สงบฤาษี สงบพุทธ (ตอน ๑) โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ เมื่อวันที่ ๔ ต.ค. ๓๒ ณ พุทธสถานสันติอโศก |
ท่านผู้ใฝ่ใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาก็ยังจะเทศน์ ถึงเรื่องงานการอีกน่ะ มนุษย์ก็คือ เป็นผู้มาใช้กรรม หรือเป็นผู้มาใช้งานการ มาเป็นตัวบทบาทของงานการ นั่นแหละ อาตมาก็ขอยืนยันนะว่า ศาสนาพระพุทธเจ้านี่ สอนเราให้เป็นผู้มีคุณค่า มีประโยชน์ แล้วไม่มีกิเลส คำว่า ไม่มีกิเลส คำนี้นี่แหละ เป็นตัวที่มันพูดกัน ไม่ค่อยรู้เรื่องกันทุกวันนี้
ศาสนาพุทธทุกวันนี้ มันเพี้ยน เอนเอียงไปในด้านฤาษี เป็นผู้ที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อนิพพาน โดยอธิบาย แล้วก็พยายามชี้คำว่า นิพพาน นั้นคือผู้สงบ คำว่าความสงบ คำเดียวของเขานี่แหละ มันอธิบายกันได้คนละเรื่องเลย ถ้าจะไปอธิบายสงบอย่างชาวโลก เขาอธิบาย หรือว่าอย่างทั่วไปอธิบาย มันเป็นแบบความสงบ อย่างพาซื่อ ความสงบแบบเถรตรง เหมือนคนไม่เดียงสา อะไรยังงี้ เป็นความสงบ ที่เขาเข้าใจอย่างนั้น อาตมาเห็นว่า ความสงบชนิดนั้น มันไม่มีประโยชน์อะไรมากมาย เขาถือว่าเป็นประโยชน์ตนนะ ความสงบที่เป็นประโยชน์ตน เขาได้สงบจริง เขาก็ไม่เหน็ดไม่เหนื่อย เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ทีนี้ เขาก็มาอธิบายกันในโลกนี้ว่า คนที่ไม่ต้องวุ่นวายเรื่องโลกนี่นะ ไม่แย่งลาภแย่งยศ แย่งสรรเสริญ อะไรใคร หยุดเฉยๆนี่ มันก็ดี มันก็เป็นขั้นตอนที่ไม่ง่ายนักเหมือนกัน ไม่ไปติดในรสอร่อยของโลกนะ จะไปเสพย์อร่อยๆ เอร็ดอร่อย สุขๆ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มีกาม มียศศักดิ์ฐานะ มีลาภ มีอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ไปแย่งไปชิงกัน ได้มาก็เอร็ดอร่อย ชื่นอกชื่นใจเป็นสุข ถ้าคนไม่เอาเรื่องเหล่านี้นะ รักสงบอยู่ พอมีพอกิน สันโดษ มักน้อย นี่ศาสนาหลายลัทธิเขาเข้าใจ แล้วเขาก็พยายามพากเพียรกันมา ถึงแค่นี้ มันก็ไม่ง่ายนักอยู่
ทีนี้ศาสนาพุทธนั้น ลักษณะที่ว่าเราเอง เราไม่ไปหลงใหลได้ปลื้ม กับลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ไปแย่งชิง แล้วก็ไม่ไปเป็นทาสสิ่งเหล่านี้ ไม่ไปหลงเอร็ดอร่อย แม้แต่กระทั่ง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ศาสนาพุทธเราก็แน่ชัดว่า เราเอาด้วย สงบจากกิเลส ที่จะบำเรอตน อย่างนั้นจริงๆ แต่นอกจากจะสงบอย่างนั้นแล้วนี่นะ ของพุทธยังสงบอย่างมีบทบาท มีจักรกล มีความขยันหมั่นเพียร มีแรงสร้างสรร อย่างมีอิทธิบาท ๔ ยิ่งสงบของพุทธนี่ ยิ่งมีผลงาน ยิ่งสงบยิ่งทำงาน ยิ่งสงบยิ่งไม่นิ่ง แต่ของแบบฤาษีแบบอะไรนี่ ยิ่งสงบมันยิ่งนิ่ง นิ่งไม่ทำงาน งานการที่เคยทำเคยเป็นเคยมี หยุดไปเสียอีก ไม่ทำประโยชน์อะไรให้แก่ใครเลย ตัวเองว่าตัวเองได้ประโยชน์ คือตัวเอง ไม่ต้องไปเป็นทาสโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็นั่งนิ่งๆ แต่ก็รับของเขา กินๆใช้ๆ จากที่คนเขาเอามาถวาย เขาเอามาประเคน เขามาศรัทธาเลื่อมใส คือสงบแบบนี้ คนเขาก็เลื่อมใส แล้วเห็นง่ายด้วยนะว่า สงบจริงๆ คือมันอยู่เฉยๆ มันเหมือนกับ ไม่มีความอยากอะไรเลย
ทีนี้สงบอย่างของพระพุทธเจ้า เหมือนกับมีความอยาก โอ๊! อย่างนี้ มันไม่สงบจริง มันยังอยากอยู่เลย ยังอยากทำงาน ยังอยากโน่นอยากนี่ ยังอยากสร้างสรร ยังอยากช่วยเหลือเฟือฟายคนโน้นคนนี้ มันอยากดัง มันอยากได้รับคำชมเชย ดีไม่ดีแฝงๆนะนี่ มันอยากได้ลาภได้ยศอยู่นี่ มันแฝงๆอยู่นี่ แฝงๆนี่ เขาไม่ค่อยเชื่อใจ จริง เขามีสิทธิ์ที่จะระแวง เขามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อใจ ทีนี้สัจจะมันมีได้ไหม มีได้ สงบที่ว่านี่คือ สงบกิเลส กิเลสมันหยุด กิเลสมันตาย กิเลสมันสงบ กิเลสมันเห็นแก่ตัว หรือว่า มาเพื่อตัวกูของกูนี่มันไม่มี มันสงบจากการที่จะบำเรอตน จะเอามาให้กู แม้จะมีแรงงาน มีความกระตือรือร้น มีจิตใจที่ปรารถนาสร้างสรร ประสงค์สร้างสรร ก็สร้างสรรเพื่อผู้อื่น เสียสละสร้างสรร มีความรู้ความสามารถ มีบทบาทคล่องแคล่ว ฉับไว มีประสิทธิภาพ ทำงานเพื่อผู้อื่น
เพราะฉะนั้น ยิ่งสงบ ยิ่งไม่มีความเห็นแก่ตัว ยิ่งไม่ได้เสียดายตัวเอง ไม่ได้เหลือความเห็นแก่ตัวอยู่เลยนี่ มันยิ่งเพื่อผู้อื่นได้อย่างชัด มันยิ่งมีบทบาท ทำกันอย่าง แหม! เหน็ดเหนื่อยก็ทนได้ ทำแล้วก็สร้างสรรไป ก็เห็นคุณค่าของความจริง ว่ามันดีจริงนะ ได้เกื้อกูลผู้อื่นนี่ ตัวเราเอง ก็ไม่ได้มีการซ่อนแฝง ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจ เห็นจริงว่า เราไม่ได้มีความโลภในลาภ โลภในยศ แม้แต่สรรเสริญเยินยอ ก็ไม่ได้โลภ คนเรายิ่งทำงาน มันก็จะยิ่งถูกติเตียน คนเรายิ่งทำงาน ยิ่งจะมีข้อผิดพลาด จะมีข้อผิดพลาด บกพร่อง จะโดนตำหนิติเตียน มันไม่ถูกใจใครได้ง่ายๆหรอก การทำงานนี่ ใช่ไหม ทำงานแล้ว มันก็จะไปกระทบกระเทือน คนนั้นคนนี้ เขาไม่ค่อยสมใจ ไม่ค่อยเหมาะใจ แล้วยิ่งคนมีกิเลสลำเอียง เห็นแก่ตัว ถ้าตัวเองไม่ได้สมใจก็ว่า เอ๊ะ! ลำเอียง ทีคนนั้นได้อย่างนี้ ทีคนนี้ได้อย่างนี้ อะไรต่างๆนานา เราจะได้รับคำติติง ได้รับการกระทบต่อว่าต่อขาน อะไรพวกนี้ ไม่น้อยน่ะ
เราจะต้องศึกษาอีก อบรมฝึกฝนตนอีก ในเรื่องของการงาน ที่เราทำกับเขานี่ ขนาดเราไม่เอาแล้วนะ ลาภยศอะไร เราไม่เอา แต่เราก็ยังจะได้ เขาต่อว่า เขาติเตียน เขาอะไรต่ออะไรอีก ทำมากมันก็มีข้อบกพร่องได้ มันมีสิ่งที่เขาเอง เขายึดเขาถือ เขาก็คิดว่า เราลำเอียงบ้าง เขาก็คิดว่า เราไม่ให้เขามากกว่านี้ ทำอะไร มันก็อาจจะไม่สมบูรณ์ เมื่อไม่สมบูรณ์ เขาก็หาว่าเราทำผิดพลาด ถ้าไม่สมบูรณ์ นี่นะ บกพร่องผิดพลาด อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันเป็นธรรมดา คนเรา มันจะไปเก่งไปเสียทุกเวลา เก่งไปเสียทุกงาน เก่งไปเสียทุกโอกาส ทุกกิจกรรมกิจการอะไรที่เราทำ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องมีข้อบกพร่อง ผิดพลาดบ้างแน่นอน อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องที่เราจะต้องได้มา ซึ่งการติเตียน ยิ่งทำมาก มันก็ยิ่งมีจุดที่จะต้องได้รับ การติเตียนมามาก แต่เราก็จะทนให้ได้ แล้วเราก็จะศึกษาความจริงว่า เออ! เขาติเตียนมา ถูก ดี เราจะได้แก้ไข ทนได้ แล้วเราก็ได้เสียสละ เราก็ได้ละตัวตน ไม่ถือตัวถือตน ทั้งๆที่เราให้นี่แหละ เขาจะว่าก็ว่า เขาจะติเตียนก็ติเตียน คนไม่เข้าใจแม้แต่ อย่าว่าแต่ คนข้างนอกไม่เข้าใจเลย แม้แต่คนหมู่เรานี่ พวกเราก็ยังมีคนไม่เข้าใจกัน ไม่เข้าใจตัวเรา เราทำดีแล้ว เขาก็ยังมีอย่างโน้นอย่างนี้ อะไร ติเตียนพวกเรา ติเตียนเราเอง ตัดรอนบ้าง อย่างโน้นอย่างนี้บ้าง ห้ามกั้นบ้าง มีโทษมีทัณฑ์อะไร ให้แก่เราบ้าง พวกเราก็ลงโทษลงทัณฑ์กันเอง อย่างนี้เป็นต้น ทั้งๆที่ทำ ไม่ได้เอาตังค์ด้วยนะ ไม่ได้เอาลาภเอายศ อะไรหรอกนะ ยังมีลงโทษลงทัณฑ์พวกเราอีก ถ้าเราเข้าใจดีๆ ก็บอกว่า นี่เป็นเรื่องดี นี่เป็นเจตนาดี เป็นเรื่องที่จะได้ปรับปรุงตัวเรายิ่งขึ้น ไม่ใช่มาแกล้งกัน เมื่อไม่ใช่เรื่องแกล้งกัน เขาตัดรอน เขามามีโทษทัณฑ์ อันนั้นให้แก่เรา ได้ให้เราได้รับ ทั้งๆที่เราไม่ได้มีรายได้ ไม่ได้มีสิ่งที่ เราจะเอามาให้แก่ตัวเอง อย่างที่กล่าวแล้วนี่ มันก็เป็นเรื่องดีนะ
