อะไรเอ่ย แปลกใหม่ที่สุด
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๓๒ ณ พุทธสถานสันติอโศก


อะไรเอ่ย แปลกใหม่ที่สุด
สัมมาทิฐิที่เพิ่งเกิดแก่ปุถุชน ๑
สัมมาทิฐิที่เพิ่งเกิดแก่เสขบุคคลแต่ละสภาพ แต่ละระดับอีก ๑
อริยผลที่เกิดแก่อริยบุคคลทุกระดับอีก ๑
วิมุตติญาณทัสสนะ หรือญาณตรัสรู้ แต่ละรอบแต่ละรอบอีก ๑
อาสวักขยญาณของแต่ละขั้น แต่ละเหตุปัจจัยอีก ๑
อาสวักขยญาณ ของแต่ละระดับอริยบุคคลอีก ๑
อาสวักขยญาณสูงสุด แห่งที่สุดอีก ๑

ในสภาพทั้ง ๗ นี้แหละ แปลกใหม่ที่สุด สัมมาทิฐิที่เพิ่งเกิดแก่ปุถุชน เรียกว่า เป็นสิ่งที่แปลกใหม่ที่สุด อันดับแรกของมนุษย์ เพราะว่าในมนุษย์ทุกคนนี่ ปุถุชน เป็นปุถุชนมาก่อนทั้งนั้น มนุษย์ทุกคนนี่ เป็นปุถุชน แล้วก็ยังไม่รู้เรื่อง ยังไม่เคยพบหรอก ยังไม่มีความเห็น ที่จะมีทิศทางที่จะทวนกระแส ทิฐิที่ว่านี้เป็นความเห็น ความเข้าใจที่ถึงขีดของมันนะ โดยสามัญนี่ คนเราพอรู้นะ เมื่อยังมีศาสนา ศาสนาก็สอน ก็เปรยปรายไปว่าโลกุตระเป็นเช่นนั้น โลกียะเป็นเช่นนี้น่ะ การยังยินดีในโลก ในโลกียะ ยังติดใจในโลกธรรม ยังเป็นโลกียะ เราประสงค์ ยังเอร็ดอร่อย ยังมีอัสสาทะ ยังยินดีในโลกียะอยู่ และยังเป็นโลกียะ

ถ้าผู้ใดมีความเห็น ความเข้าใจ มีจิตเกิดเห็น เกิดเข้าใจจริงๆเลยนะ เป็นสัมมาทิฐิที่มันถึงรอบ แห่งสัมมาทิฐิ ที่จะมีฤทธิ์มีแรงหันเหกระแส หันเหกระแสจากกระแสของปุถุชนเข้าสู่ กระแสของอริยะ มันจะมีจิต มันจะมีอาการเลยนะ มันจะมีความมุ่งเพ่ง มันจะมีเหตุปัจจัย แห่งความเห็นความเข้าใจนี่ สัมมาทิฐินี่ มีทั้งเจโต ตัวจิตจริงที่จะมีความรับรู้ ความเข้าใจ เข้าไปสม สั่งสมๆจนได้ขีดได้เขตได้ระดับ บางคนก็จะแรง ด้วยทางเจโต มีปัญญาพอเข้าใจ บางคนก็จะมีปัญญาเข้าใจมาก แต่เจโตไม่แรง จิตจริงนี่ มีน้ำหนัก มันไม่แรง มีพลังทางเจโตไม่แรง ก็แล้วแต่จริตของใคร ที่จะเอียงข้างเจโต หรือเอียง ข้างปัญญา แต่มันก็มีพลังเสริมช่วยกันน่ะ ทั้งเจโตทั้งปัญญา เสริมช่วยกันแล้วนำพา มันจะนำพาเข้ามา กระแสที่ว่านี่ มันเป็นกระแสแห่งจิตวิญญาณ เป็นกระแสที่เกิดความเห็น เกิดกระแสแห่งความผลักดัน

อย่างเจโตนี่ มันก็เป็นแรงผลักดันเหมือนต้นกล เหมือนเครื่องยนต์ที่อยู่ในต้นกล เครื่องยนต์ ที่อยู่ใต้ ท้องเรือ อย่างนี้เป็นต้น ส่วนปัญญามันก็เหมือนต้นหน หรือเหมือนกัปตันที่ อยู่บนเรือ เห็นภูมิภาพ อะไรต่ออะไรต่างๆ เป็นผู้ที่ดูแลสั่งการเหมือนสมอง เป็นตัวปัญญา แต่มันก็จะนำพาเรือ ไปด้วยกัน นำพาเรา นำพาคนนี่ไปด้วยกัน เพราะฉะนั้น เมื่อสัมมาทิฐิที่ เพิ่งเกิดแก่ปุถุชน เป็นสัมมาทิฐิ ที่จะไป หันเห สัมมาทิฐิ ที่จะมีฤทธิ์มีแรงเข้ากระแสจริงๆนี่ ที่เราจะต้องมาลงมือปฏิบัติ มันเป็นของใหม่ มันจะต้อง เข้าใจเลยว่า มรรคองค์ ๘ นี่ปฏิบัติ อย่างไรน่ะ มรรคองค์ ๘ ปฏิบัติอย่างไร ถ้าเผื่อไม่ถึง รอบจริงๆ ไม่ถึงขีดถึงขั้น เข้าใจ เป็นความเห็นที่เป็น ความเข้าใจเฉยๆ ไม่มีฤทธิ์ ที่จะทวนกระแส มันก็เป็นของใหม่ เหมือนกันนะ ปุถุชนก็รับซับทราบว่า เอ๊ะ! มันเป็นไปได้หรือ จะออกมา จะเลิกรสอร่อย จะเลิกโลกีย์ จะทิ้งโลกีย์ จะวางโลกีย์ มันก็เป็นของใหม่ แต่มันก็ใหม่เบาๆล่ะนะ มันใหม่ มันใหม่ที่ว่า ถ้าคนไม่ศึกษา ธรรมะเลย ไม่มาศึกษาพุทธศาสนา ก็เข้าใจอย่างโลกๆ จะละลดออกมา เข้าใจอย่างรู้ เลยนะว่า เราจะต้องมา ละลดเลิกออกมา ไม่ใช่ว่า เข้าใจเพี้ยนๆ อยู่นะ เข้าใจอย่าง ชนิดที่เรียกว่า มาเป็น มาปฏิบัติธรรมนี่ จะยิ่งพาเจริญ เรารวยลาภ จะสูงด้วยยศ มีเยอะ พุทธศาสนิกชน ก็ตาม เป็นชาวพุทธ นี่แหละ ไปวัดไปวา ไปทำบุญทำทาน อะไรก็ตามแต่ ไป จะไปปฏิบัติธรรมก็ตาม บางคนก็ปฏิบัติธรรม ด้วยซ้ำ ไปปฏิบัติธรรม เพื่อที่ตนเองจะได้เจริญ ว่างั้นนะ เป็นสิริมงคล จะเจริญ เจริญด้วยลาภ ด้วยยศ ด้วยสรรเสริญ เป็นโลกียะธรรมดา เขาไม่เข้าใจ เขายิ่งบอกว่าไปปฏิบัติธรรม ไปทำบุญ ทำทาน เขาก็จะยิ่งรวยลาภ สูงด้วยยศ ด้วยเกียรติ ได้รับคำชมเชย ยกย่อง ชูเชิด เป็นสรรเสริญเยินยอในสังคม จะมีโลกียสุข สมบูรณ์ต่างๆนานา สารพัด แล้วเขาก็ไม่เข้าใจ หรอกว่า กามสุขคืออย่างไร ภวสุข หรือ สุขในภพ เป็นอย่างไร แล้วเขาจะสั่งสม ยังประสงค์ ยังใคร่อยาก ต้องการเป็นตัณหาอยู่ ทุกๆด้าน พุทธศาสนิกชนแบบนี้ มีอยู่เยอะ แล้วยิ่งทุกวันนี้นี่ ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ อธิบายมรรคองค์ ๘ เป็นสมังคี เป็นทฤษฎี เป็นระบบ ทั้งระบบ มรรคองค์ ๘ เป็นทฤษฎีทั้งระบบ ที่จะต้องปฏิบัติอย่างไร อะไรเป็น ประธาน อะไรห้อมล้อม แล้วจะปฏิบัติตัวไหน อะไรช่วย สัมมาทิฐิเป็นประธาน รู้แจ้ง เข้าใจดี ทั้งทฤษฎี ทั้งฐานะของตน แล้วก็จะมีศีลกำหนดขอบเขตให้แก่ตน ปฏิบัติไปตามฐานะระดับ มีอธิศีลขนาดไหน มีศีลขนาดไหนที่จะเป็นการกำหนดว่า เราเอาแค่นี้ก่อน แล้วก็ปฏิบัติไป สังวร สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ สังวรตนเรื่อย มีสติสัมโพชฌงค์ มีธรรมวิจัย สัมโพชฌงค์ มีวิริยสัมโพชฌงค์ ปฏิบัติให้เกิดผล มีปีติเกิด มีปีติสัมโพชฌงค์เกิด ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์เกิด จนสั่งสมลงเป็น สมาธิสัมโพชฌงค์ จนลึกซึ้ง สำรอก สะอาด เป็นอุเบกขา สัมโพชฌงค์น่ะ หรือสร้างอินทรีย์พละ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ ด้วยโพชฌงค์ ๗ แล้วก็ปฏิบัติด้วย ฐานมรรคองค์ ๘ นี่ โพธิปักขิยธรรม มีสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ ทำกันจริงๆ เขายังไม่เข้าใจทั้งระบบ ไม่รู้ ครูบาอาจารย์ ที่จะสอนก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจ มันก็ปฏิบัติธรรมไม่เป็น จะไปอยู่วัดอยู่วา บำเพ็ญธรรม ก็จะไปนั่งหลับตาสมาธิบ้าง ไปสวดมนต์ สวดพร ไปทำขลังๆ อะไรแล้วแต่ แล้วแต่ครูบาอาจารย์ ทิศทางไหนๆก็แล้วแต่

เพราะฉะนั้นเขาจะทำอย่างนั้น มากมายก่ายกองเลยนะ จะมาศึกษาเล่าเรียนให้ รู้อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ให้รู้ภาคปฏิบัติมรรคองค์ ๘ นี่ หรือโพชฌงค์ ๗ หรือรวมแล้วก็ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ นี่ สอนให้เข้าใจทฤษฎี ระบบทฤษฎีที่พึงปฏิบัติ เป็นทางเอก ทางเดียวนี่ ให้ครบครัน ให้สมบูรณ์เลย จนกระทั่ง ปฏิบัติเป็น ปฏิบัติได้ เขาไม่ค่อยสอน กันหรอก เดี๋ยวนี้นะ ไม่ค่อยสอนน่ะ มีแต่บอก ทำให้จิตว่าง ปล่อยวาง ทุกอย่างให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ให้เห็น คือมีแต่ตรรกศาสตร์ ให้มองเห็น ให้พิจารณาๆ เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ เป็นตรรกศาสตร์น่ะ ให้ระลึกเห็นน่ะ ให้เห็นไปน่ะ ทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน มันเป็นการบำบัด บำเรอ มันเป็น ตทังคปหาน เป็นวิกขัมภนปหานด้วยซ้ำ มันเป็นตทังคปหาน หรือ วิกขัมภนปหาน จะว่ามีผล มีผล ตทังคหาน เป็นบ้าง ถ้าใช้ทฤษฎีนี้ล่ะนะ คือเป็นทฤษฎี ที่มันพอคลายใจ เห็น อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ให้เห็นว่า มันเป็นอนิจจัง เดี๋ยวมันก็เห็นได้หรอก พิจารณาไป มันไม่เที่ยง ใช่ อะไร ก็ไม่เที่ยง ใช่ เห็นจริงอยู่นะ แล้วก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีอะไรถาวรเที่ยงแท้ จริงๆ เป็น ทุกข์นะ ทุกข์คือตั้งอยู่ไม่ได้ ทนอยู่ไม่ได้ เข้าใจนะ เป็นความเข้าใจว่า มันตั้งอยู่ไม่ได้ มันทนไม่ได้ มันเข้าใจนะว่า มันเป็นอนิจจังนี่ นึกออก เออ! มันเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยงหรอกนะ มันเปลี่ยนแปลงไป มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนหรอก ก็นึกไปถึงอนาคต มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ก็เห็น มองว่ามันไม่ใช่อนาคตใช่ไหม มัน เดี๋ยวมันก็สลายไป เปลี่ยนแปลงไป จากเกิดขึ้นก็ตั้งอยู่ ประเดี๋ยวมันก็ตาย ก็สูญก็สิ้น หมุนเวียน วนเวียน ก็เข้าใจ แล้วก็เป็น ธรรมวิจัย มันเป็นการขบคิด มันเป็นตรรกศาสตร์ เอาคาถาบทนี้ มาเหมือนๆกับเป็นยา ก็อย่างที่เคย ยกตัวอย่าง แล้วก็เอามา ทำให้เราเบาใจ คลายใจว่า อย่าไปยึดมั่น ถือมั่น อย่าไปติดไปยึดเลย เอามาใช้ ในหลักตรรกศาสตร์หมด ปฏิบัติอย่างตรรกศาสตร์ ซึ่งต่างกันกับ จะเห็นอนิจจัง ด้วยผัสสะ เป็นปัจจัย แล้วก็ดูตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่างที่เอา มิจฉาทิฐิสูตรมาอธิบาย ให้ฟัง จะเห็นเป็นทุกข์ ตามสักกายทิฐิสูตร ที่เอามาอธิบายให้ฟัง จะเห็นเป็นอนัตตา ด้วยผัสสะ เป็นปัจจัย ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามอัตตานุทิฐิสูตร ที่เคยเอามาอธิบายให้ฟังแล้วว่า เมื่อปฏิบัติได้ เห็นจริงเห็นจังเลยนะ เกิดญาณเห็น เมื่อมีผัสสะเป็นปัจจัย ด้วยรูปกระทบสัมผัส แล้วก็เห็นอาการ ลิงคะ นิมิต ของมัน จริงๆ ว่ามันไม่เที่ยง ไม่เที่ยงอย่างไร อธิบายมุมละเอียดให้ฟังแล้ว มันไม่เที่ยงเพราะว่า มันเปลี่ยนแปลง ไปด้วยสามารถ ตัวตนของกิเลส เห็นตัวตนของมันเลยว่า มันเปลี่ยนแปลงไปด้วยสามารถ ตอนแรก ก็จะเห็นมันเปลี่ยนแปลงไป เพราะกิเลสก็เพิ่มได้ จะทำให้ลด ก็ลดได้ นี่เป็นมิจฉา พ้นมิจฉาทิฐิ ก็ อ้อ! เข้าใจแล้ว นี่พ้นมิจฉาทิฐิตัวนี้ ฟังดีๆ เป็นผู้ที่จะต้องลงมือ ปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติ มีสัมมาทิฐิ จะพ้น มิจฉาทิฐิได้ ก็ตรงที่มีสัมผัสเป็นปัจจัย ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็สัมผัส เราก็เห็นรูป เห็น มีนาม คือญาณเห็น เห็นอาการของกิเลส อาการลิงคะ นิมิต จับเครื่องหมายมันได้ว่า กิเลสเท่านี้ อ๋อ! นี่ลักษณะโลภะ ราคะ นี่ลักษณะโทสะน่ะ นี่ทำมือ ทำไม้ให้ดูนี่ มันไม่เป็นตัวเป็นตนหรอกนะ แต่เรา ต้องรู้อาการ มีนิมิตหมาย มีเครื่องหมาย จับอาการมันได้ว่า โอ๋ย! อย่างนี้ใช่ อย่างนี้ถูกแล้ว อาการของ กิเลส แล้วเราก็ทำให้ มันลดได้ด้วยสมถภาวนา หรือ วิปัสสนาภาวนา เห็นอาการมันลด มันไม่เที่ยง ไม่เที่ยงลดด้วยนะ ไม่ใช่ไม่เที่ยงเพราะมันใหญ่ขึ้น เอาเถอะ แม้เราจะเห็นว่า มันใหญ่ขึ้น ก็ตาม มันกิเลส มันเพิ่มขึ้น พ้นมิจฉาทิฐินี่ ไม่ใช่หมายความว่า ลดทุกข์ ลดเหตุด้วย ลดทุกข์ ลดเหตุก็เป็น ครั้งที่ลดทุกข์ ลดเหตุก็เห็น ครั้งที่กิเลสมันขึ้น มันไม่ลด มันเพิ่ม มันไม่เที่ยง มันเพิ่มได้ มันลดได้ เห็นความไม่เที่ยง นั่นแหละ พ้นมิจฉาทิฐิ ทิฐินั้นเป็นทิฐิ ไม่ใช่ทิฐิตรรกศาสตร์ ไม่ใช่ความเห็น ความเข้าใจธรรมดา แต่มันเป็น ความเห็นความเข้าใจ ที่มีสภาวะรองรับ เป็นปรมัตถ์ หยั่งถึงจิตเจตสิก หยั่งถึงรูป รูปของรูปจิต อรูปจิต หรือรูปของกิเลส สิ่งที่ถูกรู้ แล้วก็เห็นความเปลี่ยนแปลง อนิจจัง เห็นความไม่เที่ยง เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่ มันเที่ยงว่ากิเลสมันจะอยู่อย่างนี้ จิตมันจะอยู่อย่างนี้ มันไม่ใช่จิต กิเลสไม่ใช่ตัวตนของจิต จิตก็อย่างหนึ่ง กิเลสก็อย่างหนึ่ง เห็นชัดๆ ความเห็นที่ว่านี้คือ ญาณทัสสนวิเศษ หรือ อธิปัญญา

เพราะฉะนั้น สัมมาทิฐิมันเกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล เกิดปัญญา เพราะมี ธรรมวิจัย เพราะได้ วิเคราะห์ วิจัยอยู่ในนั้นเสร็จ องค์ธรรม ๖ ประการนี่มันทำงาน ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฐิ บอกแล้วว่า สัมมาทิฐิตัวที่จะต้องเปลี่ยนกระแส ไม่ใช่สัมมาทิฐิ ตัวฟัง เป็นตรรกศาสตร์เท่านั้น เพราะฉะนั้นทั่วไป ปุถุชนนี่เข้าใจบอกว่าเป็นสัมมาทิฐิ ได้ฟังคำอธิบายอะไร มี มีบ้างเหมือนกัน แต่อย่างนั้น เขาไม่รู้สึกว่าใหม่หรอก มันเป็นความรู้ที่รู้ มันก็ใหม่นิดๆนะ ใหม่ ไม่น่าจะเป็นสิ่งใหม่ เป็นแปลกใหม่ที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิต มันไม่แปลก จนกระทั่งถึงการทึ่งใจ แปลกใจ เปลี่ยนกระแสชีวิตคน มันเป็นความรู้ที่เขารู้ แล้วก็อาจจะกิเลส หนักหนากว่าเก่า แต่เป็นความรู้ ประดับตัวเอง เอาไปสอน เอาไปพูดก็ได้ด้วยนะ เป็นปทปรมบุคคลด้วย จำพระพุทธพจน์ได้ก็มาก เรียนมามาก จำพระพุทธพจน์ได้มาก สอนกันอยู่ก็มาก แต่ตัวเอง ไม่ได้บรรลุธรรมอะไร เป็น ปทปรมบุคคล ก็ได้ แต่ที่กำลังอธิบายว่า มันแปลกใหม่จริงๆนี่ สัมมาทิฐิ ที่เพิ่งเกิดแก่ปุถุชนนี่ มันเกิดอย่างประเภท ที่มีความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณ กระแสเปลี่ยนทิศ เพราะฉะนั้น เมื่อถึงขั้นมีองค์ธรรม ของสัมมาทิฐิ ถึงปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล ธรรมวิจัย สัมโพชฌงค์ สัมมาทิฐิ มัคคังคะ มีองค์มรรค ปฏิบัติมีองค์มรรค มัคคังคะนี่หมายความว่า สัมมาทิฐิ มีสัมมาสติ สัมมาวายามะห้อมล้อม ช่วยทำการ มีสติปัฏฐาน มีอิทธิบาทนั่นเอง มีการสังวร สำรวม ถ้าว่ากันไปถึง โพธิปักขิยธรรม ขยายให้มันพิสดาร หรือขยายให้มันเป็น วงกว้างวงรอบ ตามทฤษฎีระบบใหญ่ โพธิปักขิยธรรมแล้ว เราก็จะเข้าใจ เอาไปปฏิบัติ จริงๆ อินทรีย์พละเปลี่ยน มีอินทรีย์ มีพละ ศรัทธา เกิดสัทธินทรีย์จริงๆ ปัญญาก็เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ขึ้นมา เพราะมันมี ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีสัมมาทิฐิ ที่ถึงขีดขอบของมัน มัคคังคะ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ปฏิบัติแล้ว มันก็ได้พิสูจน์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ด้วยทวารทั้ง ๖ มันรู้จัก อายตนะ ๖ มันจะเสริมหนุนให้เห็นว่า อ้อ! กระทบ ทางตา กระทบ ทางหู มันเกิดโลภอย่างนี้ ราคะอย่างนี้ กระทบทางเสียง กระทบทางหู ทางเสียง ทางกลิ่น ทางลิ้น ทางสัมผัสกาย สัมผัสใจ เกิดสภาพ ที่กระทบสัมผัส เป็นปัจจัย ทำให้เรียนรู้ จริงๆ เลยว่า กระทบแล้วก็ไปถึงจิต ไปถึงเวทนา มีอาการของ เวทนา มีการวิเคราะห์วิจัย วิเคราะห์วิจัยถึงจิต เจโตปริยญาณ ไม่ต้องเอาทฤษฎี เจโตปริยญาณ ๑๖ มาเรียก มาขาน จำชื่อไม่ได้ก็ตาม ผู้นั้นมีปฏิภาณ รู้แล้ว โอ๊! กิเลสเป็นอย่างนี้น่ะ ราคมูล โทสมูล โมหมูล เป็นอย่างนี้

เมื่อเราทำด้วยสมถภาวนาก็ดี วิปัสสนาภาวนาก็ดี มันลด มันเป็นอย่างนี้นะ มันเปลี่ยนแปลงไป พ้นมิจฉาทิฐิ อันดับแรกๆ จนกระทั่งทำไปบ่อยๆ จะรู้แจ้งรู้ชัดว่า โอ้! ทุกข์เป็นอย่างนี้นะ จะพ้นสักกายทิฐิ เข้ากระแส ที่จะขึ้นโสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผลนี่ มันจะมีคุณภาพ มันจะมีส่วนที่ได้ ได้สภาพนั้น ได้สภาพนี้ ขึ้นมาจริงๆ สักกายะคือตัวตน ตัวตนที่หยาบ ที่ใหญ่ สักกายะนี่เป็นตัวตน ที่ชัดแจ้ง ของตนเองเลย เห็นสักกายะ สักกายทิฐินี่ หมายความว่า เห็นแล้ว รู้แล้วตัวสักกายทิฐิ แล้วก็ทำ จนกระทั่ง จะพ้นสักกายะ พ้นตัวตนที่ใหญ่ที่หยาบ ที่มีฤทธิ์ มีแรง เล่นเอาเราลงนรกขึ้นสวรรค์กันอยู่ ในสังสารวัฏนี้ นานับกัปกาลนี่ วนเวียนอยู่กับมันนั่นแหละ ไม่ได้พรากจากกันหรอก อยู่ด้วยกันนิรันดร จะเป็นกิเลส จะเป็นเหตุปัจจัย ที่เป็นวัตถุนอก ที่จะต้องรักต้องชอบ ต้องแสวงหา ต้องเป็นทาส มันอยู่ตลอด นานับกัปกาลนี่ เราจะเห็นเลยว่า กิเลสตัวตนอย่างนี้ กับเหตุปัจจัยอย่างนี้ ถ้าเราตั้งใจ จะละอันนี้ เป็นเรื่องๆไป เราก็ทำไปเรื่อยๆน่ะ เมื่อทำไปแล้ว สัมมาทิฐิที่เกิดในรอบต้น ก็จะสูงขึ้น เป็นสัมมาทิฐิที่เพิ่ง เกิดแก่ เสขบุคคล แต่ละสภาพ แต่ละระดับอีกหนึ่ง

เพราะฉะนั้น คุณภาพของวงรอบของเหตุปัจจัยในผลธรรม เหตุปัจจัยในมรรค ในผลนี่ เหตุปัจจัย ในมรรคในผล ที่มันได้สั่งสม เพราะทำไปเรื่อยๆ สั่งสม สั่งสมอริยคุณ สั่งสมลงไปเรื่อยๆๆๆ โสดา เข้ากระแสโสดานี่ เป็นสัมมาทิฐิ แล้วปฏิบัติไปจริงๆนะ สั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ สั่งสมลงเป็น สัมมาญาณ สั่งสมลงเป็นสัมมาวิมุตินี่ มันไม่ใช่ภาษาพูด มันจะมีสภาวะรองรับ มันสั่งสม มันละเอียด มันมีจริง เมื่อเราได้ปฏิบัติจริง สังวรระวัง สั่งสมไปเรื่อยๆๆๆ มันไม่ใช่ตัวตน แต่มันก็เป็นของจริง จากการปฏิบัติ มีสัมผัสเป็นปัจจัย แล้วเราก็กระทำตามศีลที่เราตั้ง ขัดเกลากาย วาจา ขัดเกลาจิต ขัดเกลาใจของเรา เป็นอธิจิตขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ ก็เกิดอริยผลที่เกิดแก่อริยบุคคล ทุกระดับ มันก็แต่ละระดับ มันก็เกิด ไปเรื่อยๆน่ะ เสขบุคคลแต่ละสภาพ แต่ละระดับ ก็เกิดเป็นเสขบุคคล โสดาบันเป็นต้น ก็ขัดเกลา ในโสดาบันนั่นแหละ เป็นสัมมาทิฐิเกิด แล้วก็เกิดอริยผล พอสัมมาทิฐิก็ปฏิบัติ แล้วก็เกิด อริยผลขึ้นไปๆ มันจะมีของใหม่ เพราะเป็นมนุษย์โลกใหม่ ยังไม่เคยมีมาก่อนนะ ในปุถุชน ในมนุษย์ ที่เป็นมนุษย์มานี่ ในสังสารวัฏนี่ ได้ฟัง คุณได้ฟัง มนุษย์ปรโลกน่ะ มนุษย์ที่มี ภูมิใหม่ เป็นสัมปรายิกภูมิ เกิดศรัทธา เกิดศีลน่ะ ศรัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา จาคสัมปทา ปัญญาสัมปทา มันเกิดประโยชน์ใหม่ สัมปรายิกกัตถประโยชน์ ประโยชน์ของคนโลกใหม่ มันเกิดประโยชน์ เป็นประโยชน์ต่อตน ต่อท่าน จริงๆน่ะ เกิดประโยชน์ต่อตนต่อท่าน เกิดแล้ว มันก็จะเกิด ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ด้วย ปรมัตถประโยชน์ ก็คือ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ กับ สัมปรายิกัตถประโยชน์ ๒ อันนี่รวมกัน เป็นปรมัตถประโยชน์น่ะ

ประโยชน์ เขาบอกมีประโยชน์ ๓ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ก็ประโยชน์ปัจจุบัน จะเกิด อุฏฐานสัมปทา ขยันหมั่นเพียร เพราะฉะนั้น ศาสนาพระพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติแล้ว จากคนขี้เกียจขี้คร้าน จากคนโลกๆ ที่เอาเปรียบเอารัด เศรษฐีนี่ ไม่ใช่เศรษฐีหรอก กระฎุมพี คนร่ำๆรวยๆ คนที่มีฐานะสูงๆ ยศศักดิ์มากๆนี่ หนักๆเข้า มีแต่ขี้เกียจ ใช้คนอื่นตะบัน แสวงหาลาภ ยศ ฐานะ แล้วก็มีแต่ใช้คนอื่น คนอื่นทำแทนหมด แม้แต่ที่สุด อาตมาก็พูดอย่างมนุษย์เก่าๆล่ะนะ คนเก่าๆ คุยอย่างเดิม เมื่อกี้วจีสังขาร มันขึ้นมาแล้ว เคยพูดแล้ว แม้แต่จะเข้าห้องน้ำ จะมีคนเช็ดก้นให้ อาตมาเคยพูด คือมันจะไม่ทำอะไรเองน่ะ มันกลายเป็น คนร่ำรวย ศักดิ์ฐานะสูง จะมีคนรับใช้ เป็นคนขี้เกียจไปหมด กินก็มีคนป้อน อย่าว่าแต่มี คนยก กับข้าวให้ อย่าว่าแต่มีคนล้างจาน ล้างชามให้ อย่าว่าแต่มีคนทำอะไรแทนให้หมดเลย แม้แต่เข้าห้องน้ำ ก็ยังมีคนล้างก้นให้ โน่นแหละ ขี้เกียจ กลายเป็นคนขี้เกียจ แต่จริงๆแล้ว จะเป็นคนขยัน อุฏฐานสัมปทา เป็นประโยชน์ปัจจุบัน เห็นได้ นี่คือ อริยบุคคล ขยัน หมั่นเพียร รับผิดชอบในการงาน ไม่ใช่ว่า ตกลง การงาน มีแต่จะใช้คนอื่นตะบันนะ งานอะไร ก็นั่งชี้ นั่งใช้ไปหมดเลย อะไรก็ไม่ทำ นอกจาก ไม่ช่วย ตัวเองแล้ว ยังแถมการงาน ก็กินแรงผู้ อื่นไปหมด ให้ผู้อื่นทำทั้งนั้น ตนเองไม่ทำ จะทำก็ทำงานเบา

จะเห็นได้ว่าเป็นการเลี่ยง เป็นผู้เลี่ยงงานหนักมาสมัครงานเบา มันจะส่อ อย่างนั้นจริงๆเลย แล้วตัวเอง ก็ไปบำเรอตน ไปเล่นไพ่นกกระจอกมั่ง ไปหาทางเที่ยวเตร่ เฮฮา สนุก สบาย อะไรไปตามเรื่องนะ เป็นคน ร่ำรวยนี่นะ เป็นเมียเศรษฐี เป็นตัวเศรษฐีเสียเอง อะไรก็แล้วแต่ แล้วจะเป็น แหม! อาตมาก็ใช้ศัพท์ สับสนอีกทีแล้ว ไม่ใช่ เศรษฐีหรอก กระฎุมพี เป็นคนร่ำรวย เมียกระฎุมพี ไม่ใช่เมียเศรษฐี เศรษฐีจริงๆ น่ะ มันเป็นภาษาเจริญ มันเป็นชื่อของผู้ที่ประเสริฐน่ะ แล้วมันไปใช้ผิดใช้เพี้ยน เพราะว่าพวกโน้น เขาก็ไม่ เขาก็รู้ กระฎุมพีมันน่าเกลียด เขาไม่ได้เรียกกัน เขาก็มาเรียกเศรษฐีแทน ว่าเป็นผู้ร่ำรวย เป็นผู้ประเสริฐ ประเสริฐนั่น เขาไม่เป็นอย่างนั้นหรอก

เพราะฉะนั้น อุฏฐานสัมปทา มันจะบอกบุคลิกลักษณะของอริยชน มันจะมีประโยชน์ ก็คนมีความขยัน หมั่นเพียร มันไม่มีประโยชน์ยังไงล่ะ คุณคิดดูซิ ใครจะเถียงมา เถียงมาดูสิ จากคนขี้เกียจนี่ พวกเรานี่ แต่ก่อนแต่ไรนี่ เคยขี้เกียจกันมามาก เราจะรู้สึกว่า เอ้อ! ยังไงๆเรามาอยู่ที่นี่ ก็ยังขยันกว่าเก่า มันเกิด อุฏฐานสัมปทา ขยันจริงๆ แล้วมันก็ มีจิตใจยินดีที่จะขยันกว่าแต่ก่อน แม้มันจะโรค มันจะมีกิเลส มีโรคติดตัว โรคขี้เกียจอยู่ ก็ตาม มันก็จะขยันกว่าเก่า มันจะสำนึก มันจะรู้สึกตัวว่าเรานี่ จะต้องเป็นคน มีคุณค่า จะต้องเป็นคนมีประโยชน์ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ เป็นประโยชน์ มันสำนึกนะ มันสังวร แล้วมันรู้ตัว เอ๊ะ! มันไม่ผิดนะ นี่มันเป็นสิ่งที่เป็นสัจจะ เป็นความจริงนะ เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ ขยัน หมั่นเพียร เราถนัดอะไร หรือว่าเราควรจะช่วยเหลือเฟือฟายอะไร จะทำอะไร มันจะทำ มันจะเห็นเลย ส่อ เห็นได้เลยว่า เปลี่ยนบุคลิกมา เปลี่ยนนิสัยมา เปลี่ยนพฤติกรรมมา มันเปลี่ยนมนุษย์ มาเป็นคนขยัน หมั่นเพียร อุฏฐานสัมปทา เข้าถึงพร้อมความขยันนะ อารักขนาสัมปทา อารักขะน่ะ ขออภัย เป็นอารักขนา เป็นอนุรักขนา ถ้าอนุรักข์ อนุรักขนา ถ้าอารักข์ ก็อารักขะ มันจะเป็นผู้ที่รู้จักรักษา รู้จักคุ้มครอง รู้จักป้องกันน่ะ สิ่งที่ดีก็จะรักษาไว้ให้ดี สิ่งที่เจริญก็รักษาไว้ให้เจริญ ไม่ใช่ทำแล้วก็ทิ้งๆ ขว้างๆ ทำได้แล้วก็ ไม่ทำต่อ ทำได้แล้วก็ทิ้ง ไม่ใช่ เราจะต้องมองไปในแง่ของเหลี่ยม ที่เป็นโลกุตระ ให้ถูกนะ เขาเอาไปใช้ ในโลกียะ ป้องกันคุ้มครองรักษาทรัพย์สินเงินทอง โน่น ไปเอาแบบโลกียะนะ สะสมเงินทอง แล้วก็ป้องกัน รักษาทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งเป็นโลกียะนะ ความหมายของ โลกียะ แล้วก็จะมี ทรัพย์สินเงินทองมากมาย กอบกองเยอะแยะขึ้นมา รวยน่ะ เป็นกระฎุมพี เขาเอาไปอธิบาย ฟังดูก็ดีนะ อุฏฐานสัมปทา ก็ขยัน หมั่นเพียร ก็ได้มา ขยันสร้าง ขยันทำ ก็ดูดี ก็ถูกในมุมนั้น

คือธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่อธิบายมุมนั้นก็ได้ลึกซึ้งเหมือนกัน เป็นโลกียะธรรมดา เป็นของคนโลกๆ มันก็ดู ไม่ขัดแย้ง มีกัลยาณมิตร คือมิตรที่จะพากันร่ำรวย มิตรที่จะพากันมียศมีศักดิ์ ก็แบบโลกๆน่ะ มิตร ผู้ใดที่ไม่สรรเสริญ ไม่ส่งเสริม ไม่รวยลาภ รวยยศ ไม่เอาไม่คบ ก็เป็นธรรมดา ถูกโลกียะ แต่เราต้องรู้ว่า โลกุตระมีทิศทางอะไร โลกุตระไม่ได้มานั่งสั่งสมลาภยศ ไม่ได้มานั่งสั่งสมมิตรสหาย ที่จะพาไปรวยลาภ รวยยศ

เพราะฉะนั้นมิตร จะเป็นคนละตัว ว่าเป็นตัวไปเลย ซะเลย มิตรพาไปโลกีย์ ก็เป็นอีกตัวหนึ่ง คนละตัว คนละตน มิตรจะพามาโลกุตระ มันคนละตัวกันนะ เห็นมั้ย เพราะฉะนั้น ทิฐิความเห็นนี่ล่ะ เป็นตัว ที่จะชี้ชัด จะแยกเหล่าแยกหมู่ออกให้ชัดเจนเลยว่า จะไปโลกเก่า อยู่โลกเก่า หรือจะมาอยู่โลกใหม่ ถ้าจะมาอยู่โลกใหม่ มิตรก็ต้องเป็นมิตร ในโลกใหม่ คนประเภทตระกูลอย่างมนุษย์โลกใหม่ เป็นมนุษย์ โลกุตระ เป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี อย่างนี้เป็นบัณฑิต เราถือว่า มิตรที่โลกุตระนี่ เป็นอริยบุคคลนี่ เป็นบัณฑิต คบบัณฑิต ไม่คบหรอกพวกพาล ยังพาล ยังโง่ ยังเยาว์ ยังอวิชชาอยู่ ยังเป็นพวกที่มีอวิชชา ยังเป็นพวกที่ยังไม่มีอินทรีย์พละอะไร ยังเป็นคนอีกโลกหนึ่ง โลกเก่าๆ ปุถุชนเดิมๆ ไป สั่งสมโลกียะอยู่อย่างนั้นล่ะ อย่างเก่านั่นล่ะ ไม่ได้หันทิศหันทางมาทางนี้

