ที่นี่ตอบทุกปัญหา !


- สมณะโพธิรักษ์ คือพระสารีบุตรกลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่?

๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๒ ณ พุทธสถานสันติอโศก

ภายหลังที่สมณะโพธิรักษ์ เทศนาธรรมะก่อนฉันเสร็จ ท่านได้ให้ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์ต่อทันที เนื่องจาก วันนี้ ท่านงดฉันอาหาร ๑ วัน เนื่องจากเป็นวันอโศกรำลึก (ตามความตั้งใจที่ท่านได้ตั้งใจไว้นานแล้ว)


นักข่าว : อยากให้ท่านอธิบายความที่ท่านบอกว่า ท่านก็เป็นโมฮำเหม็ดอาลี หรือเคลย์ เหมือนกัน

สมณะโพธิรักษ์ : อาศัย แหม! อาตมาพูดสิ่งแทนอย่างนี้แหละ เหมือนกับท่านเจ้าคุณโสภณคณาภรณ์ นั่นแหละพาซื่อ เป็นสารีบุตรอะไรอย่างนี้เหมือนกันเลยนี่ เดี๋ยวอาตมาเป็น โมฮำเหม็ดอาลี อีกแหละ อาตมาไม่ใช่นักชกนะ อาศัยสิ่งนั้นแทน สื่อให้ทราบว่าอันนี้ๆ อย่างที่อาตมาพูดว่า อาตมาเป็นสารีบุตรนี่ ก็เพราะว่า อาตมามีบุคลิก ที่มันหลุกหลิกนะ พระสารีบุตร คุณรู้ไหม? บุคลิกของท่านเป็นอย่างไร ศึกษาพระธรรมมาบ้างไหม? พุทธหรือเปล่า

นักข่าว : พุทธนิดหน่อยครับ

สมณะโพธิรักษ์ : พุทธนิดหน่อย เอาตั้งมากไปไว้ไหนล่ะ เอาพุทธนิดหน่อยเอง
นักข่าว : ยังไม่ลึกซึ้งครับ

สมณะโพธิรักษ์ : ยังไม่ลึกซึ้ง พระสารีบุตรนี่ ท่านเป็นเสนาบดีพระพุทธเจ้าเชียวนะ แต่ท่านหลุกหลิก ท่านไม่สงบเสงี่ยมหรอก พระอัสสชินี่ ท่านสงบเสงี่ยมมาก พระสารีบุตรเห็น ก็ศรัทธามาก นับถือเป็น อาจารย์ จะต้องฝึก แต่ด้านอื่นท่านเก่ง ด้านอื่นท่านเก่ง แต่ว่าทางด้านนี้ ท่านไม่เก่ง อย่างนี้เป็นต้นนะ แล้วคุณลักษณะ อย่างนั้นมีที่อาตมา เหมือนพระสารีบุตรนี่ หลุกหลิกๆ แล้วอาตมาก็มีเชิงปัญญาอยู่เยอะ ใช้ปัญญา ที่จะทำปัญญากับพวกเรา ให้ศึกษาด้วยปัญญา อย่าศึกษา ทางด้านงมงาย ทางด้านเจโต เขาสอนกันมามาก อาตมาสอนทางด้านปัญญา เหมือนพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์นี่ สายเจโต พระสารีบุตร สายปัญญา อย่างนี้เป็นต้น

