ที่นี่ตอบทุกปัญหา


"ในโลกนี้ นับว่ามีผู้คนอยู่ไม่น้อย ที่มีความสงสัยในเรื่องเกิดๆตายๆ โดยเฉพาะอยากจะรู้ว่า ถ้าตายแล้ว จะเป็นอย่างไร? ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน? จะสุขสบายกว่าตอนเป็นๆนี้หรือเปล่า? ซึ่งในปัญหาทั้งหลาย เหล่านี้ ก็ได้มีผู้รู้บ้าง ไม่รู้บ้างด้นเดาคาด คะเนออกไปต่างๆนานา

เราก็ลองมาดูทัศนะของท่านโพธิรักษ์กันบ้างในเรื่องนี้ ซึ่งคำตอบของท่านนั้น อาจจะไม่เหมือนกับใครๆ ในปัจจุบันนี้ เลยก็ได้


ถาม: ในช่วงที่คนเราตายไปแล้วจะไปคอยอยู่ในภพ ภูมิไหน แล้วจะอยู่ในสภาพใด?

ตอบ: คุณก็ไปอยู่ในภพอัตตา ภพของตัวเองนั่นแหละ ภพของตัวกูของกูนั่นแหละ มันไม่อยู่ไหน

เวลาคุณนอนหลับคุณไปอยู่ไหน รู้ตัวหรือเปล่า เวลาคุณนอนหลับ คุณไปอยู่ไหน ไม่ได้อยู่ไหน แม้คุณจะมีตัวอวจร คือ มันพุ่งความรู้สึกระลึกไป มันจะไปไหนก็ช่างมัน มันก็อยู่ที่ตัวคุณนี่แหละ มันไม่ไปไหนหรอก มันมีตัวอวจร พุ่งรู้สึกไป อยู่กับไอ้โน่นไอ้นี่ ที่จริงมันไม่ได้ไปหรอก มันรู้สึกไปของมันเอง คุณรู้สึกว่าคุณได้ไปอเมริกา เปล่า! คุณนอนอยู่ ตรงนี้น่ะ จิตวิญญาณก็อยู่นี่แหละ มันไม่ได้แยกธาตุขันธ์ อะไรไปหรอก แต่มันรับรู้สึกด้วยสัญญากำหนด แล้วมันก็ฟุ้งซ่าน มันก็สังขาร มันก็ปรุงไปอย่างนั้น ของมันเอง มันไม่ได้ไปไหน มันอยู่ที่นั่นแหละ คุณอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่น

เพราะฉะนั้นจะไปเข้าใจว่า ไอ้จิตวิญญาณที่เป็นสัมภเวสี ก็ลอยไปโน่น ลอยไปนี่ อธิบายกันจนเละ แหม พอดีตอนนี้ มาจะไปเกิดในท้องคนนี้... เล่ากันนะ คนนี้ถือตะกร้ามา ก็เลยติดตะกร้าคนนี้ไป แล้วไปเข้า ท้องแม่ ก็เลยออกมา อะไรอย่างนี้ ก็เล่าเป็นนิยายน่ะนะ ที่จริงวิญญาณไม่มีรูปร่างตัวตนแท่งก้อนจริงๆ แต่ผู้นั้นก็ปั้น เป็นรูปร่างขึ้นมา จนได้เหมือนในฝัน ก็มีแต่ภาพปั้นสร้างขึ้นมาทั้งนั้น ซึ่ง "คนที่ฝัน" ก็รู้สึกว่า "เป็นของจริง" เอาจริงๆ เป็นรูปจริง เป็นของจริง เหลือเกิน ถ้าไม่ตื่นจากฝัน ดังนี้เป็นต้น มันไม่ได้เป็น อย่างนั้นหรอก ทุกอย่างวิญญาณที่ยังเป็น อัตตภาวะ ก็จะเป็นไปตามเหตุปัจจัย ที่ลงตามบารมี

เพราะฉะนั้น อาตมาตอบไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ตอบไม่ได้ ถ้าพระพุทธเจ้าตอบได้ อาตมาเอาคำตอบของ พระพุทธเจ้า มาตอบกับคุณแล้ว ถ้าตอบได้ชัดๆ เป็นภาษาคนน่ะ มันตอบไม่ได้ วิญญาณไม่ได้เป็นตัวตน วิญญาณ ไม่ได้เป็นสภาพ เหมือนกับคลื่น แล้วก็ไม่ใช่เหมือนก้อน วิทยาศาสตร์เขาใช้คำว่า คลื่นกับก้อน ไม่ได้เป็นทั้งคลื่น ไม่ได้เป็นทั้งก้อน เป็นสภาพที่บอกไม่ได้ว่าเป็นคลื่นก็ไม่ใช่ เป็นก้อนก็ไม่ใช่ เป็นอะไร ก็ไม่รู้ว่า จะตอบว่าอย่างไร มันไม่มีตัวอย่าง แต่วิญญาณนี่ เป็นธาตุรู้

