บุญนิยมจากโลกาภิวัฒน์ ตอน ๔ หน้า ๒ (ต่อจากหน้า ๑)
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๓๗
เนื่องในงานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ ๑๘ ณ พุทธสถานศาลีอโศก


มันจะกี่ปี ก็ต้องถาม กิเลสตัวเองซิ มันมีมาก มีน้อยแค่ไหน ไปทำดูให้จริง

นี่พยายามขยาย เพื่อที่จะให้รู้จักขีดเขตของความเป็นอาริยะนี่ตรงไหน เพราะฉะนั้น จะต้องพ้น มิจฉาทิฐิ ผู้จะพ้นมิจฉาทิฐิ ในมิจฉาทิฐิสูตร จะต้องเห็นอนิจจัง ได้อธิบายความเป็นอนิจจัง ให้ฟังแล้ว

เพราะฉะนั้น อนิจจลักษณะ ไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้า มันต้องเห็นอนิจจังจริงๆ ด้วยญาณนะ ไม่ใช่อะไรก็ไม่เที่ยง อะไรก็ไม่จริงหรอก อะไรก็ไม่อยู่คงทน ก็รู้กันทั้งนั้นแหละ แต่อย่างนี้ ยังไม่ใช่ เป็นผู้บรรลุ ยังไม่ใช่เป็นผู้ถึงปรมัตถ์ ยังไม่ใช่ผู้ที่เห็นของจริง ตามความเป็นจริง และเห็นของจริงอะไร เห็นจิต เจตสิก รูป นิพพาน เห็นในสภาวะของเจตสิก เห็นสภาวะในจิต ธัมมวิจัยกิเลสออกไปชัด ล้างกิเลสออก ให้เจตสิกสะอาดขึ้น ให้จิตสะอาดขึ้น มีเจโตปริยญาณ ๑๖ จริงๆ ปฏิบัติแล้ว ก็อ่าน เห็นจริง จึงจะเรียกว่าปัญญา เห็นของจริงตามความเป็นจริง เกิดญาณ เกิดปัญญา เกิดวิปัสสนาญาณ หรือเกิด ญาณทัสสนวิเศษ ซึ่งเป็นวิชชาแล้ว เพราะได้ฝึกสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ เพื่อฝึกฌานแบบพุทธ มีมุทุภูตธาตุ มีกัมมนิยะ มีกรรมการงาน พยายามสั่งสมปฏิบัติ มุทุธาตุ ก็คือแววไว รู้เท่าทัน วิจัยได้เสร็จ เสร็จแล้วก็ละกิเลสด้วย จิตดัดได้ง่าย จิตหัวอ่อน ลดลง ได้จริง มีญาณอ่านเห็นไปพร้อมกับสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ นี่แหละคือกัมมนิยะ แม้แต่การงาน อะไรต่างๆ เหมาะควรแก่การงาน ที่ทำไปด้วยกับการงาน มีภาวะลดละกิเลสไปได้ด้วย อย่างจริง เกิดฌาน ฌานลืมตา ฌานของพระพุทธเจ้า ไปพร้อมกับมรรคองค์ ๘ พร้อมกับมี โพชฌงค์ ๗ เป็นเครื่องมือ อย่างวิเศษ เป็นธรรมาวุธชั้นดี ลดละ ตัดลงไปได้จริง

เมื่อทำได้ถึงขีดนี้จริง คุณก็มีครบ ศีล สมาธิ ปัญญา ผ่านมิจฉาทิฐิ เพราะเห็นอนิจจัง แม้คุณตีมัน ยังไม่แตก มันอนิจจังจริงๆ มันไม่เที่ยงจริง แต่มันหนาขึ้น ก็รู้หนาขึ้น นั่นพ้นมิจฉาทิฐิแล้ว แต่ถ้ายิ่ง ตีแตกเป็นสักกายะตัวโต ลดละ จางคลายได้ มีวิราคานุปัสสี ตามเห็นว่ากิเลส ๑๐๐ เหลือ ๙๙ แหม น้อยเดียว เหลือได้หนึ่ง เอาเถอะ ยิ่งแหม ๑๐๐ ลดลงเหลือ ๙๐ ได้ ลดจางลงเหลือ ๙๐ ได้ ก็ยิ่ง เก่งแล้ว จางคลาย เห็นความจางคลาย เห็นวิราคา เห็นวิราคะ วิราคะ แปลว่า ความจางคลาย เห็นอาการ จางคลายนั้นจริงๆ ในจิต กิเลสหมดอัสสาทะ ลดอร่อย ลดโกรธ ลดโลภ ลดเคือง ลดลง จะไปลด รสของสวรรค์ รสของนรก ลดลงทั้งคู่ หรือตัวกิเลสแท้ๆ เลยให้มันลด จับกิเลสนี่ราคมูล โทสมูล ลดมันได้จริงๆ เห็นอยู่รู้อยู่เป็นปัจจุบัน นั่นเทียว ด้วยญาณของเราเอง พ้นสักกายทิฐิ ก็เห็นทุกข์ ลดแน่นอน เหตุแห่งทุกข์ลดแน่นอน

เพราะฉะนั้น สักกายทิฐินั้นจะต้องเห็นเป็นทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์ลด เห็นวิราคะ ลดลงไป ทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง จับตัวอัตตา หรือ ตัวสักกายะ เรียก สักกายะว่าตัวตนเหมือนกัน มันเป็นตัวตนตัวใหญ่ จนกระทั่งอัตตานี่เป็นคำกลางๆ เรียกตัวตนกลางๆ จนกระทั่ง ทำเล็กลงๆ จนเหลืออัตตานุทิฐิ เห็นอัตตานี่แหละลงไปเรื่อยๆ จนถึงอาสวะ ลดลงไปจนเหลือน้อย ตัวอาสวะนี่ สักกายะ อัตตา อาสวะนี่ ตัวตนทั้งนั้น ตัวตนของกิเลส จับมั่นคั้นตายตัวตนของมัน ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตน ก็พูด ลอยๆ ไปตัวตนอะไร ก็ไม่รู้ อะไรก็ไม่มีตัวตน ก็อย่าเป็นตรรกศาสตร์ เป็นความนึกคิดเหตุผลไปลอยๆ ไม่ใช่ลอยๆเลย จับมั่นคั้นตาย ตัวไหนก็ตัวไหนเลย มีญาณปัญญาจับรู้จับมั่น จับแม่น จนมันเหลือ ขั้นอาสวะ ก็รู้อาสวะ

เพราะฉะนั้น อรหัตผลระดับอรหัตผลนี่ จะต้องรู้อาสวะคืออาสวะ กิเลสหยาบ กลาง ละเอียด รู้ว่านี่ มันเหลือน้อย เหลือละเอียด วิจัยลงไป ตามไปรู้ได้ จนเห็นมันว่า มันไม่ใช่ตัวตนแล้ว เป็นอนัตตา มันหมดแล้ว มันสูญแล้ว มันไม่มีตัวตนของกิเลส อัสสาทะก็ตาม กิเลสตัวนั้น จะเป็นกามตัณหา จะเป็น ภวตัณหาใด เพราะตัวเหตุไหนก็แล้วแต่ อ่านมันชัดเลยว่า มันไม่มี ตัวตนแล้ว ไม่เหลือตัว ที่จะมามีอาการ อย่างนิด อย่างน้อยก็ไม่มี ไม่เหลือ คุณต้องรู้ด้วยญาณของคุณ ว่าไม่มี ไม่เหลือแล้วนี่ มันไม่มา เล่นงานเราแล้ว มันไม่เกิดแล้ว คอยอ่านมันอีกแล้ว จนมันตั้งมั่นเป็นสมาหิโต เป็นสมาหิตะ โดยไม่เกิด อวิมุติจร ใดๆเลย ตอนนี้ เห็นอนัตตา สภาวะเลยน่ะ ไม่ใช่อนัตตาอะไรๆ ก็ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน อะไรก็ไม่ใช่ของเรา อะไรๆ ก็ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่เดานะ ตัวกิเลสของเรานี่ไม่มีแล้ว อนัตตะ อะ นะ ตา ไม่มีแล้ว ตัวอัตตาตัวนี้ มันไม่มี อะ นะ แปลว่าไม่ ไม่มีตัวตนนั้น อย่างเห็น อย่างญาณปัญญา รู้ไม่มี อนัตตานี่เห็นอยู่โทนโท่เลยว่า ตัวเราเห็นว่าไม่มี มันสุญญตา มันเป็นความสูญแล้ว มันไม่เกิดอีก มันตายสนิท นี่มันตายไม่ฟื้น ตายแล้วตายเลย มันตายจริงหรือเปล่า หรือมันฟื้น มาหลอก ก็ต้องรู้ตัวว่า มันฟื้นมาหลอก แหม เรานึกว่า เราแน่ ฟื้นมาอีก มันจะเศร้าใจเลยนะ โอ๋ย เรานึกว่าเราหมด เรานึกว่ามันตาย มันฟื้นแฮะ ก็รู้ความจริงว่ามันฟื้น เรายอมรับความจริง แล้วเรา ก็ซัดมันอีก หลายผู้หลายคนนี่หลงตัวเอง นึกว่าตายแล้ว ฟื้นอีกคงจะประสบกัน ทุกคน นั่นแหละ เหตุใดก็เหตุใด มันมีตัวหลอก มันฟื้นมา นึกว่ามันตายสนิท มันฟื้นเว้ย มันจะมีอยู่ ทุกคนแหละ

