กอบกู้พุทธด้วยชีวิต เจริญธรรม พวกเราชาวอโศกทุกๆคน วันมาฆบูชา ๒๕๓๓ ในวันนี้ อันตรงกับวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ เราก็เวียนบรรจบครบรอบ ที่เรามาได้จัด ปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธกัน เป็นครั้งที่ ๑๔ เราได้ถือเอาวันมาฆบูชาเป็นหลัก ในการจัดงานปลุกเสกฯ นี่ กันมาเรื่อยมาตลอด จนกระทั่งบัดนี้ แล้วก็คงจะตลอดไป ที่เราจะได้ดำเนินการจารีตประเพณีอันนี้อยู่ เพราะฉะนั้น การปลุกเสกฯ จึงมีวันพิเศษ คือวันมาฆบูชาอย่างนี้ ที่จะเป็นรายการพิเศษ อันใดอันหนึ่ง ขึ้นมาทุกครั้ง ของงานปลุกเสกฯ ถ้าอาตมาอยู่ ก็มักจะเป็นอาตมา เป็นผู้ที่จะต้องเทศน์กัณฑ์พิเศษ กันเสียส่วนใหญ่ ถ้าอาตมาไม่อยู่ มีบางครั้งบางคราว งานปลุกเสกที่อาตมาไม่ได้มา พวกเราก็จัดรายการพิเศษไป อย่างที่เราได้จัดกันเป็นพิเศษ ก็เคยทำมาแล้ว องค์ประกอบของกาลเวลา องค์ประกอบของสิ่งที่ชุมนุม อะไรต่างๆนานา ที่เป็นองค์ประกอบที่มากอย่าง มากเรื่องนี่ ประกอบกันเข้าแล้ว มันทำให้เกิดองค์ประกอบ ที่ทำให้มีฤทธิ์ หรือมีแรง หรือมีสภาพที่ว่า เกิดคุณค่าอะไรมากๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ขึ้นได้เสมอ อย่างที่เราเคยประสบมา ตามที่เคยประสบมา ขึ้นถึงปี ๓๓ ปีนี้ ชาวอโศกเราก็คงจะได้รู้ ได้รับซับทราบกันมาตลอด ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น มีเรื่องราว มีสภาพโน่นนี่ อะไรต่างๆนานาสารพัดเกิดขึ้น แต่ถ้าเผื่อว่ามองกันให้ลึกซึ้งแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า การเกิดขึ้นของเรื่องราว ที่บางคนมองอย่างตื้นๆเผินๆ คือว่าเป็นเรื่องไม่ค่อยดี เป็นเรื่องของอุปสรรค ที่ดูแล้วก็เหมือนมันเป็นอกุศล หรือว่าเป็นภัย เป็นโทษ เป็นบาป เป็นเรื่องทุกข์ร้อนอะไรอย่างนี้ต่างๆ ดูเผินๆ ก็ใช่ ดูด้วยหมากรุก ชั้นเดียวง่ายๆ ใช่ แต่อาตมาก็ได้ยืนยันมาเสมอว่าเป็นเรื่องปกติ และก็เคยพูด ด้วยซ้ำไปว่า เป็นเรื่องดี แต่เรายังไม่อยากจะพูดไปว่า เป็นเรื่องดีมากเกินไปนัก เพราะว่า ถ้าจะพูดว่าเป็นเรื่องดีมากเกินไป บ่อยเกินไป ได้ยินกระจายไปถึงหูของผู้ที่เขาจะพยายามจัดการไป ในความมุ่งหมายที่เขาจะจัดการ มันเหมือนกับยั่วยวน มันก็ไม่ค่อยดี มันกลายเป็นสภาพที่จะทำให้เกิดความโกรธแค้น หรือว่าสภาพที่มันเป็นผลกระทบที่แรงขึ้นมาเปล่าๆ แต่ที่อาตมาใช้คำพูดว่า เป็นเรื่องดีนั้น มีความรู้สึกจริง แล้วก็มีความหมายที่เคยอธิบายให้ฟังมาบ้างแล้ว วันนี้ก็จะได้ขยายความ จะได้อธิบายถึงความเป็นไป ที่ตามที่ได้บอกไว้แล้วว่า มันเป็นเรื่องดีนั้น ให้ฟังเพิ่มเติมขึ้นอีกไปบ้าง จะใช้คำว่าเป็นเรื่องปกตินั้น ก็เป็นความจริงอีกเหมือนกัน คำว่าความปกตินั้น ก็คือเป็นธรรมดาเอง ที่จะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ที่คิดไม่ออก หรือผู้ที่เข้าใจยังไม่ถึง ก็อาจจะเข้าใจยาก แต่ผู้ที่คิดออก แล้วก็เป็นผู้ที่คิดตามเหตุตามผล ก็ตามแต่ ที่บอกว่าเป็นเรื่องปกตินั้น ผู้ที่มีปัญญา มีความเข้าใจลึกซึ้งเพียงพอที่จะเข้าใจได้ ก็จะเข้าใจได้จริงๆ จะเห็นความจริง จริงๆว่า มันเป็นเรื่องปกติ อาตมาไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้พูดเก๋ๆโก้ๆอะไรไปไม่เข้าเรื่อง ไม่ใช่ เป็นเรื่องปกติ สภาพความเป็นจริงของสังคม สภาพความเป็นจริงของมนุษย์ สภาพความเป็นจริงของสังขารธรรม ที่เป็นโลกียะ มันจัดจ้าน ความเลว ความผิดพลาด ความไม่ดีไม่งาม ของมนุษย์ของสังคม หรือความบาปมันมากขึ้น มิจฉาทิฐิมากขึ้นในสังคม เมื่อมีสัมมาทิฐิ มีความดีงาม ความถูกต้องเกิดขึ้น มันก็ต้องขัดแย้งกัน มันก็จะต้องต่อสู้กัน เป็นธรรมาธรรมสงคราม เป็นเรื่องจริงๆ ถ้าคนที่มีภูมิปัญญาจริงๆ มองสังคม ดังที่อาตมากล่าวแล้ว มองสังขารธรรม มองพฤติกรรมมนุษย์ว่า มันเป็นความตกต่ำ เป็นโลกียะจัดจ้าน เป็นเรื่องของบาปของนรกมากมาย ทุจริตอกุศลมากมาย ถ้าใครยอมรับ หรือใครเห็นความจริงอันนี้ว่าจริง สังคมส่วนใหญ่ มนุษย์ส่วนใหญ่ อกุศลมากจริงๆ อกุศลทุจริตบาป ความไม่ดีไม่งาม พฤติกรรมที่ไม่เป็นไปเพื่อกุศล ไม่เป็นไปเพื่อโลกุตระ โดยเฉพาะไม่เป็นไปเพื่อโลกุตระ แม้อยู่ในวงการของศาสนา มันมีมากกว่ามากจริงๆ ถ้าใครยอมรับเห็นจริงเรื่องนี้ ถ้ามีอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นมา ท่ามกลางสิ่งนี้ สิ่งนั้นเหมือนกับความดำ สิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่เป็นพื้นกันอยู่ในสังคมปัจจุบันนี้ ตามที่กล่าวแล้ว เหมือนความดำ ถ้ามีความขาว หรือมีความถูกต้อง หรือมีความดีงาม มีสัมมาทิฐิ มีโลกุตรธรรมเกิดขึ้น ท่ามกลางความดำ แน่นอน มันต้องตัดกัน มันต้องเป็นธรรมาธรรมะสงคราม มันต้องเป็นแน่ๆ ใช่ไหม มันต้องเกิดการขัดแย้งกัน หรือจะใช้ศัพท์ว่า มันจะต้องต่อสู้กัน ยิ่งความดำคือความดำจริงๆ ความมิจฉาทิฐิ คือความมิจฉาทิฐิจริงๆ ความชั่วความบาปอกุศล มันก็เป็นความชั่ว ความบาป อกุศลจริงๆ ส่วนความขาวก็ขาวจริงๆ เป็นสัมมาทิฐิจริงๆ เป็นกุศล เป็นโลกุตระจริงๆ มันก็ต้องขัดแย้งกัน มันก็ต้องต่อสู้กัน มันก็ต้องรบกัน มันเป็นความแปลกตรงไหน มันเป็นปกติ มันเป็นเรื่องธรรมดา ใช่ไหม มันเป็นความจริง มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้รู้จริงๆก็จะต้องรู้อยู่ ความจริงไม่ใช่เรื่องแปลกนี่ ถ้ามันไม่ใช่ซิ ถ้ามันไม่รบกัน มันไม่ขัดดำขัดขาวกันจริงๆ มันดำด้วยกัน มันจะไปชกอะไรกัน มันก็ไปด้วยกันเท่านั้นเอง อาตมาย้ำอยู่จุดที่ว่า เราเห็นชัดเจนจริงๆไหมละว่า ส่วนใหญ่ มนุษย์ส่วนใหญ่ พฤติกรรมส่วนใหญ่ หรือโลกียะ มันมีเป็นส่วนมากส่วนใหญ่ แล้วมันก็เป็นโลกียะจริงๆ แล้วมันก็เป็นเรื่องชั่ว เรื่องไม่ดีไม่งาม เรื่องทุจริต เรื่องอกุศล เรื่องมิจฉาทิฐิ อันนั้นน่ะ มันจริงไหมล่ะ หรือกลับกัน ไอ้ที่เราว่าเขาไม่จริง ที่ว่าส่วนใหญ่ ไม่จริง ที่ว่าส่วนใหญ่เป็นอกุศล สังขารธรรมโลกียะนั้น ที่จริงไม่ใช่โลกียะ ที่จริงเป็นโลกุตระ ที่จริงเป็นกุศล ที่จริงเป็นสัมมาทิฐิ อย่างที่เราเป็นส่วนน้อยนี้ขึ้นมานี่ ก็ต้องเป็นส่วนมิจฉา มันจะต้องเป็นส่วนผิด จะต้องเป็นอกุศล แล้วเราก็คงเป็นโลกียะ ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นโลกุตระ ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นสัมมาทิฐิ สังคมมนุษย์ส่วนใหญ่ขณะนี้ ก็ต้องเป็นความถูกต้อง เป็นความดีงาม เราก็ต้องเป็นความทราม เป็นความผิด เป็นความชั่ว เพราะมันขัดแย้งกันแน่ๆ มันเห็นจริงๆอยู่แท้ๆเลย มันขัดแย้งกันจริงๆ มันตรงกันข้ามกันจริงๆ มันก็ต้องอย่างนั้น เราก็คิดทั้งสองด้าน เราอาจจะผิด เราอาจจะเป็นส่วนเป็นโลกียะ เป็นความไม่ถูกต้อง เป็นความชั่วความบาป ส่วนใหญ่นั้นก็เป็นความถูกต้อง เป็นบุญ เป็นสิ่งที่เป็นกุศล เป็นสิ่งที่เป็นโลกุตระโน่นแหละ จนของเราก็เป็นโลกียะ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องมาตรวจสอบ ตรวจทานสภาพที่เป็นอยู่ ทั้งพฤติกรรม กิจกรรม พิธีกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตรวจสอบหลักฐานจริงๆว่า มันเป็นไปเพื่อโลกุตระหรือไม่สำหรับพวกเรา สำหรับที่เรา เป็นอยู่ ฝึกหัดอบรมฝึกฝน แล้วก็ลดละจางคลายอะไรมาได้ ต่างๆนานา มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ มากน้อยขนาดไหน มันชัดเจนขนาดไหน มั่นใจขนาดไหน ทุกคนก็ต้องพยายาม อย่าไปหลงใหล อย่าไปเที่ยวได้หลงละเมอเพ้อพกง่ายๆ ตรวจสอบ ตรวจทานเข้าจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านให้ตรวจสอบ ตรวจทานตามธรรมตามวินัย ตามคำตรัสคำสอนของพระพุทธองค์ ที่ได้ตรัสสอนไว้ เท่าที่เราจะมีหลักฐานยืนยันยืนหยัดว่า เป็นหลักฐานคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ผิดแน่ ไม่เพี้ยนแน่ เท่าที่เราจะสามารถหาได้ ยืนยันกันได้ แล้วในคำสอนเอง ก็มีความสอดคล้อง อยู่ในตัวของมันเองด้วย มีหลักปรัชญา มีหลักแห่งสิ่งที่สื่อความหมาย เป็นไปดังที่ตรัส ดังที่บรรยาย ดังที่ยืนยัน อย่างโน้นอย่างนี้ เอาไว้สื่อบอกให้เราได้เข้าใจได้ตามสื่อ ความหมายเหล่านั้น เราก็เอามาตรวจสอบกับสภาพจริงที่เป็นไป ทั้งด้านนอก กาย วาจา ทั้งด้านใน ถึงจิตวิญญาณ ถึงอารมณ์ อาการของจิตวิญญาณต่างๆนานา ตรวจสอบ แล้วเราก็จะรู้ว่า เราสอดคล้องกับคำตรัสของพระพุทธเจ้าหรือไม่ หรือว่าทางด้านอีกฝ่ายหนึ่งฝั่งหนึ่ง ที่ตรงกันข้ามกับเราน่ะ ใครสอดคล้องมากกว่ากัน ใครถูกต้องมากกว่ากัน ก็ต้องตรวจสอบจริงๆ เราก็จะสามารถวินิจฉัยได้ ตัดสินได้ ใครที่ตัดสินไม่ได้ ก็เป็นจริงในภูมิธรรมของแต่ละบุคคล อาจจะตัดสินไม่ได้ ไม่มีความแหลมคม ไม่มีความแม่นความตรง ไม่มีความเฉลียวฉลาดเพียงพอที่จะตัดสินได้ ก็อาจจะมี ผู้ที่ตัดสินได้ ก็ต้องมีแน่ๆ เมื่อตัดสินได้แล้ว ชัดเจนแล้ว เราก็ต้องลงมือทำ หรือผู้ที่ได้มาพิสูจน์ มีสภาวะรองรับด้วยซ้ำ มีของตนๆ ด้วยซ้ำ มันก็ยิ่งจะลึกซึ้ง ยิ่งจะเป็นความจริงที่จริงยิ่งขึ้น เพราะมีสภาวะรองรับ มีสิ่งจริงรองรับ มันก็ยิ่งจะมั่นคงขึ้นไปใหญ่ อาตมาเคยกล่าวเสมอกับพวกเราบ่อยๆ กล่าวว่าอาตมาเอง อาตมาไม่ได้หวั่นอกหวั่นใจ ไม่เคยตกอกตกใจ ไม่เคยกลัวว่า พวกคุณจะหนีจากอาตมาไปทั้งหมด อาตมาเคยสมมุติเล่นๆก็หลายที ว่า แม้คุณจะหนีไปจากอาตมาทั้งหมด อาตมาก็ยังมั่นใจในตัวเอง มั่นใจในสภาวธรรม มั่นใจในสิ่งที่อาตมาได้ อาตมาเป็น ว่ามันเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านพาเป็น มันมีความเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย มีความมักน้อย ไม่ได้อดไม่ได้ทน ไม่ได้ฝืน มักน้อย เห็นว่าสบาย มีความสันโดษ มีใจพอ มันพอ ใครไม่เชื่อก็แล้วแต่ ลาภก็เหลือเฟือ พอ เกินพอ ยศตำแหน่งก็พอ เกินพอ สรรเสริญเยินยอก็พอ เกินพอ ไม่ได้อยากได้ลาภ เพิ่มเติม ไม่ได้อยากได้ยศ ไม่ได้อยากได้สรรเสริญ ไม่ได้อยากได้มาบำเรออะไร โดยเฉพาะมันมาบำเรอเรา พอเราได้มา ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจฟูใจ อาการเหล่านี้ อาตมาว่า อาตมารู้จักปรมัตถธรรม ฝึกอบรม ศึกษาตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า แล้วก็แน่ใจว่า เรารู้อาการ ลิงคะ นิมิต อุเทศ ที่พระพุทธเจ้าท่านยืนหยัดยืนยันมา เอามา พิสูจน์สภาวะ ในตัวในตนของเรา รู้จิตรู้เจตสิก เห็นรูปเห็นนาม เห็นอาการเหล่านั้น ว่ามันมีอาการโลภโกรธหลง หรือมีอาการยินดี หรือไม่ยินดี ทุกข์ร้อนกับลาภ ยศ สรรเสริญโลกียสุข มีอาการขนาดไหน หรือไม่มี เราก็เห็นของเรา รู้ของเรา อาตมาว่า อาตมาไม่ได้พูดเล่น เอาของจริงสภาวะจริง มาพูดมาบอก จะเรียกว่า อวดอุตริมนุสธรรม ก็ใช่ ก็บอกยืนหยัดยืนยันอยู่ ว่ามันจริง การโกหกก็เป็นบาป อาตมาก็รู้ว่าบาป ถ้ามันไม่จริง โกหกไปมันก็ยิ่งบาปซ้ำ แล้วบาปประเภทที่จะไปหลอกคนอื่นเขา ให้มาเชื่อในสิ่งที่ประเสริฐด้วยซ้ำ มันยิ่งบาปมาก อาตมาพากเพียรมา ปฏิบัติตน จนกระทั่งทิ้งโลกียะ ลาภยศสรรเสริญ ทรัพย์ศฤงคาร ญาติโกโยติกาอะไรมา ไม่ได้มาเล่นๆ ไม่ได้หลงๆเลอะๆ ไร้สติสัมปชัญญะ ทำด้วยความรู้ตัว ด้วยความเข้าใจ ด้วยความเห็นจริงว่า มันเป็นสิ่งประเสริฐจริงๆ เป็นสิ่งที่เราได้ เรามีเราเป็น เราพอใจยินดีในสิ่งนี้จริงๆ แล้วก็เอามาเปิดเผย เอามาบอกกัน เอามาท้าทายให้พิสูจน์กัน เป็นเอหิปัสสิโก คุณเอาไปพิสูจน์ เป็นสันทิฏฐิโก คุณได้ มันก็เป็นอกาลิโก คุณก็จะรู้ว่ามันเป็นอกาลิโก แล้วก็มันเป็นสันทิฏฐิโก นั้นๆนี่ ที่ยังไม่ได้ก็มี มันเป็นโอปนยิโก มันเป็นสิ่งที่ควรเอื้อมมาให้แก่ตนให้ได้ ยาก ไม่ง่าย เป็นเหมือนดอกฟ้า ที่จะต้องเอื้อมเอามาให้ได้ โน้มน้าวเอามาให้แก่ตนให้ได้ เป็นของจริงที่คุณแน่ใจว่าจริง เป็นสิ่งดีสิ่งจริงที่มนุษย์ พึงได้พึงเป็น พึงเอื้อม พึงไขว่คว้าเอา เป็นโอปนยิโก เมื่อคุณได้ คุณก็ได้ส่วนตน เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เห็นของตน ซาบซึ้งของที่ตนได้ ตนเป็น ตนมีเอง แล้วคุณก็เชื่อ แล้วคุณก็เป็นบัณฑิตเอง ในตัวเองนั่นเอง เป็นบัณฑิตเอง เป็นเวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นอยู่ในตัวคุณเอง ไม่ต้องมีใครแต่งตั้ง จะได้มากหรือได้น้อย มันก็จะบอกรสเอง จะเป็นธรรมรสถึงขั้นวิมุติรส ในรอบใดๆก็ตาม มันก็เป็นธรรมรส เป็นวิมุติรสในรอบต้น รอบกลาง รอบปลาย หลายๆรอบซับซ้อน หมุนรอบเชิงซ้อน ลึกซึ้งขนาดไหน เราพากเพียรประพฤติปฏิบัติ จริงๆ ทำจริงๆ คุณก็จะมีของจริงนั้น รู้เอง เห็นเอง เพราะฉะนั้น อาตมาไม่หวั่นไหว ไม่กลัว ไม่เคยตกอกตกใจ ว่าจะไม่มีพวกคุณ จะไม่มีผู้ปฏิบัติได้ความจริงนี้ ถ้าพวกคุณปฏิบัติไม่ได้ มันก็เป็นความไม่สามารถของอาตมา ที่อาตมาสื่อเปิดเผยนำพา ให้อบรมฝึกฝนตน พิสูจน์ แล้วมันไม่ได้ อาตมาไม่มีความสามารถ ที่จะสื่ออันนี้ไปได้ ให้พวกคุณรู้ตาม แล้วก็เอาไปฝึกฝนอบรม จนเกิด จนเป็นเองของตนเอง ได้ตามจริง ตาม อาตมาไร้สมรรถภาพที่จะสื่อ ที่จะสอน หรือที่จะเอามาเปิดเผย เอามาแนะนำ พยายามเคี่ยวเข็ญกันก็ตาม ให้อบรมฝึกฝน อุตสาหะวิริยะให้มันเกิด ให้มันเป็น ให้มันได้ อาตมาเป็นครู ที่เป็นครูสอนลูกศิษย์ขึ้นมาไม่ได้เท่านั้นน่ะ มันไม่มีความสามารถเท่านั้นน่ะ อาตมาเคยสมมุติว่า แม้พวกคุณไม่ได้สักคน อาตมาก็ยังมั่นใจในสิ่งที่ได้นี้อยู่ แต่ความจริง มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ทุกวันนี้มันก็ยังมีผู้ได้ แล้วก็ได้อย่างที่อาตมาเองอาตมาพูด อาตมาพูดเผื่อไว้ตั้งนานแล้ว ก็ยังพูดอยู่อย่างนี้ พูดว่า เผื่อคุณไม่ได้ เหลือคนเดียว มีแต่อาตมาคนเดียว อาตมาพูดเผื่อไว้เท่านั้น โดยจริงแล้ว มันไม่เป็นจริงเลย แล้วอาตมายิ่งเห็นว่ามันไม่จริง ถึงปีนี้มากขึ้น อาตมาทักให้พวกเราฟังว่า ปีนี้นี่นะ มีคนมาปลุกเสกยิ่งนับวัน ตามสถิติที่จดให้อาตมามาดู เพิ่มขึ้นๆๆๆ นับหัวด้วยนะ นับบุคคลด้วยนะ ไม่ใช่นับแต่ ตัวสถิติที่ตัวเลขลงทะเบียนเท่านั้น ลงทะเบียนก็ขึ้นตาม ลงทะเบียนก็ขึ้นตามอยู่แล้ว เพราะว่ามันไม่ได้ลบออก ผู้ที่จะกลับโดยไม่บอกก็มี แต่เอาตัวจริงเลย มีผู้ที่นับหัวแต่ละคราวที่มาประชุมกัน รวมให้นับตอนฟังธรรม ตอนเช้า ตอนก่อนฉัน ตอนบ่าย เราก็นับเพื่อที่จะดูสถิติเฉลี่ยเหล่านั้นจริงๆ แต่ละวันๆมา ปีนี้เพิ่มขึ้นๆ ถึงวันนี้เพิ่มขึ้นเป็น ๑,๔๑๔ ที่นับได้ เช้า ตรงกันเลยกับบ่าย ตรงกัน ตัวเลข ๑,๒๐๐ ตอนเช้า ตอนบ่ายนี่ ๑,๔๑๔ เช้า ๑,๒๙๘ ทั้งสองภาค ภาคเช้าตั้งแต่ตอนทำวัตรเช้า กับภาคก่อนฉัน ส่วนภาคบ่ายนี่ เพิ่มเป็น ๑,๔๑๔ จำง่ายตัวนี้ เพราะ ๑๔-๑๔ สองเลข เอา ๒ หารเข้าก็ ๗๗ ๑๔-๑๔ ที่จริงมันก็ ๒ ๗ ๑๔ ไม่ใช่เนอะ ต้องหารพิเศษ มันถึงจะเป็น ๗๗ หารอย่างลวกๆ ที่จริงมันไม่ใช่ ๗๗ เป็น ๑๔-๑๔ อาตมาเห็นตัวเลขว่าแปลก มันเพิ่มขึ้นมา จริง มองในเผินๆ บางคนอาจจะบอกว่า โอ้! มันก็มากน่ะซิ เพราะว่ามันเป็นวันมาฆะฯ คราวนี้ มันไปตรงกับวันหยุด วันนี้วันศุกร์ วันมาฆะฯ แล้วเขาก็มากัน พรุ่งนี้ก็วันเสาร์ วันสุดท้าย ของงานปลุกเสกฯเรา เป็นครั้งที่ ๑๔ ปีนี้ งานปลุกเสกฯปีนี้ก็ครั้งที่ ๑๔ คนจะตั้งข้อสังเกตว่า อาตมาทักอันนั้นแล้วนี่นะ ก็อาจจะบอกว่า เออ! ก็ไม่แปลกอะไร มันวันหยุดน่ะ มาฆะฯ มันวันหยุด