ที่นี่...ตอบทุกปัญหา ..สิบห้านาทีกับพ่อท่าน

"มนุษย์ธรรมชาติ"


เพราะคนเราทุกวันนี้ ห่างไกลจากธรรมชาติมากเหลือเกิน จนแม้อยู่ติดกับป่า ก็ยังไม่รู้จักธรรมชาติ ไม่รักษาปกป้อง แถมยังทำลายด้วยความเห็นแก่ตัว หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จนกระทั่ง ธรรมชาติทนไม่ไหว ต้องกระอัก ทะลักทลายตัวเอง พาผู้คน วัตถุ บ้านช่องเรือนชานวอดวายเป็นแถบๆ ที่โน่น ที่นี่

เพื่อเป็นการถ่วงดุลและดึงมนุษย์ให้กลับคืนสู่ความเป็น "มนุษย์ธรรมชาติ" ที่ตระหนักในคุณค่าอย่างสูงสุด ของธรรมชาติ ๑๐ ธันวาคม ของทุกปีจากนี้ไป ชาวอโศกจะถือว่า วันนี้เป็น"วันธรรมชาติ" ตามดำริของ พ่อท่านโพธิรักษ์


ถาม: (ทีม สมอ. จากหนังสือสารอโศก) อยากให้พ่อท่านช่วยอธิบายความหมาย ของมนุษย์ธรรมชาติค่ะ?

ตอบ: (สมณะโพธิรักษ์) มนุษย์ธรรมชาติ ก็คือการที่มนุษย์สามารถเข้าใจธรรมชาติได้อย่างถูกต้อง แล้วก็ทำตน ให้ประสมประสานกับธรรมชาติ ในส่วนที่ควรประสมประสาน พร้อมกับ เป็นผู้ที่อยู่เหนือ หรือเป็นนาย (โลกุตระ) ธรรมชาติ ในส่วนที่ควรอยู่เหนือให้ได้อย่างแท้จริง

และต้องทั้งรัก ทั้งรู้บุญคุณของธรรมชาติ ทั้งเคารพ ทั้งรับใช้ธรรมชาติอย่างจริงจัง ด้วยปัญญา ที่เข้าใจ ธรรมชาติ เพราะธรรมชาติมีบุญคุณ อย่างล้นเหลือต่อชีวิต เราต้องกตัญญูต่อธรรมชาติ

ถาม: มนุษย์ธรรมชาติมีลักษณะอย่างไรคะ?
ตอบ: มนุษย์ธรรมชาติมีลักษณะ ที่เป็นผู้ไม่ทุกข์ พ้นทุกข์ แล้วก็เป็นผู้ที่ขยันหมั่นเพียร โดยหลักใหญ่ ก็คือผู้มีอิสรเสรีภาพ มีภราดรภาพกับมนุษย์-สัตว์และธรรมชาติทั้งหลาย โดยอยู่กันอย่างมีสันติภาพ แล้วก็มีสมรรถภาพรังสรรค์ช่วยเหลือเกื้อกูลอนุเคราะห์ โลก หรือธรรมชาติสงเคราะห์โลก หรือ สงเคราะห์ ธรรมชาติอยู่ สงเคราะห์มวลมนุษยชาติ ตลอดจนมีบูรณภาพ มีการพัฒนาไปสู่สภาพสมบูรณ์ ยิ่งๆขึ้น

ถาม: มนุษย์ทุกวันนี้ ถือว่าเป็นมนุษย์ธรรมชาติไหมคะ?
ตอบ: มนุษย์ทุกวันนี้ ส่วนใหญ่เป็นมนุษย์ที่หลงไปทำลายธรรมชาติ แล้วก็ไปอวดเก่งปรุงแปลงธรรมชาติ แล้วยังแถมเป็นทาสธรรมชาติเสียอีกด้วย