เพราะฉะนั้น เราก็จะฉลาดรู้ความจริง อ๋อ มันฟื้น พอได้ทำบ่อยๆ เอ็งอย่ามานั่งฟื้น ฉันรู้ทันมันเรื่อยๆ ฉันรู้น่ะ ไอ้พวกหลอกฟื้นนี่ ซัดเข้าไป สุดท้ายอย่ามาหลอกรู้ทัน มาทำตายแล้วหลอกฟื้น เอามาตาย สนิทจนเกลี้ยงโน่นแหละ สุดท้าย ก็หมด เป็นพระอรหันต์ได้ เอา นี่อธิบายรวมให้ฟังก่อน ก็คุณ ก็ไม่เก่งนะซิ ใส่สตาร์ตซิ วิ่งตาม แหม พูดอย่างกะเล่นไล่เอาเถิดเลยนะ ต้องใส่สตาร์ต แล้ววิ่งตาม และ มันวิ่งหลบไปตรงไหนหายตัวเก่ง ก็ต้องมีธัมมวิจัยอันสำคัญ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ อันสำคัญ คุณต้อง วิจัยให้ออก ให้เห็นให้ได้ค้นให้เจอ สังขารคืออะไร ต้องอ่านให้เจอ คือต้องปรุงเป็นรส เป็นชาติ ปรุงเอากิเลส มาร่วมปรุง มันจะไปไหน

คุณพูดโดยภาษาตามไม่เจออย่างกะเล่นเอาเถิด ไปซ่อนอยู่ในหลืบ คุณปรุงอยู่นั่นแหละ กว่าจะ เป็นรส เป็นชาติ คุณต้องปรุงของคุณ อยู่นั่นแหละ รสชาติมันต้องเกิดอยู่ แล้วก็มีเหตุแห่งกิเลสอยู่ปรุง ห้ามไม่ได้ ห้ามมันทำไมละ เพราะอันนี้ถึงไม่ห้าม คุณห้ามเท่ากับ คุณจับมันมาซ่อนไว้นะซิ คุณห้าม เท่ากับ คุณคอยจับมันซ่อนไว้ ไม่ต้องจับซ่อนๆ ไว้ เอ็งนี่ออกมานี่ ลุยกันเลย สังขารเอ็ง กำลังปรุง ใช่ไหม กิเลสเอ็งออกซัดใช่ไหม อ่านวิจัย ธัมมวิจัยให้เห็นหน้าเลย นั่นแหละ เพราะฉะนั้น คนเคยตัว มันก็จะหลบเรื่อยๆ มันจะหมก ซ่อน หลบเก่ง ซ่อนเรื่อย แล้วนิสัยซ่อนนี่ มีมาแต่ไหนแต่ไร ฤาษี ทั้งหลายเอ๋ย ตัวเองก็เล่นซ่อนหา ตัวเองแหละ ซ่อนลูกรัก จะเอากิเลสมาซ่อนลูกรักๆ ไม่ได้หรอก เดี๋ยวเทวดามาเจอ เทวดาก็คือ จิตตัวพิเศษของเรา ตัวชาญฉลาด คือตัวปัญญาที่แท้ ซุกซ่อนเก่ง คุณบอกว่า คุณวิ่งตามกัน คุณซ่อนเอง ใครไปเล่นกับคุณ คุณเล่นของคุณ อยู่คนเดียว นั่นแหละ ต้องให้มันมาเห็นหน้าหลัดๆ ชัดๆ เลย มาเลย กิเลสมันมามีฤทธิ์ขนาดไหน ปล่อยให้มันมาทำเต็มที่ มันยิ่งจะเห็นชัด มันยิ่งจะหยาบขึ้น ยิ่งคุณไปซุกซ่อน คุณยิ่งไปหลบมัน ไปบังมัน ไปพรางมัน ทำเป็น ไม่รู้ไม่ชี้ ขนาดเจตนาจะให้ขึ้นมาต้องอินทรีย์พละแข็งแกร่งนี่ ให้มันขึ้นมาเต็มที่ และคุณต้องซัด กับมัน สู้กับมันลงไป อ๋อ แน่นอน ก็บอกว่า จิตเหมือนลิง นั่นอย่าพูดเลย ลิงนั่น มันจะไปเร็วอะไรกัน นี่มันเร็วกว่าลิง อีกล้านเท่าโน่น นี่แหละ มันเป็นเรื่องชัด เป็นเรื่องที่ยาก แต่ต้องทำ คุณไม่ทำ คุณไม่มีทางหรอก ต้องอ่านให้ชัด ต้องให้จริง อย่างที่กล่าวนี้ อาตมาว่า อาตมาเอามาพูด เป็นนามธรรม มาพูดเป็นภาษาคน ให้พวกคุณฟังได้ขนาดนี้แล้วน่ะ ถ้ายังไม่รู้ อาตมาก็จะพยายาม เก่งกว่านี้อีกนะ ไม่รู้จะพูด ยังไงแล้ว

คุณประสบอยู่ คุณฆ่ากิเลสได้จริงหรือเปล่าละ ถ้ามันจริงก็จบ ถูก ถ้ามันไม่จริงก็ไม่จบ ก็ซ่อนหาอยู่ ไม่มีจบหรอก ผัดมันอยู่นั่นแหละ นั่นคือความเนิ่นช้า พระพุทธเจ้าบอกว่า เราไม่สรรเสริญความเนิ่นช้า ผัดวันประกันพรุ่ง เอาให้มัน หน่อยนึงนะ อ่อยมันหน่อยนึงน่ะ อ่อยมันหน่อยนะ เอาแค่นี้นะ เจ็บปวด อยู่นั่นแหละ ก็ไม่รู้แล้วสักทีนะ ผัดมันอยู่อย่างนั้น

เอ้า ก็มันให้หมดนั่นแหละ แปดสิบก็จะไปรอมันทำไม โอ๊ ถ้าฆ่ามันได้ ร้อยหนึ่งเหลือแปดสิบฆ่ามันต่อ อาฆาตไปได้เรื่อยๆ นี่ ถ้าเราหยุดปั๊บ ไม่ต่อใช่ไหม คุณก็เป็นกัลยาณชนเท่านั้นต่อ ดีไม่ดี ก็จะไปเป็น ปุถุชนต่อ เสร็จแล้วมันก็ฟักตัวใหม่ จาก ๘๐ ทีนี้ก็อ้วน ขึ้นกว่าเก่า ๑๕๐ เลยทีนี้ ไม่ใช่ ๑๐๐ แล้ว ทีนี้อ้วนเป็น ๑๕๐ เลย ลดลงก็เป็นกัลยาณชน จนกระทั่งถึงขั้น อาริยชน เพราะลดมันได้จริง เป็น อาริยชน ถ้ากัลยาณชนไม่พูดอย่างนี้หรอก กัลยาณชนไม่รู้อย่างนี้

เพราะฉะนั้น ศาสนามากมาย ศาสนาเขาพยายาลดกิเลส พยายามลดโลภโกรธหลง เขาพยายาม ที่จะให้เป็น ผู้เสียสละ บอกแล้ว อย่างแม่ชีเทเรซ่า เสียสละจริงๆ แต่แม่ชีเทเรซ่า จะมารู้ดีอย่าง อาตมาพูดไหม เขาจะไม่รู้ แต่เขาทำ เพราะฉะนั้น คนดีในโลก ที่เสียสละนี่ มีอยู่เยอะ แข็งแรง แล้วก็สมถะ รักษาอย่างสมถะแบบนั้น แบบสมถะ โอ๊ย เสียสละ ไม่เอา หรือเป็นฤาษี ไปอยู่ภูเขา หิมพานต์ ไม่เอาอะไรเลย สะกดจิตนิ่ง แต่เขาไม่รู้ว่า อาการพวกนี้ ไม่มีมรรคองค์ ๘ ไม่มีโพชฌงค์ ๗ อย่างที่ว่านี้ ไม่มีมรรคองค์ ๘ ไม่มีโพชฌงค์ ๗ อย่างอธิบายนี้ แล้วจะไม่รู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน จะไม่รู้จิต อย่างชัดเจนหมดเลย รูป อรูปของจิต เป็นอย่างไรๆ จะไม่รู้ชัดเจนอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้น เรายิ่งไปอ่าน พระอภิธรรม มีเจตสิกอีกตั้ง ๕๒ มีจิตอีกมากมาย กุศลจิต แบ่งเท่านั้น อกุศลจิต แบ่งอีกเท่านี้ อีกนับไม่ถ้วนหรอก ที่บันทึกมาในพระอภิธรรมนั่น มาส่วนหนึ่งเท่านั้น มีมากกว่านั้น มีมาก กว่านั้นเยอะแยะ ละเอียดลออ เมื่อเรารู้สภาวะมันแล้ว จะรู้นี่หน้าตากิเลส ไอ้นี่ลดละไปแล้ว เป็นอย่างนี้ๆ รู้ๆ ด้วยญาณของเรา นี่แหละ

เอาละ อาตมาเน้น เจตนาที่จะเน้นให้เห็นการตัดรอบของปุถุชน กัลยาณชน แล้วก็อาริยชน ตรงปรมัตถ์ ตรงไหน เคยพูดอย่างนี่นะ ไม่ได้เคยพูดว่า มหาตมะคานธีเป็นอาริยะ แต่เคยพูด แต่เพียงว่า ไอน์สไตน์ก็ดี มหาตมะคานธีก็ดี เคยเปรยว่า อ๋อนี่ กำลังศึกษาภูมิ สั่งสมภูมิโพธิสัตว์ แต่คำว่า โพธิสัตว์นี่ ก็มีสัมมาสัมโพธิ หรือปัจเจก ปัจเจกก็มี ปัจเจกสัมมาสัมโพธิ ปัจเจกโลกๆ เป็นได้ อย่างเทวทัตนี่ สามารถที่จะบรรลุปัจเจก ปัจเจกพุทธะ หรือปัจเจกภูมิ แต่ไม่ใช่สัมมาสัมพุทธะ สัมมาสัมพุทธะนี่ จะต้องไปในสายของพระพุทธเจ้า รู้ละเอียดลออ ปัจเจกของพุทธเจ้านี่ สูงกว่า พระอรหันต์ ส่วนปัจเจกพุทธะในโลกนี่ แย่กว่าพระอรหันต์ สอนคนไม่เป็น จะไปได้เรื่องอะไรเล่า มีแต่ประโยชน์ตนส่วนเดียว ปัจเจกของโลกๆ ปัจเจกของ สายอื่นเขานี่ อาตมาเคยยืนยันว่า เหมือนกับ ตาบอดขี่ถึกปอง คือเหมือนคนตาบอด ไปหาช่องจะอุจจาระ ซึ่งมันก็งมๆ คลำๆ อะไรก็ไม่รู้ มันปวดจัด ก็เอาปล่อยมันลงไป บังเอิญมันไปตรงกับร่องพอดี ปล่อยลงร่องลงรูพอดีเลย มันบังเอิญ เท่านั้นแหละ เสร็จแล้ว ก็ไม่รู้มันไปยังไง ทิศเหนือ ทิศใต้ มันมายังไง ไปอย่างไง มีเครื่องประกอบ ตรงร่องนี่ รูนี่ พอพรวด ออกจากร่องนี่แล้ว ไม่รู้เลยว่า เฮ้ย ร่องอยู่ไหนวะ แต่ได้แล้ว