อาตมาเอาสิ่งนั้นมาเป็นภาษาสื่อแทน อาตมาเป็นอย่างนี้ๆ แล้วก็ไปเข้าใจพาซื่อเป็นตัวตน บุคคลเราเขา เป็นบุคลาธิษฐาน อาตมาอธิบาย ธรรมาธิษฐาน เหมือนกับโมฮำเหม็ดอาลี หรือแคสเซียสเคลย์ นี่แหละ อาตมาเอาลักษณะ อย่างหนึ่งของแกมา เท่านั้นแหละ ไปตีกัน อาตมาไม่เอาของแกหรอก ไปชกปากคนนั้น คนนี้ อาตมาไม่เอาหรอก หรือว่าไปล่าเงินล่าทอง อย่างนี้อาตมาไม่เอา อาตมาเอาลักษณะของแก มาใช้ นิดหนึ่ง ตรงที่ว่า อาตมาใช้วิธีการแหย่ให้คนอื่น เขารู้สึกว่า มีเกิดกิเลสขึ้นมา เขาจะได้รู้ตัวเขา แล้วก็ตรวจ กิเลสเขาบ้าง แหย่ให้คนอื่น รู้สึกว่า มีความไม่ชอบใจบ้าง หรือว่า มีความโกรธ ขึ้นมาบ้าง อะไรบ้างได้บ้าง แหย่ให้เกิดกิเลสขึ้นมาพอสมควร ไม่ใช่ อาตมา ก็ไม่ได้แหย่มากมายหรอกนะ แหย่ให้ พอเกิดกิเลส พอให้เขา ได้รู้ตัวว่า เขาจะได้ เออ! นี่มันเกิดแล้ว เขาจะได้อ่านตัว แล้วเขาได้ปฏิบัติตน ถ้าไม่งั้น ปล่อยนิ่ง ไม่กระทบกระเทือนอะไรนะ มันหลงตัวว่า เราเองบรรลุได้เหมือนกันนะ โอ๊! นี่เรา ไม่เกิดกิเลสเลย แต่ลอง ถูกแหย่ดูมั่ง จะโกรธไหม สิริจันโทภิกขุนี่ ถ้าใครรู้จักประวัติ ท่านก็เคยใช้ แหย่ให้เขา เกิดกิเลส แล้วเขา จะรู้ตัว แต่อาตมาใช้มาก อาตมาใช้บ่อย แล้วคนไม่ค่อยรู้ตัว ถ้าคนที่เขารู้ตัว พวกเรานี่ ใช้บ่อย พวกเรานี่ รู้ว่าจะต้องพยายามกัน ติเตียนกัน บางทีก็ว่ากันอะไรบ้าง โดยประมาณ โดยการทำ ให้ประมาณ ให้มัน พอเหมาะ พอดี แล้วมันจะเกิด การปฏิบัติธรรม ได้เรียนรู้ ได้ปฏิบัติ พอเข้าใจนะ อาตมาเป็น โมฮำหมัดอาลี อย่างไร? เดี๋ยวนี้ แกก็เป็นโรคประสาทแล้ว ไปหากินทางนี้มันแย่ นักกีฬานี่ ส่วนมากแล้ว เวลาอายุมากๆ เข้าแล้วนี่ เสียทั้งนั้น เพราะมัน OVER LOAD มามาก... เป็นนักกีฬานี่เสีย ถ้าออกกำลังกาย พอสมควร ก็ใช้ได้นะ ถ้าขืนเป็นนักกีฬา ยิ่งไปแข่งขัน เอาชนะคะคานกันแล้วนะ สุขภาพเสียทุกคน


- ข้อกังขาของชาวเบลเยี่ยมที่มีต่อพุทธศาสนา

๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ ณ พุทธสถานปฐมอโศก
วันรุ่งขึ้นภายหลังเกิดกรณีสันติอโศก ชาวเบลเยี่ยมได้ขอเข้าพบสมณะโพธิรักษ์

ล่าม(เบลเยี่ยม) : ก็เป็นชาวเบลเยี่ยม มาเยี่ยมนะครับวันนี้ ชาวเบลเยี่ยมจริงๆ เยี่ยม (หัวเราะ) ก็ได้อ่านข่าว อ่านหนังสือพิมพ์ เมื่อเช้าด้วยครับ ก็เลยแวะมา ทีนี้คุณอิโด้นี่ เขาก็สงสัยอยู่ ๒ อย่าง ว่าเขามาเมืองไทยนี่ เขาเห็น เอ้อ เมืองพุทธศาสนานี่ เขาบอก พระพุทธเจ้าเองก็เป็น เป็นคนซึ่งสละความสะดวกสบาย และ ข้าวของเงินทอง มาเป็นสามัญชน แต่เวลาชาวพุทธ มาสร้างเจดีย์ สร้างวัดวาอาราม หรือสร้างพระ ทำไมปิดทอง ซะเหลืองอร่ามไปเลย ทำไมถึงทำเหมือนกับว่า เป็นแบบ เป็นทองคำ มีค่าอะไรต่างๆ

สมณะโพธิรักษ์ : อ๋อ เขาทำ มันรูปเป็นที่น่านับถือ ยกย่องให้มีค่า พระพุทธเจ้าก็ต้องมีค่า รูปพระพุทธเจ้า ก็ต้องมีค่า เป็นสมมุติ รูปให้ปั้นเป็นที่สำคัญขึ้นมา ความหมายมันเป็นอย่างนั้น นะ มีอะไรๆ มีทองอะไร ก็เอามาเทให้แก่ พระพุทธเจ้าได้ คล้ายๆ อย่างนั้นนะ

ล่าม : คือว่า ที่เขาคุยมา เขาบอกว่า เป็นการวัดสิ่งมีค่ากับทองใช่ไหมครับ

สมณะโพธิรักษ์ : ก็โลกเขาสมมุติเอา

ล่าม : ทางโลกเขาสมมุติ

สมณะโพธิรักษ์ : สมมุติว่า อันนี้เป็นของมีค่า เราก็ทุ่มเทให้ท่าน มีค่า เราเสียสละให้ท่านได้