ถาม: มันเปลี่ยนไปได้ยังไงคะ?
ตอบ: มันเปลี่ยนไปเพราะอวิชชา เปลี่ยนไปเพราะความไม่ฉลาด อวิชชาแปลว่า ความโง่ก็ได้ ความโง่ที่ รู้ไม่เท่าทัน และไม่เข้าใจถึงสัจธรรม

ถาม: ทำไมชาวอโศกจึงต้องมีวันธรรมชาติด้วยล่ะคะ?
ตอบ: ที่มีวันธรรมชาติ เป็นความเห็นในความจำเป็นของอาตมาเอง ว่าต้องรณรงค์แนะนำ เรื่องธรรมชาติ อย่างมาก โดยต้องทำทุกวิธี หานโยบาย หากรรมวิธีหลายๆอย่างประกอบกัน แม้แต่พยายาม สร้างสิ่ง ที่เป็นธรรมชาติ หรือพยายามอนุรักษ์ธรรมชาติ และจะต้องให้คนรักธรรมชาติจริงๆ ดูแลธรรมชาติจริงจัง เห็นคุณค่า ของธรรมชาติให้ชัด เสียสละให้แก่ธรรมชาติให้แท้ ทุกวันนี้มันถึงขั้นต้องลงทุน หรือ ต้องเสียเงิน เสียทอง เสียเวลา เสียแรงงาน ให้แก่ธรรมชาติให้มาก ต้องบูรณะ ต้องปรับปรุง ต้องสร้าง รังสรรค์ธรรมชาติ ให้เป็นงานเร่งรัดพัฒนา

ขอให้เข้าใจให้ดีนะว่า สิ่งที่เป็นธรรมชาติก็คือ เราเรียนรู้ธรรมชาติว่าคืออะไร แล้วเราก็พยายาม ที่จะทำสิ่งนั้น ให้มันใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด หรือเป็นธรรมชาติที่สุด องค์ประกอบของธรรมชาตินั้น มีหลากหลาย นับไม่ถ้วน แต่ต้องสมดุลกัน องค์ประกอบมันเกี่ยวเนื่องกัน สัมพันธ์กัน สังเคราะห์กัน ก่อให้เกิด ก่อให้ดับ เปลี่ยนไปมาอยู่กันอย่างมีวงจร ต่างคนต่างเกิดต่างตาย วนเวียนอยู่ ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป อย่างไม่มีอะไร เป็นพิษเป็นภัย ไม่มีอะไรเสื่อมเสีย ไม่มีอะไรที่เลวร้าย จะมีส่วนเสื่อม ส่วนบกพร่องบ้าง ก็จะน้อย แต่มีส่วนทดแทน จนสมดุล นี่เป็นเรื่องของ "วงจรธรรมชาติ" แล้วเราก็พยายามที่จะรู้จัก ธรรมชาติ ที่จะพยายามอยู่ "เหนือธรรมชาติ" ในบางสิ่งบางอย่าง ที่เรียกว่า "อริยสัจ" เพื่อสิ้น "ความวนเวียน" ตามหลักปรินิพพาน "ธรรมชาติ" คือความเกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป ที่วนเวียนไม่มีจบ

