ความลึกซึ้งของบุญบาป
โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์


เรามาฟังธรรมกันต่อนะ เราสังเกตดีๆนะ ที่เรามาศึกษานี่ สังเกตให้ลึกซึ้งดีๆว่า ขนาดคนอย่างพวกเรานี่ วันๆนึงก็ได้ศึกษา ปีแล้วปีเล่า เค้าเรียนกันนี่ เค้าเรียนกำหนด ชั้นประถมก็เท่านี้ปี ชั้นมัธยมก็เท่านั้นปี ปริญญาตรีก็เท่านั้นปีจบ ปริญญาโท ก็เท่านั้น ก็ทำรูปแบบอย่างนั้น ก็วิธีอย่างนั้น เดี๋ยวพวกปริญญาเอก ก็อย่างงั้นจบ จบไว จบ มีขีด มีเขต มีขั้น แต่ของพวกเรา มาศึกษาธรรมะนี่ เราเรียนกันไป ปีแล้วปีเล่าๆๆ แล้วมันก็ เป็นสาระที่แท้ด้วย เพราะงั้นสาระที่แท้ ที่จะได้นี่ มันไม่ง่าย ปีแล้วปีเล่า บางคนก็ได้ บางคนมันก็ไม่ได้ ๓ ปีแล้ว ๓ ปีเล่า ๔ ปีแล้ว ๕ ปีเล่า ก็เป็นยังงั้น ก็ไม่ได้ บางคนได้ ปีนึงก็ได้มาก ๒ ปีก็ได้มาก ๓ ปีก็ได้มากไปเรื่อยๆ บางคนได้มากปีนั้น ไม่ใช่มากปีนี้ อะไรก็แล้วแต่ แล้วเราก็ยังมีขีดเขตที่จะเรียนไปอีก จนกระทั่งไม่รู้ล่ะ ที่สุดของเรา ก็จะต้องมี สาระสัจจะของมันแท้ มีสัจธรรมของมันแท้ว่า เราเรียนแล้วเราจะได้ถึงที่สุด ขีดสุด ที่ไหน เราเรียนอยู่ ก็ถือว่าอรหันต์โน่นแหละ แม้จะเป็นอรหัตผล ของเหตุปัจจัย แต่ละเหตุปัจจัย มีสังโยชน์ ๑๐ ของแต่ละเหตุปัจจัย กิเลสแต่ละตัว มีสังโยชน์ ๑๐ ของกิเลสแต่ละตัว มันก็มีซ้อนอยู่ กิเลสทุกตัว หมดกิเลสทุกตัว ครบสังโยชน์ ๑๐ ทุกตัว จึงจะเรียกว่าพระอรหันต์ สมบูรณ์ แต่ยังไม่เป็นอรหันต์สมบูรณ์ ก็เป็นอรหัตผล หรือพระอรหันต์ ในระดับโสดา สกิทา ในระดับโสดา สกิทาก็สะสมไปในแต่ละกิเลส แต่ละตัวๆไป มีอรหัตผลของกิเลสแต่ละตัว หรือสังโยชน์ ๑๐ ของกิเลส แต่ละตัวเหมือนกัน มีไปเป็นขั้นเป็นตอนไป เป็นสาระที่ได้รู้กัน จริงๆ เห็นจริงๆ ไม่ง่าย เราเรียนกันไปนี่ ทั้งนั่งฟัง ทั้งพากันไปปฏิบัติ เคี่ยวเข็นกัน พยายามสอดส่องดูแลตักเตือนกัน ให้สัญญาณกันให้สังวรระวัง พยายามอุตสาหะวิริยะกัน มากมาย ไม่ง่าย เป็นการศึกษา ที่จะต้องสู้ทน เหลือเกิน ใช้เวลายาวนาน ถ้าผู้ใดเข้าใจสาระสัจจะจริง ก็จะไม่มีปัญหากับชีวิต ชีวิตยิ่งได้มรรคได้ผลขึ้นไปบ้าง แล้วเราก็จะมีชีวิต ไปกับมรรคกับผลนี้ เพราะการศึกษาของธรรมะนี้ ศึกษาแล้วมันได้อาศัย เป็นกัมมปฏิสรโณ เป็นที่อาศัย ได้อาศัยกรรมนี้ อาศัยการประพฤตินี้ เป็นกุศลกรรม ได้อาศัยจริงๆ เพราะมันเป็นการเกิดผล กัมมโยนิ เป็นการเกิดผลจริง กัมมพันธุ แล้วมันก็จะต่อเชื้อ ต่อพันธุ์ต่อเผ่าขึ้นไป จากเหล่ากอพุทธ ไปจนกระทั่ง เป็นความสมบูรณ์ของพุทธ เป็นเหล่ากอ จนกระทั่งโต จนกระทั่งเต็ม ก็เป็นได้เรื่อยๆ เป็นกัมมพันธุ เป็นกรรม กรรมเป็นเผ่า เป็นพันธุ์ เห็นการกระทำที่จริง เกิดจากการเรียนปริยัติ แล้วก็ปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้มีการเจริญ มีภาวนามัย มีการเกิดผล เกิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสมบูรณ์ในผล แล้วก็ได้อาศัย เราได้น้อยเราก็ได้ อาศัย เกิดน้อย ก็ได้อาศัยน้อย เกิดมากขึ้นก็ได้อาศัยมากขึ้น เกิดจนขั้นสมบูรณ์ก็ได้อาศัยอย่างสมบูรณ์ มันได้อาศัยจริงๆ เราจึงเห็นว่า นี่เป็นสาระสัจจะ ได้อาศัยอย่างแน่ อย่างเกษมด้วย ไม่เหมือนอย่างโลก เราไปเรียนวิชาทางโลก เราก็ได้อาศัยนะ วิชาความรู้ทางโลก ได้อาศัยไปแลกเงิน แลกทองมาหากิน เอาความสามารถความรู้ ในวิชาความรู้ทางโลก นั้นไปประกอบการ ไปปฏิบัติประพฤติ ไปทำงานทำการ แล้วก็แลกกัน กลับคืนมา เป็นการหมดค่า ยิ่งแลก เราก็ได้เรียนแล้วนะ ยิ่งแลก เอารายได้แลกกลับมา กับการงานที่เราได้ ทำให้แก่โลก แลกมาได้เท่าไหร่ มันก็ยิ่งลดค่าไปเรื่อยๆ ถ้าแลกเกินค่าของมันจริง เราก็ขาดทุนไปเรื่อยๆ แลกเกินไปมากเท่าไหร่ ยิ่งได้เปรียบ เอาเปรียบมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่ง เป็นหนี้มากเท่านั้นๆๆ นอกจากค่ามันไม่มีแล้ว มันก็เกิน นอกจากว่า เรารู้ว่าเราไปรับแลกเปลี่ยนมาแล้วนี่ มันไม่ถึงค่าจริง สมมุติคุณค่ามันควรเป็น ๑๐๐ นี่ เรารับมาแค่ ๙๐ รับมาแค่ ๘๐ ๗๐ แล้วเราก็ยังมีส่วนเป็นกำไรอริยะ เป็นประโยชน์คุณค่า ให้แก่สังคมเขาอยู่บ้าง ถ้ารับมาเท่ากับค่าของมันจริง ค่า ๑๐๐ ก็รับมา ๑๐๐ เต็ม มันก็ไม่มีแล้ว เราก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว อย่างที่เราเคยอธิบายกันแล้ว

ถ้าอย่างเรามาทำงานนี่ เราก็มีการงาน อย่างทางธรรมะนี่ เรามาปฏิบัติ ธรรมนี่ มาเรียนรู้ ทุกวันนี้ เราก็ทำงานสร้างสรร สร้างประโยชน์คุณค่า อะไรก็แล้วแต่ ที่จะทำขึ้นมา แม้แต่ในพวกเรากันเอง พวกเรานี่ ทำงานทอผ้าทอเสื่อ ที่ในนี้น่ะ ทอเสื่อ ทอเสื่อ เราก็จะเอามาใช้กัน มันก็ได้อาศัยกัน เป็นบุญเป็นกุศลอยู่ในนี้อยู่แล้ว เราไม่ได้รับค่าทอเสื่อ เราจะปัด จะกวาด จะถู เราก็ทำอยู่ในนี้ เราก็ได้อาศัย นี่คนในนี้ก็ได้อาศัยนี่มาก คนข้างนอกมาอาศัยด้วยซ้ำไป หรืออะไรก็แล้วแต่ เราทำแล้วเสร็จ ก็ไอ้โน่นไอ้นี่อีก มันก็ส่งทอดต่อไปให้ประชาชน งานการโน้น งานการนี้ อะไรก็แล้วแต่ มันต่อเนื่องกัน มันอธิบายให้มันสมบูรณ์ได้ยาก คนกวาดปัดถู เราก็ได้อาศัยที่นี่ แล้วคนที่อาศัยที่นี่ ก็ได้ไม่ต้องไปทำ แต่เอาเวลาหรือแรงงานไปทำอื่น เอ้า! มาพับกระดาษ คนนั้นปัดกวาดก็ เออ! ดี แล้วล่ะ บางทีปัดกวาดที่นอนเราด้วยซ้ำ เราไม่ได้ปัดกวาด แม้ที่นอนเราเอง แต่คนนี้ไปปัดกวาดช่วย เออ! เราก็ไม่ต้องเอาแรงงานเอาเวลาไปปัดกวาด เราเอาเวลาแรงงานมาพับหนังสือ หนังสือนี่ก็เป็นประโยชน์แก่ประชาชน มันก็เหมือนกับคนที่ปัดกวาดนั่นแหละ ช่วยเราไว้ แล้วเราก็มาทำอันนี้ ก็เหมือนกับคนนั้นทำอันนี้ต่อเนื่องกัน อย่างนี้เป็นต้น เป็นลูกโซ่ มันเหมือนกับเค้าทำ คนนั้นเช็ดส้วมถูส้วม ไม่ได้มาพับหนังสือหรอก แต่คนนั้นก็มีส่วนเกี่ยวโยง ให้เราได้มาพับหนังสือ แล้วหนังสือก็ได้ไปเป็นประโยชน์ ต่อประชาชนข้างนอก เพราะงั้น จะบอกว่า ที่นี่ เออ! เราไม่ได้มาพับหนังสือ ว้า! เราไม่ได้ทำประโยชน์ต่อคนข้างนอก ได้แต่ไปเช็ดส้วม ถูส้วมอยู่นี่ เราไม่ได้ไปทำสื่อสารธรรมะออกไปให้ประชาชน เราเลยไม่มีคุณค่า ไม่ใช่นะ ฟังให้ดีนะ มันมีอิทัปปัจจยตา มันมีการต่อเนื่อง เพราะเหตุนั้น ต่อเนื่องไปหา เพราะเหตุนั้นๆ เกื้อกูลกัน เป็นลูกโซ่สัมพันธ์อยู่นี่ เพราะงั้นคนที่ทำอะไรภาย ในนี้น่ะ ถ้ารวมยอดแล้ว ผลิตเพื่อประโยชน์ต่อประชาชน มันร่วมกันสาน ร่วมกันประกอบ ร่วมกันสาน ร่วมกันประกอบอยู่ในนี้แหละ คนนั้นทำอันโน้น คนนี้ทำอันนี้ อะไรต่ออะไร เกื้อกูลกัน ประสมประสานกันไป เป็นเครื่องจักรกล ที่มีความสำคัญ ทุกตัวเฟือง ทุกตัวจักร ทุกตัวชิ้นงาน มันก็ผสมผสานกันไปคนละเล็กคนละน้อย หรือ คนละมากก็ยิ่งดี ผู้ใดทำมาก ผู้ใดได้ทำอะไรต่ออะไร ได้เป็นโล้เป็นพาย เป็นสิ่งที่จะต้อง อาศัยกันแหละ จริงๆง่ะ มันก็ยิ่งเป็นเนื้อหาสาระ