แล้วพรุ่งนี้ก็วันเสาร์ เขาก็มา วันนี้วันมาฆะฯ เขาก็หยุดอยู่ หยุดงาน เขาก็มาน่ะซิ มันก็มาเพิ่ม แล้วพรุ่งนี้วันเสาร์ วันอาทิตย์ ต่อไปเขาก็หยุดต่อ เขาก็ได้มาเที่ยว มางานนี้ซะ มองอย่างนั้นก็ใช่ เหตุผลอันนั้นก็ใช่ แต่มองง่ายๆ ดูซิ มองอีกแง่นึงดูซิว่า เอ๊อ! ก็มาก็วันนี้วันสุดท้ายวันเดียว พรุ่งนี้ก็วันเสาร์ เดี๋ยวก็กลับแล้ว มาทำไมเล่า ก็มันมานิดเดียว มาแค่วันสุดท้ายวันเดียว วิ่งมาทำไมตั้งไม่รู้กี่ร้อยกิโล เกือบพันกิโล วิ่งมาทำไม ถ้าจะพูดอีกแง่หนึ่งนะ มาทำไมเล่าก็นิดเดียว แม้จะปิด หรืออันนี้อยู่ตอนท้ายๆ ของรายการ มันก็เลย มีเพิ่มขึ้นๆ ก็ไม่ใช่ วันอื่นก็ควรลด มันไม่ลด มันเพิ่มขึ้นมาทุกวันๆเรื่อยๆนะ สถิติคราวนี้นี่ ตั้งแต่วันแรก วันสอง วันสาม ไล่ขึ้นมาจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย มันเพิ่มขึ้นมาทุกขณะ จนมาถึงวันนี้ก็เพิ่มมาก แล้วมาวันนี้ แล้วก็แน่นอนค้างคืนนี้ พรุ่งนี้ก็ต้องอยู่อีก ใช่มั้ย วันสุดท้าย ตอนเช้าฟังธรรมกันไป จนกว่าจะฉันเสร็จ ก็ต้องอยู่กันนั่นแหละ คนที่มาวันนี้ แล้วก็จะไปกลับวันนี้กันทำไม ใช่ไหม นอกจากมีเรื่องด่วนจริงๆ แล้วก็มีเหตุการณ์อะไรจะต้องมาเท่านั้น แต่ถ้าเผื่อว่าไม่มาจากไกลๆ ยิ่งมาจากกรุงเทพฯ มาจากต่างจังหวัด ไกลๆ หลายร้อยกิโลอย่างนี้ ใครจะมา แล้วจะไปไหน ก็ยิ่งต้องมาใช่ไหม มาแล้วก็ต้องอยู่ถึงพรุ่งนี้ มันก็จะต้องมีอีกพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้น สถิติปีนี้จะแปลกตรงที่ว่า วันสุดท้ายของงานนี้ แต่ก่อนแต่ไร มานี่ วันสุดท้ายของงาน จะเหลือน้อยเดียว น้อยกว่าวันแรก ของงานด้วยซ้ำ ตามที่เคยมีมา ตอนหลังๆมี ตอนวันสุดท้าย จะมีจำนวนมากกว่าวันแรกอยู่บ้างบางครั้ง แต่คราวนี้นี่ มันต้องมากกว่าแน่ มากกว่าวันแรกๆ มากกว่าวันอื่นๆ เสียด้วยซ้ำ วันสุดท้ายนี่จะมากกว่า ทีนี้ ถ้าคิดลึกๆขึ้นไปอีก เราจะเห็นได้ว่า ก็วิ่งมาวันเดียวตั้งหลายร้อยกิโล มีวันหยุดตอนท้ายนี่ก็ตาม ก็วิ่งมาวันเดียว วันพรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว เขาก็จะต้องผูกใจ เขาก็จะต้องมีศรัทธา มีความยินดีปรีดา ที่จะต้องวิ่งมา ใช่ไหมเล่า แม้วันเดียวก็ยังดี อะไรอย่างนี้ มองเหตุผลกับมันสิ ก็แสดงว่าสิ่งนี้น่ะ มีจิตวิญญาณ มีความพอใจยินดีที่จะมา จิตวิญญาณอย่างนี้ ก็เป็นจิตจริงของแต่ละคน เพราะว่าคนมางานนี้ ไม่ได้มาอะไรนี่ จะมา จะได้มาเสกมาเป่า ประเภทที่จะไปรวยลาภ รวยยศอะไร ก็ไม่ใช่ ไม่ได้เหมือนโลกๆเขา มาแล้วก็จะได้ลาภได้ยศ ได้ของพิเศษ ได้โน่นได้นี่กลับไป มาเสียสละ มาอด มาลด มาละ ตามประสาที่เราปลุกเสกฯ มาอด มาลด มาละ มาวาง มาจาง มาคลาย มีแต่มา เสียออก สละออก ไม่ใช่มาเอา มาได้ เราก็ยังยินดีที่จะมา แม้วันเดียว วันสุดท้าย หรือสองวันสุดท้าย เราก็เต็มใจจะมา วิ่งมา เสียเวลามา นั่งมาตั้งไกล เดินทางมา เราก็ยินดีมา สิ่งอย่างนี้เป็นข้อมูลจริง เป็นหลักฐานจริง ที่มีไปเรื่อยๆ ทำให้อาตมาได้เห็นเพิ่มขึ้นๆ เป็นความเจริญ ทั้งๆที่มันมีเหตุการณ์ ปีนี้ มาถึงปีนี้ วันนี้นี่ เหตุการณ์ปีที่แล้ว ๓๒ มันมีเหตุการณ์ที่น่าจะต้อง หมดศรัทธา หรือว่าไม่เชื่อถือ หรือว่าเห็นว่า พวกเราผิดตามที่ เขาพยายาม ที่จะชี้ว่าเราผิด เราเป็นพวกมิจฉาทิฐิ เป็นพวกมาทำลายศาสนา เป็นพวกที่จะมาอะไรก็แล้วแต่ เลวๆร้ายๆ หนักหนาสากรรจ์ ที่เขาจะพยายามโพนทะนาประกาศไป พยายามลงทุนลงแรงประกาศด้วย แต่พวกคุณก็ยังมั่นคง มีคนใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีกซะด้วย คนเก่าๆ อาตมาเชื่ออยู่นะ ว่าไม่ได้มีออก ไม่ได้มีผลกระทบ จนกระทั่งคนออก คนเก่าๆนี่ ต้องออกไป อาตมายิ่งเห็นสัจจะอยู่อันหนึ่งว่า ความจริงนี่ มันมีความมั่นคง มันมีความถาวร หรือมันมีความเที่ยงแท้ มันมีความยืนยันยืนหยัด ความจริงนี่ มันมีความมั่นคง หนักแน่นถาวร จริงๆ มันมีความเที่ยงแท้ เพราะฉะนั้น สัจจะของพระพุทธเจ้านี่ ถึงที่สุดเป็นนิพพานนี่ เที่ยงแท้นะ อาตมาค้นพบหลักฐานพระบาลี ค้นพบคำ แม้แต่แปลเป็นไทยแล้วด้วย ยืนยันจริงจัง อย่างที่ได้เอามายืนยันแล้วว่า มันเป็นความเที่ยงแท้ ที่ท่านใช้คำว่า นิจจัง ด้วยซ้ำ นิจจานินั่นน่ะ เป็นคำที่เอามายืนยัน มันเป็นสิ่งที่กำหนดรู้ชัดเจนว่า โอ้! มันนิจจานิ มันเที่ยงแท้นะ มันไม่ได้หมายความว่า มันจะต้องอนิจจังอย่างที่เราพูด จริง สิ่งที่วนเวียนอยู่ เป็นวัฏสงสาร มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นอยู่ อะไรที่ยังเกิดขึ้นอยู่ แล้วก็จะต้องตั้งอยู่ มันก็จะต้องเสื่อมไปในที่สุด ไปในสภาพของความมี แต่ของความมั่นคง ของสัจธรรมที่เข้าไปหาโลกุตระ เข้าไปหาอนัตตา เข้าไปหาสุญญตา เข้าไปหาความว่าง ความสะอาดหมดจด ความดับสนิทของกิเลสที่แท้จริงแล้ว มันได้ มันเที่ยงแท้ อาตมาก็เคยยกตัวอย่างประกอบ หรือว่าหลักฐานยืนยันประกอบว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัส คำว่า เที่ยงแท้ ตั้งแต่เราเริ่มเป็นผู้ที่เป็นพระโสดาบัน มีผลของโสดาบัน เป็นผู้ที่มีคุณธรรมนั้นจริง มีสภาวะเกิด เกิดแท้ในจิตวิญญาณ มีการลด ละ หน่าย คลาย มีอริยคุณนั้นจริง ตั้งแต่โสดาบัน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่าเที่ยงแท้ ใช้คำตรัสว่าเที่ยงแท้ เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อนิพพานแล้ว เพราะฉะนั้น มันเป็นลักษณะเที่ยงแท้นะ เป็นลักษณะมั่นคงถาวร ที่อาตมานำมาพูดมาบอกกันนี่ แม้จะมีเรื่องราวเรื่องร้าย ที่เขาพยายามที่จะป่าวประกาศโพนทะนา ชี้เหตุชี้ผล ชี้หลักฐานอ้างอิง มีเหตุตรรกศาสตร์ อย่างโน้นอย่างนี้ เท่าที่เขาเข้าใจ ถกเถียงโต้แย้ง ล้มล้างกันด้วยเหตุผลใดๆก็แล้วแต่ เพื่อที่จะให้เห็นว่าเรานี่ผิด เรานี่ชั่วเรานี่ไม่ดี ควรจะเลิกละอย่าศรัทธาเลื่อมใส จงเลิกมาจงหยุด จงปล่อยทิ้งอาตมาเสีย ปล่อยทิ้งพวกเราทางนี้เสีย ลัทธินี้เป็นลัทธิเลวร้าย ไม่ดีไม่งามอะไรก็แล้วแต่ ต่างๆนานา เพราะฉะนั้นต้องรู้ตัวซะ มีผู้มาเตือนสติแล้ว มาบอกแล้ว มาหาเหตุผลหลักฐานต่างๆนานา มายืนยันยืนหยัดต่างๆ พยายาม พวกคุณก็รู้ ไม่ได้ปิดหูปิดตา แม้ไม่รู้ พวกเราก็เอามาเปิดเผยให้พวกคุณฟัง เขาว่ายังไง มีเหตุผลยังไง มีหลักอะไร ยังไงๆ ก็เอามาให้ ไม่ได้ไปปิดหูปิดตา ไม่ได้อำพราง ไม่ได้ซุกซ่อน พยายามให้พวกเรารู้ เปิดหูเปิดตาทั้งหมด แต่พวกคุณ ก็ยังมั่นคงยืนหยัด ยังคงเชื่อถือศรัทธา เห็นจริงอยู่อย่างนี้ นี่เป็นความเที่ยงแท้ ลักษณะเที่ยงแท้ ลักษณะไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลน ลักษณะมั่นคง ลักษณะจริงจัง เป็นหนึ่งเดียวขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะเป็นเอโกธัมโม มันจะเป็นหนึ่งเดียว มันจะเป็น เข้าไปหาจุดสุดท้ายเหมือนกัน อันเดียวกัน เป็นจุดเดียวกัน เป็นเป้าสุดท้าย อันเดียวกัน เป็นเอกภาพ เอกธรรม มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ขณะนี้ที่อาตมากล่าวนี่ ตั้งสติให้ดีนะ อาตมาไม่ได้ตู่พวกคุณนะ ไม่ได้กล่าวตู่ตีขลุมแล้วฮุบเอา ฮุบเอาพวกคุณเป็น อาตมาไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น ที่กำลังกล่าวอยู่นี่ ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น เจตนาที่จะกล่าว ฮุบ ตีขลุมเอาว่า พวกคุณเป็นพวกที่ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว มาเป็นหนึ่งเดียวกับทางนี้แล้ว เพื่อที่จะให้พวกคุณหลงคารม อาตมาไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น แต่อาตมาเอาสภาวะจริงนี้มาอธิบาย มาชี้เปิดเผย