เพราะฉะนั้น จะไปบอกคนอื่นก็ไม่เป็น ต้องไปตรงนั่นนะ ต้องไปตรงนี่ ต้องมีเป็นองค์ประกอบนะ สอนคนอื่น แนะคนอื่นบ้าง เผื่อจะได้ ไปรู้ร่องนั้น พรวดเข้าไปในร่องนั้นได้บ้าง ไม่รู้ ไม่มีปัญญารู้ บังเอิญครั้งเดียวก็ได้ บังเอิญได้เสียแล้ว และตัวเอง ได้คนเดียว นี่คือปัจเจก เขาถึงบอก ปัจเจก สอนคนอื่นไม่ได้ ปัจเจกของพวกไม่มีระบบ ไม่มีมรรควิธี ไม่มีทฤษฎีอย่างสมบูรณ์แบบ ทุกอย่างไม่มี นั่นปัจเจก สอนคนไม่ได้ แต่ปัจเจกของพุทธะนั้น รู้รอบ ปฏิบัติไปเพิ่มภูมิไป ลาดลุ่มเป็นลำดับ ต้น กลาง ปลาย อย่างงามพร้อม น่าอัศจรรย์ที่สุด เพราะฉะนั้น ปัจเจกสัมมาสัมพุทธ นั้นรองพระพุทธเจ้า เหนือกว่าพระอรหันต์อื่น สอนไปตามลำดับ ไม่ใช่ปัจเจกสอนคนไม่ได้ นี่ก็อธิบายกันเลอะๆ เทอะๆ ปัจเจกอย่างที่ว่านั่น เราก็เข้าใจ ปัจเจกอย่างนั้น เราไม่เอาละ ปัจเจกอย่างนั้นน่ะ คลำๆ ตาบอด คลำไป ตลอดชาติ มันดื้อ มีอัตตามานะ เยอะไปด้วย อัตตามานะ พวกนี้ไม่ได้ พวกอัตตามานะเยอะ ก็จะอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วก็ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ นับไม่ถ้วนเลย โอ้โฮ ตาบอดกว่าจะคลำได้ช่อง แล้วมันยิ่งกว่า ช่องนี้มันเล็กยิ่งกว่าอะไรอีก ในจักรวาล ช่องนี้มันโอ้โฮ ช่องนิพพาน มันโตนักเหรอ เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่ง่ายๆ มันเป็นเรื่อง ที่เกินคิด อจินไตย มันเป็นเรื่องที่เกินคิด เป็นแต่เพียงรู้เหตุผล คุณอยากได้หรือ อยากได้ปัจเจกอย่างนั้นเหรอ อยากได้ ก็ไปเอาเถอะ ถ้าใครไม่อยากได้ ก็ไปทางนี้ ไม่ใช่พุทธปัจเจก ไม่ใช่ ก็เป็นเรื่องของลัทธิอื่น จะเอาอะไรไปอธิบาย คนเรา มันคนละทฤษฎี ไอ้นั่นก็คนละทฤษฎีกับเรา จะไปอธิบายอะไรเขาเล่า พระเจ้าของเราก็คือพระเจ้าของเรา เราอธิบายพระเจ้าของเรา อยู่เหมือนกัน พระเจ้าของเรา ก็คือกรรม สะสมให้มันเป็นกรรมที่มีกุศล ที่มีฤทธิ์มีเดช เป็นปาฏิหาริย์ มีจริง เมื่อเราสะสม มีฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ พระเจ้าคือคุณธรรม พระเจ้านี่ มีคุณลักษณะ ที่มีค่าคุณงามความดี ให้มีมากเท่าไหร่ ก็จะมีฤทธิ์เดช จนเหลือเชื่อ จนเกินเชื่อ ซึ่งเป็นนามธรรม อยู่ไหนก็ไม่รู้ แต่มันเป็นกรรมของเราที่เป็นกุศล ที่เป็นวิบาก ที่เราได้สั่งสม ของใครของใคร ก็ของมัน แต่ละคนก็มีพระเจ้าของตัวเอง จะไปอ้อนวอนให้พระเจ้าเกินตัวไม่ได้ ตัวเอง มีพระเจ้าองค์เท่านี้ และอย่าไปอยากได้พระเจ้าองค์เท่านี้ สร้างเอา ถ้าสร้างพระเจ้า องค์เท่านี้ได้ ก็ของคุณ คนนี้เห็นพระเจ้าองค์นี้ ช่วยคนนี้ แหม ช่วยฉันบ้างซิ ไม่มีได้ กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท ของใครของมัน พระเจ้าใคร พระเจ้ามัน พระเจ้าจะช่วย

อาตมาอยากให้พระเจ้ามาช่วยคุณนะ เอาไปซิ ท่านไม่ขบถหรอก ท่านไม่ทำผิดหน้าที่ พระเจ้าใคร พระเจ้ามัน บุญใครก็บุญมัน มีฤทธิ์มีเดช มีอำนาจ มีบารมีนั่นเอง บารมีของใครบารมีของมัน ไปแบ่งบารมี ให้กันไม่ได้หรอก แบ่งส่วนบุญ ให้กันไม่ได้ พระเจ้ามีอำนาจ มีสิ่งที่เกินเชื่อเป็นบารมี โอ๊ย อย่าไปแข่งเลย แข่งบารมีอย่าไปแข่ง แข่งได้คือเราเอง ทำของเราให้ขึ้นไปแข่ง แต่อย่าไปแข่ง ด้วยประเภท ไปหรอยเอา ไปขโมยเอา ไปแอบเอายังไง ไม่ได้ ของใครของมันนะ เราต้องเข้าใจว่า พระเจ้าก็คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าก็คืออำนาจวิเศษ มีจริงของใครของมัน ใครทำได้สั่งสมมาก็มีได้ มีใช้ ไม่ใช้ก็ต้องใช้ มันเป็นของมันเอง มันมีอยู่ในตัวของมันเอง มันเป็นไปได้ของมัน อย่างพระพุทธเจ้า เกิดมาพรั่งพร้อมด้วยบุญบารมี ของท่าน ยิ่งกว่า ช้อนเงิน ช้อนทอง เกิดมายิ่งกว่า อำนาจฤทธิ์เดช ยิ่งกว่าอะไร ทุกอย่าง โอ๊ย พร้อม ก็เรื่องของท่าน เป็นไปตามบารมี ของท่าน อาตมา ก็มีบารมีของอาตมา เท่าของอาตมา ปลอมแปลงเอาไม่ได้ เพราะฉะนั้น อาตมาไม่เสียใจหรอก อาตมาจะต้อง โดนวิบาก มีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เสียใจหรอก อาตมาก็ว่าเออ เราต้องสั่งสมไป เพิ่มภูมิ เพิ่มอะไรขึ้นไป ถ้าไม่เพิ่มภูมิอะไรขึ้นไป มันก็ไม่ได้ เราต้องทำเอาเอง ทั้งนั้นแหละ

เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นวันที่เราจะเปิด เปิดบุญนิยม เปิดโลก บุญนิยมนี่เปิดสวรรค์ เพื่อเข้าไปหาโลก โลกียะเขา เข้าไปหาโลกาภิวัฒน์ แต่ที่จริงอาตมาเปิดโลกาภิวัฒน์ เปิดโลกโลกียะ ตั้งแต่ปลุกเสกฯ มาก่อน เปิดมาแล้ว ก็หยั่งเข้ามาลึกๆ เข้ามาหาพวกเรา กำลังสัมพันธ์กัน บุญนิยมจากโลกาภิวัฒน์ อาตมาเอาโลกาภิวัฒน์มาเป็นหลัก เอาโลก ทุกๆ คนก็มีอยู่แล้ว เคยผ่าน เคยพบมาแล้ว เอาอันนั้น มาอธิบายเกินไปอีก กว้างออกไป เอามาขยาย พวกคุณก็ทำเป็นลืม ทั้งที่เกิดในยุคโน่นแน่ะ ยุคไดโนเสาร์ หรือเปล่าไม่รู้ เกิดกันมา ไม่รู้ว่าตัวไดโนเสาร์ตัวไหนบ้าง ไม่รู้นี่ แล้วก็มาเกิด จนกระทั่ง วนเวียน ได้พัฒนามา จนป่านนี้ อภิวัฒน์มา จนกระทั่งได้มาฟังธรรมะขนาดนี้นี่ ก็จากโน่นมา ทั้งนั้นแหละ ดึกดำบรรพ์ และเราก็สั่งสมมา พัฒนามา พัฒนามา จึงมาได้อย่างนี้ ถ้าไม่ไปพัฒนา มาโน่นแน่ะ โลกานุวัฒน์ป่านนี้ก็โลกหมุนหัวไป ไปกับเขา ไปโน่นแน่ะ หัวปั่นไปกับเขา โลกๆ นั่น ตอนนี้เรามาทางนี้ มาขนาดนี้ได้ มารับฟังได้ อย่างน้อยที่สุด เมื่อเราได้ เราก็พ้นทุกข์ เราก็เจริญ เราก็เป็นบุญ เราก็เป็นกุศล เราไม่เป็นบาปเป็นหนี้ เสร็จแล้ว เราก็ได้ช่วยผู้อื่น ช่วยโลก โลกทุกวันนี้ ต้องการคนช่วยเหลือที่จริงๆ อย่างนี้ อีกมากมายน่ะ