ล่าม : ไม่รู้จะเอาอะไรมาแทนค่า ก็เลยเอาทองคำ

สมณะโพธิรักษ์ : ใช้ทองคำแทน

ล่าม : ครับ แล้วก็อีกคำถามหนึ่ง เขาก็บอกว่าเขาเดินในกรุงเทพฯ นี่ ก็เห็นสภาพของบ้านเมืองที่มันวุ่นวาย ของโสเภณี หรือว่า ของผู้หญิงอะไรต่างๆ ในสถานบริการ ทุกๆ ประเภท เพราะว่า ในขณะที่วัดวาอาราม ก็เรืองรอง ไปทั้งประเทศ ทั้งเมืองกรุงนี่ นะครับ แล้วก็โสเภณีก็เกลื่อน เต็มวัดเหมือนกัน รอบวัดนั่น ก็ใช่ ทั้งนั้นเลย อะไรต่างๆ นี่ เขาบอกว่า อันนี้จะอธิบาย ว่าอย่างไรดีครับ ว่าเป็นพุทธศาสนาอย่างไรดี ?

สมณะโพธิรักษ์ : มันก็แสดงถึงว่าประสิทธิภาพของศาสนา มันไม่มีผลนะสิ

ล่าม : หัวเราะ

สมณะโพธิรักษ์ : ไม่มีประสิทธิภาพ

ล่าม : หมายถึงว่าศาสนาที่เป็นอยู่ใช่ไหมฮะ? รึว่าไง?

สมณะโพธิรักษ์ : ศาสนาที่เป็นอยู่ ผู้สอนศาสนาก็ด้วย ผู้สอนศาสนา อืม ประสิทธิภาพของผู้สอนศาสนา มันไม่พอ

ล่าม : ก็คือพระนั่นแหละ ใช่ไหมฮะ (หัวเราะ)

สมณะโพธิรักษ์ : มันตรงกันข้ามกับที่มันน่าจะเป็นพุทธ ก็เพราะอย่างนั้น อธิบายไปแล้ว



สันติอโศก ไม่มีพระพุทธรูป จริงหรือ?

๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๒

นักข่าว : เรื่องในกรณีที่ทางสันติอโศกไม่มีพระพุทธรูป พอจะชี้แจงได้ไหมคะ?

สมณะโพธิรักษ์ : อาตมาไม่ส่งเสริมนะ ที่จริงมีนะสันติอโศกมี วันนั้น ช่องเจ็ดยังไปถ่ายเลย อยู่ที่ห้องกลาง พระพุทธรูป วันนั้น ยังถ่ายเลย แต่ว่าเราไม่ได้ไปเอาพระพุทธรูปนี่มาส่งเสริม เพราะว่ามันเฟ้อแล้ว เราก็กราบได้ อันนี้ก็เหมือนกัน เรื่องไม่กราบพระพุทธรูป นี่ลือไปได้ทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วก็เอามายืนยัน อยู่นั่นแหละ พูดไปจนกลายว่า พวกเรานี่ เป็นลัทธิ ไม่กราบพระพุทธรูป นี่เป็นความไม่จริง อาตมาเคยพูด อาตมาเคยตอบไปนะว่า ไม่เคยเป็นนะอย่างนั้น ไม่กราบพระพุทธรูปนั่น ไม่มี เราไม่ได้บ้าๆ บอๆ อย่างนั้น เรากราบ พระพุทธรูป เป็นแต่เพียงว่า เราไม่ส่งเสริม เราเห็นว่าตามเศรษฐกิจ ตามหลักเศรษฐกิจ พระพุทธรูป เฟ้อแล้ว พระเครื่องก็ดี พระบูชาก็ดี เอามาแจกคนนี่ มี ๕๖ ล้านคน ประเทศไทยใช่ไหม พระพุทธรูป กับพระเครื่องนี่ มากกว่า ๕๖ ล้านองค์แล้ว ทั้งพระเครื่อง ทั้งพระพุทธรูป ใช่ไหม ทุกวันนี้ ในประเทศไทยนี่ แจกกันคนละองค์ สององค์ ยังถ้วนทั่ว ทั่วประเทศไทย แล้วก็มาปั๊มขาย ปลุกเสก ออกนอกรีต นอกรอย อะไรทำเป็นสินค้าอะไร น่าเกลียดน่าชัง อาตมาก็เลย ไม่ส่งเสริม ไม่ได้หมายความว่า เราเองเราไม่เคารพ นับถือพระพุทธรูป ไม่กราบ โดยเฉพาะคำว่า ไม่กราบพระพุทธรูป เอาไปใส่ความ พวกอาตมา มากมาย ให้ประชาชนเกลียดชัง ส่อเสียด ให้เขาเข้าใจผิดพวกอาตมา ให้เกลียดชัง ซึ่งวันนั้น ช่อง ๗ เขาก็ถ่ายภาพออกไป รูปเขียนพระพุทธเจ้า อยู่ที่ห้องสมุดนั่นก็มี รูปเขียนพระพุทธเจ้า อยู่ที่ในห้อง ข้างในนี่ก็มี และองค์พระพุทธรูปก็มี พระพุทธรูปนอนองค์หนึ่ง แล้วก็พระพุทธรูปองค์นั่งหนึ่งก็มี ทีวี เขาก็ถ่ายออกไป อย่างนี้ เป็นต้น ใส่ความหลายอย่าง แต่เราไม่อยากไปโต้เถียง เราประเภท เห็นแก่ ความสงบ เราก็สงบๆ ไป เขาจะว่าอย่างไร ใครไม่อยากมารู้ความจริง ไม่มาสอบทานเอาความจริง ก็เรื่องของเขา อาตมาทำให้เห็น เป็นกุศโลบายว่า พระพุทธเจ้านั่นน่ะ ท่านพุทธทาส ก็ยังว่าเลย พระพุทธรูป บังพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า มันจริงๆ แล้วเราก็บอก ไม่ต้องมี พระพุทธรูปนี่ เราจะให้คน ถึงพระพุทธได้ เราก็พิสูจน์กัน ถึงพระพุทธเจ้าด้วยศรัทธาที่พร้อม ที่สมบูรณ์ครบปัญญา มีสภาวะ พระพุทธที่แท้จริง อาตมานี่ศรัทธาพระพุทธเจ้า สุดเกล้าสุดเศียร เลือดเนื้อกระดูก วิญญาณ ทุกหยด เทินทูนให้แก่พระพุทธเจ้า ทุกสัดส่วน อาตมาเทิดทูนจริงๆ เพราะอาตมาสืบเลือดเนื้อ ของพระพุทธเจ้า ทางวิญญาณมาจริง