เพราะฉะนั้น กัลยาณมิตตา จะมีมิตรก็จะมีมิตรอย่างนั้นแหละ มีมิตรอย่างที่จะเป็นโลกียะ เขาก็จะมีมิตร อย่างโลกียะ อธิบาย อุ อา กะ สะ หัวใจเศรษฐี เศรษฐีจริงที่ไหนล่ะ เป็นหัวใจกระฎุมพี เขาก็เรียก หัวใจเศรษฐี อยู่นั่นแหละ หัวใจกระฎุมพี หัวใจพวกที่ มันจะสะสม ร่ำรวย กอบโกย ไม่ใช่ หัวใจเศรษฐี ถ้าเศรษฐีจริงๆแล้วล่ะก็ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร สร้างสรร แจกจ่าย เจือจาน ไม่ใช่มา อารักขสัมปทา ก็สะสม ไว้ เก็บหอมรอมริบ สะสมไว้ กอบโกย กักตุนไว้ ไม่ใช่ มันจะสอดคล้องกับ สัมปรายิกัตถประโยชน์ มันจะเชื่อมั่น เข้าใจ มีศรัทธา สัทธินทรีย์ ศรัทธาผล มันจะมีศีล ศีลนี่ ขัดเกลาจิตใจ ขัดเกลากาย วาจา ใจ แล้วมันจะมีจาคะเห็นไหม มันจะไม่ใช่ มาเก็บ กักตุน มันจะสอดคล้องกัน ถ้ากักตุนสะสม มันไม่ใช่จาคะ นั่นมันขี้เหนียวหวงแหน มันไม่ใช่จาคะ เห็นไหม มันจะสอดคล้องกัน อารักขสัมปทานั้น รักษาคุณธรรม รักษาคุณค่าของมรรคผล อย่าให้ มรรคผลเสื่อม อย่าให้มรรคผล ที่มันได้นี่มันลด ต้องให้มันเพิ่มระดับ เพิ่มอริยคุณๆ จนขึ้นขอบขึ้นเขต จนถึงรอบ ไม่เปลี่ยนแปลง มันจะมีอริยผลที่เกิดแก่อริยบุคคลเป็นระดับๆ เกิดจนกระทั่งถึง วิมุตติญาณทัสสนะ หรือ ญาณตรัสรู้ แต่ละรอบ แต่ละรอบ อีกหนึ่งนะ เป็นอันที่ ๔ มันจะเกิด จริงๆ เกิดใหม่ มันถึงรอบ ปุถุชน หรือว่า ผู้ที่ปฏิบัติเป็นเสขบุคคลขึ้นมานี่ ตั้งแต่โสดามรรค เป็นมรรค สั่งสม เดินมรรค เดินก้าวไปเรื่อยๆ ก้าวไปเรื่อยๆ จนไปถึงขีดถึงรอบของมัน เป็นผลแต่ละรอบ แต่ละระดับ ซึ่งเป็น สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ของผลน่ะ เหมือนกับเราจะตักน้ำ ตอนแรกๆใหม่ๆ เราก็จะตักไปได้น้ำ ทีละจิ๋งๆๆๆ มันได้รอบ มันก็จะเป็น เหมือนกับเรามี เครื่องตวง เครื่องตวงอันหนึ่ง จะได้ โอ้! นี่เราจะมีแรง ขนาดหนึ่ง อินทรีย์มันจะซับซ้อนๆ เหมือนตอนแรกนี่ เราก็ได้น้ำทีละหยด ทีละหยดๆ พอสะสมอริยคุณนี่เข้าไป มันจะได้น้ำมีพลัง อินทรีย์พละ เหมือนกับเราจะตักน้ำได้ ไม่ใช่ทีละหยดแล้ว ต่อไป มันจะได้เหมือนกับ ถ้วยตะไล ต่อไปอินทรีย์พละเราจะสูง เหมือนกับเราจะตักน้ำได้เหมือนเท่ากับ ถ้วยตะไล ต่อไป เราก็ตักน้ำได้ ไม่ใช่ทีละหยด ได้ทีละถ้วยตะไล ทีละถ้วยตะไล ทีละถ้วยตะไลนี่ ต่อไป อินทรีย์พละเราจะซับซ้อนขึ้น เป็นเท่ากับชาม มันจะมีอินทรีย์พละเหมือนเท่ากับชาม ตักน้ำได้ ทีละชามๆ ต่อไปไม่ใช่ทีละชาม มันจะทีละ กะละมัง มีอินทรีย์พละเท่ากับทีละเป็นกะละมัง มันจะเป็นรอบไป อย่างนั้นล่ะ มีอินทรีย์พละซับซ้อนไป ตักน้ำทีละกะละมัง สูงขึ้นไปจากกะละมัง มันก็ตักได้ทีละกะละมัง ทีละกะละมัง ต่อไปได้ทีละอะไรล่ะ ทีละตุ่ม นั่นล่ะ อินทรีย์พละ มันจะเสริมซ้อน เสริมซ้อนอย่างนั้น ขึ้นไปจริงๆ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนน่ะ จะมีอริยผล อริยคุณ แต่ละระดับๆ ขึ้นไปอย่างนั้นจริงๆ ปฏิบัติถูกทางแล้ว มันจะเป็นอย่างนั้น แล้วมันจะเป็นของใหม่ ของแปลก เป็นของแปลกใหม่ที่สุด ที่มนุษย์เลื่อนชั้น จากปุถุชน เลื่อนไหลขึ้นไปเป็นอริยบุคคล อริยบุคคลขึ้นไปเรื่อยๆ จนมีแรงถึงวิราคะ จนถึงวิมุติ มี วิมุตติญาณทัสสนะ วิมุตติญาณทัสสนะ คือเราสั่งสมวิมุติ แล้วก็มีญาณทัสสนะ ที่เห็นวิมุติของเรา เห็นวิมุติของเราว่า โอ้! อย่างนี้เองหรือวิมุติ เห็นแรกๆนี่ คุณก็จะแปลก จะใหม่มากเลยว่า โอ๋! อย่างนี้หรือวิมุติ วิมุติถึงรอบ ถึงขั้นจริง มีเจโตปริยญาณนะ เห็นอนุตตรจิต เห็น สมาหิตจิต แล้วก็เห็นวิมุตติจิต คุณจะเห็นว่า อ๋อ! คุณจะเห็น แล้วก็ทำไป มันจะมีอวิมุติจร มาให้คุณดู เหมือนกัน อ๋อ! เรานึกว่า เราวิมุติเด็ดขาดแล้ว มันยังมี อวิมุติจรอยู่นะ คุณจะรู้ว่า เราจะไม่ยอมเลย เหมือนกับคุณมีเพชรสักเม็ดหนึ่งนี่ แหม! มันมีเส้น มีหางแมว มีขีดมีข่วนนี่ คุณจะไม่ยอม อยากจะให้มันสะอาด อยากให้เพชรนี่มันสะอาด ผ่องแผ้ว ไม่มีขีดข่วน ไม่มีหมองหม่น ไม่มีอะไรเลย คุณอยากได้อย่างนั้น ใช่ไหม ถ้ามีเพชร แหม! มันจะเจ๋งเลยนะ มันมีขนแมวนิดหนึ่ง อู้ฮูย! ใจมันแป้ว แล้วเราทำเองเสียด้วยนะ ไอ้ขนแมวนี่ ไม่ใช่คนอื่น ทำนะ มันเจ็บแสบ จริงๆนะ มันจะมีความรู้สึก อย่างนั้นเลยนะ อื้อหือ! เพชรเม็ดนี้ มันจะบริสุทธิ์ผ่องใส ไม่มีหมอง ไม่มีหม่น บริสุทธิ์สะอาดจริงๆเลยนะ เราเองแท้ๆทำขนแมว ทำให้มันมีตำหนิ เราจะรักมัน มากเลย เราจะมี วิธีใด ที่จะทำให้ไอ้รอยตำหนิขนแมว ออกจากเพชร เม็ดที่มันเหลือเท่านี้เอง เราจะต้อง เอาออกให้สะอาดได้ เราจะทำใช่ไหม มนุษย์น่ะ เราจะทำ อวิมุติจรก็ตาม หรือตัวที่ยังไม่สมบูรณ์ก็ตาม เรารู้แล้วนี่ คุณภาพของ เจโตปริยญาณ มันจะบอกเรา คุณภาพของวิมุติ มันเป็นอย่างนี้นะ จะต้อง เอามันให้ได้

เพราะฉะนั้น อวิมุติจรมานี่ มันไม่ปละปล่อยหรอกคุณ มันจะเพียรขจัด เรื่องอะไรล่ะ มันจะบริสุทธิ์ ผุดผ่องอยู่แล้ว เรื่องเศษเรื่องจ้อย เรื่องเล็กเรื่องน้อยนี่ ยังไม่สมบูรณ์ ต้องเอาให้มันสมบูรณ์ มันจะทำ มันจะมีอินทรีย์พละนั้น ถึงรอบน่ะ อินทรีย์พละของโสดาบัน ยังไม่ค่อยมีสภาพพวกนี้ เต็มที่เท่าไหร่หรอก บอกให้ได้ สกิทาคามีก็สูงขึ้นบ้าง อนาคามีมันจะมีแรงพวกนี้จัด มันแหม! มันจะถึงที่จบที่สุด มันจะถึง ขีดขอบที่เจริญ แล้วนี่ อินทรีย์พละ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยิ่งมีอินทรีย์พละที่แท้จริง อริยบุคคลสูงๆแล้วนี่ จะเห็นผู้ที่มีประโยชน์ อุฏฐานสัมปทา ก็เห็นชัด อารักขสัมปทาก็เห็นชัด กัลยาณมิตตาจะมีภราดรภาพ เห็นแก่ผู้ที่จะมาพึงเพียร พึงปฏิบัติ มีกัลยาณมิตร มีใจโอบอ้อมอารี มีเมตตา เอื้อเฟื้อ เจือจาน จะมีชัดขึ้นไปเลย ปฏิบัติถูกตรง แล้วอินทรีย์พละสูง เข้าขีดอนาคามีนี่ จะเป็นผู้ที่มีเมตตาเห็นๆ เกื้อกูลช่วยเหลือเฟือฟาย ขยันหมั่นเพียร แล้วก็ไม่ปล่อยปละ ละเลย รักษาผล

ฟังดีๆนะ อารักขสัมปทา รักษาผล รักษาอริยคุณ ไม่ใช่ไปรักษาเงินทองทรัพย์ศฤงคาร ฟังให้ชัดนะ คุณไปเที่ยวได้รักษากอบโกยทรัพย์ศฤงคารนั้น มันย้อนแย้งกันแล้ว นี่อาตมาพาคุณปฏิบัติ ให้คุณทิ้งมา ไม่ใช่ให้คุณ ไปกอบหอบหามอยู่ อารักขสัมปทา คือไปหอบยศ หอบศักดิ์ หอบตำแหน่งหน้าที่โลกๆ โลกีย์ ไปเที่ยวได้เป็นเครื่องมือเขาอยู่ แหม! วันเวลาก็ผ่านไป แรงงานก็เอาไปรับใช้เขา ยิ่งไปรับใช้บริษัท ทำงานบริษัท พูดไปอย่างนี้ ประเดี๋ยวผู้ทำงานบริษัท ก็ประเดี๋ยวลาออกพรุ่งนี้อีกล่ะ ไปรับใช้ แล้วไปเป็น เครื่องมือ ให้เขากอบโกย อะไรอย่างนี้เป็นต้น มัน อื๊อ! ไปรักษาทำไมอย่างงั้น มันจะรู้ว่า นิปเปสิกตา มันจะไม่มอบตน อยู่ในทางผิดอะไร มันจะเป็นจริงหมดเลย มันจะรู้ มันไม่เอาหรอก วันเวลา เรามาพากเพียรดีกว่า มันจะมีอินทรีย์พละเช่นนั้น มาอยู่กับมิตรสหายที่ดี เกื้อหนุน จุนเจือกันดีกว่า น่ะ กัลยาณมิตตา สมชีวิตา มีชีวิตประเสริฐ สมชีวิตา มีชีวิตประเสริฐ มีชีวิตสงบ สมชีวิต ก็คือชีวิตสงบ ที่จริงน่ะ สมชีวิตามีชีวิตสงบ มีชีวิตประเสริฐ มีชีวิตที่ได้อุปสมะ วูปสมะ มันจะมีจริงๆ มีชีวิต ประเสริฐ จริงๆ จะเรียกมีชีวิตเลี้ยงชีพอยู่ ทรงชีพอยู่ ยังชีพอยู่อย่างประเสริฐ อย่างชอบ อย่างดี เป็น เห็นปัจจุบัน เลย เห็นเป็นปัจจุบันน่ะ อย่างพวกเรานี่ อาตมาเห็นพวกเรามีสัมมาอาชีพ หรือมีสมชีวิต มีชีวิตประเสริฐ มีชีวิตที่ชอบแล้ว อาตมาว่า อาตมามีชีวิตที่ชอบแล้ว ยังจะไปถูกเขาเปลี่ยนอยู่เลย ดูเถอะ อำนาจโลกียะ มันจะมา เปลี่ยนเรา ปัดโธ่! เปลี่ยนได้แต่รูปแบบ จะไปเป็นชีวิตอย่างอื่น ทำไมจะมาเปลี่ยน สมชีวิตา ของเรา ฮึ! นี่เขาก็เอาไปรายงาน ยังขึ้นเทศน์ ยังนำสวด หน็อย! เปลี่ยนชุดขาวแล้ว ยังมานำสวดอยู่นี่ เขาถือว่าสึกแล้วนะ ยังมาทำอยู่นี่ คนอื่นก็ยังกราบอยู่เลย ดูนี่ สาวกก็ยังกราบอยู่เลย ก็แล้วแต่เขา ชีวิตอาตมาไม่ได้เปลี่ยนนะ จะเปลี่ยนรูปแบบ จะเปลี่ยนแฟชั่นไป ตอนนี้เป็น เขาบอกเป็นอินเดีย ห่มอย่างนี้ เป็นคานธี ห่มอย่างนี้ก็เป็นแบบ มาร์คแอนโทนี (ผู้ฟังหัวเราะ) ไม่ว่าอะไร จะเป็นโรมัน หรือจะเป็นอินเดีย ก็ได้ทั้งนั้นแหละ มันก็มีอะไรขำๆ ขันๆอยู่นะ เล่นไปบ้าง มันเครียด ก็เล่นบ้างล่ะ เห็นบอกว่า อาตมาไม่อยู่แล้ว หน้าเศร้าสร้อย ตาตกเชียว ไม่ว่าจะเป็นสมณะ หรือว่าจะเป็น ฆราวาส หน้าขุ่น ตาขุ่น ไม่เบยเลย ไม่เบยไม่บานเลย เป็นยังไง ไม่มีอินทรีย์พละ ของตนเอง คราวนี้นี่ไม่ เริ่มคิดเริ่มขั้นนี่ ไม่รู้จักวิมุตติญาณทัสสนะมั่ง ไม่รู้จักอาสวักขยญาณมั่ง ไม่รู้จัก ขีดขอบที่เจริญ ขึ้นมั่ง อีกมั่งนี่ มันไม่ได้นะ มันต้องได้นะ มันจะต้องได้สิ่งใหม่สิ่งแปลกที่เป็นอริยคุณ ฐานของอริยคุณ ผลของอริยคุณ ที่พูดทั้งหมดนั่น มันเป็นผลของอริยคุณทั้งหมด ๗ หลักน่ะ มันจะสูง ขึ้นตามลำดับ มันจะไล่เลียงขึ้นมาตามลำดับ จะพูดกล่าวๆ เกริ่นๆ อธิบายวิธีปฏิบัติ ลักษณะ ของสภาวะ อะไรต่ออะไร ให้ฟังไปเรื่อยๆก่อน ได้เล่าให้ฟังมาเรื่อยๆ มันจะเกิดเห็น วิมุตติญาณทัสสนะ แล้วจิตใจ มันจะทำจริงๆ มันจะเป็นประโยชน์ ประโยชน์เป็น ปรมัตถประโยชน์น่ะ เป็นสมชีวิตา เป็นชีวิตประเสริฐ สอดคล้องกัน จะมีศรัทธา สัทธินทรีย์ ศรัทธาผล เป็นอินทรีย์ เป็นพละจริงๆ เป็นความเชื่อ ที่ไม่ได้ เชื่อดายๆ ไม่ได้เชื่ออย่าง กาลามสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านเตือนไว้ จะเชื่อเพราะ กุศลใด ที่ได้สั่งสม ได้พิสูจน์ปฏิบัติ อย่างจริงจังแล้ว เราจะเชื่ออันนั้น ไม่ใช่ไปเชื่อครูบาอาจารย์ เชื่อตำรับตำรา เชื่อสิ่งปรัมปรา เล่ากันมา เชื่อทิฐิความเห็น เชื่อที่สอดคล้องกับไอ้โน่นไอ้นี่อะไร ไม่ใช่ มันเชื่อเพราะ มีประโยชน์จริง เชื่อเพราะมีสภาวะนั้นจริง เกิดญาณ เกิดปัญญา ได้อาศัย ได้สัมผัสรส เป็นธรรมรส เป็นวิมุติรสน่ะ