เพราะฉะนั้น เมื่อมันรู้ มันก็รู้อยู่ในคุณของคุณนั่นแหละ มันไม่ได้กินเนื้อที่ มันไม่ได้อยู่ที่ไหน มันไว แล้วมันไกล ไวและไกล จะไปเกิดรอบโลกนี่ก็เกิดได้ จะไปเกิดนอกโลกยังเกิดได้เลย ไวและไกล ตอบให้คุณไม่ได้ ยิ่งสะอาด บริสุทธิ์เท่าไหร่ ยิ่งไว และไกลยิ่งเท่านั้นๆด้วย

ทีนี้ถามว่า จะไปรออยู่ภพไหน ก็ตอบไปแล้วนะ มันไม่อยู่ไหน มันไม่อะไรต่ออะไร แล้วจะไปอยู่อย่างไง ก็อยู่อย่าง ที่มันทุกข์ มันสุขของคุณนั่นแหละ อยู่อย่างนั้นแหละ เวลาคุณฝัน คุณรู้ไหมว่า คุณทุกข์อย่างไง คุณสุขอย่างไง นั่นแหละ

อาตมายกตัวอย่างเรื่องฝันให้คุณฟัง แล้วคุณก็จะเป็นอย่างนั้น แล้วมันดิ้นไม่ออกด้วยนะ มันจะทุกข์ อยู่อย่างนั้นแหละ เวลาคุณนอนฝันร้ายนี่นะ คุณดิ้น คุณก็พยายามที่จะออกมาภพนอก เออ พอแก้เคล็ด แก้ไข คุณก็ไปได้ มาอยู่กับภพหยาบนี่เสียเลย ก็เลยไม่ต้องอยู่กับภพละเอียด มันก็เลยแก้ขวย แก้ไขไปได้ หายทุกข์ เหมือนผีอำนี่ อยากจะออกๆ พอออกมาได้ เออ ค่อยยังชั่ว

แต่จริงๆแล้ว ถ้าคุณไม่มีรูปนามขันธ์ ๕ คุณไม่มี โดยเฉพาะรูปขันธ์นี่ คุณไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่มี คุณอยู่ในภพของจิตของคุณนี่นะ ถ้าถูกผีอำ ก็ถูกอำแบบไม่มีทางออก คุณดิ้นไปอย่างไงก็ดิ้นไม่ออกหรอก ก็คงจะอยู่อย่างนั้น ไปอีกนานเท่านานเลย จนกว่าจะหมดเหตุปัจจัย บางคนก็ทุกข์ไปห้าร้อยกัป ฟังออกไหม จะดิ้นอยู่อย่างนั้นน่ะ ห้าร้อยกัป คุณไม่มีทางออกนะ มัน โอ้โฮ มันแสนทุกข์ทรมาน ถ้าคุณรู้ อย่างที่อาตมารู้ มันไม่อยากทำบาป มันไม่กล้าทำบาป มันต้องตกนรกอยู่ห้าพันกัป ห้าหมื่นกัป มันจะอยู่ อย่างนั้น อย่างคนที่กำลังฝัน เป็นทุกข์นะ แล้วไม่มีทางดิ้นออกนะ คุณจะอยู่อย่างนั้นไปอีกนานเท่านานน่ะ จนกว่าจะหมดเหตุปัจจัย หรือจนกว่า จะหมดบาป มันทรมาน สุดทรมาน คุณอยากเป็นเหรอ คุณรู้ให้จริง เหมือนฝันนั่นแหละ

อาตมาไม่รู้จะยกตัวอย่างอันไหนน่ะ เหมือนฝันนั่นแหละ คุณอยู่ในภพ อยู่ในภวังค์อยู่ นั่นแหละ เป็นอย่างนั้นแหละ ถ้ามันหลงระเริงเป็นสุขก็ดีไป แต่สุขเป็นสุขหยาบด้วยนะ สุขระเริง สุขโลกๆ มันก็ ประเดี๋ยวเดียว สุขมันนานที่ไหนเล่า ประเดี๋ยวมันก็ตกนรก ประเดี๋ยวก็ตกสวรรค์ สวรรค์หรือโลกียสุข ไม่นานหรอกนะ นรกซินาน นาทีหนึ่ง มันเหมือน ราวสัก ๕ ปีน่ะ มันนาน แต่อยู่สวรรค์นี่มันแป๊บๆ ดูเหมือนมันเร็ว เพราะมันไม่อยากหนี มันอยากจะต่อเนื่องไป เยอะๆๆๆ