นักข่าว : ทีนี้ว่า อ่า! สำหรับสันติอโศกเหตุผลมีอย่างไรครับ ถึงไม่ได้ส่งเสริมการมีพระพุทธรูป

สมณะโพธิรักษ์ : พูดกันให้ชัดๆ นะ...ว่า อาตมาไม่ส่งเสริมอะไร จะว่าไม่ส่งเสริมการมีพระพุทธรูปนั้น ก็มีส่วนถูกต้อง เพราะมันมีกันจนเฟ้อ และหลง เรื่อง "หลง" ไว้ค่อยขยายความ และเพื่อพิสูจน์ว่า ยิ่งไม่มี พระพุทธรูป นี่แหละ ยิ่งถึงพระพุทธได้จริงกว่า

หรือจะว่าไม่ส่งเสริมการสร้างพระพุทธรูป ก็ใช่อีก เพราะมันเฟ้อแล้ว ตามที่ได้พูดไปแล้ว เพราะถ้าจะมีไว้ เพื่อกำหนดยึดถือ สมมุติแทนพระพุทธองค์ ก็องค์ใดองค์หนึ่ง หรือมีองค์เดียว ก็ใช้ได้แล้ว ดังนั้น ตามหลัก เศรษฐศาสตร์ ก็ไม่ควรสร้างแล้ว

ยิ่งเหตุแห่งการสร้าง ก็ยิ่งก่อเกิดกิเลสทั้งนั้น กิเลสทางการค้าหาเงินนี่ น่าเกลียด น่าขยะแขยงที่สุด บาปมากที่สุด ถ้าเข้าใจ "บาป" ได้อย่างถูกต้อง กิเลสทางอัตตาในใจผู้สร้างก็มาก เช่น จะสร้างให้ใหญ่ จะสร้างให้สวย จะสร้างให้แปลก พิเศษยิ่งๆ กว่าใครๆ ที่เป็นเชิงข่ม เชิงแข่ง เชิงอวด เชิงหลงผิด นานาสารพัด ซึ่งมีมากแง่ มากเชิง ที่แน่ๆ เป็นอัตตามากนักหนาก็คือ จะให้มานิยมชมชอบ "องค์ที่ข้าสร้าง" นี่แหละ ยิ่งกว่าใครๆ องค์นี้แหละ น่าศรัทธา น่ามาดูมาพบ มากราบ มาไหว้ มาบูชามาเคารพนับถือ มาหลงใหล กว่าองค์ไหนๆ ในโลกได้ ข้า(ผู้สร้าง) ก็จะชอบที่สุด ซึ่งเป็นกิเลสในจิต เป็นความหลงผิด เป็นอัตตามานะ เพราะที่ถูกแล้ว ใครจะสร้างก็ตาม พระพุทธรูปองค์ไหนก็ตาม ก็ควรจะนับถือว่าเป็น "สิ่งแทน" หรือเป็น "สมมุติ" ได้เหมือนกัน และควรจะเท่าเทียมกัน ไม่ควรจะสำคัญ หรือมีค่าต่างกัน โดยเฉพาะ ค่าทางด้านนามธรรม ทางจิตวิญญาณที่เคารพนับถือ ศรัทธาเลื่อมใส บูชายกย่อง