เพราะฉะนั้น ใจเราต้องกว้าง ใจเราต้องมองให้ชัดเจน ใจเราต้องเห็นดีๆ ว่า เอ๊ะ! ที่เราทำอย่างนี้ เขามาทำกับเราอย่างนี้นี่ มันเป็นการทำให้เราเสื่อมเสีย มันทำให้เราตกต่ำหรือเปล่า ที่จริง มันไม่ได้ตกต่ำ ไม่ได้เสื่อมเสีย แม้ว่าเราจะทำงาน ในหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งอยู่ เสร็จแล้ว เราทำไป เขาก็ไม่เห็นด้วยว่า เอ๊! เราทำไปนี่ ไม่ได้ผลดี เขาก็มาห้ามมากั้น หยุด ปลดเราซะ ไม่ให้ทำงานนี้ เราก็ไม่น่าจะเสียใจอะไรเลย เพราะว่า เราไม่ได้ทำอย่างโลกนี่ เราไม่ได้ทำเอาลาภเอายศ เอาสรรเสริญอะไร เราก็ทำช่วยเหลือเฟือฟายไป ไม่ได้ทำงานนี้ งานอื่นเราทำได้ไหม เราก็ทำงานอื่น ก็ไม่ได้ปิดได้กั้นเรา มีงานอื่นให้ทำอีก งานนี้เขาปิด ไม่ให้เราทำ เปลี่ยนไป เราก็ไม่น่าจะต้องไปไม่สบายใจอะไร เราต้องมองให้ออกว่า พวกเรามีเจตนาร้ายต่อกัน จริงๆหรือ ทั้งๆที่เรามีเจตนาดีนะ มาทำงาน ไม่ได้มากอบโกย ลาภ ยศ สรรเสริญ อะไรนะ เรามาออกเรี่ยวออกแรง
เพราะฉะนั้น ในความลึกซึ้งแล้วนี่ เราจะต้องมองให้ลึกซึ้งจริงๆ ให้เห็นว่า เอ๊! ถ้าเราไปคิด แม้แต่อย่าง อย่าไปพูดถึงว่า เขาห้ามเราแล้ว เราก็ไม่ได้ทำงานอันนั้นอันนี้ เพื่อจะดูว่า เป็นบทบาทคุณค่าของเรา ที่จะไปมีต่อสังคม เราก็นึกว่า เอ๊! ทำไมไม่ปล่อยให้เราทำงานบ้าง เราก็เลยน้อยใจ ที่เราไม่ได้ทำงาน อย่างนี้เป็นต้น เราก็ไม่ต้อง ไปน้อยใจหรอก มองในมุมกลับไปอีกให้ได้ว่า เขาน่าจะมีเจตนาดี ไม่ใช่หมายความว่า ตัดรอน ไม่ให้เราทำดีทำเด่นอะไร น่าจะเป็นเจตนาดีว่า เราน่าจะได้ไปทำ ในสิ่งที่มันจะเป็นการพัฒนา เพิ่มขึ้นกว่านั้น อะไรพวกนี้ ถ้าเผื่อว่า เราคิดอย่างนี้ได้ การละตัวตน การยึดติดว่าตัวตน จะต้องถือสา ติดยึดอะไรๆ อย่างนี้อยู่ มันก็ยังมีจริง เพราะนี่มันเป็นรายละเอียด เป็นบทฝึกหัดที่จริง ของแต่ละบุคคล เป็นการได้ล้างได้ละได้ลด เราก็ปล่อยวางเสีย เออ! เขาห้าม เขาหยุด เขาปิดกั้น เราไม่ต้องไปถือสา อาฆาต เคียดแค้น โกรธเคือง ว่าเขาทำอย่างนี้กับเราได้นะ ไม่ต้องเลย นั่นแหละ เราจะได้เป็นผู้ละตัวตน ละกิเลสอัตตามานะ ถือตัวถือดี ถืออะไรต่างๆ หรือแม้แต่ที่สุด ไม่เหลือมานะไม่เป็นมานะ ก็เป็นอัตตาเป็นตัวตน ตัวเราอยู่ว่า เอ๊! เรานี่ ทำไมเขาด่าไม่ได้ เขาว่าไม่ได้ เขาทำอะไรไม่ได้ เขาทำอะไรก็ได้ แม้จะทำให้เราเสียหาย เรายอมได้ แสดงว่า เรายิ่งไม่มีตัวตนเท่านั้น แม้เขาจะทำให้เราเสียหายก็เถอะ อย่างนี้เป็นต้น
อย่างอาตมานี่ โดนด่าโดนว่า โอ้โหย! ช่วยสังคมเขาอยู่ขนาดนี้ เขาก็หาว่าเดรัจฉาน เขาก็หาว่า เป็นผู้ที่จะมาเป็นเสี้ยนหนามศาสนา จะมาทำร้ายทำลาย อย่างนั้นอย่างนี้ สารพัดที่เขาจะว่า อาตมาไม่ใช่ไม่รู้นะ ก็รู้ ถ้าจะนึก ในแง่ศักดิ์ศรี ในแง่เจตนาดี ในแง่ความจริงใจของเรา เราก็ว่า เราทำจริงใจ เจตนาดีทุกอย่าง ศักดิ์ศรีอะไร มันมีทั้งนั้นแหละ แต่อาตมาก็ว่า นั่นมันเป็นตัวตนของเราทั้งนั้น มันอาจจะจริงด้วยนะ ไม่ใช่อาจหรอก มันเป็นจริง จริงๆด้วยว่า เราทำดี จริงๆนี่ มันเป็นดี มันเป็นจริงๆด้วยนะ ขนาดนั้นก็ตาม ถ้าเราไม่เรียนรู้อย่างลึกซึ้งแล้ว เราก็จะเหลืออัตตา ยังเหลือตัวตน ขนาดอาตมาก็แค่นี้ พระพุทธเจ้ายิ่งกว่าอาตมา โดนด่าเหมือนกัน ลักษณะอย่างโน้น ก็ยังโดนด่าโดนว่า
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าก็ตาม เราก็ตาม ใครก็ตาม เรามาศึกษา เป็นลูกพระพุทธเจ้าแล้ว เราก็ต้องวาง เหมือนพระพุทธเจ้า ไม่ต้องให้มีอัตตาไปรองรับ ไม่เป็นไรหรอก เขาจะว่า ก็เรื่องของ ความไม่เข้าใจของเขา ถ้าเราดีจริงแล้ว เขาไม่ให้ทำ ก็ไม่เป็นไรนี่ เราก็ไม่ได้ทำไปแลกลาภ แลกยศ แลกสรรเสริญ อะไรดังกล่าว เราก็ทำเพื่อสร้างสรร นั่นแหละ เป็นประโยชน์ประชาชน เมื่อเขาไม่ให้ทำ เขาจะให้คนอื่นทำ ก็ไม่เป็นไร เราก็ไปทำอันอื่น ซึ่งเขาก็ไม่ได้ห้ามกั้นไว้ เสียทั้งหมด ใช่ไหม ก็มีโน่นมีนี่ที่จะให้ทำ เราก็ทำไป เราก็ได้สร้างสรร อยู่นั่นเอง โดยเฉพาะมันเป็นบทฝึกหัด ที่เราจะได้ลดละอัตตายิ่งๆขึ้น ขอให้พวกเราจำไว้ ไม่เช่นนั้น มันก็ไม่หมดอัตตา แล้วมันก็เหลือเชื้อเหลืออะไร ก็เลยกลายเป็น การกินแหนงแคลงใจ เป็นทุกข์ มันอย่างน้อยก็เป็นทุกข์ในใจว่า เรายังถือสาโกรธเคือง ไม่ประสาน ไม่วางปล่อย ยังมีอะไรข้องๆขัดๆ อยู่ในใจอยู่นั่นเอง นี่เป็นเรื่องที่ จะต้องศึกษาต่อไป แล้วเราต้องกระทำจริงๆ
เพราะฉะนั้น ในการงานที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ คนเข้าใจไม่ได้ ตรงที่ ประเด็นสำคัญ ที่อาตมาพูดแล้วว่า สงบของพระพุทธเจ้า เป็นสงบที่มีการงาน สงบที่มีบทบาท สงบที่จะต้องสร้างสรร ซึ่งเหมือนกับ เราอยากน่ะ เราต้องมีเจตนารมณ์ เราต้องมีความมุ่งหมาย ต้องมีอากังขาวจร หรืออิจฉาวจร เรียกว่าความปรารถนา คนเราต้องมี ใช่ไหม ไม่มีความปรารถนา ไม่มีความเป็นไป ที่จะมุ่งมาดปรารถนา เจตนา แล้วจะทำอะไรได้ มะลื่อทื่อ เฉื่อยๆ อะไรก็ไม่มี จุดมุ่งหมายอะไรก็ไม่มี ความรู้ความเห็น มันไม่ได้ มันต้องมีจิตวิญญาณ ที่จะมีตัวปัญญา ตัวเข้าใจ ความมุ่งหมายทิศทาง แล้วต้องมีแรงด้วย มีกำลังของความเพียรด้วย มีกำลังของความเพียร มุ่งมั่น เหมือนกับหม้อ steam ที่เปิดแรงดันออกไป มันถึงจะมีฤทธิ์ มันถึงจะมีบทบาท มันถึงจะมีกำลังอะไร ที่จะไปสร้างสรรอะไรได้ ทำอะไรก็เนือยๆ เฉื่อยๆ อะไรต้าน เตาะไปนิดหนึ่ง ถอยหลังกรูดไปเลย ไม่ต่อ อย่างนี้ไม่ได้ ถ้ามันเป็นสิ่งดี ก็รังสรรค์ต่อไป เดินหน้าต่อไป มีแรงต่อไป มันต้องอย่างนั้น มันถึงจะสร้างสรร มันถึงจะมีน้ำมีเนื้อ มีฤทธิ์ มีบทบาท กอบก่ออะไรขึ้นได้ นี่ก็คงเข้าใจนะ
