"น้ำใจ" สัมภาษณ์พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๒

ฉบับ เช็คบิลรัก

ถาม วัยรุ่นหนุ่มสาวที่ทั่วๆไป เรื่องความรักที่เขากำลังมีกันอยู่ หรือแบบ กำลังมีแล้ว ถูกทางหรือไม่ถูกทาง ความรักในทัศนะของพ่อท่านนี่ มีในรูปแบบไหนคะ?
พ่อท่าน : ความรักในทัศนะของอาตมา มีถึง ๑๐ มิติด้วยกัน แล้ว ๑๐ มิติที่ พูดนี้ ได้เคยบรรยาย ได้เคยเขียนเอาไว้แล้ว เป็นหนังสือแล้ว มันเป็นอุดม การณ์มากอยู่นะ และก็เป็นความรัก ที่คั้นเอามา ใช้ประโยชน์ใช้สอย ให้มันเป็น คุณค่าสูงที่สุด ถ้าใครไปได้อ่านความรัก ๑๐ มิติแล้ว ก็จะรู้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม อาตมาก็ไม่ใช่เป็นคนใจแคบ หรือว่าเป็นคนที่ไม่รู้จักมนุษย์ ไม่รู้จัก สัตวโลกอะไร จนกระทั่งไม่ยินยอมใหัคนมีความรักในเชิงกาม ในเชิงของการสมสู่ สืบพันธุ์อะไร ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมชาติของโลก ที่มันมีมาแต่ไหนๆ ก็ไม่ใช่ไม่มี ก็มีก็รู้

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า อยากจะรู้ความรักมิติที่จะเป็นอุดมการณ์ มิติ ที่จะเป็นคุณค่าประโยชน์แล้ว ก็จะต้องไปอ่านความรัก ๑๐ มิติ ซึ่งว่าไว้ตั้งแต่มิติ ที่ชี้ให้เห็นถึงความรักที่เห็นแก่ตัวอันมากมาย อะไรต่างๆนานา

ทีนี้ความรักที่ว่าที่เป็นเรื่องของธรรมชาติ เป็นเรื่องสัตวโลกนั้น ผู้ที่ ยังไม่ได้ศึกษาขั้นโลกุตระ ขั้นที่ จะต้อง ดับกิเลสอนุสัย พ้นความเป็นสัตวโลกอย่างแท้ จริงแล้วละก็ มันก็ต้องควรจะมี คุณธรรม ในความรักเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น คุณธรรมในความรักขั้นแรกในศาสนาพุทธนั้น จะเป็นผู้ที่ ไม่ถึงขั้นโลกุตระ ดับกิเลส จนกระทั่ง ไม่มีธรรมชาติทางด้านราคะ หรือกามนี้แล้ว จะมีกาม มีราคะอยู่ ก็ควรจะมีในขอบเขต ขอบข่ายที่เป็นคุณธรรม เช่นว่าถือศีล ๕ มี ผัวเดียว เมียเดียว

หรือแม้ว่าถือศีล ๕ แล้ว ยังไม่มีผัวไม่มีเมีย ก็ควรจะต้องรู้จักขอบเขต รู้จักคุณธรรมของมนุษย์ ที่เป็นวัฒนธรรมชั้นสูง ว่าผู้หญิงก็ไม่ควรไปสำส่อนอะไรมา ไม่เป็นฟรีเซ็ก ไม่ใช่อะไรต่อมิอะไร ในลักษณะที่ทางตะวันออกเขาถือกัน ความบริสุทธิ์พรหมจรรย์ถือว่าดี หัดอด หัดลด หัดทนก็เป็นดี หรือจะหัดตัดกิเลสไปด้วยก็ยิ่งดี เพราะงั้นถ้าแม้ว่าจะมีธรรมชาติจากความรักอย่างนั่น ความรัก อันเป็นไปเพื่อกามนะ ความรักเป็นไปเพื่อความสมสู่ ความรักเป็นไปเพื่อธรรมชาติ นี่ แบ่งไว้ อย่างหนึ่งๆ ความรักที่จะเป็นไปเพื่อกาม เพื่อราคะ เพื่อการสมสู่ มันก็มี อยู่ในโลก ที่มีกิเลส เป็นธรรมดา แล้วก็ไม่ควรสำส่อน ถ้าต่ำกว่าการสำส่อน ผิดผัวผิดเมีย ไม่จักเพียง ไม่รู้จักพอ ซึ่งเป็นการบำบัดอารมณ์บำบัดกิเลสแล้วก็ ควรเป็นการสืบเผ่าสืบพันธุ์ เป็นธรรมชาติธรรมดา ของสัตวโลกเท่านั้น ถ้าเกินว่านั้น ก็ถือว่าเป็นความชั่ว เป็นบาป เป็นความต่ำ เพราะฉะนั้น ผู้ใดจะมีความรักอย่างนี้ ก็ว่าไป

ถาม : แล้วพ่อท่านคิดว่า ความรักมีความจำเป็นแก่ชีวิตหรือเปล่าคะ
พ่อท่าน : ก็แบ่งเป็น ๒ อีกแหละนะ ความรักที่ว่า มีความจำเป็นแก่ชีวิตหรือเปล่าน่ะ จะแบ่งเป็น ๒ คือ

ความรักที่เป็นอุดมการณ์ กับความรักที่เป็นไปเพื่อความรักที่เป็นอุปาทานชนิดหนึ่ง ระหว่าง ผู้หญิงผู้ชาย ความรักระหว่างผู้หญิงผู้ชาย บางคนเขาได้นิยาม หรือเขาพยายามที่จะบอก แยกแยก ความรักออก เรื่องของความรักนี่ ไม่ใช่เรื่องของความใคร่ ไม่ใช่เรื่องของกาม ไม่ใช่เรื่องของราคะ เขาพยายามแยก ก็แยกได้นะ แยกเป็นความรักที่ไม่ใช่ความใคร่ หรือเป็นกามราคะ

เมื่อกี้อาตมาได้พูดไปแล้วว่า ความรักที่เป็นกาม เป็นราคะแล้วก็จะต้องสมสู่กัน อย่างธรรมชาติ ถ้าไม่ตัดกิเลส ไม่เรียนรู้จริงๆแล้ว มันไม่รู้ได้ง่ายๆหรอก มันก็จะต้องเป็นอย่างนั้น

แต่ทีนี้จะให้วิเคราะห์เป็นเหตุเป็นผล ก็วิเคราะห์ได้ก็อย่างที่กำลังจะพูดนี่นะ คือ ความรักที่ๆไม่ใช่ ความใคร่ ความรักที่ไม่ใช่กาม ระหว่างผู้หญิงผู้ชายนั้น มันไม่จริงทีเดียว ความรัก ระหว่างผู้หญิง ผู้ชายนั้น มันไม่จริงทีเดียวหรอก ท่ ว่าไม่ใช่ความใคร่ ระหว่างผู้หญิงผู้ชายแล้ว จริงๆแล้ว มันมีความใคร่ เป็นที่สุด ความจริงแล้ว ความรักที่ไม่ใช่ความรักใคร่นั้น ไม่อยู่ที่ผู้หญิงผู้ชาย ที่สมสู่กัน ความรักอันเป็นความเมตตา เกื้อกูล เป็นความอบอุ่น เป็นความที่ประสานสนิท เป็นความผูกพันอีกชนิดหนึ่ง พ่อ-แม่กับลูกผูกพัน ไม่ใช่กาม ไม่ใช่ราคะ ผู้หญิงกับผู้ชาย จะผูกพัน เหมือนพี่ เหมือนน้อง เหมือนมิตรสหาย ที่ผูกพันกัน ไม่นับเพศ จะเป็นผู้หญิง ผู้ชายที่เป็น มิตรสหายกัน รักกัน คิดถึงกัน ผูกพันกัน ห่วงหาอาวรณ์กัน ช่วยเหลือกัน อันนี้ไม่ใช่ความใคร่ ไม่ใช่เรื่องกาม ไม่ใช่ราคะ ความรักชนิดนี้ มีได้ นี่แยกให้พิเศษแล้ว

เพราะฉะนั้น ในความรักระหว่างผู้หญิงผู้ชาย ที่ไม่ใช่เรื่องของกาม ไม่ใช่เรื่องของราคะแล้วละก็ มันก็เป็นความรักชนิดนี้แหละ

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้หญิงผู้ชายเขารักกัน เขาก็บอกว่า แบ่งความรัก ไปอีกอย่างนึง ไม่ใช่เรื่องของ ความใคร่ มันแยกยากๆ