เพราะฉะนั้น เรื่องของจิตวิญญาณ เราจะไปเดาเอาไม่ได้ ต้องพยายามปฏิบัติให้ถึงเท่านั้น จึงจะรู้ได้จริง รู้แล้วยังบอกให้ใครรู้ตามไม่ได้เลย (อนิทัสสนัง)


ถาม: ใครเป็นผู้สร้างจิตวิญญาณขึ้นมา และใช้เครื่องมืออะไรในการสร้าง?

ตอบ: เอาล่ะ อาตมาจะไปลึกนิดหนึ่ง ที่พูดมาถึงคำว่าลูกพระพุทธเจ้า เราเป็นลูกจริงๆนะ จริงอยู่ แม้ว่า เราอาศัยท้องพ่อท้องแม่เกิด นั่นเป็นเรื่องของสรีระ ของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แต่วิญญาณนี่ พ่อแม่ไม่ได้ให้ คุณหรอก วิญญาณที่มาเกิดนี่พ่อแม่ไม่ได้ให้คุณ พ่อแม่ให้คุณแต่เชื้อทางสรีระ เชื้อทางธาตุร่างกาย วิญญาณของใคร ของมันมาเกิด ของใครของมันนะ เป็นของของตน ตามที่พระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่า เป็นวิบาก ของคนนั้น ใครมีวิบาก เป็นวิบากกุศล วิบากอกุศลตามบารมีมาเกิด

เพราะฉะนั้น มันจึงไม่เท่าเทียมกัน ลูกพ่อเดียวกัน ต่อให้ฝาแฝดด้วย มันก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็ได้ไป เป็นโจร บางคนก็ได้ไปเป็นคนดี คนเจริญ หรือบางคนได้ไปเป็นพระ บางคนได้เป็นโจร ต่อให้แฝดก็มีได้ เพราะฉะนั้น วิญญาณไม่ใช่ของพ่อแม่ วิญญาณเป็นของเรา แล้วเราจะทำให้วิญญาณของเรา เกิดใหม่ พระพุทธเจ้าพบทฤษฎี ทำให้วิญญาณเกิดได้

นักวิทยาศาสตร์ในโลกทุกวันนี้ไม่มีใครค้นพบ มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทำให้เกิดได้ ท่านเรียกว่า โอปปาติกโยนิ

โอปปาติกะ คือ วิญญาณ โยนิ คือ การเกิด โอปปาติกโยนิ ให้เกิดทางวิญญาณได้

ทางวิญญาณนี่ มีอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องมืออันใหญ่ อันแรกก็คือ ศีลและปัญญา ศีลเป็นแม่ ปัญญา เป็นพ่อ ปัญญานี่เป็นตัวเชื้อ ซึ่งเชื้ออย่าเพี้ยนน่ะ เชื้อเพี้ยนแล้วพันทางเลย เดี๋ยวเถอะต้องออกไป ไม่ใช่พันธุ์พุทธแล้ว เป็นพันธุ์แพะ เป็นพันธุ์พัง ไปเลย

เพราะฉะนั้น เชื้อจะต้องแน่ๆ เชื้อหรือปัญญานำทางนี่ ต้องให้แน่ๆถูกๆ (ทิฎฐิ ความเห็นและปัญญานี่ สายเดียวกัน) เสร็จแล้วไปอบรม ฟูมฟักเลี้ยงดู ฝึกฝนด้วย เรียกว่าศีล ศีลเป็นแม่ ทำให้เกิดฟูมฟักออกมา อบรมไป วันแล้ววันเล่า วินาทีแล้ววินาทีเล่า ให้เกิดตามปัญญาที่จะต้องแม่นนะ อย่าเบี้ยว ปัญญานี่ อย่าเพี้ยนนะ ให้เป็นเชื้อแท้ อย่าเชื้อปน อย่าเบี้ยว อย่าออกนอกลู่นอกทาง ปัญญาจะต้องถูกตรงให้ได้ มีศีลกับปัญญา เป็นแม่เป็นพ่ออย่างแท้จริง แล้วก็มีจิตวิญญาณเป็นลูก เป็นตัวที่จะเกิดคลอดในตัวเอง ในร่างกายของเรานี่ ในชีวิตของเรานี่ มีจิตวิญญาณอยู่ในนี้แล้วมันจะคลอด โดยไม่ต้องเปลี่ยนตัว เปลี่ยนร่าง เรียกว่า การผุดเกิดเองในตัว ถึงรอบของมันครบสมบูรณ์ เหตุปัจจัยเต็มก็คลอด ก็เกิด เกิดได้จริงๆเลย ท่านถึงเรียกว่าการเกิดการดับ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ต้องเห็นการเกิดการดับ อย่างนี้ของ ศาสนาพระพุทธเจ้า