ขยายความให้ฟัง เป็นองค์ประกอบของลักษณะของธรรมะที่เที่ยงแท้ ลักษณะของธรรมะ ที่เป็นเอกภาพ เอกธรรม และเป็นลักษณะของสภาพมั่นคง ไม่หวั่นไหว ไม่คลอนแคลน ไม่แปรปรวนนี่ มายืนยันให้ฟังว่า มันมีสภาวะรองรับไหม มีความจริงไหม คุณแต่ละคนๆนั่น มันอดทน มันต้องฝืนข่มว่า โอ้! ที่จริงแล้ว เรามันจะไม่อยู่แล้ว ล่ะ แต่เราพยายามอดทนอยู่เท่านั้นเอง แต่ละคนนี่ก็เปราะบางเต็มที ก็พยายามหาทาง จะออกไปอยู่ แต่ยังออกไม่ได้ล่ะ มันอายเขานะ มันได้ถลำมาแล้ว มันตกกระไดพลอยโจน เสียแล้ว มันก็เลยจำทนอยู่เท่านั้นเอง มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ พวกคุณก็อ่านใจตนเอง อ่านสภาพจริงของใจตนเองให้จริงๆ หรือว่า เออ! เรามั่นใจ เราแน่ใจ เราเห็นจริงเลยว่า ไอ้ที่มันไม่ได้สงสัยเลย ชัดจริงชัดใจ มันมีอยู่หรือไม่ มากหรือน้อยขนาดไหน ตรวจสอบเอา พยายามตรวจสอบเอา สิบกว่าปี อาตมาเอง อาตมาบวชมานี่ ก็จะย่างเข้าปีที่ยี่สิบ ก็เป็นรอบน่ะนะ ทำงานศาสนามาสองทศวรรษ ยี่สิบปีขึ้นมา มันก็มีผลมีมวล ในเรื่องของความเที่ยงแท้ ในเรื่องของความเป็นปกติ อาตมาอธิบายลักษณะ ปกติให้ฟังแล้ว ว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องเกิดเหตุการณ์ ต้องต่อสู้กัน ต้องพยายามที่จะชี้กันและกันว่า ท่านผิด เราถูก ท่านถูก เราผิด ถ้ามันเป็นสองฝ่ายดังกล่าวแล้ว มันจะต้องเป็นธรรมดา ห้ามไม่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้น ใครเข้าใจแล้วจะรู้ว่า มันเป็นเรื่องปกติ ใครเข้าใจจริงๆ จะว่ามันเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ซิ มันจะไม่ใช่เรื่องปกติ มันเป็นเรื่องผิดเพี้ยนแล้ว กลับไปกลับมา เหลาะแหละ วกไปวนมาไม่เข้าเรื่อง เอ๊! ทำไมเป็นอย่างนั้นน่ะ แต่นี่มันเป็นจริงๆ ตั้งแต่เริ่มต้นมาจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ มันก็ยังเป็นจริงอยู่ อย่างนั้นน่ะ ว่าสิ่งหนึ่งถูก สิ่งหนึ่งผิด ตรงกันข้ามกัน อันหนึ่งเป็นขาว อันหนึ่งเป็นดำ ก็ต้องขับกันขัดกัน มันก็ต้องแย้งกัน ใช้ภาษาหนักๆ มันก็ต้องรบกัน มันก็ต้องต่อสู้กันเป็นธรรมดา และการสู้การรบ อาตมาก็ยังไม่เห็นว่า มันหนักหนาอะไร ไม่ได้หนักหนาอะไร ใครเห็นอาตมาว่าอาตมาหนักหนา โอ้! นอนไม่หลับแล้ว วุ่นวาย พล่านแล้ว ดิ้นรนแล้ว จะต้องหาไอ้โน่นมาค้ำ หาไอ้นี่มาช่วย หาไอ้โน่นไอ้นี่มา เพื่อที่จะต้องเรียกหมู่เรียกมวล ทำอันโน้นอันนี้มาต่อสู้ หรือลักษณะอะไร ที่คุณจะพอมีปฏิภาณ หรือว่า โอ้! กลัวลานแล้ว เดือดร้อนแล้ว พล่านเลยล่ะ ลำบากลำบนแล้ว อยู่ในฐานะที่สรุปง่ายๆก็คือ เห็นชัดๆว่านี่เดือดร้อนแล้ว อาตมาไม่ได้เดือดร้อนอะไร พวกเราบางคน ก็อาจจะตกอกตกใจเล็กๆน้อยๆ เสร็จแล้วก็พอตั้งหลักได้จริงๆ มีองค์ประกอบอะไร มีมวลมีหมู่ มีโน่นมีนี่ มีความมั่นใจในสัจธรรม ความเที่ยงแท้มั่นคง วูบวาบประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวมันก็หาย บางคนอาจจะไม่ตกใจเหมือนอาตมา ไม่ได้หวั่นไหว ไม่ได้กระเทือน ไม่ได้สะเทือนสะท้านอะไร มั่นคง ยืนยันอยู่ อาตมาว่าคงมีหลายคนน่ะ แม้ฆราวาส มันไม่เห็นมีอะไรนี่ ก็ปกติ ก็ทำไป มันมีเหตุการณ์อะไรเกิดมา เราก็จัดการกับมันไป เราแน่ใจว่าเราไม่ได้ทำชั่ว เราแน่ใจว่าเราไม่ได้ทำผิด เราแน่ใจว่าเราไม่ได้ทำสิ่งที่เขาตู่นั้นน่ะ ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาตู่นั้น มาทำลายศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ มาล้มล้าง ไม่มีความจริงใจ แหม! อาตมาเอง อาตมาอยากจะถามพวกคุณเรียงตัวเหลือเกิน ใครนะมาปฏิบัติธรรมะ อยู่กับพวกเรา ที่ปฏิบัติกันอยู่นี่ ไม่จริงใจน่ะ ใครน่ะไม่จริงใจ น่ะ มาแฝงนี่ เพื่อที่จะร่วมมือกับอาตมา เพื่อทำลายศาสนา ที่เข้ามานี่ เข้ามาเพื่อรู้ว่า จะเข้ามาทำลายศาสนาพุทธ ไม่จริงใจ แฝงมา ใครฮะ อยู่ไหนบ้าง แล้วพวกที่อยู่กับ อาตมา มาตั้ง ๑๐ กว่าปี อาตมาจะมาทำลายศาสนาพุทธเหรอ อาตมาไม่มีความจริงใจ ไม่ซื่อสัตย์ต่อศาสนาพุทธอย่างไร ทำไมนะ เขาพูดได้ว่า อาตมาไม่ซื่อสัตย์ต่อศาสนาพุทธ ไม่จริงใจต่อศาสนาพุทธ เขาพูดได้อย่างไรน่ะ ในระดับคนที่เขายอมรับกันว่า เป็นผู้ที่มีความรู้นะ ใส่ความอาตมาไหม ทำไมไม่ฉลาด ขนาดนั้นเชียวหรือ อาตมาไม่ได้บอกว่า เขาโง่นะ อาตมาว่าเขาไม่ฉลาด ขนาดที่ไม่รู้จริงๆเหรอว่า อาตมาจริงใจต่อศาสนาขนาดไหน ทำเพื่อศาสนาขนาดไหน เขามีหลักฐานอะไรที่ยืนยันว่า อาตมามาทำลายศาสนา เพื่ออะไร มาล้มล้างอะไร ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่จะล้มล้างพระศาสนา ที่จริงลัทธิคอมมิวนิสต์ เขาก็ไม่ได้ล้มล้างศาสนาอะไรสมบูรณ์นักหรอก มันก็ยังมีอยู่บ้างด้วยซ้ำไป อะไรล่ะ ลัทธิอะไรมาล้มล้างพระศาสนา มีศาสนาอะไร อาตมาตั้งศาสนาใหม่ จริงๆน่ะเหรอ โก้น่ะ จริงๆนะ ถ้าตั้งศาสนาใหม่ได้ โก้นะ เป็นศาสดานะ ถ้าตั้งศาสนาใหม่ได้นี่ โก้ เป็นศาสดา แล้วเนื้อหาของศาสนาน่ะ เป็นไปเพื่อความมักน้อยสันโดษ พ้นทุกข์ จริงๆ ด้วยนะ เป็นการเสียสละ ลดความโลภความโกรธความหลง จริงๆด้วย ถ้าเป็นศาสดาทำอย่างนั้นได้ ตั้งศาสนาได้ แล้วก็มีความจริงที่ลดกิเลสโลภโกรธหลง มักน้อยสันโดษ เสียสละ เกื้อกูล สร้างสรร ขยันเพียร มีเมตตา มีกตัญญูกตเวที มีภราดรภาพ มีความสัมพันธ์ มนุษยสัมพันธ์อันดีได้ เหมือนอย่างพี่อย่างน้อง นี่อย่างที่เป็นนี่ แหม! เป็นศาสดาที่มีเนื้อหาของศาสนาอย่างนี้นี่ มันโก้จริงๆน่ะ ถ้าเป็นได้มันก็ดี น่ะซี อาตมาเป็นได้ มันก็ดีน่ะซี อาตมาก็บอกอยู่ว่า อาตมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ศาสนานี้ ลัทธินี้ ทฤษฎีนี้ของพระพุทธเจ้า อาตมาไม่ใช่คนอกตัญญู อาตมาไม่ใช่คน ขี้โกงน่ะ ที่อาตมาพยายามวิเคราะห์วิจัยเหตุผลต่างๆ ให้พวกคุณฟังนี่ เพื่อจะให้รู้ว่า ทำไมมันช่างย้อนแย้งเหลือเกิน คนที่เขานับถือว่ามีปัญญาล้ำเลิศ แต่ทำไมถึงไม่รู้ความจริงอย่างนี้ ขนาดนี้ ออกขนาดนี้ ถ้าจะว่าเป็นนักค้นคว้า มีหลักฐานยืนหยัดยืนยัน ก็ทำไมไม่ค้นคว้าหลักฐานยืนหยัดยืนยันให้ลึกซึ้ง ว่าคนอย่างอาตมาที่มาทำงาน มีพฤติกรรม มีบทบาท กิจกรรม มีอะไรๆ ที่กระทำอยู่มาจนกระทั่ง สิบกว่าปีนี่ มีหลักฐานยืนยันยืนหยัด สอบทานอะไรตั้งมากตั้งมาย ทำไมไม่หาหลักฐาน สอบทานอันเหล่านั้นล่ะ เข้าไปพิจารณา ตรวจสอบ ตามทฤษฎีหลักการของศาสนาบ้างว่า ที่อาตมาทำไปทั้งหมดทั้งมวลนั้น มันเป็นศาสนาพระพุทธเจ้าหรือไม่ อาตมาจริงใจต่อศาสนาพุทธจริงหรือไม่ ถ้าจะบอกว่า อาตมามีข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ มีข้อผิดพลาดอันโน้นอันนี้บ้าง อาตมาไม่เกี่ยงนะ แล้วอาตมาว่า อาตมายอมรับได้จริงๆเลยว่า มันคงจะมี ที่ผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ความบกพร่องอะไรนั้นบ้าง ได้ ได้ แต่อาตมามั่นใจว่า ในหลักใหญ่ๆที่อาตมา ได้ทำงานศาสนาของพระพุทธเจ้านี่มา อาตมาว่าได้ทำจริงๆ แหม! ไม่อยากกล่าวว่า อาตมาได้ช่วยกอบกู้ อาตมาไม่อยากจะพูดน่ะ อาตมาได้ช่วยกอบกู้ศาสนาพระพุทธเจ้า เอาเนื้อหาแท้ๆของพระพุทธเจ้านี่ ทำออกมาให้พวกเรา ได้บรรจุเข้าไปในชีวิต ชีวิตพวกคุณได้เนื้อหาสารัตถะ สาระสัจจะของพุทธคุณ พุทธศาสนาได้เข้ามานี่ ในมนุษย์ขณะนี้ ในประเทศไทยที่มีหลายจังหวัด แม้แต่จะนับว่าเป็นจำนวนน้อย ก็ตาม แต่มันก็มากไม่ใช่เล่นล่ะ สำหรับอาตมาตัวน้อยๆขนาดนี้ อาตมาว่าอาตมาได้ทำ อาตมาว่าอาตมาไม่ได้หลงเลอะน่ะ อาตมาว่า อาตมามีสติสัมปชัญญะปัญญา ตรวจสอบตรวจทานความจริงนี่อยู่ ว่ามีจริงเป็นจริง แต่ทำไมผู้รู้ ไม่เอาสัจจะพวกนี้ ไม่ตรวจสอบหลักฐาน