เพราะฉะนั้น จะเป็นคู่ผัวตัวเมียไปแล้วนี่ แยกยาก มันจะปนเปไปหาความใคร่ แล้วเขาก็เป็น อย่างนั้น ซึ่งแยกยาก ถ้าผู้ใดแยกได้ก็ไม่เป็นไร แต่ความใคร่น้อย แต่เขาก็สมสู่ไปตามธรรมชาติ สมสู่ไปตามธรรมชาติ เพื่อที่จะให้สร้างลูกสร้างเต้า สร้างเผ่า สร้างพันธุ์ของมนุษยชาติ สร้างเผ่า สัตวโลกอยู่ต่อไป เขาก็ไมได้จี๋จ๋าอะไร ทำไปตามธรรมชาติ ถ้าทั้งสองคนทั้งผู้หญิงผู้ชาย ถ้าไม่ได้ มีราคะอะไรมากมาย ก็สมสู่กันไป ก็สักแต่ว่าสมสู่ ให้มีลูกมีหลานออกมาเฉยๆ โอ่ อย่างงั้นดีนะ ไม่มีความใคร่อย่างงั้นดีนะ มันไม่มีความใคร่จี๋จ๋า จัดจ้าน อะไรอย่างงั้น ความรักคล้ายๆ กับเรื่องความผูกพัน ความสัมพันธ์ห่วงใย โอบอ้อม อารีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อย่างมิตรสหาย อย่างพี่ อย่างน้อง อย่างภราดรภาพ อย่างนี้เป็นความรักที่อาตมาว่านี่ มีค่าน่ะ ไอ้เรื่องสมสู่ ผูกพันนั่น เดี๋ยวนี้ ถ้าใครศึกษาดีๆแล้ว มันควรลดกิเลสความใคร่เหล่านี้ เพราะว่าโลก มันพลโลก มันจะล้นโลกอยู่แล้ว ใช่ไหม มันควรจะลดอัตราการเกิด ซึ่งหลายประเทศ เขาก็พยายามจำกัด อัตราการเกิดแล้ว ต้องมีวิธีการป้องกันการเกิด แต่มันไม่ลดกิเลส เลยก็ต้องการสมสู่กันอยู่ เหมือนอย่างพี่ อย่างน้อง อย่างพ่ออย่างแม่ อย่างลูกรักกันนี่ อย่างมิตรสหายกัน ไม่ต้องสมสู่ อะไรกันนี่ จะกอดกัน จะรักกัน จะกอดกัน จะอบอุ่นกัน ชื่นชมแม้แต่จะจูบ จะหอมอะไรกัน พ่อแม่หอมลูกจูบลูก เพื่อนฝูงพี่น้องจูบกัน มันไม่ได้เป็นความใคร่ เป็นความรัก เป็นความสนิท ชิดเชื้อ เป็นความผูกพัน ว่ากันด้วยภาษา ก็เป็นความผูกพัน สนิทชิดเชื้อ สัมผัสสนิทชิดเชื้อ ลักษณะอย่างนี้ ถ้าละเอียดไปในทางปรมัตถธรรมแล้ว มันจะเป็นราคะเหมือนกัน แต่ว่า ถึงยังไง ก็ตาม อยู่ในขอบเขตของความเป็นมนุษยโลก เป็นสัตวโลก ที่จะต้องมีความผูกพันอย่างนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน มันก็มีอยู่ มันหอมกัน มันดมกัน มันเลียกัน อะไรพวกนี้ เป็นลักษณะเดียวกัน น่า มันเลียให้กันอย่างสัตว์ ตัวแม่มันเลียให้ลูกๆ มันเลียพ่อ เลียแม่ อะไรยังงี้ หอมกัน ดมกัน อะไรพวกนี้ เป็นธรรมดา ธรรมชาติ ลักษณะอย่างนี้ ถ้าจะว่าจริงๆ ด้วยปรมัตถธรรม ลึกซึ้งเป็นราคะ มันก็เป็นราคะ แต่ว่าโดยความพอเหมาะ โดยความพอดีของสัตวโลก ก็ควรมีอยู่บ้าง ในฐานะที่ ไม่ถึงขั้นสูงสุด ถึงขั้นปรมัตถธรรม ก็ในเมื่อเข้าใจในสภาวะของมนุษย์ ถ้าจิตมันเป็นอย่างนั้นอยู่บ้าง มันก็เป็นภราดรภาพที่ดีนา ความรักอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ความรักอย่างนี้ อาตมาแยกออกไปอีก ๒ อีกเหมือนกัน

ถาม : ในเรื่องหนุ่มสาวทุกวันนี่นะ มีความรักในวัยเรียน แล้วก็เหมือนกับว่า แต่ละคนนี่ต้องมีกัน นะฮะ อะไรเป็นเหตุให้เขาได้มีความรู้สึกอย่างนี้

พ่อท่าน : ความรู้สึกรักในวัยเรียนนี่นะ มันเป็นเรื่องของกิเลสที่จัดจ้าน แต่ก่อนเรามี วัฒนธรรมๆ รักในวัยเรียน ถือว่าไม่ดีไม่งาม ก็มีความอดกลั้นๆ มีวัฒนธรรมที่เป็นเรื่อง ถือว่าน่าอาย เขาก็ไม่ทำกัน มันก็พยายามอดกลั้นกัน มันก็ไม่พยายามให้มันเกิด มันก็ไม่เกิด หรือเกิดน้อย เกิดน้อย ก็หิริโอตตัปปะ มีการละอาย ก็พยายามป้องกัน มันก็ไม่เกิดวุ่นวาย ไม่เกิดอะไรๆ ที่เลยเถิด ขึ้นไป จนกระทั่งในสมองร่ำเรียนอะไรต่ออะไร ก็ไม่ค่อยสะดวก ก็เพราะว่า สมองมันไป วุ่นวายอะไร ไปต่างๆนานา เมื่อก่อนก็เคยมีสมาธิดี เป็นคนที่ไม่ต้องเครียด เป็นคนที่ไม่ต้องอะไรต่อมิอะไร จนกลายเป็น โรคประสาทอะไรไป เหมือนอย่างทุกวันนี้

นี่ก็เพราะไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่ได้ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณ ก็เลยกลายเป็นเรื่องผิดหน้าที่ ผิดวาระ ผิดเวลา ถ้าพูดกันจริงๆ ก็รู้อยู่ว่า รักในวัยเรียน ไม่ใช่หน้าที่หรอกนา แต่ในที่นี่ ในสังคมพวกที่ ไม่ศึกษาทางจิตวิญญาณตะวันตก แม้แต่เด็กเล็กๆ ในเรื่องอย่างนี้ เขาก็ปนๆ กันไปหมดเลย ว่าจะเป็นความรักแบบเซ็ก แบบราคะ กาม หรือเป็นแบบความรัก แบบมิตรสหายอะไร เขาไม่ถือ ไม่สา และเขาก็ปล่อย ว่าเป็นเวลา วาระของเด็ก ของวัยอะไรไป ให้เละๆ เทะๆ จนสุดท้าย ก็กลายเป็นฟรีเซ็ก หรือกลายเป็นอะไรต่อมิอะไร ป้องกัน อย่าให้เกิดตามเวล่ำเวลา อะไรเรื่อยๆไป ก็เลย วัฒนธรรมยิ่งต่ำใหญ่ รักในวัยเรียน ก็เช่นเดียวกัน ก็เป็นความเสื่อมของสังคม เป็นความต่ำ ถ้าได้ศึกษาจิตวิญญาณดีๆแล้ว อารมณ์รักมันเป็นอารมณ์ที่มันเป็นเรื่องความรักพวกนี้ มันเป็นเรื่อง ของอุปาทาน มันไม่เป็นความจริงหรอก มันไม่เป็นความจริง มันเลิกรักได้ แล้วมันไม่เกิดอารมณ์ มันไม่เกิดอาการอย่างนั้น ในจิตวิญญาณได้

ศาสนาพุทธเราได้พิสูจน์ จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ได้อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเราเชื่อว่า ศาสนาพระพุทธเจ้า เป็นศาสนาที่มีพระอรหันต์จริง และพระอรหันต์หมดเรื่องรัก เรื่องใคร่ อย่างนี้จริงๆ ไม่ว่าจะรักเรื่องอย่างหยาบเป็นกาม หรือว่าเป็นเรื่องรักผูกพัน ห่วงหาอาวรณ์อาลัย อย่างที่กล่าวแล้ว ซึ่งไม่มีกามเข้าผสมนั่นอีกอย่างนึง ที่แบ่งออกไปเป็น ๒ อย่างนั่นก็ตาม พระอรหันต์เจ้านี่นะ รู้แจ้งในอารมณ์เหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งมันเป็นอุปาทานของโลก เป็นความลวงๆ มันเกิด เป็นกิเลสๆจริงๆ

ฉะนั้น เราฆ่ากิเลสนี่ได้หมด เพราะกิเลสนี่มันไม่ใช่ตัวจริง ไม่ใช่ของจริง มันเป็นความลวง ล้างกิเลสนี่ หมดได้ มันก็หมดได้ ถ้าเรียนศาสนาแล้ว ก็จะรู้

เพราะฉะนั้น การที่จะกดข่ม การที่จะเรียนรู้ พยายามที่จะรู้จักระงับ สร้างวัฒนธรรมให้ดีๆ ถ้าสร้าง วัฒนธรรมให้ดีๆแล้ว การรักในวัยเรียนก็จะไม่มี จะมีแต่หน้าที่แต่ในการศึกษาเล่าเรียน ถ้าเรายัง มีกิเลส ไม่ปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้น เราจะต้องแต่งงานบ้าง ก็อย่างที่กล่าวแล้ว ศาสนาพุทธเรา ก็ๆเข้าใจ ถ้าใครเองภูมิฐานมันไปไม่ได้ ยังไปไม่รอด ยังมีคู่ผัวตัวเมีย จะสมสู่จะเป็น ธรรมชาติ อย่างนั่นก็ จะต้องผัวเดียวเมียเดียว มากกว่านั้น มันก็ยิ่งเป็นความลวง ที่หยาบคาย มีมากผัว มากเมีย มีสำส่อนอะไรต่ออะไรไปมาก มันก็ยิ่งหยาบคาย ก็บอกแล้วแค่ผัวเดียวเมียเดียวนี่ มันก็ยังเป็นความลวงชนิดหนึ่ง ในระดับหนึ่งอยู่ เท่านั่น

ถาม : และองค์ประกอบที่จะทำให้เขาได้ทราบว่า ควรจะเป็นขั้นตอน เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย แล้วก็มาเรียนทางพุทธศาสนานี่ ก็ต้องจากผู้ใหญ่ ด้วยไหมค่ะ

พ่อท่าน : ผู้ใหญ่ด้วย เป็นวัฒนธรรมด้วย พวกนี้วัฒนธรรมมันเละเทะหมดแล้ว ยิ่งตะวันตก ยิ่งพวกฝ่าย ที่ไม่ได้ศึกษาศาสนาไม่มากๆ ศาสนาก็ศาสนาไม่ค่อยชัดแจ้งเนี่ย มันเละเทะหมดแล้ว ยิ่งตะวันตก ยิ่งพวกฝ่ายที่ไม่ค่อยศึกษาทางด้านศาสนามากๆ ถือศาสนาก็ถือศาสนา ก็ยังไม่ค่อย ชัดแจ้งเนี่ย ก็เลยวุ่นวายกันใหญ่ เดี๋ยวนี้ทางตะวันออก แม้แต่ศาสนาพุทธ แม้แต่คนไทย แต่ก่อนก็ มีวัฒนธรรมอะไรพวกนี้ดี เดี๋ยวนี้ก็ชักจะเอาอย่างตะวันตกกันไปมาก นับวันก็เละเทะเข้าไปเรื่อยๆ เพราะไม่ศึกษา สัจธรรมพวกนี้จริงๆ

