่มขึ้น มีนัย ซับซ้อนในการตาย มันต้องมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป การเกิดการตายการหมุน การเวียนอยู่ เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ ตราบที่ยังมีการเกิดการตายที่อยู่ในโลก มีสังสารวัฏอยู่ ก็ยังมียังงี้ อีกต่อไป ในสังคมมนุษย์ก็มี พิธีกรรม พิธีการระหว่างคนตาย นี่ ทำไปนานาสารพัด แต่ละกลุ่ม แต่ละหมู่ แต่ละผู้ที่เข้าใจลัทธิต่างๆนานา ทำกันมาก แม้แต่ในศาสนาพุทธ พุทธเองด้วยกัน แต่ก็ยังทำ ไม่เหมือนกัน เพราะเข้าใจกันคนละอย่าง คนละมุมกันเยอะ

ทุกวันนี้ งานศพ เป็นเรื่องที่ทรมานทรกรรมคนอยู่ ก็เนื่องจากพิธีกรรม พิธีการนี่แหละ ค่อยๆประยุกต์ ค่อยๆเติม ค่อยๆ แต้ม ค่อยๆเสริม ก็ค่อยๆ ใส่อะไรเข้ามาด้วยกิเลสความโลภ ปรุงแต่ง หรือ กิเลสอยากใหญ่ เป็นด้วยตัวเจ้าภาพเอง เป็นด้วยตัวผู้ที่เป็นเจ้าของงาน อยากใหญ่ ก็พยายามทำให้ ครึกครื้น ใหญ่โตหรูหราฟู่ฟ่า มากเรื่อง ทำให้มันดูเขื่องดูหรูอะไรต่างๆอย่างนี้ ทำเข้าไป เพื่อเชิดหน้า ชูตา อวดอ้างอะไรต่างๆนานา มันก็เลยกลายเป็นเรื่องที่บานปลาย กลายเป็นเรื่องวุ่นวาย ใหญ่โต ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องอะไรมากมายนัก ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอาอะไรมาใส่ ให้มันยุ่งรุ่มร่ามวุ่นวาย เสียเวล่ำเวลา เปลืองผลาญ เสียเวลาผู้ที่เขาจะต้องมาน่ะ งานคนที่เขาเกรงใจ ก็จำต้องเสีย เวล่ำเวลา เสียงานเสียการ ใช้จ่ายลงทุนลงรอนอะไร เพื่อที่จะมางานศพ และมาก็ไม่ได้เร็ว และก็ ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากมายด้วย กลายเป็นเรื่องผลาญ เรื่องทำลาย อ้างกันแต่เพียง เราจะมาแสดง น้ำใจ มาแสดงความเห็นใจ ในเมื่อได้มีผู้ที่พรากไป จากของที่รัก ที่พรากไปอะไรยังงี้ แต่เสร็จแล้ว ก็ไม่คุ้มกัน เป็นการผลาญพร่า เป็นการทำลาย เป็นพิธีกรรมหรือกิจกรรม ที่มันทำลายสังคม

ทุกวันนี้ อาตมากล้ากล่าวได้เต็มๆคำเลยว่า มันเป็นการทำลายสังคมมากกว่า มันไม่เป็นไปเพื่อ ประโยชน์เกื้อกูล ไม่ได้ขัดเกลา ไม่ได้มักน้อยสันโดษ ไปกันจนกระทั่งเบื่อ ไปอย่างไม่เต็มใจหรอก อาตมา พูดอย่างตรงๆ มันฝืนสังคม เขาจะต้องยังงั้น แหม มันไม่ใคร่อยากจะไปหรอก แต่มันต้องไปนะ ต้องไป แสวง ถ้าไม่ยังงั้น ด้วยมารยาท ก็ไม่ได้ ก็ต้องจำใจไป อย่างนี้เป็นต้น ก็แสดงว่า ต้องฝืนใจคน ไอ้การฝืนใจคนนั่น มันก็เสียไปแล้วอย่างหนึ่ง ขาดทุน ไปแล้วไป ฝืนใจเขา เขามานะ เขาฝืนใจมา เขาจะขาดรายได้ นอกจากขาดรายได้แล้วยังไม่พอ หักส่วนที่ของเขามี มาให้อีกนะ ต้องเอามาให้ด้วยนะ ต้องมี ให้เงิน ให้ทอง ให้ข้าวให้ของ ให้อะไร เพราะทำมากๆ เลยกลายเป็น จารีตประเพณี ต้องมาช่วยเหลือเงินทอง ต้องมาช่วยเหลือไอ้โน่นไอ้นี่ มีอะไรอีก ถ้าไม่เช่นนั้น เจ้าภาพก็จะหนัก จะแย่ เห็นใจ ต้องเสียค่าปี่ ค่าพาทย์ ค่าตะโพน เสียค่าฉลองนั่น ฉลองนี่ ตกแต่งนั่น ตกแต่งนี่ ค่าดอกไม้ของหอม ค่าอะไรต่อมิอะไร ก็แล้วแต่เถอะ มากเรื่อง มากจนเฟ้อ เลยกลายเป็นเรื่องที่มันไม่ได้เข้าท่าอะไร จะเป็นเรื่องการกินการอยู่ ก็ไม่ได้อยากเต็มใจ จะมากินอะไรนักหนา ใครจะมากิน มันไม่คุ้มไม่เคิ้มอะไรหรอก กลายเป็นกิจกรรมเปลืองผลาญ ต่างๆ นานา อะไรมากเรื่องไป

ทุกวันนี้ พูดกันไปก็เขาก็หาว่ามาทำลายจารีตประเพณี อาตมาก็ไม่มีปัญหา อาตมาเขาจะว่าก็ว่า อาตมาว่า ถ้าพูดกันตรงก็คือ ทำลายด้วย จะล้มล้างด้วย จะทำให้เขาหยุดให้เขาเลิก ถ้าเขาจะเลิก แต่ไม่ได้ไปบังคับเขานะ แล้วเขาก็ว่ายังงี้มันไม่ดี ถ้าเขาจะเลิก เขาเลิกเอง เขาเชื่อเอง เขาเห็นด้วยเอง ถ้าเขาไม่เห็นด้วย เขาก็ทำอยู่นั่นแหละ ใครจะไปบังคับเขา ใครจะให้เขาหยุด เราไม่มีอำนาจอะไร จะไปให้เขาหยุด ไปบังคับเขาได้ เขาก็ทำของเขาไป แต่เราก็ วิเคราะห์วิจัย ให้เขาเห็นว่า มันไม่ดียังไง มันไม่เข้าท่ายังไง จนกระทั่ง กลายเป็นเรื่องจารีตประเพณี ตายแล้วไปวัด จะต้องจ่ายสารพัด สาระเพ จนคนตาย หรือคนจน ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเขามา ทำไม่ครบ ก็หาว่า ไม่ตรงตามจารีตเขา ไม่ได้ต้องทำๆๆ เพราะผู้ทำนั่น กำหนดอยู่ที่วัดไหนก็ตาม จะกำหนดอยู่ที่ไหนๆ ก็ตาม เขาเป็นผู้ กำหนด เพื่อที่จะได้เงินได้ทอง ได้รายได้ เป็นกิจกรรม เป็นกิจการชนิดหนึ่ง นี่มันเป็นเรื่องสังคม

นอกนั้น ยังมีเดี๋ยวนี้ มันยิ่งเลอะเทอะใหญ่เลย พองานศพที ก็มาเอาศพกันไว้นานๆ ได้มางานศพ แต่ละคืน เปิดบ่อนเล่นการพนันกัน โดยตำรวจ ก็ไม่อยากจะยุ่ง ถือว่า เป็นเรื่องที่เห็นอกเห็นใจ ให้เขาคลายทุกข์ คลายเศร้า พวกฉวยโอกาส ก็เลยถือการเปิดบ่อนไปในตัว ผิดกฎหมง กฎหมาย ส่งไปอีก นะ เป็นเรื่องเลอะเทอะ มากมาย ก่ายกอง

อาตมาพูดไป ก็มีอีกมาก ถ้าจะสาวไส้เรื่องไม่เข้าเรื่องราวอะไรนี่มา เพราะฉะนั้น เราก็เลยพยายาม จะเข้าหา สาระแก่นสาร การจัดงานศพที่นี่ ก็พยายามเดินเข้าไปหาสาระแก่นสาร ดังที่กล่าวมาแล้ว ตามที่ พระพุทธเจ้าที่ท่านได้ดำเนิน ตรัสไว้สอนไว้ สั่งไว้ให้ทำยังไงๆ ท่านให้ทำให้ง่ายที่สุดนะ ให้เผาศพของชาวพุทธนี่ พระพุทธเจ้าก็เผา ขนาดพระพุทธเจ้า ท่านยิ่งใหญ่นะ ไม่ใช่เล็กๆนะเผา เผาให้หมด เป็นฝุ่น เป็นขี้เถ้าไปเลย เผาไม่ให้เหลืออะไรไว้ แต่เสร็จแล้วทุกวันนี้ คนก็มาย้อนแย้ง ไม่เอาตามอย่างพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่เป็นลูกพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ว่าอย่างนั้นเถอะ แต่เสร็จแล้ว ก็ทำนอกรีตนอกรอย ไม่เผาซะ เอามันไว้อย่างนั้นแหละ ใส่โลงนั่น โลงเอาไว้ เหมือนกะหลายศาสนา เขาไม่เผา ที่ไม่เผา ก็เพราะว่าจะได้สิ่งนั่นเองไว้เพื่อหากิน อ้างเอาไว้หากิน เอาไว้เคารพบูชา ค่อยมาทำบุญ ทำทานอะไร ต่อๆไป ก็หมดไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรเหลือซาก ที่จะเอามาเป็นเครื่องหากิน นี่พูดกัน ตรงๆนะ ใครจะโกรธกันก็โกรธกันไปเถอะ คนโกรธก็บาปเองนะ อาตมาพูดนี่ อาตมาพูด อย่างจริงๆ พูดอย่างที่อย่างเข้าใจเลยว่า มันไม่เข้าท่าอะไรหรอก เก็บเอาไว้ก็ต้องมาเป็นภาระ นอกจาก เป็นภาระแล้ว ก็ยังไปหาเรื่องต่อ จะต้องมาคอยสวดบังสุกุล สวดนั่นสวดนี่ หาเงินนะ มาทำบุญ ทำทาน ทำโน่นทำนี่อะไรอยู่กับศพนั่นแหละ อยู่ยังงั้นแหละ ใครมาเคารพนับถือ ใครมาก็มากราบมาไหว้ แล้วก็เอาอะไรมาให้อยู่ยังงั้นแหละ คอยหารายได้ โดยเฉพาะ ผู้ที่เป็น ครูบาอาจารย์ เป็นพระ เป็นสงฆ์อะไรแล้ว ตายไปก็เอาไว้ยังงั้นแหละ เอาไว้เพื่อจะได้เรียกร้อง มาทำบุญ

ที่จริง มันเป็นเรื่องเครื่องอาลัยอาวรณ์ เป็นเหตุปัจจัยที่ยังเหลือรูปเหลือร่าง เหลือทรวดเหลือทรง เหลือตัว เหลือตน เหลืออะไรที่ทำให้เกิดสภาพที่มันไม่ดีไม่งาม เกิดสภาพที่เป็นภาระวุ่นวาย อาลัยอาวรณ์ เกิดกิเลสหลายๆอย่าง และเป็นที่ถ้านานๆไป ไม่เป็นที่น่ารัก มันยิ่งเป็นสิ่งที่น่าเกลียด น่าชัง นานๆไปนี่ ศพมันยิ่งเปื่อย ยิ่งเน่า ยิ่งเหม็น ไม่ได้ยิ่งน่าดูน่าชมอะไรหรอก

พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีพระปัญญาคุณสูงส่ง ท่านรู้อะไรไม่ควร ก็จัดแจงบอกกล่าว ให้เป็นจารีต ประเพณีเอาไว้ ท่านบอกให้เผาให้เร็วที่สุด ไม่ให้รอแม้กระทั่งญาติที่เดินทางไกล มายังไม่ถึง

นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้า ตรัสเอาไว้ขนาดนั้น พระสารีบุตรทูลถามว่า ศพนี่ เมื่อตายแล้ว ให้ทำอย่างไร พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ให้เผา สารีบุตร เผาให้เร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องให้รอ ไม่ต้องรอแม้แต่ญาติ ที่เดินทางไกลมา ยังไม่ถึง ท่านตรัสยังงี้นะ