ที่มีจริงเป็นจริงเหล่านี้ เอาไปยืนยัน เอาไปเปรียบวัด จะได้รู้ว่า อาตมาซื่อสัตย์ต่อศาสนา พระพุทธเจ้าหรือไม่ ทำไมท่านไม่ฉลาด ทั้งๆที่เขานับถือว่าท่านฉลาดกัน อย่างนี้เป็นต้น อาตมาพูดให้ฟังนี่ด้วยเหตุผลเท่านั้น ด้วยใจจริง อาตมาไม่ได้โกรธไม่ได้เกลียด ไม่ได้อาฆาต อาตมาจะบอกเหตุผลให้ก็ได้ ทำไมอาตมาไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่อาฆาต เหตุผลก็คือ สัจจะมันต้องเป็นจริง คงเคยได้ยินนะ พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า มารมาดลใจ มารดลใจ จะเป็นเทวดา จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ถูกมารดลใจ เมื่อสภาพธรรมสู่สภาวะที่จริงนั้น ต้องเป็นมารดลใจ ขนาดพระพุทธเจ้าก็ยังมีมารดลใจ ขนาดพระอานนท์ก็ยังมีมารดลใจ ให้ฉลาดเท่าฉลาดเถอะ ก็ต้องมีมารดลใจ ภาษาธรรมะ อาตมาไม่รู้จะใช้ภาษารูปธรรมอย่างไร มีมารดลใจให้มองไม่เห็น ให้เหตุการณ์นี้ต้องเกิด ให้สิ่งนี้ต้องเป็นเช่นนี้นั่นแหละ ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ มันจะไม่จัด ชัด มันจะไม่เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้ฉีกชี้ ทำให้แรงขึ้น ไม่ใช่แรงอย่าง รุนแรงนะ มันจัดชัดขึ้นนั่นเอง ใช้คำว่าจัดชัด จะดีกว่าคำว่ารุนแรง คำว่า แรง ไม่ใช่รุนแรงแบบร้ายเลว มันไม่ใช่รุนแรงอย่างนั้น มันจัดชัด ถ้าไม่อย่างนั้น มันจะไม่จัดชัดขึ้น มันจะแยกขาวแยกดำให้จัดชัด อย่างนี้เป็นต้น มันจะชี้ฉลาด ชี้โง่จัดชัดขึ้น มันจะชี้ถูกชี้ผิดจัดชัดขึ้น อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น อันนี้มันสร้างเองไม่ได้ ไปบังคับให้ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นก็ไม่ได้ ไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่โกรธแค้นพระเทวทัตเลยฉันใด เพราะในมุมที่มอง ในมุมที่รู้สึกนั้น ใจของอาตมา อาตมาไม่เอาใจพระพุทธเจ้า ใจของอาตมามองในมุมนี้ รู้สึกว่า มองไปว่า พวกนี้ทำอย่างนี้นี่ เป็นผู้ช่วยเรา ถ้าคุณเข้าใจว่าพระเทวทัต ช่วยขับเด่นให้แก่พระพุทธเจ้า ถ้าคุณเข้าใจ พระเทวทัตช่วยขับเด่นให้พระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจะไปลงโทษพระเทวทัตทำไม จะไปโกรธไปเกลียดพระเทวทัตทำไม ในเมื่อพระเทวทัต เป็นผู้ที่เสียสละนะ ถ้ามองในมุมกลับ เสียสละขับเด่นให้พระพุทธเจ้า เป็นพื้นฐานที่จะเสริมหนุน ให้พระพุทธเจ้าสูงส่ง พระเทวทัตยิ่งแสดงต่ำเท่าไหร่ แรงเท่าไหร่ พระพุทธเจ้ายิ่งสูงมากเท่านั้น ยิ่งเด่นชัดมากเท่านั้น ฉันใดก็ฉันนั้น อาตมารู้สึก และอาตมามีมุมมองอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อาตมาจะไปโกรธไปเกลียด คนเหล่านั้นทำไม เขาให้ประโยชน์แก่อาตมา ไม่ได้ให้โทษเลย เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกว่านี้เป็นเรื่องดี
แต่อาตมาบอกแล้ว อาตมาจะไม่พูดว่า มันเป็นเรื่องดีให้มาก เพราะว่า ถ้าพูดแล้ว
มันเหมือนไปยั่วยุไปยวน เหมือนกับไปตีคารมสีปากอะไรกับเขา หรืออะไรต่างๆนานา
มันฟังแล้วมันกระเทือนใจกัน เขากระเทือนใจแน่ แล้วเขาก็หมั่นใส้ได้ด้วย
เพราะว่าโดยโลกที่มองแล้ว สภาพกว้างๆ สามัญๆ ที่มอง เขาก็มองว่า เออ! ดูซิ
ไอ้คนนี้นี่ มันไม่น่าทำตัวให้สงสารเลย มันทำเป็นแอ๊คอาร์ต ทำเป็นตีคารมสีปาก
มันน่าหมั่นไส้จริงๆ ไม่ต้องคู่ต่อสู้ที่จะรู้สึกหรอก คนอื่นๆ ธรรมดาสามัญ
เขามอง เขาก็จะมองอย่างนั้น เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกว่า มันเป็นเรื่องดีนะ
อาตมาไม่ค่อยพูดกับสาธารณะที่กว้างมากนัก แต่พูดกับพวกเราเท่านั้น แต่ถ้าจะพูดกับพวกข้างนอก
อาตมาก็จะพูดว่า มันเป็นเรื่องปกติ อันนั้นพูดกับข้างนอกมาก เป็นเรื่องปกติเท่านั้น
ที่อาตมาพยายามขยายคำว่าปกติ ขยายคำว่า มันเป็นเรื่องดี พยายามอธิบายมา จนกระทั่งมาถึงจุดที่อาตมาสรุปให้ฟังแล้ว
เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ จึงถือว่าเป็นเรื่องดี ที่อาตมาถือว่าก็มันเป็นสิ่งดีให้แก่อาตมา
และอาตมาก็ขอยืนยันว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งดีให้แก่อาตมาเท่านั้น เป็นสิ่งดีให้แก่พวกเราด้วย
พวกเรา อย่างน้อยที่สุด ก็ได้รับการกระทบสิ่งเหล่านี้ ได้พิสูจน์ตัวเอง คุณหวั่นไหวมั้ย
คุณมีความมั่นคงมั้ย คุณมีความแน่ชัดยืนหยัดยืนยันมั้ย คุณมีอะไรที่จะเกิดพลัง
ที่จะรวมกันขึ้น เอาจริงเอาจังขึ้น คุณจะพัฒนาขึ้นมั้ย มันจะเป็นเครื่องจุดไฟให้แก่เรา
ได้มีพลัง เพราะฉะนั้น เราลงทุนเราลงแรง เสียเวลา เหน็ดเหนื่อยอะไรก็ต้องเอา ถ้าไม่ใช่ไปศาล ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ คุณจะขยัน หรือคุณจะพากเพียรถึงขนาดนี้ไหม โอ้! บางที เดือนหนึ่ง ๒ ครั้ง ก็ต้องเดินทาง อยู่ต่างจังหวัดก็ตั้งไกลๆ แล้วก็ไม่ได้มี ๒ ครั้งเท่านั้น ติดต่อกันมาตั้ง ๖ ครั้ง ๗ ครั้งแล้ว แล้วยังจะไปอีกกี่ครั้งก็ไม่รู้ มันจะพิสูจน์กันจริงๆเลยน่ะ มันพิสูจนกันไม่ใช่เบาหรอก มันหนักขึ้น เรียกว่าต้องสู้ทน ต้องอดทนมากขึ้น มันเป็นผลดีกับกระแสวงกว้างอีกด้วย เห็นไหม มันเป็นการโปรปะกันด้าไป มันเป็นการบอกให้คนอื่นสนใจ ศึกษา มองในแง่ตื้นๆ เหมือนกับเราว่าเสีย เพราะเขาประกาศ ทางโน้นเขาโพนทะนาว่าเราผิด ในแง่เชิง เหมือนกับเรานี่เป็นผู้ผิดๆๆๆๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาประสบผลสำเร็จ ว่าเรานี่ผิดแท้ๆ คนเชื่อถือ เห็นจริงเห็นจังเป็นที่สุด ไม่หรอก ยัง ลึกๆ มีอะไรลึกๆละเอียดๆ คนเห็นความจริงได้ เห็นใจ เข้าใจ ยิ่งนานวัน ยิ่งมีอะไรออก ทั้งสองค่ายทั้งสองด้าน มีปฏิกิริยา มีบทบาทมีลีลา มีความจริงความไม่จริง อะไรก็แล้วแต่ มันก็เป็นเนื้อหาของแต่ละฝ่ายแต่ละด้าน แต่ละคนนั่นแหละ ยิ่งนานวัน ยิ่งมีมากขึ้น มันก็ยิ่งแสดงสิ่งจริง ที่จะขัดขาวขัดดำ อย่างที่อาตมาสมมุติแต่ต้นแล้วว่า ถ้าอันหนึ่งขาว อันหนึ่งดำ มันก็เป็นการต่อสู้ที่จะมีสภาวะ ปรากฏขึ้นมายืนยันความจริงนั้นออกไป ถ้าคุณมั่นใจว่าทางนี้ถูก ทางเราถูก มันก็จะยืนยันความถูกนี้ไปเรื่อยๆ เปิดเผยออกมากขึ้น ผู้แสวงหา ความถูกหรือสัจธรรม ผู้ที่มีดวงตา มีปัญญา เขาก็จะเห็นเขาก็จะรู้ เขาก็จะได้ เป็นประโยชน์ออกไปจริงๆ แต่ก่อนไม่มีความใส่ใจสนใจเท่าไหร่ ตอนนี้มีความสนใจใส่ใจแพร่หลายไปกว้าง มันกระจายออกไปในรูปของ เหมือนกับ ไม่ใช่การสรรเสริญเยินยอยกย่องอะไรหรอก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่ได้สัจจะ แม้จะไม่ได้ไปในรูปของการยกย่องสรรเสริญเยินยอ ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ได้กระจาย หรือแพร่สัจจะ มันแพร่ จะไปในรูปที่ไม่ได้ยกย่องสรรเสริญ ดูถูก ตู่ว่าผิดเสียด้วยซ้ำก็ตาม มันก็แพร่สัจจะไปเหมือนกัน ทำเอาเอง ไม่ได้ง่ายๆอย่างนี้หรอก คนที่มาช่วยสนับสนุนในการเผยแพร่นี้ ถึงขนาดที่มันผ่านมา จนถึงวันนี้นี่ ทำเอาเองไม่ได้ มีเงินมีทองกี่ร้อยกี่พันล้าน ยังทำไม่ได้เลย มันเป็นเรื่องดีอย่างนี้น่ะนะ ทีนี้ตัวพวกเราล่ะ มาถึงวันนี้ ได้มีอะไรเกิดขึ้น ได้มีอะไรมากขึ้นบ้าง จัดสรรของมัน มันปรับปรุงตัวของมัน เกิดสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะเจริญขึ้น เราก็ต้องปฏิบัติทำตาม ไปตามบทบาทลีลาของกิจกรรมที่มันเกิดขึ้น พิธีกรรมก็ด้วย เราก็ต้องปฏิบัติธรรมไปตามบทบาทลีลาของกรรม พิธีกรรม กิจกรรมเกิดเพิ่มขึ้นมากขึ้น เราก็ได้ปฏิบัติธรรมมากขึ้น เพราะจะมีองค์ประกอบ จนมีการสัมผัสเกี่ยวข้อง ที่เราจะต้องมีสติสัมปชัญญะ มีธัมมวิจัย มีวิริยะอะไร ตรวจตรา พิจารณาความจริง