ถาม : ถ้าบางคนได้รัก และก็ได้ผิดพลาดไป แล้วก็รู้ตัว จะกลับตัวเป็นคนดีเนี่ย พ่อท่านจะให้ กำลังใจ เขาอย่างไร

พ่อท่าน : ได้ ทุกคนที่ผิดแล้วแก้ไขนี่ แก้ไขได้ทุกคน ถ้าจะเอาจริง พากเพียรจริงๆ แก้ไขได้ ผู้ที่ผิดแล้ว ต้องแก้ไข โดยจริงต้องแก้ไข ควรแก้ไข พอผิดแล้ว ก็ต้องแก้ไขซิ ผิดแล้วไม่แก้ไข มันก็อยู่อย่างเก่าได้ยังไง มันต้องพัฒนาให้เจริญขึ้น ดีขึ้นกว่าเก่า เมื่อผิดแล้วอย่าไปย่ำ ซ้ำแซะ อยู่กับ ความผิดเดิมๆ ไปตลอด มันจะใช้ได้ที่ไหน

ถาม : นี่พูดถึงว่า คนที่รู้ตัวว่าผิดนะค่ะ ถ้าเขาไม่รู้ตัวเองว่าเราทำสิ่งที่ผิด สิ่งที่ไม่ดี

พ่อท่าน : นั่นก็เป็นความที่ไม่เข้าใจ เป็นความที่ไม่มีปัญญา ไม่รู้จักสัจธรรม ไม่ฉลาดที่จะรู้ สิ่งที่ดี ที่ควร เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ มันมีความดีงามในสิ่งที่ถูกที่ควร สิ่งที่ถูกที่ควรอย่างอาตมา ยกตัวอย่าง เมื่อกี้ว่า ที่จริงมนุษย์ทุกวันนี่เนี่ย ถ้าเรียนรู้สัจธรรมที่ถูกที่ควรแล้ว ไม่ควรมาปล่อยปละ ละเลย ให้มาเป็นฟรีเซ็ก ให้มาเป็นกิเลสนี่ครอบงำชีวิต เพราะความจริงแล้ว ในการสมสู่เนี่ย เขาเรียกว่า การสืบพันธุ์นี่ ในภาษาไทยเรานี่ ชัด สืบพันธุ์นี่ คือต่อเผ่าต่อพันธุ์ สร้างสัตวโลกต่อไป เท่านั้น คนทุกวันนี้ มันไม่มีความจำเป็นไปสร้างโลก ไปสร้างมนุษย์ออกมา ให้มันมากมาย มาเพิ่มพลโลก ให้มันล้นโลก หาวิธีป้องกันๆทั่วโลก ไม่ว่าประเทศไหนๆ หาวิธีคุมกำเนิดกันอยู่ทั้งนั้น เพราะรู้อยู่ว่า มันเป็นภาวะที่บีบคั้น หรือว่ามันเป็นภาวะที่ไม่ถูกต้องๆ ต่อสังคม มันไม่สอดคล้องต่อสังคมมนุษย์ เพราะสังคมทุกวันนี้ มันเบียดเบียนกันแล้ว มันล้นแล้ว มันเกินแล้ว ถ้าทางด้านเศรษฐกิจก็เฟ้อแล้ว มนุษย์ทุกวันนี้ มันเฟ้อแล้ว คนมันเฟ้อแล้ว แล้วคนเราเนี่ย มันมีภาวะ มันมีความรู้ทางด้านแพทย์ ทางด้านในการบำรุงรักษาป้องกัน ไม่ใช่คนตายได้ง่ายๆ คนเจ็บคนป่วยอะไร ก็ไม่ค่อยจะอะไร มีอัตราการเกิด มากกว่าการตาย ขนาดคุมกำเนิดแล้ว ก็ยังเกิดมากกว่าการตายเลย เพราะฉะนั้น มันเฟ้อมากแล้ว

เพราะฉะนั้น เมื่อเรียนรู้อันนี้แล้ว ก็ไม่ต้องไปทำกิจกรรม ที่จะต้องทำให้คนเกิดขึ้นอีก เมื่อคนเรา มันไม่รู้ความจริง เขาก็พยายามเหมือนกันน่ะ พยายามที่จะไม่ให้คนเกิด แต่กิจกรรมจะให้คนเกิด เขาก็ยังทำกันอยู่ เห็นเป็นเกม เป็นเกมสนุก เป็นเกมอร่อย เป็นเกมๆที่ขาดไม่ได้ บางคนนับไป ถึงขั้นเป็น ปัจจัยของชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งมันไม่ใช่ ถ้าใช่ พระพุทธเจ้าต้องเป็นคนผิด ตรัสรู้ผิด และก็ ไม่มีคนที่จะตรัสรู้ เป็นพระอรหันต์ ถ้าใช่ แต่มันไม่ใช่ มันมีคนตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ คนไม่ตรัสรู้ เป็นพระอรหันต์ ยังอดยังทน ยังไม่ต้องมีเรื่องเหล่านี้ได้เลย เห็นไหม คนที่มันจำใจจำเป็นน่ะ ขึ้นคานกันเอง อะไรกันมั่ง แล้วไม่วุ่นไมวายอะไรน่ะ นอกจากไม่มีทางออกนี่แล้ว จะไปออกในทาง กามวิตถาร เป็นลักเพศ มีคู่อะไรยังงั้นก็ไม่มี เขาก็มีคนอย่างนั้นนา แม้แต่ที่สุด ไม่ได้ไปวุ่นวายอะไร เรื่องกามพวกนี้ เขามีได้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไปจนกระทั่งถึงแม้ว่า จะกลายเป็นเอาละ เขาไม่ไปวุ่นวาย กะใครเลย เขาจะช่วยตัวเอง นี่พูดให้ลึกๆนะ ก็มันเป็นเรื่องเขา ช่วยตัวเองเท่านั้น มันก็ไม่น่า มันควร จะดีกว่า ที่เขาไปสำส่อน กะคนอื่น

บริสุทธิ์ยิ่งกว่านั้น แม้แต่ช่วยตัวเอง ก็ไม่มีการช่วยตัวเอง ไม่มีเรื่องเหล่านี้เลย เป็นบริสุทธิ์ ผุดผ่อง เลย ก็ต้องมีจริง มันอาจจะน้อยคน เพราะว่ากิเลสมันมากเหลือเกิน ที่เอาอย่างกัน มันอาจจะ น้อยคน แต่มันก็แสดงว่าไม่ตาย แสดงว่าเป็นไปได้ ใช่ไหม

เพราะฉะนั้น คนที่เป็นไปได้ คนที่ไม่ตาย จึงเป็นคนที่แข็งแรง นี่ ลักษณะคนแข็งแรง เป็นคนที่มีอำนาจ เป็นส่วนดีที่เหนือชั้น เพราะฉะนั้น ทุกวันเขาเอาค่าส่วนใหญ่ ค่าส่วนรวม ที่มีอะไรๆ มากๆ มาเป็นการวัด ว่าอันนี้เป็นสิ่งที่ ทุกคนก็เป็นอย่างงี้ ก็แล้วกัน เขาไม่วัดเอาว่า สิ่งนี้ประเสริฐ สิ่งวิเศษ สิ่งที่เลิศยอดนี่ เป็นตัวชูธง เป็นตัวนำว่า ควรจะแนะนำ ควรจะปลุกเร้า ให้เอาอย่าง ยังงี้ๆ สังคมจึงจะลดไอ้สิ่งที่ฟุ่มเฟือย หรือว่ามันเฟ้อ หรือว่ามันเหลวไหล เลว ร้าย ลงไปในสังคมลงไป

ถาม : แล้วเริ่มที่จุดไหนค่ะ
พ่อท่าน : เริ่มที่เรียนรู้สัจธรรม อย่างที่อาตมาว่า แล้วก็มาอบรมฝึกฝน หัด จริงๆ หัดเรียนรู้ ตามขั้นตอน ของศาสนา ตั้งแต่ขั้นตอนที่ว่า เราไม่ต้องไปส่ำส่อน หรือเราไม่ต้องไปฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย หรือแม้เราจะลดในระดับฐานะของศีล ๕ คู่ผัวเดียว เมียเดียว หรือว่าพยายามอุตส่าห์ เรียนรู้ลด ราคะ ซึ่งมีวิธีการที่จะลดราคะจริงๆ เรียนรู้ตั้งแต่เด็ก จนหนุ่มสาว ก็เรียนรู้ รู้เท่ารู้ทันไป อะไร ต่างๆ นานา ให้มันจริงจัง ศึกษาดีๆ จริง มันมีผู้สอบได้ สอบตกบ้าง ก็แน่นอนละ แต่ถ้าเรียนจริงๆ มันก็จะมีผู้สอบได้ ขึ้นมาเรื่อยๆ ถ้ายิ่งมีหมู่ มีมวลมากๆ มันเป็นหมู่มวลที่เป็นวัฒนธรรม เป็นกัน อย่างนี้ มากๆ มันยิ่งจะมีแนวโน้ม มีแรงดูด มีสิ่งที่จูงดึง นำพาไปสู่ทางนั้นได้ง่าย เพราะเรื่องเหล่านี้ มันเป็นเรื่องอุปาทาน เอาตามๆอย่างกัน เพราะมีอะไรมาก มันก็มีแรงดูดมาก เพราะเอาตามอย่าง คนเป็นอย่างนั้นมากๆ