แต่โลกุตระ เป็นการเหนือธรรมชาติอย่างตัด "ธรรมชาติ" ตัดความวนเวียน แล้วเราจะพ้นทุกข์ไปกว่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น คนเรานี่ต้องสมสู่กัน เป็นเรื่องสร้างคนสืบต่อกันไปในมนุษยโลก ก็เรียกว่าเป็นธรรมชาติ ชนิดหนึ่ง แท้ๆ เหมือนกัน แต่ทุกวันนี้เรารู้แล้วว่า ในโลกคนมันเฟ้อแล้ว คนมันตั้งห้าพันล้าน มันเกินแล้ว ไม่ต้องแข่งสร้าง กับเขาก็ได้ เราก็ลดกิเลสตัวนี้ ซึ่งเป็นตัว "ธรรมชาติ" แท้ๆนี้ จนกระทั่ง ไม่มีกิเลส หรือ ฆ่ามันให้ถูกตัว จนมันตายสนิท เราก็ไม่ต้องสมสู่ได้ แม้อารมณ์กิเลสในจิต สำหรับเรื่องนี้ก็ "ไม่เกิด" นี้เรียกว่า เราอยู่เหนือธรรมชาติ (โลกุตระ) เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีการอยู่เหนือธรรมชาติอีกหลายอย่าง เรารู้จักเศรษฐกิจ เรารู้จักธรรมชาติ เรารู้จักวัฏฏะ ของโลก ของสังคม ของมนุษยชาติ ที่เราจะช่วยเหลือ เช่น ในด้านเศรษฐกิจ ในด้านวัตถุธรรม ในด้านนามธรรม ในด้านที่ควรลดอะไร แม้ธรรมชาตินั้น ต้องสังเคราะห์ออกมาอย่างนั้น ซึ่งมันมากไป เรารู้ชัดจริงแล้ว เราก็จะช่วยลด อะไรที่มันขาด เราก็จะช่วยสร้างขึ้นทดแทน

ถาม: การสร้างหาดทรายที่ปฐมอโศก ก็เป็นการเพิ่มธรรมชาติในส่วนที่ขาดหรือคะ?
ตอบ: เป็นการเสริมส่วนที่บกพร่อง เพราะที่เรียกว่าธรรมชาตินั้น มันก็ไม่ใช่ธรรมชาติอีกแล้ว เช่น หาดทราย ทุกวันนี้ ก็เน่าอย่างที่เป็นอยู่ แม้แต่ทะเล ลำธาร แม่น้ำลำคลองต่างๆ ก็เน่า อย่างนี้ ไม่ใช่ธรรมชาติ ธรรมชาติ ต้องไม่เน่า แม้ธรรมชาติจะมีสิ่งเสียเหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงกับเน่าอย่างนั้น อาตมาจึงเห็นว่า สิ่งเหล่านั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เป็นเรื่องจำเป็นที่สุด ที่เราจะต้องศึกษา เล่าเรียน แล้วลงมือช่วย ลงมือทำ

ฉะนั้นวันธรรมชาติก็ดี การสร้างธรรมชาติก็ดี สร้างหาด สร้างลำธาร น้ำตก แม่น้ำ ต้นไม้ ดิน น้ำ ไฟ ลม อะไรก็ตาม เป็นการหาวิธีการที่จะช่วยให้ธรรมชาติตั้งอยู่ ด้วยความสมดุล ด้วยความพอดี อยู่ด้วย ความดีงาม และอยู่ด้วยความสุขเย็น ไม่ได้สร้างขึ้น เพื่อมุ่งหมายจะทำเป็นสิ่งที่สวยงามเฟ้อๆ อย่างที่ยัง "หลง" กัน หรือว่าทำอย่างรีสอร์ททั้งหลาย ที่ตั้งขึ้นเพื่อล่อใจคน ให้ไปเสียเงิน เข้าไปชม เข้าไปใช้บริการ แล้วก็ได้เงิน ได้ทอง ค้ากำไรอะไร ไม่ใช่นะ เราทำเพื่อมุ่งหมายที่จะให้คนได้อาศัย อยู่อย่างเป็นธรรมชาติ ที่ดี ไม่ใช่ของเน่า ไม่ใช่น้ำตกก็แห้งแล้ง น้ำตกก็เน่า น้ำก็ไม่สะอาด หาดทรายก็มีมลพิษ เราก็มาทำ ให้ดีที่สุด ทำให้คนเห็นว่า ธรรมชาติมีคุณค่าประโยชน์

ถาม: ที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ธรรมชาติก็คือการปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นเอง ตามธรรมชาติ นั่นจริงหรือไม่คะ?

