ความลึกของธรรมในธรรม โดย พ่อท่านโพธิรักษ์ เมื่อ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๖ ผมเอง ผมทำงานมาก็รู้ว่า มันเป็นปีที่ขยาย เป็นปีที่มีงานหนักเพิ่มขึ้น มีงานมากเพิ่มขึ้น งานที่กล่าวนี้ก็คือ กิจกรรม กิจการที่แม้แต่พวกเราที่เป็นสมณะ ก็จะต้องเอาภาระ ส่วนผู้ใดที่ไม่รู้สึกรู้สารู้สมอะไร ไม่สังเกต หรือว่าตัวเอง ก็ไม่พยายามที่จะพากเพียรตนเองออกมา เพื่อที่จะมารับรู้ หรือมาร่วมช่วยเหลือกิจกรรม กิจการของหมู่ เพราะว่าเราทั้งหมู่ต้องร่วมทำกัน ตามที่พระพุทธเจ้าท่านก็ได้สอนเอาไว้แล้ว ในคำสอนต่างๆ เช่นคำสอนในนาถกรณธรรม เป็นต้น ที่ว่าเราจะต้องพยายาม มีความพากเพียร ในการที่จะกระทำงาน ร่วมช่วยเหลือการงานของหมู่ นอกจาก ที่จะเป็นการงาน อันเป็นความพากเพียร ในการปฏิบัติธรรม ของตนๆ ซึ่งในนาถกรณธรรมมีทั้ง ๒ ประเด็น ในความเพียรที่จะเอาภาระของหมู่ด้วย แล้วก็ในความเพียรปฏิบัติธรรมเพื่อตนด้วย ซึ่งผมก็เคยหยิบขึ้นมาพูด หรือแม้แต่สูตรที่พระพุทธเจ้าบอกว่า การปฏิบัติธรรมก็คือการต้องทำงานทั้ง ๒ อย่าง เหมือนกับแม่โคที่เลี้ยงลูกไปพลาง แล้วก็เล็มหญ้า ให้แก่ตัวเองไปพลาง แล้วก็ต้องเลี้ยงดูลูกๆไปพลาง ฉันใดก็ฉันนั้น การปฏิบัติธรรมก็ต้องอย่างนั้น ซึ่งปีที่ผ่านมานี้ ผมก็ได้พยายามที่จะทำความเข้าใจ เอาทั้งหลักฐานพระไตรปิฎก ที่มีข้อคำตรัสคำสอนของพระพุทธเจ้า เอามาอธิบาย มาขยายความ มาเป็นหลักฐาน ในการยืนยันว่า พระพุทธเจ้า สอนลูกศิษย์ของท่านนั้น สอนมีนัยที่ลึกซึ้ง ละเอียด ซับซ้อน เมื่อปฏิบัติถูกตรงแล้ว จะเป็นอย่างไร ซึ่งล้วนแล้วแต่ มันจะเป็นหนึ่งเดียวลงไปหาโพธิปักขิยธรรม หรือปฏิบัติมรรคองค์ ๘ ที่มีตัวโพชฌงค์ ๗ เป็นตัวหลัก ที่ว่าหลัก ก็คือมีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ คำว่าสติ ก็เป็นสติสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่สติแค่สติปุถุชน หรือ แค่ สติกัลยาณชน ดังกล่าวแล้ว ที่ได้เคยอธิบายมา เป็นสติที่จะต้องรู้ตัวทั่วพร้อม พร้อมขณะ ที่รู้จักองค์ประชุม เรียกว่ากาย แล้วก็ต้องมีการเรียนรู้ ที่จะเข้าไปจับเวทนา และพิจารณาอ่านรู้ฝึกตน ให้อ่านรู้ ลึกซึ้ง และเท่าทันเวทนาในเวทนา เข้าไปในจิต เราจึงเกิด เจโตปริยญาณ เกิดจิตที่ได้พัฒนาขึ้นมา ตลอดเวลา จากรู้จักกิเลส ซึ่งเป็นกิเลสราคะ โทสะ โมหะ หรือกำลังลดละจางคลาย ทำการลดการปฏิบัติ ในราคะ โทสะ โมหะลงไปเรื่อยๆ แม้จะได้แค่สังขิตตะ วิขิตตะยิ่งขึ้นไปเป็น มหัคคตะ ขึ้นไปเป็น สอุตระ อนุตระ เป็นที่สุด ที่สุดแห่งที่สุดแห่งอนุตระ ก็เป็นสมาหิตะ เป็นวิมุติ ซึ่งเป็นความเจริญของจิต ที่เรียกว่า มีเจโตปริยะ มีญาณหยั่งรู้ในเจโตปริยะ จนถ้วนรอบ แล้วก็ทำจิตของตนเอง สู่อนุตรจิต ที่ครบพร้อมด้วย สมาหิตะ พร้อมด้วยวิมุตจิตอย่างสมบูรณ์ ก็เพราะว่าเราสามารถรู้กาย รู้เวทนา มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เป็นตัวปฏิบัติ ถ้าผู้ใดไม่มีทิฐิ ไม่มีความเห็น ไม่ใช่ทิฐิความเห็น ที่เห็นเฉพาะความเข้าใจเป็นตรรกเท่านั้น แต่เกิดความรู้ ความเห็นที่เป็นองค์ธรรมแห่งปรมัตถ์ เป็นความรู้ความเห็น ที่จะเกิดองค์ธรรม ที่มีปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาผลเกิด ปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาผลเกิด เพราะธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะปฏิบัติมัคคังคะ มรรคองค์ ๘ มรรคองค์ ๗ เพราะได้สั่งสมสัมมาทิฐิขึ้น ตลอดเวลา ถ้าเข้าใจองค์ทั้ง ๖ ของสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐินี้เวลาปฏิบัติแล้ว จะเกิดองค์ ๖ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฐิ มัคคังคะ ผู้ที่ได้ร่ำเรียนมาแล้ว จะต้องรู้หลักองค์ธรรม ๖ ประการนี้ ของพระพุทธเจ้า รู้ภาษาเท่านั้นก็คือรู้ภาษา แต่ถ้าผู้ที่รู้ภาษาแล้วก็รู้สภาวะว่า อาการ ลิงคะ นิมิต อย่างไรที่เรียกว่า ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ อย่างไรเรียกว่าสัมมาทิฐิ ซึ่งเป็นสภาวธรรม ที่เป็นอาการ เป็นนิมิต ให้เรารู้ในใจของเราว่า เกิดสัมมาทิฐิอันเจริญ สัมมาทิฐิเมื่อรู้ รู้ด้วยความหมาย ซึ่งเป็นบัญญัติมาก่อน จากอุเทศ ที่ได้อธิบาย ที่ผมอธิบายอยู่เสมอ หรือแม้แต่คุณจะอ่านเอง ก็เกิดจากการรู้ จากบัญญัติ จากอุเทศ จะเป็นผู้ใดบรรยายไว้ก็แล้วแต่ ในบรรยาย หรือแม้แต่ไปอ่าน ไปฟังจากผู้บรรยาย ที่เป็นอาจารย์อื่นๆ หรือผู้ที่ท่านรู้อื่นๆ แล้วเราก็ได้รับซับซาบอันนั้นขึ้นมาเป็นลำดับ แล้วเราไปปฏิบัติจนมีตัว ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ แล้วมีสติสัมโพชฌงค์เป็นตัวนำ หรือมีสติปัฏฐาน มีสัมมาสติ เป็นตัวห้อมล้อมในการปฏิบัติ โดยเรามีทิฐิเป็นประธาน มีความเข้าใจ มีความเห็นแล้ว รู้แล้วเข้าใจแล้ว เป็นตัวประธาน มีสติ มีสัมมาวายามะ หรือมีวิริยะ พากเพียรปฏิบัติ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ กับสัมมาทิฐิ ที่เป็นประธานโดยบัญญัติก็ดี เมื่อปฏิบัติมัคคังคะ ปฏิบัติด้วยองค์ธรรม โดยเฉพาะสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ตัวมัคคังคะ ตัวปฏิบัติก็คือ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ทั้ง ๔ นี่เอง เป็นตัวปฏิบัติ เป็นตัวที่ฝึกฝนอบรมไปตลอด ที่เราจะรู้เท่าทัน สังกัปปะ รู้ตักะ วิตักกะ สังกัปปะ รู้อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปันนา รู้จักวจีสังขารา หรือรู้จักสังขาร โดยเฉพาะสังขารจิต สังขารจิตทีเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่า เราไปรู้กายสังขาร ไปรู้วจีสังขาร ไม่ใช่ วจีสังขารที่เป็นเรื่องราว หรือจนเป็นคำพูด เป็นบัญญัติ วจีสังขารก็คือ สังขารบัญญัติ บัญญัติเป็นของคำพูด บัญญัติเป็นกายกรรม ถ้าเป็นปรมัตถ์ของวจีสังขาร ก็หมายถึงว่า เป็นสิ่งที่สั่งการสมบูรณ์แล้ว สั่งการสมบูรณ์ ออกเป็นภาษาพูดเป็นวาจา หรือเป็นกายกรรม พร้อมที่จะเป็นกายกรรม พร้อมที่จะเป็นวจีกรรมออกมา แต่สั่งการไว้แล้วในใจ ปรมัตถ์เป็นวจีสังขาร ปรุงแต่งไว้ออกเป็นวจี ออกเป็นเรื่อง วจี แปลว่าเรื่อง ออกเป็นเรื่องที่สมบูรณ์แล้วอยู่ในใจ เรียกว่าปรมัตถ์ ยังไม่ออกมาเป็นภาษา วาจา คำพูด ยังไม่ออกมาเป็นกายกรรม ถ้าผู้ใดมีตัว มุทุภูตธาตุ ที่เร็วที่แววไว ไม่ใช่เห็นตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ มันจะเข้าใจอาการพวกนี้ แล้วก็จะเข้าใจ จนกระทั่ง มันปรุงมาเป็นสังขาร เมื่อเป็นสังขารแล้ว พร้อมที่จะพูดออกมา หรือพร้อมที่จะแสดงออกมาทางกาย แต่เราเร็ว จนกระทั่งสามารถมีอำนาจ ความแข็งแรง อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา ซึ่งเป็นตัวจิตที่ได้ฝึกแข็งแรงตัวนั้น เราจะตัด เราจะให้ออกมา หรือไม่ให้ออกมา เราจะตัด หรือเราจะสร้างออกมา จะระงับหรือว่าจะปล่อยออกมา จะมีความเร็วความไว ที่จะใช้ ที่จะทำ ในตัวสังกัปปะ หรือจิตเป็นประธานสิ่งทั้งปวง คือ มโนปุพพังคมา ธัมมา ที่ใจเป็นตัวก่อน มโนปุพพัง ปุพพะ จิตเกิดก่อน ใจเกิดก่อน มโนปุพพะ ปุพพะก็คือก่อน ใจเกิดก่อนจะมาเป็น คมา ก็เชื่อการเป็น ป จึงมาเป็นคมา ไปมา จะมาเป็นธัมมาทั้งหลาย ที่จะออกมาเป็นกุศล-อกุศลใดๆ ทั้งสิ้น จะเป็นกายกรรม วจีกรรม ก็มาจาก มโนปุพพัง มโนเป็นประธาน เพราะฉะนั้น จะดีจะชั่วอย่างไร ก็อยู่ที่ความสามารถ ความรอบรู้ หรือสรุปง่ายๆ ก็คือผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสหรือไม่ ถ้าเป็นพระอรหันต์ ถือว่าเป็นผู้ที่ รู้จักกิเลสจริงๆ สามารถระงับกิเลสได้ ไม่มีพิษ ไม่มีอำนาจจริงๆ เพราะฉะนั้น ในการจะออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม หรือในใจในจิต มีความรู้เท่าใด มีความสะอาดบริสุทธิ์เท่าใด ผู้เป็นพระอรหันต์ ถือว่าเป็นผู้สะอาดแล้ว เพราะฉะนั้น ในจิตที่จะออกมาเป็นมโนปุพพัง คมา ธัมมา จะออกมาเป็นธรรมะใดๆ กายกรรม วจีกรรมออกมาจากจิต จิตเป็นตัวประธาน ที่จะให้ออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม ถ้าเป็นพระอรหันต์ต้องถือว่า เป็นผู้ที่มีกุศลจิตทุกๆตัว เมื่อมีกุศลจิตทุกตัว กายกรรม วจีกรรม ที่จะออกมา ก็เป็นกุศลทั้งสิ้น หรือถือว่าไม่บาป โดยสัจจะ โดยปรมัตถสัจจะแล้ว เมื่อผู้ใดที่เป็นพระอรหันต์จริง