เราได้มารวมกันก็ดี หรือแม้ไม่รวม จะอยู่ข้างนอก รวมกันห่างๆก็ตาม ได้มา เชื่อมโยง สืบสาน สร้างสรร สร้างอะไรก็แล้วแต่เถอะ แม้แต่ไม่ใช่เนื้อหา ของหนังสือธรรมะโดยตรง ไม่ใช่เป็นตัวหนังสือธรรมะโดยตรง ไปทำกิจนั้นกิจนี้ อย่างที่ว่านี่ เราทำกันอยู่นี่เยอะแยะไป บางคนช่วยอยู่ ตรงห้องเท็ป บางคนช่วยอยู่ศาลาสุขภาพ บางคนก็ช่วยดูแล ต้นหมากรากไม้ พื้นแถว พื้นที่ พื้นดิน ปัดกวาด จัดโน่นจัดนี่ อะไรก็แล้วแต่เถอะ สารพัด ที่เราทำอยู่นี่ ของเรานี่ เป็นบริษัท หรือเป็นโรงงาน โรงงาน ก็จะมีพลเมืองอยู่ในนี้ มีประชาชน มีพลเมืองแหละ จะเรียกอะไร พลเมืองนั่นแหละนะ อยู่ในนี้ ที่ได้ประกอบการ เป็นผู้ผลิต เป็นผู้สร้าง ซึ่งมีความสำคัญเหมือนกับบริษัท หลายบริษัท เค้ามีความสำคัญ ตั้งแต่ คนที่เป็นภารโรง คนเป็นภารโรง คนดูแลมุมนั้นมุมนี้ จัดโน่นจัดนี่ ไปจน กระทั่งถึง ผู้อำนวยการ ถึงผู้ที่เป็นประธานบริษัท มันก็โยงใยเกี่ยวข้องกันหมด ช่วยกันประกอบการ ผลงานรวมที่ประกอบการออกไปสู่ประชาชนนั้น ทุกคนมีผล ทุกคนได้บุญร่วมกันหมด ทุกคนได้บุญร่วมกันหมด เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะทำหน้าที่ไหน ถ้ากาละที่มันจะต้องมาลงแขกกัน กาละที่จะต้องมารวมกัน สำคัญหน่อยซิ ไอ้โน่นไอ้นี่ขาดแล้วนะ ขาดแคลนแรงงาน แล้วก็ตอนนี้ก็ เร่งรัดพัฒนา เพราะอันนี้ขาดแคลน ก็เป็นคนที่มีปัญญาทางเศรษฐศาสตร์ ปัญญาทางเศรษฐศาสตร์ รู้ว่า อ้อ! ตอนนี้นี่เราควรจะต้องมาร่วมสร้างอันนี้ ร่วมผลิตอันนี้ เพราะอันนี้ เป็นความจำเป็น เป็นความสำคัญเร่งด่วน เป็นกาละที่จะต้อง รีบไปช่วยกันสร้างสรรอันนี้ออกมา ผลิตให้มัน เวลาให้มันทันกับเรื่องราว ให้มันทันกับเหตุการณ์ ทันเวลา ทันเรื่องราว ทันเหตุการณ์ เหตุการณ์นี้ เวลานี้ วาระนี้ เออ! อันนี้มันจะต้องเร็ว อันนี้จะต้องไป ได้ใช้งานที่จะได้ประโยชน์ทันการ เรามีปัญญาทางเศรษฐศาสตร์รู้ว่า เออ! อันนี้จะต้อง เป็นความต้องการ เป็นอุปสงค์ เป็นความต้องการที่รีบด่วน เราก็มาใช้แรงงานกับอันนี้ ผลิตอันนี้ ช่วยกันทำงานอันนี้ โอ๋! ตอนนี้ มันรกมาก ต้องรีบมาช่วยกัน รีบปัดรีบกวาด ตอนนี้ จะต้องช่วยกันยกกุฏิ เพราะต้องอาศัยแรงงานนี้ ถ้าไม่ทำอันนี้ มันก็ไม่ใช่กาละแล้วนี่ ต้องรีบมาทำเพราะเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ถ้าไม่เสร็จ มันก็ยังยากอยู่ ประเดี๋ยวก็จะเสียสภาพ เดี๋ยวมันจะไม่เกิดความสมบูรณ์ มารวมกันพอสมควร มากเกินไป เราก็ไม่เอา มากเกินเฟ้อ แล้ว คน แรงงานเกิน ก็เอา ไปแยกย้ายมาแล้วด้วย ก็แยกย้ายไปทำอื่นต่อ ถ้ามันยังพอ มารวมกันซะ


|ถ้าเผื่อเราเข้าใจในเศรษฐศาสตร์พวกนี้นะ จะเป็นงาน ที่จะต้องอาศัย กำลังคนนี่ละ ไม่ต้องมีเครื่องทุ่นแรง ไม่ต้องมีเครื่องเทคนิกอะไรมากมายนักนี่ กำลังคน แล้วเรามีปัญญาญาณทางเศรษฐศาสตร์ดังที่กล่าวนี้ โอ๊ย! งานของเรานี่เรียบร้อยไปหมดแล้ว พอบอกว่างานนี้มาช่วยกันหน่อย มากันพึบ ถ้าเหลือ เราเห็นแล้วใครสำคัญ ใครดี ก็ดูหน้าดูตากัน คนนั้นคนนี้ เออ! คนนี้เหมาะสม คนนี้สำคัญ เอา ควรเข้ามาช่วย เต็มแล้ว พอแล้ว เอ้า! แยกย้ายกันไปทำอื่นต่อ ไม่ต้องมารุมล้อมกันอยู่อย่างเก่า หรือ บางครั้ง มันต้องการ กองเชียร์บ้าง เอา มีบ้าง เชียร์ก็เชียร์นิดหน่อย ไม่ต้องตั้ง cheer leader เข้ามาต้อง แหม! ฮูลา ฮูลา ไม่ต้องก็ได้ บางงานมันต้อง ฮูลา ฮูลา เหมือนกัน นะ ต้องมี cheer leader ต้องมีการ โอ๊วๆ มี มีเหมือนกัน