ตอบ: นั่นเป็นผู้ที่ยังมีความงมงาย เป็นคนซื่อบื้อ เป็นคนพาซื่อ พวกยังไม่มีความรู้ ในสถานภาพที่แท้จริง ของโลก ในแต่ละกาล ยังไม่รู้จักว่าอะไรเป็นอะไรที่มันถูกต้อง ว่าพร่องหรือขาด อะไรเกินหรือเฟ้อ ที่คนจะต้อง ช่วยลดช่วยเพิ่ม ไม่มีโลกวิทู ขาดความรู้รอบ

ถาม: เราจะรักษาสมดุลธรรมชาติให้คงไว้เสมอได้อย่างไร?
ตอบ: การจะมีความสมดุลอยู่เสมอ ก็ต้องมีความรู้ในสิ่งที่ขาดที่เกินจริงๆ และรู้วิธีทำให้ลด ให้เพิ่ม ได้จริงๆ อีก และสิ่งนั้นเมื่อสมดุล ก็จะมีลักษณะอยู่อย่างสงบ และสงบ นี่ไม่ใช่ความหมายตื้นๆ แค่ว่านิ่งๆ ไม่มีอะไรเลยนะ ปรับสมดุลอยู่ได้อย่างเรียบร้อย เกิดสันติภาพ ถ้าสิ่งใด ที่ไม่สมดุล ก็จะเกิดสภาพไม่สันติ นั่นคือ ไม่สงบ แล้วก็เป็นทุกข์ มีความเดือดร้อน เป็นอยู่ด้วยไม่ดี แล้วก็ไม่ยืนนาน ถ้าเราจะสร้าง หรือจะทำอะไร ให้ทรงอยู่ เราเรียกว่า "ธรรมชาติ" แต่ในเรื่องของ "นิพพาน" นั้นตรงกันข้ามกับ "ธรรมชาติ"

นิพพานคือการไม่ตั้งอยู่ แต่มีเป้าหมายและเนื้อหาหลักที่ "สูญ" เพราะฉะนั้น นิพพานคือ ให้กิเลสหมด กิเลสสูญ ให้ความทุกข์สูญ ให้ความเดือดร้อนสูญ ถ้าจะมีสภาพตั้งอยู่หรือยังทรงอยู่มีอยู่ ก็ให้อยู่อย่าง สมดุล ถ้าเรามีสภาพโดยสมมุติ โดยเรามีตัวตน เรามีร่างกาย มีชีวิตอยู่ในโลก เราก็ต้องมีชีวิตตั้งอยู่ โดยสันติ ตั้งอยู่อย่างมีสมดุลของธรรมชาติ แต่ในเรื่องกิเลส จะต้องหมด ต้องสูญ เรียกว่า นิพพานให้ได้

แม้นิพพานได้โดยกิเลสสูญ แล้วเราก็จะเป็นพระอรหันต์ ซึ่ง"ปรินิพพาน" โดยไม่ต้องเวียนวนมาเกิดอีก ก็ได้ นี่แหละเรียกว่า ตัวเหนือธรรมชาติ เพราะธรรมชาติเป็นตัวเกิดอยู่ ส่วนนิพพาน มีแนวโน้ม ไปทางสูญ คือดับสูญ หรือไม่เกิดแม้แต่กิเลส สุดท้าย "ปรินิพพาน"แล้ว ชีวิตร่างกายก็ไม่หยั่งลงสู่ครรภ์อีก ไม่เกิดอีก นั่นเรียกว่าลักษณะ "ปรินิพพาน" หรือนิพพานสูงสุด คือนิพพานครบรอบถ้วน ทั้งสิ้นความเวียนเกิด ของกิเลส ทั้งสิ้นความเวียนเกิดของทางเนื้อหนังร่างกาย เพราะกิเลสไม่เวียนเกิดอีกได้จริงๆ ตั้งแต่ยังเป็นๆ