อาตมาพยายามใช้ภาษาไทย อธิบายขยายความให้ฟัง พวกคุณก็คงเข้าใจ ทีนี้เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเราเอง เราทำเพื่อผู้อื่น เขาก็ระแวงว่า เอ๊อ! ทำเพื่อผู้อื่น แล้วเอ็งจะได้รับคำชมเชย ได้รับคำยกย่อง ก็ไม่เป็นไร อาตมาเคยพูดนะ มันเป็นอุปกิเลส ที่เราหลงของเรา เท่านั้น ถ้าเผื่อว่าจริงๆ เรายังอยากได้คำชมเชย อยากได้คำยกย่องนับถือ มันก็เป็นกิเลสของเรา เราก็เรียนรู้ของเรา แล้วเราลดของเราให้ได้ซี แม้ว่าเราลดกิเลสตัวนี้ไม่ได้ แต่คุณทำด้วยบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ไปแลกลาภแลกยศ เป็นแต่เพียง อยากได้ให้เขามาชมเชย ดัง เท่านั้น อาตมาก็ว่า มันไม่น่าจะ แหม! หวงแหนอะไรมากมายเกินไป นะมนุษย์น่ะ ทำไมกันเล่า ก็เขาอยากจะได้คำชมเชยเท่านั้น แล้วเขาก็ลงทุนลงแรง สร้างสรรออกจะตายไป ก็ให้เขาบ้างไม่ได้เหรอ ถึงแม้ว่าคุณไม่ชมเชย คนอื่นเขาจะชมเชย ก็ไปริษยาเขาทำไม คนอื่นเขาจะยกย่องสรรเสริญ ก็เขาทำดีจริงๆ มันก็น่าจะเป็นจริง มันก็น่าจะให้เขา เท่านั้น อย่างพระพุทธเจ้าท่านทำ ได้รับคำสรรเสริญ ชมเชย จนกระทั่ง ถึงจนป่านนี้ คำสรรเสริญ ยกย่องบูชาเคารพ ท่านไม่ได้อยากได้นะ ท่านเรียนรู้ ของท่านเอง เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัว เรามาลดมาละกิเลส อันนี้เอง ห้ามไม่ได้หรอก คนที่ทำดี สิ่งเป็นคุณค่าประโยชน์ แล้วคนจะชมเชย ยกย่อง สรรเสริญ บูชาบ้าง มันห้ามกันไม่ได้หรอก มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรนี่
ข้อสำคัญ ตัวเราเท่านั้น รู้เท่าทันกิเลส ที่เราไปหลงใหลได้ปลื้ม ยินดี ในคำสรรเสริญ ชมเชยนั้นไหม เท่านั้นแหละ เราละกิเลสนั้นได้ไหม ถ้าละได้ก็จบ ละได้ก็สงบ ละได้ก็บริสุทธิ์ เราก็รังสรรค์ไป แล้วบทบาทการงานเหล่านี้ คนเข้าใจยาก เพราะมันย้อนแย้งกับคำว่า สงบ อย่างพาซื่อ คำว่า สงบอย่าง.. มันไม่เดียงสา มันอะไรล่ะ มันซื่อบื้อ มันพาซื่อ เถรตรง อะไร อื้อ! คำว่าสงบแบบเชยๆ แบบหมากรุกชั้นเดียว ลักษณะความสงบ แบบตื้นๆน่ะ พาซื่อตื้นๆ เถรตรง หยาบๆง่ายๆ สงบก็คือ นิ่งๆ เฉยๆ สงบแบบ naive ภาษาอังกฤษมัน naive หรือ innocent naive แบบพาซื่อ แบบไม่เดียงสา แบบตื้อๆ ไอ้สงบอย่างนั้นง่าย ใครก็เข้าใจ
ทีนี้สงบแบบลึกซึ้ง อย่างที่ของพุทธ ที่อาตมากำลังจะบอกพวกคุณนี่ สงบความมีกิเลส ในตัวเราเพื่อเรา เพื่อตัวกูของกู มันหมด แต่เพื่อผู้อื่น เพื่อสร้างสรร เพื่อความเกื้อกูล ช่วยเหลืออะไรต่างๆอยู่นี่ โอ๋ย! มันไม่สงบหรอก มันออกจะแรงเอาด้วยนะ มันมีพลังด้วย เป็นพลังสร้างสรร เป็นพลังสงเคราะห์ เป็นกำลังแห่งการงานอันไม่มีโทษ เป็นพลังแห่งอนวัชชพลัง พลังแห่งการงานอันไม่มีโทษ เป็นพลังแห่งการสงเคราะห์ผู้อื่น เป็นสังคหพลัง ด้วยปัญญาที่มีกำลัง ด้วยพลังความเพียรที่มีกำลัง มันเป็นกำลังจริงๆนะ กำลัง มันก็ต้องออกไป มันต้องดัน ต้องสร้างต้องสรรอยู่ มันจะไปอยู่นิ่งๆเฉยๆ ไม่มีบทบาทได้ยังไง มันต้องทำ มันต้องคิด
อาตมาเมื่อกี้นี้ ท้วงทางด้านหมอ ที่เขามาวัดค่าความสงบ ความอะไรต่ออะไร ต่างๆนานาพวกนี้ อาตมาก็เลยให้ข้อคิดว่า สงบของพุทธมันไม่ได้สงบ จะเอาเครื่องมาวัดนี่ ลำบากนะ วัดคลื่นสมอง วัดอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา เอ๊! มาวัดสมองคลื่นสมองพวกเรานี่ มันก็ไม่สงบซี ใช่ไหม มาวัดคลื่นสมองพวกเรา มันก็คิดน่ะ มันก็มีสัมมาสังกัปปะ มันก็ทำงานน่ะ จะวัดรู้เรื่องหรือ ถ้าจะไปเอา เข้าใจภาษาตื้นๆๆๆ ว่าไปวัดคลื่นสมองพวกนี้ สงบนี่ เขาก็นิ่ง ไม่คิดไม่อะไร เอ๊อ! คุณวัดได้ค่าดี พวกนี้สงบดี คงออกมาแน่ เครื่องวัด มันจะไปเก่งขนาดไหน ก็แค่วัตถุธรรม มันจะมาแยกออกหรือว่า คิดชั่วหรือคิดดี ใช่ไหม มันวัดไม่ออกหรอก ว่าคิดชั่วหรือคิดดี คิดเห็นแก่ตัว หรือว่า คิดเห็นแก่ผู้อื่น มันไม่รู้หรอก วัดออกหรือเครื่องมือ มันวัดออกได้ยังไง นี่สร้างเพื่อผู้อื่น นี่สร้างเพื่อตัว มันวัดออกได้หรือเครื่องมือ ไอ้มิเตอร์พวกนี้ บอกว่า มาวัดคลื่นสมอง ว่าจะมีความสงบ มีความเย็น อะไรแค่ไหน โอ๊ย! ดีไม่ดี มันจะร้อนเอาด้วย มันไม่เย็นน่ะ เพราะมันทำงานอย่าง แหม! นี่ คลื่นสมอง มันก็ทำงานอย่างนี้ มันจะไปเย็นอะไรล่ะ จะไปวัดค่าออกมายังงี้ อาตมาก็ให้ข้อคิดเขา บอกว่า แหม! ยากนะ พุทธศาสนานี่ลึกซึ้งนะ วัดค่าของกิเลสนี่ วัดยาก กิเลสมันมีเงื่อนไขอยู่ว่า มันเพื่อตัวเพื่อตน เพื่อตัวกูของกูน่ะกิเลส ถ้าไม่เพื่อตัวกูของกู เพื่อผู้อื่นนี่ มาเรียกกิเลสไม่ได้นะ
นี่เป็นพลังสร้างสรรนะ ในโลก ต้องการพลังนี้อย่างมากเลยนะ จะไปเอาอย่างฤาษี นี่เขาถึงบอกว่า ศาสนาอย่างฤาษี ถ้าบอกโลกุตระนี่ เห็นไหม คนเข้าใจผิดในทางศาสนาพุทธ แม้อยู่ในเมืองไทยนี่ เขานับถือว่าเป็นปราชญ์ ก็ตาม เข้าใจศาสนาพุทธผิด แล้วบอกว่า โอ๊ะ! อย่าเอาศาสนาโลกุตระ เอาไปนิพพานนี่ มาสอนคน เพราะนิพพาน มันประโยชน์ส่วนตัว นิพพานนี่ ท่านไม่ทำอะไรแล้ว ท่านไม่ยินดียินร้ายอะไร ท่านไม่โลภ ท่านไม่ต้องการลาภยศ สรรเสริญ ท่านไม่เอาอะไร แล้วท่านก็นิ่ง ไม่สร้างไม่สรรอะไร เอามาพัฒนาประเทศชาติ ไม่ได้หรอก อย่าเอาโลกุตระ มาพัฒนาประเทศชาติ แหม! อาตมาแล้ว อื้อหือ! ปราชญ์หนอปราชญ์ มันน่าจะปาด ปาดปากนะ ไม่ให้พูด พูดมาผิดๆเพี้ยนๆอย่างนี้ ใช้ได้หรือ นี่เข้าใจศาสนาพุทธ ไม่เพียงพอ
อาตมาทุกวันนี้ดีนะ ได้เอาสูตรต่างๆของพระพุทธเจ้า มาขยายความ มายืนยันยืนหยัด พวกคุณก็เข้าใจชัดขึ้น ใช่ไหม เสร็จแล้ว เราได้เข้าใจชัดขึ้น แล้วเราเป็นไปได้ไหม ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า เป็นไปได้ไหม มันรู้สึกจะย้อนแย้งอยู่นะว่า เอ๊ะ! สงบ แล้วทำไมยังมีบทบาท สงบทำไมยังขยัน สงบทำไมยังสร้างสรร อะไรต่ออะไรอยู่แบบนี้ มันอยากนี่ เอ้า! แล้วอยากไม่ได้หรือ อาตมาเรียกว่าวิภวตัณหา เป็นตัณหาอุดมการณ์ อยากไม่ได้หรือ ไม่ได้อยากมาให้ตัวเอง ไม่ได้เอามาบำเรอตน ไม่ได้เอามาแลกลาภแลกยศ แลกสรรเสริญ แลกแม้แต่อารมณ์โลกียสุข ที่จะบำเรอว่า โอ๊ย! ได้ทำแล้วก็มันดี เป็นกัมมรามตา เป็นการงาน ที่ยังมีความติดงาน แล้วก็มันดี เอร็ดอร่อยอะไรนี่ มันก็ไม่ได้มีกิเลส ถึงขนาดอย่างนั้น ซึ่งมันลึกซึ้งมากเลย คมฺภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา ลึกซึ้ง เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยากจริงๆ
อาตมาพูดนี่ ก็ไม่รู้ว่า พวกเราจะรู้ตามได้ขนาดไหนหรอกนี่ ไม่ใช่ว่าดูถูกนะ ฉลาดกันบ้างไหมล่ะนี่ หรือเข้าใจลึกซึ้งกันบ้างไหม ไม่ง่ายนะ แล้วยิ่งจะมาแยก วิเคราะห์วิจัยกิเลส ให้ออกจริงๆเลยว่า เอ๊! นี่มันทำ เพื่อผู้อื่นจริงๆ บริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์หรือเปล่า หรือว่า เราทำเพื่อ จะได้อย่างน้อย ไม่เอาลาภแลก มาเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ได้ยศได้ตำแหน่ง แต่มันก็ได้สรรเสริญเยินยอ ซึ่งมันห้ามไม่ได้ อาตมาบอกแล้วแต่ต้น มันไปห้ามคนที่เขาเห็นดีเห็นชอบ เขาก็ต้องสรรเสริญเยินยอ มันห้ามไม่ได้หรอก คนที่เขาเข้าใจว่า เอ๊! อย่างนี้เป็นเรื่องของเสียสละ เป็นเรื่องสร้างสรร เป็นเรื่องดีนี่นะ เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ประชาชน แล้วจะไปห้ามเขา ไม่ให้เขาชมเชยยกย่อง มันห้ามเขาไม่ได้หรอก เป็นแต่เพียงว่า เรานี่มีกิเลสฟูใจ ในคำชมนั้นหรือไม่ เท่านั้นเอง
ถ้าเราไม่มีกิเลสฟูใจในคำชมนั้น ก็หมดตัวหมดตน ตรงนี้ มันก็แฝงอยู่นี่ เราจะต้องการคำชมเชยหรือเปล่า ชื่นใจ มันยังสุขใจ ได้ตำหนิติเตียน แล้วก็หม่นหมอง ได้ตำหนิติเตียน แล้วก็เกิดฝ่อ เกิดลดกำลังใจ แหม! ไม่มีกำลังใจจะทำงานแล้ว ท้อแท้แล้ว เพราะเขาติเตียน เพราะเขาไม่ชมเชย เพราะเราไม่ได้ ถ้าเราต้องการคำชมเชยอยู่ หรือว่าไม่ชอบให้ติเตียนอยู่ เราก็ไม่มีกำลัง แต่ถ้าเราลดความ เอ๊อ! ติเตียนก็ติไป เขาติ เราก็เอามาวิจัยวิเคราะห์เอา เขาติเตียน มันถูกต้องไหม เออ! มันบกพร่อง เอ้า! ขอบคุณเขา
ถ้ามันไม่เป็นจริง ติเตียนมา มันผิดพลาดนี่นะ ก็เข้าใจไม่ถ้วนรอบ ข้อมูลหรือความจริงอะไรต่างๆ เขาไม่รู้ เขาก็ติเตียนเรา ก็ไม่เป็นไรนี่ เขาจะติเตียนเรา ก็ดีแล้วนี่ ไม่ได้จ้างสักบาท มาติเตียนให้ มามองมุม มองเหลี่ยม มองแง่มองเชิง ที่มันน่าตำหนิติเตียนให้ ขอบคุณเขาซะ
แม้เขาจะเป็นเครื่องวัด เครื่องติเตียนที่ยังไม่แหลมคม ยังไม่เฉลียวฉลาดพอ ไม่ถูกความจริง ก็ไม่น่าจะต้องไปว่าเขาน่ะ อย่าว่าแต่เขามาติเตียนเพื่อก่อเลย ต่อให้เขามาติเตียน เพราะว่าเขาโกรธเขาชัง แล้วก็ติเตียน หาเหตุหาผล มาให้ด้วย เอ้อ! เอา ต่อให้ด้วย โกรธก็ช่าง แต่หาเหตุหาผลมาให้ด้วยนะ แหม! มองมุมมองเหลี่ยม แง่นั้นเชิงนี้ เออ! มันดีเหมือนกันนะ เราก็จะได้วิเคราะห์ วิจัยตัวเราเองว่า เออ! จริงด้วยนะ เหตุผลอย่างนี้ๆนี่ เราก็ได้แก้ไข ปรับปรุงตัวเราเหมือนกัน
แม้เขาจะแฝงมาด้วยความเกลียดชัง หาแง่อะไรที่มันเสียหาย มาให้อย่างชัดๆเจนๆ เอ้า! มันก็ดีน่ะศิ เราคิดไม่ออก เขาคิดให้ด้วย ไม่ได้จ้างได้วานเสียหน่อย ก็ขอบคุณเขา
เพราะฉะนั้น การติเตียน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เหมือนเขาชี้ขุมทรัพย์ ต้องอ่านให้ออก ดี เพราะฉะนั้น เราทำงานที่ไม่มีกิเลส แม้ติเตียนก็ได้ ชมเชยก็ไม่ฟูใจ ไม่มีตัวตน เราก็รังสรรค์ต่อไป สร้างสรรต่อไป บทบาทการงานพวกนี้แหละ เป็นบทบาทการงาน ที่เป็นอุดมการณ์ เป็นความเป็นไปได้ เป็นหลักทฤษฎีของพระพุทธเจ้า อาตมายืนยันว่า จะเป็นคุณธรรม ที่จะกอบกู้ความล้มเหลวของสังคมได้จริงๆ
ทุกวันนี้ เราแก้ปัญหาของสังคมไม่ได้ สังคมมันล้มเหลว มันมีแต่ การเห็นแก่ตัว เอาเปรียบเอารัด คนที่จะมาพยายามสร้างสังคม ช่วยสังคม ด้วยการเสียสละ จริงจังจริงใจอย่างนี้ มันหาได้ยาก ทุกวันนี้ คนของสังคม ชาวอโศกไปแสดงตัว ไปมีพฤติกรรมบทบาท ซึ่งเขาก็ต้องระแวงน่ะ แต่เอาเถอะ ถ้าเราจริงจังนะ เราเป็นคนบริสุทธิ์ใจ ซื่อสัตย์สุจริต จริงจังจริงใจ ที่จะสร้างสรรทำงานจริงๆ เราก็บำเพ็ญตน อบรมฝึกฝนตน ได้เป็นคนดีอย่างนั้นจริงแล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก เขายังไม่เชื่อวันนี้ เอ้า! อีก ๒ปี เขาก็ค่อยเชื่อ, ๒ปีไม่เชื่อ ๔ปีก็คงจะพอเชื่อมั่ง, ๔ปีไม่เชื่อ ๖ปี, ๖ปีไม่เชื่อไม่เป็นไร ทำอีก ๘ปี, ๘ปีไม่เชื่ออีก ๒๐ปี ถ้ายังไม่ตายก่อน ทำไป ถ้าเราจริงจัง เราก็ต้องทำอย่างเก่านั่นแหละ ซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ จริงใจอยู่อย่างนั้นแหละ มันของแน่ๆ อย่างนี้
ถ้าเผื่อว่า เราเป็นคนจริง ที่มีคุณธรรมขนาดนั้นจริงแล้ว สร้างสรรไปเลย เขาไม่ชมเชย เขาเห็นไม่ได้ ก็เป็นความตาบอดตามืดของเขา หรือเป็นความขี้ระแวงของเขา แต่ความจริง เราได้ทำดีแล้ว เป็นบุญแล้ว ใช่ไหม บุญมันไม่ขึ้นกับเขานี่ บุญมันขึ้นกับเราเองน่ะ มันกุศลกรรม ของเราก่อ ของเราเอง ก็สร้างเข้าไปซี เท่าไหร่ๆ มันก็เป็นของเรา เป็นมรดกของเรา เป็นกัมมทายาโทของเราอยู่แล้ว จะไปทำไม เขาไม่ชมไม่เชย ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เขาจะติเตียน ก็บอกแล้ว ก็เอามาพัฒนาแก้ไขปรับปรุง ถ้าเขาไม่ติเตียนเสียอีกซี เราผิดพลาดก็ไม่รู้ตัว เราก็อาจจะลำเอียง เข้าข้างตัวเองก็ได้ เขาติเตียนให้ เป็นบุญอยู่แล้ว ช่วยมอง ช่วยวิเคราะห์วิจัยให้ ดี ดีน่ะ
เพราะฉะนั้น เรื่องของการงาน กับเรื่องของความสงบ ที่อาตมา เอามาขยายความขณะนี้ ให้เข้าใจให้ได้ว่า ความสงบของศาสนาพุทธนั้น เป็นคนสงบจากกิเลส ไม่ใช่ว่าเป็นคนสงบ แล้วก็ไม่ทำงาน แล้วก็ไม่มีบทบาทคุณค่า ไม่สร้างสรรอะไร ไม่ใช่เลย ตัวนี้แหละ คนเขายังไม่รู้เรื่อง คนเขายังมองไม่ออก แล้วคนเขายังไม่เข้าใจ มันพาซื่ออย่างที่กล่าวแล้ว มันเข้าใจเอนเอียง ในความหมาย เขาไปเข้าใจความหมาย สงบ เป็นแบบมะลื่อทื่อ เป็นแบบพาซื่อ แบบเถรตรง อย่างที่กล่าวแล้ว
ความสงบของพุทธของเรานี้ จึงลึกซึ้ง แล้วมีคุณค่า เห็นไหมว่า ลึกซึ้ง แล้วมีคุณค่า อย่างแท้จริงอย่างนี้ จะเป็นไปได้มากน้อย ได้แค่ใด มาพิสูจน์กัน มาพิสูจน์กัน ใครเห็นว่าน่าพิสูจน์ไหม น่าพิสูจน์ไหม น่าพิสูจน์นะ ถ้าทำได้แล้วมันจะเลวหรือเปล่า หือ! อาตมาว่า มันดีแต่ถ่ายเดียว สังคมต้องการมากนะ ถ้าจะว่าเป็นดีมานด์ของสังคมนี่ ไอ้นี่เป็นดีมานด์มหาศาล ดีมานด์นี้ เป็นการสร้างให้แก่โลก คือสร้างคน สังคมต้องการคนชนิดนี้ จริงไหม
สังคมต้องการคนชนิด ไม่มีกิเลสเห็นแก่ตัว แล้วก็เป็นคนขยันหมั่นเพียร สร้างสรร มีสมรรถภาพ รู้จักการงานที่ดี เป็นการงานอันไม่มีโทษ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นหนึ่ง แล้ววันๆคืนๆ ก็สร้างสรร แล้วมีระบบ ความเป็นอยู่ด้วย ว่าเป็นอยู่รอด มีระบบความเป็นอยู่ด้วย เป็นอยู่รอด แหม! อาตมาพูดไป ก็ออกจะภาคภูมิพวกเรา มันถึงขั้นมิจฉาอาชีวะ ๕ ในข้อ ลาเภ น ลาภัง นิชิคิงสนตา ข้อที่ว่า ไม่ทำงานเพื่อเอาลาภแลกลาภ พวกเราก็ทำได้ มันออกจะน่าภาคภูมิ อาตมาไม่ได้ฟูใจหรอกนะ ที่พูดนี่ บอกให้ทราบความจริง เดี๋ยวอาตมาจะถูกดูถูก ที่พูดนี่ ไม่ได้พูดด้วยมานะ เดี๋ยวจะถูกดูถูกว่า อาตมาพูดนี่ แหม! เดี๋ยวเขาจะหาว่า เราพูดนี่ เรายังภาคภูมิ ดีใจอยู่ว่า เราทำได้ดี ที่จริงมันดี แม้ไม่ภูมิใจ มันก็เป็นสิ่งดีนั่นอยู่แล้ว อาตมาเข้าใจอย่างนี้ แล้วอาตมาก็ทำใจในใจ มีมนสิการ อาตมาทำใจในใจ ของอาตมาเป็นแล้ว อาตมาไม่ได้พูดด้วยความเหลิง โดยความผยอง หรือว่า โดยความระเริงใจอะไร ที่ว่าเราทำได้ดีนี่แล้ว ก็เลยมาระเริงกับความดีนี้ ไม่ใช่หรอก แต่มาชี้ความดีนี้ มาให้พวกคุณ เอาไปพิสูจน์ความจริงว่า อโศกเราทำได้อย่างนี้ จริงไหม
ขณะนี้ มันมีรูปธรรม มันมีตัวจริง มันมีลักษณะจริง มันมีคนจริงที่ทำอยู่แล้ว เห็นไหม ทำงานไม่ต้องแลกลาภแลกยศ ที่เคยมีงานการอยู่เก่า ยศก็สูงกว่านี้ รายได้ก็... ยศก็ไม่ได้เป็นยศ ดีไม่ดี ถูกเหมือนกับเสียศักดิ์ศรี เหมือนกับ โอ้โฮ! มาทำอะไร งานต่ำๆ อะไรต่างๆนานา เราก็ทำกันได้อยู่ด้วยซ้ำ บอกแล้วว่า เรื่องสรรเสริญเยินยอ หรือนินทา มันก็ยังมีได้
แม้แต่ในตัวเราเอง ก็นินทากัน ติเตียนกัน เพื่อจะให้มันพัฒนาขึ้น ติเพื่อก่อ เราก็ยังทำอยู่ได้ ทนได้ หน็อย! ทำไม่เอาตังค์ ยังมาติเตียนกันอยู่ได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้มาเอาอะไร ยังติเตียนอีก เราก็ยังทนได้อีก สิ่งเหล่านี้ มีตัวจริงในพวกเราไหม หือ! จะทำไปนานเท่าไหร่ หือ! ตลอดไปจนตายหรือ พูดเองแล้วนะ พูดเองนะ อย่าขบถนะ ขบถ สั่งประหารชีวิตนะ อย่ากลับกลอก อย่าเปลี่ยนนะ
เราจะเห็นด้วยเหตุผลนี่ มันจริง มันเหลือแต่ว่า เราเป็นไปได้จริงไหม เท่านั้นแหละ ทุกวันนี้ อาตมาก็พูดซ้ำอีกว่า พวกเราเป็นไปได้บ้างแล้ว เอาละ มันอาจจะยังไม่จริงจังจริงใจ มันอาจจะมีความขี้เกียจบ้าง บางคราว มันอาจจะไม่เกิดฉันทะยินดี มันอาจจะไม่เบิกบานสดชื่น เพราะว่ามันยังรู้สึกว่า แหม! มันยังฝืนๆ มันยังไม่ยินดีปรีดา ภาคภูมิอะไรนัก บางครั้งบางคราว มีเหตุปัจจัย ทำให้มันรู้สึกว่า มันไม่เบิกบานยินดี ร่าเริงอะไรนัก ก็ต้องเข้าใจให้ได้ว่า เรายังบกพร่องอยู่ เราต้องแก้ไข จิตวิญญาณของเราเองว่า ทำไมคุณทำดี คุณไม่ยินดี คุณไม่มีฉันทะ คุณไม่เบิกบานร่าเริง ทำดีแล้ว ไปเหี่ยวไปห่อไว้ทำไม หือ! ห่อหมักๆเข้า ห่อนานๆเข้า หมักหมมเข้า เหม็นนะ ไปห่อไปเหี่ยวทำไม ยิ่งห่อยิ่งเหี่ยวด้วย ทำไมไม่เบิก ทำไมไม่บาน ทำไมไปห่อทำไมไปเหี่ยวน่ะ ให้มันเบิก ให้มันบานซี เราทำผิดตรงไหน เราทำชั่วตรงไหน เหอ! ไปห่อไปเหี่ยวอะไร ต้องเบิกบานร่าเริง สง่าผ่าเผย องอาจแกล้วกล้าอาจหาญ นี่เห็นเหตุผล ที่จริงให้ได้ แล้วไปทำให้ตรงกับความจริง โดยความหมายที่อาตมากล่าวนี้
ทุกวันนี้ งานการของเรานี่ ออกไปสู่ประชาชน มีการรังสรรค์ มีการสร้างสรร มีการทำงาน แล้วเราก็มีระบบของเรา ซึ่งเราศึกษามามาก ลดไอ้ที่ส่วนเฟ้อส่วนเกิน กินน้อยใช้น้อยลงมาได้ แล้วเราก็ไม่ได้ทรมานตน พวกหมอเขามาตรวจนี่ มหาวิทยาลัยมหิดล มาตรวจเช็ก ด้านโภชนาหาร ด้านโภชนศาสตร์ ซึ่งเรากินกันคนละมื้อเดียว บางคนอาจจะมากมื้อบ้าง ก็แล้วแต่ แต่กินน้อยลงน่ะ แล้วมันเป็นยังไง พวกเรานี่ สุขภาพร่างกาย ก็มาวัดหมดนะ ไขมันใต้ผิวหนัง มันจะอ้วนไปไหม มีไขมัน มีโรคนั่น มีวิตามินเอ บี ซี อะไรต่างๆนานา มียังไงๆนี่ วัด อาตมามีผลออกมาแล้วว่า อาตมานี่ขาด บี ๑ ว่าอย่างนั้น นอกนั้น เจ๋งเป๋งเลย ทั้งนั้น สุขภาพสมบูรณ์ ขาด บี ๑ แต่ไม่ได้ขาดมากน่ะ ค่าของมันออกมานี่ ๒.๑๐ เขาบอกว่า ธรรมดาของเขานี่ จะต้อง ๑.๓๕ นี่ ไม่มากไม่มายอะไรหรอก นิดหน่อย ค่ามันมาก ค่ามันไม่พอ ค่ามันขาดไปหน่อยหนึ่ง อาตมาก็บอก เออ! แหม! มันไม่ขาดได้ยังไง อาตมาก็กินผักสด เก่งพอสมควร บี ๑ ไม่เป็นไร ทีนี้กินผักสดมากขึ้น อย่าเอาผักที่มีสารพิษมานะ กินอีก อาตมาไม่เกี่ยง กินผักสด อาตมาไม่เกี่ยงจริงๆนะ กินผักสดนี่ กินง่าย เพราะมันกรอบ ผักสดมันกรอบ ถึงแม้มันจะมีบางชนิด มีรสหวานบ้าง มีรสไม่หวาน มีรสเผ็ด รสขื่นบ้างอะไร ก็ไม่มีปัญหาอะไร สะดงสะเดา อาตมาก็กินได้ ถึงแม้จะมีรสขื่นอะไรบ้าง บางอย่างมันก็มี กินได้ผักสด แล้วผักที่กิน ไม่ขื่นไม่ขมอะไร กินออกจะหวานๆ ด้วยซ้ำไป กรอบๆ หวานๆ เยอะแยะไป ผักสดน่ะ บี ๑ ขาดเท่านั้นเอง
แล้วไขมันเหรอ พวกเรานี่ เมื่อกี้ค่าออกมา ไม่มีใครมีไขมันเกินเลย นี่แสดงว่า พวกเรา จะไม่เป็นโรคหัวใจตาย เพราะไขมันไม่อุดตัน เส้นเลือดตาย เหตุที่หัวใจวาย หัวใจตายนี่ ไขมันอุดตันเส้นเลือดนี่ เป็นเรื่องง่ายที่สุด แล้วก็ค้นหาไม่เจอเสียด้วยนะ เพราะเส้นเลือดมันเยอะ แล้วเขาหาไม่เจอด้วย หัวใจวายนี่ มันเหตุปัจจัยมาจากอันนี้มาก เหตุปัจจัยมาจาก ไขมันอุดตันเส้นเลือด แล้วก็เลยไปหล่อเลี้ยงไม่ทัน ตายนี่ หัวใจวายอันนี้ นี่เป็นเหตุปัจจัยสำคัญเหมือนกัน บอกว่า โอ! พวกเรานี่ ไขมันอยู่ในอัตราที่ไม่น้อยไป และไม่ต้องกลัวเลยว่า ไขมันนี่ โรคโฆเลสเตอรอลเฟ้อนี่ ไม่มีในพวกเรา เขามาวัดไปแล้ว งวดหนึ่ง ๒๐ คน ไม่มีเลย นี่อีก ๒๐ งวดนี้ อาตมาก็คิดว่า คงจะไม่มีอีก
เพราะพวกเรา เป็นพวกที่มาตรฐาน เป็นพวกมาตรฐาน สันทัด คนประเภทพะโล้ หายาก คนผอมนี่ ร่างกายเซลล์ประสาทแข็งแรง อยู่ในมาตรฐาน ไม่ต้องกลัวหรอกผอม ถ้าเราผอม เรามีโรคนะ เราไม่แข็งแรง ในส่วนนั้นส่วนนี้ เราก็บำรุงร่างกาย หรือว่า ออกกำลังกายขึ้นมา มันจะขึ้นมาเอง กำลังกายขึ้นมาน่ะ เป็นกล้ามเนื้อ เป็นเซลล์ประสาท ที่จะทำงาน เกิดมาเพราะการงาน ไม่ใช่เกิดมาเพราะ สภาพที่กินหรือนอน นอนกิน ให้มันไปสะสมอะไรพวกนี้ มากเกินไป ไม่ใช่ จ่ายเสียด้วยซ้ำ จ่ายแคลอรี่ จ่ายพลังงาน แล้วมันก็เกิดบำรุง ให้เกิดกล้ามเนื้อ ให้เกิดเซลล์ ให้เกิดอะไรต่ออะไรขึ้น ที่จะเป็นตัวเจริญ ที่แท้จริงด้วย ยิ่งแข็งแรง ยิ่งมีสิ่งที่จะออกมาสร้างสรร เป็นพลังงาน สร้างกำลังได้ดีด้วย
นี่เขามาศึกษา เขาบอกว่า น่าสนใจมากเลย ว่ายังงั้น พวกเรานี่ มันเป็นตัวอย่าง ที่จะต้องตรวจสอบ บอก โอ๊! กินอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ มีอะไรอย่างนี้นี่ มันมีหลายแง่หลายประเด็นนะ หลายเชิงที่เขาจะทดสอบ เขาจะศึกษา บอกว่าน่าสนใจมาก อาตมาก็ว่าดี สนใจมากๆก็ดี แล้วมาตรวจสอบด้วยหลักวิชาการ ให้พวกเราได้ซับซาบว่า พวกเรามาอยู่นี่ เราก็พยายามที่จะหาทาง มาเป็นคนที่เจริญทุกอย่าง เจริญทางกายภาพ เจริญทางจิตภาพ สมบูรณ์ทุกอย่าง กายภาพก็เจริญ จิตภาพก็เจริญ แล้วอาตมาก็ยืนยันกับพวกเราอยู่ว่า พวกเราจะเป็นคนอายุยืน ขอยืนยัน