บางทีอาตมาไปทำหน้าที่ หน้าเชียร์อยู่บ่อยๆเหมือนกัน ในบางงานนะ ไม่ได้แบกด้วยหรอก ไปเป็นหัวหน้าเชียร์นะ มีบางงาน มีนะ คุณอย่านึกว่าเป็นเรื่องเหลวไหลนะ มันเป็นเรื่องจริงนะคุณ มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นเรื่องน้ำใจ มันเป็นเรื่องพละกำลัง มันเป็นเรื่อง สิ่งที่จะเกิด อย่างน้อยน้ำใจมันเกิด เห็นมั้ย มันรู้สึกสบายใจ มันสนุกสนาน มันเพลิดเพลิน มันไม่ใช่เรื่องยากเรื่องเย็น มันยากล่ะในงาน มันยาก มันอาจจะยาก แต่มันเป็นเรื่องง่ายขึ้นได้ มันเป็นเรื่องที่มีพลังเสริมขึ้นมาได้ มันเป็นเรื่องของสามัคคีธรรม มันเป็นเรื่องของจารีตประเพณี วัฒนธรรม เป็นเรื่องของมนุษย์พึงรู้ และพึงกระทำกรรม หรือกระทำกิจ กระทำรูปแบบ กระทำอะไร ที่มันเป็นลักษณะออกมา เป็นลักษณะที่น่าเอ็นดู หรือน่าชมชื่นในลักษณะที่ดี

นี่พวกนี้อาตมาพยายามซอย พูดละเอียดลออ อะไรต่ออะไรให้ฟัง จะเห็นได้ว่าลักษณะเหล่านี้ อย่านึกว่าไม่สำคัญ อาตมากำลังพูดถึง ความลึกซึ้งของ บุญและบาป บุญคืออะไร บุญคือ การชำระความชั่ว หรือการชำระกิเลส ความชั่วคืออะไร ความชั่วคือ กายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี อันที่ไม่ลงตัว อันที่ไม่เหมาะสม ความชั่วนี่เอาความกลางๆ นิยามความกลางๆ ความชั่วคือ กรรมกิริยา อันที่ทำไปแล้วมันไม่ดีพร้อม มันไม่ดีสุด มันยังไม่เหมาะสม แม้มันจะดีมาก มันยังไม่ดีอยู่บ้าง มันก็คือชั่วอยู่บ้าง ดีมากก็มีส่วนดี แต่ส่วนที่ยังไม่ดีสมบูรณ์ ก็คือส่วนที่ ยังบกพร่องอยู่ ก็คือยังชั่วอยู่นั่นเอง ยังไม่ดีนั่นเอง คืออะไร คือกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมทั้งหมด คือสิ่งชั่ว หรือสิ่งไม่ดี หรือเรียกว่าทุจริต หรือจะ เรียกว่าอกุศลก็ยังได้

บุญคืออะไร บุญก็คือสิ่งที่ดี ดีมากดีน้อยก็แล้วแต่ ดีจนกระทั่งสุด ได้สัดได้ส่วน พอเหมาะพอเหม็งเลย สัมมาที่สุด มัชฌิมาที่สุด ได้คุณค่าที่สมบูรณ์ที่สุด ประโยชน์สูง ประหยัดสุดที่สุด ก็คือบุญ อะไรที่ยังพร่องๆ มันยังไม่เต็ม ก็มีส่วนนั้นแหละ คือมันยังไม่ดีไม่งาม หรือจะเป็นทุจริต หรือจะเป็นอกุศล หรือยังเป็นตัวชั่วตัวบาป ตัวไม่ดีไม่งามอยู่ บ้าง แต่ค่าเฉลี่ยแล้วดี ดีมาก ก็เรายังไม่รู้ อะไรที่บกพร่องก็ต้องยกไว้ แต่ถ้าเรารู้อยู่ มันยังไม่ดีก็เพียรให้มันดี บางทีเรารู้นะ ดีกว่านี้ มันต้องทำอย่างงี้ๆ แต่มันทำไม่เป็น มันยังทำไม่ได้ มันยังไม่มีสมรรถภาพพอ เราก็พยายาม หรือ มันมีสมรรถภาพพอ แต่ใจเรายังไม่อยากทำ ต้องสำคัญตรงนี้ ใจเราไม่ทำให้มันเต็มใจทำไม เราไม่อยากดึงมันไว้ ทำได้นะ ช่างมันเหอะ ทำแค่นี้ ไอ้คนนี้มันน่าเคาะกระบาล มันไม่ทำไม่ได้ มันก็เป็นความจำนนนะ มันไม่มีความสามารถก็เป็นความจำนน มันยัง เอ้อ! มันอยากจะทำให้ดี แต่มันยังทำไม่ได้น่ะ ทำไม่เป็น มันยังไม่เก่ง มันยังด้อยสมรรถภาพ ไอ้ยังงี้มันเป็นความจำนน ก็แล้วไป ก็น่าเห็นใจอยู่ แต่ไอ้คนที่ทำได้นะ แต่มันไม่ทำ เวลาก็มี โอกาสก็มี แต่มันไม่ทำ ทำงี้ เสียไม่ได้ ก็งี้ ไอ้ยังงี้มันน่าเคาะกระบาล นี่มันบุญยังไม่เต็ม ทำไมโง่ สิ่งนั้นมันดีใช่มั้ย ดีแล้ว ทำไมไม่ทำ นี่กิเลส เห็นมั้ย กิเลส กิเลสขี้เกียจๆ ไม่เต็มใจ อาจจะโทสะ ไม่ชอบ ไอ้โน่นไอ้นี่ ประชด แกล้ง หรือโดยเฉพาะไม่อยากทำ ขี้เกียจ นั่นโดยตรงเลย ตัวเรา ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้ามันไม่ขี้เกียจ เราก็โทษคนนั้น แหม! เราไม่ชอบหน้าคนนั้น เราไม่ชอบงานนี้ เราไม่ชอบโอกาสหรือสถานที่นี้ อะไรก็แล้วแต่ ไปเที่ยวได้เกลียด ไปโทษไอ้นั่น ไปโทษไอ้นี่ ก็คือความโง่ของเรา ไปโทษเขาทำไม ไปโทษไอ้โน่นไอ้นี่ทำไม โทษให้มันบกพร่อง เราเองก็เป็นผู้บกพร่อง ไม่เจริญ เพราะเราจะสร้างบุญ ได้มาก ก็เพราะเรา เรียนรู้ รู้กิเลส รู้ไอ้อะไรๆที่มันยังพร่อง ยังไม่เข้าท่าพวกนี้ นี่อาตมาวิเคราะห์ให้ฟัง คิดให้ดีซิ นี่อาตมาวิเคราะห์ให้ฟัง คิดดูดีๆ มันก็เป็นเรื่องอย่างนั้นเท่านั้นเอง

ทางสมรรถภาพ ทางกายภาพ ทางฝีมือความสามารถ มันก็อันนึง ทางจิต วิญญาณมันก็อีกอันนึง ทางจิตวิญญาณมันก็ต้านอย่างนั้น ตัวนี้แหละปรับให้ดี ถ้ากายกรรมมันได้แค่นั้น สมรรถภาพทางกายมันได้แค่นั้น มันก็เรื่องเท่านั้น เราก็พยายามเต็มที่แล้ว เก่งเท่านี้ ใจเราเต็มแล้ว มันก็จบไป ให้มันเต็มได้ที่จิต จิตมันยังทำได้นะ ฝีมือทางกายภาพ ไอ้โน่นไอ้นี่ มันได้นะ แต่จิตมันไม่เต็ม มันย่อๆหย่อนๆ มันประชดประชัน มันไม่เอาเรื่อง มันไม่เอาเต็มที่ นั่นต้องโทษตัวเอง แล้วก็ปรับ ไอ้จิตตัวนี้ เราต้องปรับได้ ถ้าเราเอาความสูญเสีย หรือว่าความบกพร่องพวกนี้คืนมาได้นะ เราจะเจริญขึ้นอีก มันไม่ใช่เจริญแต่ทาง การสร้างสรร เท่านั้นนะ ที่อาตมาพูดถึงจิตนี่ มันเจริญทางธรรมนะ กายกรรม วจีกรรม ก็ประกอบไปด้วยจิต ไม่ใช่ว่าจิตไม่มี กายกรรมมันพูดเอง วจีกรรมมันพูดเอง ไม่ คนละเมอ ยังมีจิตเป็นตัวสำคัญเลย ไม่ได้หมายความว่า คนละเมอนี่ จิตไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่จิตเป็นตัวประกอบ พูดเอง ไม่ใช่ คนละเมอที่พูดออกมาก็ตาม กายกรรมที่ทำออกมาก็ตาม ละเมอออกมา ทำยังโง้นยังงี้ จิตเป็นตัวกำหนด จิต จิตใต้สำนึกมันทำ โดยที่เราไม่สามารถควบคุมมัน แต่มันมีตัวกลไกรู้ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ คนละเมอบางคน ทำอะไร ถูกต้องได้หมดเลยนะ เรียบร้อย มานอนหลับไม่รู้ตัว พอตื่นขึ้นมา เอ๊ะ! ใครทำ ตัวเองทำแท้ๆ ละเมอไอ้โน่น ละเมอไอ้นี่ บางทีทำ สติมันไม่ค่อยเต็มนัก บางทีจิตใต้สำนึกมันไม่ค่อยเต็ม ทำไปบกๆพร่องๆ ไม่ค่อยเรียบร้อยดีนัก ก็เรียกว่า คนนี้มีสติไม่ค่อยเต็มดี ไปทำโดยที่เรียกว่า จิตตัวที่ทำน่ะ มันรู้ แต่สติที่ควบคุมไม่ดี บกๆพร่องๆ ขาดๆตอน ขาดช่วงอะไร ก็ได้ มันก็เลย เป็นของที่ถูกมั่ง ดีมั่งไม่ดีมั่ง เลอะๆเทอะๆมั่ง เสียๆหายๆมั่งก็ได้ คนละเมอนี่ บางคนทำไม่ได้เต็มที่ บางทีทำเรียบร้อยได้ดีหมดเลยนะ คนละเมอนี่ ละเมอไปทำเรียบร้อย เสร็จแล้ว ก็นอนพับ อยู่ตรงนั้นก็มี หรือกลับมานอนอย่างเรียบร้อยอีกนะ รู้เสียด้วยนะว่าที่นอนอยู่ตรงไหน มานอนเรียบร้อย ตื่นขึ้นมา เอ๊! ใครมาทำ ตัวเองน่ะทำ มีใครเคยเป็นมั่งมั้ย ในนี้มีมั้ย ใครเคยละเมอ ลุกขึ้นมาทำโน่นทำนี่ยังงี้ ตัวละเมอตักน้ำใส่ตุ่มจนเต็มตุ่ม ขึ้นไปนอน ตื่นขึ้นมา เอ๊! ใครมาตักน้ำใส่ตุ่ม ยังมีเลย มีจริงนะ คน มีจริง เคยมีๆ ละเมอนะ ตักน้ำใส่ตุ่มจนเต็มตุ่ม ไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมา เอ๊! ใครตักน้ำใส่ตุ่ม ไม่รู้เรื่อง ยังงี้ก็มี ละเมอ บ้าๆบอๆอะไรก็มี ไอ้บ้าๆอีกเยอะ พูด บางทีพูดไม่รู้หรอกนะ ไม่รู้เรื่อง คนที่คอยอยู่ตอนที่ เค้าไม่หลับ คนไม่หลับ แหม! คนละเมอนี้พูดนะ ตอบความใหญ่เลย แหม! โต้ตอบได้เลยนะ พร่องๆแพร่งๆมั่ง บางทีสติมันไม่เต็ม ได้มั่ง ไม่ได้มั่ง