ถาม: วันธรรมชาติที่ปฐมอโศก พ่อท่านทำอะไรบ้างคะ
ตอบ: วันธรรมชาติที่ปฐมอโศก อาตมาก็ทำคลอดธรรมชาติ เพราะในช่วงนั้นพอดีมีหิน มีทรายมาลง คนให้หิน ให้ทรายมา เป็นจังหวะพอดี ที่เรากำลังทำหาด ทำลำธาร ทำน้ำตก ทำอะไรต่ออะไร ซึ่งอาตมา รู้เรื่องอยู่คนเดียว อาตมาเลยจำเป็นต้องอยู่ทำ ทั้งๆที่มีนัดจะไปร่วมงานวันธรรมชาติที่ "ธรรมชาติอโศก" ที่สวนสัตวโลกหนอ จังหวัดชุมพรกับพวกเรา เลยไม่ได้ไปตามที่นัด มันก็จำเป็นนะ ทำไปแล้ว มันจะค้างเติ่ง ก็ไม่ได้ อาตมาก็เลยเปรียบเทียบได้ว่า โอ้! พอดีเลยว่า ธรรมชาติมันจะคลอดจริงๆ ถ้าขืน ไม่ทำคลอดให้มัน เดี๋ยวมันเกิดแท้ง หรือพิการเสียหาย ประเดี๋ยวธรรมชาติตาย ไม่คลอด ไม่รอดแน่ เพราะอาตมา เป็นหมอตำแยอยู่คนเดียวแท้ๆ งานนี้

ถาม: สมมุติว่าได้ไปที่สวนธรรมชาติอโศก จังหวัดชุมพรตามกำหนดการเดิม พ่อท่านคิดว่า จะพาพวกเรา ไปทำอะไรที่นั่นคะ?

ตอบ: ไม่รู้ แล้วแต่มันจะเป็นอะไรก็ให้มันเป็นไป อาตมาไม่ได้กะเกณฑ์ว่าจะทำอะไร ไปที่นั่นน่ะ มันเป็นสถานที่ ที่เป็นธรรมชาติก็เท่านั้นเอง ส่วนที่จะเป็นธรรมชาติอย่างไรนี่ ยังไม่รู้ ไปแบบสบายๆ ไม่มีพิธีการ ไม่ต้องมาผูกมัดอะไร เพียงแต่ไปแล้ว ก็ไม่ไปกระทำอะไรที่เป็นความเลว ความไม่ดี หรือว่า เป็นอนาจาร เราไปให้รู้จักธรรมชาติ อาตมามีจุดหมายอยู่ว่า จะสอนธรรมชาติพวกเรา ด้วยธรรมชาติ เรียนรู้ ค่อยๆ มีพฤติกรรมของมนุษย์ธรรมชาติ มีทั้งสิ่งแวดล้อม มีทั้งความเป็นไป มีทั้งอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ทั้งรูป ทั้งนาม ทั้งกาย วาจา ใจ แก่กันและกัน รวมทั้งสังคมธรรมชาติ ที่มันยังบอกรายละเอียดไม่ได้ว่า มันจะเกิด อะไรขึ้นแค่ไหน หรือมันจะวิวัฒน์พัฒนาไปอย่างไร ก็ให้มันเป็นไปเอง แต่ต้องให้ "ธรรมชาติ" วิวัฒน์พัฒนา