ผู้ที่เข้าใจโดยปัญญา ก็เข้าใจเหตุผล เหตุผลหลายๆอย่าง ต่างๆนานา ก็เข้าใจ ผู้เข้าใจก็มากัน อธิบาย แจกแจงกันให้เข้าใจ พวกเราก็ต้องพยายามทำ อาตมาก็เลยนำพาทำกัน ทำกันอย่างง่ายๆ ทำกันอย่าง ไม่ต้องไปผลาญพร่า เปลืองเปล่าอะไรนะ มีโลงมีศพอะไรก็ใช้กันไป โลงศพเรานี่ โลงนี้ ใช้มาหลายคนแล้วนะ มาถึงเผาก็เอาศพออกเผา โลงเอาเก็บไว้ เอาไว้ใส่ต่อ ไม้ยิ่งหายากเดี๋ยวนี้อยู่ โลงนี่ไม่ใช่ไม้เล็กนะ ไม้แผ่นบางไม้แผ่นใหญ่นะ ไม่ใช่ไม้ต่อนะ โลงนี่ ไม้เป็นแผ่นเดียวเลยนะ ไม้ต้นโต เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้ว ไม้ก็หายากเต็มทีแล้วเปลืองโลง ไม้ ฟืนพอมีเผาก็ดีแล้ว แล้วไม้ที่ทำ โลงนี่ หายากด้วย และเราก็ใช้ให้ประหยัด และก็ไม่สูญเสียอะไร ได้ประโยชน์คุณค่า เผาไป ก็ให้เป็นขี้เถ้า ให้เรียบร้อยไป เราเผานี่ เราทำมาที่นี่ เรามีตัวอย่าง เรามีแบบ เราทำมา เผานี่ใช้เวลา ไม่เท่าไรหรอก ไม่กี่ชั่วโมงเกลี้ยง เรียบร้อย เก็บได้ ใครจะเอากระดูกเหลือกระดูก ไม่เอากระดูก ก็เผาเป็นขี้เถ้าหมดเลยๆ เสร็จเรียบร้อย เป็นขี้เถ้า เป็นด่าง เป็นธาตุดินเป็นอะไร ต่อมิอะไร หลายอย่าง ของศพนี่มีธาตุอยู่ในนั้น เป็นอะไรลงไปในดิน ก็มีประโยชน์มีคุณค่า หมุนเวียน ต่อไปแหละ พูดง่ายๆ ก็เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม กลับไปสู่ธาตุเดิม ก็กลับไปสู่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมอย่างเดิม คนนี่ ก็มาจากดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูป กอรปก่อขึ้นมา พอเสร็จแล้ว มันไม่ได้ทำ ประโยชน์อะไร ได้แล้ว มีแต่จะเน่าจะเหม็น จะผุ จะพังเป็นที่น่าเกลียดน่าชัง เราก็ใช้ความร้อน ใช้ไฟเผา แล้วมันก็ จะได้สลายตัวเร็ว เป็นกรรมวิธีชนิดหนึ่งเท่านั้น มันก็สลายออกไป ก็เลิกกันไป

ทีนี้ คนเราเกิดๆตายๆนี่ ศาสนาก็สอนไว้ละเอียดลออหมด เกิดมาแล้ว มีพฤติกรรมกาย วาจา ใจ มีกรรมกิริยากาย วาจา ใจ นี่แหละ คนเราเกิดมาจะได้ ได้ตรงกรรมกิริยากาย วาจา ใจได้ ตัวเรา ประกอบกาย วาจา ใจ กายกรรม วจีกรรมอันนี้ มโนกรรมที่เป็นกุศล ที่เป็นเรื่องดี สั่งสมความดี มีกายกรรมที่ดี เป็นกายกรรมที่สร้างสรร เสียสละ กายกรรมที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง วจีกรรม มโนกรรม เหมือนกัน นี่นะ สรุปง่ายๆสรุป เป็นเป้าหมายหลักๆ ทำแล้วอันนั้น จะเป็นกรรม คนเรานี่ เกิดมามีทรัพย์ หรือมีสมบัติที่สำคัญ คือกรรม ถ้าขยายกรรมออกไป คือเรื่องศรัทธา มีศรัทธา มีศีล มีจาคะ มีปัญญา ขยายจากกรรมก็ กรรมนั่นแหละ ศรัทธามันจะเกิดความเชื่อ ก็เชื่อจากที่เรามี ญาณปัญญา มีปัญญาเห็นและเข้าใจรู้ เชื่อ ถ้าเชื่อโดยที่ไม่มีปัญญา เชื่อดายๆไป ถึงแม้เชื่อไม่มี ปัญญา มันก็เป็นสิ่งหนึ่งนะ เกิดกรรมกิริยาในใจ ใจคนนี่เชื่อ มีอะไรน่าเชื่อหลงๆ ไปหลงเชื่อ ตามโลกเขา เชื่อว่าคนตายไปแล้ว ทำความรักกันไว้ดีๆ เหมือนอย่าง กามนิต วาสิฏฐี อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็มาเล่ากัน ตายแล้วนะ มีความรักผูกพันดีๆ กันจริงแล้ว เสร็จจะขึ้นไปสวรรค์ด้วยกัน ไปเกิด อยู่สระ ออกมาที่ดอกบัว เกิดในสวรรค์ จะไปเกิดร่วมกัน เล่ากันไป เขาก็เชื่อนะ เชื่อ นี่รักกันมากๆ นี่ก็จะไป เกิดร่วมกันที่สวรรค์ที่เขาก็ว่าเป็นภาคสวรรค์ไป ที่จริงจะไปในนรก ส่วนมาก ก็เชื่อ ว่าเกิด ในสวรรค์ เชื่องมงาย ไม่มีปัญญา ก็เชื่อกันไปบอกเล่ากัน หรือเรื่องอื่นๆ ใดๆก็แล้วแต่ เลอะเทอะ เยอะแยะ ที่เล่ากันแล้วๆก็ตายไป ตายแล้วจะไปเป็นนั่น จะไปเป็นนี่ ตายแล้วจะไป อย่างนั้น อย่างนี้ ไปสวรรค์ ไปนรก อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็เล่ากันไป ไม่มีปัญญาที่แท้จริง ไม่เห็นสัจธรรม เข้าใจตามที่เขาเล่าว่า เสร็จแล้ว ก็จำถ่ายทอดกันมา ดึกดำบรรพ์ ว่ากันมานานๆ มากมาย

พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เรื่องจริง แล้วเปิดเผยสวรรค์ เป็นนรกสวรรค์อยู่เหมือนกัน คำว่า นรก หมาย ความทุกข์ร้อน คำว่าสวรรค์ ก็หมายความว่าอยู่สบาย คำว่าสวรรค์ ก็หมายความว่าเป็นสุขเจริญ สวรรค์ เป็นความเจริญ และเป็นสุข จิตวิญญาณเป็นสวรรค์ นรก ไม่มีสถานที่ แต่ว่าสวรรค์ มันหมายถึง ความสูงๆ ความสูงเลยชี้ไปข้างบน ก็เลยไปนึกว่า ท้องฟ้าขึ้นไปบนโน่น นรกเป็นเรื่องต่ำ ก็เลยลงไปข้างล่าง ก็นึกว่านรกมันอยู่ใต้ดิน สวรรค์มันอยู่บนฟ้า มันก็เป็นความเผินน่าตื้นเขิน ง่ายๆ ไม่มี ที่ฟ้าไม่มีสวรรค์ ถ้ามีป่านนี้ ทะลุแหลกรานหมดแล้ว เครื่องบินจรวด มันวิ่งแหลกเลย ขนาด เครื่องบิน มันยังชนกันเลย ถ้าเป็นสวรรค์มันบนฟ้า มันอยู่ตรงไหนๆ มันคงทะลุ ทะลวง ไปหมดแล้ว เครื่องบินมันจะไปเห็นที่ไหน วิ่งทะลุทะลวงไปหมด สวรรค์แตกหมดแล้ว ตายหมดแล้ว ดินก็พรุนหมด ถ้ามันมีนรกอยู่ดิน เดี๋ยวนี้มันเจาะแหลกราน เจาะหาน้ำมงน้ำมัน เจาะทำบาดาล อะไรโอย เจาะแหลกราน เจาะทำรถไฟ รถยนต์อะไรก็ไม่รู้ เป็นอุโมงค์ทำรถยนต์รถไฟ รถอะไร วิ่งกันเต็ม กันไปหมด นรกก็พัง สวรรค์ก็แตกไปแล้ว ถ้ามันอยู่มีสถานที่

ความจริงแล้ว สวรรค์กะนรก นี่คือเราเรียกว่า ภพภูมิ ภพภูมิมันก็ไม่มีสถานที่ ภพภูมิก็คือ เป็นแดน ที่จิตวิญญาณเป็น จิตวิญญาณเป็นอยู่ที่ไหน สวรรค์อยู่ที่นั่น จิตวิญญาณอยู่ที่ไหน นรกอยู่ที่นั่น จิตวิญญาณนี้ บอกไม่ได้ว่าอยู่ที่ไหน บอกไม่ได้ จะไปจะมา ไม่มีใครไปรู้แจ้ง ไม่รู้ว่า มันจะไปอยู่ที่นั่น มาอยู่ที่นี่ อะไรไม่มีใครไปรู้อะไรได้นะ มีอย่างเดียวเท่านั้นแหละ บอกกันได้อย่างชัดเจนก็คือว่า เป็นอะไรละ เป็นผี เป็นเทวดา เรื่องสถานที่ไม่มีสถานที่ นรกสวรรค์ไม่มีสถานที่ บอกได้แต่ ความหมาย เท่านั้นว่า สวรรค์ก็สูง นรกก็ต่ำ แต่อย่าไปเข้าใจว่าสูงคือฟ้า สวรรค์ต้องอยู่บนฟ้า นรกก็คือความต่ำ ความเลว แล้วก็อยู่ใต้ดิน ไม่ใช่ อันนี้จงเข้าใจให้ได้เสียก่อน ไม่เช่นนั้นแล้ว ก็เข้าใจเพี้ยนๆ ผิดๆ นะ ไม่ได้อยู่ที่ไหน สถานที่ไม่มี สวรรค์ นรกไม่ได้ยึดติดสถานที่นะ

แต่สวรรค์นรกนั้น รู้ให้ชัดเถิด อยู่ที่จิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน เราก็บอกกันยากนะ พระพุทธเจ้าก็ตรัสไม่ได้ตายตัวเหมือนกัน เพราะว่ามันบอกไม่ได้ มันเป็นสิ่งหนึ่ง เหมือนพลังงาน ขณะนี้ พลังกระจายอยู่ทั่วนี่ไม่รู้อยู่ที่ไหน พลังงานเสียง พลังงานไฟฟ้า นี่คว้ามา ตรงนี้ ก็มีนี่ คว้ามาตรงนี่ก็มี คว้ามาตรงไหนก็มี เสียงคว้ามาตรงนี้ก่อน จะนึกว่าเสียง ดังอยู่ตรงนี้ คว้าเอาตรงนี้ มันอันเดียวกัน เอาวิทยุมาเปิดตรงนี้ ก็เสียงเดียวกัน เปิดตรงนี้ ก็เสียงเดียวกัน ไปเปิดตรงโน้นก็เสียงเดียวกัน ถ้าเสียงนี่มันยังมีกระแส มีพลังที่จะไปถึงนั่น ถึงนี่ได้ มันก็จะมีอยู่ ตรงนั้น ตรงนี้ ตรงไหนพร้อมกัน เอาเครื่องรับมาเปิดร้อยอัน ตรงๆนี้ๆ กว้างไกล ไปตรงโน้น ที่มันยังมี กระแสที่พลังที่มันไปถึงอยู่นะ พลังนี่ก็บอกแล้ว มันไม่ได้เป็นตัวตน และก็ไม่ใช่ คลื่น นี่แค่ พลังงาน แค่เสียง หรือแสงก็ตาม แสงนี่กระจาย ถ้ามันมีสภาพที่มันเป็น สภาพที่กระจาย ออกไปได้ เหมือน กะแสง กะเสียง ไม่มีอะไรต้าน ไม่มีอะไรดัน มันจะไป และมันไม่ใช่คลื่น และ มันไม่มี ตัวตนแท่งๆ ก้อนๆ ทะเลาะกันเกือบตาย นักวิทยาศาสตร์ เรื่องพวกนี้ นี่ขนาดพลังงาน ที่ยังไม่ละเอียดนัก และยิ่งวิญญาณละ ทีนี้ เลิกเลย ขนาดแค่เสียงนี่ ยังกำหนดนี่อะไร กำหนดอะไร ไม่ได้เลย และ ยิ่งพลังงาน ที่ละเอียดยิบ ขนาดวิญญาณแล้ว ไม่ต้องไปเดาเลย มันบอกไม่ได้ ด้วยภาษา

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า วิญญาณัง อนิทัสสนัง อนันตัง สัพพโต ปภัง วิญญาณนี่ วิญญาณัง อนิทัสสนัง บอกให้กันรู้ไม่ได้ มันเป็นยังไงอยู่ที่ไหน บอกให้กันรู้ยาก อนิทัสสนัง อนันตัง มันไม่รู้ ที่สิ้นสุดที่ไหน บอกกันไม่หวาดไม่ไหวนะ

จริงๆแล้ว มันไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ แต่มันอยู่ด้วยเหตุปัจจัยของกิเลสๆ นี่แหละทำให้เป็นตัวตน เรียกว่า อัตตา หรือสักกายะ หรืออาสวะ มันเป็นตัวตน กิเลสทำให้เป็น ความจริงแล้ว กิเลสมันไม่ใช่ จิตวิญญาณ กิเลสมันเป็นกิเลส มันเป็นตัวตน เกิดจิตวิญญาณบริสุทธิ์นั้น ไม่มีตัวตนหรอก ที่มันมีตัวตนอยู่ ถึงไม่ใช่จิตวิญญาณแท้ แต่มันมีกิเลส มันเป็นตัวหลัก มีกิเลสเข้าไปยึดถือไว้ มันจึงเป็นตัวตน

