ฤทธิ์ของศาสนา
แสดงโดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๒
ณ ลานนาอโศก จังหวัดเชียงใหม่

เจริญอภัย...ท่านผู้ยังใส่ใจในพระธรรมอยู่ทั้งหลาย

พวกชาวอโศกนี่ขณะนี้กำลังถูกคั้นน่ะ คั้นเอาคนที่แน่ๆ คนใหม่ก็มาบ้างน่ะ มาก็ไม่รู้ว่า จะคั้นเข้าหรือไม่เข้า ส่วนคนที่เก่าๆก็ถูกคั้นหลุดๆร่วงๆออกไป บ้าง นี่เป็นธรรมชาติของมันน่ะ เพราะว่าศาสนานี่มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นเนื้อแท้ที่ มันทวนกระแส ศาสนาพุทธ อาตมาเทศน์แล้ว ตั้งแต่คราวที่แล้วน่ะ ที่เทศน์ก่อนมาถึง วันตั้งแต่วันที่ ๘ โน่นน่ะ ได้เทศน์แล้ว พยายามที่จะชี้บอก ให้เห็นว่าศาสนา พุทธน่ะเป็นลักษณะอย่างไรแท้ๆ โลกของเรานี่ มันมีศาสนาสากลนี่ศาสนาหนึ่ง ไม่ว่าจะชื่อคริสต์ อิสลาม จะชื่อพุทธ ชื่อซิกส์...ชื่ออะไรก็ตามแต่ มันมีศาสนาสากลก็คือ ศาสนาที่เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่เรียกว่าศาสนาหรอก แต่มันเป็นของจริง มันเหมือนศาสนา ทุกคนมีลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นพระเจ้า จะต้องแสวงหา จะต้องแย่งชิง จะต้องนับถือบูชา มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน มีฤทธิ์มีเดช มีฤทธิ์มแรงเหลือเกิน แต่เราไม่รู้ตัวกัน

ส่วนศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาโลกุตระ เป็นศาสนาที่อยู่เหนือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขจริงๆ เป็นเนื้อแท้ของพุทธ โลกุตระนี่คือ เหนือโลกธรรม ไม่โลภในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ปฏิบัติได้มรรค ได้ผลแท้ๆ ยิ่งละหน่ายจางคลายออกจากลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขจริงๆเลย จะมี สภาพสัจธรรม...มีสภาพความเป็นจริง ไม่หลงใหลได้ปลื้มจริงๆ เป็นคนสร้างสรร เสียสละ ขยันอยู่ในสังคมอย่างแน่แท้ เพราะฉะนั้นมันยากคนจะมาปฏิบัติมาปฏิบัติ ธรรมะแท้ๆ ของพุทธนี่...ยาก อาตมาแน่ใจว่าอาตมานำพาศาสนาพุทธในสายอโศก ของเรานี่ นำพาไปไป ในสภาพที่ถูกต้องจริงจัง ว่าเราจะปฏิบัติตนให้ลดละหน่ายคลาย ในโลภโกรธหลง หรือว่า สภาพที่เป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุขนั่นแหละน่ะ อาตมาพยายามทำจริงๆแล้วก็เห็นผลจริงๆ ฉะนั้น ผู้ใดที่จะมีบุญบารมี ที่จะมีความประทับใจความมั่นใจ ความยืนหยัดไม่หลุดไม่ร่วง ออกไปจากอโศกได้นี่ จะต้องเป็นคนที่มี...มีของจริง มีศรัทธาอย่างเพียงพอ มีมรรคมีผลที่แท้ ถ้ามี มรรคมีผลที่แท้แล้ว ก็มันจะมีศรัทธาเท่านั้น มันจะมีอื่นๆที่เป็นอินทรีย์พละที่แท้จริง ของเราด้วยน่ะ มันเกิดจาก จิตวิญญาณ จิตวิญญาณมันได้รับการบรรลุ จิตวิญญาณ มันเข้าถึง เข้าถึง

อาตมาก็เทศน์แล้วคราวที่แล้ว ยืนยันย้ำให้เห็นว่า คำ...ความว่าเข้าถึงน่ะ มันเข้าถึงอย่างไรกันแท้ๆ มันมีสภาพ ความเป็นได้ตัวเรานี่ เข้าถึงคุณธรรมของพุทธธรรมหรือพุทธศาสตร์ มันเข้าถึงจริงๆ มันเข้าถึงเพราะว่า จิตวิญญาณเราลดโลภโกรธหลง มีญาณปัญญารู้เท่าทัน ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุขจริงๆ เราก็เลิกออกไปเป็นโลกียสุขนั่นแหละ เลิกโลกียสุขด้วย เลิกสุขด้วย เลิกสุขด้วย ไอ้โลกียสุขนี่แหละ เป็นต้นเหตุของทุกข์ไม่ใช่อื่นหรอก มันหลงว่า มันเอร็ดอร่อย มันหลงว่า... เป็นอัสสาทะ เป็นรสอร่อยของโลก มันอร่อยมันเป็นสุขว่าอย่างนั้น ที่จริงมันหลอก มันเป็นสุขัลลิกะ มันเป็นสภาพหลอกๆลวงๆคนน่ะ