เพราะฉะนั้น เรามาสร้างอย่างนี้ให้มากๆได้ มันก็ยิ่งง่าย คนในรุ่นหลังๆ ก็ยิ่งจะง่าย เหมือนอย่าง คนสมัยโบราณ มันไม่เป็นได้ง่ายๆ เพราะเขาไม่กล้าหรอก แต่เดี๋ยวนี่ มันมาเป็นอย่างนี้กันได้ มากเข้าไปแล้ว ไอ้จะกลับกลายไปเป็นผู้ฝืนโลก ทวนกระแสโลก เป็นอย่างคนจำนวนน้อยเป็น มันจึงยากขึ้นๆ แต่โดยสัจธรรม มันดีใช่ไหมละ มันดี มันไม่ค้านแย้งกะโลก เพราะว่า โลกไม่ต้องการ เรื่องเหล่านี้ เพิ่มเติมขึ้นเท่าไหร่ แม้แต่จะสร้างมนุษย์ขึ้นมา ก็ไม่ควร ก็เพราะมันเฟ้อแล้ว มันยิ่งสอดคล้องด้วยน่ะ

เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธที่พยายามปิดกั้น เรื่องเหล่านี้ ไม่ให้มามี ไม่ให้สมสู่ ไม่ให้มาสร้างพลโลก มากขึ้นๆ เอาคนเข้ามาบวชด้วย มาอะไรๆด้วย มันเป็นการสอดคล้องกับสัจธรรมของโลก มันไม่ได้ค้านแย้งเลย แต่คนเขาหาว่ามาทำอะไรที่ประหลาด มันยิ่งสอดคล้องจริงๆ

ถาม : ในจุดนี้ที่เขาบอกว่าเขาทำผิดธรรมชาติ เพราะว่า ผู้ใหญ่เขาจะให้ลูกให้หลานแต่งงาน เขาถือว่า ชีวิตมันต้องมีอย่างนี้ แล้วเราจะแก้ยังไง

พ่อท่าน : นั่นแหละ ไม่เรียนสัจธรรมยังไง แม้แต่เหตุผลด้านหลักฐาน เมื่อกี้นี้ แค่เหตุผลเมื่อกี้นี้ ว่ามันไม่จำเป็นจะต้องมี มันไม่ผิดประหลาด เรื่องจิตวิญญาณ ถ้าเรียนรู้ให้ดีๆแล้ว มันจะไม่เป็นอะไร ถ้าเรียนรู้ไม่จริง เรียนรู้ไม่เข้าใจสัจธรรมดีๆ มันก็จะกลายเป็นการกดข่ม เป็นการกดดัน เป็นภาวะระเบิด เป็นภาวะอะไรก็ใช่ ถ้าศึกษาไม่ดี มันก็จะเป็นอย่างงั้น แล้วมันก็ จะกลายเป็น ภาวะ ยิ่งกดดัน ยิ่งระเบิด ก็ยิ่งบ้าๆบอๆ ยิ่งจัดจ้าน อะไรไปอย่างงั้น ก็ได้ก็จริง เพราะฉะนั้น ต้องมาเรียนให้ถูก ก็พวกเราไม่เห็นมันเป็นอะไรกันนักหนา นี่ เห็นไหม ก็เรียนกัน พวกเราก็มากัน ศึกษากันก็เยอะแยะ ก็ไม่เห็นนี่ บ้าๆ บอๆ หรือจัดจ้านอะไรไปมากมายอะไรนี่ ใครทำไม่ได้ เขาก็หนีของเขาไปเอง ได้ไม่ได้ เขาก็ได้ความรู้ไปบ้าง เพราะฉะนั้น เขาทนไม่ได้ เขาก็ว่าของเขาไปในระดับๆนั่น เขาก็ว่ากันไป เราก็ไม่ได้ไปจาบจ้วงอะไรเขาเกินการอะไรนี่ แต่ใครเขาทำได้ เราก็บูชาเคารพ นับถือกัน ไอ้อย่างงี้ มันเรื่องยาก ใครทำได้ ก็น่าบูชา เคารพนับถือ มันก็เป็นแนวโน้ม ที่จะนับถือ สิ่งที่ควรเชิดชู สิ่งที่ควรยกย่อง ในทิศทางไหน เราก็ควรยกย่องเชิดชู ในทิศทางนั้น ถ้าบอกว่า เออ ไม่ดีไม่เด่น ไม่เดิ่นอะไรหรอก ไม่ยกย่องเชิดชู คนมันก็จะไปนิยมทำไม มันก็ไปนิยม สิ่งที่เขาเชิดชู และก็ เอาแนวโน้มไปในทาง ที่จะพาฉุดไปในด้านนึง ไม่ควรจะฉุด มันก็ยิ่ง ไปกันใหญ่ซิ

ถาม : แล้วจะมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีความรัก จะอยู่ได้ไหมค่ะ

พ่อท่าน : โอ๋ย ได้ซิ ถ้าไม่ได้ ศาสนาพุทธก็โกหกไงเล่า ก็มีพระอรหันต์ได้ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ไม่ต้องมีความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักในด้านกาม อันชัดอยู่แล้วใช่ไหม พระอรหันต์ต้องไม่มี ความรัก ในด้านกาม นั่น แน่นอนอยู่แล้ว

แม้แต่ความรักชนิดที่เรียกว่า เป็นความผูกพัน เป็นความอาลัยอาวรณ์ พระอรหันต์ไม่มี แต่ท่านเข้าใจ ท่านจะทำความสัมพันธ์ เป็นภราดรภาพ เป็นเหมือนพระพุทธเจ้า มีๆ ลูกศิษย์ ลูกหา มีผู้ที่จะต้องคอยดูแล คอยให้ความรู้ คอยให้ความอบอุ่นอะไรอย่างที่โดยภาษาโวหารนี่ เราทำกรรม กิริยา สักแต่ว่า กรรม ในภาษาศาสนาว่า ทำสักแต่ว่าทำ พูดสักแต่ว่าพูด แต่ว่าไม่ใช่ว่ามันไม่มี รูปแบบ ไม่มีบทบาท ลีลาที่จะเป็นลักษณะที่ตอบรับกันไม่ได้ เรารับได้ว่า เราเห็นว่า เออ บทบาท ลีลาอย่างนี้ ก็เป็นบทบาทเหมือนกะมีความอบอุ่น มีความเอื้อมเอื้อ มีเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือ แต่ใจของท่านว่างๆ แต่กรรมกิริยานี่เป็นรูปลักษณะ ที่คน เขายังติดอยู่ ท่านก็มีให้ แต่ไม่เลยเถิดๆ ใช่ เป็นมิติที่ ๙ จะนับมิติที่ ๗ แบบ พระเยซู แบบศาสนาคริสต์ แบบศาสนาที่มีพระเจ้า ก็ได้ เอามิติที่ ๗ ก็ได้ เป็นอุดมการณ์ เป็นศาสนาที่เป็นความรัก เกื้อกูลกัน เป็นญาติ เป็นพี่เป็นน้อง กรรมกิริยาอย่างนั้น ในศาสนาพุทธก็รู้ แล้วก็ทำ แต่ใจนั่น มันเหนือกว่านั่น คือใจมันมีความรัก แต่ว่าง ใจมันไม่มีอารมณ์ อะไรพวกนี้ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เหนือชั้นจริงๆ ศาสนาอื่นเขาใช้อยู่ มีความรักๆ ในศาสนาพุทธหมดความรักจริงๆเลย มีความรัก ๑ ทุกข์ ๑ รัก ๒ ทุกข์ ๒ รัก ๑๐ ทุกข์ ๑๐ อะไรอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นี่ มันไม่มี แต่เรารู้ว่า ความรักมันเป็นของสัตวโลก มีเป็นมิติขนาดไหนๆ เราก็รู้ เพราะฉะนั้น เราจะใช้ขนาดไหน ที่เราจะใช้ กับสัตวโลก

ถาม : แล้วที่พ่อท่านพูดว่า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า รัก ๑๐ ทุกข์ ๑๐ รัก ๑ ทุกข์ ๑ ไม่รักเลย ไม่ทุกข์เลย แล้วถ้าการที่เราจะเอื้อกว้างไปข้างนอกนี่ เราก็จะต้องรัก ไม่ใช่หรือคะ ถึงจะทำได้

พ่อท่าน : เราทำโดยกรรม ไม่ได้รัก เราทำโดยกรรม โดยกิริยา สักแต่ว่าไง อย่างที่พูดแล้ว สักแต่ว่า ทำกรรม กิริยาอย่างนี้ กิริยาอาจจะทำท่าทาง ลูบตัวลูบเนื้อ ท่าทางเมตตาปรานี กายกริยาวาจาใจ อะไรต่างๆ นานา สัมผัส แตะต้อง เกี่ยวข้อง เท่าที่ควร ที่พอเหมาะ พอดี ให้แสดงกิริยาพอสมควร ไม่จัดจ้าน ไม่มากไป ทำที่พอจะเป็นไปได้ เพราะเห็นว่า มีลักษณะนี้ แต่เป็นกรรมกิริยา เท่านั้น สักแต่ว่ากิริยา แต่ในใจ ไม่ได้มีอารมณ์ อันนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก

ถาม : อันนี้เป็นผู้ที่มีคุณธรรมมาก แต่ถ้าระดับสังคมนิยม ชาตินิยม มันก็ยังมีความรัก ที่ยังๆคิดว่า ยังไม่ละเอียดพอ อย่างนี้ มันก็จะต้องทุกข์ไหมค่ะ ที่ๆจะต้องช่วยเหลือ

พ่อท่าน : ถ้าไม่รู้ทุกข์ ก็ไม่รู้ว่ามันทุกข์ ถ้ารู้ว่ามันทุกข์ ก็ต้องรู้ทุกข์ เราจะต้องลดที่จิตใจของเรา จนกระทั่ง ไม่มีอย่างนั้น ไม่มีความรักในมิติอย่างนั้น ไม่มีอารมณ์รักอย่างเหล่านั้น แต่ก็รู้ว่า กรรมกิริยาที่ควรจะอนุโลม ใช้ทำขนาดไหน