เอาต่อซิ เดี๋ยวก็ค่อยอธิบายประสานกันอีก

เมื่อเรารู้จักขอบเขตอาริยะดีแล้ว มันต่างกัน เพราะฉะนั้น ในนัยของส่วนย่อย สติก็ต่างกัน มันได้แค่ ระดับปุถุชน ก็อย่างนั้น ระดับกัลยาณชน ก็เท่านี้ ขีดปัญญานี่แหละ ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะฉะนั้น คนทุกวันนี้ เรียนรู้แค่ ศีลกับสมาธิ ศาสนา นานาสารพัด ไม่ได้มีญาณ ญาณที่เป็นวิปัสสนาญาณ ญาณที่เป็น ของพระพุทธเจ้า วิชชาของพระพุทธเจ้า วิชชา ๙ ประการ ของพระพุทธเจ้านี่ ศาสนาอื่น ไม่ได้ง่ายๆ ฟังแล้วฟังอีก มันใช้ภาษาซ้ำกันเท่านั้นเอง เอาความรู้หรือวิชชา หรือปัญญา หรืออะไร ก็แล้วแต่ มันใช้ภาษาซ้ำกันเท่านั้นเอง จะเรียกเป็นภาษาบาลี เป็นภาษาแขก เป็นภาษาไทย เป็นภาษาอังกฤษ เป็นภาษาจีน อะไรก็ตามใจเถอะ ปัญญานี่ จีนเรียกอะไรล่ะ ปัญญาหรือญาณนี่ หมิง ฮุย นั่นเห็นไหมแย้งกันขึ้นมาแล้ว enlightenment enlightenment ก็ยังไม่ถึง มันเป็นความเอาตัวมัน ชี้ถึงญาณ หรือความฉลาด ชนิดที่ลึกของแต่ละภาษา มาเท่านั้น จริงๆ มันจะต้องมารู้ ลักษณะของ พระพุทธเจ้าพารู้นี่นะ มันถึงจะเรียกว่าปัญญาหรือญาณ ซึ่งมันไม่มีภาษาเรียก มาตั้งใหม่ ด้วยซ้ำไป ที่จริงเราก็เอาตัวยอดที่สุด มาใช้เท่านั้นเอง จะเป็นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาอะไรก็แล้วแต่ ก็หาเอาตัวที่หมายความว่า ความฉลาดเยี่ยมที่สุด ความฉลาดพิเศษที่สุด แต่มันไม่ถึงทีเดียว เอามาเรียก เสร็จแล้ว คือหมายถึง ฉลาด เข้ารู้องค์ประกอบ ที่อธิบายให้ฟังนะ

เราได้อธิบายมาสามโพชฌงค์แล้ว
สติ ธัมมวิจัย วิริยะ ทีนี้มาต่อ พอสามองค์นี้ สติ ธัมมวิจัย และวิริยะ สามองค์นี้ทำงาน มันก็จะเกิดผล เกิดผลมา ก็เป็นปีติ คือได้ดี หรือเจริญ มีปีติสัมโพชฌงค์ คือสติธัมมวิจัย วิริยะ มีประสิทธิภาพ แห่งสัมโพชฌงค์จริง คือสติก็ดี ธัมมวิจัยก็ดี วิริยะก็ดี มีประสิทธิภาพ ถึงขั้น สัมโพชฌงค์ ถึงขั้นเป็นองค์แห่งการตรัสรู้จริง เกิดสัมมาอริยผล ตามลำดับ ผู้ปฏิบัติรู้เห็นผลนั้น ก็จะเกิด ความยินดี มันได้แล้วนี่ ทำงานได้ผลมา ได้ของดี ละได้จริง มันก็จะ โอ๋ สุดเด๊ๆ ยิ่งกว่าติ๊กชีโร่ ยิ่งกว่า หินเหล็กไฟอีก ร้อนแรง ยิ่งกว่านั้นอีก เหมือนนักเต้นร้อนแรงน่ะ ยิ่งกว่านั้นอีก มันจะชัด มันจะสุดเด๊ นั่นแหละ ยิ่งปีติแรงเท่าไหร่ อุพเพงคาปีติ โอ้โฮ เต้นเหาะลอยเลยน่ะ ขนาดไหน อุพเพงคาปีติ นี่มีหลายปีติๆ ในโอกันติกาปีติ ผรณาปีติ ขณิกาปีติ ขุททกาปีติ โอกันติกาปีติ อุพเพงคาปีติ ผรณาปีติ ผรณาปีติ นี่มันจะละเอียดซ่านอยู่เบาๆ คลุมอยู่ เป็นความปีติที่ยังอ่อน และเราก็รู้ อย่าไปหลงปีตินี้ จะใช้ก็ใช้ได้ ใช้ปีติก็คือหมายความว่า ดีใจบางๆ ดีใจน้อยๆ ดีใจ ไม่หวือหวาอะไร ดีใจอย่างที่รู้ว่า ดีคือดี ดีใจ ผรณาปีติ ส่วนอุพเพงคาปีตินี่ ปีติอย่าง กระโดด โลดเต้น เหาะลอย กระตุกกระติก น้ำลายยืด น้ำลายไหล น้ำตาไหล อะไรก็แล้วแต่เถอะ อุพเพงคานี่ หมายความว่า ออกรูปพิกลพิการ ออกรูปประหลาดๆ นั่นแหละ มันเป็นรูป มันไปทำ ให้เกิดรูปอะไร อุพเพงคาปีติ ปีติจัดมากไป ลดลงบ้าง โอกันติกาปีติ ปีติเป็นพักๆ เป็นคราวๆ ปีติเป็นยืดๆ ต่อๆอยู่ มันก็มีอาการ อยู่อย่างนั้นแหละ ส่วนขุททกะ กับขณิกะ นี่ก็เป็นขณะแต่ละขณะ กับเป็นปริมาณ ขุททกะก็แปลว่า นิดๆ น้อยๆ สั้นๆ เล็กๆ ขุททกะ ขณิกะ ก็นับเอาเวลา ขุททกะนับเอาขนาดเท่านั้นเอง มีปีติขนาดน้อย เรียกว่าขุททกะ ระยะสั้นเรียกว่า ขณิกะ ขณะนี่แหละ ขณิกะระยะสั้นๆ ระยะกะปริด กะปรอย ถ้ามันกะปริดกะปรอย ก็เรียกว่าขณิกะ ถ้าจิ๊บปิจิ๊บปี ก็เรียกว่า ขุททกะ ภาษาอีสานจิ๊บปีๆ ก็หมายความว่า นิดๆ หน่อยๆ จิ๊บปิดจิ๊บปี มันเศษน้อยๆ นิดๆ อะไรอย่างนี้ เรียกว่า ขุททกะ ถ้าขณิกะ ก็เรียกว่า ขณิกะเอากาละวัด

สภาวะใดที่หลงว่าตัวเองมีและเป็นอาริยะ จะใช่ไม่มีปัญญารู้เห็นกิเลสลดลงและหมดไป ขณะที่เจอ ผัสสะปัจจุบันหรือไม่ ?

อ๋อ ถามมาว่า ไอ้ที่ว่าไม่รู้ด้วยตัวเอง ที่รู้เห็นอันนั้นลดลงหรือหมดไปจริง เสร็จแล้วก็ไปหลงตัวเอง ว่าเป็นอาริยะ ใช่ หลงเป็น อาริยะ นึกว่าตัวเองลดลง หรือตัวเองได้แล้ว ไม่ได้เห็นสภาวะ ที่ไม่มีญาณ ที่หยั่งรู้ อย่างแท้จริงของตน ตามของตนที่ว่าผู้นั้น ก็ผู้ใดเห็นเมื่อใด เห็นเป็นของจริง ตามความเป็นจริง เมื่อใด มีศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติมาตามขอบเขต ของหลักเกณฑ์ของเรา จะปฏิบัติเอาแค่นี้ เสร็จแล้ว ก็ทำปฏิบัติมันถึงจิต คือสมาธิ สมาธิบอกแล้ว
หนึ่ง ถึงจิต
สอง
สงบหรือลดลงจริง ลดลงน้อยหนึ่ง ก็สงบน้อยหนึ่ง

สาม ตั้งมั่นนะ ในนัยของสมาธินี่
หนึ่งถึงจิต คืออธิจิตนั่นเอง ถึงอธิจิตทำให้ได้ผลทางจิต เพราะฉะนั้น ของฤาษีเขาก็ได้ผลทางจิต เหมือนกัน สงบเหมือนกัน แต่ของเขานี่ ตั้งมั่นเหมือนกัน แต่ของเขาไม่มีญาณเข้าไปร่วม สมาธิ และ อธิจิตของเขา ไม่มีญาณที่แท้เข้าไปร่วม ไม่รู้เห็นจริงของจริง ตามความเป็นจริง ของสภาพ สภาวการณ์ ของจิตเลย อาการ ลิงคะ นิมิตอย่างไร ไม่เห็นจริง ถ้าคุณเห็นจริง แล้วจริงนี่นะ มีสภาวะของจิต เจตสิกจริงนี่นะ ยังไงๆ คุณก็อธิบายเป็นภาษาพอได้ ไม่เก่งยังไง ก็พอพูดกันได้ พออธิบายได้ และมันยากอย่างว่า จะอธิบายยังไงนะ เอาเถอะ อธิบายยังไง ก็อธิบายไป อย่างนั้นแหละ อธิปัญญาเขาแยกไว้แล้ว อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แต่มันไม่ใช่ปัญญาแบบโลกๆ แต่เขาก็ยังปนๆ อย่างนั้นแหละ เพราะมันใช้ภาษาซ้ำกัน คือปัญญาน่ะ

