สมณะโพธิรักษ์ คนถือธรรมอยู่เคียงข้างธรรมชาติ สุดเขต ฟ้าเรืองรอง : สัมภาษณ์ อโศรยา อิสระภักดี : ภาพ (๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๓ ) คุณรู้จักไหมครับ... อยากจะสนทนาธรรม
ธรรมะ "อ้าว มันจะเป็นยังไง จิตใจเป็นยังไง เขาก็เห็นว่าตัดไม้ดีเขาก็ตัด จิตใจเขาจะเป็นยังไง ถ้าใครเห็นว่า ตัดไม้ไม่ดี เขาก็ไม่ตัด...จิตใจคน" แต่การตัดไม้ มันทำให้ระบบนิเวศวิทยาของเมืองไทยและของโลกมันผิดเพี้ยนไป? "ผิดเพี้ยนไป...ถ้าจะพูดกันจริงๆแล้ว ตัดมันก็ต้องตัด แต่ก็ต้องรู้ว่าตัดน่ะตัดเท่าไหร่ เกิดเท่าไหร่ ตายเท่าไหร่ ความสมดุลอยู่ที่ไหน เราก็ต้องรู้ความสมดุลแล้วเราก็อยู่กันกับธรรมชาติ ก็อาศัยกิน อาศัยใช้ อาศัยกันอยู่ เราเป็นประโยชน์ต่อต้นไม้ ต้นไม้เป็นประโยชน์ต่อเรา ต้องมีความรู้ สรุปง่ายๆ ก็คือ มันไม่เรียนรู้ ความจริง ไม่เรียนรู้ถึงเรื่องความสมดุล ไม่เรียนรู้ถึงเรื่องของไอ้... ไอ้สิ่งที่จะมีประโยชน์ เกื้อกูล กันแหละกัน มันมีแต่ความโลภ มีแต่ความเห็นแก่ตัว เมื่อมีความเห็นแก่ตัว มันก็เห็นแก่อะไร ต่ออะไร ที่คิดว่ามันเป็นผลได้ เพราะฉะนั้นมันไม่ได้คำนึงถึงสิ่งนี้จะไปทำลายสิ่งโน้นสิ่งนี้อีกไม่คิด คิดแต่ว่า ตัวเอง ได้เท่าไหร่ๆ อะไรอื่นจะหมดจะเปลือง จะฉิบหายอะไรก็ไม่ว่า จนกระทั่งไปทำลาย หรือว่าไปตัด ไปโค่น เรียกว่าผลาญลงไปจนกระทั่ง มันกลายเป็นทำลายต้นทุน ทำลายสิ่งที่มันจะทำ นั่นแหละ เขาต้องเรียก ต้นทุนนั่นแหละ ทำลายต้นทุนออกไปจนมากมาย มันก็เกิดการเสียดุล" อย่างพระพุทธเจ้านี่อยู่กับต้นไม้ เกือบตลอดชีวิต ดูเหมือนว่า ธรรมชาติมีส่วนช่วยขัดเกลาจิตใจคน? "ก็จะบอกว่าธรรมชาติ จะมีส่วนขัดเกลาใจคนนี้ไม่ได้หรอกเพราะธรรมชาติ มันไม่มีปากพูด มันไม่รู้วิธี บอกเหตุผล คนต่างหากมีส่วนที่จะขัดเกลาคน คนที่มีปัญญา คนที่มีความรู้จะขัดเกลาคน ให้ไปช่วย ธรรมชาติอีกทีหนึ่ง ธรรมชาติมันไม่มีปัญญาบอกตัวเองได้หรอก มีแต่มันจะถูกคนที่โง่ๆ ไปแกล้ง ไปทำลายมัน แล้วมันก็พูดไม่ออก มันพูดไม่ได้ มันเลี่ยงไม่ได้ ต้นไม้มันก็หนีวิ่งหนีไม่เป็น มัน...