เพราะพวกเรา มันสุขภาพทั้ง ๒ ด้าน สุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพใจ มันดีทั้ง ๒ ด้าน แล้วมันจะไม่อายุยืนได้ยังไง จริง สรีระที่มันคร่ำคร่า มันมีมลพิษ มันมีอะไรมา เรามาที่นี่ เราก็มาสำรอกมลพิษ ไม่ใช่ว่า เรามาเพิ่มมลพิษ อยู่ทางโลกๆนี่ ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้เอาสารพิษอะไรใส่เข้าไป ไม่รู้ว่าเอาพิษทางอากาศ ทางอาหาร ทางสัมผัสรับมา ดีไม่ดีรับเชื้อ เป็นเชื้อโรคเชื้ออะไร มาด้วยอีกซ้ำไป โอ๊! ไม่ปลอดภัยมากเลย เดี๋ยวนี้ มลพิษต่างๆ ในสังคม ในโลก ในบรรยากาศ
แต่พวกเราอยู่ในถิ่นฐาน ที่เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ พวกเรา พยายามที่จะปลอดเชื้อกัน ไม่รับเชื้อมลพิษอะไรต่างๆ ก็ไม่กอบไม่ก่อ ไม่สร้าง ไม่กระทำขึ้นมา พยายามให้มันบริสุทธิ์สะอาด เป็นธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มันเป็นของเดิมของจริง มีนิเวศวิทยาที่ดี มีสิ่งแวดล้อมที่ดี เสร็จแล้ว เราก็มามีบทบาทชีวิต มีการงาน มีการสร้างสรร มีการหมุนเวียนออก ได้ทำงานทำการ มีการได้จ่ายกำลังงาน ออกกำลังกาย ทำงานทำการ สร้างสรรโน่นนี่ อะไรต่ออะไร มีการหมุนเวียนในสรีระ เจริญงอกงาม อยู่ทุกวันๆๆๆ มันจะไม่แข็งแรงได้ยังไง เหตุปัจจัยของมัน ดีอย่างนี้น่ะ แล้วเราก็รู้ มีความรู้ด้วย มีหลักการอะไร
การงานนี่ จะทำให้คนเราทั้งสร้างสรร มีประโยชน์คุณค่ามีบุญ แล้วยังทำให้ สุขภาพชีวิต อายุยืนด้วย อาตมาหว่านล้อมมากไปไหม อาตมาว่า อาตมาวิเคราะห์สัจจะให้ฟังนะ ไม่ได้ไปหว่านล้อมอะไรพวกคุณนะ ว่ามุมดีมันเป็นอย่างนี้ สิ่งดีมันเป็นอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า มาหว่านล้อม มาพูดอะไรต่ออะไร ประเล้าประโลม ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีความจริง อาตมาว่า อาตมาพูดความจริงสู่กันฟัง แล้วมันก็เป็นเรื่องดี ทิศทางที่ดี สิ่งที่ดี บอกเหตุแล้วก็บอกผล ว่ามันจะอายุยืน ผลคืออายุยืน จากเหตุ อย่างที่ว่านี่ มีการงาน มีสิ่งที่ถูกต้อง มีสิ่งแวดล้อม มีโน่นมีนี่อะไร ตามระบบระเบียบ ที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนเราไว้หมดเลย มาสังวรตน มามีศีล มีอะไรขัดเกลา สิ่งที่เราเอง เรายังไม่เจริญ มีโภชเนมัตตัญญุตา มีการรู้จักเครื่องกินเครื่องใช้ รู้จักสถานที่แวดล้อม ที่จะเป็นอยู่ให้ตน เราให้ตัวเรานี่ ให้ได้รับอะไรต่ออะไร แม้แต่เพื่อนดี มิตรดี สหายดี นำพาไปในทาง ที่จะเป็นอยู่สุข ไปในทางที่จะขัดเกลา สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ทุจริตอกุศลอะไร ต่างๆนานา เพื่อนฝูงเรา ก็เป็นเพื่อนดีมิตรดี แนะนำกันบอกกัน อาจจะมีวิธีต่างๆบ้าง บางทีเราไม่เข้าใจวิธีการของท่าน ของผู้ที่แนะนำเรา ก็ได้
แต่อาตมาว่า พวกเรามีเจตนาดีต่อกันจริงๆ ไม่มากก็มีน้อย มีแน่ๆ แต่อาตมาว่า ไอ้เรื่องที่จะมีอกุศล หรือมีการเจตนาร้ายต่อกันนั้น มีน้อย หรือไม่มี มีน้อยหรือไม่มี ส่วนเจตนาดีต่อกันนั้นมีมาก หรืออย่างน้อย ก็มีน้อย ฟังดีๆนะ เข้าใจใช่ไหม พวกเรามีเจตนาดีต่อกันมากกว่า ถึงแม้ว่า จะมีเจตนาดีต่อกัน มันไม่มากก็น้อย แต่ว่าไม่มี คงจะไม่มีหรอกพวกเรา ส่วนเจตนาร้ายต่อกันนั้น อาตมาว่าไม่มี หรือแม้มีก็น้อย ฟังเข้าใจนะ อันนี้จริงๆนะ อาตมาว่าอย่างนี้จริงๆนะ ในพวกเรานี่มิตรดี สหายดี จริง มันอาจจะมีกิเลสอยู่บ้าง มีการปรารถนาร้ายต่อกันบ้าง มันก็มีน้อย มันไม่มากไม่มายอะไรหรอก ไม่รุนไม่แรงอะไรหรอก ก็อย่างนี้ เอายังไงอีกล่ะ
ถ้าไม่ให้มีเลย ไม่มีเจตนาร้ายต่อกันเลยได้ อาตมาก็ต้องการนะ หรือ มันห้ามกันไม่ได้ กิเลสใครกิเลสมัน ยังเยอะอยู่ จะทำยังไงกันเล่า มันก็มีบ้าง ใช่ไหม เป็นธรรมดา เราก็รับเอา วิบากใครวิบากมัน บุญเก่าบ้าง บุญใหม่บ้าง คุณไปทำยังไงใหม่ๆนี่ ไปทำยังไงกับเขา เขายังถือสาอยู่ ยังอาฆาตมาดร้าย ยังอะไรอยู่บ้าง แม้มันน้อยก็ตาม ก็อยู่ที่เรา หรือว่ามันไม่ใช่ชาตินี้หรอก มันมีได้วิบากบุญบาป มาตั้งแต่สมัยเก่าๆ จองเวรจองกรรมกันมา เมื่อไหร่ๆ ก็ไม่ยอมอภัยกันสักที ก็ไม่รู้จะจองกันไป ทำอะไรกันนักกันหนา ก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน ทำไมมันถึงคิดอยู่อย่างนั้น ฮึ! อภัยกันไม่ได้หรือยังไง ปลดวางกันไม่ได้หรือยังไง ฮึ! แหม! ทำยังไงมันถึงจะหยุด เอากระบองตีกระบาล หยุดไหม หยุดถือสา หยุดอาฆาตมาดร้าย หยุดมุ่งร้ายต่อกัน เอากระบองเคาะสัก ๕ ที จะหยุดไหม ร่วงไหม มันก็ยากนะ เอากระบองเคาะกระบาล จริงๆ มันก็ไม่ร่วง ไม่หยุดหรอก คนเรามันก็อยู่ที่ การวางเอง เลิกเอง ปล่อยเอง แต่ละคน
เพราะฉะนั้น เราเกิดมา อภัยให้ได้น่ะ อภัยกันเถิด อย่าไปจองเวรจองกรรม มันมีตั้งเมื่อไหร่ๆ รู้ให้ได้ พบกันรู้จักกัน แล้วมันมีอะไร เกิดศรศิลป์ ไม่กินกัน อย่างนั้นอย่างนี้ มันถือสากันอยู่ อะไรกันนักกันหนา ปล่อยวางกันเถอะ ปลดปล่อย ปลงวาง อะไรที่ปรารถนาดีต่อกัน หวังดีต่อกัน ทำสิ่งนั้นเข้า ปรารถนาดีต่อกัน ว่ายิ่งเราอยู่ด้วยกันอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่ปรารถนาดีต่อกัน ไปค้างไปคาเหลือไว้ทำไม ในความมีส่วนเศษ ซึ่งมันยังเหลือ ปรารถนาร้ายต่อกันอยู่บ้าง เล็กๆน้อยๆ ไปมีไว้ทำไม ขนาดพวกเราขนาดนี้ แล้วคนอื่น ที่เขาไม่ได้มาทำดีกับเราเลย ไม่ได้มีการสัมพันธ์อะไรกัน ไม่ได้มีประโยชน์เกื้อกูล อะไรกันมาเลย ถ้ามันไปอาฆาตอยู่แล้ว มันจะไปลดอะไรได้ ถ้าอย่างนั้น ขนาดในๆพวกเรา ยังยังงี้ขนาดนี้กัน แล้วข้างนอก จะไปลดให้เขาได้ยังไง ดีไม่ดี ศัตรูเราข้างนอกได้อีก ว้า! เลยไม่ต้องลดละกันพอดี ใช่ไหม มันมาทำร้ายกับกูนี่หว่า มันมาทำอันโน้นอันนี้กับกู นี่หว่า เลยไม่ยอม ลดราวาศอกเลย มันก็เป็นภัยเป็นพิษ อยู่ที่เรานั่นแหละ
เพราะฉะนั้น ใครจะมาทำร้ายกับเรา จะไปมุ่งร้ายกับเรา อะไรยังไง ต่างๆนานา พระพุทธเจ้า ท่านไม่เคยให้เราจะต้องไปถือสา ติดเอาไว้ว่า เราจะต้องไปโต้ไปตอบ ด้วยการมุ่งร้ายตอบ ไม่มีการมุ่งร้ายตอบอะไรทั้งสิ้น ปรารถนาดี มุ่งดีต่อเขาทั้งสิ้น เขาร้ายเป็นเรื่อง ความขาดทุนของเขาเอง ถ้าเราไปตอบมุ่งร้าย เราก็ขาดทุนในตัวเราเอง นั่นแหละ มันไม่มีใคร มาทำให้หรอก เราเองทำเองแท้ๆ งานการทุกวันนี้ บทบาทลีลา ของเราทุกวันนี้ ทำออกไป ดีขึ้นน่ะ อะไรต่ออะไรงอกงามขึ้น มีบทบาท แล้วความจริงนี่ มันจะปรากฏ ฯลฯ...
มันเป็นโอกาสที่เราจะพิสูจน์ความดี เราไม่ได้มาเอาชนะคะคาน อะไรใคร แต่เราจะมาทำดี ถ้าเราทำดี ที่จริงแล้ว ก็ทำดีได้อีกมากๆๆๆนี่ เขาจะมาเอาผิด เอาร้าย เอาอะไร ก็เอาไปเถอะ ข้อสำคัญ เราให้แน่ชัดว่า เรามีบทบาท แต่ละขณะ แต่ละวินาที เราสร้างสรรสิ่งที่ดี เราทำสิ่งที่ดี เราทำตนให้เป็นคนดี สิ่งใดเป็นพิษเป็นภัยอะไร เราลดเราละจริงๆ จะเป็นคนมีคุณค่า มีประโยชน์ มีน้ำใจ มีจิตใจที่ดี มีปัญญาที่ดี มีพลังความเพียร ความอุตสาหะวิริยะ สร้างสรร ไม่ไปเห็นแก่ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นโลกุตระจริงๆ งานการที่เราได้สร้างสรร ได้ทำจริงๆ พิสูจน์เข้าไป พิสูจน์เข้าไป ทำอันนี้ สังคมทุกวันนี้ ดีขึ้นๆ แล้วกำลังได้รับ สิ่งที่น่าตระหนัก น่าสำนึก ได้รับบทบาททางด้านศาสนา พวกเราทำบทบาททางด้านสังคม ทางด้านฆราวาสก็ตาม อย่างคุณจำลอง เป็นหัวหอกทางด้านสังคม ทางโลกขณะนี้ ... ตอนนี้โดนกระหน่ำน่าดูเลย นี่คือ สิ่งที่รายงาน เป็นดรรชนีชี้ค่าอย่างหนึ่ง ให้เรารู้ว่า อ๋อ! สังคมตอบโต้เรามาอย่างนี้ ทำไม แล้วเราก็ดูข้อมูลสิ ข้อมูลเหล่านั้น คืออะไร ยังไง เราทำดี หรือเราทำไม่ดี ถ้าเราทำดี สิ่งที่จะปราบปรามความดี ก็คือความไม่ดี หรือใครว่าผิด ถ้าเราทำดี แน่ใจว่าดีจริงๆแล้ว คนที่ดี จะต้องสนับสนุนส่งเสริม ส่วนคนที่จะปราบปรามสิ่งที่ดี ก็คือสิ่งที่ตรงกันข้าม
เพราะฉะนั้น เขาตรงกันข้าม เราก็เข้าใจเขา เท่านั้นแหละ ก็ไม่มีปัญหาอะไร สิ่งนี้เป็นสิ่งตรงกันข้าม ตรงกันข้ามก็ตรงกันข้าม เราบอกแล้วว่า เราจะปรารถนาดี กับแม้ผู้ที่ตรงกันข้ามกับเรา เราก็ปรารถนาดีกับเขา เราจะทำอย่างไร ให้เขาเข้าใจอันนี้ได้ ไอ้กำปั้นทุบดินอย่างเดียว ก็คือว่า เราต้องทำดีนี้ให้โต ทำดีนี้ให้มีปริมาณมาก ทำดีนี้ให้มัน จนกระทั่ง คนตาบอดก็เห็นได้ มีราศีรังสี มีตัวสภาพความดีนั้น ทั้งใหญ่ ทั้งมีฤทธิ์มีแรง แทรกซ้อนแทรกซึม ทะลุผนังหูผนังตาเข้าไปเลย จนตาบอดเห็นได้น่ะ เป็นโวหารเป็นสำนวน จนอย่างนั้นแหละ เพราะเราทำดียังไม่พอ เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ไม่มีหน้าที่อื่นเลย มีหน้าที่ ที่เราจะทำดีต่อไป จะทำดีต่อไป อย่างทางด้านศาสนานี่ เราก็พยายามสอนทฤษฎีที่ดีแก่สังคม พยายามที่จะเป็นตัวอย่าง ทั้งสมณะ ทั้งฆราวาส ช่วยกันแสดงคุณธรรม พยายามพากเพียร อนุเคราะห์ ช่วยเหลือเฟือฟาย ส่วนทางด้านคุณจำลอง ไปทำงานกับสังคม มีบทบาทหน้าที่การงานทางสังคม ไปรักษา ผลประโยชน์ของประชาชน ไปทำงาน อย่างซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร พยายามช่วยเหลือเกื้อกูลประชาชน ที่แท้จริง เป็นผู้รับใช้สังคม บทบาทของความจริง ที่มันเกิดขึ้น ตั้งแต่เอาความซื่อสัตย์สุจริต เราไปทำซื่อสัตย์สุจริต หรือว่า เราไปแอบแฝง หรือเราไปคดโกงอะไร
ถ้าความจริงของเรา มีจริง โอ๊! ไม่ต้องไปห่วงเลย คนไม่เห็น ฟ้าก็เห็น คนไม่รู้ ฟ้าสิรู้ ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย ความจริงก็คือความจริง เพราะฉะนั้น เรายังมีโอกาส มีช่องทาง ที่เราจะทำดีอันนี้ไปได้ ไม่ว่าด้านฆราวาส ไม่ว่าด้านของศาสนา ไม่ว่าด้านของทางธรรม ไม่ว่าด้านของทางโลก จริงๆแล้ว ความดี มันสอดคล้องกัน มันตัวเดียวกัน นั่นแหละ มันเป็นการเสียสละตัวจริงน่ะ เป็นความเสียสละ เป็นตัวซื่อสัตย์ เสียสละ ขยันหมั่นเพียรอยู่ และฉลาดจริงๆด้วย มีปัญญาชาญฉลาด รู้ความดี ที่เรียกว่ากุศลธรรม แน่ชัดว่านี่คือกุศลธรรม นี่อกุศล แน่ชัดว่านี่คืออกุศล และเราก็ยังกุศล ให้ถึงพร้อมจริงๆ ทำต่อไป มันจะไปกระทบกระเทือน ไปบาดไปเสียดใจเขาบ้าง เราก็มีปัญญา เอาละ ไม่ต้องไปชนกันเสียทีเดียว ไม่ต้องไปฉีกหน้าฉีกตาเขานัก ไม่ต้องไปขายหน้า ขายตาเขาเกินไป เลี่ยงไปซะ เลี่ยงไปเพื่อทำดี ไม่ให้ไปกระทบกระเทือนใจเขา เราก็ทำไป ยิ่งเรารู้ว่า อันนี้เป็นขุมอำนาจ อันนี้เป็นพวกมีฤทธิ์มีแรง มีอิทธิพล ที่จะทำให้เราได้ลด คุณค่าของการได้กระทำดี ได้ทำงานที่ดี เรารู้ เราก็เลี่ยงไปเสียบ้าง มันไม่ใช่ความผิดนี่ เราไม่ได้ไปชน ให้เกิดการปะทะ ให้มันเกิดรุนแรง อะไรขึ้นมา
อาตมาว่ามันเป็นความถูกต้อง เสียด้วยซ้ำ เราก็ทำไป ไม่ได้หยุดหย่อน ขยันหมั่นเพียร เขาพยายามต้าน พยายามกั้น ก็หาทางทำดี มันเป็นความผิดด้วยหรือ ที่เขากั้นเราไม่ให้ทำดี แล้วเราก็เลี่ยง หาทางทำดี มันเป็นความผิดด้วยหรือ ที่เราจะทำดีไปให้แก่สังคมอยู่นี่ แม้เขาจะต้านจะกั้น เราก็พยายามเลี่ยง หาทางทำดี มันไม่ใช่ความผิดนี่ ทำเข้าไปก็แล้วกันน่ะ แล้วทุกวันนี้ เราก็ไม่จนทาง ว่าเราจะไม่มีทางทำดี ใช่ไหม ไม่ได้จนทาง เราก็ทำอยู่ได้เรื่อยๆ มันยังไม่ตาย อาตมาก็ว่า มันก็ทำอย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น กิจการทางโลก ทางด้านที่เราทำกับสังคมอยู่ ก็จะดำเนินไป ฯลฯ
ตอนนี้เราต้องการแรงงาน ที่จะไปทำการสงเคราะห์กัน อะไรต่ออะไรพวกนี้ โดยเราก็มีวิธีการที่ดี ไปตั้งหลายอย่างแล้ว ทุกวันนี้ เราทำกับประชาชนต่อไป ซึ่งจะเป็นการรังสรรค์ เป็นการประกาศงานการ อันไม่มีโทษ ประกาศงานการอันจะทำ สงเคราะห์แก่ประชาชน เกื้อกูลเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลืออะไรต่างๆนานา ในสภาพที่เราน่าช่วยเหลือ อย่างที่ชุมชนเป็นพวกสลัม เป็นพวกที่ค่อนข้างจะขาดแคลน ให้เขาได้มีโอกาส แม้แต่ของก็ไปขายให้ถูกๆ เหมือนกับเอาไปแจก ส่วนเหลือก็ยังให้เขาอีก อะไรต่างๆพวกนี้ อาตมาเห็นว่า เป็นทิศทาง ที่เราจะได้ทำ อื่นๆที่เราจะทำได้อีก มันมีน่ะ แม้แต่หมู่กลุ่มพวกเรา บางหมู่กลุ่ม ก็หาของถูกๆ ไปซื้อมาก็ตาม เอาไปขายก็ขาย ไม่ไปเที่ยวไปขูดรีด เอากำไรอะไร ต่างๆนานา โดยตลาดจริงๆ เราก็จริงใจ เราก็ไม่ได้ไปขูดไปรีดจริงๆ เราก็ยังนำผสมผเสอยู่ เพราะว่า ของที่ได้ในร้านทึ่ง มันอาจจะไม่สมบูรณ์ มันอาจจะมีอะไรๆอีกบ้าง ที่อื่นๆ ที่เราจะเอาผสมผสาน ไปทำอีกบ้างก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น เราก็ทำด้วยความจริงใจน่ะ