พระอรหันต์เจ้า เมื่อได้แล้ว ก็เข้าใจ อ๋อ ว่ามันไม่มีตัวตน อาศัยมันอยู่ ก็เป็นตัวตน เป็นสำรองไป ถ้าท่านปรินิพพาน แล้ววางทุกอย่าง ไม่ยึดไม่ถืออะไรทุกอย่าง มันก็สลาย มันก็ไม่มีตัวตนอะไร ความจริง มันไม่มีด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีก็คือตัวตน ของกิเลสนะ เพราะฉะนั้น คนเรานี่ไม่เข้าใจอะไรหลักๆ ต่างๆ ก็เลยไม่รู้ โดยเฉพาะ ไม่รู้จักกรรม ไม่เชื่อกรรม และก็ไม่รู้จัก สังสารวัฏ ไม่เชื่อสังสารวัฏ ไม่เชื่อว่า ตายแล้วยังจะต้องมี วิบากกรรม ยังจะต้องไม่สูญ ถ้าไม่ปฏิบัติธรรม ก็เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่ถึงเป็นพระอรหันต์ แล้วยังจะมีตัว ที่ยังไม่จบ เป็นวิบาก วิบากบาป วิบากบุญ ยังจะสืบทอดต่อเนื่องไปอีก ไม่เอาก็ไม่ได้ ของใครๆๆ ไม่เอา นี่บอกบาปฉัน ฉันเอาแต่บุญ ไม่ได้ เอาบุญ เอาบาปโยนทิ้ง เลือกเอาแต่บุญ บาปไม่เอา ไม่ คุณทำเป็นบุญ ก็เป็นบุญ คุณทำเป็นบาป ก็เป็นบาป ของคุณ ไม่เอาไม่ได้ โกงไม่ได้ ทำแล้วไม่ใช่ของฉัน ไม่ได้ ฉันทำต้องเป็นของฉัน ใครทำ ก็เป็นของคนนั้น โกหกไม่ได้ โกงไม่ได้ ไม่รับก็ไม่ได้ กรรมเป็นอันทำ ใครทำแล้ว เป็นของคนนั้น จะทำ น้อยหนึ่ง ก็เป็นน้อยหนึ่งของเรา ทำมาก ก็เป็นมากของเรา จะทำขนาดไหน ก็เป็นของเรา ขอให้ได้ทำ เข้าไปเถอะ กายกรรม ก็ตาม วจีกรรมก็ตาม มโนกรรมก็ตาม ทำลงไปแล้ว เป็นการสั่งสม เป็นวิบาก ของตนๆ เรียกว่า กัมมัสสโกมหิ กัมมัสกตา กรรมเป็นของของตน

ทุกวันนี้ ไม่สอนกรรมกัน สอนน้อย จะว่าไม่สอนก็ไม่ใช่ทีเดียว สอนเหมือนกันแต่สอนน้อย สอนอย่าง ยังงั้นแหละ สอนไม่เน้น สอนไม่ให้รู้ว่า มันสำคัญ กรรมนี่สำคัญ เกิดมานี่ เราจะมาสะสมวัตถุ หลงใหลว่า ทรัพย์ก็คือวัตถุ มีลาภ มียศ มีตำแหน่ง มีอำนาจ แล้วก็ไปหลงใหล แย่งชิง ทุจริต ก็ยังทำเลย ทุจริตกัน เพื่อที่จะแย่งลาภ แย่งยศ แย่งสรรเสริญ แย่งโลกียสุขอะไรกัน ไปแย่งกัน นึกว่า อย่างนั้น เป็นสิ่งที่น่าได้ ก็หลงกันอยู่ในโลก แต่แท้จริง ไปทำกรรมที่ชั่ว กรรม นี่คือการกระทำ แล้วนั่นแหละ เป็นทรัพย์ เป็นของติดตัวติดตน ไปทำชั่ว เพื่อจะได้ ของมาฉาบฉวย สมัยก่อนนี้ ไปทำชั่ว ไปปล้นเพื่อได้เงินมา หนี ปล้นสำเร็จได้เงินมา แต่การปล้นนี่ก็เป็นกรรมที่เลว การปล้นนี่ เป็นกรรมที่เป็นบาป ไม่ได้นะ ได้ด้วย ได้เงิน ก็ได้ไปเถอะ แต่ไได้ชั่วนั่นด้วย แต่ได้เงินมา นี่ไม่ได้ไป ด้วยหรอก จะไปปล้น จี้มาได้เท่าไหร่ก็ตาม ได้เงินก็ได้ไปยังงั้นแหละ แต่จริงๆ แล้ว ที่ได้ ติดจิตวิญญาณ ที่ได้สภาพวิบากต่อไปในผู้นั้นๆ มีตัวกรรมปล้นกรรมชั่วนั่นน่ะ ได้ไปอีกนาน เลยนะ ติดตัวไปอีกนานเลย ไอ้เงินอย่างดีก็ทิ้งไว้ในแผ่นดินนี้ ดีไม่ดีปล้นมานี่ ก็ใช้ อย่างฟุ่มเฟือยด้วย เดี๋ยวก็หมด เอามาใช้ก็ใช้อย่างไม่อะไร เพราะว่ามันปล้นมา มันได้ง่ายๆใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย ใช้อย่าง บาปๆก็ได้ เอามาบำเรอตนว่ามันง่ายๆ ได้มาก็มาบำเรอตน ทำให้กิเลสหนาขึ้นด้วยซ้ำ

แม้แต่ทำดี เราได้เงินมานะ ก็ได้เงิน แต่เงินนั้นไม่ใช่เป็นของที่เป็นทรัพย์ที่ถาวร สะสมทรัพย์ที่แท้จริง หรือ ว่าทรัพย์ที่สำคัญกับชีวิตเลย มันยิ่งไปทำชั่วมา ได้ทรัพย์ได้ลาภได้ยศมา มันยิ่งไม่ได้เรื่องใหญ่ เพราะไอ้สิ่งที่จะได้ไป ก็คือกรรมชั่ว ไปทำทุจริตกรรม ไปทำอกุศลกรรม แม้จะได้ยศชั้น จะได้ลาภ ได้อะไร ต่างๆ นานาสารพัดที่ว่า แต่ว่ามันอกุศลกรรมนะ เป็นกรรมชั่วนะ เป็นทุจริตกรรมนะ กรรมบาป กรรมเวร ถึงแม้จะได้เงิน ได้ทองมาหลัดๆ ได้มามากๆ ได้มากมายขนาดไหนก็ช่าง ยิ่งได้มาก ก็ยิ่งเป็นค่าที่เลวร้าย เป็นหนี้ที่เลวร้าย ให้แก่ตนเองต่อไป คนไม่เข้าใจกรรมอย่างนี้ ถึงกล้าทำทุจริต กล้าทำอกุศล เพื่อแลกในปัจจุบันนี้ อกุศลไปโกงเขา ไปทุจริตปล้นเขา แล้วได้เงินมา และเอาเงินมาใช้ ขอมันแค่นี้ ขอแค่นี้ แต่ไอ้สิ่งที่เราได้ เราได้ติดตัวไป บอกแล้ว มันเลวร้าย เขาไม่เชื่อ อย่าว่าแต่ไปปล้น ไปจี้เลย เราทำกรรมของเราไปฝึกหัดๆ ฝึกหัดทำกิริยากายกรรม หยาบๆ คายๆ มันก็เป็นกรรมติดไปนะ เคยตัวเคยชิน เรียกโดยภาษาว่าสันดาน นิสัย สันดาน ถ้าในด้านชั่ว เขาเรียกว่า สันดาน ถ้าด้านดี เขาเรียกว่าบารมี ติดตัวไปนี่ ฝึกตนนี่กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ฝึกให้ดี ฝึกดีมันมีบารมีทางกาย วาจา ใจ ถ้าด้านดี เรียกว่าบารมี กรรมที่กระทำ ถ้าด้านชั่ว เขาเรียก สันดาน ติดตัวไป ทั่วไปติดจิตวิญญาณนี่ ถ้าเป็นสิ่งที่พิเศษๆ ติดตัวมาตั้งแต่เกิด มาตั้งแต่เด็ก แต่เล็ก มา ก็ปรับปรุงนิดหน่อย แล้วก็ไปละ เขาเรียก พรสวรรค์ นะ

บางคนได้มา ติดตัวมาแต่ปางไหนก็ไม่รู้ เด็กๆมันก็แสดงออกได้แล้ว กายกรรมอย่างนั้น วจีกรรม อย่างนั้น ความสามารถพิเศษอย่างนั้นๆ เป็นพรสรรค์ ถ้าของดีสิ่งที่ดีก็ดีไป ถ้าพรสวรรค์ ทางอันธพาล ก็อันธพาลติดตัวเป็นอันธพาลแต่ชาติไหนไม่รู้ พ่อแม่ไม่เคยสอนเลย ไม่เคยเป็น ไม่เคย มันก็มีมาได้ มันเป็นของตน กรรมเป็นของๆตน มรดกกรรมทายาท เราเป็นทายาทของกรรม ของเราเอง เป็นมรดกของส่วนตัว ไม่ใช่ของพ่อของแม่หรอก กรรมเป็นมรดกของส่วนตัว ใครทำไว้ อย่างไร ก็เป็นมรดกของเรา ที่จะรับทอดไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เรื่องคนเราจะเกิดมา มีชีวิต และมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ถ้าเผื่อว่าไม่เข้าใจ เรื่องกรรมแล้ว จะไม่ค่อยเอาใจใส่ ปรับปรุง เรื่อง กรรม ชีวิตอาตมาถึงบอกว่า ชีวิตคือ กรรม ๓ ชีวิตคือ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม คือกรรม ๓ ชีวิตนี่ แล้วทีนี้ เราก็เรียนรู้กรรม ๓ ให้ดี กายกรรมที่เป็น สุจริต วจีกรรมเป็นที่เป็นสุจริต มโนกรรม ที่เป็นสุจริต เป็นอย่างไร เราฝึกเอา อบรมเอา เลิกอั้ยที่มัน ทุจริต ที่มันอกุศล ที่มันไม่ดี ไม่งาม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ทุจริต ต้องเลิก เราหัด เราอบรม เราฝึกฝน เราก็ได้ บอกแล้วว่า ได้เป็นในตัวเรานี่ ถ้าเป็นอบรมในสิ่งดี มันเป็นบารมี ถ้าอบรมได้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมดี มันก็เป็นบารมีติดตัว ถ้าสิ่งไม่ดีติดตัวไป ก็เรียกว่า สันดาน ดังที่กล่าวแล้ว ติดไปเมื่อไหร่ๆๆ ก็ไป กะเรา นี่ก็เป็นสิ่งที่เราต้องคำนึง เพราะฉะนั้น คนเราไม่รู้ว่า เราเกิดมามีชีวิตแล้วนี่ เราควรจะได้ ติดตัว

เกิดมาก็ไปแย่งลาภ แย่งยศ เสร็จแล้วก็ไปทุจริตขี้โกง บาปไปได้บาป บอกแล้วว่าได้บาป นั่นติดตัวไป มันน่าสังเวชจริงๆ ไม่ค่อยเข้าใจกัน พูดกันดีๆ ก็เข้าใจๆนะ แต่ไม่ค่อยเชื่อ เพราะว่าไม่เข้าใจลึกซึ้ง ไม่เข้าใจอย่างแท้จริง คนเราถ้าเข้าใจอย่างแท้จริง ลึกซึ้งแล้วก็เชื่อ ศรัทธา ศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ ในการเชื่อ มีกำลังจริงเลยนะ โอ๊ มันจะเชื่อมั่น เชื่อจริงๆเลย และมันไม่กล้าทำหรอก ยิ่งกำลัง ความเชื่อ ที่มันมีปัญญาว่า อั้ยนี่ มันเลว มันชั่ว เราจะไปทำไม ทำไปแล้ว ก็เรานั่นแหละ เป็นผู้ได้ เพราะกรรมเป็นของจริง กรรมมันก็จะตกเป็นของเรา แล้วมันก็จะเป็นมรดก เป็นของเรา จะไปทำ ทำไม

แม้มันจะมีกิเลสที่มันไปเคยไปชิน ไปหลงผิดก็ตาม เรามาทำความรู้ใน เห็นจริง อย่าไปหลงผิด แล้วถูกแล้ว ก็เรามารู้ตัวเรา ว่ายังมีกิเลส เป็นโลภะ จะเป็นโกรธอะไรก็ยังมีอยู่ รู้อาการของมัน แล้วก็ มาล้างมาเลิก สิ่งที่เป็นกรรมกิริยา ที่มันไม่เข้าท่า อย่างนี้ เป็นอาการน่าเลื่อมใส เป็นอาการที่เป็นไป เพื่อความโลภ เป็นอาการที่สั่งสมความโลภ สั่งสมความโกรธ สั่งสมความหลง เรียนรู้ให้จริง แล้วเราต้องเลิกให้มันจริงๆ หัดฝึกไม่ง่ายเลย กิเลสที่มันมีอยู่ในตัวเรานี่ มาฝึกอบรม เพื่อจะให้มัน เป็นคนดี ให้เลิกกายกรรม วจีกรรม จนกระทั่งถึงมโน ถึงจิตใจ ให้มันเลิกให้ได้ มันปล่อย ละชั่ว ประพฤติดี ดังพระพุทธเจ้าท่านสรุปเอาไว้ใน โอวาทปาติโมกข์ และชั่วที่ว่านี่ ก็เกิดจากกิเลสตัวโง่ ตัวอวิชชา ตัวไม่รู้จริง ทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น เราถึงกลับไป ต้องฝึกหัด อบรมไป จิตวิญญาณ ก็จะรู้ยิ่ง แล้วก็ยิ่งฉลาดรู้จักสัจจะ และก็ยิ่งทำได้ ทำในสิ่งที่ดี ที่ถูกต้องได้เรื่อยๆ เราก็ได้พัฒนา เกิดมาชีวิตก็ได้พัฒนา