อาตมาบรรยายเรื่องพวกนี้ให้เห็นว่า คนเรามาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วจะต้องเข้าถึงตัวนี้ เมื่อเข้าถึง ตัวนี้แล้ว เรามีการเกิดใหม่ เปลี่ยนเป็นวิญญาณพระอริยะ เป็นวิญญาณเทวดาแท้ เป็นอุบัติเทพ ไม่ใช่เป็นเทวดาแค่ สมมุติเทพ เกิดได้จริงๆ ถ้าเกิดไม่ได้จริง พระพุทธเจ้าโกหกเราแน่ใช่ไหม เอาสิ่งไม่จริง มาหลอกให้เรียน แทบเป็นแทบตาย เกิดไม่ได้ อาตมาเชื่อพระพุทธเจ้า เพราะอาตมาเกิดแล้ว เกิดตาม พระพุทธเจ้าจริง อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า อาตมาพูดจริงๆนะ ที่เป็นลูก ไม่ใช่เป็นลูกเพราะว่ามาบวช คือ โกนหัวนุ่งห่มจีวร

แต่วิญญาณอาตมาต่างหากเล่าที่เป็นอันนั้นซิ เป็นตัวแท้ เกิดอย่างไร มีคุณลักษณะอย่างไร เราต้อง มาอ่าน วิญญาณของเราจริงว่า วิญญาณของเรา ไอ้ที่มันเป็นผี วิญญาณกิเลสน่ะตายไหม วิญญาณ กิเลสตาย แล้วเกิดเป็นวิญญาณพระอริยะ หรือเป็นวิญญาณเทวดาแท้ๆ เกิดจริงๆ แม้เดี๋ยวนี้ ก็แสดง บทบาท ชีวิตชีวาอยู่ วิญญาณที่เป็นกิเลสมันก็ตายไปแล้ว มันไม่เกิดอีกอย่างนี้ เราจะต้องรู้ มันไม่อยาก อย่างนั้นอีก มันไม่เป็นอย่างนั้นอีก ยกตัวอย่างง่ายๆว่า อยากจะไปกินเหล้า อยากจะไปดูดบุหรี่ แต่ก่อน มันอยาก มันเป็นชีวิตชีวา มันอยาก มันยังมีชีวิตดิ้นอยู่ เดี๋ยวนี้มันตาย มันไม่ขึ้นมาอยากอีกเลย อยากกินเหล้า มันก็ไม่มี เขาเอาเหล้ามายั่วอย่างไรก็เข้าใจ เฉย ไม่มีอาการ เราต้องอ่านอาการในใจ ของเรา ให้ออก ว่าไม่อยาก

แต่ก่อนนี้อยากทาลิปสติค จิตใจมันอยาก แหม อยากได้ใส่เสื้อสวยๆ ที่เขานิยมกันตามแฟชั่น เรามาปฏิบัติ เรียนรู้จริงๆ เออ ความจำเป็นอะไร เรื่องอย่างนั้น มันเฟ้อด้วยซ้ำไป เดี๋ยวนี้มันก็หลงหลอกค้า หลอกขาย หรอก ยั่วยวนกันสารพัดสารเพ เรารู้แล้วว่าใส่เสื้อใส่ผ้าก็เพื่อกันร้อนกันหนาว กันแมลงสัตว์ กัดต่อย กันอุจาด อะไรเท่านั้นก็พอแล้ว พอสมเหมาะสมควร แล้วเราก็ใช้เท่าที่เรารู้ความจำเป็น ความสำคัญ ของมัน เราฉลาดแล้ว เราหยุดได้แล้ว เราเห็นยังไงก็มายั่วยวนไม่เกิดกิเลสเลย