ถาม : และถ้าอย่างนั้น ที่พ่อท่านพูดถึงนี่ ก็เป็นอาการรัก เป็นอารมณ์รักน่ะค่ะ ที่ทำก็ทำ สักแต่ว่าทำ แต่ไม่ได้คิดว่า มันไม่ได้เป็นควร

ตอบ : มันเหนือยิ่งกว่าเหนืออีก เหนือยิ่งกว่ารัก เหนือยิ่งกว่าเหนือ

ถาม : ที่ว่าเหนือยิ่งกว่ารักนี่ จะสุขได้อย่างไรคะ
พ่อท่าน : สุข อย่างวูปสโม สุข อย่างว่างๆ อย่างสงบๆ ซึ่งอย่างไม่จำเป็น จะต้องเสียใจ ดีใจ อะไรเลย ไม่มีความดีใจ ไม่มีความเสียใจ มันก็เป็นอารมณ์ที่เหนือชั้นน่ะ ที่เกินกว่าคิดคั้น คนที่ไม่ได้ปฏิบัติตน ไปจนถึงขั้นนี้จริงๆ ไม่มีสภาพนี้ เป็นได้อย่างงี้จริงๆแล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้า จึงไม่ได้บอกว่า ไม่ใช่ศาสนาที่คาดคะเนด้นเดาเอาไม่ได้หรอก เป็นศาสนาที่จะต้องเอาความจริง ออกมาได้ ถึงขั้นนี้ จริงๆ มันถึงจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง มันถึงจะเป็นจริง

ถาม : แล้วในโลกนี่ พ่อท่านคิดว่า มีใครที่มีหัวใจที่ไร้รักบ้าง
พ่อท่าน : ก็พระอรหันต์ หัวใจที่ไร้รัก พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ อยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ในโลก

ถาม : พระโพธิสัตว์นี่ก็ยังอยู่ขั้นที่ ...
ตอบ : โพธิสัตว์นี่ ก็หัวใจที่ไร้รักได้ แต่ท่านอนุโลมมากกว่าพระอรหันต์ ก็เพราะว่า พระโพธิสัตว์นี่ ท่านเอง ท่านต้องการประโยชน์ ที่จะเกื้อกูล สัมพันธ์มีงานมาก ทำงานเกื้อกูล มีบทอนุโลมที่ลงไป และ ท่านแข็งแรงกว่า พระอรหันต์

ถาม : ก็เพราะว่าต้องเอื้อ
พ่อท่าน : ใช่ ต้องเอื้อๆ ลงไปได้ยาวกว่า ในความแข็งแรงกว่า มีการอนุโลม ปฏิโลมได้เยอะกว่า พระอรหันต์นั่น ท่านก็ฝึกเหมือนกัน แต่ท่านเอง ท่านไม่ต่อแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าจะเป็นอรหันต์ แต่ท่านจะจบ ท่านก็ไม่ฝึกฝนพวกนี้ ที่จะมีความแข็งแรงมากกว่านี้ และเอื้อมได้เท่าที่ท่านเอื้อม ท่านก็ทำได้ เท่าที่ท่านมีบุญ บารมี

ส่วนผู้ที่จะเป็นพระโพธิสัตว์นั้น ท่านต้องพยายามสร้างความแข็งแรง ที่จะเอื้อมเอื้อ ที่จะเกื้อกูล ที่จะอนุโลม ปฏิโลมให้กว้างให้ลึก ให้ได้มาก เพื่อที่จะช่วยคนได้มากที่สุด เท่าที่จะรู้ฐานะของคน เพราะฐานะ แต่ละคนๆ จะต้องอนุโลม ไปให้เขาแต่ละฐานะมาก เพราะแต่บางที ท่านจะเล่น กับเด็กๆ เข้าไป ท่านจะคลุกคลี ท่านจะอนุโลมอย่างโน้นอย่างนี้ก็ได้ให้มากขึ้น และท่านก็ไม่ถึง อันนั้นกลืน สิ่งนั่นดึงดูดท่านไปไม่ได้ แม้ต่างจาก

ถาม : ที่นี่ก็ไม่ชัด แล้วก็เริ่มชัดในตัวเอง และวัยรุ่นเขาก็จะเช็คบิลรัก ที่เขาเป็นอยู่นี่ จะให้กำลังใจนี่ เขาจะเช็คบิลรัก นี่ได้ยังไงค่ะ

ตอบ : ก็ต้องรู้สัจจะดังที่กล่าวแล้ว เราจะต้องรู้ว่า ความจริงแล้ว เรามีความรักในทางกาม ในทาง เรื่องผู้หญิงผู้ชาย มันเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว มันไม่ทันสมัยแล้วเดี๋ยวนี้ มันล้าสมัยแล้ว เก่าจังเลย เก่าเขรอะ ไม่ใช่เก่าเอี่ยมด้วย ถ้าคนไหน หนุ่มสาวคนไหน ที่สามารถรู้ทันว่า โอย เรื่องนี้เป็นมา แต่โบร่ำโบราณ นับอายุไม่รู้ กี่หมื่น กี่แสนปีมาแล้ว มันมีมาแต่ไหนๆ เรื่องความรักเพื่อสมสู่ เพื่อกามอย่างนี้ แม้แต่เดรัจฉานนี่ มันก็มี ไม่ใช่เรื่องสูงส่ง

เพราะฉะนั้น ใครที่จะนำหน้า ใครจะทันสมัย ก็จะต้องเรียนรู้อันนี้ แล้วเลิกๆเช็คบิล แล้วเลิกไปเลย ไม่ต้องไปทำหนี้ เพื่อที่จะมาจ่ายค่าบิลนี่อีก ไม่ต้องเลย นี้คือ ผู้ที่ทันสมัยที่สุด ต้องมาเรียนรู้ ความจริง อย่างนี้ได้ ถ้าไม่เรียนรู้ความจริงอย่างนี้จริงๆ แล้วมาฝึกหัดอบรม เพื่อที่จะเลิกละ เพื่อที่จะเป็นหมดบิล หมดหนี้หมด ใครเขาจะมาทวงบิลเราอีกได้ละ ก็ผู้ใดที่ไม่พยายามปฏิบัติจริง บิลก็ยังจะตามมา คุณก็จะต้องนั่งเช็คบิลรัก อยู่อีกนานับกัปกัลป์

ถาม : ตอนพ่อท่านช่วงวัยหนุ่มสาวอะไรนี่ เมื่อตอนพ่อท่านเป็นหนุ่ม พ่อท่านมีความรัก ที่อะไร บอกให้พ่อท่านทราบว่า ตอนนั้นยังทราบไหมค่ะว่า อย่างนี้ถูก หรือไม่ถูก

ตอบ : ตอนนั้นไม่รู้หรอก เพราะว่าตอนนั้นนี่ อาตมาเอง อาตมามารู้ตอนที่ปฏิบัติธรรมมาแล้ว ก็เข้าใจแล้ว เข้าใจจิตเข้าถึงธรรมแล้ว จริงแล้วๆ ก็ล้างกิเลสแล้ว จึงมารู้ว่า อ๋อ อันนั้นที่เราเกิดมา เราเป็นอย่างนั้น ก็คือ เกิดมากับโลก แล้วก็ค่านิยมของโลก มันก็ครอบงำเรา ก็เหมือนกะคนมัวๆ เหมือนกะปิดตา เหมือนเขาเล่นลิงลมอมข้าวพอง เมื่อปิดตา ก็เป็นไปกับโลกเขา พอสติตื่น รู้ตัว ขึ้นมา เราไม่ได้เป็นคน เราถึงได้รู้ว่า อ้อ โลกมันมอมเมาเรา โลกมันทำเราให้ไปเป็นอย่างเขา มีความรู้สึก มันเป็นไปตามอารมณ์ อย่างที่เขาเอง

อาตมาถึงเป็นคนเลิก ล้างละเรื่องเหล่านี้ได้ง่าย เพราะว่าตัวเอง มันไม่ได้เป็นคนอย่างโลกๆจริง มันเป็นแต่เพียง เมื่อถูกโลกเล่นลิงลมอมข้าวพองปิดหู ปิดตา แล้วจัดสรร ให้มอมเมาไปตาม โลกียเขา พักหนึ่ง เหมือนมันเป็นจริงเหมือนกันนะ เหมือนคนเป็นจริง เหมือนฝันนา จนตื่น เป็นตัวเองจริงแล้ว ถึงได้เห็นตัวเองว่า อ้อ โลกมันนี่ มอมเมา อย่างนี้ และอาตมาก็เข้าใจอย่างนี้ว่า อ้อ อารมณ์ที่เหมือนจริง แต่เป็นความลวง ที่อาตมาพูดเมื่อกี้นี้ มันเป็นความลวงมันไม่ใช่ ความจริงหรอก แต่คนเราเนี่ย เหมือนความจริงเหลือเกิน แหม่ มันไม่จริงได้ยังไง เจ็บมันก็เจ็บ จริงๆนะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น แต่ไม่จริงหรอก มันเจ็บมาก เจ็บน้อยไม่เท่ากันหรอก

ความจริงมันไม่จริง มันเจ็บมาก เจ็บน้อย ไม่เท่ากันใช่ไหม แต่ทุกคนรู้สึกเจ็บม๊ากมาก ใครไม่เหมือนฉันๆ เอามาวัดกัน ชั่งตวงกันไม่ได้ แต่แท้จริงแล้ว ทุกคนเข้าข้างตัวเองว่า ฉันเจ็บ มากกว่าใคร อยากให้ใครเขาเห็นใจ น่า

ถาม : ขณะที่พ่อท่าน ช่วงที่เป็นวัยรุ่น มีใครมาบอกหรือไม่ว่า อย่างนั้นถูก อย่างนี้ผิด
พ่อท่าน : ไม่มีใครบอก รู้เอง เข้าใจเอง เอามาพูดต่างๆ พวกนี้ ไม่ได้เอาคำพูดของใครมาพูดเลย เอาของตัวเองหมดเลย