แม้ที่สุด ได้ปฏิบัติธรรม ดีๆ แล้วเป็นขั้นโลกุตรธรรมสูงขึ้นไปๆ ก็จะเห็นจริง ชีวิตนี่ไม่เป็นไปที่จะ ต้องมา โลภโมโทสัน ได้เงินได้ทอง ได้ลาภได้ยศ ได้อะไรมากมาย ไม่จำเป็นเลย จะเห็นจริงๆเลยนะ เพราะไม่จำเป็นนี่ เพราะอาตมาพูดของตัวเองนะ พูดอย่างตัวเอง อาตมาเคยทำงานทำการ แย่งลาภ แย่งยศ อยู่ในโลก เหมือนอย่างคนโลกๆ เขาคิดเห็นทั่วๆกันไปทั้งนั้นแหละ ไปแย่งลาภ แย่งยศ แย่งสรรเสริญ อยากได้ สรรเสริญยกย่องชูเชิด อยากได้เงินเยอะ อยากจะได้ยศชั้น มีอำนาจ บาตรใหญ่ อะไรต่างๆ อยากจะได้ไปเสพโลกียสุข ก็เสพไปตามรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ได้โน่น ได้นี่ มาได้สุขสมใจ ก็เคยเป็นอย่างนี้มา พอมาปฏิบัติธรรม แล้วถึงได้รู้ได้เห็น ว่า มันไม่ต้องหรอก มันไม่ต้องไปมี ไปเป็นอย่างนั้นก็ได้ ไม่ต้องไปมียศ มีชั้นอย่างนั้น ก็ได้ในชีวิต ไม่ต้องมีเงินสักบาท ก็ได้ พิสูจน์จริง จะเห็นจริงว่า ไม่มีเงินสักบาทได้ นี่ วิเศษ

คนที่มีเงินหนักเข้ามากๆ เขาก็บอกวิเศษ คนมีเงินได้หลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสนล้าน ได้วิเศษ เอ้า มองในแง่โลก ก็ว่าวิเศษ เพราะกว่าจะหามาได้ ก็ต้องยากต้องเย็น ต้องแย่งต้องชิง ต้องเอาเปรียบ เอารัดเขามามากๆมายๆ ต้องมีความนึกคิด ต้องมีความสามารถในการที่จะไป หาทาง สะสมกอบโกย มาให้ได้มากๆ จะไปปล้นไปจี้เอามาทีเดียว ก็ไม่ได้ ถึงไปปล้นไปจี้มา ใครเขา ก็ไม่สรรเสริญ จะต้องหาวิธีการที่ทำยังไง จะซับซ้อน ดูดเอามาเป็นตัว ดูด ดูดๆ เก่งๆ ยิ่งกว่าไดรโว่ นะ ตัวไดรโว่ ตัวโตๆ เกือบเท่าโลกนั่นแหละหนอ ดูดมาให้มันมากๆ ดูดเงินดูดทอง ดูดมาให้ตัวเองนี่ มากมาก มีภาวะซับซ้อน วิธีการซับซ้อน มันก็เก่งเหมือนกันนะ แต่ไปดูดของเขามา ก็ต้องหาวิธี เอาเปรียบเอารัด เอามาแล้วก็ยังงั้นแหละ ก็ยิ่งมาทำให้ตัวเองนั่นแหละ ยิ่งเอาเงินเอาทองนั่น ไปสั่งสม ความอร่อย สั่งสมความเป็นโลกียะ ก็เป็นโลกียสุข บำเรอตน อยากได้อะไร ก็ตามใจตนได้ เพราะมีอำนาจเงิน นั่นแหละนะ อยากได้อะไร ก็เอาเงินไปเป็นอำนาจ จ่ายมันไป สมใจไปหมดเลย ตัวก็ยิ่งย่ามใจ ติดเป็นสันดาน ติดเป็นสัญชาตญาณติดไป

ทีนี้ ถ้าเผื่อว่าชาตินี้ รวย เอานะ อาตมาจะวิเคราะห์ตรงนี้ให้ฟัง ชาตินี้ ไปเอาเปรียบเอารัด วิธีการ ฉลาดนะ ซับซ้อนนะ ไปดูดเอาเปรียบเอารัดมาได้ มากๆๆ รวยๆใหญ่เลย การที่ไปเอาเปรียบ เอารัด เขามา เป็นบาป เป็นหนี้ ใช่ไหมๆ เสร็จแล้ว ได้มามากๆ รวยๆ ก็ใช้เงินนั่นนะ อยากได้อะไรละ ที่เป็นสุข ก็เอาเงินนั่นแหละ หว่านซื้อ หรือแลกเอาเงินนี่มันเป็นแก้วสารพัดนึก นี่เป็น ความร่ำรวย ก็ยิ่งได้มาสมใจ อยากได้อะไร ซื้อมาได้หมด สมใจ จิตวิญญาณก็ยิ่งย่ามใจ ยิ่งติดใหญ่ โอ๊ย ต้องได้ ถ้าไม่ได้ๆ ก็ฮึดฮัดๆ เพราะฉะนั้น ยิ่งอำนาจเงิน มันมีมาก ก็ยิ่งไม่ค่อยจะฮึดฮัด ถ้าไม่ได้ ก็ฮึดฮัด เอาเงินไป เพราะเงินมี อำนาจของเงิน อำนาจของอำนาจ พวกนี้มันมีซ้อน ก็ได้มาหมด จิตวิญญาณ ก็ยิ่งหนาไปด้วยกิเลส อัตตามานะ สมใจ ใครขัดไม่ได้ ฟังดีๆนะ หนึ่งเป็นหนี้ ที่ต้องไปหาเงินมา มากๆ ได้หนี้มามาก ได้บาปมามาก เพราะเอาเปรียบมามาก

๒. ได้มาแล้ว ก็เอามาบำเรอตน สมใจไปอีก ก็เป็นกิเลสไปอีก ชนิดหนึ่ง กิเลสได้มาบำเรอตน สมใจ อีกชนิดหนึ่ง ย่ามใจทีเดียว ยิ่งติดยิ่งยึด อย่างนี้สมใจไปอีก ฟังดูดีๆนะ ภัยของความรวย ภัยของคนรวย

เอ้า ทีนี้ อาตมาก็อธิบายต่อไป คนนี้ตาย ก็มีวิบากบาปใช่ไหม ก็ไปโกง ไปเอาเปรียบ ไปเอารัด ดูดมาเยอะ ก็มีวิบากบาป พอตายแล้วไปรับวิบากบาป คือนรก รวยชาตินี้ แต่มีนรกชาติหน้า พระพุทธเจ้า ถึงได้ตรัสว่า คนเรา ส่วนมากนะ ตายไปแล้ว ไม่ค่อยได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ได้เกิด บนสวรรค์อะไร มากมายหรอก ส่วนมากลงนรก เพราะมันทำยังงี้กัน จะทำมาก จะทำน้อย ก็ทำกัน ทั้งนั้นน่ะ เพราะมันไม่เข้าใจธรรมะ ใช่ไหม จะไปหาทางเอาเปรียบมาทั้งนั้นแหละ มากน้อย ก็เป็นนรก ทั้งนั้น ยิ่งเอาเปรียบมาก ก็ยิ่งเป็นนรกใหญ่นรกมาก เสร็จแล้วบอกแล้วว่า ตัวเองเป็น ก็ต้องเป็น นรกๆ แล้วตัวเองยิ่งจิตๆ ตัวเองยิ่งไปบำเรอตน ยิ่งกิเลสหนา ต้องการอะไร ต้องได้ดังใจ ถ้าไม่ได้ ก็ทุกข์ ก็อาละวาด อะไรต่ออะไร ทีนี้ ไปลงนรก ตัวจะไปได้อะไร ไปใช้หนี้เขา เป็นคนไม่มี ไอ้จิตตัวเอง ก็ยิ่งติดยึดว่าต้องได้ดังใจๆ แล้วไม่ได้ดังใจ เพราะไม่มีแล้วตอนนี้ ต้องไปใช้หนี้แล้ว กลายไปเป็นคนใช้หนี้ จะไปรวยอะไรละ นรกนั่นมันต้องใช้หนี้ แล้วตัวเอง ก็ยังมีตัวติดยึดว่าตัวเอง จะได้สมใจมากๆ คิดดูซิว่า คนนี้ทุกข์อีกเท่าไหร่ นี่แค่วิเคราะห์ให้เห็น ๒ ประเด็นเท่านั้น

คนอยากรวย แล้วได้รวยสมใจ แต่วิเคราะห์ให้เห็นประเด็นนี้นะ ว่าจะต้องไปใช้หนี้ และทุกข์ร้อน ซับซ้อนอีกเท่าไหร่ กี่ชาติยังไม่รู้เลย ถึงเมื่อไรจะรู้ตัว เมื่อไหร่จึงจะรู้สึกตัว เมื่อไหร่จะเกิดปัญญา ญาณ เมื่อไม่เกิดจิต มันก็ยึดถืออยู่อย่างนั้น ขนาดพวกเรา นี่พยายามรับฟังเทศน์ ทุกวันๆ ยังละ อัตตามานะ ยังไม่ค่อยได้เลย จะตามใจกู ตามใจกูๆ อยู่อย่างนั้นแหละ แล้วมีใครไปบอก เขาอยู่ใน นรก พระมาลัยนานๆ จะไปที จะไปโปรดในนรก ไม่มีได้ไปบอกหรอก จมอยู่อย่างนั้นน่ะ นานเท่านาน นะ ไม่รู้ตัว ทุกข์ร้อนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เหมือนกะคนที่ติดยึดอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมๆ และก็ทุกข์ อยู่อย่างนั้น ไม่ยอมๆ ไม่หยุด ยิ่งเห็นว่าคนเรามันโง่ๆ นี่แหละคือ ความโง่ของคน ไม่มีใครทำนะ ทำเอง โง่เอง ยึดเอง ติดเอง บ้าเอง ทุกข์ร้อนเอง

นั่งอยู่หน้าสลอนนี่อยู่นี่ แทบทั้งนั้น ฮึดๆ ฮัดๆ บ้าเอง กูจะเอายังงี้ ฟังก็เข้าใจนะ เอ๊ ทำไมมันวาง ไม่ได้ ทำไมมันเลิกไม่ได้ ก็มันเลิกไม่ได้ ก็เพราะว่า มันไม่เลิกเอง ก็เลิกมาเดี๋ยวนี้ซิ ทำกลับๆกัน ที่เรามันยึดเข้าไว้ ก็วางเสียซิ ก็เลิกมัน ก็ปล่อยมัน จะไปติดไปยึด แต่ว่ากิเลสมันหวงแหน มันไม่กล้าปล่อย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นแล้วมันเสียซิ กล้าอะไรก็กล้าได้นะ กล้าโง่ ยังกล้าเลย ทำไมกล้าฉลาด เพราะฉะนั้น กล้าปล่อยนี่ยาก มีแต่กล้าเอา กล้าได้ และได้ไอ้ขี้ กะโล้โท้ อะไรไม่รู้นะ เสร็จแล้วก็ไปทำให้ตัวเองทุกข์ นี่ แค่นี้อาตมาอธิบายให้ฟังว่า คนเรามันไม่รู้นี่ ทำอยู่ ในชาตินี้ ทำในกิริยากายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่ไม่เข้าใจ เสร็จแล้ว ตัวเองต้องไปรับบาป รับเวร รับกรรม รับภัยต่อเนื่องไปอีก บอกแล้ว ถ้าไม่เข้าใจสังสารวัฏ ไม่เข้าใจว่ามีวิบากชาตินี้ชาติหน้า ชาติโน้น ต่อไปแล้ว ก็คนมันไม่เลิก มันไม่ละหรอก ไม่ยอมหรอก ยิ่งไม่เห็นจริง มันยิ่งไม่เกิด ปัญญาญาณ ยิ่งไม่เชื่อ และทำอะไรละ คนเราขนาดพวกคุณ คนเชื่อๆนี่ ก็ยังทำไม่ค่อยได้ และไอ้ คนที่มันไม่เชื่อเลย แล้วก็ต้องไม่ไปพูด แล้วจะไปทำทำไม และคนที่ไม่ทำตามธรรมะ ไม่ทำตาม สัจธรรมนี่ เยอะมากมาย มากมาย ขนาดมาเรียนรู้แล้ว เข้าใจแล้ว พยายามอบรมฝึกฝนตนเอง ที่จะทำให้มันมากมาย เป็นสัจธรรม เป็นความดีงาม ก็ยังเห็นอยู่ ทุกคนรู้ดี พวกเรามาฝึกธรรมะนี่ มันไม่ง่าย เพราะฉะนั้น จึงน่าสังเวชมนุษย์โลก ไม่เข้าใจ ไม่รู้ แม้รู้แล้ว ก็ยังฝึกปรือทำให้แก่ตัวเอง ให้ดี ให้เจริญยาก และยิ่งไม่รู้ ไม่รู้เลย ก็ยิ่งไม่รู้อะไรเลย ก็ไม่ได้ทำอะไรกันทั้งนั้น