มันก็ ช่วยตัวมันเอง ไม่ได้หรอก เออ เพราะฉะนั้นสำคัญ มันก็อยู่ที่คนนี่แหละ ทุกวันนี้แก้ปัญหาไม่ตก เพราะคนเรา ไม่มองดูต้นปัญหา ว่าอยู่ที่คน เราไปมองจะไปช่วยธรรมชาติ คุณช่วยยังไงคุณไม่แก้ที่คนนะ ธรรมชาติก็ไม่เหลือ คุณทำ คนมันก็มาทำลาย" อย่างปฐมอโศกนี่ ผมเข้ามาวันนี้ก็เห็นต้นไม้เกิดขึ้นมากมายดูจากรูปสมัยก่อนไม่มีอะไรเลย "อ๋อ ดีคุณดูผังว่าแต่ก่อนแต่เดิมน่ะ ไอ้เนี่ยมันไม่มีอันนี้อะไรๆ อย่างนี้หรอก เนี่ยคุณดูได้พื้นแผ่นดินที่นี่ ๕๐ภ๖๐ ไร่เนี่ยก็คือที่ราบธรรมดาเพราะเราต้องมาถมดินลงไปอีกแต่เดิมนี่เป็นนา นี่เราถมดินทุกพื้นที่ ทั้งหมดเนี่ย ถมขึ้นมาถึง ๗๐-๘๐ เซนติเมตรเอาดินมาถมเสียก่อน เพราะมันเป็นนามันลุ่ม เราก็ถมขึ้นมา ถมขึ้นมาแล้วค่อยวางแผนวางผัง ค่อยๆปรับ ค่อยๆทำ ค่อยๆจัดเป็นร่องลำธาร เป็นที่จะให้โซนนั้นโซนนี้ ให้คนอยู่ โซนนั้นโซนนี้จัดอะไรต่ออะไร ปลูกต้นไม้ขึ้นมาอะไรต่ออะไรขึ้นมา มาถึงปีนี้นะ ดูพื้นมันก็ ไอ้นี่นะนึกไม่ออก" การปลูกพืชโดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลงด้วยใช่มั้ยครับ "โอ๊ยเราไม่ใช้หรอก ยาฆ่าแมลง เราไม่ใช้เลย" พ่อท่านคิดว่า... "เรามีพืช ตอนนี้เรามีทั้งพืชที่เราปลูกเองโดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลงแต่ใช้วิธีปลูกแบบที่เราว่าต้องช่วยมันมาก เป็นพืชอย่างพืชเออแปลงผัก พืชที่จะต้องพยายามที่จะพรวนให้มัน อะไรต่ออะไรให้มัน กับที่ไม่พรวนดิน เลย แบบธรรมชาตินี้เรามีสวนหลายๆอย่าง สวนประเภท สวนพื้นบ้าน สวนผสม ส่วนสวน ที่ใช้สารเคมี ใช้ยาฆ่าแมลงน่ะเราเลิกเด็ดขาดไปหมดเลย อย่างเก่งเราก็เหลือปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักอะไรบ้าง ที่ทำเป็นปุ๋ย ธรรมชาติ ที่พอจะใช้ได้บ้าง นั่นเป็นอันนึงเกษตรอย่างงี้เราทำ ส่วนเกษตรธรรมชาติเลยนี่ ไม่มีการขุดดิน ไม่มีการใส่ปุ๋ย ไม่มีอะไรต่ออะไรเลย เราก็ทำจากเขตนี้ไปทั้งหมดเนี่ย สวนธรรมชาติ เข้าไปทั้งหมด เดินเข้าไป ในป่านี้ ถ้าตาดีก็เก็บอะไรกินได้หมด ถ้าตาไม่ดีดูไม่รู้ว่าอะไรกินได้ อะไรกินเป็น ไม่รู้เรื่อง แต่คนตาดี เดินเข้าไป ก็ใส่ตะกร้ามาได้เลย เนี่ยเดินเข้าป่านี่ ไปหาธรรมชาติ ในสมัยก่อนเราปลูกพืชภปลูกผัก โดยไม่ต้องใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลง แล้วมาทุกวันนี้ มีการใช้กัน อย่างแพร่หลาย จนหลายๆคนเนี่ย พยายามจะกลับไปสู่ใช้วิธีเดิม ในทรรศนะของพ่อท่านคิดว่า มันเป็นไปได้มั้ย ถ้าเราจะใช้... "อ้าวเป็นไปได้ซิ อาตมาถึงมาทำกัน ถ้าเป็นไปไม่ได้อาตมาจะมาโง่ทำอยู่ทำไม เป็นไปได้แต่คนมักใจร้อน