จะไม่มีอกุศลเจตนา แต่จะบกพร่องได้ ที่ท่านรู้ไม่เท่าทันเท่านั้นเอง รู้ไม่เท่าทันก็คือสมมติ พระอรหันต์จะผิด ผิดที่สมมติ ไม่ได้ผิดที่ปรมัตถ์ เพราะฉะนั้น จึงไม่ถือว่าเป็นบาปอาบัติ จะเป็นบาปก็เป็นบาปสัจจะ ที่ท่านรู้ไม่เท่าทันจริงๆ ไม่รู้ว่าสมมตินี้ มันควรหรือไม่ควร แต่ในเรื่องของกิเลสนั้น พระอรหันต์ถือว่าไม่มีกิเลส ไม่มีตัวที่จะทำเพื่อบำเรออัตตา กิเลสที่ว่านี้ คือ ไม่มีอัตตาที่เป็นอนัตตา จิตไม่ได้ทำบำเรอตน ไม่ได้สนองความโลภ ไม่ได้สนองความโกรธ และถือว่า ไม่ได้หลงผิดแล้ว ไม่ได้หลงเหลือเลย โมหะไม่มีหลงเหลือ ส่วนอนุสัยอาสวะใดๆ เพราะฉะนั้น จิตที่พระอรหันต์ จะปรุงอะไรออกมา จะสร้างอะไรออกมา จึงไม่ได้บำเรออัตตา ไม่ได้เป็นจิตที่ทำเพื่อตัวเพื่อตน ที่มีส่วนของอนุสัย หรืออาสวะใดๆ ที่เป็นความบริสุทธิ์นั้นๆ ถ้าผู้ใดปฏิบัติ รู้จักเวทนา รู้จักธรรมะที่ประกอบไปด้วยนิวรณ์ นิวรณ์หยาบ กลาง ละเอียด ทั้งนั้นแหละ โดยกิเลสก็ไม่มีอื่น มีนิวรณ์ ๕ เท่านั้นแหละ ที่เป็นอาหารของอวิชชาทั้งหลาย ฉะนั้น เมื่อเราเรียนรู้แล้ว เราเข้าใจอายตนะทั้งหลาย เข้าใจขันธ์ ๕ จนกระทั่งสมบูรณ์สุด ขันธ์ ๕ ที่ว่านี้ มีอุปาทานร่วมอยู่ด้วย อุปาทานในเวทนา ซึ่งเราจะต้องรู้เวทนาแท้ๆ ว่าเวทนาที่เป็นตัวรู้ ตัวรู้สึก สุข ทุกข์ เข้าใจหมด แม้แต่เวทนา ๑๐๘ ก็ได้อธิบายกันแล้ว ก็อาจจะรู้กันยังไม่ทั่วถ้วน ก็อาจจะเข้าใจ ยังไม่ละเอียด แม้แต่ที่สุด เวทนาไปถึงระดับตัวที่สำคัญที่สุด ก็คือเป็น เคหสิตโทมนัส หรือ เคหสิตโสมนัส เคหสิตอุเบกขา หรือว่าเป็น เนกขัมมะ เข้าใจชัดเลยว่านี่เป็น เนกขัมมสิตโทมนัส ดูมันยังตั้งตนอยู่บนความลำบาก แต่เราก็พากเพียร ที่จะปฏิบัติเพื่อการออกจาก หรือละเว้นให้หลุดพ้นออกมาจาก กิเลสตัณหาอุปาทานทั้งปวง แม้ว่า เนกขัมมะ มันลำบากอยู่ โทมนัสจนกระทั่งทำได้ แม้ทำได้แล้ว ก็ยังมีอุปกิเลส ซึ่งอุปกิเลสในตัวที่แรงๆ ก็คือปีติพวกนี้ เป็นต้น ยังมีความชื่นใจ ยินดีสูง จนเหลือโสมนัส ก็เป็นความยินดี แต่ความเป็นโสมนัสนั้น เบาบางเหลือในภายใน เป็นอุปกิเลสที่เหลือ มันจะเกิดมา ที่ท่านใช้คำว่า ระงับโสมนัสก่อนได้ ซึ่งเป็นภาษา ในฌาน ถ้าใครได้อ่านพระไตรปิฎก สำนวนพวกนี้ ท่านแปลไว้ก็คือว่า มันจะมีตัวอาการของความยินดี ที่เหลือเศษส่วนอยู่ แล้วเราก็อ่านรู้เท่าทัน จนระงับมัน ไม่มีโสมนัส เป็นอุเบกขาสุดท้าย เพราะฉะนั้น ตัวที่จะเป็นตัวสุดท้าย ที่จะถึงอุเบกขาฐาน ฐานจิตที่มันวางได้ละเอียด ไม่มีธุลีละออง ไม่มีความหลง อุปกิเลสที่มีรสของความยินดีได้ ก็คือโสมนัสสุดท้ายนี่แหละ ระงับได้โสมนัสก่อน ระงับโสมนัสก่อนได้ ได้สมบูรณ์จริง หมดอุปาทาน เพราะฉะนั้น อุปาทานนขันธ์ ๕ อุปาทานในเวทนา ความรู้สึกอุปาทานในสัญญา คุณกำหนดรู้สัญญา วิเคราะห์สัญญา ออกเลยว่า แม้แต่ที่สุด เราก็เป็นผู้ที่มี สัญญาเวทยิตนิโรธ รู้จักอากิญจัญญายตนะ รู้จักเนวสัญญานาสัญญายตนะ สัญญาการกำหนดอย่างที่เรียกว่า ไม่มีคำที่ว่าไม่รู้ แต่ว่ารู้บ้างไม่รู้บ้าง มันยังครึ่งๆกลางๆ ยังลังเลสงสัย หมดสัญญานั้น เป็นสัญญาที่กำหนดรู้อย่างชัด อย่างตรง อย่างเที่ยง เป็นสัญญาย นิจจานิ สัญญาที่กำหนดรู้อย่างเที่ยง อย่างแท้ อย่างมั่น อย่างคง อย่างเด็ดเดี่ยว สมบูรณ์ ในการกำหนดรู้ ถึงขั้นได้เป็น เนวสัญญายตนสัญญา ไม่เป็นการกำหนดรู้ ที่จะรู้ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ก็ไม่เชิง ไม่มีตัวสัญญาที่กำหนดรู้แค่นั้น แต่เป็นตัวสัญญาที่กำหนดรู้อย่างรอบถ้วน เป็นสัญญาที่กำหนดรู้ ทุกอารมณ์ ทุกอาการของจิตเจตสิก เรียกว่า สัญญาเวทยิตะ สัญญาเวทยิตัง สัญญาเวทยิตัง และดับสนิท นิโรธัง โหติ เกิดความดับอย่างแท้จริง รู้จักความดับ รู้จักสัญญา กำหนดรู้อารมณ์เวทนา รู้อารมณ์ของสัญญา รู้อารมณ์ของสังขาร คือ เจตสิก ๓ ซึ่งเป็นเจตสิกสุดท้าย รู้นี้เป็นสังขาร หรือไม่ใช่สังขาร สังขารนี้เป็นกุศล สังขารนี้เพื่อตัวตน หรือไม่ใช่ตัวตน สังขารนี้ปราศจากตัวตน สังขารนี้ปราศจากอัตตา สังขารนี้ปราศจากอัตนียา สังขารนี้ปราศจากความเป็นของตน สังขารนี้ปราศจากความเป็นตน เป็นปุญญาภิสังขาร