สรุปแล้ว ต้องอ่านอาการอย่างนั้นแหละ กิเลสหยาบตายแล้ว กิเลสตัวหยาบมันตายแล้ว กิเลสเป็นรสอร่อย ที่ภาษาบาลี เรียกว่า "อัสสาทะ" นั้นก็ตายจริงๆ ไม่ได้อร่อยอะไร ไปให้ใส่เสื้อตัวงามที่เขานิยมว่างาม เราก็เข้าใจ ค่าสมมุติกับเขา แต่เราก็ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มอะไรเลยจริงๆ คุณมาเปรียบเทียบวัดใจดูซิ ใจของคุณ เป็นขนาดไหนๆ คุณจะรู้ความจริงของตน โกหกตนไม่ได้หรอก มีปัญญาเห็นจริง ก็เห็นจริงให้ได้ นี่เป็นความจริง ที่เราจะต้องเกิด จะต้องเป็น เรียกว่า การเกิดแท้ๆทางจิตใจ คือ การตายแท้ๆของกิเลส


ถาม: คนที่ตายโหงกับคนที่ตายแบบธรรมดา เช่น เจ็บป่วยตาย เขาจะรู้สึกตัวไหม? เวลาเขาตาย

ตอบ: การที่คนเขาตายไปแล้ว แล้วเขาจะรู้สึกตัวไหมนี่ คำถามนี้ ควรจะถามใหม่ว่า คนที่ตายไป เขารู้ตัวว่า เขาตายหรือไม่ ทั้งตายโหง (เจออุบัติเหตุ) หรือตายแบบธรรมดา (เจ็บป่วยไข้) ก็ดี

คนที่ตายไปแล้วนี่ จะตอบตายตัวไม่ได้เสียทีเดียว แต่สุดท้ายแล้ว ถึงยังไงก็ต้องรู้ตัว เหมือนกับเรา นอนฝันนี่ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอกว่า เรากำลังนอน ในขณะที่กำลังฝันเพลินๆอยู่นั้น จิตวิญญาณของเรา มันก็ไปตามเรื่อง ตามราวของมันอยู่อย่างนั้น โดยที่เราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่า เรากำลังนอน เรากำลังอยู่เฉยๆ

คนที่จะรู้ตัวว่าตายนี่นะ คือ คนที่รู้จักความตายความเกิด คนที่ไม่เรียนสัจธรรมเลย จะไม่รู้จักความตาย ความเกิดหรอก มีแต่อยู่ในภพเลอะๆ เทอะๆ ของตัวเอง

ส่วนคนที่ได้เรียนสัจธรรมนั้น จะรู้ว่าตัวเองตาย รู้ว่าตัวเองไม่มีรูปนามขันธ์ ๕ แล้ว ไม่มีร่างกายแล้ว มันมีแต่ จิตวิญญาณอยู่ทวารเดียว มันไม่มีทวารตา หู จมูก ลิ้น กาย อีกแล้ว คนนั้นจะรู้จริงๆ เมื่อได้ศึกษา ธรรมะ แต่ถ้าไม่ศึกษาธรรมะ มันจะไม่รู้ตัวไปอีกนานเท่านาน จนกว่าจะได้ไปเกิดเป็นอะไรก็แล้วแต่ ตามภาวะ ของเขา จนกระทั่งได้มีรูปนามขันธ์ ๕ จะเกิดเป็นหมู เป็นหมา เป็นกา เป็นไก่ หรือเกิดเป็นคน อะไรอีก ก็ตามแต่เถิด

เมื่อได้ดิน น้ำ ลม ไฟ แท่งก้อนเกิดมาเป็นรูปขันธ์ ร่างขันธ์ มีทวารตา หู จมูก ลิ้น กาย แม้จะได้มาเป็น สัตว์เดรัจฉานต่างๆ ก็ตาม คนที่ไม่รู้ตัวว่าตายแล้ว จนกระทั่งได้มาเกิดอีกทีนั้น มีเยอะต่อเยอะด้วยซ้ำ ถ้าว่ากันจริงๆแล้ว เหมือนคุณกำลังฝัน มันก็จะดูเหมือนว่า เป็นตัวคุณจริงๆ ทุกข์ก็ทุกข์อยู่อย่างนั้น ไปนานเท่านาน ไม่จบเรื่องง่ายๆ สุขหลอก (สวรรค์โลกีย์) ก็สุขอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ


ถาม: ความตายในทางพุทธศาสนา หมายถึงคนที่มีลักษณะอย่างไร เหมือนทางการแพทย์ไหมคะ

ตอบ: ถามดีนี่ ความตายในทางพุทธศาสนา ถ้าเป็น "ความตาย" ที่ไม่เหมือนทางการแพทย์ ก็หมายความว่า "กิเลสตายในคนเป็นๆ" นี่แหละ ท่านพุทธทาสสอนว่า ต้องตายตั้งแต่ก่อนตาย จงตายแต่ก่อนตาย นั่นแหละให้กิเลสตาย ต้องรู้ในตนเอง และมีความเป็นได้จริงเลยว่า กิเลสมันตายแล้ว มันไม่เกิดอีก เป็นธรรมดา ตายสนิทถอนอนุสัยอาสวะ เห็นให้ได้ มีญาณรู้เลยว่า กิเลสมันตายจริง