เพราะในช่วงชีวิตที่เราเกิดมาจะมีอายุยืนนานจนเท่าไหร่ๆ นี่ ต้องสำนึกให้มากว่า เรามีวันเวลา ที่เราจะต้องฝึกตน ประเดี๋ยวก็ตายไป ตายไปแล้ว ก็เดี๋ยวอย่างสมมุติอย่างเมื่อกี้ ไม่รู้ว่าจะไปลงนรก กี่ขุมๆ กี่ๆ นานเท่าไหร่ และยิ่งไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไรเลย ทำอะไรบ้าๆ บอๆ มีบาปมีเวรมีภัยมา มากมาย โอ้ มันยิ่งแย่เลย ตายอย่างไปแล้วก็ต้องจริงนะ เราไม่มีบุญ เราไม่มีกุศล เราไม่ได้สร้างกุศล แล้ว ตายแล้ว ก็ต้องไปบาปตามเวรที่แท้จริง เพราะฉะนั้น เตือนผู้อยู่ ตายแล้วฟังไม่รู้เรื่องแล้ว นั่นน่ะ ตายนั่นนะ เขามีธรรมเนียม ให้ไปเคาะโลงนั่นนะ พระจะเทศน์แล้วนะ เคาะโลงปุ๊กๆ เขารับฟัง รู้เรื่องเหรอ ตายแล้ว จิตวิญญาณก็ไม่มีแล้ว นี่หูก็มีแต่หูเปล่าๆแล้ว นั่นน่าไม่ได้ฟังอะไรหรอก ตายแล้วนะ วิญญาณไม่มีหู ไม่มีตา วิญญาณเวลาออกไปแล้ว ไม่มีขันธ์ ๕ เมื่อไม่มี ขันธ์ ๕ ก็ไม่มีทวาร ทวารหูก็แห้ง ไม่เกี่ยวกันแล้ว นอนนิ่ง ทวารหูก็อยู่ ทวารหูไม่มี ทวารตาก็ไม่รู้เรื่องนะ ทวารจมูก ทวารปาก ทวารกาย ไม่รับรู้สึก วิญญาณป่านนี้ จะไปจมภพยังไงๆ ก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกะ คนนอนฝันนี่ เราไม่รู้หรอกนะ เวลานอน ฝัน วิญญาณมันอยู่ในภพๆ อยู่ในภพ เพราะฉะนั้น หูก็ไม่ได้ยิน เหมือนเรานอนหลับ ตาเราก็ไม่เห็น หู จมูกอะไรก็ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้รู้อะไรทั้งนั้นแหละ เหมือนอยู่ในภพ ตายแล้วก็หลบไปตกภพอยู่อย่างนั้น หู ตา จมูก ลิ้น กาย ไม่ได้ใช้ ตายแล้ว ไม่มีใช้ มีแต่ภพของจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น เหมือนคนนอนหลับนี่ พูดให้ตายก็ไม่ได้ยิน ไม่ได้ยินหรอก เสร็จแล้ว เราไปนึกเอาเอง ถ้ายังงั้นวิญญาณก็มีหูของวิญญาณอีก ไม่มี หูของวิญญาณไม่มี ก็ทวารหู มันอยู่ที่นี่นา หูมีใบหู มีรูป มีเครื่องเคาะอะไร ไม่มีทวารหู ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก จะเป็น ทวารใน ที่อยู่ในภพ ก็ไปสมมุติเอาเอง ก็ไปอยู่ในภพนั่นแหละ

เหมือนกะเราฝัน เหมือนกะเรา เวลานอนหลับ มันก็เเหมือนเราได้ยิน มันก็เหมือนเราได้กลิ่น ได้รส ได้เห็นเหมือนกะอยู่ในภพ นั่นแหละ และเป็นของตน นึกอยู่ในภพของตนเองนะ แม้ว่าจะไปฝัน ไปพบกะคนนั่นคนนี่ ที่จริง ไม่ได้พบกัน ต่างคนต่างนอนหลับ แล้วฝันถึงกันนี่ ไม่พบกันหรอก ต่างคน ต่างอยู่ในภพของตนเอง นึกเอง คนนี้ฝันว่า ถึงคนนั้น คนนั้นอาจจะไปฝันถึงใครก็ไม่รู้ คนละคน คนละเรื่อง เวลาเดียวกัน คนละเรื่อง คนละเวลา ก็คนละเรื่อง ไม่เหมือนกันหรอก มันก็ คิดนึกไปเอง มันไม่ได้เป็นเรื่องที่ เป็นจริง เป็นจังอะไร คล้ายๆกัน แต่จริงๆมันลึกซึ้งกว่านั้น นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง เหมือนคนฝันก็ อยู่ในภพของตนเองนั่นแหละ ได้พูด ได้คุย ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้รส ได้อะไร อยู่ในฝัน ก็นึกว่าตัวเองได้พบกะคนนั่นคนนี่ ก็เปล่า ไม่ได้พบกับใครหรอก ฝันก็ เหมือนกับ คนนั้นคนนี้คนโน้นคนนี้ไม่มีไม่กับใคร ตัวใครก็ของตัวใคร ใครจะฝันใคร ใครจะนึก ใครจะคิด ใครจะปั้นอะไร ก็ปั้นของตัวเองไป คนละปั้นสองปั้น คนละเรื่องสองเรื่อง ของใครของมัน จะไปเที่ยวเนื่องกะใครก็ได้ แต่ว่าไม่ได้เกี่ยวจริง ของตัวเองปั้นเอง ไม่ได้เกี่ยวหรอก

มีอยู่จุดหนึ่ง ที่อาตมาเอามาบรรยาย เอามาบอกกันให้เข้าใจ หลงว่าวิญญาณไปโน่นมานี่ ไปหลอก กัน ไปหากัน แสดงตัวได้ ตายแล้วจะมีวิญญาณไปหลอก จะมีวิญญาณไปมาหากัน จะมีวิญญาณ ไปโน่นมานี่ อะไรนี่ มันไม่เป็นอย่างที่เดานั่นหรอก ไม่เป็น ขอยืนยัน ที่พบที่เห็นนั่น เป็นเรื่องอุปาทาน ทั้งนั้น เป็นเรื่องปั้นเอาเอง รู้สึกเอาเอง เป็นเอาเอง กลัวผีๆ มันหลอก นี่คุณเอาหนัง คุณนายลั่นทม มาฉาย เพื่อให้หายกลัวผี ดันผ่ากลับไปกลัวผีมากขึ้นไปอีก แหม ความนึกคิดของ คนไม่รู้ เขียนเรื่อง ออกมา แหม ลั่นทมก็มาพยาบาทอาฆาต ที่จริงก็มาพยาบาทจริง พยาบาทอยู่ในภพ ของตัวเอง แต่เขาก็แสดงออกเหมือนกันนะ ไปคว้าชีพ ชีพ ชีพ คว้าไม่ถูกหรอก เพราะตัวเอง บ้าอยู่คนเดียว น่ะ เรื่องจริงตัวเองบ้า และไม่ แสดงยังงั้น ไม่ได้มีรูปมีร่าง ให้ใครเห็นอย่างนั้นได้

เอาตรงนี้ ไขความตรงนี้ก่อน ถ้ามันเห็นได้อย่างหนังสุสานคนเป็น คุณนายลั่นทมนั่น คนจะต้อง เห็นกันหมด เพราะว่าคนนี่ตายกันเยอะ คู่รักตายจากกัน ลูกตายจากพ่อจากแม่ ก็รักกันใช่ไหม พ่อแม่ลูก ก็ต้องรักกัน ป้า ย่า ตา ยาย ปู่ อะไร ก็รักกัน ตายปุ๊บก็ต้องมาหากันได้หมด อาฆาตก็มา เพื่อที่จะมาล้างแค้น เหมือนกะคุณนายลั่นทมนี่ จะว่าไม่อาฆาตหรอก แต่แหม ไม่ได้หยุดเลยนะ แกล้งยังโน้น แกล้งยังนี้ จนกระทั่งเอาเข้ามานอนกะศพเน่าๆ ก็เอาเข้ามานอน เราก็ว่า ไม่อาฆาต แล้วนะ อะไรนี่ เขาก็สร้างเรื่องไปนะ แต่มันทำไม่ได้หรอก มันไม่เป็นจริง

ถ้าเป็นจริงแล้วนะ อย่างรักกันก็ต้องมาหากัน บ้านนี้หรือว่าคู่รักกันๆ ตายจากกัน มันอาจจะตายยังไง ก็แล้วแต่ อยู่กันดีๆ รักกันแล้วก็ตาย มันต้องอยากมาหากันคนตายนะ เพราะฉะนั้น ถ้ามันแสดง ตัวได้ ปรากฏตัวได้ มันก็มาหาทุกเจ้า มาหาทุกบ้าน มาหาทุกเรือนแหละ มาหาทุกคนแหละ และมาหา ทุกวิญญาณแหละ บ้านไหนมีคนตาย คนที่รักกัน ก็ต้องมาหากัน หรือคนที่โกรธแค้นกัน ยิ่งดีใหญ่เลย มาแกล้งใหญ่เลย คุณนายลั่นทมมาแกล้งน่า อ๋อ ก็แกล้งมันซิ ก็มันอาฆาตนี่ หนอ เอาให้หนำใจ มาแกล้ง ก็ตัวผู้นั้นไม่รู้ไม่เห็นกะเขาแล้ว เขาตายแล้วนี่ วิญญาณตายแล้ว ก็แกลัง ไอ้ตัวคนนั่น ได้ง่ายๆ เลย ก็โดนนะ ไอ้คู่อาฆาตมาดร้าย ก็ตาย ฆ่าแกงกันตาย ตั้งเท่าไหร่ ยิงกันตาย ฆ่ากันตาย มันก็ต้องโกรธแค้น เคืองอาฆาต มันก็มาเล่นงานคนเป็น ทุกรายไป เล่นได้มากได้น้อย ก็แล้วแต่จะมีฤทธิ์แรง สมมุติว่ามีฤทธิ์แรง มันก็เล่นงานกันทุกคนไป ใครจะไปกล้าฆ่าคนแล้วตะนี้ เดี๋ยวฆ่าเดี๋ยวมันตาย เดี๋ยวมันอาฆาต มาเล่นเราไม่ได้หรอก เดี๋ยวตายหรอกมันไม่กล้าหรอก แต่นี่เขาว่า ไม่กลัวกันหรอก จะกลัวกันอะไร มันฆ่ากันมาเท่าไหร่แล้ว ยิ่งไม่มีอุปาทาน ยิ่งไม่มีใหญ่ ไอ้คนที่มีอุปาทาน มันก็เคยมีหลอกๆหลอนๆ ก็ว่ามันมาหลอก แล้วนี่ไปฆ่าคนตายคู่อาฆาต เดี๋ยวคู่อาฆาต มาหลอกเรามาเป็นบ้าไปก็มี อุปาทานไม่จริง และคนรักคนนี้รัก คนรักตายจากกันแล้ว แล้วก็มา โอ๊ย ยังมีวิญญาณ มาอยู่อย่างโน้นอย่างนี้ ระลึกถึงกันอยู่ อะไรต่ออะไรอยู่

อาตมาวิเคราะห์ให้ฟังแล้ว ถ้ามันมาได้ มีจริงมันมากันทุกบ้านทุกเรือน ไม่ต้องเป็นอันหลับอันนอน กันแล้วหรอก แต่ความจริงมาไหม ไม่มา และอั้ยที่บอกว่า เห็นนั้นน่ะ จะอุปาทานบอกแล้ว มีไม่กี่ เจ้าหรอก พวกตาหลอกตาลวง บางทีก็ได้ เป็นกลิ่น บางทีก็ได้เป็นเสียงกุ๊กๆ กั๊กๆ ใช่แล้ว เสียงหมู เสียงแมวอะไรก็ไม่รู้ ใช่แล้ว มันอุปาทานทั้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องจริง ฟังให้ดีๆ คิดให้ดีๆ ถ้าเรื่องจริง มันเป็น ถ้ามันมาได้ มันมาหากันทุกบ้าน บอกแล้วมันมาทุกราย นี่แหละเป็นเรื่องพิสูจน์ อาตมาหา เหตุผล จะเอาเหตุผลอะไรนะมาชักมาพูด มายกตัวอย่างให้พวกเรายืนยันได้ อาตมามองเห็นมุมนี้ อธิบายได้นี่ อันนี้อธิบายอยู่นี่ เข้าใจไหมๆ ถ้าใครเข้าใจจริงๆ แล้ว โอ๋ เลิกกลัวผีกันเลย ไม่ต้องกลัว หรอกผี ผีนอกตัวมันไม่มาหรอก แต่ผีในตัว นี่ซิของจริง ผีก็คือกิเลส โลภ โกรธ หลงนั่นนะ ผีคุณนาย ลั่นทม มันอาฆาตโกรธ ชังเขานั่นนะ หรือรัก โอ๋ยรักชีพ ไม่อยากจากไป ปรารถนา ทั้งๆที่มันชั่ว แสนชั่ว นายชีพยังรักมันอยู่ได้ แหม งมงาย คนที่งมงายก็งมงายด้วยกันอย่างนี้นะหลงใหล เลอะเทอะ