มันจึงเป็นเรื่องแคบ เรื่องตื้น เรื่องกิเลสอัตตามานะหยาบขึ้น จัดจ้านขึ้นโดยไม่รู้เท่าทันกันไปทุกวัน

ที่ร้ายที่สุดก็คือ เป็นเรื่องเหลวไหลทางนามธรรม คือยิ่งนำพาให้ "หลง"(โมหะ) ยึดถือ หรือ เคารพนับถือ อย่างนอกลู่ นอกทาง เป็นเรื่องของเทวนิยม หรือวิญญาณนิยมจัดจ้านขึ้นทุกวัน แทนที่จะนำพาไปทาง "กรรมนิยม" หรือ "สัจจนิยม" ที่ลึกซึ้งในสัจจะ ทั้ง ๒ คือ สมมุติสัจจะ กับ ปรมัตถสัจจะ ก็กลายเป็น ยิ่งหลงว่า วิญญาณเป็นอัตตา หนักขึ้นไปเรื่อยๆ คือ หลงเข้าใจ และยึดถือว่า วิญญาณเที่ยง วิญญาณ เป็นตัวตน เชื่อวิญญาณไปในทางไสยศาสตร์ ไปเป็นเดรัจฉานวิชชา ซึ่งจะไม่สามารถเกิด ญาณทัสสนะ วิเศษ รู้แจ้งในวิญญาณได้ดีจริง และถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นได้ แต่กลับจะยิ่งหลงไปว่า เป็นความจริง ที่วิญญาณ สิงได้ วิญญาณทรงได้ นำบรรจุใส่ในอิฐหินดินปูน อะไรต่ออะไรก็ได้ มีฤทธิ์ มีเดช อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งยิ่งงมงาย ยิ่งก่ออุปาทานหนา (ปุถุ) ขึ้นๆ ให้แก่ตน แก่ผู้ไม่รู้จริง พลอยหลงตาม มากขึ้นๆ จนประมาณ มิได้แล้วทุกวันนี้ ที่เป็นเรื่องหลอก เรื่องนอกรีต

เช่น หลงว่า อยู่ยงคงกระพัน เพราะพระพุทธรูปองค์นั้น พระเครื่ององค์นี้ของอาจารย์ผู้นั้นผู้นี้ ซึ่งถ้าเป็นได้ แน่ๆ จริงๆ วิเศษแท้กันปานนั้น ก็น่าจะยอมรับกัน ในระดับประเทศ นำมาสร้างกันอย่างมาตรฐาน เป็น กิจจะลักษณะ กันเสียเลย ให้ถูกหลักวิชาเลย อาจารย์ไหนที่เก่งจริง ก็เทิดทูนกัน ระดับประเทศไปเลย แล้วแจก ตำรวจ - ทหารก่อนเพื่อน จะได้ไปจับโจร ไปสู้ข้าศึก โดยไม่ต้องใช้อาวุธ ให้เปลือง เพราะอยู่ยง คงกระพันจริงแล้วนี่ สู้เขาได้สบายมาก

หรือหลงว่า มหานิยม เจริญลาภ-ยศ ทรัพย์สินเงินทอง อยู่เย็นเป็นสุขกันได้จริง ก็น่าจะสร้างพระเครื่อง พระพุทธรูปนั้นๆ ให้เป็นกิจจะลักษณะเป็นทางการ ให้ได้มาตรฐานที่สุดไปเลย แล้วนำพระเครื่อง พระพุทธรูป เหล่านั้น มาแจกแก่ผู้ยากจน ผู้อยู่ไม่เย็นเป็นไม่สุขในประเทศไทย หรือประเทศด้อยพัฒนา อื่นๆ อีกมาก ให้ครบ จะได้กอบกู้สังคม กอบกู้ประเทศชาติ ให้พ้นความยากจน ค่นแค้น ทุกข์ร้อน ทรมาน กันเสียที

อาตมาขอยืนยันในที่นี้ว่า การอยู่ยงคงกระพันก็ตาม การจะได้โชคลาภก็ตาม จะแคล้วคลาดก็ตาม หรือ จะมีอภินิหาร อื่นใดก็ตามนั้น มันไม่ใช่เพราะพระเครื่องพระพุทธรูป หรือแม้แต่เครื่องรางของขลัง ของ อาจารย์เก่ง องค์นั้นองค์นี้ อย่างเด็ดขาด แต่อยู่ที่ "คน" ไม่ใช่อยู่ที่พระพุทธรูป พระเครื่อง หรือเครื่องราง ของขลังนั้นๆ นี้ๆ อันไหนๆ มันเพราะ "คน" โดยเฉพาะคนผู้นั้นๆ กับจิตใจของเขาเอง และองค์ประกอบ ในเรื่องนั้นๆ ซึ่งเรื่องนี้ ต้องศึกษาพุทธศาสนากัน อย่างสัมมาทิฏฐิให้ดีๆ จริงๆ แล้วจะเข้าใจ กระจ่างหมด หรือ อย่างน้อยก็ "ปัจเจกสัจจะบรรเทา" กันได้จริงๆ หรือยิ่งบรรลุปรมัตถธรรมเป็นพระอริยะขั้นสูง พอสมควร มีสภาวะจิตสะอาดพอสมควร มีญาณทัสสนวิเศษแท้ ก็จะรู้จักจิตวิญญาณดี และจะแจ้งชัด ในอุปาทาน ที่โง่ได้ และยึดติด จนเป็นอะไรๆ ที่เกินสามัญได้ แปลกประหลาดได้กัน อย่างหมดสงสัย (พ้นวิจิกิจฉา)


สมณะโพธิรักษ์ ไม่กราบไหว้พระพุทธรูปจริงหรือ ?

๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๒

นักข่าว : เขากล่าวหาว่าท่านไม่ยอมไหว้พระพุทธรูป

สมณะโพธิรักษ์ : แล้วมันจริงไหมล่ะ คุณว่าอาตมาไหว้พระพุทธรูปหรือเปล่า?

นักข่าว : ก็ต้องไหว้บ้างละ

สมณะโพธิรักษ์ : ไม่ใช่ไหว้บ้างละ อาตมาก็ไหว้ก็กราบเคารพนับถือเป็นรูปแทนพระพุทธเจ้า นี่อย่าง ใส่ความ อย่างนี้ เราเองเราไม่ไปโต้เถียงนะ เราไม่ได้ไปค้านแย้งอะไร เขาว่าก็ตู่กันไป

นักข่าว : น่าจะแย้งบ้าง

สมณะโพธิรักษ์ : เราก็พูดก็บอกแต่ไม่ฟัง เราก็บอกว่าเราไม่เคยอย่างนั้นนะ เราไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวตู่ ว่าเราไม่กราบเคารพพระพุทธรูป เรากราบเคารพ เป็นแต่เพียง เราไม่ส่งเสริม เพราะว่ามันเฟ้อแล้ว เราก็ให้เหตุผล ทุกอย่าง เราก็ถ่วงดุลในส่วนหนึ่ง ตามความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ก็ดี ทางด้านอะไรก็ดี ในสังคมนี่ ควรจะต้องถ่วงกันไว้ ให้พอเหมาะพอควรใช่ไหม? อันไหนที่มันผิดพลาด เราก็พยายามแก้ไข ด้วยเจตนาดี


- ทำไม ? คนดีจึงถูกข่มเหง

๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๒

ณ พุทธสถานปฐมอโศก ภายหลังจากที่คณะการกสงฆ์ ประชุมกันที่ พุทธมณฑล นักข่าวได้ไปสัมภาษณ์ สมณะโพธิรักษ์

นักข่าว : เกรงว่าถึงขั้น แบบเขาจะเอากฎหมายมาแล้วก็ใช้เรื่องกฎหมายอาญาอะไรอย่างนี้ค่ะ เพราะว่า เห็นเขาพูดว่า ถ้าดำเนินการก็เป็นไปตามกฎหมาย ก็ไปถึงขั้นกฎหมายอาญา (หัวเราะ)

สมณะโพธิรักษ์ : อาญาก็อาญา ก็ไม่เป็นไร แล้วแต่จะตัดสินยังไง จะตัดสินจำคุก จะติดคุก หรือว่า จะยิงเป้า ก็เป็นไปตามเรื่อง อาตมาไม่มีปัญหาหรอก (นักข่าว : ไม่มีปัญหา) ไม่มีปัญหาจะตัดสินยังไงก็เอา

เพราะว่าประวัติศาสตร์ มันมีมามากมาย พระเยซูก็โดนตรึงการเขน โจนอ๊อฟอาร์ค ก็โดนเผาทั้งเป็น โสเครตีส ก็โดนกินยาพิษตาย ตายไปแล้ว พระโมคคัลลาน์ ก็ถูกผู้ไม่เข้าใจท่านฆ่าไปแล้ว อะไรอย่างนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา อาตมาไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้