อาตมาพยายามแยกวิเคราะห์ส่วนสิ่งที่มันจะเอามาพิสูจน์ได้ ตั้งแต่แยกเป็นอบายมุข เป็นเรื่องแรก ที่สุดน่ะ เป็นเรื่องที่พอรู้กันได้ว่ามันพาเสื่อมพาต่ำ พาไม่เจริญนะชีวิตเป็นทุกข์...เป็นทาส แล้วก็ลอง มาเลิกตั้งแต่ อบายมุขดูซิ พอเลิก ไปปฏิบัติจริงๆมันเข้าถึงจริงนี่นะมันจะเลิก จิตใจมันจะรู้สึกเอง อารมณ์ ของจิตที่มันอยู่เหนือ หรืออารมณ์ของจิตที่มันบรรลุธรรมนี่มันจะเป็นยังไง เรา จะรู้ของเรา เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ มันจะรู้จริงๆมันจะ...อ๋อ.แต่ก่อนนี้ เรารู้สึกอร่อยกับมันนะ เป็นทาสมันจริงๆ อดไม่ได้ ทนไม่ได้ จะต้องเสพย์ จะต้องมีมาให้แก่ชีวิต ดูมันเป็นสุข เมื่อเป็นความสุข ความสบายอะไรของเราก็แล้วแต่ พอปฏิบัติแล้วมันได้จริงๆ เข้าถึงจริงๆนี่ มันจะเห็นเลย อ๋อ.มันลด ละจางคลายเป็นอย่างนี้ มันอยู่เหนือเป็นอย่างนี้ ยิ่งลดละจางคลายไป ก็ช่างหมดเลย จิตวิญญาณมันไม่เอร็ดอร่อยอีกแล้ว จิตวิญญาณมันไม่ต้องอยาก ไม่ต้องอยากได้ อยากมีอยากเป็น ไม่ต้องอยากเสพย์ ไอ้รสอร่อยอัสสาทะที่ว่านั่น...หายไปเลย มาแตะต้อง มาสัมผัสเกี่ยวข้องกันอีกก็เฉยๆน่ะ จะเป็นของผู้หญิงของผู้ชายก็ตามแต่ ที่ไปหลงใหลได้ปลื้มอยู่ ว่ามันเป็นของน่าได้น่ามี ถ้าได้สัมผัสแตะต้องทางตาหูจมูก ลิ้นกายใจ อย่างไรแล้วล่ะก็ ก็มันรู้สึก มันมีชีวิตชีวา มันเอร็ดอร่อย มันเป็นรสเป็นสุข เป็นโลกียสุขนั่นแหละ พอมาหัดมาฝึกมา เลิกได้จริงๆ แล้ว คุณจะรู้เอง แต่ละคนนี่ฝึกหัดทางอโศกนี่ อาตมายืนยันให้พิสูจน์จริงๆ แล้วจะรู้ว่า มันเป็นความจริงอย่างไร สัจธรรมเรียกว่าความจริงนี่..อ๋อ.ความจริงการละหน่ายคลายเป็นอย่างนี้ ความจริงการถอดถอนจิตวิญญาณของเรา มันหมดรสของโลกียะ เป็นโลกุตระ อ๋อ.มันเป็นอย่างนี้ เอง มันอยู่เหนือมันจริงๆ แล้วรสที่เขาอร่อย เราไม่อร่อย ที่จริงแต่ก่อนเราก็เคยอร่อย แต่ตอนหลังนี่ เราไม่อร่อย...เฉยๆ เรียกว่าอทุกขมสุข เรียกว่าอุเบกขา มันเฉยๆ...ไม่ต้องเป็นทาสมันอีก ไม่ต้องได้ ต้องมี ต้องเป็น ก็สบายน่ะ ไม่ต้องเดือดร้อนเป็นทาส พอเรามาปฏิบัติจริงลดละลงไป ได้มากอย่าง มากอย่างเข้า เราก็จะรู้ว่าอ๋อ.ชีวิตเมื่อเราลดละอย่างนี้ได้แล้ว หลุดพ้น เรียกว่าหลุดพ้นจากโลก หรือว่าหลุดพ้นจากโลกียะ หลุดพ้นจากวัฏสงสารมานี่ มันจะทำให้เราอยู่ดียังไง เศรษฐกิจจะดี ชีวิตจะดีน่ะ ความเป็นอยู่อย่างสบายเบาง่าย โดยเฉพาะ พุทธนี่นอกจากหลุดพ้น ไม่ใช่หลุดพ้น อย่างฤาษี หลุดพ้นแล้ว เวลาเราก็ได้คืนมา แรงงานเราได้คืนมา ทุนรอนที่ต้อง ไปจับจ่าย ในรสอร่อยต่างๆ เหล่านั้น หรือโลกียะต่างๆ เราก็ได้คืนมาอีก ได้คืนมา แล้วเราก็เอาไปผัน... ผันเอาเวลาไปสร้างสรรค์สิ่งอื่น เป็นคนขยันหมั่นเพียร ทุนรอนก็เอาไปลงทุน ไปทำในสิ่งที่ เป็นคุณค่าประโยชน์ แรงงานที่มีแรงงานทางฝีมือ ทางสมองก็แล้วแต่ เป็นความรู้ เอาไปใช้ เอาไปประยุกต์ เอาไปทำสิ่งที่เป็นคุณค่าประโยชน์ ชีวิตของเราก็จะดีขึ้น เศรษฐกิจจะดีขึ้น ประโยชน์คุณค่าของเรา ก็จะมีมากขึ้นน่ะ ครอบครัวที่เคยยากเคยจน ก็ไม่ยากไม่จนขึ้นมาได้ นอกจาก ไม่ยากไม่จนแล้วก็ แม้เราจะกินน้อยใช้น้อยลง แจกจ่ายทำบุญทำทานเพิ่มขึ้น เราก็ยังอยู่ได้อีก อย่างนี้เป็นต้น นี่เราได้มาพิสูจน์กันจริงๆแล้วน่ะ...ชีวิตของ เรามีบุญมีทาน เราจะรู้ความจริงขึ้นว่า บุญคืออะไร บาปคืออะไร การเป็นหนี้เป็นสิน แต่ก่อนเคยเข้าใจผิด นึกว่า ไปโลภโมโทสันเขา มาได้มากๆ นึกว่าเรารวย นึกว่าเรามี เป็นคนมีบุญ ที่ไหนได้ล่ะ คนเป็นคนมีบาป เพราะไปเอาเปรียบ เอารัดเขามา ไปล่าไปโลภ ไปเอาเปรียบเอารัดเขา อะไรต่ออะไรมา ต่างๆ อาตมาก็เคยพูดมามากแล้ว ไม่ต้องพูดซ้ำซากกันวันนี้นะ แล้วเราก็ได้เข้าใจใหม่ เข้าใจอย่างถูกต้อง แต่ก่อนนี้ มันหลงผิดจริงๆ มันไม่เข้าใจสัจจะอย่างนี้ อย่างนี้เป็นต้น แล้วชีวิตของเราก็อยู่ได้น่ะ ลดความโลภลงก็ตาม ไม่สะสมกอบโกย ไม่เอาเปรียบเอารัดก็ตาม เราก็อยู่ได้ กินน้อยใช้น้อยลง ก็ไม่ได้หมายความว่า ชีวิตสุขภาพร่างกายจะเสียหาย กลับดีขึ้นเสียด้วยซ้ำ ชีวิตสุขภาพ ร่างกายก็ดีขึ้น จิตใจก็ดีขึ้น ความเป็นอยู่ดีขึ้นเป็นสุข ชนิดเรียกว่า เป็นสุขพิเศษ เรียกว่า วูปสโมสุข ไม่ใช่สุขเพราะบำเรอน่ะ อย่างโลกียสุขนั่น มันอยากได้อะไร มันได้มาสมใจ มันก็เป็นสุข มันบำเรอตน ไอ้นี่สุขอย่างสงบ สงบจากกิเลสที่จะต้องไปล่า ไปต้องการแสวงหา แล้วก็ได้มาบำเรอ ก็เป็นสุข ไม่ต้องแล้ว สุขเพราะมันสงบจากกิเลส ไม่ต้องอยากได้อีกเลย ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องบำเรอ ว่างๆ สุขเพราะมันว่างลงแล้ว มันเฉยลงได้ มันสงบจริงๆ สงบ ก็ไม่ใช่นั่งเป็นเบื้อ สงบก็คือนิ่ง...เงียบ... อาตมาเทศน์อยู่ที่กรุงเทพฯ ตอนนี้เทศน์เรื่องสงบ สงบมีสงบเงียบ สงบเสงี่ยม สงบฤาษี แล้วก็สงบพุทธ มี ๔ สงบด้วยกัน ถ้าทำ ๔ สงบนี่ได้สมดุลย์ ได้ขนาด ได้รูปเรื่องของมันแล้ว มันจะเข้า จะเป็นสันติภาพ หรือสงบเรียบร้อย สันติภาพนี่คือ ความสงบเรียบร้อย สงบเรียบร้อยนี่ ไม่ได้หมายความว่า หรือสันติภาพนี่ ก็ไม่ได้หมายความว่า มานั่งนิ่งๆ พวกสงบนี่นิ่งน่ะ สงบฤาษีนี่นะ หยุด ปากก็ไม่พูด ตาก็ไม่ลืมเอา ลืมไม่ค่อยขึ้นน่ะ หูก็ดับด้วยนะดับหู ไม่ให้ได้ยินเสียงอะไร... เขาว่าสงบนั่นน่ะ ไปนั่งสะกดจิตทำ ฌานทำสมาธิอะไร แล้วก็กลายเป็นคน ความรู้ความสามารถก็เรื้อลืมๆ หายๆหดๆ ไปหมด เป็นคนไม่มีคุณค่า ทำอะไรก็ไม่ทำ ได้แต่นั่งก้นจะงอกรากไปโน่นแหละ เสร็จแล้ว เขาก็ว่านั่นแหละ คือนิโรธ คือทางนิพพาน ซึ่งมันผิดศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธนั้น เป็นศาสนามรรคองค์ ๘ มีการงาน คิดก็เป็นสัมมา พูดก็เป็นสัมมา การงานการกระทำอะไรก็เป็นสัมมา อาชีวะอาชีพก็เป็นสัมมา ด้วยญาณปัญญาที่รู้ สร้างสรร แล้วเสียสละด้วย ไม่ไปเอาเปรียบเอารัด มีแต่เป็นบุญ ได้เสียสละ ก็ได้บุญอยู่เรื่อย แล้ว...ชีวิตของเราก็อยู่...อยู่ได้น่ะ

อาตมาพยายามที่จะชี้ให้เห็นชัดๆไอ้สงบฤาษีนี่ มันต่างกันกับสงบพุทธ สงบฤาษีนี่ มันค่อนไปในทาง สงบเงียบ คำว่าสงบเสงี่ยม ก็ไม่สงบเสงี่ยม ด้วย...สงบ...สงบต้วมเตี้ยม มันไม่เสงี่ยม สงบเสงี่ยม นี่ มันได้สภาพที่ดีนะ สงบต้วมเตี้ยม มันอ่อนเกินไป สงบเป็นยังไงล่ะ สงบต้วมเตี้ยม เฉื่อยๆ สงบซึมๆ ค่อนไปในทางโน้นล่ะ สงบฤาษีนี่ ส่วนสงบเสงี่ยมของพุทธนี่ มีความสุภาพ เรียบร้อย คล่องแคล่ว ยิ่งสงบเท่าไหร่ ยิ่งแคล่วคล่อง ยิ่งสงบเท่าไหร่ แหม.ยิ่งรอบจัด แต่ไม่ใช่รอบจัดภาษาสะแลงนะ เป็นพวกโกงๆกินๆ เป็นพวกอะไร ไม่ใช่ คือเร็ว คล่อง แล้วงานการดี เป็นการงานที่มีความสามารถ ชำนาญ คล่องแคล่ว คิดก็ได้เร็ว ปฏิภาณไวน่ะ สร้างสรร ก็มีฝีมือเรียบร้อย สุภาพแข็งแรง ไม่ใช่สุภาพแบบอ่อนแอต้วมเตี้ยม ปวกเปียก ไม่ใช่ แข็งแรง แล้วทำ...ไม่ปะทะนี่ ไม่ทำลายโน่น ไม่ทำลายนี่ สุขุมประณีตได้สัดได้ส่วน ได้ความงดงาม หรือแม้ลีลา พฤติกรรมกิริยา สงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่ใช่ว่านั่งนิ่งๆ ทำสร้างสรรพูดก็พูด..ทำ... กายกรรม วจีกรรม อะไรก็มีทั้งนั้น อาตมายกตัวอย่าง แล้วเปรียบเทียบให้เห็น แม้กระทั่ง มันลึกซึ้ง ไปถึงขนาดว่า อาตมายกตัวเองเป็นหลัก ที่จริงน่ะพูดไปแล้ว มันก็ชมตัวเอง แต่อาตมาก็ยืนยันว่า อย่างอาตมานี่ สงบเสงี่ยมที่สุด แต่พูดเสียงดังนี่ สงบเสงี่ยม พูดเป็นขวานผ่า สงบเสงี่ยม ถูกต้องตามสมัย สมัยนี้มาพูด... อ้อๆแอ้ๆ ว่าสงบเสงี่ยม ไอ้นั่น มัน สงบ จะตาย สงบ...กำลังสอง กำลังจะไปถึง... หลุมฝังศพน่ะ สงบจะไปถึง หลุมฝังศพ มันไม่มีฤทธิ์ สมัยนี้..อาตมาอธิบาย พิสดารไว้หลายม้วนนะ เรื่องสงบ สงบเงียบ สงบเสงี่ยม สงบฤาษี สงบพุทธนี่ อาตมาอธิบายไว้ หลายม้วน วันนี้ ก็คงไม่อธิบายซ้ำซากอะไร หลายม้วนนัก..หลายยาวนักหรอก เพราะว่าเวลามัน น้อยแล้วน่ะ ก็ไปตามติดตามเปิดฟังพวกโน้นก็แล้วกันน่ะ อาตมาขอผ่าน