โอ!...กิเลสเรื่องนี้นี่นะ ยกตัวอย่างง่ายๆ เราติดลิปสติค โอ้! มันมีกิเลสนี่ เห็นลิปสติคแล้ว แหม! สีไหนดี เนื้อไหนดี กลิ่นอย่างไหนดี ดีไม่ดีเดี๋ยวนี้นะ ปลอกใส่ อะไร...ตลับอะไรนี่ เขาเรียกอะไร หลอดหรือปลอก ใส่ลิปสติคนี่ ติดเพชรนะ แล้วขายแพงๆ บ้าเลยน่ะ ทั้งๆที่มันแค่จะเอาเนื้อหา ลิปสติคมาทาแท้ๆน่ะ ไอ้เครื่องหุ้มข้างนอก ยังติดเพชรน่ะ บ้าดีเดือดกันไหมล่ะ ที่เขาทำกันถึงขนาดนั้นเห็นไหม แล้วก็ขาย แพงนะ แทนที่จะซื้อแต่ของนั้นแท้ๆ เขาก็คิดราคาเพชรด้วย แล้วเพชรเขาก็ไม่ใช่จะขายให้ธรรมดานะ เขาต้องค้ากำไรแบบโลกนะ ค้ากำไรแบบทุนนิยมนั่นแหละด้วย ยกตัวอย่างมีเพชรประกอบนี่ อาจจะมีน้อย แต่ที่มีมากจริงๆ ก็แค่ของหุ้มห่อข้างนอกนี่แหละ สินค้าเดี๋ยวนี้ถึงขนาด เครื่องห่อหุ้มนี่ แพงกว่าเนื้อสินค้า แท้ๆก็มี แถมได้มาแล้ว เครื่องหุ้มนั้น ก็ต้องทิ้งหรือเปลืองเปล่าๆ จะเอาไปขายต่ออย่างเพชรก็ไม่ได้ นั่นก็เกิดจาก จิตวิทยาที่เขาเอากิเลสของคน มาเป็นเหตุก่อขึ้น สร้างขึ้น มาล่อมาหลอกกัน ผลาญพร่า สูญเสีย จนโลกจะบรรลัยอยู่แล้ว มันไปกันใหญ่เลยทุกวันนี้

นั่นกิเลสด้าน "ชอบ" กิเลสติดยึด-ติดเสพ มีอีกอื่นๆมากมาย และแม้แต่กิเลสในด้าน "ไม่ชอบ" ก็เป็นกิเลส เหมือนกัน ที่พาให้ตนทุกข์ พาสังคมทุกข์ด้วย สังคมไม่สุขสันติด้วย ถ้ารุนแรงก็ถึงขั้นทำร้าย พยาบาท แก้แค้นกัน กิเลสนี่มีเยอะแยะ เป็นตัวที่มีบทบาทร้ายกาจอยู่ในมนุษย์ให้สังคมจริงๆ ถ้ามาช่วยกัน ฆ่ากิเลส ให้ตายจริงๆได้ เราก็สุข สังคมก็สันติแท้ สุขจริง สุขอย่างวิเศษ พิเศษด้วย พระพุทธเจ้าเรียกสุขอย่างนี้ว่า วูปสมสุข หรือ อุปสมสุข เป็นโลกุตรสุข ซึ่งมีลักษณะต่างจาก "สุข" ที่ปุถุชนคนทั้งโลก เสาะแสวงหามา ให้ตนกันอยู่ ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า "สุขขัลลิกะ" คือสุขหลอก อันเป็นโลกียสุข ที่พาให้สังคม ต้องแก่งแย่ง ฆ่าแกงกัน