มันไม่รอธรรมชาติมันต้องสร้างโครงสร้าง โครงสร้างมันถูกทำลายไปหมดแล้ว โครงสร้างของดิน โครงสร้างของต้นไม้มันก็จะมีพืชพี่เลี้ยงมีพืชที่จะเกื้อกูลกันแหละกันเนี่ย ต้องอาศัยกันมา อันไหน ที่มันทนอยู่ได้ มันก็ทนอยู่ อันไหนที่มันเป็นเพื่อนกัน อยู่กันอย่างเจริญ มันจะเจริญอยู่ร่วมกัน พึ่งพากัน อันไหนที่มันไม่เจริญ ทะเลาะกัน ประเดี๋ยวไอ้ตัวหนึ่งก็แพ้ ไอ้ตัวหนึ่งก็เปลี่ยนไป อีกตัวหนึ่ง ก็เจริญขึ้นมา มันมากำจัดกัน แต่มันต้องใช้เวลา เราไปทำเองไม่ได้หรอก เราไม่รู้มันทั้งหมด เราไม่รู้มัน ละเอียดพอ แต่มัน จะทำของมันเอง เราต้องรอ อย่างนี้เป็นต้น ทีนี้คนมันไม่รอ เพราะมันตะกละตะกลาม มันกินมาก กินจุ มันผลาญเก่ง ตัวคนนี่กินจุ ใช้เปลือง ถูกหลอกล่อ จนกินจุใช้เปลือง ชีวิตชีวิตหนึ่ง โอ้โฮอะไรล่ะ Support มันมากเหลือเกิน ไอ้อะไรล่ะ มันมาก เหลือเกิน คนนึงมันเปลืองน่ะ ถ้าเรามาลดลง ไปได้เรื่อยๆ เรื่อยๆ นี่เป็นทางปฏิบัติ เรามาลดตัวเรา ลงไปเรื่อย เราจึงจะกินน้อยใช้น้อย เมื่อกินน้อยใช้น้อย มันก็รอได้ คุณก็รอได้ แต่มีข้าวกินคุณก็พออยู่ได้ ก็รอได้ ทีนี้คนมันไม่เริ่มตั้งแต่ตัวเอง ต้องลด กินน้อย ใช้น้อยไปก่อน มันเปลืองอยู่ มันรอไม่ได้ ยังไง ๆ มันก็รอไม่ได้ มันต้องหาทางที่จะให้มันมา พอที่จะ Support ตัวเองให้ได้ เพราะมันลดไม่ได้ มันก็ไม่สมดุล มันก็ต้องทนไม่ได้ มันก็ไม่เอาแล้ว มันก็ต้องไปเอาที่รีบร้อน หรือ ที่เร็วๆ มันจะเริ่มกันเติมปุ๋ย จะเริ่มอะไร ต่ออะไร มันก็ไปทำอย่างโน้นหมด มันก็เลยไม่สำเร็จ ล้มเหลว มันก็จะเป็น อย่างธรรมชาติ จะเป็นอย่าง อะไรต่ออะไร ให้มันก่อร่างสร้างตัว มันก็เริ่มต้นไม่ติดซักที ขนาดพวกเรานี้ พยายาม ลดลงมา ก็ยังยากเลย เพราะฉะนั้นอาตมาถึงเห็นว่า ต้นเหตุที่มันทำไม่ได้กันก็เพราะว่ามันไม่ปฏิบัติถูกทาง เริ่มต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ที่ไปตามลำดับที่ดี มันไม่สำเร็จ เขาจะแก้ปัญหาทุกวันนี้ เขาแก้ให้ตายก็ไม่สำเร็จ อาตมา กล้าพูดเลย อย่างท้าทาย แก้ให้ตายก็ไม่สำเร็จ เอานักวิชาการที่จะระดับ Genius ขนาดไหน เข้ามาแก้ ก็ไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จ มีแต่นักวิชาการระดับ Genius จะมาเป็นปลิงร่วมดูดเท่านั้น ดูดจากผู้ที่จ้างไป เท่านั้นน่ะ นักวิชาการใหญ่ๆ มันก็เอาแพงๆ แต่พวกนี้ก็ล้มเหลว