ที่มันเกิดการกระทบสัมผัสจริงๆ ได้มีแบบฝึกหัดที่ได้ทำเพิ่มขึ้น บางคนก็อาจจะยังไม่อยากเรียน เหมือนเด็กๆ ที่ไม่อยากไปโรงเรียนบ้างก็ตาม แต่ยังไงๆ คุณอยู่โรงเรียนนี้ คุณก็ต้องไป ขาดโรงเรียนมาก สอบตกนะ ไม่ได้สอบด้วย ก็ต้องลากถูลู่ถูกังกันไปอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโรงเรียนนี้ เราก็ต้องไปโรงเรียน ต้องทำแบบฝึกหัด ต้องทำการบ้าน ต้องทำการงาน ทำการเรียน แต่ถ้าใครรู้เหตุการณ์ รู้ว่า โอ้! เหตุการณ์กาละนี้ เป็นอย่างนี้นะ มาถึงขั้นนี้ขีดนี้ อ้อ! มันต้องมีกรรม มีกิจกรรมมากขึ้นอย่างนี้แล้วนะ การเรียนต้องมีมากขึ้น ชั้นมันสูงขึ้นแล้วนะ ยุคสมัย กาละ บทบาท การเดินทาง ความพัฒนา ความโต อ้อ! มันโตขึ้นแล้วนะ มันมีอะไรมากขึ้นแล้วนะ เราต้องเรียนรู้ อบรม ฝึกฝน ขยันขึ้น เพิ่มขึ้น ผู้มีญาณปัญญารู้ ก็ต้องรู้ว่าอะไรมันเลื่อนขึ้น มันโตหรือมันทรุด เราจะมาดูดาย ไม่รู้ไม่ชี้ โง่เง่าอยู่ได้ยังไง นี่กำลังชี้บอกให้คุณฟัง บางคนรู้ก็ดี บางคนไม่ดี ก็รู้สึกเสีย ตื่นซะ ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น เรากำลังโตวันโตคืนขึ้น กรรมต่างๆมันเป็นสัมมากัมมันตะ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องจัดแจง เรียนรู้สัมมากัมมันตะพวกนี้ ต่อไป มันเป็นสัมมาอาชีพ สัมมาอาชีวะ ที่เราจะต้องทำให้เป็นประจำ ชีวิตประจำวันขึ้นไป เพราะฉะนั้น ใครยังบกพร่อง ใครยังไม่รู้สึกตัวว่า เอ้า! นี่เลื่อนชั้นขึ้นไปอยู่ ป. ๒ ป. ๓ ขึ้นไปอยู่ ป. ๔ แล้วนี่ ต้องเรียนเพิ่มขึ้น ตำรามากขึ้น งานมากขึ้นนะ ต้องทำ มันโตขึ้นแล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กแคระแกรนอยู่อย่างเดิม ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ทั้งกาละ ความเติบโต องค์ประกอบของมันก็จะมารวมกันขึ้น การประชุมของชีวิต มันจะมีกรรม ชีวิตจะมีการกระทำ การงานจะมีเพิ่มขึ้น อาตมาไม่ได้ดิ้นรนมากมายหรอกนะ นี่มางานนี้ จะต้องมีชมรมเกษตรอโศกขึ้น ถ้าคิดตามมาตั้งแต่ต้น อาตมาก็พยายามอยู่นะ พยายาม เอ้า! พยายามกระทำขึ้นซิ อย่างโน้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่เคยไปบีบบังคับอะไรเกินการ สังเกตได้ พา แนะนำ ทำไร่ทำนา ทำอะไรขึ้น ทำดีๆขึ้น มันก็ก้าวเข้ามาเรื่อยๆ มาถึงวันนี้ มันเป็นรูปเป็นร่าง มันเป็นมวลเป็นหมู่ มันมีสิ่งที่เกิดขึ้น จริง ไม่ใช่พูดแต่ลอยลม ไม่ใช่มีแต่ทฤษฎี ไม่ได้เรียนรู้แต่เฉพาะตัวหนังสือตำรับตำรา เหตุผลลอยลม แต่ความรู้ ไม่ใช่ เราทำ เราลงมือ แล้วเราก็รวบรวมผู้ที่ทำอยู่ ยังกระจัดกระจาย เข้ามาให้เป็นหมวดหมู่ เข้ามาให้เป็นสภาพที่สมบูรณ์ ให้มันมีลักษณะที่แน่น ลงร่องลงรอย มีสารัตถะ อันเป็นความสมบูรณ์เพิ่มขึ้นๆ อาตมาไม่ได้พยายามที่จะเร่งรัดมันหรอก มีคนนั้นคิดหน่อย มีคนนั้นแนะขึ้น มีคนนั้นเกิดขึ้น มีอันนี้บ้าง มีอันโน้นบ้าง อาตมาที่จริงนะ ถ่วงๆเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่มันก็เป็นไป มันก็ก้าวไป ถ้าเราได้ทำ เกษตรนี้ให้เป็นหลัก ทำได้อย่างเกิดสภาพที่สมบูรณ์ขึ้น อุดมสมบูรณ์ ให้มันเพียงพอ ให้มันเป็นหลักเป็นฐาน ที่แข็งแรงมั่นคง มีระบบดีๆแล้วไซร้ พวกเราจะเป็นอยู่สุขกันมาก แล้วจะมีบุญ จะได้เกื้อกูลอุดหนุน สร้างบุญต่อสังคมมนุษยชาติในโลก ช่วยเหลือสังคมมนุษยชาติ เกิดจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก อาหารนี่สำคัญ ปัจจัย ๔ มันอาหาร เครื่องอาศัยบริโภค บริโภคใน ถ้าขยายขึ้นไปเป็น ๔ ปัจจัย ๔ ตามที่เราได้เรียนมา ท่านแบ่งเป็นบริโภคนอกบริโภคใน บริโภคนอกก็ที่อยู่อาศัย กับเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม บริโภคในก็อาหารที่รับประทานเข้าไปในปากในท้อง เป็นกวฬิงกราหาร กับยารักษาโรค มันเป็นหนึ่งในโลก ก็คืออาหารที่กินในปากในท้องนี่แหละ เป็นหนึ่งยิ่งกว่าอะไร แต่ถ้านับ เอาเป็นปัจจัย ๔ ก็ได้ บ้านเรือน เราไม่ต้องมีอยู่ ก็นอนโคนไม้ นอนดินนอนหญ้าได้ เครื่องนุ่งห่มมีชุดเดียว ไม่มีอะไรจริงๆ มันก็ไม่ถึงตาย แต่อาหารไม่กินไม่ได้ อาหารต้องกิน เพราะฉะนั้น มันเป็นหนึ่งในโลกจริงๆ มันเป็นเรื่องสำคัญมาก เรื่องอาหารนี่เป็นหนึ่งในโลก นี่จะต้องศึกษาจริงๆดีๆ อาตมาเคยพยายามดึงเรื่องอาหารขึ้นมา ในแสงสูญได้ทำเอาไว้ มีเรื่องราว มีสูตร พระสูตรต่างๆ เอารวบรวม เอามา พูดถึงเรื่องอาหาร วิเคราะห์เกี่ยวข้องกับเรื่องวัตถุ รูปธรรมอะไรต่างๆนานา ก็เอามาพูด พยายามอธิบาย ไปถึงเรื่องนามธรรม เกี่ยวกับอาหาร ได้ทำมาบ้าง ก็ค่อยๆติดตาม ค่อยๆค้นคว้า เอามาค้นคว้า ศึกษาเพิ่มเติมก็ได้ อันโน้นมันเป็นความรู้นำมาก่อน ตอนนี้มันก็มีสภาพแล้ว มีพฤติกรรม มีกิจกรรมอะไร ของพวกเราขึ้นมาแล้ว เอามาศึกษา ศึกษาแล้วเราก็จะได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้น อาตมาไม่ได้ทำงานศาสนา ที่สั้นๆ จู๋ๆ ที่เป็นเถรวาทสุดโต่ง ที่มองไปได้ว่า มองแต่ไกลๆ มองแต่กิจออกป่า เขาถ้ำ อยู่เฉยๆ โลกจะเป็นยังไง ก็หลุดโลกออกไป ออกไปสู่อวกาศ หลุดออกไปจากวงโคจรความดึงดูด ของโลกนั่นเลย อะไรอย่างนี้ อันนั้นไม่ใช่เหนือโลก อันนั้นมันหนีโลก อันนั้นมันหลุดโลก หลุดโลก มันไม่ใช่การอยู่เหนือโลก หลุดพ้นโลกนี่ หลุดพ้นด้วยวิธีอยู่เหนือ อย่างไม่ได้พราก ไม่ได้ห่างกัน มีคุณค่าประโยชน์แก่โลกเสียด้วยซ้ำ เกื้อกูล สร้างสรรอยู่เสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่ทิ้งห่าง ทิ้งขาด แตะไม่ติด ไม่เกี่ยวไม่เกาะอะไร กันเลย ไม่ใช่ อุดหนุน เนื่องหนุน เป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ หรือโลกนั่นเอง อนุเคราะห์โลกอยู่จริงๆ ขอยืนยัน ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนั้น แล้วเรากำลังเป็นได้ๆ แม้มันจะนิดหน่อย แต่มันก็มีรูปร่างเป็นรูปธรรม พอดูออก ในพวกเรานี่ดูให้ดี กำลังเกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ กอปรก่อขึ้นมาเรื่อยๆ มีกิจกรรม มีพฤติกรรม มีองค์ประกอบในการสร้างสรร เสียสละ หรือให้ หรือทาน หรือเอื้อเฟื้อเจือจาน แจกจ่าย แม้มันยังไม่ลงตัว มันยังไม่สมบูรณ์ มันยังไม่เข้มข้น มันยังไม่จัดชัดในการได้อุ้มชู เสียสละ อนุเคราะห์โลก กันอย่างมากมวลมากมาย มีทั้งประสิทธิภาพ คุณภาพ ปริมาณอะไรมากพอก็ตาม แต่มันก็มีรูปรอยรูปร่าง ที่ให้เราพออ่านออก เห็นได้ มีรูปรอย จะจริงก็อยู่ที่พวกคุณ มากคนมากแรง มากผลผลิต มากกิจกรรมกิจการ มากกรรมนั่นเอง มากขึ้น มันก็จะเป็นจริงขึ้น คนจะจำนนต่อสัจจะพวกนี้ ทำขึ้นมาเถอะ เราไม่ได้ชนะเพราะไปโต้เถียง เราไม่ได้ชนะเพราะไปอวดอ้างความรู้ แต่เราจะชนะเพราะ ความจริงที่เรากอปรก่อขึ้นมา ว่าเราปฏิบัติธรรม เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราทำงานศาสนาด้วย ปฏิบัติตนด้วย จะเป็นคนสร้างสรรขยันเพียร จะเป็นคนมีประโยชน์คุณค่าต่อโลก หรือเราจะถ่วงโลก หรือจะมาทำลายโลก มาทำลายศาสนากันแน่ ความจริงพวกนี้ มันจะปรากฏ มันจะเป็นคำตอบ มันจะยืนหยัดยืนยัน ให้คนเขาจำนนเอง ไม่ใช่ไปเถียงเขาชนะ นั่นคือชนะ ไม่ใช่ไปคิดหาเหตุผลมาล้มล้างกัน แล้วก็ชนะคือชนะ ไม่ใช่ อาตมาไม่เห็นว่า มันเด่นอะไรนักหนาหรอก แต่ทำบ้าง เพื่อยืนยัน กล่าวแก้ เพื่อไม่ให้เขาพวกที่หลงผิด เพื่อให้มีหลักฐาน เพื่อยืนยันบ้าง ทำบ้าง แต่อันนั้นไม่ใช่หลัก หลักคือเราจะต้องประพฤติปฏิบัติให้มันเกิดจริงๆเลย เป็นนักสร้างสรร เป็นนักลดละกิเลส ตัณหาอุปาทาน เป็นผู้เป็นคนในโลก ที่มีประโยชน์คุณค่า อุ้มชูโลกอยู่จริงๆ แล้วเราก็เลี้ยงตนได้ พึ่งตนได้ ไม่ได้เบียดเบียน ไม่ได้ถ่วงโลก ไม่ได้หนักโลก ไม่ได้เป็นภาระของโลก ของสังคม แต่เราเป็นผู้ที่มีประโยชน์ คุณค่า ให้แก่สังคมจริงๆ เราต้องพิสูจน์ ความจริงพวกนี้ เรายิ่งหมดโลภโกรธหลง ไม่เห็นแก่ตัว เป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร และแจกจ่ายเจือจาน อุ้มชู เป็นคนไม่โกรธ ไม่พยาบาท เขาจะด่าจะว่า เขาจะดูถูก ดูแคลน เขาจะใส่ร้ายใส่ความ ที่สุดแม้เขาจะมารุนแรงกับเรา จะทุบจะตีเอาบ้าง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่ถึงขั้น เข้ามาไล่ทุบไล่ตีเลย อาตมาถึงบอกว่า เรายังไม่ได้เดือดร้อนอะไร มันอาจจะถึงขั้นนั้นก็ได้ เตรียมใจไว้หน่อยก็แล้วกัน นี่ไม่ได้พยากรณ์นะ อาจจะเข้ามาไล่ทุบไล่ตีบ้างก็ได้ ไม่ได้พยากรณ์ แต่บอกไว้เท่านั้นแหละ อาตมาบอกตรงๆ ไม่ได้พยากรณ์ ไม่ได้นึกว่ามันจะถึงขั้นนั้น หรือก็ไม่ได้บอกว่า ไม่ได้นึกว่า มันจะไม่ถึงขั้นนั้น เป็นแต่เพียงพูดด้วยโวหาร โดยความรู้ ที่รู้ว่า มันอาจจะเป็นได้ เมื่อมันจะเป็นอย่างนั้น คุณจะทำอย่างไร ก็บอกไว้เท่านั้นเอง ก็ต้องสู้ เขาจะตีเอาบ้าง เขาจะทำร้ายทำลายเอาบ้าง แม้จะต้องเสียสละ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ จะสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม ถึงขั้นนั้นก็จะต้องทำ มันจะมีวิบากถึงขั้นนั้นหรือไม่ อาตมาก็บอกอีก บอกไม่รู้ ไม่พยากรณ์ ไม่ได้มานั่งนึก นั่งตรวจตราอะไรไป บอก อาตมาไม่เล่นอย่างนั้น ไม่เล่น เราอยู่ในความไม่ประมาทเท่านั้นแหละ แล้วเราก็ทำดีที่สุด ด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ ทำไป สร้างสรรไป ทำขึ้นจริงๆ ขยันหมั่นเพียร เราต้องขยันมาก เพราะเราเป็นหัวหอก หัวหอกนี่หนักหนาสากรรจ์ แล้วหัวหอกนี่ ไม่ค่อยได้เสวยผลหรอก ปลูกฝังไว้ เพื่อผู้ที่สืบทอดในอนุชนรุ่นหลัง ผลสำเร็จ หัวหอกไม่ค่อยได้หรอก แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสั้นด้วย เรื่องยาว เรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องสั้น ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรื่องยาว เรื่องใหญ่ ต้องสืบทอด ต้องปลูกฝัง ต้องมั่นคงแน่นหนา ต้องจริงจัง สถิตสถาพรให้ได้ มันจึงจะท้าทายต่อการพิสูจน์ มันจึงจะยืนยันความจริง แล้วมันไม่สั้น บอกแล้ว มันยาว มันนาน เราตายก่อนก็ตาย ข้อสำคัญ เรามั่นใจไหมล่ะ มั่นใจแล้ว ทำดีลูกเดียว ดีก็เป็นดี เป็นกุศล เป็นกรรมอันทำแล้ว คนรุ่นหลังๆ ได้รับอานิสงส์ ไม่แรงเท่าคนรุ่นแรกๆหรอก เพราะรุ่นหลังๆ มันเหมือนกับเป็นพวกได้รับอานิสงส์ ได้รับเหมือนชุบมือเปิบบ้าง แต่ที่จริง อาตมาไม่ได้ไปว่าคนรุ่นหลังหรอกนะ แต่ว่ามันเป็นธรรมดาของเขาน่ะ เหมือนลูกรับมรดกจากพ่อแม่มา มันก็เป็นเรื่องจะเรียกว่าบุญก็ได้ จะเรียกว่าชุบมือเปิบก็ได้ แต่ที่จริงบุญของผู้สร้าง ไม่ใช่บุญของผู้ชุบมือเปิบ ไม่ใช่บุญของผู้รับมรดก ผู้รับมรดกก็เป็นผู้ที่สบายหน่อย แต่บุญก็น้อยกว่าผู้สร้างจริง ใช่ไหม ผู้สร้างจริง จะต้องได้บุญมากกว่าเป็นธรรมดา เป็นเรื่องสัจจะ คุณฟังเอา อาตมาไม่ได้พูดโมเม ไม่ได้มาหลอกล่ออะไร อาตมาพูดวนเวียน พูดซ้ำซากอยู่ในเรื่องนี้บ่อยๆ เพราะว่าอาตมาไม่มีเรื่องอื่น อาตมามีเรื่องนี้ เรื่องของชีวิต เรื่องของมนุษย์ เรื่องของคุณค่า เรื่องของความดีงาม เรื่องของความลดละกิเลส ตัณหา อุปาทาน เรื่องของความลดโลภโกรธหลง สรุปไปหาเรื่องของความพ้นทุกข์ เรื่องของความทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความพ้นทุกข์จริงๆ ทุกวันนี้พวกเรานี่อยู่สบายกัน แม้แต่งานปลุกเสกฯนี่ ปีนี้ออกสบายๆ มันเข้าระบบ ทุกคนเอาใจใส่ ทุกคนขวนขวาย ช่วยกันคนละไม้คนละมือ แล้วมีคนเพิ่มขึ้น ช่วยนั่นช่วยนี่กัน อาตมาว่าปีนี้นะ ไม่หนักไปที่คนใดคนหนึ่งอยู่แอ้ หรือว่ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือกลุ่มเล็กจนแอ่นแอ้ ไม่ มีมวล มีปริมาณพอที่จะเข้าไปหนุนเนื่อง ช่วยหนุนช่วยทำกัน งานส่วนนั้นส่วนนี้ อะไรต่างๆนานา นี่มันเข้าระบบ มันจัดแจงตัวมันเอง มันสังเคราะห์ตัวมันเอง มันปรับตัวมันเอง มันพัฒนาตัวมันเอง มันเจริญขึ้น มันมีความก้าวหน้า มันมี ความเจริญ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้ว เราไปมองไปในแง่ว่า เออ! มันสบายอย่างนี้ ดีแล้วล่ะ ก็ปล่อยเขาทำ เขามีคนทำมากแล้ว เราก็เฉยๆเถอะ บุญใคร ก็บุญคนทำ คุณไม่ทำ คุณคิดอย่างนั้น คุณก็ไม่ได้ทำ คุณก็ไม่ได้ก่อบุญ ไม่ได้สร้างบุญ ใครทำก็ได้บุญ สร้างบุญเสริมบุญขึ้น กรรมเป็นของของตน ก็ทำไป ต้องเจาะหาอรรถสาระให้มันแม่นเป้า แล้วก็พัฒนา สุคโต สุคโต สุคโต สุคตินี่ไม่ได้หมายความว่า สุ-ข-ติ นะ สุคติ แม้ว่าเราจะอวยพร หรือว่าเราจะพูดกับคนที่ตายไปแล้ว เออ! ขอให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องขอ เขาก็ไปตามเขานั่นแหละ เขามีทุคติหรือสุคติ ก็เป็นของเขา แต่เอาเถอะ นิยมจะพูดกันก็ไม่ว่าอะไร ขอให้ไปสู่สุคติ สุคติ ไม่ใช่สุขติ เขียนอย่างนี้ซิ เขาถึงบอกว่า มันไม่รู้อะไรเสียเลยน่ะ ภาษาบาลีอันนี้ สุคติ ไม่ใช่สุขติ อยู่ที่กระดานอยู่ที่บอร์ด ทั้งเขียนตัวใหญ่ ตัวเล็ก เขียนกันสุขติกันแทบทั้งนั้นแหละ มีเขียนสุคติอยู่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเขียนสุขติกันทั้งนั้นเลย เขียนผิดน่ะ หมายความว่าไปดี มันดำเนินไปดี ดำเนินไปดี ได้เรื่อยๆ ตราบที่จะถึงปรินิพพานโน่นแหละ ดำเนินไป ร่างกายตายแล้วก็ไปต่ออยู่ ดำเนินไปต่อ วิบากต่อไปอยู่ นี่ยังมีวิบาก ยังไม่ถึงปรินิพพานเมื่อไหร่ ก็มีวิบาก แต่อย่าไปเข้าใจเป็นอัตภาพเป็นตัวๆ แท่งๆ ก้อนๆ โด๊ๆเด๊ๆอะไรอย่างนั้น อย่างที่เข้าใจกันเพี้ยนๆผิดๆอย่างนั้น ไม่ใช่ มันเป็นบทบาทของวิบาก ซึ่งอาตมาก็ไม่มีภาษาที่จะอธิบาย พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้อธิบายไว้ ถ้ามันอธิบายได้ง่ายๆ พระพุทธเจ้าก็อธิบายเอาไว้ก่อนแล้ว ไม่ต้องรออาตมาอธิบายหรอก มันอธิบายไม่ได้ มันอนิทัสสนัง เรื่องวิญญาณนี่ มันอยู่ยังไงมันไปยังไง ก็ได้แต่พูดอย่างนี้ เป็นภาษากว้างๆ ไม่รู้จะชี้ยังไง มีตัวอย่างประกอบเปรียบเทียบ ก็พูดได้บ้างเล็กๆน้อยๆ จะให้ไปตรงจริงทั้งหมดสมบูรณ์ จนกระทั่งชัดเจน มันยาก มันไม่ได้ มันก็ไปตามที่มันควรจะเป็น ควรจะไปเท่านั้น ควรจะอธิบาย ควรจะพอรู้พอสื่ออะไรกัน ก็ทำได้แค่นั้น เมื่อรู้ว่าวิถีทางเดินของแต่ละคน ของมนุษย์แต่ละคน ของใครๆก็แล้วแต่ เรามีมรรค เป็นสัมมาอริยมรรค มีทาง มีวิถีที่เดิน เดินไป ดำเนินไปอยู่เรื่อยๆ ดำเนินดี ดำเนินถูกทาง เป็นสัมมาอริยมรรค เป็นสุคติที่จริง เป็นสัมมัคคโต สัมมัคคตะ ก็ดำเนินไปนั่นแหละ ดำเนินไปอย่างดี ดำเนินไปดีแล้ว ชอบแล้ว ควรแล้ว ถ้าเรายิ่งเพียร มันไม่เพียรเราก็ต้องสร้าง ให้เราเองเพียร เมื่อเราแน่ใจชัดๆแล้ว เพียร อย่าหยุดยั้ง เพียร เราทำต่อไป ขณะนี้ ในด้านการค้า ในด้านพาณิชย์ ในด้านเกษตร มันกำลังก่อตัวขึ้น ในวรรณะ ๔ นี่นะ ผลิต ถ้าเราเป็น นักผลิตกันเพียงพอเมื่อไหร่ อาตมานี่อยากจะท้าให้พวกเราพิสูจน์ เราเป็นนักผลิตที่จะดำเนินทฤษฎี หรือ บุญนิยม ทฤษฎีระบบบุญนิยมนี่ดูซิว่า มันจะแก้ปัญหาที่เขาทุกข์เขาร้อน กันอยู่มากมายได้ไหม อย่างน้อยที่สุด ในหมู่พวกเราเอง เราดำเนินไปอย่างตามทฤษฎีหลัก ในมรรคองค์ ๘ นี่ มีการงาน มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาอาชีวะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ พวกเราทำอยู่นี่ แล้วการเป็นชีวิตเป็นอยู่ ชีวิตของเราก็สร้างขึ้น