พ่อท่านตอบปัญหากลุ่มปากช่อง
ณ บ้านฟ้าภราดร นครราชสีมา
ธรรมก่อนฉันเมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๖

ถาม ทำไมคนเราจึงต้องเจอแต่เรื่องร้ายๆ ตลอด เดี๋ยวคนนั้นก็ตาย ต่อมาพี่ชายก็ตาย แม่เขาเป็นลมแล้ว เป็นลมอีก

ตอบ ลักษณะพวกนี้นี่นะ ถ้าคิดให้ลึกซึ้ง คนนั้นตาย คนนี้ตาย ลูกหลานพี่น้องคนนั้นตายคนนี้ตาย เป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ เป็นมะเร็ง ถูกรถชน เป็นโน่นเป็นนี่ มันไม่ใชเรื่องของส่วนตัวของเรา มันเป็นเรื่อง ของแต่ละคน

ทีนี้เมื่อมาเกี่ยวข้องกัน มาสัมพันธ์กันนี่ มันก็เป็นข้อพิสูจน์ ถ้าเราเป็นโลกๆ เป็นคนโลกย์ๆ เราก็จะรู้สึก ทุกข์ร้อน เราก็รู้สึกหวงแหน รู้สึกสัมพันธ์ รู้สึกติดยึด แล้วเราก็เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะเขาตาย ทุกข์เพราะ เขาทุกข์ ที่จริงเราไม่ได้เป็นทุกข์ ที่ทุกข์นั่นเขาทุกข์ ไม่ใช่เราทุกข์ แต่เรานี่ไปเอาทุกข์มารู้สึกว่าเราทุกข์ นี่ถ้าพูดลึกๆ โดยปรมัตถ์แล้ว เราโง่ ความจริงมันเป็นแบบฝึกหัด ถ้ายิ่งสัมพันธ์ใกล้ชิดเท่าไร เราก็... ตามสามัญของโลกๆ ของปุถุชนจะรู้สึกว่าเรา เป็นของเรา มันเป็นของเรามากขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเรา ปฏิบัติธรรม ทางโลกุตระแล้วจะต้องรู้สึก ต้องวางให้ได้ ต้องเห็นให้ได้ว่า ที่จริงไม่ใช่ของเรา อย่าว่าพี่ ไม่ใช่เรา น้องไม่ใช่เราเลย เนื้อไม่ใช่เรา หนังไม่ใช่เรา ขนาดติดอยู่กับตัวเรานี่ พระพุทธเจ้า ยังบอกว่า นี่ไม่ใช่เรา นี่ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมที่ลึกๆ เป็นโลกกุตระแล้วก็ต้องหัดวาง จริง มันมาสัมพันธ์เป็นพี่เป็นน้องนี่ แล้วพี่น้องเหล่านี้ เขามีวิบากของเขา เขาจะต้องไปถูกทรมาน ทรกรรม เขาจะต้อง ถูกรถชนตาย เขาจะต้องเป็นมะเร็ง เขาจะต้องเป็นอัมพาต เขาจะต้องเป็นอะไร เขาเป็นคนทุกข์ เราจะต้องหัดวางใจว่า มันเป็นโจทย์ให้เราได้วาง แต่ทุกข์จริงๆ ไม่ใช่เรานะ ทุกข์จริงๆ คนโน้นน่ะเขารับ

ถาม บางคนมีลูกสาวหลายคน แต่ที่สุดก็ต้องมาให้คนนี้รับผิดชอบ คนนี้ก็ให้เรารับผิดชอบ คนโน้นก็ให้เรา รับผิดชอบ
ตอบ ก็เป็นทางให้เราได้ทำบุญ เขาก็ได้ทำบุญ เขาก็ได้เกื้อกูล เขาก็ได้ช่วยเหลือ เขาก็ได้สร้างบุญแท้ๆ เลย ได้เลี้ยงดูคนอื่น เกื้อกูลคนอื่น เป็นการเสียสละของเขา เขาได้บุญนะ เหตุที่ทำให้เขาได้บุญมากขึ้น จะไปเสียใจทำไม ควรจะเข้าใจให้ถูก โอ๊ดี! เอาละ เป็นอย่างนี้นี่วิบากเรา เป็นเหตุเป็นปัจจัย แล้วมันก็ต้อง สามัญ เราก็ต้องดูแลพี่ๆ น้องๆ มันก็ของจริงๆ เราก็ต้องดูแล เราก็ต้องเสียสละ เราก็ต้องเอื้อเฟื้อ เจือจาน เกื้อกูล คำว่าญาติ อาตมาก็อธิบายแล้วว่า คำว่าญาติก็คือ การพึ่งพาอาศัยกันได้ เกื้อกูลกัน เราก็ทำหน้าที่ ญาติของเรา อย่างเต็มที่เลย ดีสิ ถ้าจะว่าไปแล้ว มองในทางกลับกันแล้ว นั่นเป็นประโยชน์ เป็นบุญ