สรุปง่ายๆ ก็ให้เห็นว่าสงบเงียบนี่เราก็ต้องใช้ เราก็ต้องรู้เหมือนกันว่า เรานี่เป็นพวกเงียบดีนะ แต่ไม่ใช่เงียบใบ้ ไม่ใช่เอาแต่นิ่ง ไม่รู้จักพูด พูดไม่เป็นหรือว่าพยายามที่จะไม่พูด ไม่ใช่ ไม่ใช่พยายามที่จะไม่พูด แต่เราพูดอย่างมีปัญญา พูดอย่างรู้กาละเวลา ไม่พูดสอดพูดสวน ไม่พูดแซง ไม่พูดในที่ไม่ถูกกาลเทศะ พูดมีสัมมาคารวะ พูด...ชัดเจน พูดแข็งแรง พูดมีเนื้อหา สาระ พูดอะไรก็เป็นโล้เป็นพาย พูดเป็นธรรม เรียกว่าเงียบเหมือนกัน แต่ไม่ใช่เงียบใบ้ ไม่ใช่เงียบนิ่ง ไม่ใช่เงียบตาย ไม่ใช่เงียบหยุดพาซื่อน่ะ แต่เงียบอย่างพวกเรานี่ ได้จังหวะเวลา ต้องการเงียบสนิท ไม่ได้เสียงอะไรเลย ไม่มีเสียงอะไรเลย ก็ทำได้น่ะ เรียกว่าเงียบที่ดี ถ้าเงียบพาซื่อแล้ว มันเงียบเกินไป มันสุดโต่งเลยเถิด สงบเสงี่ยมก็บอกแล้วว่า มันไม่ใช่เสงี่ยม มันกลาย เป็นต้วมเตี้ยม อ้อนแอ้น กลายเป็นอะไรล่ะ ประเภทที่คนอ่อนแออะไรไปอย่างนั้น เสงี่ยมไปในทางมัน...อ่อนไป เสงี่ยมต้องแข็งแรง... เสงี่ยมมีสภาพที่มันมีคุณค่า มีประโยชน์ มีความพรักพร้อม ได้สัดได้ส่วน เสงี่ยมเรียบร้อยน่ะ เราก็ต้องรู้ความหมายพวกนี้ แล้วก็ต้องจัดให้ได้ถูกสภาพด้วย แล้วยิ่งประกอบ กับองค์ประกอบ ในกาละเวลา ในชุมชน ในบางหน้าที่ บางเวลา บางโอกาส ควรทำขนาดไหน อย่างโน้นอย่างนี้ รู้โอกาส รู้จังหวะ มีมารยาทสังคม...สมบูรณ์ เรียกว่าผู้สงบเสงี่ยมที่ดี คุณลักษณะเหล่านี้แหละ รวมลงแล้วเป็นสงบพุทธ ส่วนสงบฤาษีนั้น เป็นสงบที่เชยแหลกเลย เก่าเลย เก่าไม่เอี่ยมด้วย เก่าคร่ำคร่าด้วย เก่าเขรอะ...ไม่ใช่เก่าเอี่ยมน่ะ เก่าเขรอะเลย ซึ่งมันโบร้าณ โบราณ แล้วมันไม่ได้ทันสมัยอะไร แล้วมันไม่ได้คุณค่า ไม่ได้ประโยชน์ แล้วเข้าใจผิดด้วย ไปเป็นสงบนิ่ง อย่างที่กล่าวแล้ว สงบเงียบสงบอยู่เฉื่อย เฉย...จะทำอะไรออกมา ก็ทำเด๋อๆ อย่าง... ยกตัวอย่างพระป่าที่บอกว่า เข้าใจศาสนาพุทธผิดน่ะ ไปอยู่ป่าช้า ไปอยู่ในป่า ในเขา ในถ้ำอะไร กลายเป็นคนเชยๆ จะทำอะไรออกมา กลายเป็นเดรัจฉานวิชาไปอีก เป็นพระของพุทธนี่แหละ ไอ้ไม่ ทำก็นั่งเงียบ ไม่รับแขก...ไม่รับมันละไม่รู้เรื่อง ใครจะพูดอะไรในโลกของเขา ไม่รู้เรื่อง อยู่ในโลกของตัวเอง อยู่ในภพของตัวเอง เข้าใจแต่ว่าอย่างนี้วิเศษ ฉันจะทำจิตของฉันสงบ ฉันทำจิตของฉัน สะกดจิตไว้ได้ ไม่ยุ่งกับใคร ใครจะว่ายังไงฉันเฉย ไม่กระเทือนอะไรเลย ไม่หวั่นไหวอะไร... เรื่อย...น่ะ มักน้อยดีเหมือนกันนะ ฤาษีนี่ มักน้อย สันโดษ มักน้อย สันโดษ ถึงขนาด...พวกลัทธิ พวก สงบ ฤาษี เลยเถิดนี่...พวกศาสนาเชน ศาสนาพระมหาวีระอย่างนี้ มักน้อยจนขนาดผ้าไม่ต้องนุ่งน่ะ ไม่นุ่งผ้ากันเลย เป็นพวกทิฆัมพร นุ่งลมห่มฟ้าน่ะ เดี๋ยวนี้ ก็ยังมีอยู่..อินเดีย วัดเขามี...นุ่งลมห่มฟ้า เขายังเคยถ่ายวิดีโอมาดูเลย ไปถึงก็ไปคุยกับเขาเถอะ พวกนี้ พวกผู้หญิงนี่ ก็ค่อยเข้าหน้ากันยากหน่อย เหมือนกันนะ มันอายเขาน่ะ เขามันเดินเปลือย ธรรมดา... แต่เขาโชว์ให้ดูด้วยนะ มีโยคะ แหม ทำดู โชว์ให้ดูด้วย จะทำอะไร มีถือไม้ปัด ้แมลงอันหนึ่ง ไม่นุ่งห่มอะไรทั้งนั้นแหละน่ะ นั่นน่ะ เขามักน้อยยิ่งกว่าพุทธอีกซ้ำไป เรียกว่าไม่รู้ สาระ ไม่รู้สังคม ไม่รู้กาลเวลา ไม่รู้บริษัท ไม่รู้อะไรล่ะ ไม่รู้ทั้งนั้น แบบนี้มันไม่ได้ประโยชน์สูงน่ะ ของเรานี่ นุ่งห่มพอสมควร มักน้อยเหมือนกัน เสื้อผ้าหน้าแพร เราก็ห่ม ก็ใช้ก็สอย แต่ว่าไม่เฟ้อ ไม่หลงไปตามโลก มักน้อย น้อยเหมือนกัน อย่างเป็นตัวอย่าง อย่างเป็นนักบวชของพระพุทธเจ้านี่ นุ่งห่ม แต่นุ่งห่มผ้าน้อยผืน ไม่ใช่วันพีช ทูว์พีชนะ น้อยผืนนะ นุ่งห่มผ้า ๓ ผืน ผ้าอย่างน้อยก็แค่นี้ ฯลฯ

เราเข้าใจเสียว่า เราเอง เราไม่ได้ไปฟุ่มเฟือยไปเห่ออะไรกับสังคมหรอกน่ะ เราไม่ไปแก่งแย่ง แข่งขัน อะไรใคร ไปอวดไปอ้างไปอะไร ไม่ต้อง ศึกษาดีๆนะ มันมีเยอะ ศาสนาพระพุทธเจ้านี่ สอนเอาไว้ ลึกซึ้ง สอนให้คนอยู่สบาย สอนให้คนประเสริฐ ไม่ต้องแย่งชิง ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย ผลาญพร่าทำลาย มีแต่เรื่องของบุญของกุศล มีแต่เรื่องของ ความอุดมสมบูรณ์ เราใช้น้อย ไม่ได้หมายความว่า เราไม่อุดมสมบูรณ์นะ อาตมานุ่งผ้าน้อยผืน ใช้ผ้าไม่กี่ชิ้น ไม่กี่ชุด ไม่ได้หมายความว่า อาตมาจนนะ พอเราสันโดษ สันโดษ นี่แปลว่า ใจพอ พอ มีอีกเท่าไหร่ๆ เราก็ไม่เอา ไม่ต้องมาฟุ่มเฟือย ผลาญพร่า ของมันก็เหลือ ของมันก็แจกจ่าย ถึงมือกันใช่ไหม คนก็ได้รับกันถ้วนทั่ว ทุกวันนี้กักเก็บกัน กักตุนกัน สะสมกัน สอนกันไปในทิศทางว่า ผู้หญิงนี่ ต้องมีชุดเยอะๆ นั่นล่ะเก๋ ไปคุยที่ไหนก็ดังที่นั่น เสื้อผ้าฉันมีพันชุด แหม เก๋ใหญ่ เสื้อชุดนี้ ตัดมาใส่ทีเดียว แล้วแขวนทิ้งไว้ แฮ่ะๆ ฉลาดตายละ ขืนไปใส่ซ้ำ ประเดี๋ยวโดนขายหน้าน่ะ สังคมเขาว่าอย่างนั้น ชั้นหนึ่ง มันต้องชุดนี้ใส่ไป งานต้องงานเดียว ใช้ครั้งเดียว มันถึงจะแน่จริง ไม่รู้ว่าฉลาดหรือโง่ คุณว่าฉลาดหรือโง่ โง่ตายเลย แล้วชุดแพงๆ แข่งกันด้วยนะ แล้วใส่มันทีเดียว อย่างนี้

อาตมาพูดซ้ำพูดซาก มันหนำใจ ไอ้เรื่องพวกนี้ มันเคยโง่มาแล้ว หลายคนก็เคยเป็นมาบ้าง โอ๋ย ทำเป็นอาย ไปใส่ซ้ำเดี๋ยวคนเขามอง อู๊ย ชุดนี้จำได้ งานโน้นก็ใส่ แหม อาย ปัดโธ่เอ๊ย ไปอายทำไม เสื้อเรา ยิ่งซื้อชุดชุดมาแพงๆ ยังงี้ ทำเป็น แหม อย่างนี้มันมันเด่น จิตวิทยาทางโลกมัน มันหลอก มันเบ่ง ทำเป็นให้ให้เบ่ง ฉันรวย ซื้อชุดนี่สั่งมางานนี้ ฉันไม่ใส่ซ้ำ แล้วชุดแพงๆ เท่าไหร่ ก็ชั่งมัน ฉิบหายได้ นี่แหละใหญ่ เปลืองได้เท่าไหร่ ได้ใหญ่ มันหนำใจจริงๆนะ มันยอดโง่จริงๆเลย เกิดมาเป็นคนนี่ มันให้เขามอมเมา ได้โง่ๆอย่างนี้ นี่โลกเขาเป็นอย่างนั้น แต่ของเรานี่ ไม่หรอก น่ะสบาย เรารู้สาระของมัน เราก็ต้องใช้ อะไรก็แล้วแต่ อาตมายกเป็นตัวอย่างได้แค่นี้ ก็รู้กัน เมื่อเรามาฝึกหัด ประพฤติแล้ว เราจะทำประโยชน์ เราพอนี่ นุ่งห่มเราก็พอใช้พอสอย กินอยู่ เราก็พอกิน พออยู่ เสื้อผ้าหน้าแพร ที่อยู่อาศัย พักที่พักที่นอนอะไรเขา มักน้อย สันโดษ อะไรตามหลักตามเกณฑ์ ไม่ได้ทรมานอะไรตัวเอง มันทรมานเพราะ กิเลสในตัว ถ้าเข้าใจแล้ว มันไม่ทรมาน เมื่อไม่ทรมานแล้ว เราก็สบายน่ะ เสร็จแล้ว เราก็ช่วยเหลือสังคม ทุกวันนี้ มันมีแต่แนวโน้ม ที่มันสอนกันไปในทิศทางที่ อาตมากล่าวนี่ มันก็เลย ไม่เป็นสุข ทรมาน เป็นทุกข์เดือดร้อน อะไรไป ต่างๆ นานาสารพัด