เพราะฉะนั้น เมื่อมันเป็นสัจจะความจริงยังงี้ ได้เชื่อยังงี้ เกิดศรัทธาผลยังงี้ แล้วนะ มันประกอบไปด้วย ปัญญา ประกอบไปด้วยอาการต่างๆ ประกอบไปด้วยวิริยินทรีย์ สตินทรีย์ ทำไปจนกระทั่งสั่งสมเป็น สมาธินทรีย์ เป็นสัมมาสมาธิ สมาธินทรีย์ จนกระทั่งลึก ไปจนถึงขั้น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เป็นฐาน

อาตมาก็เคยพูดมาแต่ไหนแล้วว่า อุเบกขานี่คือ ฐานนิพพาน แต่ยังติดยึดอุเบกขาอยู่ ยังไม่ใช่นิพพานนะ เป็นฐานอาศัย จิตมันวางกลาง มันเฉย มันไม่ดูด ไม่ผลัก อุเบกขาไม่ใช่เฉยเด๋อ มันไม่ดูดไม่ผลัก ต่อเหตุ ปัจจัยนั้นแล้ว ต่อโลกียะนั้นแล้ว ต่อสิ่งที่มันเคยเป็นนาย มนุษย์มนา ไหนๆมา คนปุถุชน ที่เขาเคย เป็นทาสมัน เราก็เคยเป็นมา เดี๋ยวนี้มันไม่จริงๆ มันไม่เป็นทาสอย่างลอยตัว มันเป็นอิสรเสรีภาพ สมบูรณ์ อุเบกขานี่ แล้วไม่ได้หมายความว่า อุเบกขาคือไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เลย มันยอดมี ปัญญา มันวางเฉยจริงๆ มันบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่นั่นเอง ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ทำร่วมกับเขาอยู่ด้วย มีการงานทำกับเขา สัมผัสอยู่กับสิ่งนั้นด้วย มันละ อย่าว่าแต่สักกายทิฐิเลย อย่าว่าแต่ทุกข์ มันหมด ไปเลย คนที่เลยสักกายทิฐิ เข้าหาอัตตานุทิฐิแล้ว ทุกข์น้อยต่อเหตุปัจจัยนั้น เหตุปัจจัยนั้นๆ ทุกข์ไม่มากหรอก มันจะสัมผัสมีอะไร ก็อาจจะมีไหวๆ แวบๆ เป็นรูปราคะ อรูปราคะ ถ้าเราเรียนมานะ ไม่เก่ง มานะสังโยชน์ไม่เก่ง มันจะผยอง คือจะมีอุปกิเลสอีกนานาสารพัดนั่นแหละ ถ้าเราเรียน มานะสังโยชน์เก่ง มันก็ย่อมไม่ทำให้คนนี้หลงตัว คนบางคนนี่ อนาคามี บางคนนี่ จริง เศษกิเลส มันรูปราคะ อรูปราคะ แต่มานะสังโยชน์ตัวเองนี่ การมีอุปกิเลสซ้อนในตัว ถือตัวถือตน มันมี มันไม่ได้ เรียนถูกทาง มันไม่ได้ฝึกอบรมตนมา ลดมานะให้แก่ตนจริงนะ มันก็จะซับซ้อน เลยกลายเป็น คนหยิ่ง ผยอง อวดดี หาเรื่องให้แก่ตัวเองมาก มานะนี่ หาเรื่องให้แก่ตัวเอง มีทุกข์ต่อ ไม่ใช่ทุกข์ เพราะเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ทุกข์เพราะไปอวดดี สงสัยจะคล้ายๆอาตมานี่มั้ง นี่หาเรื่องมาใส่ตน ที่จริง อาตมา ก็พูดถูกอยู่ รู้อยู่นะ ที่จริงไม่ใช่หรอก อาตมาก็ทำงาน จะเห็นได้ว่า มันมืดจริงๆนะ ขนาดอาตมา ทำขนาดนี้ ให้ตีกิเลสออกมา แล้วก็ย้อนไปให้เขา อ่านตัวเอง

คุณน่ะทำกิเลสอย่างหนาจัดหยาบคาย แล้วยังไม่รู้ตัวเลย หยาบคายแล้วนะ ผิดพลาดแล้วนะ นี่หยาบ เห็นไหมนี่ แสดงออกมามากมาย จนกระทั่ง โอ! เห็นแก่ตัว ยังใช้อำนาจบาตรใหญ่ อิทธิพลโน่นนี่ กิเลสหยาบ จะปราบจะปราม จะโน่นนี่ ทั้งๆที่ว่า เราดีๆๆนะ ไม่ฟัง ดีก็ต้องหยุด ดีก็ต้องโค่น ต้องฆ่าลง หาพรรคหาพวกได้ นี่เป็นไม่ใช่วันเดียวนะ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องนานมาแล้ว ไม่ใช่วันเดียว สั่งสมกันมา หาทางที่จะต้อง เอาอิทธิพล เอาอำนาจ เอาอะไรมาล้มมาล้างกัน ไม่ใช่วันเดียว มันเป็นลักษณะ ที่เขาดูกันไม่ออก ขณะนี้ก็ยังไม่ออก ไม่รู้จะทำยังไง อาตมาทนได้ ไม่มีปัญหาอะไร ที่ทำก็ทนได้ ที่ทำ เพราะรู้อินทรีย์พละตัวอยู่ ถ้ามันทนไม่ได้ มันก็ไม่ไหวเหมือนกันล่ะ เราจะไปทำงานไหวหรือ อาตมายัง ไม่ได้ป้อแป้ ก็คงจะเห็นนะ ยังมีอินทรีย์พละ ยังมีความเบิกบานร่าเริงนะ แสดงธรรม ขนาดปรมัตถ์ ก็ยังสนุกสนานอยู่ดี ไม่ได้ป้อแป้ ไม่ได้เพลีย ไม่ได้ไอ้โน่นไอ้นี่อะไรมากมาย ยังมีปกติน่ะ ไม่ได้แกล้ง คุณดูได้ สังเกตเอาว่าแกล้งหรือเปล่า แหม! โดนหนักอย่างนี้ มันน่าจะเปลี้ยเพลียนะ อย่าไปเอายาคอ มาให้กินอีกนะ แหม! อย่างกับอาตมานี่ ตอนนี้เปลี้ยเพลียไปใหญ่แล้วนี่ เอายามาโด๊ปเดิมเยียวเข้า เท่านั้นเอง ไม่มีอะไร ไม่ได้เป็นอะไร คอก็ยังดี ไม่ได้สอน ไม่ได้เทศน์อะไร มากมายด้วยซ้ำ ก็ทำปกติ อยู่นี่นะ ไม่ต้องไปเอามาเติม เมื่อวานนี้เอามา ไม่กินให้หรอก เมื่อวานนี้ เอาถ้วยมาเติม อาตมารู้นะ รู้ว่าเจตนาดีนะ มีน้ำใจที่จะให้อาตมาได้ พอรู้ ว่ากุศลเจตนาที่จะทำ ที่จะรักษาดูแลน่ะ แต่ว่า ไม่ต้องเปลือง ไม่ต้องเปลืองถึงขนาดนั้นหรอก อาตมารู้ตัวอยู่ว่า ถ้าเผื่อว่า สมควรจะดื่ม สมควรจะกิน สมควรจะใช้ก็จะทำ แต่นี่มันไม่ถึงขนาดนั้นนะ อ๋อ! คุณไปมัวปรุงเรื่อง โน้นอยู่ ใช่ มันเป็นความ ไม่ชอบใจ เป็นความโทสมูล มันเป็นตัวเหตุใหญ่ มันเกลียดชัง มันกั้น มันมาเสียหาย ประโยชน์ของตน มันมาลบล้าง มันมาลบหลู่ มันมาข่มมาเบ่ง อะไร ยังงั้นน่ะ ไอ้ตัวที่มัน จะต้องชิงชัง โทสมูลมันขึ้นมาก อรติของคุณว่าก็ใช่ แต่อรติมันเบา ไอ้ความไม่ชอบใจมันเบา มันไม่ใช่อรติเท่านั้น ใช่ มันขึ้นมาเป็นโกธะ พยาบาท อาฆาต เคียดแค้นเลย แล้วมันก็เลยถึงพุ่งเพ่ง เป็นตัวดื้อ ตัวด้าน ตัวดันทุรัง ตัวที่จะเอาชนะ คะคาน เป็นมานะ อติมานะ จริง มันก็จริง ถ้าเข้าใจสภาวธรรมแล้ว มันจะรู้เลยว่า กิเลสมันนี่ โอ้โห! มันอ้วน มันพี มันตัวโต ฤทธิ์เดชมันเยอะนะ มันยิ่งต่อหัวต่อหาง ต่อไอ้ตัว ไอ้อุปกรณ์ที่มันจะกัดจะฟัน จะฆ่าจะแกง โอ! เห็นเขี้ยวก็งอก ไอ้อาวุธของสัตว์ร้ายทุกชนิด เกิดจากตรงนั้นตรงนี้หมดเลยนะ เขี้ยวก็งอก เขาก็งอกนะ ไอ้หางแมลงป่อง อะไรล่ะ กงเล็บก็งอก งอกหมดเลยนี่ อาวุธสัตว์ทุกชนิด ออกมาหมดเลย เสร็จแล้วใช้พร้อมกันหมดเลย โอ้โห! เราก็จะตาย เอาน่ะ เพราะว่าอาวุธร้าย ของสัตว์ร้าย มันออกมาหมดเลย โอ้โห! สารพัดพิษ แหม! ยังงี้ ถ้าพูดเป็น บุคลาธิษฐานตรงนี้ คุณจะเข้าใจดี ลักษณะมัน ร้ายแรงอย่างนั้นล่ะนะ มันทำ มันทำกัน ก็ไม่เป็นไรน่ะ ถ้าเผื่อว่า เราเป็นไปได้ แค่ไหน ทนได้แค่ไหนเราก็ทำน่ะ เมื่อเราได้มาปฏิบัติจริงๆนี่ เราจะเห็นสภาพ เมื่อกี้นี้อธิบายไปถึง สักกายทิฐิ มันลด มันไปถึงอัตตานุทิฐินี่ คุณจะเห็นว่า ทุกข์ของคุณลด พ้นสักกายทิฐินี่ ทุกข์ของคุณลด จริงๆ อยู่ในโสดาบันนี่ คุณจะอยู่กับโลก คุณจะยังมี ทรัพย์สิน เงินทองบ้าง คุณจะมีกิเลสราคะอะไร จะมีคู่ ผัวเดียวเมียเดียว มีอาหารการกิน การบำเรอตน ขนาดนั้น ขนาดนี้อยู่ ก็เป็นจริง แต่ทิศทาง มันจะไม่หยุดหย่อน