๑. เราได้หัดวางใจว่าพี่น้องนี่มันทุกข์มันร้อน บอกแล้วว่า ตัวทุกข์ร้อนไม่ใช่เรา เราไม่ได้เป็นอัมพาต เราไม่ได้เป็นมะเร็ง ใช่ไหม เราไม่ได้เป็นคนทุกข์ ทุกข์มันคนโน้น แต่เราได้ช่วยเขา เราก็บุญ เราก็ได้เสียสละ

ถาม ก็แบกรับ

ตอบ ก็นั่นแหละ เราก็ได้บุญ แล้วเราก็หัดวางใจอีกด้วย เพราะว่านี่เป็นเหตุจริงๆ เลย เข้าใจให้ได้ว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่สัมพันธ์ใกล้ชิดก็เป็นไปตามวิบาก ดีแล้วละ เป็นเหตุปัจจัย เราก็ได้วาง เราก็ได้ หัดทำใจของเรา เป็นโจทย์ที่จริงดีนะ คนปุถุชนคิดไม่ได้อย่างนี้ใช่ไหม อย่างอาตมาพูด นี่เขาคิดไม่ได้ อย่างนี้ แล้วก็จะฝึกหัดไม่ได้อย่างที่อาตมาพูด เขาจะเข้าใจผิดไปเลย ก็ยิ่งไปตี ไปยึด ยิ่งไปผูกพัน ยิ่งไปทุกข์ร้อน แทนๆๆ เราโง่ต่างหากเล่า บอกแล้วว่าเรา ไม่ใช่ตัวทุกข์ เราไม่ได้เป็นมะเร็ง เราไม่ได้เป็น อัมพาต เราไม่ใช่ตัวทุกข์ เข้าใจไหม ต้องฉลาดชัดเจนอย่างนี้ ถ้าไม่ชัดเจน ไม่ฉลาดอย่างนี้ก็ไม่หลุดพ้น

ถาม ดูตัวอย่างมันก็เป็นอย่างนั้น

ตอบ ใช่ เราก็อย่าไปสร้างวิบาก ถ้าเราสร้างวิบากไม่ดี เดี๋ยวก็จะมาเป็นมะเร็ง, อัมพาต, หรือถูกรถชนตาย หรือจะถูกอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเรามีวิบาก มันก็จะมาถึงเรา แต่นี่ไม่ใช่ตัวเราแท้ๆ มันตัวคนอื่น แต่มัน สัมพันธ์กัน มันเป็นโจทย์ ถ้าไม่ใช่ตัวเรา เราก็เป็นโจทย์หนักขึ้น แม้เราเป็นมะเร็ง เราก็ต้องวางว่า ไม่ใช่เรา อีกนั่นแหละ แม้แต่เราเป็นอัมพาต ก็ต้องวางตัวเรา ว่าเรานี่ไม่ใช่เรา เนื้อไม่ใช่เรา หนังไม่ใช่เรา เราไม่ใช่เรา มันก็ต้องวาง จิตก็จะว่าง เมื่อวาง มันก็จะลึกเข้าไปอีก ยิ่งหนักเข้าไปอีก

ถาม แต่ไม่ใช่ลักษณะด้านชานะคะ

ตอบ ไม่ใช่ด้านชา รู้ด้วยปัญญา ไม่ใช่คนไม่มีหัวใจ ไม่ใช่คนไม่มีเมตตา เราก็วางใจเรา เราไม่ทุกข์ตาม หรอก แต่เราก็ทำหน้าที่ญาติ ทำหน้าที่ช่วยเหลือเกื้อกูล ทำหน้าที่เสียสละ ทำจริงๆ ดี เป็นความดีงาม เป็นแบบอย่างที่ดี เป็นพฤติกรรมกุศล