เพราะฉะนั้น คนเรามันทวนกระแส จิตใจมันเคยหลงไปตามโลกียะ มันก็เลยไม่ได้เรื่องได้ราว พอเรามาปฏิบัติประพฤติเข้า มันก็คัดเลือก เอาไปเอามาตอนนี้ก็คั้นยิ่งมีเหตุการณ์ มีเรื่องมีราว แหม ยิ่งตีนี่นะ อโศกนี่ ยิ่งตียิ่งโต ไอ้โตนี่ ไม่ใช่โตตัวโตนะ มันมีเหมือนกันตัวโตก็มีได้ แต่ตอนนี้ อาตมา ยังไม่เห็นว่า มันตัวโตน่ะ อโศกนี่ รู้สึกจะพร่องลงบ้าง แต่คนมาใหม่มีมาดูเหมือนกัน คนเก่าๆ นี่ เป็นพวกที่รู้สึกว่า เอ้ ชักจะไม่เข้าท่านะ ไม่กล้าจะสู้กับสังคมเขา เขาชักจะเอาหนัก สังคมเขา จะเอาหนัก เขาจะปราบให้เกลี้ยง... เขาจะเอาลงให้เกลี้ยง คนอยู่ ก็จะต้อง แข็งแรงเหมือนกันนะ ต้องกล้าหาญ องอาจ แกล้วกล้าจริงๆ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว โอ๊...เหมือนกับ ถูกเขากล่าวประนาม ต่างๆนานา เหมือนกับพวกเรานี่ เป็นพวกที่น่าเกลียดน่าชัง เป็นพวกบาป เป็นพวกที่เป็นตัวร้าย ของสังคม

เพราะฉะนั้น ถ้าปัญญาไม่เท่าทัน ปัญญาไม่เพียงพอก็เชื่อ เชื่อเขา เชื่อว่าอโศกนี่ เป็นพวก ทำลายสังคม เป็นพวกไม่มีคุณค่า เป็นพวกมีความผิดน่ะ เป็นพวกมีความผิดจริงๆ เป็นพวกที่มา ทำลายประเทศชาติ มาทำลายประชาชน มาทำให้มนุษยชาตินี่ เสียหาย อาตมานี่ จะโง่ หรือฉลาดก็แล้วแต่ อาตมาว่าอาตมา ขอยืนยันเท่าที่อาตมามีปัญญาว่า อาตมาไม่ได้พาทำอะไรโง่ๆ อาตมาว่า อาตมาฉลาด ใครไม่ชม อาตมาต้องชมตัวเอง อาตมาฉลาด ฉลาดอย่างพระพุทธเจ้าพา ฉลาด อย่างพระพุทธเจ้าพาฉลาด ต้องย้ำตรงนี้ ฉลาดที่เรามีน้อย มักน้อย สันโดษ อาตมาจะมี เสื้อผ้าหน้าแพรมากกว่านี้ก็ได้ จะมีเข้าของ มีบ้านมีเรือน มีอะไรต่อ อะไรต่างๆนานา ไปหาเงิน แข่งกัน อาตมาก็ว่าหาไหว อาตมาว่าอาตมาไม่ได้โง่เง่า จนกระทั่งหาเงินหาทองไม่ได้ ไม่ใช่ แหม ไม่มีปัญหาอะไรเลย ทึบๆ โง่ๆ เซ่อๆ ไม่ อาตมาว่า อาตมาเฉลียวฉลาด มีปฏิภาณ ปราดเปรียวอยู่ ไม่อดไม่อยากแน่ ถ้าจะไปแข่งกัน แย่งชิงกัน ได้ ได้ไปแย่งชิง แต่อาตมาไม่ทำแล้ว ไม่แย่ง ไม่ชิง เขาแล้ว มีแต่จะให้ ถ้าเราสร้างสรรได้ ก็พยายามชวนกันแบ่ง แบ่งคนอื่น แจกจ่ายเจือจานคนอื่น ไม่ต้องมาสะสมกักตุน อย่างที่โลกเขาชวนกัน อย่างพวกทุนนิยมนี่ เขาชวนกันกักตุน สะสม กอบโกย แล้วเอามาอวดมาอ้าง มาเบ่งมาข่ม อย่างที่กล่าวแล้ว ไม่เอาอย่างนั้น เป็นความเลว ไม่ใช่นิสัยดี ไม่ใช่พฤติกรรมที่ดี ไม่ใช่คุณภาพของมนุษย์ เป็นความเสื่อมของมนุษย์ อย่าไป เอาอย่าง อย่าไปอุตริฝึกฝนศึกษาอย่างนั้น อาตมาเอาอย่างนี้จริงๆทยืนยัน

เพราะฉะนั้น ใครจะเอาตาม เอา ใครมาคบหาอาตมานี่ อาตมาจะพาให้หมดเนื้อหมดตัว ฟังให้ดีนะ ไม่ได้อมพะนำ ไม่ได้ปิดบังอำพรางนะ ไม่ใช่พามานี่ จะร่ำรวย เอ้า รดน้ำมนต์ จะได้ไปถูกหวยรวยเบอร์ ก้าวหน้าในราชการ ไปได้เงินเดือนขึ้น ปีละ ๒ ขั้น ๓ ขั้น ไม่ ๒ ขั้น ยังไม่เอาเลย พวกเรา ให้ ๒ ขั้นมา บอกหัวหน้าให้คนอื่นเถอะ เราพอกิน พอใช้ อโศกนี่ อย่างนี้ด้วย เขาก็หมั่นไส้ มันเก๊ก แหม ทำไม่เอา ๒ ขั้น ทำไม่ขึ้นเงินเดือน ทำโก้ เอาเถอะ เขาว่าก็ช่างเขา เราจริงใจของเรา เราบอกเอาเถอะ เราพอกินพอใช้ เราขอทำงานเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ แต่เราไม่ต้อง เอาเงินเดือนเพิ่ม ไม่ต้องขึ้น ๒ ขั้น ๔ ขั้น อะไรก็ไม่ว่า ไม่ต้อง เป็นเรื่องจริงใจ เป็นเรื่องอยู่ในสังคม คนพวกเรา เป็นอย่างนี้จริงๆนี่ เราทำ ผู้ใดมีปัญญา ก็เห็นว่ามันดี ผู้ใดไม่มีปัญญา จะเห็นว่าไม่ดี เป็นคนโง่ เป็นคนที่เก๊กๆ ขี้เก๊ก ขี้แอ๊ค อะไร ก็ตามใจเขาเถอะ

เพราะฉะนั้น มันคัดเลือกคนจริงๆ น่ะ คัดเลือกคน อาตมาถึงบอกว่า อโศกนี่แก่นๆจริงๆ มันจะแน่น แล้วแข็งเข้า แน่นเข้า แล้วมันจะเป็นตัวจริง คนอย่างนี้ เท่านั้นที่จะอยู่ คนไม่ใช่อย่างนี้ หวั่นไหว ไปตามสังคมโลกนี่ เขายิ่งตี ยิ่งอะไรต่ออะไร พยายามจะซัดพวกเราลงไป เอ้า ลงก็ลง ใครจะ ซัดใครลงไป ก็ลงไป แต่พวกเราก็ขอยืนหยัด ยืนยัน ใครไม่ยืนกับอาตมา อาตมา จะยืนมัน คนเดียวน่ะ สูง ๑๖๕ ยืนมันสูงแค่นี้ก็เอาแค่นี้ ตอนนี้ น้ำหนักชักมากหน่อยแล้ว มัน ๖๑ แล้ว มันขี้นไปเรื่อย ยิ่งอายุมากขึ้น ทำไมมันยิ่งจะอ้วนได้ เอ๊ กินก็ไม่มากนะ แต่เหมือนอาตมากินมาก ดูซิ มานี่ ก็เอาโตกให้ใหญ่ขึ้น เมื่อกี้ก็ทักแล้ว มาคราวหน้า โตกจะใหญ่กว่านี้หรือเปล่า อุตส่าห์เลี่ยงนะ บอก ถึงโตกใหญ่ ก็ถ้วยเล็กๆ ก็ถ้วยเล็ก ก็ใส่ตั้งเต็มโตก มันก็ไอ้เหมือนกัน กินก็ไม่มากนะ แต่ทำไม มันสบายใจมั้ง หนอ นี่เขายิ่งตียิ่งสบายใจ เป็นพวกซาดีสม์ หรือไง ยิ่งดี ยิ่งสบายใจ พูดไป มันเหมือน เข้าเนื้อเราเหมือนกันนะ เอ้ พูดไป คุณฟังออกไหมนี่ อาตมาพูดไป พูดมานี่ เอาไอ้โน่นมาพูด เอาไอ้นี่มาพูด จับเป้าให้ได้นะ อย่าเมานะ น่ะ ธรรมะมันทวนกระแส แล้วมัน เข้าใจยากอย่างนี้ ถ้าเข้าใจได้แล้วล่ะก็ ปฏิบัติประพฤติให้มันได้เนื้อได้หาของมันจริงๆ พอได้เนื้อหา ของมันจริงๆแล้ว มันจะเป็น คนที่อาตมาขอยืนยันว่า ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าเราปรารถนา เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ เป็นคนขัดเกลา เป็นคนมีศีลเคร่ง ได้จริงๆ