อาตมาจะต้องถูกยิงเป้าก็อาจจะเป็นไปได้ ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็... เท่าที่อาตมาจะทำได้ดีที่สุด ก็จบ ถึงขั้น จะต้องเผาเหมือน โจนอ๊อฟอาร์คถูกเผา ก็เผา ถึงขั้นจะให้กินยาพิษ เหมือนโสเครตีส ก็เอา จะให้ถึงขั้น ตรึงกางเขนแบบพระเยซูก็เอา ถ้าเผื่อว่าบ้านเมืองนะ ก็มีหลักของบ้านเมือง ตัดสินอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น ก็ยอมรับ ถ้ามันผิดอย่างนั้นนะ เพราะอาตมาก็จริงใจ อาตมาว่า อาตมาไม่ได้เจตนา จะมาทำ อะไรผิด อะไรชั่วนะ อาตมาว่าเกิดมาชาติหนึ่ง เราควรจะทำสิ่งที่ดีที่สุด ถูกที่สุด ให้มันดี เป็นคนขึ้นมา ก็เป็นคนดีๆ จริงใจที่สุด ก็ทำไป ตายมันก็เรื่องปกติ

ที่สั่งสอนกันอยู่ทุกวันนี้ ก็สอนให้คนดี พยายามบอก พยายามสอนอยู่ทุกวิถีทาง พยายามมาเป็นคนดี เป็นคนที่มี ประโยชน์คุณค่าในสังคม ช่วยสังคมต่างๆ นานา ก็พยายามทำจริงๆ ทำจริงๆ นะ ไม่ใช่ว่า ทำเล่นๆ เลยนะ แต่ใครจะเห็นว่ายังไงก็แล้วแต่ จะเห็นว่าไปผลาญ ไปพร่า ไปทำลายโน่นนี่อะไร ก็แล้วแต่ ความคิดของเขานะ

นักข่าวชาย : เมื่อกี้ ท่านว่าพระโมคคัลลาน์นี่ อันนี้ไม่ได้หมายถึงว่า..

สมณะโพธิรักษ์ : ไม่ได้ทำลายตัวเองนี่ มีคนอื่นเขาทำลายทั้งนั้นนี่ พระโมคคัลลาน์ ก็ถูกคนอื่นฆ่า โจนอ๊อฟอาร์ค ก็ถูกตัดสินให้เผาไฟทั้งเป็น เขาว่าเป็นแม่มด แม้กระทั่ง โสเครตีน ก็ถูกศาล ของทางการ นั่นแหละ ตัดสินให้กินยาพิษตาย ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของอาณาจักร มันเป็นเรื่องปกติ อาตมาเห็นว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องประหลาดอะไร ประวัติศาสตร์มันมีมากกว่านั้น ในเรื่องราวน่ะเยอะแยะไป เป็นเรื่อง ธรรมดา ถ้าเผื่อว่า จะเป็นอย่างนั้น อาตมาก็จำนน ก็เป็นไปตามนั้น แต่ถ้าเผื่อว่าไม่เป็นไปตามนั้น ถ้าเผื่อว่า บ้านเมือง เห็นจริง เห็นดี เห็นชอบ เห็นว่าอาตมาควรจะมีประโยชน์คุณค่าต่อบ้านเมือง ต่อประโยชน์อะไร ก็ว่ากันไปซิ จัดสรรให้อาตมา เพราะอาตมาก็เป็นคนคนหนึ่ง อยู่ในประเทศชาติ ก็ตั้งใจดีต่อประชาชน และ ประเทศชาติ ทุกอย่าง อย่าว่าแต่ประเทศชาติเลย ประชาชนทั้งมวล อาตมาก็หวังดี ปรารถนาดี ก็ทำสิ่งที่ดี เท่านั้นเอง อาตมามีสิทธิ์พูดจริง ทำจริงเท่านั้น แต่อาตมาไม่สามารถบังคับความเข้าใจ และความเชื่อ ของใครๆ ได้ คนจะเชื่อตามอาตมา หรือจะเข้าใจตามอาตมายากอยู่บ้าง อาตมารู้อยู่

ถ้าเห็นว่าอาตมามีค่า อาตมามีประโยชน์ จะจัดสรรให้อาตมาเป็นประโยชน์อะไรอยู่ก็ทำไป แต่ถ้าเผื่อว่า เห็นว่า อาตมาไม่มีค่า ไม่มีประโยชน์ จะทำลายล้างลงไป ถึงแม้อย่างที่ว่า จะให้เผาทั้งเป็นเหมือน โจนอ๊อฟอาร์ค จะให้แขวนตรึงกางเขน เหมือนพระเยซู หรือจะให้กินยาพิษตายเหมือน โสเครติส ก็คงต้องทำ ถ้าถึงที่สุด จะถูกลงโทษโดยกลไกสั่งคุมนี้ให้เป็นเช่นนั้น