ถาม : อย่างงั้นพ่อท่าน มาปฏิบัติธรรมแล้ว ถึงทราบใช่ไหมค่ะ
พ่อท่าน : ใช่ พอตื่นขึ้นมา มันก็ค่อยๆ รู้ตัวๆ ก็เหมือนค่อยๆมาปฏิบัติธรรม พอปฏิบัติธรรมแล้ว ก็ค่อยรู้ ก็ค่อยๆเข้ามาในกระแสของธรรม จนกระทั่งตื่นเต็ม จนเข้ากระแสของธรรมจนเต็ม จนกระทั่ง ล้างโลกีย์ออกไปได้ ล้างพวกนี้ออกไปหมด ถึงได้รู้ตัวว่า อ้อ ไอ้อันนั้น เราก็รู้ อันนี้เราก็รู้ เรารู้อันนี้ เราถึงพูดอันนั้นถูก พูดโลกๆถูก เพราะอย่างโลกๆ เรารู้มาแล้ว ใครรู้มาทุกคนแล้วโลกๆ แต่ว่าไม่ตื่น ไม่รู้ตัวจริงๆ มันก็เลย...เหมือนลิงลมอมข้าวพองอยู่อย่างนั้น เขาจึงเรียกคนเมา พระพุทธเจ้า เรียกคนเมา พวกที่มทะ เมาอยู่กะโลกีย โลกีย์ ครอบงำอยู่ก็เมา จนกว่าจะล้างโลกีย์ ออกหมด จนกว่าจะสะอาดบริสุทธิ์ ถึงจะเรียกว่า ผู้ตื่นเต็มๆ ทุกคนยังไม่ได้ตื่น ยังอยู่ในโลกีย์ หมุนวนเวียน สะลึมสะลืออยู่

ถาม : ตอนสมัยพ่อท่านไม่มีใครบอกนะค่ะ พ่อท่านรู้ด้วยตัวของท่านเอง แต่ทุกวันนี้ วัยรุ่นทุกวันนี้ เป็นผู้รู้ มีที่ชี้แนะและบอกไว้ว่า อะไรควรไม่ควร
พ่อท่าน : ขณะนั้น ยังไม่ยอมตื่นเลย งัวเงียอยู่อย่างนั้นแหละ มันต้องมาฝึกฝนอบรม ต้องล้างจริงๆ จึงจะสะอาดบริสุทธิ์ ถึงจะตื่นเต็ม ไม่เช่นนั้น ก็ไม่ตื่น ไม่เช่นนั้น ก็ไม่สะอาด นั้นมันก็จะมีเชื้อเมา เป็นเชื้อแอลกอฮอล์ หรือ เชื้อโลกียะอยู่อย่างนั้น เมาอยู่อย่างนั้น

ถาม : พ่อท่านคิดว่า สิ่งที่เขาทำอยู่อย่างนั้น มันถูกมันจริงของเขาน่ะ เขาคิดอย่างนั้น
พ่อท่าน : ใช่ เขาหลงว่ามันจริง เขาหลง เขาเบลอ เขาว่ามันจริง ยังไม่ตื่น ละเมอ หลงว่ามันจริง เชื่อยาก

ถาม : และอะไร จะทำให้เขาเชื่อว่า ถ้ามาทำแบบนี้แล้วมันจริง
พ่อท่าน : ก็ต้องมาพิสูจน์จริ๊งจริง ให้มันถูกต้อง ให้มันล้างออกจริงๆ แล้วมันจะมี ๒ อย่าง ให้ไอ้ที่ไม่ล้างนั่น เราก็จะจำได้อยู่ ไอ้ที่ล้างออกแล้ว เออ มันจะรู้ว่าเกลี้ยง เออ มันไม่ทุกข์ มันไม่วุ่นวาย และสะอาดบริสุทธิ์กว่ากันยังไง และจะเลือกเอาอะไร คุณเป็นผู้เลือกตัดสินเอาเอง เพราะศาสนาพุทธ ไม่ได้บังคับ เมื่อทำได้จริง คุณจะเอาหรือไม่ก็ตามใจ จะกลับไปสู่โลกียะ มันง่าย จะตายไป ยิ่งทุกวันนี้ มันมีพวกมาก เข้าไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่กลับมาอยู่เดี่ยวๆ และกลับมาอยู่ทาง โลกุตระนี่ มันยาก พวกมันน้อย แรงดึงดูดมันมาก

ถาม : และเขาๆ คนที่รู้สึกอยู่กับความรักนี่ จะบอกกะเขายังไงคะ หรือ จะรอเขาให้เจ็บก่อน (เสียงหัวเราะ)
พ่อท่าน : รอให้เขาเจ็บก่อนนี่ ก็มันจะสายเกินไป บอกตั้งแต่ยังไม่เจ็บนี่ก็ได้ เราชี้ให้เขาฝึกฝน เพราะฉะนั้น มันอยู่ที่คนแหละน่ะ คนเรามันหลงระเริง อย่างที่คุณว่านี่ถูกแล้ว ระเริงหลงว่า เป็นสุขจริงๆ ไปบอกเขาไม่ค่อยรู้เราหรอก ทุกวันนี้ ที่บอกอยู่ทุกวันนี้ ไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะฉะนั้น อาศัยบุญตัวอยู่ทั้งนั้น บุญของใครของมัน นี่พอฟังออก คงพอรู้เรื่องก็ได้ และเราก็พยายาม ที่จะสร้างหมู่กลุ่ม ให้มันเป็นจริงกับเขา เอ ทำไมเขามาเป็นอย่างนี้ได้ ทุกวันนี้ อโศกมาเป็นอย่างนี้ แต่แรกๆใหม่ๆ ออกแปลก เหมือนคนบ้า เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยว่าอโศกบ้ามากเท่าไหร่แล้วนะ ก็เพราะว่า มันบ้ามากเกินไป เขาก็ไม่เชื่อว่าบ้าแล้ว แล้วมันบ้ายังไง มันบ้ามีสติ บ้ามีปัญญา บ้ามีเหตุมีผล เราทำยังงี้ เราได้แก้ไขชีวิต เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องชีวิตครอบครัว เรื่องชีวิตของการงาน เรื่องชีวิต ของอะไร ต่อมิอะไรนี่ เรากลับกลายเป็นโล้เป็นพาย เป็นเรื่องที่มีคุณค่า มีประโยชน์ สร้างสรรได้ ไม่ไปงมงาย ไม่ไปผลาญพร่า ไม่ไปเปลืองอะไรต่ออะไรต่างๆ คนที่มีปัญญาดีๆ ความเฉลียว ฉลาดดีๆ เขามองเห็น

เพราะฉะนั้น เมื่อมองเขาก็รับรองๆ เพราะฉะนั้น ก็แต่ก่อนนี้ คิดว่ามันพิลึก มันพิเรน มันบ้าๆบอๆ เดี๋ยวนี้ กลับเข้าใจได้ ไม่ใช่หรอก มันเป็นหลัก เป็นทฤษฏี เป็นเรื่องจริง ที่ไม่ใช่เรื่องง่าย ไปรักเขาไม่ตั้งใจ นั่นแหละ กิเลส มันเป็น ไปชอบเขาโดยไม่ตั้งใจนั่นแหละ มันก็กิเลสเรา มันก็เป็นอย่างนั้น ไปตาม มันเรื่องจริง ที่เราเคยมีอยู่ใน คนเรามันเป็นคนมีกิเลสมาก่อน มันไม่ใช่คนไม่มีกิเลสมาก่อน เพราะฉะนั้น ที่สอนกันว่า เด็กเกิดมาจิตบริสุทธิ์นั่น ไม่จริงหรอก มันมีกิเลสมาก่อนทั้งนั้นแหละ สัตวโลกนี่ มีกิเลสมาก่อน เกิดมามัน ก็มีกิเลส เสร็จแล้ว ถึงมาพบ สัจธรรม ที่จะล้างฆ่ากิเลสออกหมด

เพราะฉะนั้น การเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์มาก่อน แล้วมามีกิเลส ไม่ใช่ เป็นกิเลส มาก่อน จึงมาเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์นี่ มัน เป็นพระอรหันต์ได้ เพราะมามีพระพุทธเจ้า มาตรัสรู้ ล้างสิ่งเหล่านี้ออกไปได้ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้นะ ไม่ได้เป็นพระอรหันต์หรอก พระอรหันต์นี่ ไม่ได้เกิดมาก่อน และไปบอกว่าเด็กเกิดมานี่ จิตบริสุทธิ์ ไม่จริง แต่มันยังไม่ขึ้นมาทำ งาน มันยังไม่ได้ออกมาเป็นบทบาท เหมือนกะคนคนนี่มียีนอยู่พร้อม มีเชื้อยีน มีกาม มีราคะ มีการที่จะมีฮอร์โมน มีโน่นมีนี่ มีอยู่เนี่ย มีปุ่ม มีปม มีต่อม มีอะไร ต่อมิอะไร อยู่เนี่ย อยู่ในยีนๆ นี่มีนิดเดียวใช่ไหม แต่มันยังไม่โตขึ้นถึงขั้นทำงานได้ มันก็ยัง จนกว่ามันจะได้รับเหตุปัจจัย จนกระทั่ง ได้รับสารอะไรไปสังเคราะห์ โตขึ้นมาได้ที่ ไอ้นั่นก็โต ไอ้นี่ก็โต มันถึงจะมีต่อมปม อะไรมา ถึงจะออกมาทำงานมีฮอร์โมน มีโน่นมีนี่ มันถึงจะเกิดอะไรๆขึ้นมา เพราะฉะนั้น มันไม่แสดงตัวอยู่ เหมือนเด็ก มันยังไม่ทันโตอะไร เพราะจิตวิญญาณมันยังไม่ได้รับเหตุปัจจัย ก็จะไปบอก มันว่าไม่มี ไม่ได้ มันก็เหมือน ยีนของวิญญาณเหมือนกัน มันยังไม่โตพอที่จะแสดงบทบาท องค์ประากอบ ที่มันโต มาได้ขนาด มันก็จะทำงาน ถ้ามันยังไม่ได้รับเหตุปัจจัย จนกระทั่งมาได้รับความสมบูรณ์ ต่อต่อม ต่อปม ต่อองค์ประกอบ องคาพยพของมัน มันก็ยังทำงานไม่ได้