เอามาให้ดูให้เห็นเหตุเห็นผลบ้างว่า ไอ้เรื่องเลอะๆเทอะๆอย่างนี้แหละ คนหรือวิญญาณนี่โง่ๆเง่าๆ มันเป็นอย่างนี้ สุสานคนเป็น เรื่องจริงๆคนเป็นๆนี่แหละ เป็นสุสานชั่วๆเลวๆ ทำชั่วๆอยู่ ไอ้ตาย ไปแล้ว มันก็เป็นอย่างนั้นนะ ทั้งคุณนายลั่นทม ทั้งรสสุคนธ์ ทั้งนายชีพ อยู่อย่างนั้นแหละ ด้วยอารมณ์ โลภโกรธหลง เละอยู่อย่างนั้นแหละ นั่นแหละสุสานคนเป็นคนตาย อยู่ในนั่น หมดแหละ และก็หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักเรื่องว่าจะแก้ไขอย่างไร แต่หนังเขาไม่มีทางออก เขาไม่มีทางแก้ไข เขาก็ได้แต่บอกไปอย่างนั้นแหละ เห็นเป็นเรื่องก็ให้เห็นไปอย่างนั้นแหละ เรื่องราว ไปตามอำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลงไป ราคะ โทสะ โมหะเป็นอยู่อย่างนั้นแหละ ดูแล้ว ก็ไม่น่าเกิดมาเป็นมนุษย์เลย คุณเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นอย่างนั้น เกิดมาอย่างนั้น เกิดมาทำไม เกิดมาอย่างรสสุคนธ์ เกิดมาอย่างนายชีพเอาไหม ไม่เอา ระวังจะเป็นเถอะ ไอ้จะไม่เอานี่ก็ต้องฝึก ล้างกิเลสเราจริงๆ ถึงจะตอบได้ว่าไม่เอา ถ้าไม่ฝึกไม่เอา แต่เราก็ยังมีกิเลสอย่างนี้อยู่ คุณก็ต้องเอา คุณก็ต้องเป็น ถ้าไม่ล้างไม่ละ ไม่มีใครล้างให้นะ พระพุทธเจ้าอยู่ที่นี่ทั้งองค์ อยู่ทั้ง ๕ องค์ ยังทำให้ คุณออก ไม่ได้เลย ถ้าคุณไม่ล้างเองไม่ละเอง อย่าว่าแต่อาตมาเลย ยิ่งโถ ไม่ได้ธุลี พระพุทธเจ้า จะมานั่งล้างให้คุณ ละให้คุณ ไม่ได้หรอก ได้แต่บอก ได้แต่แนะนำ ให้ความเข้าใจ ชัดเจน เท่านี้แหละนะ เพราะฉะนั้น เกิดมาอย่าไปเป็นเลย อย่างคนโลกนี่

เอาหนังมาให้ดู แต่ละเรื่อง เรื่องราวอะไร ส่วนมากนั่นนะ จะเกิดอริยญาณ เกิดญาณเกิดปัญญา เห็น อย่างฉลาดอย่างประเสริฐ มันมีแต่ทุกข์ มีแต่เรื่องเลวร้าย มันมีแต่อำนาจของความโลภ ความโกรธ ความหลง อำนาจของราคะ โทสะ โมหะทั้งนั้น พาเป็นพาไปให้เกิดเรื่องเกิดราว มีเหตุ ปัจจัย มีอิทัปปัจจยตา เพราะกิเลสโกรธอย่างนี้ เพราะ ราคะอย่างนี้ เพราะอาฆาตอย่างนี้ เพราะแก้แค้น อย่างนี้ๆ เพราะมันถึงไปอย่างนั้น กี่เรื่องๆ จะเอามาให้ดู อีกกี่หมื่นเรื่อง มันก็มีแต่ อย่างนั้น มันไม่รู้เรื่อง เรายังไม่ไม่ได้สร้างหนังเอง หนังที่จะ ไปมี ทางออกความประพฤติดีๆก็ยังไม่มี ถ้าหนังสร้างแต่ดีๆๆ ไม่มีบทบู๊ ไม่มีบทร้าย บางคน มันก็ไม่ค่อยมัน มันก็ไม่ค่อยดูหรอก หนักเข้า ดูของเขาไปนะดีแล้ว ดูไปแล้วก็ต้องศึกษา มันมีดีผสมอยู่บ้าง ทางออกเพื่อประพฤติที่จะแก้ไข ให้ดีขึ้นบ้างก็มี แต่ส่วนมาก มันเป็นปุถุชน ส่วนมาก มันเป็นเรื่องเลวร้าย เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดี

เพราะฉะนั้น ตัวอย่างส่วนใหญ่ก็มีแต่ไม่ดีๆเสียเยอะบางคนก็เอาหนังอะไรมาให้ดูก็ไม่รู้ เอ้า ก็หนังนะ มันก็มีเรื่องไม่ดีมาให้เราดูตัวอย่างนั่นแหละ เราเป็นอย่างนั้นบ้างมั้ยเล่า เป็นมากเป็นน้อย ก็มาเทียบเคียงเอาซิ และเราก็ได้เข้าใจว่า อ๋อ บางทีมันซับซ้อนอย่างนี้ เราไม่รู้ว่า มันออกมาอย่างนี้ เพราะกิเลสตัวไหน มันซ่อนเชิงมาให้เห็นอย่างนี้ เห็นอทัปปัจยตา เพราะเหตุนี่ ปัจจัยนี่ มันจึงมา เป็นอย่างนี้ มีเหตุปัจจัยอย่างนี้ มันจึงมาเป็นอย่างนี้

ดูให้เข้าใจ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ใช้ชีวิต ถ้าใช้ชีวิตด้วยความหลง ด้วยอำนาจของโลภโกรธหลง มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ตายเปล่า ชาติหนึ่ง มา ก็แต่หนี้เป็นสิน มีแต่บาปแต่เวร ก่อแต่ทุจริต ก่อแต่อกุศลกรรม ให้แก่ตัวเอง และหลงผิด อย่างที่ ยกตัวอย่าง เพราะอยากได้เปรียบ ไปอยากได้ สมใจอะไร ไม่เข้าเรื่องไม่เข้าราวอะไร หัด อย่าไปให้มันมีอะไร โลภโมโทสันให้แก่ตัวเองเลย พยายาม ฝึกอด ฝึกทน หัดอด หัดทน พยายามละล้าง จนกระทั่ง รู้ชีวิต เออ ชีวิตเรานี่ไม่ต้องไปโลภโมโทสัน ไม่ต้องไปเอาเปรียบเอารัด ไม่จำเป็นที่จะต้อง มาบำเรอตนอะไร มีแต่สร้างสรร เสียสละ จะมีความชำนาญ ความสามารถอะไรมากมายทำ ได้ทำเสียสละอะไร ได้มากมายเป็นบุญ เป็นกุศล มีเป็นคุณค่าทำ

ถ้าคนเราเกิดมาเข้าใจอย่างนี้แล้วทำอย่างมีกันอยู่มากคนเยอะแยะๆ นี่ มีแต่คนเข้าใจอย่างนี้ เป็นสัจจะ ต่างคนต่างรู้จักบุญรู้จักทางบุญ โอ๋ เราต้องสร้างสรรเสียสละ เราไม่ต้องเห็นแก่ตัว เกื้อกูล เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่เฟือฟายผู้อื่น รับรอง อุดมสมบูรณ์อยู่เย็นเป็นสุข ไม่เชื่อใช่ไหม ฮะ เชื่อ ทำไม หลอกง่าย นักละ ดูมานานแล้ว กี่ร้อยปีแล้ว ไอ้ที่ว่านานนะ นั่นหรือนาน นึกว่าดูมาหลายร้อยปีแล้ว บอกว่านาน เพิ่งดูกัน ๔-๕ ปี แต่ก็คงเถียงไม่ได้หรอก เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไรหรอก มันเป็นเรื่องชัดเจน เป็นเรื่องลึกซึ้งหน่อยเท่านั้นแหละ พยายามตั้งใจ มองมุมมองสภาพให้เห็นว่า นี่แหละ ทางของความประเสริฐมนุษย์ทางบุญของมนุษย์ และปุถุชนในโลก มันก็เป็นอย่างนั้น ถ้ามาเป็นโลกุตรบุคคล หรือคนอีกโลกหนึ่ง ที่ พระพุทธเจ้าท่านพาเป็น คนที่เห็นสาระสัจจะที่แท้ เพราะฉะนั้น ระวัง ยังไม่ทันตายนี่ดีแล้ว ถ้าตายไปแล้วนี่แก้ไขตัวเองอะไรไม่ได้ และไปหลงอย่างนี้ นั่นเขาบอกไว้ พ่อผมตายเพราะสูบบุหรี่มาก และ เป็นมะเร็งที่ปอด โถตัวทำเอง ก็ยิ่งจะแย่ ก็ยิ่งไม่เข้าท่า เพราะฉะนั้น เราก็รู้ เราต้องเลิกละเว้น

อย่าไปหาทางนั้นเลย ทุกข์ทรมาน และก็ ไม่ได้เรื่อง ได้ราวอะไร แต่มันก็หลงใช่ไหม สูบบุหรี่นึกว่า อร่อย นึกว่าเก๋ว่าเท่ อะไรก็แล้วแต่ ไปทำ ไอ้โน่นไอ้นี่อะไรนานาสารพัด ที่อาตมาแจกแจง ก็นึกว่า มันดิบมันดีอะไร เห็นความถูกต้อง เห็นความดีงาม เห็นสิ่งที่เป็นสาระสัจจะให้จริง ให้แต่ละชีวิตๆ แต่ละเวลา เราพยายามใช้แรงงานกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเรา ให้มันเป็นคุณค่า ประโยชน์ แก่ตน แก่ผู้อื่น บอกแล้วว่า ถ้าเราทำแก่ตนนี่ คือเราเป็นคนสร้างสรร เสียสละ ละกิเลส ถ้าเราเป็นคน ที่สร้างสรรเสียสละ ละกิเลสของเราด้วย คนอื่นเขาก็จะได้รับประโยชน์ ไปพร้อมกัน เราสร้าง เสียสละ เราไม่ใช่สร้างมาเพื่อบำเรอตน ไม่ใช่สร้างมาเพื่อที่จะเอามาให้คุณ แล้วคุณก็ซื้อ มาแพงๆ คุณอยากได้ไหม แพงนะ ที่อื่นไม่มี อันนี้วิเศษนะ ทุนมันแค่สิบแค่ร้อย เอามาสักพันหมื่น ไม่เอาเหรอ ไม่เอาไม่ให้ อยากได้ไหม อยากได้อยู่ ยั่วยุให้อยากได้ด้วย อยากได้มา แลกแพงๆ นี่โลก เขาก็ทำ กันอยู่ อย่างนั้น ซึ่งเราเข้าใจแล้ว อยากได้หรือว่าเรา สร้างให้เขาได้สร้างไปซิ ถ้ามันเป็น ประโยชน์ คุณค่าต่อผู้อื่นก็ให้เขาไป เราสร้างอีก ได้สร้างขึ้นมา

บางคนนี่สร้างเป็นนะ อย่างโลกๆนี่สร้างมากไม่ได้ เดี๋ยวราคาตก ค่อยๆสร้าง ทีละอัน สองอัน สร้างหลายอัน ราคามันตก มันมีมาก แล้วมันเฟ้อ คิดไปโน่น เพราะฉะนั้น อย่าไปสร้างเยอะเลย สร้างทีละน้อย หรือแม้มันมีมากๆๆ เอาไปเผาทิ้ง เหลือน้อยๆ มันจะได้ราคาแพงๆ นี่นักเศรษฐศาสตร์ ขี้หมาพวกนี้บ้าๆบอๆนะ นี่โลกของเขาที่ไม่เข้าใจสัจจะ แล้วตัวเองก็ไม่ได้ดิบ ได้ดีอะไร ขี้เหนียวขี้หวงขี้แหนติดตัว ไปเอาเปรียบเอารัด หาทางเอาเปรียบเอารัดเป็นเชิงกล เอาเปรียบ แทนที่จะได้บุญต่อ มันมีมากก็ดีแล้ว น้ำตาลมันมากเอาไปทิ้งทะเลเสียบ้าง ราคามันจะได้ ไม่ตก ไก่มันมากไอ้ตอนนั้น โอ้โฮ ฟังแล้วน่าสังเวช ไก่มันเยอะ มีอยู่ยุคหนึ่ง ใครนะขนลูกไก่ ไปทิ้งทะเล เจ้าพระคุณ ขนลูกไก่ไปทิ้งทะเล โยนทะเลให้มันตายไป ไก่ คิดดูเถอะคนเรา มันอำมหิต โหดร้าย เห็นแก่ตัวขนาดไหน โอ้ ขนาดเอาไก่มาค้ามาขายเอาไปแกงกิน มันก็บาป ก็พอแล้วๆ อันนี้ไม่ เอาไปทิ้งทะเลมันดื้อๆ เพื่อจะให้คนนี้ซื้อกันแพงๆ กระเบียดกระเสียรมากขึ้น มันใจดำอำมหิต มันดูซิคน... คนเราคิดดู