- สมณโพธิรักษ์ ในสายตาของนักหนังสือพิมพ์ชาวฝรั่งเศส

๔ มิถุนายน ๒๕๓๒ ณ พุทธสถานสันติอโศก

ภายหลังเกิดเหตุการณ์ในครั้งนี้ นักข่าวหนังสือพิมพ์ ACTUEL (ชาวฝรั่งเศส) ได้ยินเสียงลือ เสียงเล่าอ้าง เกี่ยวกับ สมณะโพธิรักษ์ จึงต้องมา สัมภาษณ์ถึงที่

ล่าม : เอ้อ ฮ่ะ (แปลตอบ) เราบอกว่า มีความยินดีมาก ที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากที่นี่ หรือ จากพ่อท่าน ซึ่งเขายังไม่เคยรู้จักพ่อท่านเลย แต่เขาก็อยากจะสัมภาษณ์อะไรบ้างน่ะค่ะ เขาบอกว่า พ่อท่าน เหมือนต้นตำรับ ต้นกำเนิดของคนยุคสมัยโบราณ

คุณภรณ์ : เขาเรียกว่า ฟองตารีส ฟองตา มองตารีส แปลว่า เป็นต้น

ล่าม : ค่ะ คือเป็นต้น ต้นพระแท้ๆ รู้สึกว่าจะเป็นพระที่เป็นต้นแบบเลย แล้วก็ เอ้อ พ่อท่านรับหรือเปล่า ซึ่ง ซึ่งแตกต่าง กับพระในเมืองไทย ที่เขาเห็นนี่ พ่อท่านรับหรือเปล่าว่าเป็นแบบนั้น

สมณะโพธิรักษ์ : (พยักหน้ารับ) อ๋อ อ๋อรับ ใช่ใช่

ล่าม : คือว่ารู้สึกว่าพ่อท่านนี่จะเสนอภาพพจน์ของพุทธศาสนาแบบนามธรรมน่ะค่ะ คือแบบว่า ไม่เอา รูปธรรม คือทำลายรูปธรรม คือรูปปั้นของพระพุทธเจ้า แล้วเขาจะถามว่า แล้วคนไทย สามารถจะรับได้เหรอ ในความหมาย ของพระพุทธเจ้า ที่ไม่ใช่เป็นรูป ซึ่งเราปฏิเสธรูปนี่ (หัวเราะ)

สมณโพธิรักษ์ : จริงๆ แล้ว มีทั้งรูปธรรมด้วยนะ ที่จริงมีด้วย แต่ก็เน้นนามธรรมน่ะ ใช่ ถ้าจะบอกว่า จะรับไม่ได้หรือ ก็รับ รับกันๆได้นี่ ก็นี่ไง (ชี้ไปที่กลุ่มคนที่อยู่รอบๆ) ที่เขามาปฏิบัติด้วย มีหลักฐานว่า นี่เขารับได้ อือ เขารับได้ รู้เรื่อง

ล่าม : เอ้อ ก็เขาเห็นภาพพจน์ของพระพุทธรูปเจ้านี่ ที่เป็นรูปปั้น ซึ่งเป็นรูปธรรมนี่ นานแล้ว นานถึงเท่าไหร่ คือ เขานับถือ ฮ่ะ นับถือรูปเคารพนี่ มานานมากแล้ว นานสักเท่าไหร่ เขาว่า

สมณะโพธิรักษ์ : รูปเคารพที่เริ่มมีมานี่ มันมีมาประมาณสักเกือบ ๒ พันปี ยังไม่ถึง ๒ พันปี เกือบสองพัน ปีแล้ว สำหรับรูปเคารพที่บังเกิดขึ้น หลังจากที่พระพุทธเจ้าท่านได้ปรินิพพานไปได้แล้วเกือบ ๗๐๐ ปี จึงมี รูปเคารพ

ล่าม : งั้นก็ เป็นความยากลำบากที่จะหวนกลับไป หลังจาก ๒,๐๐๐ ปี นั้นไปแล้ว เพื่อจะไปหาต้นตอ ใช่ไหมคะ

สมณะโพธิรักษ์ : เอ้อ เราก็ยอมรับในบางสิ่งบางอย่างที่มันแก้ไขไม่ได้ หรือว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่สารัตถะ เนื้อหา ที่แท้ๆ ที่มนุษย์จะพึงเอาได้ทางจิตวิญญาณ ทางจิตวิญญาณที่จะเป็นผู้ที่ลดกิเลส ตัณหา อุปาทาน แล้วก็สำนึกดี ที่จะสร้างให้เป็นคนดีนี่ อันนี้เราพิสูจน์ได้ แล้วทำได้ เดี๋ยวนี้ก็ยังทำได้


ที่นี่ตอบทุกปัญหา # 3280.SS