มีศีลนี่ ก็เคยอธิบายซ้ำซาก เข้าถึงศีลนี่ ไม่ใช่ธรรมดา เป็นคนที่อาการที่น่าเลื่อมใสน่ะ อาตมาก็น่าเลื่อมใส ก็อาการที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงนี่แหละ แต่เสียสละสร้างสรร ขยันเพียร อุตสาหะ เมตตา เกื้อกูล ช่วยเหลือเฟือฟาย มีน้ำใจ เป็นคนชนิดอย่างนี้ อาการเหล่านี้ ไปที่ไหน มีคนเห็น คนก็เลื่อมใส ศรัทธา สำหรับคนที่มีปัญญาด้วย คนไม่มีปัญญาหมั่นไส้น่ะ หมั่นไส้นะ เราเป็นคนเมตตา เกื้อกูลใจดี อะไรหมั่นไส้เสียอีกแน่ะ เฮอะ ตลกน่ะ เป็นคน ที่ถ่อมตน เป็นคนที่ไม่เบ่งไม่ข่มน่ะ ไม่ถือเนื้อถือตัว เหมือนกับเป็นคน พวกกรรมกร อะไรก็ไป ก็ทำกันต่างๆ นานา ไม่ถือศักดิ์ถือศรีอะไรอย่างนี้ เขาก็หาว่าเป็นคนอย่างนั้น เรื่องของคนเข้าใจ มันก็เข้าใจได้ ต่างๆนานา แต่เสร็จแล้ว อาตมายืนยันว่า มันเข้าทฤษฎีของพระพุทธเจ้าน่ะ เข้าทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ เป็นคนอาการที่น่าเลื่อมใส อย่างที่ว่าไม่สะสม แล้วเป็นคนไม่สะสมอยู่ในสังคมนี่ จะเป็นยังไง อยู่ได้ไหม นี่เรากำลังพิสูจน์ เราไม่สะสม ชีวิตไม่สะสม เราจะเป็นยังไง แล้วยิ่งมาสอนให้อยู่เป็นโสด ให้ได้มากๆด้วย แน่ะ โอ๊ย ! แล้วเป็นโสด แล้วสะสมก็ไม่ให้สะสม ลูกก็ไม่มีเลี้ยง โอ๊ ลูกก็ไม่ให้มี หลานก็ไม่ให้มี ไม่ให้เลี้ยง ให้อยู่เป็นโสดอีก เงินทองก็ไม่ให้สะสม แล้วแก่มา ทำยังไง โอ มันน่างงนะ มันน่างงจริงๆ พูดสอนลัทธิไหนนี่ ไปยังไงกัน แล้วจะอยู่ยังไงกัน ถ้าคิดอย่างสังคมโลก เขาอยู่ไม่ได้จริงๆ เป็นอย่างสังคม โลกอยู่ไม่ได้จริงๆ

แต่อย่างอโศกพาเป็นนี่ จะอยู่ได้ไหม หา เงียบแฮะ อยู่ได้หรือ เอ้า ลูกก็ไม่มี หลานก็ไม่มี เงินทองก็ไม่มีแล้ว หมดแล้ว แก่แล้ว ร่างกายเราก็ชักจะอ่อนแอลงไปด้วย เพราะว่า สังขารร่างกาย ก็ร่วงโรย เสื่อมโทรมลงไป แล้วก็ทำอะไรช่วยตัวเองก็จะไม่ได้ เงินทองก็ไม่ได้สะสม ใครจะมาหาข้าวให้กิน ใครจะป้อน ใครจะเอาอะไรไปซื้อ ไปกินยังไง คนจะช่วยจะเหลือยังไง เจ็บป่วยขึ้นมา จะทำยังไง กลับไปอยู่ในหมู่ หมู่เขาจะให้อยู่หรือ จะอ่อนแอลงไปด้วย เพราะว่า สังขารร่างกายก็ร่วงโรย เสื่อมโทรมไป แล้วก็ทำอะไร ช่วยตัวเองก็จะไม่ได้ เงินทองก็ไม่มีสะสม ใครจะมาหาข้าวให้กิน ใครจะมาป้อน ใครจะเอาอะไรไปซื้อไปกินยังไง คนจะช่วยจะเหลือยังไง เจ็บป่วยขึ้นมาจะทำยังไง กลับไปอยู่ในหมู่ หมู่เขาจะให้อยู่หรือ หา อยู่ได้ ก็หมู่เขาไม่ให้อยู่ จะอยู่ได้ยังไง แล้วตอนแก่แล้ว ทำไม่ได้ จนกันงวดนี้ จนแต้มกันงวดนี้ ตอบไม่ได้

หือ ... ทำไงล่ะ อ้อ ต้องมีคุณธรรมสะสมมาก่อน ถ้าเรามีคุณธรรมพอเพียง ก็อยู่กับหมู่กลุ่ม มีเป็นมิตรดี สหายดี ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานน่ะ เป็นคนที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน มีกิริยา วาจา พฤติกรรม ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน ไม่ชั่วกว่ามาตรฐาน อยู่ได้ เรายืนยันว่า เราจะมีจารีต ประเพณี วัฒนธรรม ของคนหมู่เรา มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มาถึงวันนี้แล้ว อาตมาเชื่อว่า พวกเราจะไว้ใจนะ จะไว้ใจหมู่กลุ่ม พวกเรามีความเชื่อ เชื่อมั่นว่า แม้เราไม่แต่งงานนี่ เราก็จะอยู่ได้ ตัวอย่าง มันจะมีว่า พวกเรามีคนแก่ มีคนที่บางคนเป็นคนแก่ที่มีลูกมีเต้าด้วยน่ะ ที่มาอยู่กับ ชาวอโศกเรานี่ ลูกเต้าไม่เอาถ่านเลย โอ๊ยโยน แหมะ เอาไปไว้เลย แม่ของผมฝากด้วยนะ พ่อของผม ฝากด้วยนะ แล้วเขาก็ไปหัวหกก้นขวิดอยู่ในสังคม น่ะ พวกเราก็เลี้ยงดูกันไป นี่มันมีตัวอย่าง อยู่ในสังคมอโศกเรา มีเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น พวกนี้ก็เลยบอก เออ เป็นได้ แม้เราจะไม่มี คนที่มีลูก มีเต้าแล้ว ลูกเต้าไม่ดูแล ปล่อยให้พ่อแม่มาอยู่กับพวกเรา แล้วพ่อแม่ก็มีคุณธรรมพอสมควร อยู่กับหมู่เราได้ใช่ไหม ไม่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน เป็นคนที่มีน้ำใส ใจคอ นิสัย คุณภาพน่ะ มีคุณธรรมอะไรพอสมควร อยู่กับพวกเราอยู่ได้ ทั้งๆที่ลูก มีหลาน ลูกหลานไม่ต้องมาดูมาแลอะไรเลย เราก็ดูแลกันไปได้ อย่างนี้ เป็นเครื่องยืนยันได้อยู่แล้วว่า เออ ขนาดที่มีลูกมีเต้า ลูกเต้าไม่ดู ไม่มาแลนี่ เขาก็ยังเลี้ยงได้ ส่วนคนที่ไม่มีลูก ไม่มีเต้าเลยนี่นะ ไม่มีที่พึ่งอื่นนะลูก ลูกเต้าไม่มีจริงๆ แล้วก็เป็นคนแก่อยู่ในนี้ ต่อไปในอนาคตนี่ อย่างสาวๆแส้ๆ นี่ต่อไป ก็จะแก่ใช่ไหม ไม่มีลูก ไม่มีเต้า ต่อไปจะแก่นี่นะ แล้วพวกเรา จะคิดยังไง พุทโถ ไอ้นี่ มันไม่มีลูก ไม่มีเต้านะ ไม่มีญาติโกโยติกา แล้วก็เป็นคน ที่ได้หลักฐาน มันก็ต้องยิ่งเลี้ยงดูกันซิ ใช่ไหม เพราะว่าก็รู้อยู่แล้ว จะให้ไปพึ่งใครล่ะ ก็ไอ้ลูกเต้า มันไม่มี ขนาดลูกเต้ามี เรายังเลี้ยงให้ได้ แล้วไอ้คนไม่มีลูกเต้าจริงๆ ทำไมเราจะเลี้ยงให้ไม่ได้ ใช่ไหม คนเรามันมีปฎิภาณ มันมีญาณปัญญา มันมีความรู้นะ เข้าใจเรื่องเหล่านี้ อาตมาพูดนี่ คงจะพอฟังออก คงพอเข้าใจนะ อ้อ จริงด้วยนะ คนเรามันจะมีน้ำใจมากกว่ากันแค่ไหน แต่ก่อนนี้ ไม่มีเลย ที่พึ่งอื่นไม่มี ก็ต้องพวกเรา หมู่เรา อย่างนี้เป็นต้นน่ะ อย่างนี้ ลักษณะต่างๆ พวกนี้ของเรา กำลังสะสม กลุ่มพวกชาวอโศกเรานี่ กำลังสะสม กำลังพิสูจน์ความจริง ถ้าทำเล่นชั่วคราวนะ มันก็จะเป็นชั่วคราว แต่ถ้าทำจริงๆแล้ว คุณธรรมในจิตวิญญาณ มันเกิดจริงๆๆๆแล้ว มันไม่ชั่วคราวหรอก มันก็จะไปอีกนานเท่านานแหละ แล้วมันจะเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมอย่างนี้ สังคมที่ มีวัฒนธรรมที่พึ่งพา ที่พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตายกันได้ พึ่งพาอาศัย เกื้อกูลกันได้นี่ มันเป็นสังคมเลว หรือสังคมดีนะ อาตมาอยากรู้ ตอบหน่อยซิ เอาคนโง่ที่สุดน่ะ ใครโง่ที่สุด ยกมือ ตอบหน่อยเถอะ