สรุปแล้ว ความตายทางพุทธศาสนา คือ "กิเลสตาย" น่ะ หมายถึง คนที่ได้เรียนรู้จักกิเลส-ตัวตนของกิเลส กันจริงๆ ด้วยวิธีปฏิบัติตามหลัก สัมมาอริยมรรค มีองค์ ๘ ที่พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า เป็นทางเอก ทางเดียว ไม่มีทางอื่น (เอเสวมัคโค นัตถัญโญ) ไม่ใช่นั่งสมาธิหลับตา แล้วก็สะกดจิต สะกดกิเลสลงไปๆ ที่เรียกว่า สมถภาวนาเท่านั้นหรอกนะ ต้องเรียนรู้วิธีฆ่ากิเลสให้ตาย ต้องประกอบด้วย โพชฌงค์ ๗ และ ถูกแบบ แม้สติปัฏฐาน ๔ ต้องสมบูรณ์ด้วยโพธิปักขิยธรรม ๓๗ กันจริงๆ ต้องพยายามให้ตาย ซึ่งต่างจาก ความพยายาม ของทางการแพทย์ ที่พยายามให้ "ไม่ตาย" ส่วนทางพุทธศาสนานั้น เนื้อหาสำคัญสุดยอด คือ ต้องให้ตาย จึงจะเรียกได้ว่าเป็น "นิพพาน" คือ ความตาย นิพพานที่แปลว่า "ตาย" นั้น หมายถึง "กิเลสตาย" เป็นสำคัญแท้ อย่าเข้าใจสับสน คำว่า "นิพพาน" จะแปลว่า "ตายสนิท-ดับสนิท-ตายไม่เหลือ - ดับไม่เหลือ" นั้นคือ "กิเลส" เท่านั้นที่ "ตายสนิท-ตายไม่เหลือ" มีลักษณะ "กิเลสตาย" กันจริงๆ ต้องเป็นจริง และ มีญาณรู้เห็นความจริง อย่างแม่นแท้ กิเลส "ตายสนิท" แต่ยัง "เหลือร่างกายอาศัยมีชีวิต" ก็เป็น อรหัตผลแล้ว เป็นความตายจริงๆ เรียกว่า "สอุปาทิเสสนิพาน" ส่วนร่างกาย แม้จะยังไม่ตาย ก็เรียกคน ผู้กิเลสตายจริงนี้ว่า "นิพพาน" แล้ว ถึงนิพพิทาแล้ว ตายแล้วตั้งแต่ยังเป็นๆ

ไม่เหมือนการแพทย์ การแพทย์นั้นมันเรื่องวัตถุธรรม มันเรื่องสรีรวิทยา หมดลมหายใจ และเขาต้อง พยายาม "ไม่ให้ตาย" เสียด้วยซ้ำ ความตายทางร่างกาย เขาเรียกกันด้วยคำว่า "มรณะ" ซึ่งจะต้องเป็น ต้องได้ ไปหมดทุกคน ส่วนความตายของกิเลส ที่เรียกด้วยคำว่า "นิพพาน"นั้น ไม่ใช่จะเป็นจะได้ ไปหมด ทุกคน และความตายของกิเลส ก็มีหลากหลายแง่ หลายระดับ ซึ่งต้องศึกษา เช่น กิเลสตายเชิงหนึ่ง ระดับหนึ่ง เรียกว่า "ตทังคนิพพาน" และมีอีกแบบหนึ่ง ระดับหนึ่งก็เรียกว่า "นิสสรณนิพพพาน" ดังนี้ เป็นต้น ซึ่งมีอื่นๆอีกหลายเชิงหลายระดับ หรืออย่างพระอรหันต์ ซึ่งเป็นผู้มี "นิพพาน" เต็มครบแล้ว คือ กิเลสตาย หมดสิ้นอนุสัยอาสวะ แน่แท้แล้ว ถ้าท่านตายทางร่างกายอีกที คือ "ไม่เหลือร่างกายนั้น อาศัยยังชีวิต" อีก ก็เรียกว่า "อนุปาทิเสสนิพพาน" แต่ก็อาจจะยังไม่ "ปรินิพพาน" เป็นที่สุดก็ได้ แต่ท่าน ก็มีสิทธิที่จะ "ปรินิพพาน" ได้จริง ถ้าท่านประสงค์ คือ ตายทั้งร่างกาย ตายทั้งวิญญาณ ที่บริสุทธิ์แล้ว นั่นแล สูญสลาย ดับภพจบชาติสิ้นแท้ไปเลย เพราะผู้ถึงความเป็นพระอรหันต์ -พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธ และ พระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงแล้ว มีสิทธิ์จะ "ปรินิพพาน" ได้ทันทีที่ตายทางร่างกาย นอกนั้น ไม่มีสิทธิ์จะ "ปรินิพพาน" ทันที ที่ตายทางร่างกายลงไป