ปีติมันได้ดี เกิดสัมมาอาริยผลตามลำดับ ผู้ปฏิบัติผู้เห็นนั้น ก็จะเกิดความยินดี ยินดีอิ่มเอมใจ ในสัมมาอาริยผลนี้ เป็นความยินดี ที่ได้โลกุตรธรรม ไม่ใช่ยินดีแบบโลกๆ เพราะฉะนั้น ปีตินี่ก็มี ๓ อีกเหมือนกัน ปีติแบบปุถุชน โอ้โฮ ไปโกงเขามารวย ปีติยินดี ฉลองใหญ่เลยนะ ดีใจฉลองดีใจยินดี ปุถุชน หรือปีติที่ตัวเองได้เสียสละ เป็นกัลยาณชน ได้เสียสละหยาบๆ ไม่ได้ถึง ปรมัตถ์หรอก โอ๊ย ได้ให้เงิน ได้ให้ทอง ได้ช่วยเหลือผู้คน ได้อะไรต่อมิอะไรอย่าง แม่ชีเทเรซ่า ปีติกัลยาณชน ดีใจ ภาคภูมิ แล้วก็เลี้ยง ยินดี โอ๊ย พระเจ้าอยู่กับเรา ชื่นใจ จะมีพลังมากเลย ซึ่งทางพุทธก็ใช้ มีพลัง มันมีกำลังใจ ที่ได้สร้างสรร มันเป็นความดี ที่จริงได้เสียสละดีๆ แต่ไม่ได้เรียนรู้ถึงปรมัตถ์ เพราะฉะนั้นปีตินั้น จะมีญาณ หยั่งเข้าไปหยั่งรู้ปีติ ในปรมัตถ์ มันดีใจ มันฟูใจว่า มันดีใจที่มันได้ลดละกิเลส เห็นกิเลสลด เหมือนอย่างที่อธิบาย ๓ โพชฌงค์มาแล้ว

เพราะฉะนั้น มันจะเห็นมันได้ดี เห็นกิเลสลดจริง ดีใจ ฟูใจ ไอ้ดีใจ ฟูใจนี่ยังเป็นอุปกิเลสซ้อนอยู่ มันได้ดีนะ ได้ดีที่เรามี โลกุตรธรรม ความยินดีอิ่มเอมใจ ที่เรียกว่า ปีติสัมโพชฌงค์นี้ จึงต่างกันกับ ความยินดีอิ่มเอมใจของปุถุชน หรือของแค่กัลยาณชน เพราะปุถุชนหรือกัลยาณชนนั้น เขายินดี อิ่มเอมใจเมื่อสติ ธัมมวิจัย วิริยะ มีประสิทธิภาพ ทำให้โลกธรรม ของเขาเจริญขึ้น โลกธรรมของเขา เจริญแก่ตน คือเขายินดีเพราะสมใจที่ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้โลกียสุข และเขายินดี เพราะได้ สมใจ ในกามตัณหา สมใจในภวตัณหา ก็ยินดีเอร็ดอร่อยนะ หรือเขายินดีเพราะสมใจที่ได้โลภะ ได้มาให้แก่ตน สมใจที่ได้ทำ สมที่โกรธ ที่ไม่ชอบของตน นี่สมใจ ดีน่ะ ฟูใจ อร่อย ดีใจ มีปีติ เป็นปีติ ปุถุชน สมใจที่ทำได้แม้โกรธ ได้สมใจที่ได้ทำ ตัวเองไม่ทำหรอก คนอื่นก็สะใจ เช่น โกรธเขาอยู่ ไอ้คนนั้น มันได้รับทุกข์ สมใจดีใจ ดีสมน้ำหน้า คนนี้เราไม่ชอบมันก็เป็นนะ มันเป็นอาการ ของคน ธรรมดา ปุถุชนระวังไอ้เลือดปุถุชนพวกนี้ มันยังอยู่ในเนื้อในตัวเท่าไหร่ๆ อ่านมัน อย่าให้มันมาหลอก เรา อย่าให้มันมาเป็น ตัวสั่งสม สะใจสมใจอะไรเราอยู่ เพราะฉะนั้น แม้แต่เราไปดูหนัง ชอบหนังบู๊ แก้แค้นได้ หนังจีนนี่ยอดแก้แค้น แหม ต้องแก้แค้น ล้างแค้นได้สะใจๆ ซึมซับความสมใจที่เขา สมแค้น สมแกล้ง สมโกรธ สมพยาบาทอาฆาตกัน มันก็ซ้อน คนชกกัน เปรี้ยงๆ มันๆ พวกนี้ไม่มีทาง ได้เป็นพระอรหันต์หรอก ชอบดูมวย ชอบดูเขาเตะฟุตบอล เอาชนะคะคานกัน ไอ้คนนี้ อะไรก็แล้วแต่ แทนที่จะเห็นใจผู้แพ้ แทนที่จะเห็นใจผู้เสียเปรียบ กลับไปสะใจดีใจที่คนเสียเปรียบ ยิ่งถูกเบียดเบียน ยิ่งถูกข่มขี่อะไรไป มันก็ไม่เจริญน่ะ สมใจที่ตนหลง สมใจที่โลภที่โกรธที่หลงนี่แหละ สมใจที่ได้ สมใจที่ตนหลง ซึ่งผู้หลง ก็จะไม่รู้ตัวเองหรอก

ส่วนปีติสัมโพชฌงค์นั้น เขายินดีเพราะสมใจในวิภวตัณหา คือตัณหาอุดมการณ์ ตัณหาต้องการ ล้างละกิเลส ต้องการ ที่จะปฏิบัติ เพื่อปรมัตถ์ แล้วก็ได้จริงๆ ได้สมใจ แล้วเป็นวิภวตัณหา ในระดับ โลกุตระ หรือระดับปรมัตถ์ทีเดียว คือยินดี เพราะเห็นตนเองปฏิบัติ จนเกิดลดโลภะ โทสะ โมหะ ในจิตได้จริง หรือพ้นความเป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ได้แท้ขึ้นมา ตามลำดับ ถึงกระนั้น ปีติที่เป็น องค์แห่งการตรัสรู้ขนาดนี้ ก็ยังนับเป็นอุปกิเลส ดีใจที่ได้ดีนี่ ก็ยังเป็นอุปกิเลส ที่จะต้อง ปล่อยวาง ตั้งใจศึกษา และต้องทำความจางคลาย กระทั่งดับปีตินี้ได้สนิท เรียกปีติในองค์ฌาน ปีติที่ได้ดีแท้ ฌานก็คือ ละล้างกิเลส เผากิเลสนิวรณ์ ลดละกิเลสนิวรณ์ได้ ก็ดีใจมีปีติ แต่ก็ต้อง พยายามรู้ปีติต่อ ถึงจะเป็นฌาน ๒ ฌานที่ ๒ ต้องลดปีติ ลดลงไป ฌาน ๑ นี่มีวิตกวิจาร มีปีติมีสุข มีอะไรอยู่ครบ ต่อมาวิตกวิจารยังใช้อยู่ วิตกวิจารนี้ ยังใช้อยู่

เพราะฉะนั้นปีตินี่เป็นตัวอุปกิเลสซ้อนลดลงๆๆ ลดลงก็จะสงบลงไปอีกซ้อน เราก็จะรู้เท่าทัน ไม่ต้อง ไปฟูใจหรอก ทำให้มันถูกต้อง ให้มันได้เถอะ ให้มันตรง อุปกิเลสพวกนี้ ก็ลดลงไปอีก แต่ ปีติ สัมโพชฌงค์นี้ มีประโยชน์สำหรับฐานะ ที่ต้องอาศัย เพราะความยินดีพอใจ ในปีตินั้น ก่อให้เกิด พลังรังสรรค์ คือเกิดอิทธิบาท หรือเกิดอินทรีย์ จนกว่าจะมีกำลังของปัญญา มีกำลังของปัญญา ขึ้นมาแทน ปัญญาจะขึ้นมาเห็นจริง รู้จริง เฉลียวฉลาดจริงว่า เอ๊นี่เราทำถูกแล้ว เราดีแล้วนี่นะ เมื่อปัญญา ขึ้นมาแทน จึงไม่จำเป็นจะต้องอาศัยกำลังของปีติเข้ามาช่วยทำอะไร ด้วยรู้ ด้วยความ ชัดแจ้ง คนนี้ก็ดีน่ะ กำลังมีเท่าไหร่ ก็ใส่เข้าไปซิ จะทำก็ทำ ไม่จำเป็นจะต้องดีใจ โอ๊ย ฟูใจ ชื่นใจ เราถึงจะมีกำลังใจทำ นี่แหละออดอ้อนขอนี่ ไม่ชม ไม่ชื่นใจเลย เหี่ยวแล้วมันก็ไม่ค่อยทำ โอย เหนื่อย ๆๆ ก็เลยกลายเป็นเนิ่นช้าอีกแหละ เนิ่นช้าเพราะว่า เอาอยู่กับหมู่ ก็ดีแล้วนี่ เราแค่นี้ ก็ดีแล้วนี่ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ ความขี้เกียจก็บอกว่าไปทำก็เมื่อย ดีไม่ดี ก็ไปปะทะ กับคนโน้น ขัดแย้งกับคนนี้ อยู่ลอยๆ ไปวันๆ ดีกว่า ลอยๆ ไปวันๆ ฝันถึงดวงดาว เจ็บปวดรวดร้าว ก็ช่างมัน แล้วเราก็ไม่ไปปะทะกับใคร ไม่เจ็บปวดรวดร้าวดี ดีไม่ดี ปะทะนิดๆ หน่อยๆ หลบวูบ หนีไปไหนก็ไม่รู้ กลับบ้าน แล้วเมื่อไหร่จะทิ้งบ้านลงซะที แวบกลับบ้าน ไม่รู้เจอใครบ้าง ก็โดนเอาเถอะ ก็แล้วกัน และมันจะต้องชัดเจน