อ้อ นี่หรือคนโง่ที่สุด ไม่รู้หนังสือ ถือว่าเป็นคนโง่ที่สุด หรือ อ้อ โยมนี่ ถือตัวว่าโง่ที่สุด เพราะว่า ไม่รู้หนังสือล่ะ ว่างั้น ตอบเลย ถือตัวว่าโง่ที่สุด ตอบเลย บอกว่าสังคมดี ว่าอย่างนั้น นี่ล่ะ ลักษณะอย่างนี้ สังคมลักษณะอย่างนี้ มันเป็นสังคมคนเลว หรือสังคมคนดี อาตมาอยากรู้นัก ก็เมื่อมันเป็นสังคมคนดี ถ้ามันไม่มี มันต้องสร้างขึ้น ใช่ไหม ใช่ไหม แล้วเราเป็นคนนี่แหละ ต้องสร้าง สร้างสังคมอย่างนี้ขึ้น ให้หมู หมา กา ไก่ มันสร้างได้ไหมเล่า ไม่ได้หรอก ต่อให้ช้างเพื่อนแก้ว ที่ว่าฉลาดๆ ก็สร้างไม่ได้ สร้างสังคมอย่างนี้ มีมนุษย์เท่านั้น จะสร้างได้ แล้วมนุษย์ที่สร้างได้ ก็ต้องเป็นมนุษย์ที่ อยู่ในระดับ มีญาณ ปัญญา มีเจโต มีกำลังจิตวิญญาณ ที่เพียงพอ ถึงจะสร้างได้ ไอ้ ความรู้พอรู้นี่ มันพอรู้นะ มันเข้าใจนะ แต่มันทำไม่ได้ มันก็สร้างไม่ได้ใช่ไหม มันเอาคนมาประพฤติให้เป็นอย่างนี้จริงๆ อย่างเข้าถึงจริงๆนี่ มันเอามาเป็น ไม่ได้ เมื่อไม่ได้ มันก็สร้างไม่ได้ ไอ้ทฤษฏีหลักปรัชญาอะไรต่างๆนานา นี่มันพอมีหลักปรัชญาดีๆ มันพอมี ทุกวันนี้ สังคมเขาก็ต้องการอย่างนี้ เขาไปเป็นระบบ ที่จะเป็นระบบคอมมูน ระบบ คอมมิวนิสต์ ระบบสังคมนิยม หรือแม้ประชาธิปไตยอะไรก็ตาม เขาก็ต้องการลักษณะอย่างนี้ ต้องการลักษณะที่เป็น มิตรดี สหายดี เป็นพลเมืองที่ดี เกื้อกูล เอื้อเฟื้อ เจือจานกัน ไม่แย่ง ไม่ชิง ไม่ปล้น ไม่จี้ ไม่เอาเปรียบเอารัด ไม่ขี้โกง ไม่มีอาชญากรรม อาชญากร ไม่มีความทุกข์ ความร้าย สังคมไหน มันก็ต้องการอย่างนี้ทั้งนั้น ใช่ไหม
แต่เขาทำไม่ถูกหลัก ทำไม่ถูกทฤษฏี ทฤษฏีวิเศษนี่ พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ เขาทำไม่ได้ แม้แต่ ศาสนาพุทธ อยู่ในเมืองไทยนี่ มาตั้งพันปี ทฤษฏีเหล่านั้นเรื้อ แล้วก็ฟั่นเฝือไปหมดแล้ว

อาตมาว่า อาตมายิ่งพูด ยิ่งจะยืนหยัดยืนยันว่า อาตมานี่แหละ เป็นลูกพระพุทธเจ้า จะเอาทฤษฏี หลักนี่มาๆ มาพิสูจน์ เอหิปัสสิโก ท้าทายพิสูจน์ เพราะฉะนั้น พวกคุณนี่ เป็นตัวพิสูจน์ ถ้าพวกคุณ พิสูจน์ทฤษฏีที่อาตมาว่านี่ ถูกต้องได้ อย่างที่อาตมากล่าวนี่นะ อาตมาก็มีวิธีการ มีหลักทฤษฏี ว่าต้องปฏิบัติอย่างนี้ แล้วมันจะมาเป็นคนอย่างที่พูดไปเมื่อกี้นี้ พิสูจน์ ถ้าอาตมาพิสูจน์ได้ คุณเชื่อไหมว่า ที่อย่างที่อาตมาเล่านี่ อย่างที่อาตมาพูดนี่ว่า คนสังคมอย่างนี้ เป็นคนที่มีคุณธรรม อย่างนี้ มีคุณภาพอย่างนี้ นี่คือของพระพุทธเจ้า คุณเชื่อไหม เชื่อไหม อาตมายืนยันว่า นี่เป็นของ พระพุทธเจ้า เขาหาว่าอาตมา มาทำลายศาสนาพุทธ มาเป็นเสี้ยนหนามศาสนาพุทธ เอาพุทธผิดๆ มาสอน ใครมันจะผิด มันจะถูก มายืนยันกัน ทุกวันนี้ นี่เท่ากับเขาท้าทาย เพื่อที่จะยืนยัน เพื่อที่จะพิสูจน์ว่า เขาว่าเขาพุทธแท้ อาตมาว่า อาตมาพุทธแท้ มันคล้ายๆ จะอย่างนั้นน่ะ เอาละ เขาว่าของเขาพุทธแท้ เราก็ว่าเราพุทธแท้ เขามีอำนาจ มีฤทธิ์ มีเดช จะพยายามปราบปราม จะพยายามทำให้มันหมดสิ้นไป อาตมาเคยพูดหลายทีแล้ว ถ้าปราบได้ ก็ปราบ ปราบใคร ใครถูกปราบ ใครจะดึงไปเป็นพวกทางโน้น ก็ไป ใครไม่ไป อยู่ ไม่มีใคร เหลืออาตมาคนเดียว จะยืนยัน พุทธคนเดียวมันนี่แหละ จริงๆ จะยืนยันพุทธอยู่คนเดียว อาตมาพูดซ้ำพูดซาก เรื่องนี้มาหลายที แต่ยังไม่มีเห็นอยู่คนเดียวสักที จะเห็นอย่างยืนหยัดยืนยันอยู่ ด้วยอยู่เยอะนี่ ใครมั่ง ใครมั่ง ยกมือขึ้นซิ โอ ไม่หมด ไม่หมด ยัง คนยังไม่ มี ยังไม่อยู่ด้วย ก็มี ไม่เป็นไร ยังไม่อยู่ด้วย ก็ไม่บังคับนะ อาตมาไม่ได้บังคับ อาตมาไม่ได้งอนง้อ ทั้งไม่บังคับ และทั้งไม่งอนง้อ ใครจะมาต้องมาด้วยใจ ต้องมาด้วยปัญญา ต้องมาด้วยความเห็นจริง ต้องมาเห็นว่า อันนี้ดีจริงๆ เอา ไม่บังคับ ไม่งอนง้อ และไม่น้อยใจ ไม่น้อยใจ ไม่เสียใจ ไม่รู้สึกว่า เอ๊ะ เขาไม่เอาด้วยนี่ เราเสียใจ เราน้อยใจ ไม่ ปกติ ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้น ใครเอาก็เอาแรง พวกคุณมาเอา ยกมือเอานั่น อาตมาไม่ได้ บังคับนะ อย่าไปบอกใครว่า อาตมาบังคับนะ อาตมาแช่งไว้จู๊ดๆนะ อาตมาไม่ได้บังคับใครนะ ไม่บังคับ ไม่ง้องอน อาตมา ขอยืนยันว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาแห่งอิสรเสรีภาพ

นี่ อาตมากำลังเทศน์อย่างสงบเสงี่ยมที่สุด นี่ คือลักษณะสงบเสงี่ยม ตามยุคสมัยนี้ ถ้าไปเทศน์ อย่างสงบเสงี่ยม ตามที่มันอ้อนแอ้นเกินไปแล้ว ต้วมเตี้ยมเกินไปแล้ว ไม่ได้มีแรง ไม่เกิดจุดชวาล ไม่เกิดจุดสันดาป ไม่เกิดจุดทำปฏิกิริยา ที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพได้ อย่างนั้น อาตมาถือว่า ต่ำกว่ามาตรฐาน สงบเสงี่ยม เป็นสภาพสงบอ้อนแอ้น สงบต้วมเตี้ยม ไม่เกิดปฏิกิริยา ไม่แก้ไข อะไรขึ้นได้ แต่อย่างอาตมาเทศน์นี่ อาตมาถือว่าเทศน์อย่างสงบเสงี่ยม แล้วเกิดการรับรู้ เกิดการ เกิดปฏิกิริยา ที่มีแรงฤทธิ์ ที่มันจะต้องทำให้เกิดการพัฒนา อาตมาทำให้มันถึงกับวิญญาณ ของคนนี่ เกิดปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงได้

เพราะฉะนั้น อาตมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ที่จะทำให้นักวิทยาศาสตร์ นี่ นี่กำลังทำ เข้าห้องแลป เหมือนกันนะนี่ กำลังให้จิตวิญญาณของพวกคุณนี่ ทำปฏิกิริยา เกิดการสังเคราะห์ตัวขึ้นมา ถ้าเทศน์ให้ฟังเฉยๆ เราก็ฟังไป เข้าใจไหม เข้าใจ เสร็จแล้ว พอจากนี้ไป ก็หายไปกับโลก เขาอยู่ อย่างเดิม ไม่เกิดการมีกะจิตกะใจ ไม่เกิดน้ำหนักที่จะเกิด วิริยะ อุตสาหะ พากเพียร ตั้งตนอยู่ ในความลำบาก เอาศีล เอาธรรมไปประพฤติปฏิบัติเพื่อขัดเกลา มีการสำรวม สังวร ระวังกันเลย ได้แต่รู้ดีๆๆๆ แต่ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไร โลกียะกินตัวอยู่อย่างนั้นล่ะ อาตมาถือว่าอย่างนั้น ไม่เกิดการพัฒนา ไม่เกิดการเจริญทางธรรม อยากจะรู้ เดี๋ยวนี้รู้กันเยอะ รู้ รู้ ถูกก็มี รู้ผิดก็เยอะ เท่านั้นเอง ไม่เกิดการเจริญงอกงามอะไร อย่างนั้นอาตมาถือว่า ไม่มีประสิทธิภาพ แล้วก็ศาสนาพุทธ ไม่เจริญแล้ว แต่ถ้าเดี๋ยวนี้ ที่อาตมาทำอยู่นี่ อาตมาถือว่ากำลัง พัฒนาได้ แล้วเท่าที่ทำ อาตมาทำในกิริยาขนาดนี้ ที่อาตมายืนยันว่า สงบเสงี่ยมนี่ อาตมาก็แน่ใจว่า อาตมาทำได้ประโยชน์มาจริงๆ อาตมาทำมาตลอดเวลานี่ มาถึง วันนี้ นี่ ๑๐ กว่าปี มีสภาพเกิด มีคนที่เข้าสู่วรรณะ ๙ คือเป็นคนที่เลี้ยงง่าย ยังเหลือแต่ใส่ลางให้กินเท่านั้นแหละ พวกเราเลี้ยงง่าย ไม่ใช่เป็นมนุษย์จานบิน แหม เลี้ยงยาก มนุษย์จานบิน รู้จักไหมเล่า กับข้าวนี่ แหม ภรรยานำตั้งถวาย แหม มาให้กิน แกงอะไร ผัดอะไรวะ แหม จานบิน ร่อนจานเลย ไม่ชอบใจ พวกนี้ เลี้ยงยาก ติดนั่นติดนี่ ติดอร่อย ติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จะอยู่ก็ยาก บ้านช่องเรือนชาน อยู่ก็ไม่เหมาะใจ ยังโน้นอย่างนี้ โอ้ย สารพัด เลี้ยงยาก จะไปจะมา ก็ยาก จะอยู่ก็ยาก จะนอนก็ยาก จะกินก็ยาก ยาก ไปหมด