ถ้าเผื่อว่าเป็นผู้ที่ไม่ถึงขั้น อย่างนางวิสาขา ... พวกยังหลงใหลอยู่ในวัฏฏะ แห่งความยินดีระเริงนี่ โอย! สบายอารมณ์ มีทรัพย์ศฤงคารมาก มีเครื่องทุ่นแรง มีของบำเรอชีวิต มันรวยเกินไป แล้วก็อินทรีย์พละ มันก็อ่อน จะต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้ ช้า พวกนี้วนเวียนอยู่ในภพ ในโสดาไปอีกนาน มีเหมือนกัน พวกเรานี่ ไม่เป็นไรหรอก เราได้แค่นี้เราก็รู้แล้ว ไปอีกชาติหนึ่งเถอะ คำว่าไปอีกชาติหนึ่งเถอะนี่ ล้านชาติ จิตที่บอกว่า เออ! ชาตินี้เราอย่าเพิ่งเอาเลยนี่ นั่นล่ะ สั่งสมไป นั่นล่ะ คุณวนเวียนอีกล้านชาติ ความคิดอย่างนั้น แล้วคุณก็อบรมอย่างนั้นไป ตลอดชีวิต นั่น ไม่เป็นไรหรอก ชาตินี้ เราก็พบแล้วน่ะ เราก็แค่นี้ เราอินทรีย์เราอ่อน เราก็ไปยังงี้ล่ะ

ความรู้สึกอย่างนี้ทำให้คุณนี่จะต้องวนเวียนอยู่ในกัปกัลป์นี่อีกเป็นล้านชาติ อย่าพูดแค่ ๕๐๐ ชาติ เหมือนอาจารย์มั่นนะ อาจารย์มั่น ๕๐๐ ชาติน่ะ อาจารย์มั่นนี่เล่า ๕๐๐ ชาติ ท่านเป็นสายเจโต ท่านรู้เจโต อาตมายอมรับว่าท่านพูดถูก ที่ท่านบอกว่าท่าน เองไป แหม! เกิดเป็นหมา ท่านเกิดเป็นหมา อยู่ชาติ เสร็จแล้วไปติดหมาตัวเมีย โอ้โห! ไปตกนรกอยู่ ๕๐๐ ชาติ ว่างั้น ไปยินดี ในหมาตัวเมีย ว่ายังงั้น ตกนรกอยู่ ๕๐๐ ชาติ เท่านั้นล่ะ ยินดีในอะไรนี่มันพับ มันไม่ใช่ ไอ้ชาติกำหนด ของบุคลาธิษฐานนี่ มากมาย ชาติของจิตนิดเดียวเท่านั้นแหละ ชาติคือกิเลส นิดเดียวเท่านั้นแหละ มาใช้หนี้ของ บุคลาธิษฐาน นี่มากชาติ น่ากลัว พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า คนเราเกิดมาเป็นคน แล้วจะได้เกิดมา เป็นคนอีกนี้ น้อยนัก มันจริงๆ ประมาทไม่ได้ แต่คนเรานี่ มันไม่รู้สึกตัวหรอก เพราะว่ามันเกิด มันตาย อยู่อย่างนี้ ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มันไม่รู้สึกตัว ถ้ารู้สึกตัวง่ายๆ เข็ดหลาบง่ายๆ ก็นิพพาน กันหมดน่ะซี มันไม่เข็ดหรอก ไม่เข็ด เหมือนพวกเรานี่ อาตมาเห็นแล้วก็ โถ! ได้แล้วก็ยัง มาเลิก ไปวนเวียนอีก ปัดโธ่! เปื้อนอยู่อย่างนั้นอีก มันอะไรกัน ได้แล้วก็ยังวนอยู่นั่นแหละ แต่ก็เข้าใจนะว่า กิเลสนี่มันแรง แต่ก็ยัง เห็นว่า อื๊อ! จิตนี่นะ มันลำบากนะ

เพราะฉะนั้นในลักษณะของการปฏิบัติมรรคองค์ ๘ จริงๆ เราจะเกิดสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิก็จะโตรอบ เป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล มีธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ แล้วก็สัมมาทิฐินี่ เป็นรอบ บอกแล้วว่า สัมมาทิฐินี่ องค์ธรรมนะ ไม่ใช่สัมมาทิฐิตัวต้นที่เป็นชื่อรวมนะ เป็น สัมมาทิฐิของแต่ละบุคคล ที่จะสั่งสม อริยคุณ สั่งสมสภาวะ มันเป็นอริยทรัพย์น่ะ มันจะเกิด ศรัทธา เกิดศีล เกิดจาคะ เกิดสละ โลกียะ ออกไปได้จริงๆ หลุดพ้นในเหตุ ในปัจจัยนั้นไปได้ จริงๆ พ้นสักกายทิฐิ ถ้าสูงขึ้นไปเรื่อยๆนี่ เป็นสัมมาทิฐิ สัมมาทิฐิที่เกิดแก่เสขบุคคล แต่ละสภาพ แต่ละระดับ มันก็จะซ้อนเชิงขึ้นมาเรื่อยๆ อริยผลที่เกิด แก่อริยบุคคล ทุกระดับ ก็จะเป็นอริยผลขึ้นไป อริยผลขึ้นไปน่ะ อริยผลเท่าถ้วยตะไล อริยผลเท่ากะละมัง เท่าชามก่อน อริยผลเท่าชาม อริยผลเท่ากะละมัง อริยผลมีฤทธิ์มีแรงเท่าตุ่ม จากตุ่มจะไปเอาอะไรตานี้ ตักได้ทีละมากกว่าตุ่ม ก็ตามใจเถอะ มันจะซ้อนเชิงยังงั้นไปเรื่อยๆน่ะ จนกระทั่งถึงขีด ถึงรอบ เรียกว่า วิมุติ จนกระทั่งว่าลักษณะนี้นะวิมุติ ผู้ที่ยังมีปัญญาลึกแหลม โสดาบันนี่ ก็จะเข้าใจวิมุติได้เหมือนกัน แต่ก็ยากนะ มันจะต้องลึกแหลมชอนไชเข้าไป ดิ่งเข้าไป มันซับซ้อนนะ

ถ้าจริงๆแล้ว อนาคามีนี่ จะรู้จักวิมุติที่ชัด เกิดวิมุตติญาณทัสสนะที่ชัด โสดานี่ ยังไม่ค่อย โดยค่าเฉลี่ยแล้วนี่ มันจะไม่มีญาณทัสสนะที่แหลมลึก ที่จะเข้าไปอ่านดูวิมุติที่แท้ เจโตปริยญาณ จะไม่แข็งแรงสมบูรณ์ ขนาดจะรู้อนุตตรจิต รู้สมาหิตจิตน่ะ แล้วก็รู้วิมุติจิต สอุตตรจิต อนุตตรจิต พวกนี้นี่ จะวิเคราะห์วิจัย อย่างไม่ค่อยละเอียดถี่ถ้วนนัก เพราะญาณ มันไม่มีประสิทธิภาพ ญาณทัสสนวิเศษ วิชชานั่นเอง วิชชากับวิปัสสนาญาณ หรือ ญาณทัสสนวิเศษนี่ มันจะไม่มี ประสิทธิภาพ มากพอ เมื่อไม่มีประสิทธิภาพมากพอ มันก็จะเข้าใจวิมุติที่แท้ คือมันจะอ่าน อนุสัยกิเลส นี่ยาก ... กิเลสหยาบ แน่นอน มันก็พอรู้ มันได้เบื้องต้น มันไม่มีปัญหาเท่าไหร่หรอก ปริยุฏฐานกิเลส ก็อีกยาวอีกเยอะน่ะ กิเลสระดับกลาง

เพราะฉะนั้น ในระดับกลาง เล็กลงๆประมาณหนึ่ง มันจะหลงว่ามันวิมุติ มันจะหลงเข้าใจผิด ว่ามัน วิมุติ แต่ที่แท้ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นอินทรีย์พละที่แท้ กำลังของสัทธินทรีย์ กำลังของวิริยินทรีย์ ความขยัน หมั่นเพียร สตินทรีย์ มันก็จะไม่สูง สติจะสูงก็ไม่สูง สมาธินทรีย์ก็ไม่สมบูรณ์นัก ปัญญินทรีย์ ก็เท่าที่ มันเป็นญาณของตนเอง มันไปตามระดับขั้นจริงๆ นะ นอกจากผู้ใดจะมีพิเศษน่ะ เออ! ผู้นี้มี ปัญญาญาณ ที่ลึกแหลม มันจะมีปัญญาเข้าไปเห็นชัด มันจะนำพาเหมือนกัน หรือผู้ใด มีเจโตพิเศษ มีพลังแรงก็จะนำพา

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีใคร ไม่มีพิเศษนะ ก็สะสมไป เจโตมั่ง ปัญญามั่ง เจโตมั่ง ปัญญามั่ง ก็สะสม อินทรีย์ ไปเรื่อยๆน่ะ จนกระทั่งจะรู้จักวิมุติที่แท้ ไม่ใช่ว่าคุณจะรู้จักวิมุติ อย่างสมบูรณ์ที่แท้ แม้เหตุ ปัจจัยเดียวนะ มันไม่ง่าย วิมุตติญาณทัสสนะ หรือญาณตรัสรู้แต่ละรอบนี่ มันเป็นของใหม่ ของแปลก จนถอน อาสวักขยญาณ ของแต่ละขั้น แต่ละเหตุปัจจัย แม้แต่แค่ อาสวักขยญาณ แค่เศษอบายมุข ฝิ่น กัญชา เฮโรอีน โอ! อันนี้ถอนอาสวะจริงๆ คุณจะรู้สภาพของถอนอาสวะ เป็นญาณที่ถอนอาสวะนี่ มันไม่ใช่ ของตื้นๆ ต้นๆ มันไม่เวียนกลับอีก เป็นธรรมดา มันเห็นอยู่ รู้อยู่เป็นปัจจุบันนั่นเทียว ว่ามัน ว่างสนิท เที่ยงแท้ ถาวรจริงจัง ไม่วกไม่วน ไม่พูดเล่น แปรปรวน กลับไป กลับกลอก ไม่มี แต่ละเหตุปัจจัย ก็ตาม จน อาสวักขยญาณของแต่ละระดับอริยบุคคลอีก ทีนี้ นี่เป็นสภาพข้อที่ ๖ มันจะเป็น อาสวักขยญาณ ของแต่ละระดับ โสดาบัน อาสวักขยญาณของรอบระดับโสดาบัน อริยบุคคลรอบนี้ มันจะชัด มันจะแข็งแรง มันจะมั่นคง สกิทาคามี ก็จะเหมือนกัน ก็จะไปแต่ละรอบ แต่ละรอบ อาสวักขยญาณ แต่ละรอบ ที่จะแข็งแรงตั้งมั่น

สุดท้าย อาสวักขยญาณสูงสุดแห่งที่สุดนี่ สูงสุดแห่งที่สุดก็จะเขตไหนล่ะ ถือว่า รอบแรกที่สุด รอบสกิทาคามี ขึ้นอนาคามีไม่เวียนกลับ ก็ถือว่าสูงสุดแห่งที่สุด ของหลายศาสนาได้แค่นั้น แต่ไม่หมด อัตภาพ อนาคามีภูมินี่ ไม่หมดอัตภาพนะ อยู่ไปอีกนับไม่ถ้วนเลย ไม่รู้จะอีกกี่นิรันดร์ แต่มันก็จะสลายนะ โอ! อยู่อย่างนั้นล่ะ นี่พวกปัจเจกพุทธะ ไม่ใช่ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะนะ มีได้ สอนคนให้เข้าสู่ สภาพอย่างนั้นยาก แต่เพียรไปเถิด อีกกี่ชาติ กี่ชาติๆก็ไม่รู้ นานนมเลยนะ ถ้าไม่มาเรียนรู้ทางพุทธแล้วนะ ไม่มีทาง ที่จะใกล้ที่สุดน่ะ ตรงเข้าไปสู่ หรือว่าจะเรียกว่า ลัดที่สุดก็ได้ ถ้าไม่ใช่พุทธแล้ว ไม่มีทางเอก ที่ยอดเยี่ยมที่สุด เป็นทางที่สั้นที่สุดที่จะไปสู่นิพพาน เป็นทางที่กระจะกระจ่าง เดินอย่าง ทางสว่าง สองข้างทาง มีไฟส่องสว่าง เดินไปเห็นกระจะ กระจ่าง ทุกอย่าง พุทธนี่เห็นกระจะกระจ่าง ไม่งมงาย ถ้าไม่ใช่มรรคองค์ ๘ ไม่ใช่ ทิศทางที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนนี่ สะเปะสะปะอยู่อย่างนั้นล่ะ