เพราะฉะนั้น ไม่ต้องอาศัยปีติตัวนี้ก็ได้ หรืออาศัยก่อน อาตมาถึงบอกว่า บางทีก็มีความจำเป็น สำหรับ คนมีอินทรีย์พละไม่ถึง ปัญญายังไม่เกิดขึ้นง่าย เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดปัญญาญาณจริงแล้ว อ๋อ นี่มันก็ยังงี้แหละ ไม่ต้องไปฟูใจหรอก แล้วมันชัดเจนว่า ธัมมวิจัยของคุณ ดีจริงหรือไม่ นี่เป็นกรรมที่ดี กิริยาที่ดี หรือเป็นคุณค่าที่ดี เป็นของที่ควรทำ เป็นกัมมนิยะ งานการที่เหมาะควร จริงหรือไม่ ไม่ผิดนะ เมื่อไม่ผิด ก็ทำไปด้วยอุตสาหะวิริยะ มีวิริยะ มีพากเพียร ไม่ต้องไปท้อถอย หรือต้องฉลาดที่จะแก้ไข ถ้าทำกับหมู่กับฝูง ก็จะอนุโลม ปฏิโลมอย่างไร จะประสานยังไง สมานัตตตายังไง จะสังเคราะห์ สังคหวัตถุ จะสังเคราะห์ยังไง จะต้องมีทาน ต้องมีแบ่ง ต้องทำให้เกิดเปยยวัชชะ จะทำให้ดื่ม คำติเตียน เราได้บ้าง หรือว่าเราจะไปติเตียนเขานัก เรานั่นแหละ ดื่มคำติเตียนเขาให้ได้บ้าง ถือว่า คำติเตียนเป็น ปิยวาจาซะบ้าง จะเอาแต่คำชม เอาแต่คำชมอะไรกันนัก กันหนาเล่า ฟังคำติเตียนนี่ เป็นคำไพเราะ เป็นคำที่น่ารัก เป็นปิยวาจาให้มันจริง เออ เขาติเตียนถูก โอ๊ เป็นคำที่ไพเราะจริง ใครฟังคำติเตียน ที่ถูกต้อง ต้องมีวงเล็บนะว่าถูกต้อง ติเตียนตะพึด ตะพือไม่ถูกต้อง ก็เป็นคำไพเราะ ตะพึด มันก็ไม่ดี คำติเตียนที่ถูกต้อง เป็นคำไพเราะ คนนั้นมีปัญญา และอยู่กับหมู่ ประสานได้ ทนได้ คนเรามันรู้จริงแล้วก็จะทนได้ หรือไม่ต้องทน มันจะไปได้ดี อย่างนั้นนะ

เพราะฉะนั้น ปีติสัมโพชฌงค์จึงเป็นเครื่องช่วยให้มีกำลัง มีการรังสรรค์เพื่อคุณภาพของการปฏิบัติ ต่อสูงขึ้นไปๆ จนกว่า จะสูงถึงสุด ได้เป็นอย่างดี ถ้าศึกษาให้ดีและใช้ให้เป็น แต่ถ้าหลงปีติ หรือ ใช้ไม่เป็น และไม่รู้จักลดละล้างเป็นที่สุด ก็จะไม่สูงสุด เป็นนิพพาน เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่รู้จัก ปีติแล้ว ต้องใช้ปีติเหมือนอย่างศาสนาอื่นเขานี่ เขาจะใช้ปีติไปตลอด และเขาไม่ได้เรียนรู้ อย่างเรารู้ หรอก แต่เขาใช้กำลังปีติยินดี โอ๊ย ทำเพื่อพระเจ้า พระเจ้าเป็นอามิส พระเจ้านี่เป็นอามิสชนิดหนึ่ง เป็นเครื่องล่อ ชนิดหนึ่ง ทำเพื่อพระเจ้า ที่จริงพระเจ้าไม่มี ศาสนาพุทธเรารู้ดีใช่ไหม ทำเพื่อพระเจ้า ถ้าไม่มีเครื่องล่อนี้ หมดกำลัง หมดกำลังทำ ถ้าไม่มีพระเจ้า ไม่มีกำลังทำ กำลังใจไม่มี

เพราะฉะนั้น เขาจึงเอาพระเจ้านี่ล่อ ทำเถอะจะได้อยู่สวรรค์วิมานกับพระเจ้า ไปอยู่ที่นี่ และเขามี ภพเดียว ศาสนาอื่น เขามีภพ อยู่กับพระเจ้า เท่านั้น เขาไม่มีวัฏจักรหมุนเวียนล้านชาติ ไม่รู้กี่ชาติ เขาไม่ละเอียดลออเหมือนพุทธ พุทธนี่โอ้โฮ วนเวียนเกิดแล้ว เกิดเล่า สั่งสมกรรมไปตลอดนานนับ ไอ้นี่ของเขา ต้องพยายามนะ เอาพระเจ้าเป็นหลักเลย ทำเพื่อพระเจ้า ส่งเสริมพระเจ้า มีอามิส อามิส คือเครื่องล่อ อามิสคือสิ่งที่จะต้องหวังผล นี่ทำในตัวมันเอง และก็เป็นของเราเอง ทำอะไร ไม่ต้องหวังว่า เป็นผล แต่ให้รู้ว่าผล ไม่ต้องหวัง แต่มีผล ต้องชัดเจน เข้าใจนะ

ถ้าหลงปีติหรือใช้ไม่เป็น หรือไม่รู้ลดละล้างเป็นที่สุด ก็จะไม่สูงสุดเป็นนิพพาน สิ้นภพจบชาติได้สนิท จะได้แค่สวรรค์ วิภวภพ มากๆ ยิ่งๆ ใหญ่ๆ ขึ้น ยิ่งๆ ขึ้นๆ เท่านั้น วิภวตัณหา ของผู้หลงปีตินี้ ก็จะสุดโต่ง ไปเป็นปรมาตมัน คือพระเจ้า ดังที่ศาสนา หลายๆ ศาสนา ซึ่งไม่รู้แจ้ง จิตในจิต ไม่รู้แจ้งกิเลส อุปกิเลสชัดแท้ เพราะ ไม่มีทฤษฎี ไม่มีวิธีศึกษาอบรมฝึกฝน จนรู้ได้ ล้างได้ละเอียด ลออถึงสูญ ถึงสูญสุด ปีติจึงเป็นเครื่องช่วยของโลกอยู่มาก เพราะศาสนาอื่นๆ เขาจะเบิกบานแจ่มใส ปีติกระปรี้กระเปร่า พวกเรานี่มันรู้มาก รีบทิ้ง ก็เลยรีบเหี่ยว นี่พอมาใหม่ๆ นี่ดูหน้าตาแช่มชื่นมา ประเดี๋ยวเหี่ยวแล้ว อาตมาก็ไม่รู้ ช่วยได้ยังไง สอนยังไง ก็เอาเถอะ คุณมีปีติก็ใช้ปีติไปพลางก่อนก็ได้ ก็ไม่ล่ะ มันรู้ทัน มันนักรู้ที่โง่ มันรู้ที่โง่ แล้วตัวเองก็เหี่ยว ไม่มีกำลัง อยู่ไปวันๆ ฝันถึงดวงดาว เจ็บปวดรวดร้าว ปีนป่ายไม่ถึง อยู่นั่นแหละ ก็ไม่ได้เรื่องนะ มันก็เป็นอย่างนี้ มันกระโผลก กระเผลก ไม่ราบรื่น ไม่รู้รอบ เพราะฉะนั้น ฟังเติมให้รู้รอบให้ได้

๕. มีปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ คือ เมื่อลดล้างกิเลสได้ ถูกตัวตนของกิเลสจริงแบบพุทธก็สงบจริง ปัสสัทธินี่ แปลว่า ความสงบ ก็สงบจริง เรียกว่าปัสสัทธิ สัมโพชฌงค์ เป็นความสงบจากกิเลส ตามพุทธวิธี และยิ่งลดละล้างปีติ ที่เป็นอุปกิเลส ซ้อนสูงขึ้นไปได้อีก ก็ยิ่งเป็นปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ที่สงบอย่างพิเศษ ลึกซึ้งซับซ้อน ซึ่งความซับซ้อนนี้ ก็ยังมีกิเลสซ่อน อุปกิเลสซ้อน สลับทับย้อน อยู่อีกหลายชั้น อาตมาใช้ภาษาได้แค่นี้ เรียนเถอะ แล้วจะรู้ได้ โอ้โฮ่มาเล่นเจ้าล่อเอาเถิด เรายับเยิน ซับซ้อนล่อไปหลอกมา โอ๊ย จะว่ามีก็ไม่ จะว่าไม่มีก็ว่าไม่มี ไอ้ที่มีก็เอามันออกยาก อะไรอย่างนี้ จะไม่อาศัยก็ไม่ได้ อาศัยมัน มันก็จะเคยตัว มันก็จะหนาต่ออะไรอย่างนี้ เล่นเจ้าล่อเอาเถิด หนักหนา สากรรจ์ไปทำดู แล้วจะรู้ อาตมาทำมา ถึงมาพูดให้ฟัง เหน็ดเหนื่อย มานานก่อนคุณ ซึ่งความซับซ้อนนี้ ก็ยังมีกิเลสซ่อน อุปกิเลสซ้อน สลับทับย้อนอยู่อีกหลายชั้น จึงนับได้ว่า เป็นองค์แห่ง การตรัสรู้ เรียกว่า สัมโพชฌงค์ เพราะตรงทางพุทธ