แต่พวกเรานี่ กินก็ง่าย ให้รู้สาระของมัน ได้สาระก็พอใจแล้ว จะนอนก็ไม่เป็นไร นอนก็นอนโคนไม้ ร่มไม้ ก็ยังนอนได้เลยน่ะ ที่ ที่อ่อนที่แข็ง อะไร ก็นอนได้ ที่ร้อนที่หนาวอะไร ก็ยังนอนได้ เลี้ยงง่าย คำว่าเลี้ยงง่ายนี่ ต้องเข้าใจถึงสาระของมันอย่างแท้จริงน่ะ เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย ทำให้เจริญพัฒนาไปในทางที่เจริญแท้ๆ จริงๆง่าย เป็นคนมักน้อย สันโดษ จริงๆ

นี่ อาตมา พยายามเอาหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าพวกนี้มาเปรียบมาเทียบ มาวัดไว้เสมอ มาสอบ มาทานไว้ แล้วเราได้ลักษณะพวกนี้มาเรื่อยๆ จึงเกิดหมู่กลุ่ม พอเกิดหมู่กลุ่มแล้ว มันถึงเกิด อย่างที่อาตมาว่า มันพึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ มันไม่ต้องไปว้าเหว่ มันอบอุ่น แล้วมันก็มี อะไรต่ออะไร ที่เราอยู่ไม่โดดเดี่ยว แล้วเราก็พัฒนาต่อไปได้อีก ยิ่งมีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่ง แวดล้อมดี ก็ยิ่งพัฒนาต่อได้อีกน่ะ ส่งเสริมกันและกัน เป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นมวล เป็นเนื้อ เป็นพุทธบริษัท แล้วสอดคล้อง ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส แล้วยืนยันได้ว่า มันทวนกระแส

เพราะฉะนั้น กลุ่มหมู่ชาวอโศกนี่ ไม่เหมือนเขา เป็นคนอีกโลกหนึ่ง เป็นคนโลกใหม่ คือโลกโลกุตระ เป็นคน ไม่ตื่นเต้นตกใจ ไม่เป็นทาสของโลกียะ แต่เราสร้างสรรนะ ไม่ใช่เป็นคนที่ เป็นโลกุตระ เป็นคนที่มี ความมักน้อยสันโดษ หรือว่าเป็นคนที่หลุดพ้น เป็นคนหลุดพ้นจากโลกแล้ว ก็ยิ่งจะ ไม่ทำงาน ยิ่งจะสงบ ยิ่งอยู่เฉยๆ อยู่ป่า อยู่เขา อยู่ถ้ำ ไม่ค่อยรู้โลกเขา ไม่ใช่ ทันโลก พวกเราทันโลก แต่ว่าเราไม่เอากับโลกเขาเท่านั้น รู้เท่าทัน อย่างโน้นอย่างนี้ จะมามอมเมา จะมาให้คนหลงใหล ได้ปลื้ม ไปตามโลกียะ รู้ เท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อ ไม่ตกเป็นเหยื่อ อยู่กันอย่างนี้ล่ะ เห็นอยู่หลัดๆ นี่แหละ ไม่ตกเป็นเหยื่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อะไรที่เป็นโลกธรรม จะเอามาหลอกมาล่อ มายั่ว มายุ เป็นอามิส สินจ้างไม่ จะทำก็ทำให้ฟรีๆ เกื้อกูลได้ด้วย แล้วก็เราก็อยู่ได้ด้วย ชีวิตอยู่ได้ วงจรของชีวิตอยู่ได้ สังคมหมู่พวก เราไม่ลำบากลำบน ไม่ทุกข์ไม่ร้อน น่ะ ไม่เป็นหมาหอบแดด เหมือนเขาด้วย ไม่มีภัยมีเวร ไม่มีศัตรู คู่อาฆาตอะไรที่จะมาจองเวรจองกรรมกัน ไม่รู้จักจบสิ้น ไม่ใช่ จะลดคู่อาฆาต มาดร้าย ทุกวันนี้ แม้เขาจะมาดูเหมือนว่า เป็นคู่อาฆาต ดูเหมือนว่า เขาจะมา ทำร้าย ทำลายเรานี่นะ ขณะนี้เหมือนกับคู่ต่อสู้ ก็ไม่ได้หมายความว่า แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะเราไม่ได้แย่งเขา แต่เพราะเขาเข้าใจผิด ฟังชัดๆ ใช่มั้ย เพราะเขาเข้าใจผิด โดยเฉพาะ ถ้าเขาคิดว่า เขาจะล้มล้างเรา เขาเห็นว่า เราเป็นศัตรู เราก็ไม่ได้เห็นว่าเขาเป็นศัตรู ไม่ได้เห็นนะ

อาตมาไม่ได้เห็นว่า เขาเป็นศัตรูเลย อาตมาเห็นว่า เขาเองน่าสงสาร เพราะเขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจ จริงๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่า อาตมาเห็นเขาเป็นศัตรูเลย ถ้าเราเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ถ้ามันจะเกิดความไม่ดีไม่งาม แต่อันใดที่ควรยืนหยัดยืนยัน อาตมาก็ยืนหยัด ยืนยัน ถ้าแม้ว่า จะเกิดการปะทะกันอย่างที่สุดแล้ว ก็มันจะมาทำลายธรรม อาตมาว่า ธรรมะขนาดนี้ ต้องยืนหยัดยืนยัน ไม่ให้ทำลายธรรม ไม่ให้เสียธรรมะ แม้อาตมาจะต้องตาย อาตมาก็จะยอม ให้เขาฆ่า อาตมาจะไม่ไปทำร้ายเขา จริงๆ จะไม่ไปทำร้ายเขา เพราะว่า มันเป็นบาป อาตมาไม่ทำบาป

เพราะฉะนั้น จะยอมเสียสละทุกอย่าง ที่มันจะไปสู่จุดดีที่สุดได้ จะยอมเสียสละ พวกเราก็จะมี จิตใจอย่างนั้น แต่เราจะไม่กลัวตาย ชีวิตคนเราตาย มันก็เป็นธรรมดา ถ้าจะไม่บรรลุเป็น พระอรหันต์ ตายแล้วมันก็เกิดมาใหม่ ศาสนาพุทธเราสอนวัฏสงสาร เวียนว่าย ตาย เกิด ไม่ใช่ตายแล้วสูญ ถ้าเรายิ่งสร้างคุณงามความดีเอาไว้แล้ว ชาตินี้ตาย ชาติหน้าก็ยิ่งมีมรดกใหม่ ที่เป็นคุณธรรม เป็นกุศล กุศลกรรม จะเป็นมรดกยิ่งดีด้วย ไปแคร์ทำไม ถ้าคุณเข้าใจถึงที่แล้ว คุณจะไม่มีปัญหา ไม่ใช่เราอยากตายนะ รีบฆ่าตัวตาย แล้ววิ่งเข้าไปตาย ไม่เข้าเรื่อง ก็ไม่ใช่ มันตามวิบาก ตามเหตุ เหตุผลที่สมควร แล้วเราจะเป็นคนชนิดอย่างนี้ น่ะ ที่เราสั่งสมขึ้นมาได้ พอเป็นรูป เป็นร่าง น่ะ แม้จะเป็นรูปเล็กๆ นี่ พึ่งได้รูปน้อยๆ ก็ตาม พอดูออก คุณภาพของพวกเรา ก็ยังไม่ดีมากพอแล้ว แต่ก็ดี พอดูได้ มีรูปมีร่าง มีอะไรกันขึ้นมา มีอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นสภาพ ที่ไม่สะสม เป็นสภาพที่ขยันหมั่นเพียร ขยัน พวกเราต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียรน่ะ ตามคุณธรรม ๙ ประการนี้ จะเป็นคนมีคุณลักษณะพวกนี้ เห็นได้

อาตมาย้ำถามพวกคุณแล้วว่า ถ้าสังคมคนกลุ่มคนที่เป็นลักษณะอย่างนี้ มันเป็นความเลว หรือ มันเป็นความดี สังคมทุกวันนี้ เขาก็ต้องการ แต่เขาทำไม่ได้ ทฤษฏีมากมาย นักวิชาการ ที่เขาจะพัฒนา นักรัฐศาสตร์ที่จะพยายามสร้างสังคม นักสังคมศาสตร์พยายามสร้างสังคม ที่จะให้สังคมเป็นสังคมที่ดี เขาก็ทำกันอยู่ นี่ หัวปักหัวปำ มีทุนรอนมากด้วย มีผู้สนับสนุนมากด้วย

อาตมานี่ เหมือนคนหัวเดียวกระเทียมลีบ น่ะ ที่อาตมามาทำนี่ เหมือนคนหัวเดียวกระเทียมลีบ มาทำ แล้วก็พัฒนาขึ้นมา จนกระทั่งจากสูญ จากไม่มีใครสักคน จนกระทั่งมีคนขึ้นมา คนหนึ่ง ๒ คน ๓ คน นี่ มาหลงลมอาตมา เป็นแถบๆ ทิ้งบ้าน ทิ้งช่อง ทิ้งเรือน ทิ้งชาน ทิ้งทรัพย์ศฤงคาร ออกมาแล้วก็ ยังฟังอยู่ได้นะนี่ จะกลับไปเดี๋ยวนี้ ก็ได้นะ เป็นลูกชายคนเดียวนี่ พ่อแม่ ยังไม่ขายทิ้ง ขายขว้างนะนี่ ที่ไร่ ที่นา ทรัพย์สิน ยังมีนี่ ไปก็ยังกลับไปได้ ลูกชายคนเดียว แต่ยังไม่ไป เมื่อไหร่ จะไปยังไม่รู้ นั่นก็เหมือนกัน ลูกชายคนโตน่ะ บ้านช่อง เรือนชานทรัพย์ศฤงคารก็มี ไม่ใช่เป็นคนหลักลอย ไม่ใช่เป็นคนยากคนจนอะไร แต่อาตมาพามายากมาจน มาอยู่อย่างนี้ อยู่ไม่เป็น เอ้า...อยู่ ไม่รู้ถูกหลอกอะไรน่ะ เขาหาว่าอาตมานี่หลอกเก่ง