ถาม : เมื่อรัก เมื่อชอบ พลาดเข้าไปแล้วนี่ จะหยุดจะทำอะไรนี่ ก็ต้องมาเรียนรู้
ตอบ : จะต้องมาเรียนรู้ๆ มาพยายาม มาศึกษาตามธรรมะ มีวิธีการสมถะภาวนาก็ดี วิปัสสนา ภาวนาก็ดี อย่างที่เราได้ฝึกฝนกันนี่ แล้วก็ทำไปๆๆ มันก็จะได้ไป ผู้ใดมีความพากเพียรมาก มีปัญญาญาณดีๆ เฉลียวฉลาดดีๆมาก ก็ได้ไว ความอดทน ความพากเพียรดีก็ได้ไว ถ้าเผื่อว่า ไม่มีความอดทนพอ พากเพียร พยายามไม่ดีพอ ไม่เฉลียวฉลาดนัก ก็อาจจะช้า แต่ก็ได้ได้เรื่อยๆ ได้ ก็เจริญ ขึ้นไปตามความเป็นจริง

ถาม : สาววัยรุ่นเขาเรียกว่า สเป็คนี่ ทำไมคนเราถึงมีสเป็คละค่ะ
พ่อท่าน : ภาษาเขาเรียกว่าสเป็ค นั่นแหละคืออุปาทาน มันเป็นอุปาทาน มันกำหนดไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ไม่รู้เลย เออ มันกำหนดไว้ที่ใจ ที่เราเหมือนกำหนด เหมือนเป็นสเป็คเอาไว้ยังงี้ๆ เออ นาน มันดูด ปั๊บเลย เหมือนขั้วบวกขั้วลบ นี่ มันเป็นอุปาทานตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ของเธอไม่เหมือนของฉัน ของฉัน ไม่เหมือนของเธอ เออ ใช่ ถ้าเหมือนๆกัน ตาย มันจะตีกันแหลกลาญไปหมดเลยแหละนี่ ถ้ามันเหมือนกันหมด มันดีแล้ว ที่มันไม่เหมือนกัน ก็ดีแล้ว ถ้ามันเหมือนกันไปหมด ยิ่งยุ่งกันใหญ่ ไปกว่านี้เลย

ถาม : ไม่ชัด สเป็คอะไรอย่างนี้ พ่อท่าน
พ่อท่าน : ก็มาล้างความจริงนี่แหละ ล้างอุปาทาน มันไม่ใช่เรื่องจริงหรอก สเป็ค สเปิ๊คอะไร คุณก็ไปกำหนด เอาเองทั้งนั้นแน่ะ มันกำหนดเอาไว้ทั้งนั้นแน่ะ Specificial Specificial

ถาม : และคนเรานี่ สามารถมีรักได้ในหลายมิติ ในเวลาอันเดียว ได้ไหมค่ะ
พ่อท่าน : มันเป็นขั้นตอน ไม่ใช่ข้ามขั้นตอน ขั้นตอนขั้นต่ำมันก็ต้องทำขึ้นไปเรื่อยๆ มิติให้มันสูงๆ ขึ้นเรื่อยๆ

ถาม : บุคคลเนี่ย เขาทำงานเพื่อประชาชน แต่ตัวเขาก็มีลูกแต่งงาน มีครอบครัวอะไรอย่างนี้
พ่อท่าน : เรื่องเพื่อประชาชน นั่นนา ถ้าศึกษาให้จริงแล้ว นั่นนา มันจะรู้สึกว่ามันแฝง การช่วยเหลือประชาชน นั่นใครๆเขาก็รู้ว่าเป็นความดี เขาก็มาอ้าง เป็นอลังการอันหนึ่ง แต่โดยจริง เขาต้องการอะไรมากกว่า เขาต้องการได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือเป็นกาม เป็นราคะอะไร ก็แล้วแต่ เขาจะได้อันนี้ มันเป็นทำให้คนอื่นเขาเข้าใจตัวเองนี่ ผิดต่างหากเล่า เข้าใจผิดตรงที่ว่า ฉันเป็นคนดี ที่แท้จริง ทำลีลาทำท่าทาง ทำอย่างโน้นอย่างนี้ ลงทุน แหม ฉันทำเพื่อประชาชนด้วย แล้วต้องการ สิ่งแลกเปลี่ยน มันไม่ใช่ความบริสุทธิ์

ถาม : และผลงานที่เขาทำมา ระยะที่เขาใช้มา มันหลายปีมากทีเดียว งานก็ได้มาเยี่ยมๆ เขาก็ยัง ต้องการอยู่
พ่อท่าน : ถ้าไม่เรียนรู้สัจธรรมแล้ว มันจะต้องการอยู่อย่างนั้น นักหนาเข้า มันเคยได้แล้ว ไม่ได้อย่างเก่า เกิดรุนแรงเอาด้วยซ้ำไปนะ อกหักมากๆด้วย ถ้าไม่ได้อะไรอย่างนี้เป็นต้น

ถาม : หมายความว่า เราจะมีรัก มีมิติที่สูง แล้วก็ทิ้งมิติที่ต่ำกว่า ออกหมดเลยหรือค่ะ
พ่อท่าน : มันจะค่อยๆไล่ๆขึ้นไป เราจะนำ เราจะทำก็ได้ ทำอย่างนั้นก็ดีน่ะ เราจะมีมิติที่สูงๆขึ้นไป เป็นไปเพื่อการเสียสละ เพื่อการช่วยเหลือขึ้นไป ซึ่งใครๆก็เข้าใจ ที่จริงไอ้เรื่องดีอย่างนี้ อุดมการณ์ดีๆ อย่างนี้ ใครๆก็เข้าใจ มีความฉลาดหน่อยมันก็รู้ จะทำด้วยก็ได้ แต่ก็ต้องล้างกิเลส จริงๆซิ มันถึงจะได้ไป ตรงเลยว่า เออ เราได้ทำนี่ ถ้าเราทำอยู่นี่ เราช่วยเหลือมนุษย์อยู่นี่ จนชำนาญนะ เสร็จแล้วกิเลสเราก็ล้างไปด้วยๆ คือจะบอกว่า จะทำทั้ง ๒ อย่างก็ตามใจ แต่ต้อง ล้างกิเลสนี่ กิเลสที่คุณทำ ๒ อย่าง แต่คุณไม่ได้ละกิเลส มันจะไม่จริงด้วย ใช่ไหม มันยังจะมีภาวะ ซับซ้อนนะ เชิงฉลาดที่ซับซ้อนนี้ จะหลอกคนได้มาก แล้วจะหาทางเอาเปรียบ เอารัดได้มาก แต่ถ้าเผื่อว่า ล้างกิเลสไปจริงๆแล้ว มันจะเข้าไปหาสู่ความเจริญอันนี้ได้ เมื่อมันถึงขีดที่คุณเสียสละ ขนาดนี้ คุณก็ล้างกิเลสมาจริงๆ มันก็เป็นจริง ขึ้นมาหาของมันเอง

ถาม : ไม่ชัด ถ้าล้างเราจะสูงขึ้น ถ้าไม่ล้างมันจะ
พ่อท่าน : มันจะซับซ้อนเลย มันจะหาเชิงฉลาด ที่จะต้องยิ่งปกปิด จะยิ่งหาทางหลอกล่อให้คนอื่น เขาลวง เขาพรางให้เข้าใจเราผิด แต่ที่จริง ไม่ใช่ผิดไป ทางดีน่ะ ให้เข้าใจเราผิด ไปในทางเขา จะหลอกให้คนเข้าใจว่าดี แต่ที่แท้จริง มันไม่ดี มันซ้อนเชิง มันจะต้องเอาเปรียบเอารัด จะต้องให้คนนี่หลงหลง ให้เขาเข้าใจว่าเรานี่ เป็นคนดีมากๆ ขึ้นๆ เขาก็จะมีเชิงเอาเปรียบ มากขึ้นๆ ได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อะไรมาบำเรอตนมากขึ้นๆๆ เป็นจอมโจรบัณฑิตสูงขึ้น เรื่องนี้ ไม่ง่าย อาตมาพยายามอธิบายตั้งนานแล้ว จนทุกวันนี้ ก็ยังเข้าใจกันยาก ไม่รู้จะทำยังไง อาตมา ก็ยังไม่เก่ง ไม่เก่งที่จะอธิบาย ให้เขาเข้าใจยังไม่ได้

ถาม : เคยเรียน เขาบอกว่า ฝ่ายมหายาน กับฝ่ายเถรวาทนี่ เขาบอกว่า ฝ่ายเถรวาทนี่ สมบูรณ์ที่สุด เพราะว่า ไม่ต้องไปยุ่งกับใครอีกแล้ว อย่างนี้จริง หรือเปล่า

พ่อท่าน : คนพูดนั้น ยังเข้าใจแค่นั้น ไม่จริง เถรวาท ก็กำลังไปอีก โต่งฝั่งหนึ่ง มหายาน ก็ไปอีก โต่งอีกฝั่งหนึ่ง อย่างที่คุณพูดนี่ ไม่ยุ่งกะใครเลย นั่นแหละ มันไม่จริง มันไม่ใช่เรื่องของมนุษย์ ของศาสนาพุทธ มนุษย์ศาสนาพุทธ มีประโยชน์ต่อสังคม ไม่ยุ่งกะใครเลย มีประโยชน์ต่อสังคมได้ ยังไง มันสุดโต่งไปอีกด้านหนึ่ง มันเป็นอัตตาตัวตนไปเลย มันเห็นแต่ตนคนเดียว มันยิ่งมีตัวโต ใหญ่ซิ เห็นแต่ตัวตนคนเดียว มันเห็นแก่ตัวตนคนเดียว มันไม่เห็นแก่คนอื่นเลย