เพราะฉะนั้น ของพระพุทธเจ้า จึงไม่ได้แค่อนาคามีเท่านั้น อาสวักขยญาณ เป็นที่สุดแห่งที่สุดนั้น จึงนับเอาอรหันต์ เป็นที่สุดแห่งที่สุด นับอรหันต์เป็นทาง เป็นอาสวักขยญาณ สูงสุดแห่งที่สุด ในระดับต้น พระพุทธเจ้าถึงมีอรหันต์ เป็นระดับต้น ส่วนโพธิญาณ โพธิสัตว์นั้น อีก ไล่ไปซี ทีนี้ขั้นจาก อรหันต์ธรรมดา ซึ่งสามารถที่จะสูญได้แล้ว ส่วนตนสูญได้ สูญเมื่อไหร่ก็สูญได้ เป็นอรหันต์ อรหันต์แค่ประโยชน์ตนสูงสุด แล้วก็ทำโพธิกิจไปชั่วชีวิตหนึ่ง คุณเป็นอรหันต์ชาตินี้ ถึงอาสวักขยญาณ ที่สุดแห่งที่สุด ชาตินี้ได้อรหัตภูมิ อรหันต์ จบชาตินี้ คุณก็ทำโพธิกิจไปจนสิ้นชีวิต ก็จบ แต่ผู้นี้ไม่เอาแค่นี้ ที่สุดแห่งที่สุด อาสวักขยญาณที่สุดแห่งที่สุด ต้องรู้อาสวักขยญาณของโลกียะทั้งหลายแหล่ โลกวิทู เข้าใจสิ่งที่มี นานาสารพัดโลก ที่โลกียะมันมี อะไรอีกต่างๆนานา ตนเองก็ไม่มีปัญหา ยังยินดี ที่จะเหน็ด จะเหนื่อย จะต้องมีวิบาก มีทำอะไรต่ออะไรอยู่อีก เชิญ ที่สุดแห่งที่สุด ที่จะเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า มีอีก ๑ ตำแหน่ง ใหม่มาก แม้อาตมายังไม่พบเลย อาตมาก็ยังไม่พบนี่ ที่สุดแห่งที่สุดอันนั้น ยังไม่พบ ไม่รู้ว่า มันจะพบหรือเปล่าน่ะ แต่เราก็แน่ใจ ความมั่นใจที่จะเป็นจริงตามอินทรีย์พละ ตามบารมีที่เกิดจริง เป็นจริงน่ะ ทำไปสั่งสมไป อีกกี่ชาติๆๆ ก็สั่งสมไป สังสารวัฏนี้เราเข้าใจ ไม่มีปัญหา ถ้าจะยินดี จะอยู่ใน สังสารวัฏนี้ก็อยู่ไป ถ้าบอกว่าไม่ไหวแล้ว ก็เลิก เลิกก็ได้ ที่สุดแห่งที่สุดที่เราได้นั่นแหละ มันจะไปถึงที่สุด แห่งที่สุด แห่งสัมมาสัมโพธิญาณ มันไม่ได้ มันก็ไม่ได้ มนุษย์สามารถได้ถึงขนาดนั้น ของใหม่ ของแปลกใหม่ จริงๆ นั่นล่ะ เป็นที่สุดแห่งที่สุด อาสวักขยญาณ สูงสุดแห่งที่สุด ข้อที่....

ของทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ ๔ ของสัมปรายิกัตถประโยชน์ มันสอดคล้องรวมกัน จะเห็น ความขยัน หมั่นเพียร อุฏฐานสัมปทา จะเห็นว่าเรามีศรัทธามั่นน่ะ เอาประโยชน์ ๒ อันมาแล้วนะ สัมปรายิกัตถประโยชน์ ประโยชน์ของคนโลกใหม่ จะเห็นว่าเชื่อมั่น มันมีความเหนียวแน่น พวกเรานี่ อาตมาเห็นว่า ศรัทธาเหนียวแน่น มาทำขายหน้าอยู่ หน้าโรย ตาโรย แหม! พอไม่อยู่เท่านั้นเอง ไปนอนพัก ที่ห้องแอร์ที่โน่น ๒ คืน ๓ คืน มาทำตาโรย เอ๊! ทำไม เสียหายหมด ขายขี้หน้า เบิกบาน ร่าเริง เป็นพุทธะซี ต้องกลัวทำไม แม้จะต้องตาย แบบนี้ตายจากกันไม่ได้ซี แบบนี้ แล้วจะทำยังไง ตายจากกัน ไม่ได้ ว้า มันต้องตายจากกันได้ซี นี่แค่ห่างไป บอก โอ๊ย! นี่จะเอาไปขัง หลายวันหลายคืน ยังไม่รู้เลยนี่ ไปถูกขัง ๒ คืน แค่นั้นก็จะตาโรย แต่ละคนไม่เบิก ไม่เบย ดูมันเงียบเหงา ว่างั้นนะ นี่เขารายงาน เหตุการณ์น่ะ พวกกรมอุตุนิยม เขาบรรยายสภาพบรรยากาศของที่นี่ ให้ฟัง เจ้ากรมอุตุนิยม เขาบรรยาย ให้ฟัง เขาบอกว่า บรรยากาศของแต่ละบุคคล นั่ง เศร้าสร้อย เงียบเหงา ตาตก ว่ายังงั้นนะ ไม่เบิกบาน ร่าเริง มันไปตรงกับวันพุธด้วย โอ้! ว่างั้น แหม! ยิ่งวันพุธแล้วละ แหม! ดูซึมเซา ให้เหงาหงอย ในมือของเขามี ทินเนอร์ อะไรนั่น โอ! ต้องร้องเพลงทินเนอร์แล้ว ทำใจในใจซิ ทำตัวเองให้ดี สังวร ให้ดี บอก เอ๊ะ! ทำไมเราจะไปกลายเป็นอย่างนั้น คนอื่นเขามองเขาเห็น กลายเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ที่จริง มันมองอย่างโลกๆน่ะ อย่างโลกๆนี่เขามอง เขาก็เห็นแล้วเขาสงสาร โอ้โฮ! นี่เอาครูบาอาจารย์ของเขาไป ดูซิ พวกนี้นี่ อื้อฮือ! มันน่าสงสารนะ ดูเศร้าสร้อยเหงาหงอยไป นี่โลกๆเขาก็รับเหมือนกัน เขาก็รู้น่ะ เขาก็เห็น มันก็เป็นอย่างนั้น นี่ถ้าเผื่อว่า ดูซินั่นน่ะ เอาอาจารย์มันไป มันก็ไม่ห่วง ยังหน้าเริด ทำเป็น เบิกบาน อยู่เลยนั่น มันไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรเลย มองไปแบบโลกๆก็บอกว่า แหม! ดูซินี่ ไม่เป็นไรหรอก ขังลืมไปเลย พวกนี้มันไม่สะดุ้งสะเทือน มันไม่เข็ดไม่หลาบอะไรหรอก เอาอาจารย์มันไป มันยังเฉยเลย เขาเลยไม่ปล่อยเลย นี่มองไปได้ เห็นไหมล่ะ อ่านดู เห็นไหม มันมองได้ทุกมุมนะ คนเราน่ะ อ่านอย่าง ประเภทโลกีย์ก็อ่านได้ อ่านอย่าง ประเภทโลกุตระ ก็อ่านได้

ถ้าอย่างโลกุตระก็บอก โอ้โห! พวกนี้นี่ อินทรีย์พละแก่กล้าเหลือเกิน ขนาด เอาอาจารย์ เอาไปทั้งคน ยังเฉยเลย เบิกบาน ร่าเริง ขยันหมั่นเพียรอยู่ เฉยเลยนะ ยังมีอุฏฐานสัมปทา ยังขยันหมั่นเพียรอยู่เลยนี่ อารักขสัมปทานี่ ทรงสภาพ ไม่มีจิตตก ไม่มีอะไรต่ออะไรเลยนะ รักษาป้องกันไว้ได้ อารมณ์เฉย อารักขสัมปทา ก็แข็งแรง กัลยาณมิตตาก็พรั่งพร้อมนี่ แขกใหม่มาก็ต้อนรับ แขกเก่าก็เหนียวแน่นกันดี ไม่มีอะไรต่ออะไร สามัคคี สมบูรณ์กันอยู่เลยนะ สมชีวิตา ยังเป็นชีวิตประเสริฐ ไม่ตกไม่หล่นน่ะ หรือ ศรัทธาก็ เห็นไหม สัมปรายิกัตถประโยชน์ก็ยังเชื่อมั่น ยังศรัทธาแข็งแรง ศีลก็ยังไม่บก ไม่พร่อง ยังเจริญ ด้วยอธิศีล ดูดี จาคะ ยังเป็นผู้เสียสละ พรั่งพร้อมถึงความเสียสละ รูปนอกก็เห็นว่าจาคะ ในจิตใจ ก็ยังสละกิเลสออกไปอยู่ได้น่ะ เจริญด้วยทุกประการ ปัญญาสัมปทานั่นแน่นอน ถ้าคุณถึงพร้อม มันก็จะเกิด ปัญญินทรีย์ ปัญญาผลแน่นอน ส่วนปัญญา จะถอนอนุสัยอาสวะ เอาด้วยสิงานนี้ หือ! จะเกิดถอนอาสวักขยญาณ เกิดปัญญาเป็น อาสวักขยญาณ เอาด้วยนะงานนี้ แต่สงสัย ไม่ถึงกันมั้ง ในมือของเจ้ามีทินเนอร์นี่น่ะ ยังมีหงอยมีเหงา เศร้าสร้อยอะไร ยังอาลัยอาวรณ์ ยังโน่น ยังนี่อยู่ คงไม่ถึง อาสวักขยญาณกันได้ง่าย นี่มันจะสอดคล้องเห็นชัดๆ มันจะสอดคล้องกัน ภาษา มันเรียนกัน ไม่ยากหรอก เรียน ท่อง สอบข้อสอบ สอบมันไม่ยากอะไรหรอก ภาษา แต่สภาวะที่อาตมา มาอธิบาย ซ้ำซ้อน เรื่อยๆอยู่นี่ มันไม่ใช่เรื่องตื้นเขินเลยนะ มันลึกซึ้งนะ มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง

เพราะฉะนั้น ประโยชน์ที่ได้เป็นประโยชน์ของตนของท่าน ถ้าเมื่อสอดคล้องได้ จริงแล้ว เป็นสัมปรายิกัตถประโยชน์ด้วย เป็นทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ด้วย มันก็เป็น ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ในโลก เป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน จะเห็นความขยันหมั่นเพียร การรักษาสภาพไว้ได้มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ดูค่ารวมในพวกเรา เห็นไหมนี่ ดู อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาสภาพ เออ! จะทำให้อโศกนี่ มันแตกสลาย เอาครู เอาหัวหน้าไปก่อน พวกนี้ก็ยังไม่ยอมเอาไป ใครอยากจะบวช ให้ถูกต้อง ก็ไปบอก เจ้าคณะตำบล จังหวัดที่อยู่ย่านใกล้ คล้ายๆกับบอก ไปมอบตัวเสียดีๆน่ะ เอ๊ะ! ก็ไม่ไป ตีไม่แตกไอ้พวกนี้ มันไม่กลัวหรือยังไง นี่กำลังจะถอนรากถอนโคน มันไม่กลัวหรือยังไง ว่ายังงั้นนะ ก็เห็นอารักขสัมปทา เห็นการแข็งแรง ศรัทธาก็ยังดี ยังปกป้องรักษาสภาพ ยังขยันหมั่นเพียร อยู่อย่างเดิม ทำโน่นทำนี่ แต่รู้สึก ดูรู้สึกว่าไม่ขยันทีเดียวนะ ลดๆอยู่บ้างนะ ท่าที ฟังๆว่า อ่อนเปลี้ย เพลียแรง ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง จะแกงจะผัดอะไรก็ไม่ค่อยจะออก อะไรนี่ น่ะ ไม่รู้ว่าร้าน ชมร. ขายดี หรือเปล่า ผัดแกงลดคุณภาพลงไป โอ๊ย! แรง จะผัดก็ไม่ค่อยมี แรงจะแกงก็ไม่ค่อยจะพอ ไม่รู้ว่า ลดหรือเปล่า ได้ข่าวว่าขายดีกว่าเก่า คนเขาเข้ามากินมากขึ้น ว่ายังงั้น มันก็ดีเหมือนกันนะ มันยัง เอ๊อ! ยิ่งจะถล่มทลาย ยิ่งคนก็มาอุดหนุนจุนเจือ เข้ามาเห็นใจ บอกว่า แต่ละโต๊ะๆๆ นี่ วิพากษ์วิจารณ์ กันไปยังโง้น ยังงี้ อะไรต่ออะไรน่ะ บางคนก็วิจารณ์รุนแรงเลยนะ อาตมาไม่พูดน่ะ เขาถ่ายทอดให้ฟัง ยังโง้นยังงี้ คนพวกนอกๆมานั่งกินนั่งอะไรก็วิจารณ์ไปน่ะ วิจารณ์พวกเราไม่ได้หรอก นั่งกิน อยู่ในร้านเรา ใช่ไหม มันต้องวิจารณ์คนอื่นแน่นอน วิจารณ์พวกเรา แล้วคำวิจารณ์แรงๆ ดังๆได้ยังไง นั่งกินในร้านเรา ใช่ไหม ก็ต้องวิจารณ์อันอื่นแน่นอน ต้องวิจารณ์แรงๆด้วยนะ อาตมาไม่พูดหรอก ว่าวิจารณ์อะไรบ้าง เขาถ่ายทอดให้ฟังน่ะ ก็ว่ากันไป มันเป็นธรรมดา ธรรมชาติที่มันเป็นน่ะ นี่เป็นสภาพที่มันเกิดสภาพจริง เจริญ มันเป็นได้อย่างนั้น ความเหนียวแน่น ความสามัคคีนี่ มันมีสภาพทุกอย่างน่ะ สะอาด สว่าง สงบ สุภาพ สมรรถนะ สามัคคี อะไรนี่ มันเกิดอย่างที่ได้อธิบายเมื่อเช้านี้ มันสะอาดขึ้นไปเท่าใด ปัญญา ก็จะเห็น เป็นวิมุตติญาณทัสสนะ ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเห็นความสะอาดที่จริงจากกิเลส จิตมันก็ยิ่งมี ปัญญา แล้วจะยิ่งมีศรัทธา สัทธินทรีย์ เชื่อมั่น โอ! มันจริงอย่างนี้ แล้วมันจะสงบนั้น ถ้าเรายิ่งเกิดญาณ รู้รสเป็นธรรมรส ยินดีในธรรมรส ยินดีในวิมุติรส มันก็ยิ่งจะแน่น มั่นคง เป็นสมาธิ เป็นสมาธินทรีย์ เป็นฐีติ ตั้งมั่น มันตั้งมั่น เพราะมันเกิด อาการของจิตน่ะ อาการของจิตมัน เอ๊อ! อย่างนี้ต้องรักษาสิ อย่างนี้ต้องอารักขนา อย่างนี้ต้องเอาไว้สิ อย่างนี้จะไปปล่อยปละละเลยอะไร อย่างนี้จริง เชื่อมั่น เชื่อมั่น อย่างนี้ สัทธินทรีย์ก็ยิ่งเกิด ยิ่งสว่าง ยิ่งเห็นชัด ยิ่งเห็นทุกอย่างเลย เห็นทั้งความจริงของกิเลสเป็นอย่างไร สะอาด ออกเป็นอย่างไร สะอาดแล้ว แล้วมันจะมีความสงบอย่างไร ไม่ต้องเดือดร้อนอย่างไร ปัญญา หรือความสว่าง ก็ยิ่งจะขึ้น เราก็ยิ่งจะเห็นว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้วมันดี ภาวะสุ ภาวะ สุภาพ สภาพอย่างนี้ สอดคล้องกัน ด้วยเหตุปัจจัยอื่น ลักษณะอื่นอีก ก็จะเกิดสุภาพขึ้นไปอีก เกิดดีซ้อน ดีซ้อน ต้องทำ อย่างอื่น เหตุปัจจัยอื่นต่อไปอีก ให้มันสะอาดอีก กิเลสที่เหลือ มันก็จะเทียบเคียง กิเลสที่เหลือของเรา กับกิเลสที่หมด เออ! เหตุนี้ ปัจจัยนี้ กิเลสหมด มันดีอย่างนี้ล่ะนะ เป็นสภาพที่มันสะอาด สว่าง สงบ ยังงี้ ต้องให้มันดีอีก สุภาพ ทำให้มันดีอีก อันอื่นที่มันยังไม่ดี ทำให้มันดีต่อ เป็นภาวะที่ดี สุภาวะ หรือสุภาพ ต่อไปอีก แล้วมันจะทำให้เรานี่เป็นมนุษย์ที่มีดี สะอาดจากกิเลสชนิดหนึ่ง เหตุปัจจัยหนึ่ง แต่ก่อนนี้ แค่อบายมุข แล้วก็สะอาดมา เป็นคนปราศจากความเลอะ ความโสโครก แค่อบายมุข ต่อไป ก็สะอาด ด้วยกามคุณ ๕ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหตุปัจจัยมันเยอะแยะมากมาย ใช่ไหม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนี่ เราก็สะอาดขึ้นไปอีก เสริมหนุนให้เราสุภาพ แต่ก่อนนี้เราเป็นทาส แต่ก่อนนี้เราก็ยัง พอได้ส่วนตน มันก็ไปรังเกียจส่วนอื่น ไม่สุภาพ ไปด่าเขา ไปว่าเขา ไปข่มขี่เขา ไปยกตนข่มท่าน เป็นมานะซ้อน อะไรบ้าง ตามเรื่องของจริตนิสัย มันเป็นบ้าง เราก็จะทำปรับตัวเราเอง เราก็จะเข้าใจ ตัวเองว่า อ๋อ! ลักษณะอย่างนี้ พูดอย่างนี้ มันเสียดสีเขานะ พูดอย่างนี้มันข่มเขา พูดอย่างนี้ มันกระทบกระเทือนกัน มันเป็นอนูปวาโท มันเป็นอุปวาโทอยู่นะ อ้อ! อย่างนี้ถึงจะเป็นอนูปวาโท มันจะค่อยๆ เข้าใจ อนูปวาโทคือ มันไม่ไปเที่ยวได้ทำให้เขาเลวร้ายลงไปอีก

อาตมาได้อธิบายขยายความในเรื่องของทฤษฎีต่างๆ หลักเกณฑ์ต่างๆ เอามาขยายสัมพันธ์ เราได้ฟัง อะไรต่ออะไรกันมา จะได้เข้าใจลึกซึ้งขึ้น เห็นจริงขึ้นน่ะ ถ้าคุณเห็นว่า ทิศทางนี้เป็นชีวิตประเสริฐ เป็นชีวิต ที่จะต้องเดินทาง คุณก็เลือกเอง อิสรเสรีภาพ เอาเอง มันมีสภาพ ให้สุภาพขึ้นเรื่อยๆ สมรรถนะของเรายังน้อย ทุกวันนี้ สมรรถนะของเรายังไม่มากพอหรอก สมรรถนะของความขยัน หมั่นเพียร สร้างสรร เป็นสังคมหมู่ที่ไม่ต้อง ไปเบียดเบียนผู้อื่น มีปัจจัย ๔ วัตถุอาศัย สิ่งแวดล้อม วงที่เราเป็นอยู่นี่ ตนเองพึ่งพาอาศัยได้ แล้วก็ช่วยเหลือเฟือฟายผู้อื่นได้มากพอ จนเขาเห็นได้ว่า เรามีคุณค่าประโยชน์ต่อสังคม เขาจะไม่ทำลายเรา จริงๆ มันเป็นอู่ข้าว อู่น้ำของเขา มันเป็นบ่อเพชร บ่อพลอยของเขา ที่เขาต้องพึ่งพาอาศัย เขาจะมาทำลายได้อย่างไร ในโลก เขาไม่ทำลายหรอก แต่ถ้าเผื่อ ว่าเราเอง เราไม่มีคุณค่าอะไรนักหนาหรอก มันเป็นพวกบ่อ เห็นแก่ตนอยู่เล็กๆน้อยๆเท่านั้น เอง หรือจริงๆแล้ว เอ๊! เราหมายร้ายต่อเขานะ จะไปโค่นไปฆ่าไปทำลายเขานะ เขาก็ต้องจัดการเรา แต่ถ้าเราไม่ได้หมายร้ายกับใคร ไม่ได้คิดโค่นฆ่าใคร ไม่ได้ไปคิดโค่นฆ่า ใครนะ

อาตมายังรู้สึกดีใจนะว่า เออ! ขณะนี้นี่ แม้แต่ทางด้านฝ่ายสงฆ์หมู่ใหญ่ขณะนี้ โอ้โห! ปรับตัวดีเลยนี่ จะจัดการโน่น จัดการนี่น่ะ บอกว่านี่ อาจารย์ซ่วนเปิดหนีแล้วตอนนี้ ว่างั้นนะ ทางโน้นว่า จะจัดการ เป็นแต่เพียง ยังไม่หันทิศไปเลย บอกว่าตอนนี้หลบหนีไปแล้ว ไม่รู้ว่าข่าวนี้จริงเท็จแค่ไหน แล้วเขาก็จะ จัดการ กับพระที่กเฬวราก อะไรต่างๆนานา นักบวชที่มันแฝงกาย ที่ไม่เข้าท่า โอ๊ย! สาธุ ขอให้ปรับจริงๆ เถอะ อาตมายินดีปรีดาด้วย ถ้าเผื่อว่าหมู่ ว่าฝูง ของเขาทางโน้น เขาพัฒนาดีก็ โอ๊ย! อนุโมทนา สาธุ สำหรับพวกเราก็ทำไป มันจะต้องกระทบกระเทือนสลัดเปลือก เหลือแก่น เหลือเนื้อ อะไรบ้าง ตอนนี้มันก็ ทำยังไงได้ล่ะ ถูกกระทบกระเทือน พายุพัดมา ไอ้สิ่งที่มันเป็นกาฝาก สิ่งที่มัน ติดปะติ่ง ปะต่อยอยู่ มันก็ต้องหลุด ต้องร่วงไปบ้าง ไปตั้งหลักใหม่ บำรุงตนเองใหม่ แก่นเนื้อ หรือว่า เชื้อแท้เท่านั้นเองจะอยู่ ไม่แก่น ไม่เนื้อ ไม่เชื้อแท้น่ะ นั่นก็ทดสอบ มันก็ต้องสลัดปีก สลัดใบ สลัดหมัด สลัดเล็น สลัดไอ้โน่น ไอ้นี่ออกบ้างสิ มันก็เป็นธรรมดาน่ะ เสร็จแล้วมันจะโตขึ้นมาใหม่ อาตมาว่า พวกอโศกนี่ มันหยั่งราก ลงแล้ว แม้แต่ถูกทำในรูปนั้นรูปนี้ ก็เคยยกตัวอย่างให้ฟัง ขนาดศาสนา คริสต์เขานี่ มีสาวกอยู่แค่ ๑๒ รูป ๑๒ รูปนี่ เขาก็ทำใต้ดินมากัน จนกระทั่งทุกวันนี้ ศาสนาคริสต์ เป็นยังไง นี่จะไม่ได้เชียวรึ สัก ๑๒ คน หือ! อาตมาตายพรุ่งนี้ เหลือไหมสัก ๑๒ คน ทำใต้ดินกันไป ไม่ถึงขนาดทำใต้ดิน ทำบนดิน ก็คงได้ทำ อยู่หรอก ไม่มีอะไรมาทำ ให้ร่างฆราวาสนี่ก็ทำกันไป จะมีปัญหา อะไร ในอนาคต มันมีทางของมัน ทั้งนั้นละ ถ้าเผื่อว่าเราทำดี จนกระทั่งถึงขีดถึงขั้นนะ อย่าว่าแต่บวช เอารูปอย่างนี้เลย บวชเอารูปไหน ก็ได้ แต่ไม่ใช่เราแล้วนะ เพราะว่าเราเป็นหัวหอก ตายไปนานแล้ว รุ่นที่เขาจะได้บวช เอารูปนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เอารูปนี้ เอารูปที่จะขนาดไหน อยากได้ขนาดไหน ถูกต้อง ตามธรรมวินัยเป๊ะเลย ตามรูป ก็ไม่ใช่เรา อย่าไปคิดเห็นแก่ตัวแต่ว่า โอ้โห! เราต้องได้ เรารักษาได้แค่นี้ แค่นี้ โธ่เอ๊ย! ตื้นเขินเหลือเกิน ไม่ได้แค่นี้ ไม่เอาแล้วชาตินี้ หนีไปอยู่กับพวกโน้นแล้ว ไปเลย ไปเลย ไม่เข้าท่า แค่นั้น ปัดโธ่เอ๊ย! จะไปไหนล่ะ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี อะไรกัน เนื้อแท้ อะไรกันแค่ไหน มันก็ต้องรู้ มันก็ต้องอยู่ มันก็ต้องเป็นไป โดยจริงน่ะ

เพราะฉะนั้นคนที่วาบๆไหวๆ ยังหวั่นไหว ยังโน่นยังนี่ เพราะยังติดยังยึด นั่นคือ อาการติดยึด อาการหลง หลงอะไร เหตุการณ์แค่นี้ เรื่องราวแค่นี้ ก็หลงวาบๆ แวบๆ ยังโง้นยังงี้ มันเป็นไปจริง มันมีดีแล้วล่ะ เราจะได้รู้ กิเลสมันโผล่มา มันจะได้ปรับเสีย บอก โอ้โห! ขายขี้หน้าหนอตู ปล่อยไก่ออกไปได้ อย่างนั้น อย่างนี้ แค่นี้ๆก็หวั่นไหว แค่นี้ก็ไม่ได้มั่นคง แค่นี้ก็ยังเกินไปเลยไป บางทีก็เลยขอบเลยเขตไป โอ๊! เอาเถอะ ยอมเขาบ้าง สละบ้าง แค่นี้ๆๆๆๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปก่อน โน่นนี่ไปก่อน ไม่ยึดมันอยู่นั่นแหละ ยึดให้เขาเห็นด้วยนะ อื้อหือ! ไม่รู้ว่าขายขี้หน้าเท่าไหร่แล้ว อย่างนี้เป็นต้น ก็มี นั่นล่ะ ก็เป็นการศึกษา โดยของจริง ทั้งนั้น น่ะ ค่อยเป็นค่อยไป

เอาละ วันนี้หมดเวลาลงแล้ว พอแค่นี้ก่อน

สาธุ

File : 0349.TAP