แต่นักวิชาการอ้วน (หัวเราะ) จริงๆ" เหมือนกับว่าเขามองดูว่าตัวเขากำลังพัฒนา? "อ้านั่นแหละ เขาทำลาย ความจริงทำลายอย่างมหาศาล แต่เราไปพูดเนี่ยเขาไม่เชื่อหรอก เขาหาว่าเรานี่บ้า เพราะเรา ไม่มีปริญญาเอก เพราะเราไม่มีอะไร อะไรที่จะต้องไปแข่ง เขาหาว่าเหมือนกับเรา เป็นพวกหมา เห็นองุ่นเปรี้ยว ได้กว่าเขา แล้วไปว่าเขา" อย่างกรณีการสร้างเขื่อนแก่งกรุงที่จะต้องตัดไม้เป็นแสนๆไร่ แล้วสัตว์จะต้องตายเป็นล้านๆตัว "ธรรมชาติที่จะเอื้ออำนวยมนุษย์อีกตั้งมากมายมหาศาลหมดไป เพียงแค่ได้น้ำมา แล้วก็เอาน้ำ มาใช้ พลังงาน พลังงานนี้เป็นตัวผลสร้างเป็นสังขาร เป็นตัวโครงสร้าง เพื่อจะเอาพลังงาน ไปสร้าง สิ่งที่เป็น แบบ เทคโนโลยีขึ้นมา เทคโนโลยีเป็นเรื่องบานปลาย เป็นผลผลิตของพวกทุนนิยม เป็นผลผลิต ของพวก ที่โลภโมโทสัน เร่งรัด ต้องการความรวดเร็วเร่งรัด เป็นความหมดไปแล้ว จึงต้องสร้าง สิ่งเสริม ตัวนี้ขึ้นมา ทดแทน จริงๆน่ะ มันเป็นส่อแสดงถึงพวกนี้ เป็นพวกล้มเหลว เป็นพวกที่กำลังจะหมดเนื้อ หมดตัวแล้ว" ในทรรศนะของพ่อท่าน คิดว่าน้ำเป็นทรัพยากรที่ราคาถูกกว่าน้ำมัน กว่าแก๊ส อะไรพวกนี้? "ก็ถูก แล้วเราก็ควรใช้น้ำให้ถูกด้วย ไม่ใช่เอาน้ำมาผลิตพลังงาน หรือเอาพลังงานไปใช้ แบบเทคโนโลยี อะไรอะไร เพื่อมันจะมาโลภโมโทสันอีก ก็สร้างก็อยู่ก็อาศัย มันก็อะไรๆพวกนี้ สิ่งเหล่านี้ ยิ่งเมื่อไป สังเคราะห์ อะไรอย่างนึง อีกอย่างนึงก็มีกาก มีเศษ มีมลพิษ มีส่วนที่มันถูกทำลาย ถูกเปลี่ยนแปลง โครงสร้าง ก็เรียกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นมลพิษหรือเป็นขยะ เพราะฉะนั้น มลพิษหรือขยะพวกนี้ ก็เกิดมา คุณได้ อันนึงจริง แต่คุณเกิดมลพิษและขยะขึ้นมาเติม แต่ถ้าอยู่ในวงจรธรรมชาตินะ ขยะ หรือมลพิษนี้ มันก็จะ ไม่มี มันจะมีเหมือนกัน แต่ว่ามันมีโดยสมดุล แล้วมันก็จะหมุนเวียน เปลี่ยนกันไป กันมา อย่างได้สัดส่วน" อีก ๑๐ ปีข้างหน้า หรือ ๒๐ ปีข้างหน้า ในขณะที่คนทำลายมีมากกว่าคนที่จะสร้าง พ่อท่านคิดว่า แล้วเราจะอยู่กันได้หรือ ? "เราอยู่ได้เมื่อเรารู้จักที่อยู่ แล้วเราก็จัดของเรา อย่าให้เขามาวุ่นวายกับเรา อย่าให้เขาเอาระบบอย่างโน้น มาทำของเรา ทุกวันนี้อาตมามาทำเนี่ยนะ คุณเห็นแล้วว่าที่นี่ตั้งแต่แผ่นดินเปล่าๆ ว่างๆ แล้วเราทำขึ้นมานี้ ถึงวันนี้ขณะนี้ ภายในนี้ ๖ ปีนะ ๖ ปีเท่านั้นนะเนี่ย ๖ ปีได้อย่างนี้ อีกต่อไป ๑๐ ปี ๒๐ ปีของเรา ก็จะมีอะไร ของเราทั้งหมด คุณอย่ามายุ่ง เพราะฉะนั้น ของคุณเองนึกว่า ของคุณมี คุณทำของคุณไป เราว่า อันนี้ดี เราก็อยู่ของเรา แล้วพิสูจน์กันอีก ๒๐ - ๓๐ - ๔๐ ปีข้างหน้า" ปฐมอโศกนี้ผมเห็นทุกคนไม่ใส่รองเท้า ผมไม่เข้าใจทำไมไม่ใส่ ? " อ้าว ! อ๋อ...ไม่เข้าใจนี่ ถูกซิ เพราะว่า คุณไม่ได้ศึกษาหาความจริง คนที่ใส่รองเท้า คือคนอ่อนแอ เป็นคน สำรวย เป็นคนที่ทำลายเท้าตัวเอง คนที่ใส่รองเท้าเนี่ย ทำลายเท้าของตัวเอง เท้าจะอ่อนแอ เท้าจะมี ภูมิคุ้มกันต่ำ แล้วก็บอบบาง เท้านี่เป็นสิ่งที่รองรับชีวิตทั้งร่างนะ นี่โดยธรรมชาติ แต่เสร็จแล้ว เรากลับทำ ให้อ่อนแอ นั่นแหละ โดยที่ความไม่รู้ ความไม่รู้เขาก็ต้องทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้น คนที่นี่ เป็นคนแข็งแรง ไม่ใส่รองเท้า นี่อาตมาพูดย่อๆ จริงๆ มันมีมากกว่านั้น ศึกษาดีๆแล้วจะรู้ ไม่ใช่อาตมาไม่เคยโง่ อย่างนั้นนะ ใส่รองเท้า อาตมาเคย เคยหลงไปทำอย่างโน้น เคยหลงมาแล้ว พระพุทธเจ้า เขาหลอกไปใส่ รองเท้าทอง เชียวนะ พระพุทธเจ้าเนี่ย พอท่านรู้ตัวแล้ว ท่านก็เลิก ถอดรองเท้าทอง ตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่งตาย ตามภาษา ง่ายๆนะ ท่านก็ไม่สวมรองเท้าอีก สัตว์ป่าทุกวันนี้ ไม่ว่าสัตว์อะไรก็ตาม มันกำลังลดน้อยลง แต่ขณะเดียวกัน คนบริโภคมันมากขึ้น แล้วผม มาเห็นที่นี่ ว่าที่นี่ไม่กินเนื้อสัตว์ป่า เป็นการส่งเสริมอย่างหนึ่ง ที่จะรักษาสัตว์ป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่กำลังจะสูญพันธุ์ โดยเฉพาะไอ้พวกบิ๊กๆ ทั้งหลาย นิยมจะกินเนื้อแปลกๆ เนื้อกวาง ฯลฯ บทบาทของ ปฐมอโศก จะมีส่วนช่วยคนรอบข้างได้อย่างไร ในเรื่องการช่วยชีวิตสัตว์ป่า ไม่ให้ไปทำร้ายมัน "ที่คุณพูดเองตอบเองอยู่ในตัวอยู่แล้ว คุณพูดมาตั้งแต่ต้นจนถึงคำถาม คุณตอบอยู่ในตัวเองเสร็จแล้ว ก็ช่วยอยู่ อย่างที่ว่าเนี่ยถูกแล้ วถ้าเราช่วยเขาจริงๆ แต่เขาไม่ค่อยเข้าใจหรอก เขาด่าเราซะด้วยซ้ำไป หาว่า เราเอง ไม่เหมือนเขาแล้ว ก็จริงๆ แล้วลึกๆ ใจลึกๆเขา เขารู้นะว่าเขาผิดเราถูก แต่ทีนี้จิตริษยา หรือ จิตอะไรต่ออะไร ทำให้เขามาด่าเรา ความจริงไม่ใช่เขาไม่รู้หรอก" เมื่อไม่ทานเนื้อสัตว์ก็ไม่มีปัญหาต่อสุขภาพของเรา ? "มันยิ่งถูก