ถาม: แล้วบรรยากาศวันธรรมชาติที่ปฐมอโศกเป็นยังไงบ้างคะ?
ตอบ: บรรยากาศวันธรรมชาติที่ปฐมเหรอ ก็ทำกันมาก่อนหลายวันแล้ว จนตัวดำเหนี่ยงนี่ ไม่เห็นเหรอ ทุกเช้าก็ลงลุย สร้างทำกันเลย ทำกันเต็มเหนี่ยว ทำมาจนถึงวันที่ ๑๐ ซึ่งเรากำหนด เป็นวันธรรมชาติ เราก็ได้หาด ขึ้นมาลำลอง มีที่นั่ง พวกเราก็บอก เอ้อ! วันนี้ก็เราถือเป็นวันธรรมชาติแล้ว ใครจะทำอะไร ก็ทำไป เขาคิดของเขาเอง มีการหาอาหารง่ายๆ ตามมีตามได้ มาตั้งๆ ก็มีหลายเจ้า เหมือนออกร้านอาหาร แล้วก็กินกัน อาตมาเองก็ทำงานจนสาย พอเห็นได้เวลา ก็จึงสะพายบาตรออกเดิน ไปที่หาดหางหิน คนเขาก็เอา อาหารมาถวาย แล้วมานั่งฉันกันที่ลานหินอ่อน พอดีมีฝรั่งมาสัมภาษณ์ ก็คุยกันไป พวกเรา ก็มีตั้งวง ร้องเพลงไป กินอะไรไป สนุกสนานกันอยู่ในหาดเป็นหาดแรก ชื่อ หาดหางหิน และยังจะมี หาดทรายหาว - หาดน้ำเหิน ตามมาอีก เพราะเรามีพื้นที่เป็น ๓ แหล่ง

ถาม: เราจะมีความเข้าใจธรรมชาติอย่างแท้จริงได้อย่างไรคะ?
ตอบ: ปฏิบัติธรรมเข้า แล้วจะมีความเข้าใจถึงธรรมชาติ แม้แต่จิตวิญญาณ แม้แต่รูปแต่นาม แม้แต่ดิน น้ำ ไฟ ลม มันจะเข้าใจว่า สังเคราะห์กันยังไง สัมพันธ์กันอย่างไร เกื้อกูลกันยังไง ทำลายกันยังไง มันจะเข้าใจ เข้าใจแจ้ง เราก็จัดแจงมันถูก

ถาม: เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภาคใต้ เพราะคนไม่เป็นมนุษย์ธรรมชาติใช่ไหมคะ?
ตอบ: ใช่! มนุษย์ไปทำลายธรรมชาติ และสร้างสิ่งเฟ้อเกินมากไป มนุษย์รักษาความสมดุลไว้ไม่อยู่ มันก็เลย เกิดภัย เกิดสิ่งที่ไม่ควรจะเกิด โดยปกติธรรมชาติ ก็จะมีสภาพพวกนี้เกินไปบ้าง เหมือนกัน ที่เรียกว่า อุทกภัยก็ดี วาตภัยก็ดี ภัยต่างๆนี้ โดยธรรมชาติ มันก็จะมีอยู่บ้าง แต่เมื่อมันมีความไม่สมดุล มากขึ้น มันก็จะยิ่งเกิดภัยพิบัติ เพิ่มมากขึ้นๆ ถ้ามนุษย์ไม่ไปทำลาย หรือเพิ่มส่วนเกิน ให้มันเสียศูนย์ หรือเสีย ความสมดุลแล้ว แม้จะมีภัยพิบัติ ตามธรรมชาติอยู่บ้าง ก็เป็นส่วนน้อยเท่านั้น และนอกจาก น้อยแล้ว เราก็ยังคำนวณได้ด้วย เพราะเรารู้องค์ประกอบของมัน ที่เป็นหลักแกนอยู่