ชิ้นนั้น ชิ้นนี้นะ พูดออกมาแล้ว คนละเมอนี่ขี้มักของจริง (หัวเราะ) ขี้มักของจริง จับความ จับอะไรได้ จากละเมอๆของจริงนะ มันออกมาจากจิต มันไม่มีอะไรอำพราง มันไม่มีตัวเลศเล่ห์ ตัวเล่ห์เหลี่ยมอะไร กันๆไว้ ขี้มักจะได้ของจริง ดึกๆซักเอา อีตอนคนละเมอนี้ ขี้มักจะได้ของจริง บ่อยๆ พูดก็ตาม กายกรรมก็ตาม มันมีจิตเป็นตัวกำหนด เป็นตัวที่คอยคุม เป็นตัวที่จัดการออกมา ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราสังวรกาย สังวรวาจานี่ เป็นจิตสังวรเมื่อใดเราก็ได้สังวร เราได้ควบคุม ได้อบรม อบรมจิตด้วย อบรมกายวาจาด้วย อบรมจนเป็นอัตโนมัติ จนเห็นด้วยญาณปัญญา เพราะว่า เราอบรมแล้วทำยังงี้ มันดีมั้ยเล่า กายกรรมอย่างนี้มันดีมั้ยล่ะ ญาณปัญญาเราก็ต้องเช็กตาม ตรวจตามว่า เอ๊อ! ดีนะ เราทำกายกรรมอย่างนี้ดี ทำวจีกรรมอย่างนี้ดีนะ องค์ประกอบอย่างนี้ เมื่อนั่นเมื่อนี่ มีผลอย่างงี้ๆๆนะ โอ๊ย! เรียบร้อย เราก็จะได้ผล จะได้ประโยชน์มากมาย นี่เป็นความลึกซึ้ง ที่เราจะต้องพากเพียรขึ้น เราจะต้องกระทำขึ้น จริง เรียนรู้จริงๆนะ ในความลึกซึ้ง ของบุญ ที่อาตมาพูดกับพวกคุณนี่ ในความลึกซึ้งของบุญ ในความลึกซึ้งของบาป จะเรียกภาษา สองภาษานี้ เราก็ไม่ต้องให้เลอะเทอะอะไรจน กระทั่งเข้าใจไม่ได้ เรียนให้ดี

บาปก็คือไม่ดี บกพร่องนั่นเอง มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี อกุศล โดยเฉพาะตัวที่ทำเหตุ ให้มันเกิดบาป ตัวที่มาเหตุใหญ่ก็คือกิเลส กิเลส ตัณหา อุปาทาน ตัวผีร้าย เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราเอง เราได้อบรม ควบคุมอย่างแท้จริงแล้ว เราจะลึกซึ้งละเอียดขึ้น ชีวิตของ เราจะมีกายกรรม วจีกรรมดี เพราะมโนกรรมดี บอกแล้วว่า กายกรรม วจีกรรม ก็เกิดมาจากจิตวิญญาณ เป็นตัวประธาน เป็นตัวสำคัญ เพราะฉะนั้น อย่าไปประมาท อย่าไปดูถูกว่า การสังวรกาย สังวรวาจานี่ เป็นเรื่อง เหลวไหล อย่าไปประมาท จริง ในกายกรรมบางอย่างนี่ สำหรับผู้ที่ตีกลับ กายกรรมดูเหมือน ท่านมาทำสิ่งนี้ ดูเหมือนเราว่ามันไม่ดีนะ ไม่เหมาะสมตามสูตร หยาบๆน่ะ สูตรต้นๆ ไปทำกรรมกิริยาอันนี้ ดูเหมือนว่าท่านทำไม่ดี แล้วเราก็เลยเห็นว่า เอ้! อย่างงี้ก็ จิตวิญญาณอย่างงี้ก็ต่ำซี ซึ่งมันมีสภาพตีกลับ แบบนี้ ปฏินิสสัคคะ สลัดคืน ตีกลับ มันมีเหมือนกัน แต่ว่าท่านทำนั้น ไม่ได้เพื่อตัวเอง ท่านทำเพื่ออนุโลมไปอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อที่จะให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่น สร้างสรร ส่วนคนที่ทำกายกรรมอย่างนั้น วจีกรรมอย่างใดของตนเองอยู่ เพื่อที่สังวรระวัง ขัดเกลาตนเองนั้น มันก็ขัดเกลา หรือบางที เรากระทำสิ่งใดอยู่ กายกรรมก็ดี วจีกรรมอะไรก็ตาม ทำแล้วเราบำเรอ กิเลสเราอยู่ เพราะถ้าเผื่อเรายังบำเรอกิเลสเราอยู่ ในกายกรรมใด วจีกรรมใดนั้น สิ่งนั้นก็เป็นทุจริต แค่บำเรอนะ ฟังให้ดี แค่บำเรอกิเลสเราอยู่ บำเรออารมณ์เราอยู่ ก็เป็นทุจริต เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใด ที่ท่านทำแล้ว ไม่ได้บำเรอแล้ว แม้เราจะดูรูปของกายกรรม รูปของวจีกรรม ดูเหมือนว่ามันต่ำ แต่ท่านไม่ได้บำเรอหรอก ท่านมีเจตนารมณ์เพื่อผู้อื่น เพื่ออันนั้นอันนี้ แต่ทำให้เค้าไป ไม่ได้บำเรอเลยนะ อันนั้นบริสุทธิ์ใจ และอนุโลม ปฏิโลม ตามความเหมาะสมเพื่อผู้อื่น ไม่ได้เพื่อตนเลย เพราะฉะนั้น จะให้ผู้ที่ดีนี่ ทำแต่ดีอยู่ตลอดเวลาเลย คนอื่นก็ตามไม่ติด ไม่มีฐาน ไม่มีขั้นบันได ไม่มีขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย ให้แก่คนนั้นคนนี้เลย ให้เค้าทำเอา เค้าก็ทำไม่ถูก เค้าก็ทำไม่ได้ เราทำได้ดีกว่า ก็ทำให้เค้าบ้าง เค้าได้อาศัยเป็นขั้นเป็นตอน เป็นฐานเป็นฐานะ ไต่ระดับขึ้นไป ก็เป็นขนาด เป็นขั้นเป็นตอนอยู่ อย่างนี้เป็นต้น