เพราะฉะนั้น จะรู้ว่าสงบระงับก็เพราะว่าเก็บส่วนที่มันยังเป็นอุปกิเลสซ้อนอยู่นี่ได้ไปเรื่อยๆ จึงคือ ความสงบ ที่สนิทเนียนๆ อย่างรู้แจ้ง เห็นจริง ไม่ใช่เดา จับมั่นคั้นตายทุกสภาวะไป จึงเป็นผู้รู้รอบ รู้แจ้ง รู้ทั่ว รู้ครบ แทงทะลุหมด ไม่ใช่มานั่งปัดๆ ส่งๆ ทำเป็น ช่างมันเถอะ เศษนิดเศษหน่อย ไม่ประมาท ศาสนาพุทธเจ้านี่ละเอียดลออ ครบครัน ลึกซึ้ง มีหมดรู้หมด สลายก็สลายได้หมด ไม่เหลือก็ไม่เหลือจริงๆ เกลี้ยงสะอาดบริสุทธิ์จริงๆ น่ะ ส่วนอะไรที่เกิดยิ่งใหญ่ๆ ก็ยิ่งใหญ่จริงๆ นะ จึงนับได้ว่า เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เพราะตรงทางพุทธ ฆ่ากิเลส ฆ่าอุปกิเลสถูกตัวถูกตน ซ้อนลึก เข้าไปๆ ตามสัมมาอริยมรรค และยิ่งมีบทบาท สัมมาอริยมรรคนี่แหละ เป็นตัวที่จะทำให้เราได้เกิด กระทุ้งกระแทกกิเลส อย่างละเอียดๆ ถึงขั้นอนุสัย หรืออาสวะ ต่อให้นอนเนื่อง นอนหลับ นอนสนิท ยังไง ก็ถูกกระแทกขึ้นมา นอนไม่ได้ กิเลสของพุทธนี่ อนุสัยนอนเนื่อง นอนอยู่ในก้นบึ้ง นอนไม่ได้ ถูกกระแทกขึ้นมาหมด อยู่ที่ไหนๆ ถึงไหนๆ ใต้บาดาลขนาดลึกขนาดไหน ก็ไชเจาะลงไป เอาขึ้นมา หมด ของศาสนาพุทธนี่ ไชชอนลงไป เจาะอยู่ใต้บาดาลลึกขนาดไหนขึ้นมา จะทำเป็นอนุสัย ทำเป็นนอนนิ่ง นอนเนื่อง นอนกบดาน จับออกมาบี้หัวหมด จะไปหมักไปดอง ไปทำเป็นหลบแตกตัว ไปฟักสร้างรวงรัง วังเวียงอยู่ ในใต้ก้นบึ้ง ของจิต อีกไม่ได้ จะทำไปเป็นตัวยีสต์ แหม หมักไม่ให้ใคร เห็น ทำชั้นบาดาลกันเอาไว้เท่าไหร่ ไม่ได้ ต้องใช้พลังพิเศษ พลังภายใน ทำลายผนังลึกลับออกไป จนกระทั่ง ถึงก้นบึ้ง ยิ่งกว่าจอมยุทธ์ต้อง เข้าไปตีแตกหมด ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

ที่พูดนี่คุณฟังดีๆ น่ะตามไปเถอะ เพราะฉะนั้น คุณจะรู้ อาตมานี่มันก็เหนื่อย ก็เพราะพวกเรา มันไปถึงจุดหนึ่ง ก็จะเป็นเทวดาองค์หนึ่ง ติดแป้นแล้ว เป็นเทวดาองค์หนึ่ง พอแล้วละเรา หน็อย ทำมักน้อยเสียด้วยนะ แค่นี้ก็ดีแล้ว จริงนะ พวกเราได้ขนาดนี้ สังคมโลกขนาดนี้ มีความอยู่สุข ได้พอสมควร แต่มันก็เนิ่นช้า พวกคุณก็ไม่ต่อ แล้วก็ นอกจากไม่ต่อแล้ว จะเป็นประโยชน์ ที่จะช่วยเหลือ สัตว์มนุษย์ รื้อขนสัตว์มันก็ไม่เพิ่ม เพราะฉะนั้น ตราบที่อาตมามีชีวิตอยู่นี่ เร่งรัดพัฒนา ขึ้นหน่อยเถิด อย่านึกว่าอาตมาพูดเล่น ว่าอาตมาอายุ ๕๖ นะ อาตมาพูดว่า อาตมาหยุดอายุไว้ที่ ๕๖ จริงๆ แล้วมันกำลัง ๖๐ นะนี่ แต่อาตมาจะทำให้มันหนุ่ม ๕๖ อยู่เรื่อย ว่าอย่างนั้นเถอะ แต่ความจริงแล้ว มันอยู่ได้ที่ไหนเล่า มันกำลังแก่วัน แก่เดือน แก่ปี ก็เหี่ยวก็ย่น ไอ้โน่นไอ้นี่ ก็ไม่แข็งแรง เดี๋ยวก็หมดพลัง พูดก็ไม่ค่อยถูก หนักเข้าก็พูดเลอะๆ อาวๆๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง ขนาดพูดชัดๆ ขนาดนี้ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเลย อีกหน่อยต่อไป ก็ไม่รู้เรื่องอะไร ไม่ใช่พูดเล่นน่ะ จริงๆ

พยายามฆ่ากิเลส ฆ่าอุปกิเลสให้ถูกตัวถูกตน ซ้อนลึกเข้าไปตามสัมมาอริยมรรคอย่างนี้ ก็ยิ่งจะตื่นเต็ม จะรู้แจ้ง จะเบิกบาน จะแข็งแรง แกล้วกล้า ขยัน ผู้บรรลุธรรมะของพุทธ จิตยิ่งสงบ จึงยิ่งสร้างสรร เสียสละ ขวนขวาย เพราะยิ่งสงบ จะยิ่ง ทำงานมาก เห็นไหม มันกลับกันไปหมด ยิ่งสงบ ยิ่งทำงานมาก ยิ่งใช้วิภวตัณหาเป็น วิภวตัณหาก็คือ อากังขาวจร อิจฉาวจร คืออาการ ที่มันปรารถนาดี มีเมตตามากขึ้นๆ แต่ต้องมีขอบเขตเหมือนกัน ต้องมีการประมาณ มีสัตบุรุษ รู้จัก เนื้อหา อัตถะ ธรรมะ อัตถัญญุตา ธัมมัญญุตา อัตตัญญุตา รู้ตัวเองว่า ตัวเองขนาดไหน ที่จะไปช่วยใคร ขนาดไหน ต้องรู้ประมาณๆ มัตตัญญุตา ประมาณขนาด ประมาณกาล กาลัญญุตา รู้จักกาล รู้จักสมัย รู้จักกาลเวลาโอกาส รู้จักที่ประชุม รู้จักกลุ่ม รู้จักบุคคล ละเอียดไปหมด มีสัปปุริสธรรม ๗ ประการไปจริงๆ แล้วยิ่งจะเห็น อัตตามานะ จะใช้วิภวตัณหาเป็น ใช้เก่ง และ ยิ่งจะเห็น อัตตามานะ ยิ่งจะรู้อัตตามานะของตัวมากเลย ยิ่งเราเก่งนี่แหละ เราจะผยอง เราจะไม่รู้ตัว และ เราก็จะเอา อำนาจบาตรใหญ่ เป็นเผด็จการ ข้าต้องแน่ ข้าต้องดีกว่า ความจริง คุณแน่กว่าเขา จริงๆ แต่คุณเอง ถ้าคุณไม่ประมาณตน และคุณเอง คุณไม่ปรานีปราศัย คุณไม่เมตตา คุณไม่เกื้อกูล คุณไม่เห็นแก่เขา คุณก็ล่อเละ

เพราะฉะนั้น มันจะต้อง อัตตามานะเราจะต้องเรียน แล้วต้องลดๆ แล้วมันก็จะยิ่งมีผลคุณค่า ยิ่งจะทำให้ ประสาน สมาน และคนอื่น คนที่เขาจะยอมรับนับถือความสามารถของคุณด้วยศรัทธา ด้วยเลื่อมใส ถ้ายิ่งไปข่มไปขี่ ดูถูกดูแคลน แม้คุณจะดีกว่าเขา เก่งกว่าเขาจริง เล่นอำนาจบาตรใหญ่ มันก็เป็นโลกีย์

ในโลกุตระนั้น ไม่ต้องเล่นอำนาจบาตรใหญ่ และเขาจะยกให้เองเลย เขาจะซูฮกเองเลย เขาจะยอม เขาจะยอมรับนับถือ ว่าเราดีจริง โดยไม่ต้องไปเที่ยวดูถูกดูแคลน ไมต้องไปเบ่งทับอะไรก็ได้

ความสงบที่เป็นปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ จึงต่างกับความสงบอื่นๆ เช่นความสงบของปุถุชน ก็หมายถึง ความระงับ ความเงียบ โดยทั่วๆ ไป ความระงับ ความนิ่งๆ เงียบๆ สงบของปุถุชน

ส่วนความสงบของนักปฏิบัติธรรมลัทธิอื่นๆ ก็หมายถึง จิตหยุดบทบาท หรือสงบ คือยิ่งไม่ทำงาน มากขึ้น ยิ่งไม่ต้องรับรู้โลก รู้สังคม หรืออย่างดี ก็มุ่นอยู่กับวิธีทำให้ระงับจิตจากกิเลส ได้ด้วยวิธี ของตนๆ เพราะจะมีวิธีอะไรให้จิตหยุด จิตสงบระงับ เขาก็มุ่นอยู่กับ ไอ้วิธีนั้นของเขาหมด ซึ่งส่วนมาก ก็ไปนั่งหลับตา สะกดจิตที่ เรียกกันว่า ทำสมาธิ ด้วยนานาวิธี หรือสะกดจิต ด้วยวิธีต่างๆ ถ้าทำได้ก็เรียกว่าจิต สงบ ปัสสัทธิ ปัสสัทธิของกัลยาณชน คือรู้ว่า จิตสงบนี่ดี ส่วนปัสสัทธิ หรือ ความสงบของโลกียะ ก็คือความเงียบๆ ความหยุดๆ ความนิ่งๆ ความไม่มีอะไรวุ่นๆ วายๆ นั่นคือสงบ ความหมายธรรมดาๆ กว้างๆ ตื้นๆ นี่ เพราะฉะนั้น สงบของเขาก็เข้าใจยาก พวกนี้จะเข้าใจธรรมะ ลึกๆ ยาก

เพราะความสงบของพระพุทธเจ้านั้น
ยิ่งสงบยิ่งแรง
ยิ่งสงบยิ่งคล่อง
ยิ่งสงบยิ่งเร็ว
ยิ่งสงบยิ่งมีประสิทธิภาพสูง