พ่อท่านโปรดญาติโยมกลุ่มปากช่อง
ณ บ้านฟ้าภราดร นครราชสีมา
เมื่อ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๖

*****************
หน้า A

ตอบ ทำไมเราอาภัพ ทำไมเราอย่างโน้น อย่างนี้ อย่าไปคิด คิดก็เท่านั้น เสียเวลา เสียแรงงาน เสียแคลอรี่ แล้วก็ทำให้เราเอง ออเซาะอัตตา เรียกว่าอัตตา มีตัวตนนั่นแหละ มันโอ๋ตัวเราเอง ไม่ต้องไปโอ๋มัน ตัวเรานี่ ให้วางใจ ว่าเป็นอย่างนี้ เป็นความธรรมดา วิบากใคร วิบากใครก็เป็นไปตามนั้น ทุกข์ยากกว่าเรา มีเยอะแยะไป คนที่แย่ยิ่งกว่าเรามีมากมาย เราแค่นี้มันจะอะไรกันนักหนา คนได้รับวิบากเลวร้ายยิ่งกว่าเรา มากมาย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเปรียบไปเทียบ เราเจอขณะไหนก็เออ ได้ขนาดนี้ก็ขนาดนี้ เราทำดีอะไรได้ ก็ตั้งหน้าตั้งตา กอปรก่อไปเรื่อยๆ ละกิเลสไปเรื่อยๆ

ถาม ทำไมเจอแต่คนโวยวาย ทำไมเป็นอย่างนี้

ตอบ ทำไมไม่ต้องถามหรอก นั่นก็เพราะวิบากของเรา ไม่มีใครมาสร้างให้เราหรอก ไม่มีพระเจ้าองค์ไหน มาบันดาล ให้เราเป็นอย่างนี้ เราเป็นคนทำเราเอง ทำเมื่อไรไม่รู้ วิบากเมื่อไรไม่รู้ แล้วมันมาถึงเรา ใครเอามา ยัดเยียดให้เรา ไม่ได้หรอก ไม่ว่าดี ไม่ว่าชั่ว

ถาม พ่อท่านพูดถึงวิบาก แล้วการตัดวิบากละคะ

ตอบ ไม่มีตัด มีแต่ทำวิบากดีใส่เข้าไป ศาสนาพุทธตัดไม่มี ตัดไม่ได้ วิบากไม่มีการตัด อย่าไปถูกใครหลอก วิบากดีหรือชั่ว ทำแล้วเป็นของเราไปตลอด จนกว่าจะปรินิพพาน ไม่มีการล้มล้างได้ ศาสนาคริสต์ เขาล้างบาป ที่จริงล้างไม่ได้ วิบากคือทำดีตะพึดไป อย่าทำชั่ว อย่าทำสิ่งไม่ดี อย่างทำสิ่งที่บาป ทำแต่ดี แล้วลดบาป ลด อย่าทำจริงๆ ให้ได้จริงๆ ทำแต่ดีๆ ดี ดี ไป วิบากดีก็จะเป็นองค์ประกอบ ที่เพิ่มเติมขึ้นๆ แล้วมันก็จะให้เราอาศัย วิบากชั่วก็ตามไม่ทัน ถ้าเราไปหยุดดี ทำแต่ชั่ว เดี๋ยววิบากชั่วตามทัน วิบากชั่ว ขึ้นหน้า เราก็ต้องเจอวิบากชั่ว เราก็จะเจอทุกข์ เจอยาก มันไม่หยุดนะ มันมีอยู่เรื่อย มันตามอยู่เรื่อยแหละ แต่เราให้มันดีมากๆ วิ่งนำหน้าไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จะชนะ