เราต้องรู้ เรียนรู้ความลึกซึ้งพวกนี้ โดยเฉพาะตัวเราเองน่ะ อย่าโกหกตัวเอง อย่าหลอกตัวเอง อย่าตีกินตัวเอง ตัวเองตีกิน ต้องรู้ให้ได้ว่า กรรมกิริยาอย่างนี้ เราบำเรอตน แล้วก็หลอกคนอื่นซ้อน เคยพูดตั้งไม่รู้กี่ทีแล้ว นอกจากตนเองรู้อยู่ว่า นี่ตัวเราบำเรอตน แล้วยังโกหก คนข้างนอกอีก โกหกคนอื่นเสียอีกว่า ฉันจิตว่าง ฉันไม่ได้ทำเพื่อตนหรอก อะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ก็ได้บาปใหญ่เข้าไปอีก บาปซ้อนบาปซ้ำเข้าไปอีก ก็ระวัง สิ่งใดที่เราทำแล้ว อะไรต่ออะไร เพื่อผู้อื่น ไม่ได้บำเรอตน อะไรจริงๆแล้ว มีเจตนารมณ์ที่ถูกต้องตรงแล้ว ก็สบายใจได้ ไม่มีปัญหา แต่ข้อสำคัญ ต้องตรวจตราให้ดีว่า อารมณ์บำเรอตนนี่ ไม่ได้รู้ได้ง่ายๆ ไม่รู้ได้ง่ายๆนะ อารมณ์บำเรอตนนี่ ไม่ง่าย แล้วยิ่งลำเอียงเข้าข้างตน เผลอๆไผลๆ ตรวจตราหวัดๆ ตรวจตราลวกๆ ตรวจ อ่านจิตวิญญาณของเราลวกๆ มันก็ยิ่งไม่ชัด ยิ่งไม่รู้ง่ายเลย ก็ไม่เข้าท่านะ

ทุกวันนี้นี่ เราได้ศึกษา ได้อบรม ได้พากเพียร ปฏิบัติกันมาแล้วนี่ เราได้กายกรรม วจีกรรมที่ดีขึ้นมาพอสมควร แต่ยังจะมีการลึกซึ้ง สร้างบุญ ประกอบบุญ ยังกุศลให้ถึงพร้อม ไปอีกๆๆๆ ลดให้เนียน ให้สนิท ให้ลึกซึ้ง บอกแล้วว่า บาปหรือความไม่ดี หรือว่าสิ่งที่บกพร่อง อกุศล ทุจริตนี่ ยังมีขั้นตอนหยาบ กลาง ละเอียด ลึกซึ้งอีกมาก ที่เราจะต้องเรียนรู้ แล้วก็พัฒนาฝึกฝนเพิ่มเติมขึ้นไป เพราะฉะนั้น เราเรียนไปเถอะ วันแต่ละวัน แต่ละวันๆ เราเรียนกันไป เพิ่มเติมกันไป คนนั้นช่วยกัน คนนี้ช่วยกัน แนะนำกันไป เราก็ไตร่ตรองตรวจตราเอา อะไรที่จะประพฤติปฏิบัติ แก่ตนๆ ก็ทำกันไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ถ้าเราแน่ใจว่า เราได้มาทิศทางที่จะมาศึกษามหาวิทยาลัยชีวิต เป็นมหาวิทยาลัยของอริยะ มหาวิทยาลัยของอริยะแล้วจริงนะ เราศึกษาแล้ว เราจะประเสริฐจริง ประเสริฐอย่างที่ ทิศทางพระพุทธเจ้าพาเป็นเลย เราก็สุขเกษม สุขอย่างเกษม สุขอันเกษม คนอื่น ก็ไม่ได้รับการเบียดเบียนจากเราเลย เราไม่ได้เบียดเบียนใคร มีแต่เกื้อกูลเขา มีแต่จะได้ประโยชน์คุณค่าแก่เขา และยิ่งศึกษา เราก็ยิ่งจะเป็นผู้ที่ มีคุณค่าประโยชน์แก่เขาเรื่อยไป เราก็ยิ่งสุขสนิท เนียนๆ แม้จะเหงื่อแตก ยืนทำงานร้อนหนักอยู่แท้ๆ ก็ยังสุขสนิทเนียนที่ใจ คุณจะรู้ว่า ปรมังสุขัง มันยิ่งกว่าสุข หรือมันบรมสุขนี่ ปรมังสุขัง คือบรมสุข ถ้าไม่ได้เรียนรู้ ว่า โลกียสุขกับวูปสโมสุข สุขที่ว่างจากกิเลสแล้วนี่ มันต่างกันอย่างไรนี่นะ ถ้าไม่ได้อันนี้แล้วนะ เค้าจะไม่รู้ มันจะว่างอยู่ อย่างนั้นน่ะ บรมสุขนี่ มันจะว่างอยู่อย่างนั้น จะทำงานหนัก อยู่ขนาดไหน จะร้อน จะลำบากขนาดไหน มันก็ว่างอยู่นั่นน่ะ มันก็บรมสุขอยู่นั่นน่ะ มันต่างกับโลกียสุข เสพสม มันรสเป็นธรรมรส เป็นวิมุตติรส อยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น ใครรู้ คนนั้นก็จะรู้ ตถตา มันเป็นเช่นนั้นแหละ นั่นแหละ อย่างไรคุณก็ต้องมีข้อนั้นเสียก่อน นะ ไม่มีอยู่อย่างนั้น อย่าไปเดา ตถตา แบบอะไรๆ เป็นอย่างนั้น ตามคะเนคำนวณ ตามเหตุผล ไม่ใช่ อันนี้ไม่ใช่เหตุผลนะ ปรมัตถสัจจะนี่ ไม่ใช่เหตุผล สัจจะของตถตา ของ ปรมัตถ์นี่ มันจะต้อง มีสภาวะนั้นรองรับ มีสุญตา มีจิตว่าง มีความเบา ความง่าย เป็น วูปสโมสุข สงบสนิทอยู่ มันก็เป็นอย่างนั้นล่ะ