แต่เมื่อคนเราทำให้ธรรมชาติเสียสมดุล เราคาดเดาไม่ได้ว่า ไปทำลายธรรมชาติ หรือเพิ่มส่วนเกินอะไร แค่ไหน อยู่ที่ไหนบ้าง เราไม่รู้ว่า มีคนไปทำลายป่าที่นี่เมื่อไร อย่างนี้เป็นต้น ถ้าใครไปทำลายภูเขาที่นี่ ไปทำให้น้ำ มันเน่าที่นี่ เท่าไหร่ๆ แค่ไหน หรือใครไปทำให้อากาศมันร้อนเพิ่มขึ้นขนาดไหน ไปทำให้น้ำ ให้ลม ไปทำให้ดินมากไป หินมากไป ที่ไหนมากมายเท่าไหร่ เราไปรู้ข้อมูลมาไม่ได้ คำนวณมาไม่หมด เพราะไม่รู้ว่า ใครไปทำอยู่ที่ไหนบ้าง เนื่องจากไม่ใช่ข้อมูล ที่มีอยู่ตามธรรมชาติเดิม มันก็เลย คำนวณยาก เพราะฉะนั้น ภัยสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ภัยธรรมชาติทีเดียว แต่เป็นภัยที่เกิดจากมนุษย์ก่อขึ้น นั่นแหละ

ถาม: หมายความว่า ธรรมชาติก็สามารถสร้างสมดุลให้ตัวมันเองได้...
ตอบ: แน่นอน ธรรมชาติสร้างสมดุลในตัวมันเองได้ และมันก็พยายามทำอยู่ตามปกติ คนทำน้ำเน่า ลงไปในทะเล ในแม่น้ำ ตัวธรรมชาติเอง ก็จะสังเคราะห์ตัวมัน โดยพยายามที่จะปรับตัวมัน ให้เข้าสู่ สภาพธรรมชาติได้ เข้าสู่สภาพที่เป็นตัวที่ดีของมันได้ น้ำคืออะไรแค่ไหน แก๊สที่เป็นแก๊สธาตุนั้น ธาตุนี้ มันก็จะแตกตัว มันก็จะสลายตัว ไปรวมตัวกันอะไรก็แล้วแต่ ตามธรรมดาของมัน มันจะทำสังเคราะห์ ตัวมันเอง อยู่ยังนั้นแหละ

แต่ทีนี้ ถ้ามันได้รับความเน่ามากๆๆ มันก็ปรับตัวไม่ทัน สลายตัวไม่ทัน สังเคราะห์ตัวไม่ทัน เมื่อไม่ทัน มันก็ยิ่งสะสมๆ จนในที่สุด มันก็ช่วยตัวมันเองไม่ได้ กลายเป็นพิษเป็นภัยอะไรขึ้นไปใหญ่ ทำลายทั้งมนุษย์ ทั้งอะไร ต่ออะไร กลายเป็นความรุนแรง อย่างที่เห็นๆ อยู่นี่แหละ

คนก็เช่นกัน ไม่รู้ความพอดี ความสมดุล ของความเป็นอยู่ของชีวิต ของแค่การกิน อยู่ หลับนอน จึงผิดธรรมชาติ และมีส่วนขาด ส่วนเกินกันมาก สะสมเข้าๆ จนหลงผิด เข้าใจมาตรฐานของชีวิต ผิดๆ จึงมีภัยสารพัด ที่แก้ไม่ไหว ในตัวมนุษย์ ทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งสิ่งแวดล้อมใกล้และไกลที่สุด ผลกระทบ จึงมีต่อเนื่อง ออกไปถึงสิ่งข้างเคียง จนกระทั่ง ไกลถึงอวกาศ ถึงดาวดวงอื่นๆ จึงเกิดทั้งส่วนขาด และ ส่วนเกินมาก จนต้องทรงอยู่อย่างพิการ ในทุกวันนี้ เอกภพก็พิการลงทุกวัน เพราะมนุษย์แท้ๆ

ถ้าจะเรียกมนุษย์ในทุกวันนี้ ต้องเรียกว่า "มนุษย์อภิมหาธรรมชาติ" คือมนุษย์ที่หาแต่เรื่องเกิดๆๆๆ ไม่รู้วิธี "ดับสูญสนิท" ในสิ่งที่ควรดับสูญ อย่าว่าแต่ดับสูญเลย แม้แค่ "ลดลง" ยังลดกันไม่ลง ยอมกันไม่ได้



สิบห้านาทีกับพ่อท่าน Flie:0672.ss