เอ้า อาตมาจะรับ หลอกเก่งก็ได้ อาตมาหลอกได้แต่คนฉลาด อาตมาหลอกคนโง่ หลอกไม่เป็น จริงๆ ไอ้คนโง่นี่ พูดไม่รู้เรื่อง หลอกไม่ได้จริงๆ มันเซ่อๆ โอ๊ะ ยาก คนโง่ๆ หลอกยาก แล้วคนยิ่งโง่ เฉโกด้วย นี่ โอ้โห ยิ่งหลอกยากใหญ่เลย มันยิ่งไม่รู้เรื่อง มันเข้าใจผิดหมด เราพูดอย่างหนึ่ง เข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง พูดอีกอย่างหนึ่ง ออกไป เราพูดถูก หาว่าผิดไปโน่นเลย แหม คนโง่พรรค์นี้ ไม่ต้องพูดกัน มันคนละเรื่องเลย มันไม่ใช่ คนละเรื่องเดียวกันนะ มันคนละเรื่อง คนละเรื่อง ไปกันคนละโลก คนละเรื่องเลย ไม่ได้เรื่อง

อาตมาทำงานมานี่ อาตมาก็ยืนยันว่า อาตมาจะทำอย่างนี้ อาตมาจะพาเป็นอย่างนี้ ใครเข้าใจ ก็เข้าใจ ไม่ง้อ ไม่งอน ไม่บังคับ อิสรเสรีภาพ เสร็จแล้ว เรามาเป็นภราดรภาพกันได้ อย่างที่อาตมา ตั้งไว้ ๕ ภาพนี่ ดีหรือเลว คุณก็คิดเอาว่า คุณภาพลักษณะของอิสรเสรีภาพ เป็นอย่างไร ลักษณะของภราดรภาพเป็นอย่างไร ลักษณะของสันติภาพเป็นอย่างไร สมรรถภาพเป็นอย่างไร บูรณภาพเป็นอย่างไร อาตมาก็ว่า อาตมาทำในหลักเหล่านี้ สร้าง สร้างคนให้มีคุณภาพ ตามหลัก เหล่านี้ เพราะฉะนั้น ที่มานี่ ไม่ได้งอนง้อ ไม่ได้บังคับ ถือว่ามาเอง อิสรเสรีภาพ มีกฎ มีหลัก มีระเบียบ ที่นี่ไม่ใช่ว่าไม่มี มาอยู่ในหลักในกฎในระเบียบ ไม่ได้บังคับน่ะ ไม่ได้การันตีอะไรสักอย่าง จะมาก็มาเอง จะไปก็ไป ไม่ว่าอะไรน่ะ อาจจะว่าบ้างนิดๆหน่อยๆ ก็ว่ากันไปเป็นโวหาร อย่างนั้นแหละ ไม่ได้ว่ากันโดยผูกจิตผูกใจอะไรหรอกน่ะ พูดเปรยๆ ปรายๆ กัน เท่านั้นแหละ

เพราะฉะนั้น จะมาก็มาเอง จะไปก็ไปเอง จะอยู่กันไปอีกจนตาย ก็อยู่เอง เป็นอิสรเสรีภาพ แล้วมาอยู่กันแล้ว ก็มีความเป็นพี่เป็นน้องอย่างไร ความหมายของคำว่าพี่น้องคืออะไร เราก็ต้องรู้ แล้วเราก็เป็นจริงๆด้วย เป็นพี่ เป็นน้องกันแท้ๆ มาอยู่ในนี้นี่ สายเลือดเดียวกัน เป็นพี่ ป้า น้า อา ลูกเต้า เหล่าหลานอะไรกัน มาอยู่ก็อยู่อย่างมีคุณธรรม คุณภาพของคำว่าภราดรภาพที่แท้จริง แม้มาจากร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ จะมาเชื้อชาวเขา ชาวแม้ว ชาวเย้า ชาวจีน ชาวไทย ชาวแขก ชาวฝรั่ง อะไรก็แล้วแต่ มาอยู่ก็เป็นพี่น้องกันให้ได้ คุณธรรมของพี่น้องคืออะไร ไม่ใช่ คลานตามสายเลือด กันออกมาเท่านั้น คลานตามสายเลือดกันออกมา มันฆ่ากันตาย แย่งชิง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กันจะเป็นจะตาย เดี๋ยวนี้ ตั้งเท่าไหร่ แต่พวกเราไม่มี ถ้าภราดรภาพ มันจะไม่เป็นอย่างนั้น ภราดรภาพมีแต่จะเกื้อกูล ช่วยเหลือเสียสละแก่กันและกัน ผู้ใหญ่ช่วยผู้น้อย ผู้สามารถมาก ช่วยผู้อ่อนแอกว่า ผู้ที่มีความรู้มาก ความสามารถมาก สร้างมากๆ เกื้อกูลผู้ที่เขายังไม่พอ ผู้ที่ยังไม่พอในสังคม อาตมาก็บอกไว้แล้ว ว่า มีเด็ก มีคนแก่ คนป่วย คนพิการ คนไร้สมรรถภาพ อาตมาก็ว่า มันมีอยู่ แค่นี้ มันมีมากกว่านี้อีก ยังเผื่อไปอีกนะ คือไอ้คนขี้โกง กับไอ้คนขี้เกียจ ก็ยัง เผื่อมันอีก ๒ พวกนี้อีก เผื่อมันไม่เผื่อมันก็ไม่ได้ เพราะมันโกงเราอยู่เหมือนกัน มันขี้เกียจเหมือนกัน จะให้มันตาย ก็ไม่ได้ เอ้อ มันก็ขี้เกียจก็เอา เอาเผื่อมัน เรามีชีวิตอยู่อย่างนี้แหละ จะเอาอย่างนี้ เอาให้จริงน่ะ ไม่เอาอย่างอื่น

แล้วอาตมาถือว่า เกิดมาเป็นคน เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ ทำดีอย่างนี้ พระพุทธเจ้า ท่านพาเราทำดี ท่านจะมีอะไรๆ ท่านก็สละมา แล้วก็มาเป็นคนชนิดนี้ ให้เป็นตัวอย่าง จนกระทั่งปรินิพพาน สอนสาวกเอาไว้ ทำอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ สืบทอดมานี่ ๒ พันกว่าปีแล้ว แล้วจะทำอย่างนี้ไปอีก กี่ปีกี่ชาติ ช่างมัน ไปอีกได้ ๕ หมื่นปี ก็เอา ถ้ามันเป็นไปได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ไปได้นะ ศาสนาพระพุทธ เจ้ามีฤทธิ์อีก ๕ หมื่นปี ก็เอาน่ะ ใช่ไหม แต่มันจะอยู่ไม่อยู่ไม่รู้เลย อาตมาก่อนจะตาย ไม่รู้ตั้งหลัก ตั้งลำได้เท่าไหร่ เราจะพยายามมีเชื้อแล้วนี่ เชื้อนี้จะเจริญ งอกงามไปอีกเท่าไหร่ได้ ยังไม่รู้เลย แต่ทุกวันนี้ ก็มีแล้ว อาตมาแน่ใจว่า แม้จะตายในลงไปในวินาทีนี้ อาตมาก็เชื่อแน่ว่า สาระของศาสนาพุทธ สาระของสายอโศกเรานี่ อย่างที่อาตมาว่า อาตมาเข้าใจพุทธเป็นอย่างนี้ แล้วพาคุณทำ ด้วยทฤษฏีอย่างนี้ ขัดเกลามาได้ มาเป็นอย่างนี้ได้ ขนาดนี้ ก็เพราะว่า ทฤษฏีอย่างนี้แหละ มันทำได้ขนาดนี้ อันนี้จะไม่สูญ แม้อาตมาจะตายลงในวินาทีนี้ จะทำต่อไปอีก นั่นละ จะรวมกันเป็นคณะบริษัท มันจะเป็นเอง แต่อาตมาก็ยังไม่อยากตายทีเดียวหรอก แต่ไม่ใช่ว่า กลัวตายนะ ไม่ได้กลัว แต่ว่าก็ยังคิดว่า ยังแข็งแรง แข็งแรง เมื่อวานนี้ ปีนเขา ขึ้นน้ำตก ลงล่องแก่งมา ร้องโอด ร้องโอยกันมา จนกระทั่งเข็ดอีกแล้ว เข็ดอีกแล้ว บอก เจอหลาน บอกหลาน เจอลูก บอกลูก อย่าให้มาอีก ขึ้นบนบก ก็เจอทาก ลงน้ำก็เจอหิน โอย ร้อง โอด ร้องโอย เมื่อวานนี้ อาตมาสบาย ธรรมดาเลยน่ะ ทากกิน อาตมา เลือดออกมากกว่าเพื่อน เมื่อวานนี้ นับตัวได้ ๔ หรือ ๕ ตัวมานี่ ยังส่งท้ายมาเลยนี่ ยังเลือดติดมาถึงนี่ ขาลงมา มีติดมา ลงแก่ง ลงหินก็ลง แข็งแรงน่ะ ไม่ ๕๖ ๕๕ ๕๖ ยังแจ๋วน่ะ

อาตมาคิดว่ายังจะอยู่ แล้วยังจะทำต่อไป แล้วก็จะทำอย่างนี้ล่ะ สารัตถะใดๆ ก็เทศน์ตามที่เวลา มีน่ะ จะเรียกว่า นี่พยายามที่จะเปิดเผยสาระสัจจะของศาสนาพุทธ เท่าที่อาตมาเข้าใจว่า พุทธ คืออย่างนี้ เท่าที่มีโอกาสบอกกันก็บอกน่ะ

วันนี้ ก็คงได้เทศน์เท่านี้ ก็ขอจบการเทศน์ลงแต่เพียงเท่า นี้
สาธุ


ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝายทอง
ตรวจทาน ๑. โดย สม. ปราณี ๓ ธ.ค.๓๒
พิมพ์โดย สม. นัยนา ๑๙ ธ.ค.๓๒
ตรวจทาน ๒. โดย สม. จินดา ๒๔ ธ.ค.๓๒
FILE:0418.TAP