มหายานนี่ ก็จะทำ จะช่วยแต่คนอื่น และไม่รู้จักตัวตนของตนเอง ก็ไม่ล้างตัวตนของตนเอง เหมือนกัน มันโต่งกันไปคนละอย่าง อ้างอวดกันไปคนละอย่าง หลงผิดว่า จะช่วยแต่ผู้อื่นๆ แล้วไม่ล้างกิเลสของตน

อัตตา คือกิเลสของตน ไม่เรียนรู้กิเลสของตน จะช่วยแต่คนอื่นๆ และซับซ้อนที่อย่างอาตมา อธิบายไปแล้ว เมื่อกี้นี้ มันจะรู้สึกว่า เราจะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย์มากขึ้นๆ โดยซับซ้อน โดยความฉลาด โดยคนไม่รู้เท่าทัน ตัวเองก็ไม่รู้ตัวเอง นี่มหายาน

ส่วนเถรวาทนั้น เอาแต่ตัวตนๆๆๆ และไม่ช่วยใครๆๆ ค้านแย้งกะ มหายาน จะช่วยใครได้มากๆ เอาแต่ตัวเอง สุดโต่งไปข้างหนึ่งเลย เลยมีแต่อัตตาตัวเอง และก็ไม่รู้ตัวเองมีอัตตา ไม่มีประโยชน์ คุณค่าอะไร กะโลกเลย ที่จริงเขามีวิธีสะกดจิต เถรวาทเดี๋ยวนี่ก็ไปนั่งหลับตา สะกดจิตถึงไม่จริง

ของพระพุทธเจ้านั่น มันไม่โต่งไปทั้งอัตตาตัวตน ไม่โต่งไปที่จะไปช่วยแต่คนอื่น แต่รู้ว่า ฐานแรก จะต้องรู้จักตัดกิเลส ที่ของตนเองเสียก่อน ถ้าเราละกิเลสของตัวเอง ตัดตัวตนของตนเองออก เมื่อของตัวเองออก มันก็คือช่วยผู้อื่น เอาของตัวเองออก ยิ่งช่วยผู้อื่น เอาของเองออกมากเท่าไหร่ ยิ่งได้ช่วยผู้อื่นมาก มันสอดคล้องกัน และไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ถ้ายิ่งเอากิเลสมันออกจริงๆ มันก็ยิ่ง ไม่มีซับซ้อน ไม่เล่ห์เหลี่ยม มีแต่ความจริงใจ

ถาม : พ่อท่านเทศน์ ให้ระวังดูวิดีโอ เรื่องบทรัก บทอะไรนี่ และเราจะระวังยังไง
พ่อท่าน : โอ้โฮ มาทบถามย้อน ก็ระวังยังไง ก็ระวังเมื่อเราผัสสะดูทางตาแล้ว ก็เห็นอารมณ์ เห็นบทบาท เห็นลีลายังงี้อะไร ต่างๆนานา แม้แต่แสดง บทที่เขารักอย่างอ่อน อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดอะไรก็แล้วแต่ คุณก็ดู คุณก็ปล่อยอารมณ์เลวๆๆ เขา แหม เราดีไม่ดี ก็สมมติ ตัวเราไปด้วยซาบซึ้ง ประทับใจบทบาทนี่ แหม ยิ่งคนมีจิตใจโหยหาอาวรณ์ เราทำไม ไม่ได้เป็นอย่างเขา ไม่ได้มีอย่างเขา ก็ไปกันใหญ่ซิ ก็ระเริงไปใหญ่ ก็สั่งสมกิเลสราคะ จะเป็นยังงั้น จะเป็นยังงี้ จะอยากได้อย่างโน้น อย่างนี้มากขึ้น แต่ถ้าเรารู้เท่าทัน เข้าใจว่า เออ นี่แหละ คนเขาก็เป็นอย่างนี้ มันมีตัวที่เหนืออารมณ์ อารมณ์ของเรา เหนือ เข้าใจ ก็เข้าใจเขายังงั้น บทบาทอย่างนั้น เข้าใจเขา และเราก็ยิ่งเข้าใจเขา ถ้ายิ่งเขาแสดงบทที่หยาบลงไป มันก็ยิ่งจะรู้ว่า เออ นี่บทที่หยาบลงไป เราก็ดูเข้าใจ ถ้าวางใจได้ก็วางใจได้ ถ้าวางใจไม่ได้ มันจะรังเกียจ ผลัก มันจะผลัก ก็ผลักไว้ก่อนดีแล้ว เสียงหัวเราะ ดีกว่าไปดูดดื่ม เพราะว่ามันเป็น อารมณ์ราคะ

ถาม : พ่อท่านคะ ตอนสมัยที่ดิฉันตอนเรียนอยู่โรงเรียนนะ ค่ะ ผู้หญิงเขา ชอบไปเช่านิยาย เรื่องรัก มาอ่านนะค่ะ เขาสมมติเป็นนางเอกนะค่ะ
พ่อท่าน : ใช่ เป็นธรรมดา

ถาม : ทีนี้ จะได้ลงหนังสือ จะได้บอกเขายังไงดีละ
พ่อท่าน : จะบอกเขายังไงดี คือคำว่านางเอกนี่ เป็นคนเด่นของเรื่อง ใครก็เป็นอย่างนางเอก สุดท้าย แม้ทุกวันนี้ แม้จะเป็นนางเอก ผู้หญิงก็อยากเป็นนางเอก ชายก็อยากเป็นพระเอก แม้ที่สุดแล้ว กลายเป็น พระเอกผู้ร้าย ก็อยากจะเป็นอยู่นั้นเอง คำว่าเอก มันตัวเด่น ไม่รู้ว่าเด่นดี หรือเด่นชั่ว มันก็อยากเป็น

เพราะฉะนั้น ถ้าเด่นชั่ว เราจะต้องไปเป็นทำไม แล้วพระเอก ไม่ควรจะเรียกไอ้ที่เป็นพระเอกชั่ว เป็นพระเอกผู้ร้าย มันไม่ควรจะเรียกว่าพระเอก มันควรจะเรียกว่า ตัวร้ายที่เด่น ตัวร้ายที่หยาบ ไม่ควรเอาเป็นตัวอย่าง มันควรจะอธิบายกันอย่างนั้น ไปเรียกว่าพระเอกเสียนี่ คำว่าพระเอก ในสมัยโบราณ เขามีแต่ดีๆ ที่นี่คนมันมาเข้าใจใหม่ว่า เออ มันเป็นศิลปิน นี่มันควรจะแสดงได้ทุก บทบาท

เพราะฉะนั้น พระเอกที่เอาแต่ตัวดี ๆ แล้วเลี่ยน เราต้องแสดงบทร้าย เป็นศิลปินต้องแสดง ได้รอบตัว ก็เลยแสดงทั้งบทบาทผู้ร้ายด้วยเลย คนนั้นอยากจะเปลี่ยนรสด้วย ไอ้นี่มันแสดงบทบาท ความสามารถของมัน จะได้เป็นศิลปินใหญ่ เป็นศิลปินเอก ก็เลยเอาตัวพระเอก ที่ควรจะเป็นตัว ที่มีค่าที่ควรยกย่องไว้ ในเรื่องที่เป็นความดี เอาไปแสดงเป็นพระเอกผู้ร้ายซะ นี่ เรื่องของมันเลยวน ในสังคม มันปนเป มันไม่เข้าใจสัจธรรม ก็เลยกลายเป็นพระเอกที่ไม่น่าเอาอย่างตาม แต่เขาไม่รู้ บอกแล้วพระเอกมันตัวเด่น วัยร่งวัยรุ่นเด็กๆเล็กๆ หรือแม้ผู้ใหญ่ ไม่เข้าใจสัจธรรมอันนี้ ก็เลย ก็ขอให้ มันเป็นพระเอกก็แล้วกัน มันทำชั่วก็ทำตาม มันร้ายเอก เรียกว่าร้ายเอก ไม่ใช่พระหรอก นี่ไปอีกรอยหนึ่ง ไปด้วยกันนะนี่ นี่เอาไปได้นี่ ในนี้ ในนี่ก็มีเนื้อหา

ถาม : เป็นคำถามสุดท้าย พ่อท่านอยู่มิติไหนค่ะในความรัก
พ่อท่าน : ไม่บอก เสียงหัวเราะ

ถาม : โพธิญาณ หรือสัพพัญญู
พ่อท่าน : อาตมามีทุกมิติละ ไม่มีมิติต่ำๆ มิติที่ ๑-๒-๓ อะไร ไม่มีนะ มีมิติสูงๆ มีมีอนุโลม อยู่ทุกมิติละ แต่ไม่มีไปอนุโลมถึงขั้น ๑-๒-๓ ไม่มีก็ไม่ทำอยู่แล้ว ไม่มีอยู่แล้ว เห็นๆอยู่แล้ว แม้ญาติปริวัฏฏัง เนี่ย

มิติที่ ๑ กามนิยมใช่ไหม อย่างนี้ก็เห็นอยู่แล้ว อาตมาไม่ทำ ต่อปิตะ ปีตา ครอบครัวก็ไม่ทำ ญาติปริวัฏฏัง ก็ไม่ได้มีกันมากมาย ก็มีอยู่อย่างคล้ายๆ คล้ายๆกัน ก็มีสังคมมีชาตินิยม มีเทวนิยม มีอะไรต่ออะไรไป ในมิติพวกนี้ ก็อนุโลมมาบ้าง ไล่กันไปต่อก็ได้

ถาม : จะมีอะไรเป็นพรปีใหม่หรือเปล่า หรือฝากคำพูดอะไรที่ให้หนุ่มสาว วัยรุ่นนะคะ
พ่อท่าน : หนุ่มสาวที่แสวงหาสัจธรรม เป็นหนุ่มสาวที่ฉลาดทันสมัย


ถอดโดย ยงยุทธ์ ใจคุณ ๒๘ ธ.ค.๓๒
ตรวจทาน ๑ โดย สม. ปราณี ๒๙ ธ.ค.๓๒
พิมพ์โดย สม. นัยนา ๔ ม.ค.๓๓
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ป
น้ำใจสัมภาษณ์ / FILE:0458A.TAP