หรือเป็นวิสังขาร เป็นสังขารที่พิเศษ วิ นี่แปลว่าพิเศษ มันเป็นสังขารที่พิเศษจริงๆ มีความกำหนดรู้ ตามที่ผมอธิบายนี้ โดยบัญญัติ แต่ผมอ่านจากสภาวะ มาบรรยายขณะนี้ ผู้ใดยังไม่สามารถรู้ ถึงสภาวะ ยังไม่เข้าใจถึง ก็จงรู้เถิดว่า เรายังไม่มีภูมิถึง ฟังภาษานี้ ก็ยังไม่เข้าใจ นั่นแสดงว่า ยังไม่มีภูมิความรู้ ภูมิความเห็น หรือภูมิของทิฐิ ภูมิของตักกะเท่านั้น ก็ยังไม่ถึง ถ้าผู้ใดมีภูมิแม้แต่แค่ตักกะ ภูมิแค่ทิฐินี้ฟังนี้เข้าใจ เข้าใจในความหมายอย่างไร ก็เข้าใจดี ผู้นั้นมีภูมิ ที่ฟังธรรมะนี้ได้ เรียกว่าเป็น อุปสัมปันในส่วนหนึ่ง อุปาทานขันธ์ ๕ เราก็เข้าใจอายตนะ ๖ รู้อายตนะนอก อายตนะใน รู้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะนอก เมื่อรับกระทบสัมผัสแล้ว มันก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถูกรู้โดยตา เรียกโดยภาษามันซ้ำกันว่า รูป ซ้ำกันกับคำว่ารูป คือภาพหรือภาวะ ถ้าเรียกกันเป็นอีกคำหนึ่ง ก็เรียกว่าภาพหรือภาวะ เป็นภาวะ หรือเป็นสภาวะนั่นแหละ เป็นสภาวะที่เกิดจากทวารตา เป็นสภาวะที่เกิดจากทวารหู เป็นสภาวะที่เกิดจากทวารจมูก ทวารลิ้น ทวารกาย หรือทวารใจของมันเอง สภาวะหรือรูป คือสิ่งที่ถูกรู้นั้นๆ มันเกิดสภาวะ เมื่อเราไปเรียกโดยภาษาไทยอีกว่ารูป ซ้ำทางตา หรือสภาวะนั่นแหละ หรือรูปทางเสียงก็คือรูป ก็คือสภาวะทางเสียง มันคืออย่างไรก็อย่างนั้นแหละ สภาวะทางกลิ่น สภาวะทางรสในลิ้น สภาวะในกายสัมผัส โผฏฐัพพารมณ์ สภาวะในใจ มันก็เป็นสภาวะ หรือรูป หรือสิ่งที่ถูกรู้โดยเรา จะถูกรู้ทางเสียง จะถูกรู้ทางกลิ่น จะถูกรู้ทางรส ทางลิ้น อะไรอย่างนี้ เป็นต้น เราสามารถหยั่งรู้โดยญาณ โดยธาตุรู้ โดยปัญญา โดยธาตุรู้ของจริง ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตักกะ ไม่ใช่การคิดนึก ผกผันความคิด แต่เป็นของรู้ ที่มีสภาวะเกิดแล้ว เรารู้สิ่งที่เกิด ที่เป็น ที่อยู่นั้นด้วยญาณ ด้วยปัญญา ด้วยธาตุรู้ตัวที่เรารู้ ตามความเป็นจริง ขึ้นไปเรื่อยๆ อายตนะ เราก็จะรู้จากการปฏิบัติ มากำหนดรู้นิวรณ์ กำหนดรู้อุปาทาน นิวรณ์ก็คือกิเลส หรือตัณหา อุปาทานก็คือตัวที่ยึดติดอยู่ มีกิเลสมีตัณหาติดอยู่ คืออาการเราวางไม่ขาด จะตัดไม่ขาด เราล้างไม่สะอาด จนกระทั่งล้างสะอาด เหลืออายตนะบริสุทธิ์ ตากระทบรูป มันก็ต้องเห็นรูป หูได้ยินเสียง มันก็เสียง ทีนี้เรารู้จักนิวรณ์ รู้จักกิเลสแล้ว อุปาทานไม่มีแล้ว ขันธ์ ๕ บริสุทธิ์ อายตนะนอกใน ก็ทำงาน ธรรมดา ด้วยโพชฌงค์ ๗ ด้วยมรรค ๘ ที่เป็นธรรมในธรรมทั้งหมด ที่เราปฏิบัติ ก็ปฏิบัติได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราก็จะรู้ของเรา ปฏิบัติได้อย่างไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราก็จะรู้ของเราจริง เพราะฉะนั้น ธรรมในธรรมก็มีเท่านี้ ฉะนั้นเราก็ปฏิบัติกาย เวทนา ด้วยการสร้างจิต มีเจโตปริยะ เกิดญาณรู้ จนกระทั่งถึง อาสวักขยญาณ รู้จักองค์ประกอบของสมาหิตะ หรือ อสมาหิตะ หรือตัว วิมุติ สมาหิตะ คือจิตที่มีการงาน มีบทบาท มีคติ มีความเป็นไป มีอวจร มีตัวที่ยังดำเนินไปสู่สุคติ อวจรที่เป็นปรารถนาดี เป็นกุศลเจตนา คือทำงาน สมาหิตะคือเป็นจิตที่ตั้งมั่น แข็งแรง เป็นสมาธิ นี่แหละ รวมไป แปลเป็นภาษาบาลีซ้อนบาลี ก็แปลสมาหิตะว่าสมาธิ ท่าน สมาธิมาเป็นไทย ไทยมันไม่มีภาษา ก็มีแต่ความตั้งมั่น แปลเมื่อไร ก็สมาธิ ก็แปลว่าตั้งมั่น สมาหิตะ ก็แปลว่าตั้งมั่น สมาทหะ ก็แปลว่า ตั้งมั่น เป็นความตั้งมั่น ขั้นสมาหิตะ ที่จะมีจิตที่เป็นตัวตน เรียกว่า สมาทหัง สมาทหะ ท่านก็แปลว่าสมาธิ สมาทหะหมายความว่า จิตที่เป็นตัวที่หนุ่ม สด แข็งแรง สมาทหะ สมาหิตะ เป็นจิตที่ตั้งมั่น แข็งแรง ที่เป็นบทบาทการงาน มีประโยชน์คุณค่า ถ้าประโยชน์ตนหมด พระอรหันต์ประโยชน์ตนก็ไม่มีเพื่อตน อะไรจริงๆ มีแต่ประโยชน์เพื่อท่าน เพื่อผู้อื่น เพราะฉะนั้น สมาหิตะ ประโยชน์เกื้อกูล ก็มีแต่ประโยชน์เพื่อผู้อื่น ไปทั้งหมด เป็นหิตประโยชน์นั่นแหละ ส่วน สมาทหะนั้นเป็นของเรา จิตที่อาศัย จิตที่หนุ่มที่สุด ที่เบิกบาน ที่ร่าเริง หนุ่มสด