คนทานเนื้อสัตว์ต่างหาก เป็นปัญหาต่อสุขภาพ คนทานเนื้อสัตว์เป็นปัญหาต่อสุขภาพ เพราะคน ไม่ใช่สัตว์กินสัตว์ คนนี้สัตว์กินพืชนะ ไปศึกษาดีๆเถอะ เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์และหมอ กำลังรู้ ขึ้นมา มากแล้ว กำลังเห็นจริงขึ้นมาแล้ว เขาหลงลืมมา เรียกว่า หลายศตวรรษ หลายยุคกาล มันลืม มันเพี้ยนมานานแล้ว เป็นหมื่นปี หลายๆหมื่นปี เพี้ยนมา ความจริงคนนี่ ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อสัตว์ คนนี้ ไม่ใช่สัตว์ กินเนื้อสัตว์ด้วย กินพืชด้วย จริงๆแล้ว คนเป็นสัตว์กินพืช คุณดูเล็บคุณซิ นี่เขาเรียกว่า เนล นี่เขาเรียก มอลล่า ฟันตระกูลมีกราม เขาเรียก มอลล่า ไม่ใช่ฟันคานาย ไอ้นี่ไม่ใช่คลอ ไม่ใช่เล็บเหยี่ยว เล็บหมา เล็บแมว นี่เหมือนเล็บม้า เล็บวัว เล็บอะไรกัน กีบสำหรับปอกเปลือกผลไม้ ไม่ใช่เล็บไปจิก ฉีกเนื้อ ไม่ใช่ ฟันก็ฟันบด ไม่ใช่ฟันฉีกเนื้อ ลำไส้ก็ยาว ลำไส้สัตว์กินเนื้อเนี่ย ขืนลำไส้ยาวตาย นี่เป็นแต่เพียง รูปนอกนะ ต้องไปศึกษาถึงสรีระ โครงสร้างทั้งหมดเลย ทางวิทยาศาสตร์จริงๆ ถึงจะเข้าใจ" มีพระหลายรูปที่พยายามจะแสวงหาธรรมโดยที่จะเข้าไปอยู่ในป่าลึกๆ ตามลำพังโดดเดี่ยว ในทรรศนะ ของพ่อท่าน คิดว่า เป็นการแสวงหาที่ถูกหรือเปล่า ? "ไม่ ไม่ ไม่ถูกทางหรอก ทางพระพุทธเจ้าสอนคือ มรรคองค์ ๘ ปฏิบัติพูดก็ได้ คิดก็ได้ สังกัปปะวาจา กัมมันตะ อาชีวะ ทำงาน ทำอาชีพ นี่ทางที่จะบรรลุนิพพาน บรรลุนิโรธ ก็เรียนกันมานะ แต่หลงทาง ไปเข้าป่าหมด หุบปาก ไม่พูด งานไม่มี อาชีพไม่ทำ ซึ่งย้อนแย้งคำสอนของพระพุทธเจ้าหมด ไม่ใช่ ทางนั้นเป็นทางผิด ซึ่งเพี้ยนมานานแล้วเหมือนกัน ทางพุทธศาสนา อาตมาไม่พูด ไม่อธิบาย ตามที่เขาพูด เขาถึงได้จับ เข้าคุกนี่ไง หาว่าทำลายหลักการศาสนาพุทธ" (หัวเราะ) ปฐมอโศกนี้ จะเปิดให้คนเข้ามาเที่ยวชม ? "ยังไม่ได้เปิดเลย คุณหมายความว่าไง? มันปิดอยู่เหรอเดี๋ยวนี้ เรายังไม่ได้ปิดเลย แม้แต่เขาขอสร้างรั้ว อาตมายังไม่ให้สร้างเลย จะขอทำประตูปิดข้างหน้านี่ เขาขอมานานแล้ว จะขอมีประตูกั้นนี่ ไม่ให้ เขาบอกว่า คนมันเข้ามา อะไรต่ออะไร อาตมาไม่ให้ทำ อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ ที่คุณถามนี่ คุณเห็นว่า มันปิดเหรอ ก็มันเปิดอยู่ ยังไม่ได้ปิด และจะให้เมื่อไหร่เปิดล่ะ คุณถามยังไง" (หัวเราะ) พ่อท่านยินดีต้อนรับทุกคนที่มาเยือน? "ยินดีต้อนรับทุกคนที่เป็นสาธุชน ที่เป็นผู้ที่เจตนาดี แต่คนที่ไม่ดี เขาก็จะออกไปเอง จะไม่เข้ามาเอง เพราะที่นี่ เราก็มีวัฒนธรรม มีอะไรต่ออะไรต่างๆนานา หลายอย่างหลายอัน ตามธรรมชาติที่มัน... ผู้ที่น้ำ มารวมกับน้ำมัน อะไรอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ถ้ามันคนละเรื่อง คนละราว อย่างนี้ เราเป็นน้ำ เขาเป็น น้ำมันมา มันรวมกันไม่ได้ มันก็ออกไปเอง" แต่ดูเหมือนกับหลายคนยังไม่รู้จักที่นี่ ทั้งที่มันมีอะไรหลายอย่างน่าสนใจ น่าศึกษา?.. "เราไม่ได้โฆษณา เพราะว่าเราไม่ต้องการให้คนมาเหยียบย่ำ ถ้าคนฮือฮาหลงใหลเฉยๆ แล้วเขาก็ไม่รู้ สาระสัจจะ เข้ามาทีละมากๆ มากๆ ทีเดียวกรูเกรียวนะ มันไปไม่รอดเหมือนกัน ถึงบอกว่า ใครจะมาถ่ายทำ จะโฆษณา จะเป็นยังโง้นยังงี้เราไม่เอา ไม่อยากให้ทำ เพราะว่าเราไม่ต้องการที่จะโฆษณาอะไร คนที่ศึกษา แสวงหา เขาจะด้นดั้น มาพบเอง แล้วเราจะได้ความจริงจากคนเหล่านั้น แล้วคนเหล่านั้น ก็จะได้ปัญญา ได้ความรู้ จำนวนมีกรูเกรียวทีละมากๆ มันก็ทำลายได้ทันทีเหมือนกัน เพราะฉะนั้น มาทีละพอสมควร มันจะคัดเลือกกันเอง โดยธรรมชาติ ก็เป็นวิธีการที่เราจะเผยแพร่ จากธรรมชาติด้วย วิธีการทุกวันนี้ เขาไม่ได้ เผยแพร่ จากธรรมชาติ เขาเผยแพร่อย่างวิธีทุนนิยม" (หัวเราะ) พ่อท่านอยากจะฝากข้อคิดเกี่ยวกับการที่ช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติต่อประชาชนทั่วไปอย่างไรบ้าง ? "ให้ฝากเหรอ อาตมาไม่ฝากอะไรใคร ใครอยากได้ก็มาหาเอาเอง" ข้อเตือนใจ บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่า เขาได้ การค้นหามันคืออะไร เราต้องมีอะไรให้เขาเห็น "เขารู้ เขารู้กว่าอาตมา ทุกวันนี้นักวิชาการ นักรู้นี่ เขาว่าเขารู้กว่าอาตมาทั้งนั้นแหละ อาตมามิกล้า มิบังอาจ จริงๆ จริงๆนะนี่ อาตมาพูดความจริง คุณรู้สึกอย่างนั้นมั้ย คุณเป็นคนกลางๆนี่ อาตมาเขาไม่ได้นับ เป็นนักวิชาการ เขาไม่ได้นับเป็นนักรู้ เขาไม่ได้นับว่าเป็นบัณฑิตชน เขาหาว่าเป็นคนบ้าๆ บอๆ เสียสติ ด้วยซ้ำเขาว่า" ในฐานะของสาวกพระพุทธเจ้า? "ผู้เป็นสาวกพระพุทธเจ้าด้วยกันนี่แหละ เป็นผู้ว่า อาตมาเสียสติ" แล้วอย่างนี้ ใครคือสาวกที่แท้ "คุณต้องไปหาคำตอบเอง" ๒๔ ธันวาคม ๒๕๓๓ คนถือธรรมอยู่เคียงข้างธรรมชาติ
file:๑๒๒๑.sa ๒๔/๑๒/๓๓ |