ที่นี่...ตอบทุกปัญหา ..สิบห้านาทีกับพ่อท่าน "มนุษย์ธรรมชาติ" เพราะคนเราทุกวันนี้ ห่างไกลจากธรรมชาติมากเหลือเกิน จนแม้อยู่ติดกับป่า ก็ยังไม่รู้จักธรรมชาติ ไม่รักษาปกป้อง แถมยังทำลายด้วยความเห็นแก่ตัว หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนกระทั่ง ธรรมชาติทนไม่ไหว ต้องกระอัก ทะลักทลายตัวเอง พาผู้คน วัตถุ บ้านช่องเรือนชานวอดวายเป็นแถบๆ ที่โน่น ที่นี่ เพื่อเป็นการถ่วงดุลและดึงมนุษย์ให้กลับคืนสู่ความเป็น "มนุษย์ธรรมชาติ" ที่ตระหนักในคุณค่าอย่างสูงสุด ของธรรมชาติ ๑๐ ธันวาคม ของทุกปีจากนี้ไป ชาวอโศกจะถือว่า วันนี้เป็น"วันธรรมชาติ" ตามดำริของ พ่อท่านโพธิรักษ์ ถาม: (ทีม สมอ. จากหนังสือสารอโศก) อยากให้พ่อท่านช่วยอธิบายความหมาย ของมนุษย์ธรรมชาติค่ะ? ตอบ: (สมณะโพธิรักษ์) มนุษย์ธรรมชาติ ก็คือการที่มนุษย์สามารถเข้าใจธรรมชาติได้อย่างถูกต้อง แล้วก็ทำตน ให้ประสมประสานกับธรรมชาติ ในส่วนที่ควรประสมประสาน พร้อมกับ เป็นผู้ที่อยู่เหนือ หรือเป็นนาย (โลกุตระ) ธรรมชาติ ในส่วนที่ควรอยู่เหนือให้ได้อย่างแท้จริง และต้องทั้งรัก ทั้งรู้บุญคุณของธรรมชาติ ทั้งเคารพ ทั้งรับใช้ธรรมชาติอย่างจริงจัง ด้วยปัญญา ที่เข้าใจ ธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมีบุญคุณ อย่างล้นเหลือต่อชีวิต เราต้องกตัญญูต่อธรรมชาติ ถาม: มนุษย์ธรรมชาติมีลักษณะอย่างไรคะ? ถาม: มนุษย์ทุกวันนี้
ถือว่าเป็นมนุษย์ธรรมชาติไหมคะ? ถาม: มันเปลี่ยนไปได้ยังไงคะ? ถาม: ทำไมชาวอโศกจึงต้องมีวันธรรมชาติด้วยล่ะคะ? ขอให้เข้าใจให้ดีนะว่า สิ่งที่เป็นธรรมชาติก็คือ เราเรียนรู้ธรรมชาติว่าคืออะไร แล้วเราก็พยายาม ที่จะทำสิ่งนั้น ให้มันใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด หรือเป็นธรรมชาติที่สุด องค์ประกอบของธรรมชาตินั้น มีหลากหลาย นับไม่ถ้วน แต่ต้องสมดุลกัน องค์ประกอบมันเกี่ยวเนื่องกัน สัมพันธ์กัน สังเคราะห์กัน ก่อให้เกิด ก่อให้ดับ เปลี่ยนไปมาอยู่กันอย่างมีวงจร ต่างคนต่างเกิดต่างตาย วนเวียนอยู่ ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป อย่างไม่มีอะไร เป็นพิษเป็นภัย ไม่มีอะไรเสื่อมเสีย ไม่มีอะไรที่เลวร้าย จะมีส่วนเสื่อม ส่วนบกพร่องบ้าง ก็จะน้อย แต่มีส่วนทดแทน จนสมดุล นี่เป็นเรื่องของ "วงจรธรรมชาติ" แล้วเราก็พยายามที่จะรู้จัก ธรรมชาติ ที่จะพยายามอยู่ "เหนือธรรมชาติ" ในบางสิ่งบางอย่าง ที่เรียกว่า "อริยสัจ" เพื่อสิ้น "ความวนเวียน" ตามหลักปรินิพพาน "ธรรมชาติ" คือความเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป ที่วนเวียนไม่มีจบ แต่โลกุตระ เป็นการเหนือธรรมชาติอย่างตัด "ธรรมชาติ" ตัดความวนเวียน แล้วเราจะพ้นทุกข์ไปกว่านั้น ยกตัวอย่างเช่น คนเรานี่ต้องสมสู่กัน เป็นเรื่องสร้างคนสืบต่อกันไปในมนุษยโลก ก็เรียกว่าเป็นธรรมชาติ ชนิดหนึ่ง แท้ๆ เหมือนกัน แต่ทุกวันนี้เรารู้แล้วว่า ในโลกคนมันเฟ้อแล้ว คนมันตั้งห้าพันล้าน มันเกินแล้ว ไม่ต้องแข่งสร้าง กับเขาก็ได้ เราก็ลดกิเลสตัวนี้ ซึ่งเป็นตัว "ธรรมชาติ" แท้ๆนี้ จนกระทั่ง ไม่มีกิเลส หรือ ฆ่ามันให้ถูกตัว จนมันตายสนิท เราก็ไม่ต้องสมสู่ได้ แม้อารมณ์กิเลสในจิต สำหรับเรื่องนี้ก็ "ไม่เกิด" นี้เรียกว่า เราอยู่เหนือธรรมชาติ (โลกุตระ) เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการอยู่เหนือธรรมชาติอีกหลายอย่าง เรารู้จักเศรษฐกิจ เรารู้จักธรรมชาติ เรารู้จักวัฏฏะ ของโลก ของสังคม ของมนุษยชาติ ที่เราจะช่วยเหลือ เช่น ในด้านเศรษฐกิจ ในด้านวัตถุธรรม ในด้านนามธรรม ในด้านที่ควรลดอะไร แม้ธรรมชาตินั้น ต้องสังเคราะห์ออกมาอย่างนั้น ซึ่งมันมากไป เรารู้ชัดจริงแล้ว เราก็จะช่วยลด อะไรที่มันขาด เราก็จะช่วยสร้างขึ้นทดแทน ถาม: การสร้างหาดทรายที่ปฐมอโศก
ก็เป็นการเพิ่มธรรมชาติในส่วนที่ขาดหรือคะ? ฉะนั้นวันธรรมชาติก็ดี การสร้างธรรมชาติก็ดี สร้างหาด สร้างลำธาร น้ำตก แม่น้ำ ต้นไม้ ดิน น้ำ ไฟ ลม อะไรก็ตาม เป็นการหาวิธีการที่จะช่วยให้ธรรมชาติตั้งอยู่ ด้วยความสมดุล ด้วยความพอดี อยู่ด้วย ความดีงาม และอยู่ด้วยความสุขเย็น ไม่ได้สร้างขึ้น เพื่อมุ่งหมายจะทำเป็นสิ่งที่สวยงามเฟ้อๆ อย่างที่ยัง "หลง" กัน หรือว่าทำอย่างรีสอร์ททั้งหลาย ที่ตั้งขึ้นเพื่อล่อใจคน ให้ไปเสียเงิน เข้าไปชม เข้าไปใช้บริการ แล้วก็ได้เงิน ได้ทอง ค้ากำไรอะไร ไม่ใช่นะ เราทำเพื่อมุ่งหมายที่จะให้คนได้อาศัย อยู่อย่างเป็นธรรมชาติ ที่ดี ไม่ใช่ของเน่า ไม่ใช่น้ำตกก็แห้งแล้ง น้ำตกก็เน่า น้ำก็ไม่สะอาด หาดทรายก็มีมลพิษ เราก็มาทำ ให้ดีที่สุด ทำให้คนเห็นว่า ธรรมชาติมีคุณค่าประโยชน์ ถาม: ที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ธรรมชาติก็คือการปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ นั่นจริงหรือไม่คะ? ตอบ: นั่นเป็นผู้ที่ยังมีความงมงาย เป็นคนซื่อบื้อ เป็นคนพาซื่อ พวกยังไม่มีความรู้ ในสถานภาพที่แท้จริง ของโลก ในแต่ละกาล ยังไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรที่มันถูกต้อง ว่าพร่องหรือขาด อะไรเกินหรือเฟ้อ ที่คนจะต้อง ช่วยลดช่วยเพิ่ม ไม่มีโลกวิทู ขาดความรู้รอบ ถาม: เราจะรักษาสมดุลธรรมชาติให้คงไว้เสมอได้อย่างไร? นิพพานคือการไม่ตั้งอยู่ แต่มีเป้าหมายและเนื้อหาหลักที่ "สูญ" เพราะฉะนั้น นิพพานคือ ให้กิเลสหมด กิเลสสูญ ให้ความทุกข์สูญ ให้ความเดือดร้อนสูญ ถ้าจะมีสภาพตั้งอยู่หรือยังทรงอยู่มีอยู่ ก็ให้อยู่อย่าง สมดุล ถ้าเรามีสภาพโดยสมมุติ โดยเรามีตัวตน เรามีร่างกาย มีชีวิตอยู่ในโลก เราก็ต้องมีชีวิตตั้งอยู่ โดยสันติ ตั้งอยู่อย่างมีสมดุลของธรรมชาติ แต่ในเรื่องกิเลส จะต้องหมด ต้องสูญ เรียกว่า นิพพานให้ได้ แม้นิพพานได้โดยกิเลสสูญ แล้วเราก็จะเป็นพระอรหันต์ ซึ่ง"ปรินิพพาน" โดยไม่ต้องเวียนวนมาเกิดอีก ก็ได้ นี่แหละเรียกว่า ตัวเหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติเป็นตัวเกิดอยู่ ส่วนนิพพาน มีแนวโน้ม ไปทางสูญ คือดับสูญ หรือไม่เกิดแม้แต่กิเลส สุดท้าย "ปรินิพพาน"แล้ว ชีวิตร่างกายก็ไม่หยั่งลงสู่ครรภ์อีก ไม่เกิดอีก นั่นเรียกว่าลักษณะ "ปรินิพพาน" หรือนิพพานสูงสุด คือนิพพานครบรอบถ้วน ทั้งสิ้นความเวียนเกิด ของกิเลส ทั้งสิ้นความเวียนเกิดของทางเนื้อหนังร่างกาย เพราะกิเลสไม่เวียนเกิดอีกได้จริงๆ ตั้งแต่ยังเป็นๆ ถาม: วันธรรมชาติที่ปฐมอโศก
พ่อท่านทำอะไรบ้างคะ ถาม: สมมุติว่าได้ไปที่สวนธรรมชาติอโศก จังหวัดชุมพรตามกำหนดการเดิม พ่อท่านคิดว่า จะพาพวกเรา ไปทำอะไรที่นั่นคะ? ตอบ: ไม่รู้ แล้วแต่มันจะเป็นอะไรก็ให้มันเป็นไป อาตมาไม่ได้กะเกณฑ์ว่าจะทำอะไร ไปที่นั่นน่ะ มันเป็นสถานที่ ที่เป็นธรรมชาติก็เท่านั้นเอง ส่วนที่จะเป็นธรรมชาติอย่างไรนี่ ยังไม่รู้ ไปแบบสบายๆ ไม่มีพิธีการ ไม่ต้องมาผูกมัดอะไร เพียงแต่ไปแล้ว ก็ไม่ไปกระทำอะไรที่เป็นความเลว ความไม่ดี หรือว่า เป็นอนาจาร เราไปให้รู้จักธรรมชาติ อาตมามีจุดหมายอยู่ว่า จะสอนธรรมชาติพวกเรา ด้วยธรรมชาติ เรียนรู้ ค่อยๆ มีพฤติกรรมของมนุษย์ธรรมชาติ มีทั้งสิ่งแวดล้อม มีทั้งความเป็นไป มีทั้งอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ทั้งรูป ทั้งนาม ทั้งกาย วาจา ใจ แก่กันและกัน รวมทั้งสังคมธรรมชาติ ที่มันยังบอกรายละเอียดไม่ได้ว่า มันจะเกิด อะไรขึ้นแค่ไหน หรือมันจะวิวัฒน์พัฒนาไปอย่างไร ก็ให้มันเป็นไปเอง แต่ต้องให้ "ธรรมชาติ" วิวัฒน์พัฒนา ถาม: แล้วบรรยากาศวันธรรมชาติที่ปฐมอโศกเป็นยังไงบ้างคะ? ถาม: เราจะมีความเข้าใจธรรมชาติอย่างแท้จริงได้อย่างไรคะ? ถาม: เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภาคใต้
เพราะคนไม่เป็นมนุษย์ธรรมชาติใช่ไหมคะ? แต่เมื่อคนเราทำให้ธรรมชาติเสียสมดุล เราคาดเดาไม่ได้ว่า ไปทำลายธรรมชาติ หรือเพิ่มส่วนเกินอะไร แค่ไหน อยู่ที่ไหนบ้าง เราไม่รู้ว่า มีคนไปทำลายป่าที่นี่เมื่อไร อย่างนี้เป็นต้น ถ้าใครไปทำลายภูเขาที่นี่ ไปทำให้น้ำ มันเน่าที่นี่ เท่าไหร่ๆ แค่ไหน หรือใครไปทำให้อากาศมันร้อนเพิ่มขึ้นขนาดไหน ไปทำให้น้ำ ให้ลม ไปทำให้ดินมากไป หินมากไป ที่ไหนมากมายเท่าไหร่ เราไปรู้ข้อมูลมาไม่ได้ คำนวณมาไม่หมด เพราะไม่รู้ว่า ใครไปทำอยู่ที่ไหนบ้าง เนื่องจากไม่ใช่ข้อมูล ที่มีอยู่ตามธรรมชาติเดิม มันก็เลย คำนวณยาก เพราะฉะนั้น ภัยสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ภัยธรรมชาติทีเดียว แต่เป็นภัยที่เกิดจากมนุษย์ก่อขึ้น นั่นแหละ ถาม: หมายความว่า ธรรมชาติก็สามารถสร้างสมดุลให้ตัวมันเองได้... แต่ทีนี้ ถ้ามันได้รับความเน่ามากๆๆ มันก็ปรับตัวไม่ทัน สลายตัวไม่ทัน สังเคราะห์ตัวไม่ทัน เมื่อไม่ทัน มันก็ยิ่งสะสมๆ จนในที่สุด มันก็ช่วยตัวมันเองไม่ได้ กลายเป็นพิษเป็นภัยอะไรขึ้นไปใหญ่ ทำลายทั้งมนุษย์ ทั้งอะไร ต่ออะไร กลายเป็นความรุนแรง อย่างที่เห็นๆ อยู่นี่แหละ คนก็เช่นกัน ไม่รู้ความพอดี ความสมดุล ของความเป็นอยู่ของชีวิต ของแค่การกิน อยู่ หลับนอน จึงผิดธรรมชาติ และมีส่วนขาด ส่วนเกินกันมาก สะสมเข้าๆ จนหลงผิด เข้าใจมาตรฐานของชีวิต ผิดๆ จึงมีภัยสารพัด ที่แก้ไม่ไหว ในตัวมนุษย์ ทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งสิ่งแวดล้อมใกล้และไกลที่สุด ผลกระทบ จึงมีต่อเนื่อง ออกไปถึงสิ่งข้างเคียง จนกระทั่ง ไกลถึงอวกาศ ถึงดาวดวงอื่นๆ จึงเกิดทั้งส่วนขาด และ ส่วนเกินมาก จนต้องทรงอยู่อย่างพิการ ในทุกวันนี้ เอกภพก็พิการลงทุกวัน เพราะมนุษย์แท้ๆ ถ้าจะเรียกมนุษย์ในทุกวันนี้ ต้องเรียกว่า "มนุษย์อภิมหาธรรมชาติ" คือมนุษย์ที่หาแต่เรื่องเกิดๆๆๆ ไม่รู้วิธี "ดับสูญสนิท" ในสิ่งที่ควรดับสูญ อย่าว่าแต่ดับสูญเลย แม้แค่ "ลดลง" ยังลดกันไม่ลง ยอมกันไม่ได้
|