เรื่องทางศาสนานั่น ก็แนะนำสั่งสอน ก็สั่งสอนประชาชนอย่างนี้ๆ ส่วนทางด้านรูปธรรม ทางด้านฆราวาสที่เราไปช่วย การสงเคราะห์แบบนี้ ทำเลย ถ้าถึงโอกาส ที่เขาจะเชิญเราไปพูด ก็ค่อยไปพูด ตอนไปทำงาน ก็ไม่จำเป็น จะต้องไปแสดงธรรมอะไร มากมายนัก เราก็ทำกันไปเรื่อยๆ เป็นรูปธรรม เพราะคนพวกนี้ ยังไม่ได้เปิดจิต รับธรรมะอะไรกัน นักหนาหรอก ให้เขาได้รับสิ่งที่ มันเป็นบทบาท มีวัตถุธรรม มีรูปธรรมอะไร ที่ชัดเจนพวกนี้ เขาจำนน ทุกวันนี้ ประชาชนกำลังเข้าใจกันขึ้นมาก และเราก็ทำงานกัน ด้วยความจริงนี่แหละ เราขยันหมั่นเพียร รังสรรค์ไป มีกิจกรรมอันนั้น มีกิจการอันนี้ เราก็ทำไปเรื่อยๆๆๆ นี่แหละ มันเป็นผลงาน มันเป็นความจริง ที่เราได้ก่อกรรม แต่ไม่ได้ทำเข็ญนะ ก่อกรรมทำบุญ นี่เราไปได้ ก่อกรรมทำบุญ ทำสิ่งที่เป็นกุศลเอาไว้อยู่น่ะ เพราะฉะนั้น นับวัน ที่เราจะมีตัวจริง มีบทบาทที่มันเป็นกุศล เป็นบทบาทที่โลกต้องการ และอาตมาเห็นว่า มันเป็นทฤษฎี หรือเป็นวิธีการ เป็นองค์ประกอบ เป็นระบบที่ มันกำลังสานตัวเอง เป็นระบบที่แข็งแรงมั่นคง ลงตัวขึ้นเรื่อยๆ อะไรบ้าง งานการ กิจการ กิจกรรมอะไรบ้าง ก็แล้วแต่ มันกำลังพิสูจน์ มันกำลังปรับตัว มันกำลังพัฒนาไป พัฒนาไป เป็นการงานที่สู่สังคม การงานที่ชัดเจน การงานที่ดูได้ เข้าใจได้
เพราะฉะนั้น เรื่องการงาน แล้วก็เรื่องสงบ ที่อาตมากำลังขยายความนี้ ว่า คนยิ่งสงบของพุทธนะ ตัวสงบของพุทธนี่ ยิ่งสงบยิ่งมีคุณค่า ยิ่งสงบยิ่งมีบทบาท ยิ่งสงบยิ่งเร็วแรง ยิ่ง active ยิ่งกระตือรือร้น กระปรี้กระเปร่า ขวนขวาย มีบทบาทที่เห็นได้ มันค้านแย้งกับ ภาษามะลื่อทื่อ พวกสงบพาซื่อ พวกสงบที่ innocent พวกสงบไม่เดียงสา พวกสงบพาซื่อ พวกสงบหมากรุกชั้นเดียว ซึ่งก็ดีบ้างน่ะ มีมุมดีบ้างเหมือนกัน แต่อาตมาว่า มันทำให้คนเหมือนกับ ก้อนอิฐก้อนหินก้อนดิน ยังสู้ก้อนกิฐก้อนหินก้อนดินไม่ได้ ตรงที่ว่า มันยังเอาไปถมนั่นถมนี่ เอาไปทำประโยชน์อะไร ได้บ้าง ไอ้คนอยู่เฉยๆ ทำอะไรก็ไม่ได้เลย ดีไม่ดี มันยังกินอยู่อีก ยังหายใจเอาอากาศ มันยัง อู๊! ไม่ได้เรื่อง เอาไปถมคูถมคลองก็ไม่ได้ มันคนไม่มีประโยชน์ จริงๆเลย หนักแผ่นดิน หนักที่ที่ตรง ตั้งเอาไว้นั่นแหละ ตั้งอยู่ตรงไหน ก็หนักอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เรื่องน่ะ
ถ้าคุณมีปัญญาปฏิภาณพอ คุณจะเห็นได้เลยว่า ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า อุดมการณ์ของพระพุทธเจ้า ทิศทางของพระพุทธเจ้า ที่อาตมายืนยัน ที่อาตมาพูดนี้ เป็นทฤษฎีของพระพุทธเจ้า เป็นอุดมการณ์ของพระพุทธเจ้า เป็นผลของพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่เหมือน แตกต่างกับสงบแบบโลกๆ สงบแบบพาซื่อ ที่อาตมาพยายาม เอามาเปรียบมาเทียบกัน มาพยายามขยายความ บอกนิยาม จำกัดความหมายให้ฟัง ว่ามันต่างกันนะ แล้วเดี๋ยวนี้ คุณก็ฟังโดยปัญญาของคุณซิ มีปฏิภาณ พอฟังออกไหมว่า ศาสนาพุทธโดยเดี๋ยวนี้ เราเข้าใจว่า ความสงบแบบไหน แบบอาตมาพูด หรือแบบพาซื่อ หือ! ที่เขาเข้าใจส่วนใหญ่น่ะ ในสังคมพุทธของเมืองไทย เข้าใจว่า เป็นความสงบแบบพาซื่อ หรือแบบสงบ ที่อาตมากำลังอธิบาย เขาเข้าใจแบบพาซื่อ ซึ่งมันไปไม่รอด แก้ไขปัญหาสังคมไม่รอด อาตมาขอยืนยันว่า แก้ไขปัญหาสังคมไม่รอด แต่สงบอย่างที่อาตมาอธิบาย ชี้เน้นบอกกล่าวไป เท่าที่เวลามี อาตมาขอยืนยัน พวกคุณ อาจจะยังไม่เชื่อก่อนก็ได้ ว่าจะแก้ปัญหาสังคมรอด
อาตมามีหลักฐานนะ อย่างน้อยก็ได้แก้ปัญหาสังคม ของพวกเรานี่ แม้แต่จะเป็นสังคมกลุ่มเล็ก อย่างน้อย สังคมครอบครัว ของแต่ละครอบครัว สังคมของหลายครอบครัว สังคมของกลุ่ม แต่ละจังหวัด แต่ละอำเภอนี่ เห็นไหม แต่ละถิ่นแต่ละที่ ของพวกเรา โดยสังคม พวกเรารวมกัน สังคมชาวอโศกนี่ เห็นมั้ย แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ แก้ปัญหารัฐกิจได้ แก้ปัญหาทางสังคมกิจได้ แม้แต่แก้ปัญหา ทางด้านนิเวศวิทยกิจ เห็นไหมนี่ ทางสิ่งแวดล้อม ต่างๆนานา ก็แก้ปัญหาขึ้นมาได้นะ มลพิษน้อยลง นี่ไง ใช่ไหม นิเวศวิทยาของพวกเรา มลพิษก็น้อยลง ปลอดน่ะ อย่างน้อยก็นะ เอดส์ ก็อย่าเพิ่งเข้ามาได้ง่ายๆ ก็แล้วกัน เราก็ปลอดเอดส์อยู่บ้าง เพราะว่า ทิศทางของเราอย่างนี้ เชื้อโรคอะไร มลพิษอะไร ต่างๆนานานี่น้อย เห็นไหม มันเป็นอย่างนี้ จริงๆไหม แม้จะยังไม่โตใหญ่ จนกระทั่ง ต้องยอมจำนน มันก็มีรูปร่างให้ดูบ้างแล้ว นี่อาจจะรูปร่างแค่เล็กๆ น้อยๆ พอเป็น example น่ะ มันเป็นตัวอย่างขึ้นมาบ้างนี่ มันก็.. ขึ้นมาแล้ว นี่เราก็ทำโมเดล ทำต้นแบบพวกนี้ให้จริงจัง ให้มันได้รูปได้เรื่องขึ้นไป มันจะเกิดได้ ก็เพราะพวกเราทั้งนั้น ที่เข้าใจดี แล้วก็พยายามเพียร อุตสาหะวิริยะ สร้างสรร สร้างสรรที่ตน นี่แหละเป็นหลัก อย่างนี้เป็นต้นนะ ในการจะพิสูจน์
แต่เอาเถอะ สรุปแล้วเราทำจริงให้จริง ถ้าเราแน่ใจว่าดี เพียรขึ้น อุตสาหะขึ้น ดำเนินไปให้มีฤทธิ์มีแรง แล้วเราจะได้ช่วยเหลือเฟือฟาย มนุษยชาติ ได้มากขึ้น ทุกวันนี้ สังคมกำลังต้องการสิ่งเหล่านี้ จริงๆน่ะ
เอาละ วันนี้เทศนาแค่นี้พอ
----------------------------------------
ถอดโดย นายประสิทธิ์ ฝ่ายทอง
ตรวจทาน ๑ โดย สิกขมาตปราณี ๒ ก.พ. ๓๓
พิมพ์และตรวจทาน ๒ โดย นางวนิดา วงศ์พิวัฒน์ ๑๙ ก.พ. ๓๓