นี่ถ้าเผื่อว่าเราศึกษาสัจรรมแล้วเราจะเห็นมุมที่เรา แต่ก่อนนี่เราไม่คิด เราคิดไม่ออก และเราก็มองมุม ไม่ออก มันเหมือนคนโง่ แต่เราก็ไม่รู้ว่าตัวเราโง่หรอกนะ มาฟังอย่างนี้แล้วจะเข้าใจได้ โอ มันก็ไม่ยาก อะไรมากมายหรอก นะ แต่ทำไมเราถึงไม่ฉลาด และยังไปมีความเข้าใจเชื่อมั่นถืออย่างเดิมๆ อย่างที่ โลกๆ เอาไปเป็นหนี้เป็นบาปเป็นเวร พอเข้าใจแล้วเราก็มา เออ จริงๆนี่ เออ เลิกละมา ตั้งหลายอย่าง เรารู้ชัดง่ายๆ และเราก็เลิกมาได้ง่ายๆ หลายๆอย่าง เห็นชัดๆ โอ๊ อันนี้อย่าไปทำเลย ยิ่งเรามาลด ความติดความยึด ความเสพ เราติดเราเสพ เรานึกว่ามันอร่อย มันเป็นชีวิตชีวา มาล้างๆออกได้แล้ว เราจึงจะต้องไม่บำเรอตน ไม่ต้องไปเปลือง ไม่ต้องเสพไอ้โน่นไอ้นี่ตามที่เราเคยติดเคยยึด พอล้าง ความติด ความเสพความยึดอะไรพวกนี้ได้ เราก็ยิ่งไม่เป็นภาระ ก็เอาแต่สิ่งสำคัญ กินพอได้อาหาร มายังขันธ์ เสื้อผ้านุ่งห่มพอกันแดด กันร้อนกันหนาวกันแมลงสัตว์กัดต่อย กันอุจาดบ้าง ที่อยู่ที่พัก อาศัย ก็เอาที่พอเป็นพอไป พอใช้งาน พออาศัยได้

พวกเรานี่อยู่กันมากคน มันไม่แปลกอะไร นอนไปซิที่นอนเยอะแยะไป นอนตรงไหนก็ได้ สะอาด สะอ้านดี พอได้อยู่นี่ นอนที่ไหนก็ได้ มีที่นอนอีกเยอะนี่ พอเวลาเราได้พิสูจน์กัน พอเวลาหน้างาน คนมากันเป็นพันๆ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร เพราะนอนเอือกไปหมดนี่ ตามต้นหมากรากไม้ ใต้กิ่ง ตรงโน้นตรงนี้ ก็นอนกันได้ไม่เห็นเป็นไร นอนหลับพอให้พักผ่อนตื่นเช้าขึ้นมา ก็ทำกิจทำงาน ทำการต่อ ที่หลับที่นอนที่พักที่อาศัย ยารักษาโรคที่เป็นปัจจัยสำคัญ เราก็สร้าง เราก็พออาศัย นอกนั้น ก็เครื่องอุปกรณ์เครื่องใช้เครื่องบริโภค เครื่องอุปโภคเครื่องอะไร จะมาสร้างมาสรร อะไรนี่ ก็มี พอเป็นพอไป เครื่องทุ่นแรงโน่นนี่คิดกันขึ้นมา ก็สร้างก็ทำกันขึ้นมา เราเข้าใจอย่างนี้ เราจะเจริญต่อไป

อาตมาไม่กลัวนะพวกเรานี่ มีคนอย่างนี้ เข้าใจกันแล้ว ช่างเขาก็ทำของเขาไป อะไรมีเครื่องทุ่นแรง เครื่องใช้อะไร ซื้อได้ก็ซื้อ เราทำไม่ไหวไอ้ที่ทำได้ ไม่ต้องซื้อ ทุ่นเงินทุ่นทองทุ่นทุนบ้างก็เอา ทำเอาเอง อะไรหลายอย่างนี้ เป็นต้น เพื่อที จะได้อยู่สร้างสรรไป นี่เราสร้างสรรไป ใช้เวลาไม่กี่ปี และคนก็ยัง ไม่มาก ทำขนาดนี้ ต่อไป ยิ่งมีคนเข้าใจอย่างนี้ บอกแล้วว่าแรงงานจะมีมากขึ้น ความสามารถ ของเรา เราเข้าใจ มีความสามารถ มีความรู้มากๆ มันไม่ได้ตกต่ำอะไรนี่ ยิ่งรู้มากๆ ความสามารถ มากๆ ก็สร้างสรรมากๆ แต่ไม่ได้ไปเอาเปรียบเอารัดใคร มีแต่สร้างขึ้นมา แล้วเอื้อเฟื้อ แจกจ่าย เกื้อกูลผู้อื่น ให้ผู้อื่นได้รับได้ใช้ ได้อาศัย ได้พึ่งพาต่อ ไป มันยิ่งอุดมสมบูรณ์ มันยิ่งดีใหญ่ เราเข้าใจ อย่างนี้ แล้วก็ทำตรงตามที่เราเข้าใจ นี่แหละ เพราะฉะนั้น เกิดมายังไม่ตาย เราก็จะทำ ความเข้าใจ พวกนี้ชัด เราก็จะทำตรงตามที่เราเข้าใจนี่แหละ เพราะฉะนั้น เกิดมายังไม่ตาย เราก็จะทำ ความเข้าใจ พวกนี้ให้ชัด แล้วก็จะต้องฝึกหัดอบรม ล้างความเห็นแก่ตัว ล้างความขี้เกียจ ล้างความ ไม่อดไม่ทน เป็นคนเหยาะแหยะจับจด ล้างให้เป็นคน อดทนแข็งแรง สร้างสรร มีความขวนขวาย มีใจ มีจิตวิญญาณ ที่มีปัญญา เห็นชัดว่าอะไร ที่ดีที่ควรแล้ว ก็มีกำลังแห่งความเพียร กำลังแห่ง ความพยายาม กำลังแห่งความขวนขวาย มีอีกมากมาย แข็งแรง

พอเรานึกจะขยัน มันก็ขยัน ได้ทันที ไม่มีอะไรมาต้าน ไม่มีอะไรมาฉุดมารั้ง ขยันขมีขมันแคล่วคล่อง ว่องไว ชำนาญ สร้างสรร แล้วไม่เห็นแก่ตัวด้วย ไม่ไปเอาเปรียบ เอารัดใครอีกด้วย มีแต่เกื้อกูล สร้างขึ้นมา ก็แบ่งแจกกันไป ก็แบ่งกันใช้ แบ่งกันกิน ทำขึ้นไปนี่ มีมากคนเท่าไหร่ๆๆ สิ่งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นไป เรื่อยๆ แล้วคิดดูซิ คนกลุ่มนี้ชนหมู่นี้ มันจะยาก จะจนไหม โยมจันทร์แดง จะยาก จะจนไหม ไม่จนเหรอ ยิ่งเราเป็นคน กินน้อยใช้น้อย ไม่เปลือง ไม่ผลาญ แต่สร้าง ทำได้มากๆ มันก็ยิ่งมีส่วนเกิน มาก เหลือมากๆ และเราก็รวมกันด้วย และเราก็ไม่ โลภโมโมสัน เอาไว้เป็นของตัว ไม่ได้เอาไว้เพื่อค้า เพื่อขายให้แก่ ตัวเองคืน มีแต่เอาไปรวมๆกันไว้ ช่วยกันแลก ช่วยกันจำหน่าย ช่วยกันเผยแพร่ ช่วยกันไป ให้คนที่เขา ไม่สามารถ หรือสามารถน้อย หรือว่ายากจนอะไร ในเชิง ที่ควรได้อะไร ก็แจกกันไป มันก็เป็นประโยชน์ คุณค่า เป็นบุญซับซ้อน กระจายไป ไม่ต้องสะสมอะไร เอาไว้หรอก ไม่ต้องกลัวเพราะว่าทุกวัน ตื่นนอนขึ้นมา มีแรงงาน สร้างสรร ได้ต่อทุกวัน แล้วสร้างสรร ไม่ได้หยุด มันจะไปหมดอะไร ไม่หมด มันเกิดได้ เพราะน้ำมือเรา เกิดได้ เพราะเราไม่ได้เป็นคน งอมือ งอเท้า เกิดได้เพราะเราทำงาน อยู่ทุกวัน คนนั้นทำ คนนี้ทำ ช่วยกัน ไม่เกี่ยงไม่งอน ต่างก็ขยัน หมั่นเพียรกัน มันจะจนอะไร แล้วยิ่งเรามีปริญญาความรู้ด้วย ดินเราก็จะพยายามสร้าง ให้ดินงาม ดินอุดมสมบูรณ์ และเราก็อยู่ บนดินอุดมสมบูรณ์นี่แหละ ในโลกนี้ เขาให้สิทธิ์ด้วยว่านะ สิทธิเป็น เจ้าของๆเรา ก็อยู่มัน มันก็จะอุดมสมบูรณ์ สร้างของมัน ดินงาม น้ำใส ไม้ร่ม ลมพริ้ว วิวสวย รวยน้ำใจ มีไฟทำงานโอ๊ เบิกบานในธรรม ซึ้งกรรมซึ้งเวร ยิ่งเจริญงอกงามเลย

มาถึงวันนี้อาตมาว่าอาตมาได้สาธยายแล้วก็ให้คุณพิสูจน์กัน พวกคุณก็พากันพิสูจน์ พากันกระทำ พากันอบรม ฝึกฝนมา ได้หมู่ได้กลุ่ม สิ่งที่อาตมานำมาพูดนี่ อาตมายืนยันว่าเป็นของจริง เป็นเรื่อง จริง มีได้จริงๆ เป็นไปได้ คนที่ทำงานฟรีนี่มันเป็นไปได้ ทำงานแล้ว ไม่เอาเงินเดือน หรือทำงานแล้ วก็ไม่หวงไว้ สร้างขึ้นมาแล้วก็กล้าที่จะแจกให้คนอื่นๆ แล้วเราก็สบายใจ ไปใช้ให้คนอื่น แล้วก็ยัง หวงอยู่ ให้คนอื่นแล้วเอายังจะไปคอยทวงบุญทวงคุณเขาอยู่ ไม่ต้องทวงบุญ ทวงคุณเขาให้ไป ให้ๆเป็นให้ คนไหนสมควรให้เราก็มีปัญญาด้วยมีปัญญาแจกด้วย ไม่ใช่แจกเละๆ แจกไม่มีที่หมาย มีปัญญาแจก มีปัญญาเกื้อกูลอะไรอย่างนี้เป็นต้น และเราก็ได้ทำการอย่างนี้จริงๆ นี้เกิดขึ้นมาจริงๆ ใจของคุณ อ่านใจของคุณ ฝึกฝนตนเองขึ้นไปจริงๆ เมื่อเราทำคุณค่า เราทำความดีมาถึงวันนี้ มีรูปมีร่าง มีอะไร ต่ออะไรของมันขนาดนี้ ชีวิตคุณก็มีบุญๆๆ ต่อไป สะสมได้แต่บุญ ใครทำก็ใครได้ ใครทำมากก็ได้มาก ใครทำน้อยก็ได้น้อย ชัดเจนจริงจัง

คนรู้ความจริงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนที่เห็นจริงเห็นจังอยู่แน่นอนมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงหรอก รู้ว่านี่คือบุญ รู้นี่คือความประเสริฐของมนุษย์ นี่คือความเป็นอริยะของมนุษย์ที่แท้จริง หรือเป็นเสฏโฐ เศรษฐี ที่แท้จริง อย่างนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงหรอก คนไม่เปลี่ยนไปชัดเจนอย่างนี้เลย ความเห็นด้วยปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาพละ และเราก็มีกำลังวังชาที่จะสร้างสรร แม้ไม่อยู่ที่นี่ไปที่ไหน ก็ทำอย่างนี้ แม้ไม่อยู่ที่นี่ ไปที่ไหนก็ทำอย่างนี้ คนเรามั่นใจว่า อันนี้เป็นคุณค่าของชีวิต จนกว่าจะตายๆ จริงๆ ใครไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ

ที่นั่งๆอยู่นี่อาตมาไม่รู้ว่าฉลาดหรือโง่ ฟังไปนี่เชื่อไม่เชื่อก็ไม่รู้ แต่อาตมามีสิทธิที่จะพูดความจริง อาตมาแน่ใจว่า อาตมาพูดนี่เป็นความจริง ที่จะสาธยายสู่กันฟังนะ เพราะฉะนั้น ถึงเวล่ำเวลา บางทีนี่ก็ดีนะ ถ้าเผื่อว่าไม่มาตายที่นี่ ญาติโยมอยู่ทางโน้นน่ะ ต่างจังหวัดไกลๆ ไม่ได้มาฟังอาตมา พูดหรอก ก็ฟังแต่ที่เขาพูดนั่นแหละ แล้วก็ไปขัดตัวเลขหาตัวเบอร์ ที่จะได้เปรียบ หรือไม่ก็ไปแทงหวย แทงการพนัน อะไรอยู่โน่น หาเงินหาทอง จะโลภโมโทสันได้เปรียบได้ ก็จะเอา มันจะไปได้เรื่องอะไร ชีวิต ฝึกฝนอบรมความสามารถของเรา สร้างสรรให้มันได้ ไม่ต้องไปเอาเปรียบเอารัดใคร ได้แล้วสละ ทำออกมาขาย ให้มันถูกๆ แจกให้มันได้เลยโน่นแหละ มันเป็นบุญ ขายให้เกินทุนมันขาดทุนตาย ต้องขายต่ำกว่าทุน ถึงจะได้กำไร เคยได้ฟังไหมอย่างนี้ มาใหม่ๆ เพิ่งฟังกัณฑ์แรกมั้งนี่ อาตมา เทศน์นี่นะ นี่เราสร้างอะไรขึ้นมา ทุนร้อยนี่เราไปขายให้คนอื่น แล้วเอาไปให้คนอื่น ให้ของคนอื่นไปนี่ สร้างอันนี้ขึ้นมานี่ ไอ้นี่ผืนละร้อยๆกว่าบาทนะ ผืนนี่นะ อาตมาก็งงๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เขาซื้อมาให้ ร้อยกว่าบาท โอ้โฮอะไรกันนักกันหนา อาตมาว่า ๑๕ บาทก็น่าจะแพง นี่ ๑๐๐ กว่าบาทนี่ ๑๗๐ มั้งผืนนี้ ๑๗๐ เท่าไหร่ ฮือๆ อีกผืนหนึ่ง ๑๙๕ ซื้อมาให้อาตมา ๒ ผืนวันนั้น อาตมาที่รู้น่ะ เพราะป้าย มันยังอยู่ ที่เขาซื้อมาจากห้างป้ายราคามันยังอยู่นะ อาตมาก็เห็น โอ้โฮ ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ทำไมมันแพง ทุนมันจะเท่าไหร่นี่ เอ้า เฒ่าแก่เนี้ยโรงทอ ผืนหนึ่งจะสักเท่าไหร่ หา...แพงที่ยี่ห้อ ไม่ใช่ทุนมัน อาตมา ไม่ได้ถามยี่ห้อนั่นน่ะ เฒ่าแก่เนี้ยทำทอผ้า นี่จะสักเท่าไหร่ ทุนนะ ทุนสัก ๒๐ บาท ไม่ถึงนะ และมัน ดันขาย เข้าไปได้ เกือบ ๒๐๐ นั่นแหละขาดทุน ทุน ๒๐ ดันผ่าขายเข้าไป ๒๐๐ นี่ ขาดทุน ยับเยิน ขาดทุนตั้ง ๑๐๐ กว่าบาท เป็นหนี้เขาตั้ง ๑๐๐ กว่าบาท ไปเอาเปรียบเขามา ตั้ง ๑๐๐ กว่าบาท ทุน ๒๐ บาทต้องขาย ๑๙ ได้กำไรบาทหนึ่ง ขาย ๑๘ ได้กำไร ๒ บาท ถ้ายิ่งขาย ๑๕ ยิ่งได้กำไร ๕ บาทเลย ขาย ๑๐ บาทได้กำไร ๑๐ บาท ถ้าทุน ๒๐ ฟังออกไหม ตอนนี้เอาหัวเดิน ต่างตีนแล้ว เฮะ อะไรวะ ขายต่ำกว่าทุนแล้วมาบอกว่ากำไร กำไรคือเราได้เสียสละ นี่ทุนร้อยนี่ ทุน ๒๐ เราขายต่ำ กว่าทุน เราได้เสียสละ เราเป็นคุณค่า ถ้าทุน ๒๐ ให้เขาไป เราก็เอา ๒๐ มา เราไม่มีค่า อะไรเลยนี่ ๒๐ เราก็เอา ๒๐ บาทมาไว้ในมือเอ๊าะๆ เอามาไว้ที่นี่ ถ้าเอา ๒๐ บาทไปคืนเขา แล้วมัน ก็เท่าเก่า ไม่ได้ให้อะไรไปใช่ไหมๆ แต่ถ้าเผื่อว่า ทุน ๒๐ บาท เราก็เอาไปเลย เอามา ๑๕ เราก็ได้ เสียสละไป ๕ มีบุญ ๕ ได้ทาน ๕ ได้เสียสละ ๕ มีคุณค่าประโยชน์แก่ผู้อื่น ๕ ใช่ไหม นี่เรียกว่ากำไรของชีวิต นี่แหละ ติดตัวติดตนไป คือนี่แหละคือบุญ เป็นกุศลแท้ ฟังให้ดี ธรรมะที่อาตมาเทศน์นี่ มันทวนกระแส มันย้อน ปุถุชนนั่นหาแต่บาปแต่เวรใส่ตัว เห็นไหม ไปโลภโมโทสัน ได้ฟรี ได้เท่าไหร่ยิ่งดี เอาเปรียบมาเท่าไหร่ยิ่งดี ต๊าย สร้างหนี้ไม่รู้ตัว นี่คือสัจจะ ฟังดีๆนะ

แล้วเราเข้าใจแล้ว ไปฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีบุญเป็นคนมีกุศล ทรัพย์แท้ที่ติดตัวไปนี่ คือกรรมนี่ กรรมที่เป็นกุศลแท้ๆ อย่างอื่นไม่ได้ไปนะ คุณไปโกงเขามาให้ได้เป็นหมื่นล้านอยู่ในโลกนี่ ตายไปแล้ว ยิ่งไปโกงเขามานั่น เป็นหนี้บาปติดตัวไปอีกเท่าไหร่ๆ แล้วไปทำมาทำไม ทำมาทำไม แต่ไม่หยุดยั้งในโลก เขาทำอยู่นี้ คนในโลกทำอยู่อย่างนี้ ช่างกู กูได้ตั้งหมื่นล้าน กูจะเอาก่อน ได้บาป ไม่รู้เรื่อง พูดไม่รู้เรื่องเลยนะ

คนที่มาเห็นจริงรู้จริงแล้วเขาไม่ทำหรอก อย่างอาตมาไม่ทำๆ ชีวิตนี่จะมาสร้างสรรเสียสละให้ได้ ไม่เอาละ เพราะมันไม่ใช่เรื่องสัจจะ ไม่ใช่ทรัพย์แท้ๆ ที่ตัวเองจะรู้ มันงมงายอย่างนี้ มันอวิชชา คนอวิชชา มันเป็นอย่างนี้ อวิชชาโง่มันไม่รู้สัจจะ พอรู้สัจจะแล้วทำ มันยังมีลมหายใจอยู่ แม้จะไม่แข็งแรง ทำเท่าที่ทำได้ มันยังเป็นสิ่งที่ยังสะสม เอาละ เราได้วันนี้ ได้นิดได้หน่อยก็เอา เพราะฉะนั้น คนแก่คนเฒ่าไปไม่ได้มีอะไร ก็หางานทำนั่นนา ไปเอาเส้นด้ายเส้นอะไร มาหมุน โยมวันทา โยมแว่น โยมอะไรไปทำๆกันไป ไม่อย่างนั้นกินข้าวเขาไป เป็นบาป เดี๋ยวกินข้าวเขาเป็นหนี้ ทำมีแรงเท่านี่ เราก็ทำเท่าที่เราทำได้ เท่านี้ก็แก่แล้ว ๗๐ ปีเข้าไปแล้ว จะ ๘๐ แล้ว โยมแว่นเท่าไหร่ ปีนี้ ๗๘ แล้วนั่นจะ ๘๐ แล้ว มะลอมมะล่อ อีก ๒ ปีก็๘๐ ใกล้ตายแล้วเหรอ อย่าเพิ่งๆ แหมยังไม่ได้ ใกล้หรอกน่ะ ไม่แน่หรอก ไอ้คนมีสารพิษนั่น มีมลพิษอยู่มันใกล้ตายเยอะ ใกล้ตายยิ่งกว่าโยมอีก โยมไม่ได้มีสารพิษอะไร ไม่แน่หรอกอาจจะอยู่หางานอื่นก็ได้ ไม่ใช่งานแต่กรอด้าย ทำอะไรได้ ก็ทำไป เอาแหละ ที่เป็นการสร้างสรร เป็นการสะสมบุญ เราทำได้ เราก็ทำไปเถอะ ขวนขวาย มีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย พยายามสร้างเป็นกุศลเป็นบุญ นี้เป็นทรัพย์แท้ๆ อย่าประมาทชีวิต แต่ละเวลา ยิ่งเป็นหนุ่ม เป็นสาวแล้วอย่าเสียดาย มันเสียดาย อย่าปล่อยแรงงานเปล่าเลย ยิ่งเป็นหนุ่มเป็นสาวนี่ มันยิ่งแหมแข็งแรง กล้ามเนื้อดีนะ คล่องแคล่ว ฝึกฝนอะไร ที่จะชำนาญโน่น ไปได้อีก มากมาย อย่าเสียเวลาเปล่า อย่าขี้เกียจ สู้ทนบ้าง กรำแดดกรำฝนอะไรได้ก็เอามั่ง ฝึกหัด สร้างสรรไป บอกแล้วว่ามันติดชีวิตไป ถ้ากรรมดี ท่านเรียกว่า บารมี ถ้าสะสมกรรมไม่ดี ไปเรียกว่า สันดาน และมันของไม่ดีติดตัวไป สั่งสมขยันหมั่นเพียรความสามารถ ทำโน่นทำนี่อะไรไปซิ เสร็จแล้ว ก็มาบอกว่าทำไม่เป็น ก็ไม่เป็นนั่นซิไม่เคยสะสมมาแต่ปางไหนก็ไม่ค่อยสะสมมา ก็ไม่เป็นซิ สะสมมาแล้ว จะทำเป็น ทำโน่นทำนี่เป็น ชาติไหนๆก็ทำง่ายเพราะมันเคย ติดตัวติดตนเป็นกรรม เป็นวิบากของเรา เพราะฉะนั้น จะทำอะไรก็ได้ ทำอะไรมากก็เป็นอันนั้น สะสม อะไรได้แข็งแรง ก็เป็นอันนั้นนะ

เอาละอาตมาได้เทศน์สาระสัจจะต่างๆในงานศพก็ตาม งานอะไรก็ตาม อาตมาก็จะต้องเทศน์ ถึงสาระ ที่ควรได้รู้ ที่ควรได้ฟัง และเราก็ไปเพ่งเพียรเอา ทำเอง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง อาตมาเทศน์ มาในงานศพนี่ ได้รับได้ฟัง ก็ไปพิจารณาดีๆ ในชีวิตนี้เราได้ทำพลาดทำพลั้ง มาแล้ว เป็นบาป เป็นหนี้เป็นเวรมาแล้ว ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่ควรจะได้จะเป็นเลย เกิดมาเป็นมนุษย์กลับไป บาปเอาเวร เอาอกุศลทุจริตอะไรมาใส่ตัว เป็นความขี้โลภเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัว เป็นได้เปรียบ อะไรเขามา ไม่เข้าเรื่อง เพราะฉะนั้น มาตั้งใจใหม่ ฝึกฝนใหม่ อะไรที่ติดที่ยึด ละล้างออก และเราจะ ไม่เป็นคนสิ้นเปลือง ไม่บำเรอตนมา ไม่ต้องไปกอบโกยให้แก่ตนมาก จะขยันหมั่นเพียรสร้างสรร จะได้คุณค่า แล้วก็หัดฝึดจาคะ สละแจกจ่ายเกื้อกูล เท่าที่เราจะพอเป็นไป แต่อย่าเพิ่งไฟแรงไป จนกระทั่ง เสียสละจนหมดตัว พอดีเลยจนไม่ต้องตั้งหลัก มันก็ไม่ได้ ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยฝึก ค่อยๆหัด ตามลำดับให้มันได้สัดได้ส่วน จนกระทั่งเราอยู่ได้แข็งแรง จะมีเพื่อนมีฝูงมีบุญ มีบารมี แล้วเรา ก็ได้เป็นคนที่ก่อบุญตลอดไป มีชีวิตเกิดมาก็ไม่โมฆะ ไม่มีแต่บาปแต่หนี้แต่เวร แต่กลับ ได้บุญ ได้กุศล จะเกิดอีกกี่ชาติก็ได้แต่บุญแต่กุศล มันก็น่าเกิด ถ้าเกิดมาแล้วไม่ได้บุญ ไม่ได้กุศล เกิดมามีแต่บาป แต่เวรแต่ภัยแต่หนี้ มันไม่น่าเกิดหรอก เพราะฉะนั้น จะได้ฟังธรรมะ จะได้รู้จัก สัจธรรม ที่ดีแล้วก็ได้ฝึกฝนให้แก่ตน เราก็ควรจะแสวงหา อย่าไปปล่อยปละละเลย เราเอง เราไม่รู้ ก็ฟังผู้รู้ ผู้เป็นสัตบุรุษ เป็นครูบาอาจารย์ ผู้ที่มีความรู้สัจธรรมที่ดี แนะนำแล้วเราจะได้มี กำลังใจ มีเรี่ยวมีแรงมีความพยายามที่จะทำให้แก่ตน เกิดมาชาติหนึ่งๆ ตัวเองจะได้ทรัพย์แท้ ที่เป็นบุญ เป็นกุศลให้แก่ตัวเองไปอีก ไม่ใช่ว่าเกิดมาแล้วเสียชาติไปเปล่าๆ และแถมหนี้ไปด้วย อีกต่างหาก ไม่เข้าท่า

เอาละวันนี้แสดงธรรมแค่นี้

สาธุ


ถอด โดย ยงยุทธ ใจคุณ ๒๐ กันยายน ๒๕๓๔
ตรวจ ๑ โดย สม.ปราณี ๒๑ กันยายน ๒๕๓๔
พิมพ์ โดย สม.นัยนา ๒๒ กันยายน ๒๕๓๔
ตรวจ ๒ โดย ปาณิยา ๒๓ กันยายน ๒๕๓๔

นรกพัง สวรรค์แตก / FILE:1850.TAP