เขาก็นึกไม่ออกว่าสงบอะไรวะ มาทำงานอยู่ได้ มาวุ่นกับคนอื่นอยู่ได้ ดีไม่ดีกวนเขาด้วย เพราะเขาเอง เขาถูก ลดประโยชน์ ลดกิเลส เขาถูกกระทบทางกิเลส ถูกฟ้องประจานอะไรอย่างนี้ เขาก็เดือดร้อน ขึ้นมา เขาบอก ไอ้พวกนี่มันสงบหรอก มันสงบ มันจะมากระทบเราหรือ มันมาทำให้กระทบเรา มันไม่สงบ ผู้สงบแล้วจริง ก็จะต้องปราบพวกนี้แหละ อย่าไปบอกเขานะ ปราบพวกที่ยึดกิเลส ของตัว นั่นแหละ เพราะถ้าไม่ปราบเขา เขาก็วุ่นวายอยู่ในโลกยิ่งขึ้น เราไม่ได้วุ่นหรอก เรารู้อยู่ ไอ้ควรปราบๆ ให้สงบลง ให้กิเลสเขาสงบลงนั่นเอง และเขาจะได้มาขยันดี ขยันถูก ขยันไม่ไปเบียดเบียน ขยันไม่เป็นบาป พวกเราขยัน ไม่ได้เป็นบาป เพราะฉะนั้น จะยิ่งขยันของพุทธนี่

ปัสสัทธิต่างๆ ที่เป็นความสงบชั่วคราวก็ดี ความสงบที่ฝึกได้ช่ำชอง ระงับได้นิ่ง จิตหยุดสนิทนานก็ดี ยิ่งสงบ ยิ่งทำงาน น้อยลง ยิ่งไม่รู้เรื่องของโลก ของสังคมก็ดี จึงไม่เหมือนกันกับ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ของพุทธ เพราะปัสสัทธิสัมโพชฌงค์นั่น กิเลส อุปกิเลสเท่านั้นสงบ หรือ กิเลสอุปกิเลสเท่านั้น ระงับลง ดับลง ดับไปเงียบสนิทได้จริงถาวร แต่จิตวิญญาณ ยิ่งประภัสสร ยิ่งรุ่งโรจน์ มีพลัง มีบทบาท ยิ่งทำงาน ยิ่งรู้ดี ยิ่งรู้ถูกต้อง ยิ่งชาญฉลาด ยิ่งมีประสิทธิภาพ ยิ่งแข็งแรง ยิ่งอดทน ยิ่งแกล้วกล้า ยิ่งมีคุณภาพ มีคุณธรรม คุณค่า ประโยชน์ปรากฏ ยิ่งรู้แจ้งโลก ยิ่งรู้เท่าทันสังคม ยิ่งช่วยสังคม ช่วยโลกได้ดีขึ้นมากขึ้น เห็นไหม ประสิทธิภาพ มันยิ่งวิเศษ มันยิ่งมีประโยชน์คุณค่า ต่อโลก ต่อสังคม ต่อมนุษยชาติ จิตยิ่งสงบ กิเลสยิ่งตายเท่าไหร่ จิตยิ่งอยู่เหนือ ยิ่งแข็งแรง ยิ่งไม่กลัว ยิ่งไม่หวั่นไหว แต่ก็ไม่ห่าม แต่ก็รู้ประมาณ เป็นสัตบุรุษ เป็นผู้มีสัปปุริสธรรม ๗ ประการขึ้น

แต่ก่อนจะจบ ก็สรุปอีกนิดหน่อย แม้แต่ปีติ แม้แต่ปัสสัทธิ ก็มีอย่างของปุถุชน มีอย่างของกัลยาณชน และอย่าง ของอาริยชน เหมือนกัน เพราะการดีใจ ปีติ อย่างปุถุชนก็มีกันทุกคน เคยเป็นมาทั้งนั้น จนกระทั่ง มีอุดมการณ์บ้าง ดีจะได้เล่นสละ สร้างสรรบ้าง ก็เป็นปีติก็ได้ทำดีน่ะ เช กูวาลา โอ้โฮ นี่แกเป็นนักเสียสละ เหมา เจ๋อตุง นั่นก็เป็นนักเสียสละ แต่แกไม่ได้เป็น นักเสียสละ ที่สะอาด บริสุทธิ์ที่รู้ มีปัญญารู้จิตเจตสิก ไม่ถึงขั้นปรมัตถ์ ไม่เป็นโลกุตระที่จับมั่นคั้นตายแท้ เพราะฉะนั้น ไม่เข้าขั้นอาริยะ

แม้แต่คานธีก็ตาม แกเสียสละมาตลอดชีวิต ไม่ได้โลภโมโทสันเลยน่ะ แต่ว่าพฤติกรรมที่เขาทำนั่น เป็นการช่วย มนุษยชาติจริงๆ เป็นโพธิสัตว์ แต่ภูมิธรรมจะเป็นโพธิสัตว์ถึงขั้นปรมัตถ์ อย่างที่อาตมา กล่าวหรือไม่ ถ้าอ่านอาการจิต เจตสิกออก แล้วมีเจตนา มีทฤษฎี มีทิศทางที่จะลดจริงๆ นะ มีสิทธิ์ เป็นอาริยะ มีสิทธิ์เป็นพระอรหันต์ แต่ถ้าไม่เป็นจริง มีแต่บทบาทโพธิสัตว์ รื้อขนสัตว์ ช่วยมนุษยโลก เฉยๆ ซึ่งก็บอกว่า เป็นปุถุชนโพธิสัตว์ ซึ่งโพธิสัตว์ของพระพุทธเจ้านั้น โพธิสัตว์ที่ไม่แตกมหายาน ไม่แตกเถรวาท จะต้องเป็นโพธิสัตว์ ที่มีปรมัตถธรรม รู้ว่าเราเอง ช่วยรื้อขนสัตว์ เพราะเราเอง เรารื้อขน ตัวเองได้ หยั่งถึงจิตเข้าขั้นปรมัตถ์ เข้าขั้นโลกุตระ พร้อมจะช่วยคนอื่น เข้าขั้นปรมัตถโลกุตระ อย่างถูก ไม่ใช่ช่วยแต่วัตถุ คานธีช่วยวัตถุ ของคนอื่น ช่วยกอบกู้ ประเทศชาติ เอกราช ช่วยเหลืออะไรต่ออะไรได้ แม่ชีเทเรซ่าช่วยได้ ไอน์สไตน์ช่วยเหลือ เอาพลังงานมาช่วยมนุษย์ได้ แต่ก็ศรัทธา ภูมิพระพุทธศาสนา ไอน์สไตน์แต่ว่าไม่ถึงจิต ถ้าถึงจิตเป็นโพธิสัตว์ที่แท้เลยนิดเดียว ถ้าเข้าใจจิตปั๊บแล้วนะไป คนฉลาดพวกนี้ ไม่ต้องห่วง คนฉลาดพวกนี้นิดเดียว ...ฯลฯ...

ปัสสัทธิก็เหมือนกัน ความสงบระงับก็มีสงบระงับอย่างโลกๆ ไปสงบหน่อยก็ไปนอนอุตุเลย นั่นแหละ ปุถุชนปัสสัทธิ ไปสงบหน่อย ก็หนีเข้าไปอยู่เงียบๆ มุมไหนโว้ย ยิ่งมีทุกข์มากๆ นั่งคนเดียว เหม่อลอย เหมือนคุณ สู่แดนธรรมเหม่อ นั่นก็ไปนั่งเหม่อของฉันไป นั่นแหละ ปุถุชนปัสสัทธิ ให้มันนิ่งๆ ไม่อย่างนั้น มันยังดิ้นอยู่มากนัก กินเหล้าเข้าไปเมาจนกระทั่งครองสติไม่ได้ปั๊บไป เออ ปัสสัทธิ ครอกๆไป ปัสสัทธิ หาวิธีกดข่มหรือหาวิธีหยุดธรรมดา จนกระทั่งมีวิธีหยุด แล้วก็พยายามจะหยุดเก่ง จนกระทั่งขนาดว่า ให้จิตนั่นนะ ไปนั่งสมาธิก็ดีหน่อย เป็นกัลยาณชนเข้าหาจิตเจตสิกบ้าง แต่ก็ไม่ได้ รู้ละเอียด ถึงขั้นมีญาณปัญญา จับจิตได้ชัดเจน เพราะฉะนั้น ปัสสัทธิ พวกฤาษีชีไพร นั่งสะกดจิตนี่ กัลยาณชนทั้งนั้น ปัสสัทธิสงบ เป็นเจโตสมถะ อันไม่ใช่โลกุตระ เพราะผู้ได้เจโตสมถะ ไม่ได้โลกุตระ มีอยู่เยอะไป ดื่นเลยอยู่ในอินเดียยิ่งมาก เป็นกัลยาณชน เป็นปัสสัทธิกัลยาณชน

ส่วนปัสสัทธิของโลกุตระนั้น จะต้องเป็นสงบด้วยมรรคองค์ ๘ โพชฌงค์ ๗ แม้เป็นโสดาบัน สงบได้จริง ละได้จริง น้อยนิดเท่าใด ก็เป็นเข้าสูตรของมรรคองค์ ๘ โพชฌงค์ ๗ หรือ โพธิปักขิยธรรม ของพระพุทธเจ้า สงบ ระงับได้น้อย ยังมีกิเลสข้างนอก อยู่อย่างนั้น สู้ฤาษีไม่ได้ก็ตาม นี่แหละ มันเข้าหลักตรงนี้ พระพุทธเจ้านับเป็นโสดาบัน ฤาษีสะกดจิตได้เก่ง สงบระงับ ได้ขนาดไหน ท่านก็ไม่รับรองว่าเป็น แม้แค่โสดาบัน เพราะมรรควิธีไม่เข้าทาง ไม่สัมมาทิฐิ ชัดขึ้นไหม

เอา เลยเวลาไปแล้ว เอาไว้วันหลังต่อ


ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ ๒๒ พ.ค. ๓๗
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๒๘ พ.ค. ๓๗
พิมพ์โดย ทองแก้ว ทองแก้ว ๘ มิ.ย. ๓๗
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ปฯ ๙ มิ.ย. ๓๗

GLB1H.TAP