ถาม วิบากที่ดีที่สุดคืออะไรคะ

ตอบ ละกิเลส วิบากที่ดีที่สุดก็คือการละกิเลส

ถาม วิธีละกิเลสอย่างไร

ตอบ ก็รู้ก็พูดไปแล้วเมื่อกี้นี้จนจบ ให้รู้ว่าโกรธอยู่ที่จิตเมื่อไร ก็พยายามให้เห็นความจริงเลยว่า โกรธมันไม่ใช่ เรื่องจริง โกรธมันเป็นความโง่ โกรธมันทุกข์ เราทำลักษณะใจให้ไม่โกรธเป็นอย่างไร เราต้องพยายามเรียนรู้ อ่านกันเอาไว้ว่า ใจตอนนี้ เราไม่โกรธนะ เวลาเราโกรธ เราก็ต้องเปลี่ยนจากจิตที่โกรธ มาเป็นจิตที่ไม่โกรธ ให้ได้ จำให้ได้จิตที่ไม่โกรธ เป็นอย่างนี้ โกรธไม่เอา ไล่ออก ฆ่าออก ไม่เอา ไม่ให้มันมาเกิด ในใจเราให้ได้ ทำจริงๆ เลย ให้รู้ทุกเวลา ทำขณะที่กำลังเป็น กำลังโกรธ ไล่โกรธออก ไม่โกรธให้ได้ ขณะนั้น เห็นๆ เลย รู้ๆ เลย ชัดๆ โกรธก็ตาม โลภก็ตาม โลภ โกรธ หลง นั่นแหละ มันไม่มีอื่นหรอก

เราทำจริงๆ นั่นแหละวิบากกุศลจะสูงที่สุดละ ดีที่สุดละ ในกรรมกริยาไม่โลภเป็นอย่างไรก็ทำไป ไม่โลภ คืออย่างไร ไม่โกรธ คืออย่างไร ก็ทำไปดีๆ ไม่โกรธก็คือสบายๆ สุภาพ อ่อนโยน เอื้อเฟื้อ เมตตาเกื้อกูล คือ ไม่โกรธ ทำมันจริงๆ ตัดให้มันได้จริงๆ ทั้งกาย วาจา ใจ

ทานก็ดี ทานก็อย่าไปต้องการสิ่งตอบแทน ไม่ต้องเรียกร้อง ทานก็คือให้ ให้ไป เห็นควรจะให้คนนี้ ควรให้ก็ให้ คนนี้ไม่ควรให้ ก็อย่าไปให้ ทำทานได้บาปก็เยอะทุกวันนี้ เหมือนกับให้มีด ให้ทุนรอนแก่โจร มันก็เอาไปทำชั่ว ก็เท่ากับเราสนับสนุนให้เขาไปทำชั่ว บาปที่เกิด เราจะต้องรับส่วนหนึ่ง เพราะว่า เราร่วมไม้ ร่วมมือ คล้ายๆว่า เราร่วมไม้ร่วมมือ แม้แต่ทางโลก คนว่าจ้างนี่ โทษหนักกว่าคนไปฆ่าเองนะ คนไปลงมือ ฆ่านี่ โทษไม่หนักเท่าคนว่าจ้างนะ คล้ายๆ กัน เพราะฉะนั้น ทำบุญหรือทำทาน ถ้าทานกับคนที่ ไม่ควรทาน อย่าไปทาน คนชั่วหรือคนที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างไรละก็ ถ้าเขาชั่วอย่าไปให้ ยิ่งระวังถูกหลอก ทำเป็นดี ทำเป็น... แม้แต่พระแม้แต่เจ้าก็ตาม พระหลอกๆ ก็เยอะ เอาเงินเอาทองไปทำบุญฯ ทำทาน เสร็จแล้ว เอาไปทำชั่ว พระเอาเงินเอาทองนั้นไปทำชั่ว เราบาปด้วยนะ

ถาม ทำไมเล่าคะ

ตอบ อันนี้ต้องศึกษา การทำทานต้องมีปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา มันก็ไม่ได้อานิสงส์ ไม่ได้เป็นบุญที่จริง ต้องศึกษาด้วย ถ้าไม่รู้ว่าพระรูปนี้เป็นอย่างไรก็สุดวิสัย ก็แล้วไป มันก็ไม่ถึงกับบาปหนักหนาอะไร แต่ถ้ารู้แล้ว ยังไปส่งเสริมอีก ก็ยิ่งแย่ใหญ่เลย เพราะฉะนั้น ศึกษาอันนี้ให้ดีๆ จะทำทานแก่ใครก็แล้วแต่ ไม่ว่าแก่พระ แก่เจ้า แก่ฆราวาส แก่ผู้ที่ควร ผู้ไม่ควร อย่าไปทำ มันเป็นบาป


ตอบปัญหากลุ่มปากช่อง ณ บ้านฟ้าภราดร น.ม. file /3739.ss