หรือว่าหนุ่มแข็งแรงนี่ เป็นวัยที่สด เป็นวัยที่อธิบายโดยวัย เป็นวัยที่แข็งแรง เป็นวัยที่มีทุกอย่าง ครบพร้อม มีทั้งกำลัง มีทั้งความเบิกบานร่าเริง มีทั้งความกระปรี้กระเปร่า มีทั้งความ.. ก็เรานึกถึง สภาพของความเป็นหนุ่ม ที่เป็นหนุ่มเต็มตัว เป็นหนุ่มที่เบิกบานร่าเริง เป็นหนุ่มที่มีความแววไว อยากรู้อยากเห็น เป็นหนุ่มที่อยากจะสร้างสรร อยากจะมีอะไรต่ออะไร ที่เท่าที่โลกเขาเป็น ที่เราเรียก เป็นวัยที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นวัยที่เจริญ เป็นวัยที่ครบพร้อมที่สุด ทั้งความแข็งแรง ที่มีประโยชน์คุณค่า ความเบิกบาน ร่าเริงที่เป็นสุขที่สุด นั่นแหละ เป็นจิตที่สงบ สมะ นี่สงบ สมาทหัง เป็นจิตที่สงบ แต่ว่าสงบ ในคุณลักษณะของเจโต สมาทหะนี่เป็นของเรา ส่วนสมาหิตะ นั่นเป็นของทั้งหมดทั้งมวล เป็นของโลก เป็นคุณค่าที่เป็นเพื่อผู้อื่น แต่สมาทหะ นั้นเราอาศัย เป็นจิตที่เราอาศัย และเป็นคุณลักษณะประจำตัว เป็นคุณลักษณะ สรุปง่ายๆ ก็คือ แข็งแรง เบิกบาน แข็งแรง หนุ่มนี่แข็งแรง และแข็งแรงอย่างสดชื่น เบิกบาน ไม่มีเหี่ยว ไม่มีเฉา ไม่มีหดหู่ มีแต่แจ่มใส เป็นจิตลักษณะนั้น คุณเอาไปสังเกต แม้แต่รูปง่ายๆ รูปนอกๆ เป็นความเบิกบาน คนพวกนี้เบิกบาน ไม่มีเศร้า ไม่มีหมอง ไม่มีขรึม ไม่มีเคร่ง มันไม่เคร่งดอก มันคลาย ผ่อนคลายหมดแล้ว มันมีแต่เบิกบาน ดูรูปนอกก็ได้ ถ้าคุณดูรูปนอก ก็คือสภาพหยาบ จนกระทั่งเข้าไปใน จิตใจก็เป็นฉันเดียวกัน เบิกบาน ร่าเริง แข็งแรง ไม่เหยาะแหยะ ไม่ท้อแท้ ไม่หย่อน เป็นนักสู้น่ะ อย่าง สมทหัง นี่เป็นนักสู้ คุณลักษณะไม่ถดถอย ไม่ท้อแท้ สู้ แต่ไม่ใช่พวกบ้าระห่ำนะ ที่ที่ว่านี่ ไม่ใช่ตัวคนพาลที่ไร้ปัญญา ที่ไร้กำหนดกฎเกณฑ์ ไม่ใช่ เป็นคนที่มี กำหนดกฎเกณฑ์ รู้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น จะมีคุณลักษณะของจิตสมบูรณ์พวกนี้ จิตสมาหิตะกับวิมุติ วิมุติก็เป็นจิตอาศัย วิมุติเป็นจิต ที่หลุดพ้น เป็นจิตที่รู้รอบ เป็นจิตที่เป็นตัวเจตสิกของเรา วิมุติก็คือตัวอาศัย ตัวสมบูรณ์ ตัวที่ไม่มีกิเลสแล้ว เกลี้ยงแล้ว สมาหิตะ เป็นตัวการงาน เหมือนมีความอยาก มีความต้องการ ไม่นิ่ง ไม่หยุด สมาหิตะ มันจึงไม่ได้เป็นความหมายที่ตื้นๆ เขินๆ เหมือนที่เขาเข้าใจว่า สมาหิตะ คือผู้สงบ ผู้มีสมาธิคือผู้สงบ แปลหยาบๆ แล้วก็เลยแปลสงบว่า "นิ่งเฉย" ที่จริง "สงบ" มันมีในนั้น คือจิตมันสงบ จิตสงบอย่างไม่มีกิเลส ไม่มีการเกิดอีก ไม่มีกิเลสเกิด กิเลสไม่มี มันสงบ เกลี้ยง สะอาดแล้ว ไม่มีกิเลสอะไรเกิดมาอีกเลย มันสงบตลอดเวลา แต่ที่มันปรุง ไอ้ที่มันสร้าง ไอ้ที่มันทำงานไว้ ที่จริงมันเป็นบทบาทนั้นน่ะ มันเป็นคุณลักษณะของจิตวิญญาณ ที่มีประสิทธิภาพสูง ไม่ได้เพื่อตัวเพื่อตน ไม่ได้กิเลส เป็นตัวการ ไม่ได้มาบำเรอตนอะไร มันเป็นการสร้างสรร มันเป็นจิตพระเจ้า มันเป็นจิตพระผู้สร้าง ผู้ประทาน ผู้สร้างเพื่อให้ สร้างเพื่อให้ผู้อื่น ได้รับประโยชน์คุณค่านั้น มันเป็นจิตพระเจ้าที่วิเศษ มันเป็นจิตสงบ มันเป็นจิตบริสุทธิ์ ฟังความ ฟังภาษาไว้ แล้วจึงสร้างจิตนี้ ให้เกิดที่เรา อันนี้เป็นหลักวิชา ที่แถมให้ พร้อมกันทุกรูป ใครจะบอกว่าไม่ได้ฟัง ใครนั่งหลับ ใครนั่งเบลอ ใครฟังไม่ได้ หรือใครฟังไม่ออก ก็เป็นฐานของแต่ละคน โอกาสนี้เป็นโอกาสพร้อมทุกคนแล้ว ผมได้พูดแล้ว ผมได้กล่าวแล้ว ต่อหน้าทุกท่าน ใครจะบอกว่า ไม่มีโอกาส ไร้โอกาส ไม่ได้ ถ้าคุณจะกล่าวอย่างนอบน้อม คุณก็กล่าวได้ว่า เป็นบุญ ของเราหนอ ที่ได้ฟังอันนี้แล้ว ถ้าจะกล่าวโดยผมก็บอกว่า นี่เป็นโอกาสอันดีหนอ ของพวกคุณ ที่ได้ฟังอันนี้แล้ว ที่เจาะปรมัตถ์ สำหรับปีนี้ สำหรับวันนี้ก็ได้กล่าว แม้แต่คราวที่ได้บรรยายมา ตลอดทั้งปี ไปเจอพระสูตร จูฬวิญูหสูตร สูตรที่กล่าวถึงสัจจะ กล่าวถึงสัญญาสุดท้าย ผมก็ยังไม่เจออะไร ที่จะลึกไปกว่านี้อีก ในพระไตรปิฎก ที่เป็นคำกล่าว มีอยู่ตัวเดียวนี่แหละ ในพระไตรปิฎกทั้ง ๔๕ เล่ม คำตรัสที่เจาะลึก เพราะว่า เป็นตัวที่เจาะลึกที่สุดแล้ว เพราะว่าเจาะถึงขั้นสัญญา และผมก็เข้าใจสัญญานี้ว่า