คุณไปศึกษาอ่านดู จับตัวสภาวะนั้นให้ได้ ที่ในตัวนั้น อ๋อ! มันว่าง มันวูปสโมสุข มันบรมสุข มันสบาย มันไม่เดือดร้อน ใครจะมาพูด กระทบกระแทกกระเทือนอะไร ก็มีญาณปัญญารู้ ตื่น แต่ก็เบิกบานอยู่อย่างนั้นน่ะ รู้ ตื่น เบิกบาน แล้วก็มีวิจารณญาณ ไม่ใช่ฟังเค้าแล้วก็โยนทิ้ง ฟังเค้าแล้วก็โยนทิ้ง ไม่ใช่ ฟังแล้ว ก็เอาพิจารณา แววไว เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น อ๋อ! มีข้อมูลเพิ่มเติม อ๋อ! อันนี้มีเหตุผล อันนี้มีเหตุผลเก่า อันนี้มีเหตุผลใหม่ ข้อมูลใหม่ เออ! ดี ข้อมูลนี้ เอ๊! น่าคิดนะ เอามาเปรียบ เอามาเทียบ เอามาพิจารณาแล้ว เอ๊! รู้สึกมีผล มีผลกระทบ มีผลจะบวกลบคูณหารขึ้นมาได้ บางอย่าง มีแต่เสริมหนุนให้ดีขึ้น บางอย่าง ก็มาต้านไปบ้าง ลบไปบ้าง อะไรพวกนี้ เราก็จะเกิดญาณปัญญา เรื่อยไป ยิ่งทำยิ่งสร้าง ยิ่งมีคนให้ข้อมูลเหตุผล ติเตียนบ้าง อะไรก็แล้วแต่ ชมเชยก็ตาม มันก็เป็นข้อมูลต่างๆ ก็ยิ่งทำให้เรารู้ความจริง ลึกซึ้งขึ้น เพิ่มเติมขึ้น นับวันฉลาดเฉลียวยิ่งขึ้น เป็นผู้เฉลียวฉลาด ที่รู้ความจริง เราก็ยิ่งมั่นใจ ยิ่งหนักแน่น ยิ่งเห็นความจริง ยิ่งยืนหยัดอยู่ในฐานของความจริง มันยิ่งเห็น มันก็ยิ่งมั่นคง มันก็ยืนหยัด ในความจริงขึ้นไปเรื่อยๆ นี่เป็นรายละเอียด ที่เรากำลังศึกษา เป็นไปอยู่ ทุกวี่ทุกวันเป็นไป ถ้าใครเข้าใจผล หรือใคร มีเนื้อหาของความจริงพวกนี้ มากขึ้นๆๆ แล้วคุณก็ฟังธรรมะของอาตมานี่ง่าย ฟังธรรมะของอาตมาสบาย เข้าใจยิ่งขึ้น ฟังทีไรก็ โอ้! เบิกบานร่าเริง ฟังทีไรก็ลึกซึ้ง ฟังทีไรก็ยิ่งได้อานิสงส์ ฟังทีไรก็ยิ่งมีกำลังใจ มีฤทธิ์ มีอิทธิบาท มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาไปเรื่อยๆ นั่นเป็นเครื่องแสดง ความเป็นสมณะ เราก็ได้ก่อเกิดสมณะขึ้นเรื่อยๆ สมณะโตขึ้นๆๆ เพราะมันมีอิทธิบาทเจริญขึ้นเรื่อยๆ อิทธิบาทเป็นเครื่องแสดงสมณะ เพราะอิทธิบาท มันก็จะเกิดสภาพว่าฉันทะ เบิกบาน ยินดี มีความเพียร วิริยะ จิตตะ เอาใจใส่ๆ ในชีวิต ชีวิตของเราเนี่ย มีชีวิตอยู่กับการงาน ตื่นขึ้น มาก็ทำงานสร้างสรรไป มีชีวิตเกี่ยวข้องกับอะไร ก็มีชีวิตชีวา ไม่ได้เป็นคนแหนงหน่าย ไม่ได้เป็นคนเหลาะแหละ ไม่ได้เป็นคนย่อหย่อนเหยาะแหยะ แต่เป็นคนกระปรี้กระเปร่า แข็งแรง ปราดเปรียว แคล่วคล่อง มีกำลังวังชาสร้างสรร สามารถ โอ! สร้างได้ดี แววไว ปราดเปรียว ทำได้แคล่วคล่องดีจริงๆ มันจะยิ่งเป็นอย่างนั้นขึ้นไปเรื่อยๆ มนุษย์จึงเจริญ ไม่ใช่เฉื่อยๆแฉะๆ รอวัน เดี๋ยวเมื่อไหร่พระอาทิตย์จะตก รอเวลาว่า เมื่อไหร่ มันจะได้กินได้อยู่ เมื่อไหร่จะได้ดูวิดีโอ เมื่อไหร่จะได้นอน มันจะไม่เลยนะ มันจะไม่มีอะไรมากำหนดเรา มันจะไปตามวินาที มันจะไปตามยิ่งกว่าวินาทีอีก ไปตามโอกาส เวลาของมันไป เบิกบาน ร่าเริงของมันไป เรื่อยไปๆๆๆ สบายๆไป

* * * * *
ถอดโดย บ้านพลังธรรม ๒๗ มิ.ย. ๓๑
ตรวจทาน ๑ โดย สิกขมาต ปราณี ๒๙ มิ.ย. ๓๑
พิมพ์และตรวจทาน ๒ โดย นางวนิดา วงศ์พิวัฒน์ ๒๓ พ.ย. ๓๒