ถาม: การจะจัดว่าเป็นอริยบุคคล ต้องใช้เกณฑ์ตามหลักอย่างไร

ตอบ: ใช้เกณฑ์ตามศีลตามธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงให้ประพฤติกัน จนเกิดผลปรมัตถธรรม เช่น ศีล ๕ ปฏิบัติได้ มีมรรคผลจริง ละอบายมุขได้ กิเลสตาย กิเลสขั้นหยาบ ขั้นจัดจ้าน และกิเลสที่ติดยึด ในของต่ำๆ หยาบๆ ขนาดหนึ่ง ตายกันจริงๆ ก็เป็นพระโสดาบัน ศีล ๘ ก็สูงขึ้น มีมรรคผลพื้นฐานในศีล ๕ กันแล้วจริงๆ ต้องมาทำความเข้าใจว่า ศีล ๘ มีความหมายหลักๆ อย่างไร แล้วเราปฏิบัติได้บรรลุหลุดพ้น อย่างนั้นจริงๆ ได้เนื้อหาถึงขอบเขตเป็น พระสกทาคามี และศีล ๑๐ ก็ยิ่งสูงขึ้นไป ถ้ามีมรรคผลแท้ๆ ถึงขั้นศีล ๑๐ ขึ้นไปเรื่อยๆนี่ ก็เป็นพระอนาคามี ขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนพระอรหันต์ นั้นก็คือ ศีลทุกๆอย่าง ท่านปฏิบัติได้หมด เพราะในพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่มีสูงสุดแค่ศีล ๑๐ ยังมี โอวาทปาฏิโมกขศีล อีกมากมาย ทั้งจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นต้น ไม่ใช่แค่เป็น "พระผู้เจริญ" (บางจำพวก) ฉันอาหาร ที่คนเขาให้ ด้วยศรัทธา แล้วยังรับเงินรับทอง ยังยินดีด้วยเงินทอง (ไม่สลัดคืนด้วย) หรือไม่ใช่แค่เป็น "พระผู้เจริญ" (บางจำพวก) ฉันอาหารที่คนเขาให้ด้วยศรัทธา แล้วยังรดน้ำมนต์ ยังเลี้ยงตนด้วย เดรัจฉานวิชา อันมีประการต่างๆ ซึ่งต้องศึกษาจริงๆว่า "เดรัจฉานวิชา" นั้นคืออะไรบ้างอย่างไรกัน
สรุปง่ายๆ ก็คือ รู้ตัวตนของกิเลส แล้วฆ่ากิเลสตายได้แล้ว หมดกิเลสจริง ไม่เหลือกิเลส ในจิตวิญญาณตน อีกเลย ก็เป็นพระอรหันต์ ส่วนพระอริยะในระดับต่างๆ ก็คือ ผู้เริ่มรู้จักกิเลสจริง ฆ่ากิเลสได้จริง จะน้อย จะมาก ก็เป็นจริง มีขั้นมีระดับ มี "ศีล" เป็นเครื่องวัดที่ชัด และง่ายที่สุด และมี "สังโยชน์ ๑๐ " เป็น หลักเกณฑ์ ที่สำคัญสำหรับวัด แต่ยากกว่าศีลและชัดกว่าศีล เมื่อผู้นั้นมีภูมิรู้ถึงขั้นปรมัตถสัจจะ ในตนจริง หรือ หลักเกณฑ์ปลีกย่อยอื่นๆอีก ก็มีอีกละเอียดลออ มากแง่มากสภาวะ ซึ่งจะรู้แม่นรู้ตรง เป็นขีดเป็นเขต ชัดๆ ไม่ได้ง่ายๆ ลึกซึ้ง ซับซ้อนเชิงชั้นมากในสภาวะจริง ต้องผู้ศึกษาจริง มีสภาวะจริง มีญาณหยั่งรู้ กันได้แท้ๆ จึงจะรู้แท้ กระนั้นก็ไม่ง่ายกันเลย ผู้รู้แจ้งเห็นจริงจะรู้ว่า มันลึกซึ้งยากยิ่ง จึงจะไม่พยากรณ์ กันง่ายๆ ผิวๆเผินๆ เป็นอันขาด

คนที่เที่ยวได้บอกว่าองค์นั้นเป็นอรหันต์แล้วง่ายๆนั้น คือ คนไม่มีความรู้ ไม่มีสภาวะจริง และไม่มีญาณ หยั่งรู้จริง นั่นเอง จึงจะพล่อยๆ เรียกพระอริยะ แต่งตั้งพระอรหันต์กันเป็นว่าเล่น ทำให้ศาสนาพุทธ เสื่อมเสีย ในแวดวงของศาสนา ก็ไม่เห็นจะห้ามปราม หรือปราบปราม การกระทำที่ทำให้ศาสนาเสื่อม เพราะเที่ยวได้ อวดรู้ แต่งตั้งพระอริยะ พระอรหันต์กัน โฆษณา โพนทะนากันครึกโครม เพื่อขาย หนังสือ ขายเครื่องราง ของขลังสารพัดนี้เลย


file: 2899.ss # ที่นี่ตอบทุกปัญหา