สัญญานี้ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ อันเป็นตัวสัญญา ที่เป็นอาการของสัญญายะ นิจจานิ ซึ่งผมเข้าใจบัญญัติ ทั้ง ๒ ตัวนี้ รวมความแล้วทั้งหมด ในพยัญชนะ ในคำตรัสสูตรนั้น ผมว่าผมเข้าใจทั้งหมดนี้ แล้วก็หยิบมาบรรยาย เท่าที่ผมสามารถได้บรรยายไป ซึ่งจะต้องบรรยายอีก บรรยายไปจนตายแหละ นี่สูตรพวกนี้ แล้วหยิบมาบรรยายไว้ก่อน การบรรยายนี้ เป็นเรื่องของการยึดสูงมากล่าว แล้วก็จะค่อยๆ ขยายละเอียดยิบ ขยายหยาบ ไปในอนาคต เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีภูมิธรรมสูง ก็จะรับได้ก่อน ผู้ที่มีภูมิธรรมยังไม่สูง ก็ยังรับได้บ้างไม่ได้บ้าง ไปตามลำดับ ที่ผมทำเช่นนี้ ผมก็ทำมาแต่ต้น คือทำจากสูงไปหาต่ำ โดยเฉพาะ ในขณะนี้ก็คือ อยู่ในสงฆ์ ไม่ได้กล่าวอยู่นอกสงฆ์อะไร ถึงแม้ว่าอยู่นอกสงฆ์ ผมก็กล่าวไปเรื่อยๆ เมื่อกาละที่ควรกล่าว เช่น ทำวัตร ในพวกเราก็ดี ศึกษาเล่าเรียน ไม่มีผู้ที่เพ่งโทษแล้ว เป็นอุปสัมบัน หรือ อุปสัมบันโดยบัญญัติ อยู่ในวัด ไม่ได้ไปกล่าวผิดที่ ผิดถิ่นที่ไหน ถึงแม้ว่าจะเป็นโอกาสข้างนอกครั้งคราว ผมจะไปกล่าวบ้าง ผมก็ประมาณของผม แต่ก็ยังไม่ได้ไปกล่าวสูตรเหล่านี้ หรืออะไร อธิบายเหล่านี้ ยังไม่ได้ไปกล่าวนอกวัด โดยเฉพาะ ที่ผมเทศน์อยู่ทุกวันนี้ ไม่ได้ไปเทศน์นอกวัดเลย ผมไม่ได้ออกไปเทศน์นอกวัดทุกวันนี้ นอกจากงาน บางงาน อย่างงานไปฉันที่โรงชมร. ไปเทศน์ชมร. จะเป็นส่วนในเรา ผมก็ไม่ได้เทศน์ถึงอย่างนี้ ก็เทศน์กล่าว ในตัวเรื่องราว อะไรต่ออะไร ไปขนาดนั้น เพราะฉะนั้น จะบอกว่าอาบัติที่กล่าวนอก เป็นการผิด ปาจิตตีย์ ที่กล่าว อุปสัมบัน อนุสัมบันนั้นน่ะ ผมว่าเมื่อเอากันละเอียดแล้ว มันไม่ได้ผิดได้พลาดอะไร แต่จะให้เสมอสมานกันนั้นไม่ได้ เพราะว่าทุกวันนี้ คนมันมีฐานะที่ต่างกันมาก ผู้ไม่รู้ ไม่รู้เอามากๆ ผู้รู้ก็รู้อย่าง ต่างกันอยู่ หลายระดับชั้น แม้แต่พวกเรา ไอ้นี่เป็นปรมัตถ์ ที่ผมได้สาธยายลงไป สำหรับวันนี้ ทีนี้เรื่องของกรรม การงาน และอาชีพ ที่ผมก็บอกซ้ำอีกว่า ผมจำเป็นที่จะต้องนำพา ท่านทั้งหลาย ก็จะต้องศึกษาเล่าเรียนตาม ผู้ใดที่ติดยึดแบบฤาษี ติดยึดในตัวสงบ ที่ไม่ค่อยอยากจะมาทำการงาน บรรดาฤาษี มันไม่อยากทำงานดอก หรือทำงานก็ทำงานเบา ทำงานเบานี่ก็คือ ทำงานสังกัปปะ กับ วาจา ซึ่งเป็นฤาษีกรุง ฤาษีกรุงนี่จะลงมือ จะแบกจะหาม จะเอาหลังเข้าสู้ จะเอาบ่าเข้าแบบกนั้นน้อย พวกฤาษีกรุง หรือว่าพวกใช้ชอบแบบปัญญา ชอบใช้แต่วาจา มีสังกัปปะกับวาจา ส่วนกัมมันตะ ที่ทำครบพร้อม ผมบอกแล้วว่า กัมมันตะเขารวมทั้งสังกัปปะ รวมทั้งวาจากายกรรมด้วย กัมมันตะ นี่ลงมือทำงาน ลงมือมีกิจกรรมการงานทุกกรรม ทั้งกาย วาจา ใจ เรียกว่า กัมมันตะ อาชีวะนั่นน่ะ กำหนดเรื่องของงานเลยทีเดียว อาชีวะกำหนดเรื่องของงาน งานใดก็แล้วแต่ ผู้ที่มีจริตไปในข้างที่ ไม่อยากจะลงไปทำงานหนัก ถึงขั้นกัมมันตะ อาชีวะนั้นน่ะ นี่มันเป็นอย่างนี้ โลกก็มี ธรรมก็มี ที่ไหนก็มีทั้งนั้นแหละ เห็นทั้งนั้นแหละคน คนละจริตที่ชอบเป็น เขาถือว่า เป็นปัญญาชน ใช้แต่ปัญญากับคำพูด นักวิชาการสอน เป็นครูเขา ชอบเป็นหัวหน้า ชอบไปเที่ยวได้ชี้ใช้ บอกกล่าว คิดนึก ฉลาดเฉลียวรู้ แต่ไม่ทำลงมือไม่ลงมือ พูดแค่นี้ก็คงพอเข้าใจ มันเป็นจริต เพราะว่าผู้ใดมีจริตอย่างนี้ พากเพียรเถิด พยายามกระทำ อย่าให้มันบกพร่อง คือออกมาทำ การกระทำทางกาย ทางการงานอาชีพใดๆ อยู่ในขอบข่ายของวินัย ที่เราเป็นสมณะ ก็เอาเถิด ตามวินัยพอสมควร อันไหนที่พออนุโลม มันไม่ถึงสังฆาทิเสสดอก ในการทำการงาน การงานไม่ถึงสังฆาทิเสสดอก นอกจาก คุณไปอันอื่นซี ต่อไปอีก นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงสังฆาทิเสสนั้น อีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะสังฆาทิเสส ที่จะเป็นจริงๆ ก็คือ บอกยากสอนยาก และขี้เกียจ สังฆาทิเสสนี่ อันนั้นแหละ จะเป็นสังฆาทเสส ก็ตรงที่ไม่ทำต่างหาก บอกยาก สอนยาก ไม่ทำ หรือเมื่อทำก็ให้ระวัง ที่จะไปประจบคฤหัสถ์ นั่นก็เป็นสังฆาทิเสส เหมือนกัน เพราะฉะนั้น กิเลสมากๆเข้า ก็ไปประจบประแจงคฤหัสถ์ เพราะกิเลสโลภ กิเลสที่จะตะกละตะกลามอะไร หรือแม้ที่สุด ตัวที่เชิงชั้นเชิงซ้อน ประจบประแจง อาศัยคฤหัสถ์ไปแก้แค้น เป็นไม้เป็นมือ มันก็คือ กิเลสโทสะมูล เข้าไปร่วมทำงาน ก็เลยอาศัยคฤหัสถ์ ประจบประแจง ใช้กำลังของทรัพย์ ใช้กำลังของอำนาจกรรมกริยา ที่คฤหัสถ์เขาทำได้ เราเป็นสมณะ เราทำไม่ได้ แต่จะไปแก้แค้น ก็จะใช้อาศัยเชิงฉลาด เข้าไปซ้อน ใช้คฤหัสถ์เป็นไม้เป็นมือต่อไปอีก มันก็เป็นความลึกซึ้ง ที่เราจะต้องรู้เท่าทันบาปเอง ต่างๆ ที่จะไม่พึงกระทำ นั่นก็เป็นสังฆาทิเสสได้เหมือนกัน เวลาเราทำงาน กรรมกริยาต่างๆ ที่เป็นกายกรรม วจีกรรมที่เป็นตัวบทบาทมากนี่ เราก็ต้องระมัดระวัง เรียนรู้และมีผัสสะเป็นปัจจัย ให้เราปฏิบัติสูงขึ้น มันจะเป็นการปฏิบัติ มีผัสสะที่แท้ กระทุ้งกระแทก กิเลสออกมา เพราะฉะนั้น อาสวะอนุสัยนี่ จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา เป็นเรื่องลึกซึ้ง ซึ่งศาสนาอื่น ศาสนาเดียรถีย์ ฤาษีไม่มีสมบูรณ์ ไม่มีมรรคองค์ ๘ ตัวที่จะไม่ได้ถูกกระแทกกระทุ้ง กระเทือนอะไรออกมา เมื่อเราปฏิบัติธรรม จึงสมควรที่สุด ที่จะต้องมีการเรียนรู้ ให้รู้ถึงขั้นกัมมันตะ อาชีวะ และมีบทบาท พฤติกรรมต่างๆ ออกมาร่วมด้วย ผมก็พยายามนำพาทำ ผมไม่ได้ถึงขั้นบังคับทีเดียว มีแต่พูด ผมก็ไม่ได้บังคับน่ะ ไม่ว่ารูปไหน คุณสมัครใจที่จะทำเป็นฤาษีอยู่ ระวังจะเป็นฤาษีด้าน ให้มันแก้ตัว ให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นฤาษีป่า หรือฤาษีกรุง มันจะแก้ตัว ให้ตัวเองตามจริต ฤาษีป่าเขาแก้ตัวให้ตัวเอง เป็นฤาษีจัญไร แก้ให้ตัวเองไปใหญ่ฤาษีป่า ฤาษีเมือง ฤาษีกรุงก็แก้ให้กับตัวเอง ไปอย่างฤาษีเมือง ตามจริตเพราะฉะนั้น เรียนรู้ดีๆ ว่าเรานี่แก้ตัวให้ตัวเองน่ะ เราเข้าใจแล้ว แต่เราเอง เราก็แก้ตัวให้กิเลส ไม่ว่าฤาษีป่า ฤาษีเมือง ต่างๆ อ่านดีๆ ถ้ามีผัสสะเป็นปัจจัยจริงๆ ตามที่เราเจอมา ไม่รู้กี่สูตรแล้ว ทุกขสูตรเป็นต้น หรือสูตรอื่นๆอีก ท่านอธิบายว่า มีผัสสะอย่างไรๆ นี่แค่หยิบมานี่ ผมมาอ่านสูตร บางสูตร โดยไม่ได้จำชื่อ ขยายให้เห็นว่า ผัสสะเน้นรวมไปด้วย ทั้งอายตนะนอก อายตนะใน ว่ามีอายตนะนอก อายตนะใน แล้วก็มีวิญญาณ วิญญาณก็วิญญาณของอายตนะ ๖ นั่นแหละ วิญญาณทางตา ทางหู ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ รวมกันแล้ว สามองค์นี่ อายตนะนอกอายตนะในกับวิญญาณ ก็มาเป็นผัสสะ หรือผัสสะจะก่อเกิด รวมทั้งสามนี้ ต้องมีสภาพโดยวัตถุนอก หรือตานี่ เรียกว่านอกแท้ๆ ยิ่งวัตถุยิ่งนอกแท้ แต่วัตถุนอก ถ้าไม่มีตาเข้าไปประกอบแล้ว มันไม่มีอะไรเกิดดอก วิญญาณเกิด โดยไม่มีตาไม่ได้ เพราะวิญญาณมันจะเกิด เพราะมีตาเป็นอายตนะนอก เพราะมีหู เพราะมีจมูก เพราะมีลิ้น เพราะมีกาย เป็นอายตนะนอก ไปกระทบกับวัตถุ มันจึงจะเกิดรูป เกิดเสียง เกิดกลิ่น เกิดรส เป็นอายตนะใน มันเกิดอายตนะใน นั่นแหละ เราก็จับอายตนะในนั้นน่ะ เพื่อที่จะอ่านวิเคราะห์เป็นกิเลส และเป็นวิญญาณ หรือ เป็นวิญญาณแท้ วิจัยตัวนั้น เรียกว่าวิญญาณ เพราะวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อกระทบสัมผัสแล้ว จับวิญญาณได้ ถึงวิเคราะห์วิญญาณต่อไปถึงวิญญาณ หรือจิต จะต้องมีตา มีรูป และต้องมีนอก เพราะผัสสะก็ต้องมีนอก เอาแต่ผัสสะธรรมารมณ์อย่างเดียว มันไม่ครบ พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนแหว่งๆ อย่างนั้น ท่านก็สอนอายตนะทั้ง ๖ ทุกที แต่ไปเพี้ยนเอง เอาจิตๆ อายตนะนอก ก็มีจิต ถ้าเมื่อมีตากระทบรูป เมื่อมีหูกระทบเสียง มันก็ต้องเกิดอายตนะ ทั้งคู่ขึ้นแล้ว นี่มันก็ส่งผ่านไปถึง วิญญาณ หรือจิต วิญญาณทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจ ที่จะไม่ต้องไปกระทบ ไปถึงทวารนอกทั้ง ๕ ใจในใจก็ตาม การศึกษาที่เราจะรู้ทุกข์ ทุกขสูตรนี่ ท่านก็บอกแล้วว่า มีอายตนะนอกใน แล้วก็มีวิญญาณเป็นผัสสะ เมื่อเป็นผัสสะแล้ว เราก็มีมารู้ผัสสะ มารู้เวทนาจากผัสสะ ผัสสะจึงเป็นเวทนา เมื่อเวทนานี่ วิเคราะห์ออกมา เป็นตัณหา เป็นอุปาทาน คุณก็ล้างตัณหา ล้างอุปาทานไป เพราะฉะนั้น เวทนาจึงเป็นประตูที่สำคัญ ที่ต้องเรียนรู้เวทนาถึง ๑๐๘ แต่ถ้าเก่งเวทนา ๓๖ แล้วก็ไม่มีปัญหา อดีต ปัจจุบัน คุณก็ต้องใช้อยู่ตลอดเวลา นี่มันก็เกี่ยวเนื่องไปถึงอนาคต อดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นเวทนา ๑๐๘ ก็เอาอดีต ปัจจุบัน อนาคต ของ ๓๖ นี่แหละมาใช้ เมื่อ ๓๖ แบ่งออกเป็นอดีต แบ่งออกเป็นปัจจุบัน แบ่งออกเป็นอนาคต มันก็ ๑๐๘ เพราะเรารู้ เวทนาในเวทนา อย่างจริงเลย คุณก็สร้างจิตเป็นอนุตรจิต ที่ประกอบไปด้วย สมาหิตะ ประกอบไปด้วย วิมุติได้ เพราะเวทนาก็เป็นตัวเจตสิก เป็นตัวละเอียด ต่อออกไปจากจิต นี่เป็นโพธิปักขิยธรรม หรือเป็นทฤษฎีหลักของพระพุทธเจ้า ทีนี้เมื่อประกอบกรรม ประกอบอาชีพ ที่ผมพาทำอยู่ เราจะได้สร้างพุทธบริษัท โดยอุบาสกอุบาสิกา นำพา ทำกันไปอยู่นี่ ซึ่งผมก็รับผิดชอบอยู่ทั้งหมดนั่นแหละ ไม่ว่าอาชีพไหนๆ แล้วพวกคุณก็เรียนรู้ตาม แล้วพวกคุณ ก็ช่วยผมได้ประพฤติปฏิบัติ ได้ช่วยสอนช่วยอบรม ช่วยกันทำกับทุกๆคนต่อไป เราจะต้องประสบ หรือจะต้องพบกับการงาน พบกับอาชีพพวกนี้ หนักหน้าขึ้น ผมจึงจำเป็นที่จะต้อง หยิบมาอธิบายกับพวกเรา ให้เข้าใจ อธิบายอย่างผู้รู้ พูดกับผู้รู้ เพราะปีต่อไป อาชีพการงาน การกระทำพวกนี้ จะหนักหน้า ขึ้นไปอีก ทุกวันนี้นี่ แม้แต่กัมมันตะ หรืออาชีวะ การกระทำการงานต่างๆ หรือเป็นอาชีพ ฆราวาสพวกเรานี่ ชาวอโศกนี่ จะรู้จะเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้ว จริง เขาอาจจะไม่แววไว หรือบางคนเขาแววไวกว่า อย่านึกว่า ฆราวาสบางคนไม่มีบารมี บางคนมีบารมี ขอบอกได้เลยว่า บางคนบารมีเหนือกว่าพวกคุณ ที่เป็นสมณะบางรูป เขามีบารมีที่จะเรียนรู้ธรรมะ หรือจริงๆแล้ว อจินไตยน่ะ จริงๆแล้ว เขาเป็นคนสูงกว่าพวกคุณ แต่สมมติคุณสูงกว่าเขา เท่านั้นเอง แต่จริงๆแล้ว เขาสูงกว่าพวกคุณ ภูมิธรรมเขาสูงกว่าพวกคุณ คุณรู้ได้ ใครก็สูงกว่าคุณ คุณอย่านึกว่า คุณได้บวชเป็นสมณะแล้ว นี่คุณสูงกว่าใครทั้งหมดในโลก สูงกว่าฆราวาสทั้งหมด อย่าทำเป็นแอ๊คไปเลย ฆราวาสเขาบางคน เขามีภูมิธรรม มีบารมีเขาสูงกว่าคุณได้ แต่ในฐานะ ตามวิบาก เขาจะต้องไปสร้างสรรอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปดูถูกคนเขานัก โดยสมมติแล้ว ก็ให้เขาเคารพที่เป็นสมมติสัจจะหนึ่ง เป็นรูป เป็นแบบก็เป็นไป เพราะฉะนั้น พวกที่เขารับช่วงไปแล้วก็รับไป เพราะการงาน ในหน้าที่ของฆราวาสเขารับ แล้วเขาก็ทำต่อช่วงไปแล้ว เขาก็เบิก ทำอะไรต่ออะไรไป รังสรรไป บางคนจะต้องทำไปทั้งชาติ เป็นฆราวาสทั้งชาติ แต่ฆราวาสคนนั้น บางคนน่ะ เขาไม่ได้ต่ำกว่าคุณเลยนะ ชาตินี้ทั้งชาติ คุณยังไม่ได้สูงกว่าเขาดอก แต่เขาต้องเคารพคุณ โดยรูป แต่ภูมิธรรมเขาสูงกว่าคุณ ถ้าผู้ใดอ่านออก ผู้นั้นคุณจะคารวะเขาในใจได้ แล้วคุณจะยอมเขาเอง คุณจะรู้สึกต้องเชื่อฟัง ต้องเคารพ เคารพในใจ ต้องนับถือจริงๆ ต้องพยายามสังเกตเรียนรู้ อย่าไปถือตัวถือตน มีอัตตามานะมากเกินไป เราต้องรังสรรค์ ศาสนานี้ มันจะต้องครบพร้อมไปด้วยอาชีพ ไปด้วยการงาน เพราะชีวิตมนุษย์นั้นน่ะ มันจบอยู่ที่การงาน จบอยู่ที่อาชีพ สุดท้าย พระอรหันต์ก็ทำการงาน ทำอาชีพ หยุดติด หมดปัญหา เพราะฉะนั้น ไม่มีตัวตน จะมีแต่บทบาทการงาน มีพักมีเพียร เท่านั้นเอง ในเรื่องของมนุษย์ ก็มีแต่พักกับเพียร ก็ไม่มีอื่นอะไร ไม่ใช่มีแต่พักกับพัก หนี หลบ เป็นลัทธิฤาษี ลัทธิเดียรถีย์ ที่ออกป่า เข้าถ้ำ หลบไปไม่เอาอะไร ไม่เอาอะไร มันสุดโต่ง เป็นนัตถิกทิฐิ หรือพวก อกิริยาทิฐิ เป็นพวกไม่มีอะไร พวกสูญสุดโต่ง เพราะศาสนาพุทธเรา เป็นศาสนาแห่งมนุษยชาติ เป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นศาสนา ที่สอนคนให้มาอนุเคราะห์โลก ไม่ใช่สอนคนให้ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หนีไปสุดๆ เดี่ยวๆ ไปอย่างนั้น ฉะนั้นทุกวันนี้ จริตของบางคน จะเป็นฤาษีป่า หรือฤาษีกรุง นี่เข้าใจให้ดีๆ ผมก็ไม่รู้จะแก้ จะอธิบาย ไม่รู้กี่ภาษา ปฏิภาณอย่างไร ก็พยายามใช้ในพวกคุณ เข้าใจให้ได้ แล้วไปศึกษาสภาวะ แล้วพยายามทำตนให้หลุดพ้น ทำตนให้ละเอียดลออให้ได้ แล้วเราจะดำเนินต่อไป
จัดทำโดย
โครงงานถอดเท็ปธรรมะออกพิมพ์ให้ท่วมโลก |