ระบบของชีวิตก็สร้างขึ้น ความเป็นอยู่ของเรา มีที่อาศัย เครื่องอาศัย มีระบบ ความเป็นอยู่ หลายคนรู้สึก แปลกใจมั้ย เอ๊! เรานี่ แต่ก่อนก็เป็นข้าราชการดีๆนะ มีหลักมีฐาน มีหน้า มีตา แต่งเนื้อแต่งตัว เป็นที่เชิดหน้าชูตา บางคนก็ติด ๓ ขีด บางคนติด ๒ ขีด บางคนติด ๔ ขีด อะไรก็ตาม มียศมีศักดิ์ มีรายได้ มีบ้านอยู่อาศัย เสื้อผ้าหน้าแพร เครื่องใช้ไม้สอย เป็นหลักเป็นฐานดี เดี๋ยวนี้มาดูตัวเอง โอ้! มันเหมือน กระจอกอะไรสักตัวหนึ่ง บ้านของตัวเองก็ไม่มี ดีไม่ดี บางทีไม่มีที่จะนอน ไปนอนดินนอนหญ้า เสื้อผ้าหน้าแพรก็อย่างนั้น ไปไหนมาไหน มันก็ดูโทรมๆ มองดูตื้นๆ ดูโทรมๆ เหมือนกับคนกระจอกๆอะไร เอ๊! มันเป็นมาได้ถึงปานฉะนี้เชียวหนอ แล้วคุณก็ดำเนินไปอยู่เรื่อยๆ ชีวิตก็ดำเนินไปอยู่เรื่อยๆ สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะอะไร คุณก็เดินไปอยู่เรื่อยๆ เอาใจใส่พากเพียรไป บางคนก็เข้าใจดี มีความมั่นใจดี รังสรรค์ไป อุตสาหะไป อาตมามาที่นี่ก็มาดู เออ! ดูนะ ครูอัปสร ดูร่างกายชีวิตก็ดู ผมเผ้าก็ตัดกันอย่างนั้น แต่ก่อนมันเป็นอย่างนี้หรือ อยู่แต่ก่อนแต่เดิมนะ เป็นอย่างนี้หรือ มันไม่ได้เป็นอย่างนี้เลยนะ โอ้! แม่ก็ยังอุตส่าห์เห็นลูก มันเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เห็นแปลกอะไรได้ แม่ก็มาลงมือช่วยทำ ทำไมไม่คิดบ้าง มันเป็นยังไง มันมาตกต่ำเสื่อมโทรมอะไรขนาดนี้นี่ ยังไม่รู้สึกตัวเชียวหรือ ซอกๆๆๆๆ มานั่งปั้นไอ้ลูกอะไร ขี้เลื่อย ทำ เดี๋ยวก็มาทำตรงโน้น มาจุดไฟ ทำโน่นทำนี่ เอ้าอบนั่น รมนี่ทำไป วุ่นอยู่ตรงนั้นน่ะ มาทำเห็ดอะไรอย่างนี้ แต่งเนื้อแต่งตัว บางทีก็นุ่งกางเกงขาก๊วยตัวหนึ่ง นุ่งผ้าถุง เสื้อคลุมตัวไปอย่างนั้นน่ะ หน้าตามอมแมมๆ คนนั้นบ้าง คนนี้บ้างอะไรล่ะ ไม่ได้ยกตัวอย่าง คนนั้นคนนี้อะไรก็แล้วแต่ คล้ายๆกันทั้งนั้นแหละ อยู่ศีรษะฯบ้าง อยู่ปฐมฯบ้าง อยู่สันติอโศกบ้าง ลาออกจากงานมา มีหลักฐานแบบโลกๆเขา แย่งชิงกันอย่างกับอะไรดี บางคนก็มีบริษัทตัวเอง บางคนก็มี กิจการตัวเอง เลิกๆราๆมา มาอย่างนี้มันสุขดีอยู่หรือ อาตมาขอถามหน่อยเถอะ สุขอย่างไร อุตส่าห์วิเคราะห์ โลกียสุข วูปสโมสุข คุณสุขดีอยู่หรือ สุขอย่างไร วูปสโมสุข คุณเข้าใจไหม มันเป็นอย่างนั้นไหม โลกียสุข คุณเข้าใจไหม คุณละเลิกโลกียสุขมาได้จริงไหม อาตมาไม่กลัวนะ ว่าพวกคุณนี่ จะโง่จะฉลาดอะไร ไม่กลัว อาตมาต้องการคนที่เห็นจริงเป็นจริง อย่างที่อาตมาว่านี่ จะเรียกว่าฉลาด จะเรียกโง่อะไรก็ อาตมาไม่สนใจทั้งนั้นแหละ ไม่งงๆล่ะ ให้มันรู้สภาวะจริง อารมณ์จริง ดำเนินไปจริง อย่างนี้เรียกว่าสุคโต สัมมัคคโตได้ไหม อย่างที่เราทำอยู่ แต่ก่อนนี้ สุคโตจริงหรือเปล่า เกิดบุญ เกิดกุศล เป็นทางสวรรค์จริงไหม ทางสวรรค์คือ ยังไง ใช้ญาณปัญญาตรวจสอบ อาตมากำลังเห็นว่า เออ! เรากำลังเดินไปนะ ครูสำรอง ครูเพ็ญศรี ลาออกมาจากงาน มาเอาหน้าดำ มันตากแดด เอ้า! บุก ลุย ทำกัน เสร็จแล้ว ก็ทำกันมาก็มีมรรค มีผลผลิต มีอะไรขี้นมาก็ โอ้! ดี มีปีติ ทำกันไป เขาจะมาซื้อของบอกว่า แหม! ซื้อ เราก็ไม่ขาย ก็อยากได้ล่ะ จะซื้อไปกินน่ะ อ๋อ! จะซื้อไปกินเหรอ เอาไปเลย ตัดให้ไปกิน คุณทำทำไม อย่างนั้นน่ะ ถ้าเป็นแต่ก่อนเป็นยังไง อยากซื้อเหรอ เอาซิ ราคาตลาดเท่าไหร่ ดีไม่ดี บอกว่าของฉันดีนะ ฉันไม่ใส่ยา เป็นของที่ไม่มีธาตุพิษน่ะ ของเขาขายลูกละ ๕ บาท ๑๐ บาท ฉันต้องขายลูกละ ๒๐, ๓๐ นะ ซื้อไหม ถ้าเป็นเมื่อก่อน จะเป็นอย่างนั้น ใช่ไหม ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ ทำไมมันให้ได้ง่ายๆ เราเหนื่อยนะ เราทำนี่ เราเหนื่อยนะ ลงทุนลงแรงนะ คุณทำถูกหรือคุณทำผิด มันเป็นทางสวรรค์ หรือมันเป็นทางนรก ตรวจตรา อาตมาพามาทำอย่างนี้น่ะ แล้วคุณก็ทำอย่างนี้ อาตมาก็ชื่นใจ เออ! ทำกันเถอะ เสียสละ สร้างสรรไป เกื้อกูล ได้ช่วยเหลือผู้อื่น เมตตา ช่วยเหลือเผื่อแผ่กันไปอย่างนี้น่ะ ไม่ใช่พูดแต่ปาก ไม่ใช่พูดแต่ปรัชญาสุภาษิตสวยๆ คำสอนหรูๆ แต่คนทำไม่ได้ ไม่มีคนทำเลย ไม่มีคนพากเพียรจะทำเลย ทำให้มันสูงขึ้นไปให้มันเป็นระบบ ให้มันเป็นคนกลุ่ม มันเป็นสังคม ที่ทำอย่างนี้ มีวัฒนธรรมอย่างนี้ ทำอย่างนี้กัน จนกระทั่ง ลูกหลานรุ่นต่อๆมา เกิดมา ก็เกิดมาพบจิตวิญญาณอย่างนี้ วัฒนธรรมอย่างนี้ แล้วก็สืบทอดวัฒนธรรมอย่างนี้กันไป ทำให้มันได้เป็นอย่างนั้น ตอนนี้เราปลูกฝัง ปลูกให้มันแน่นหนา ให้มันมั่นคง ตรวจว่าเราทำผิด หรือว่าเราทำถูก ถ้าเราทำถูก ทำเข้าไป ทำเข้าไปให้มั่นคงถาวร พิสูจน์เข้าไป เสร็จแล้ว รุ่นลูกรุ่นหลานรุ่นไหนเขาเข้ามา รุ่นน้อง รุ่นเหลน รุ่นอะไร เขาเข้ามาอีก มาเห็น มารู้ มารับสืบทอดกันไป เด็กรุ่นหลังๆเกิดมา ก็มาพบแต่แบบนี้ อยู่ในวงพวกเราขึ้นมา มีวัฒนธรรมอย่างนี้ สังคมพวกเราก็เป็นอย่างนี้ เกิดมาก็มารู้อย่างนี้จริงๆ มันเป็นวัฒนธรรม ที่ให้สืบทอดเลย มันถึงจะยืนยัน มั่นคงไปอีก ไม่แปรปรวนได้ง่ายๆ ถ้าแน่ต้องสร้างให้มั่นคง ทำให้มั่นคง ทำให้ยืนหยัด ยืนยันถาวรไป ให้เที่ยงแท้โน่นแหละ แต่มันไม่เที่ยงแท้หรอก มันจะเที่ยงแท้ก็เพราะว่า เรารังสรรค์มันไว้เรื่อย บูรณะมันไว้เรื่อย มันจะเสื่อม บูรณะมันเรื่อยๆๆ ถ้าเราเสริมบูรณะอยู่เรื่อยๆ มันก็เสื่อมช้า ไม่มีอะไรไม่เสื่อม เสื่อม แต่มันก็เสื่อมช้า มันจะมีขบถมาเมื่อไหร่ ก็พยายามขจัดขบถ อย่าให้มาเปลี่ยนแปลง อย่าให้มาแปรปรวน ทำไป มันจะมีตัวแปร มันจะมีตัวทำให้เสื่อมอยู่นั่นแหละ เราก็ทำไว้ พยายามอย่าให้มันเสื่อม ตอนนี้อย่าว่าจะให้มันเสื่อมเลย รังสรรค์ยังไม่แข็งแรง ยังไม่เป็นระบบที่มั่นคงด้วยซ้ำ แต่เราจะทำๆ เราจะปลูกฝัง ถ้าเราได้ทำการเกษตรนี่ให้มั่นคง ผลิตสิ่งที่เป็นปัจจัย ๔ ของเรา อาศัยเอง มีอัตตา หิ อัตตโน นาโถ เกื้อกูล เผื่อแผ่ เลี้ยงพวกเรา กันเองได้อย่างสบาย เห็นเงินเป็นของไม่มีค่าอะไร แจกจ่ายกัน อยู่ๆกินๆ ในครอบครัว อันใหญ่ เป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นบริษัทใหญ่ เป็นบริษัทเดียว เผื่อแผ่กันได้ทั่วถึงกัน มาเน้น ดูซิ ศาสนาเป็นอย่างนี้ ใครไม่เชื่อ เขาบอกว่าศาสนาต้องไปนั่งหลับตาโน้น ต้องไปเอาเรื่องของจิตโน่น ที่คุณกำลังทำนี่ ก็ไม่ใช่เรื่องของจิตเหรอ ที่กำลังพาทำนี่ ที่บอกว่าเผื่อแผ่ เอื้อเฟื้อเจือจานนี่ มันไม่ใช่เรื่องของจิตเหรอ ไม่ใช่เรื่องของการลดความโลภ ความเห็นแก่ตัวเหรอ ไม่ใช่การลดความขี้เหนียวขี้หวงเหรอ ไปนั่งแต่สะกดจิตอยู่นั่นแหละ แล้วมันลดอะไร แล้วมันสร้างอะไรมาพิสูจน์ ว่ามันหมดหวงแหนอะไรกันนักกันหนา แล้วมันได้เกื้อกูลอะไร เป็นหิตประโยชน์ผู้อื่นนัก มันเป็นโลกานุกัมปายะแบบไหน นี่มันเป็นโลกานุกัมปายะเห็นๆนี่ พิสูจน์ให้ได้ ถ้ามนุษย์ทำไม่ได้ มันไม่มีใครทำได้หรอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้มา ท่านก็เป็นมนุษย์ แล้วท่านให้ลูกศิษย์ทำมา ตั้งแต่เริ่มๆต้น จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ๒๕๓๓ ปี หลังจากที่พระพุทธเจ้า ท่านปรินิพพานไปแล้วนี่ ท่านก็ให้ทำอย่างนี้นี่ อย่างที่อาตมาว่า อาตมากล่าวนี่ อาตมายืนยันว่า อาตมาไม่ได้พูดผิด อาตมาแน่ใจว่า อาตมาพูดถูก วันนี้ ท่ามกลางมาฆฤกษ์ มาฆบูชาปุณณมี อาตมาก็ขอยืนยันว่า อาตมากล่าวสิ่งที่พระพุทธเจ้า ท่านมีพระประสงค์ มีพุทธประสงค์จะให้มนุษย์เป็น ขอย้ำยืนยันกับพวกเราว่า อาตมามีความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรแฝง เชื่อแน่ว่า พระพุทธเจ้าท่านปรารถนา ประสงค์ให้เป็นอย่างนี้ ให้มนุษย์ประเสริฐอย่างนี้ ให้มนุษย์เป็นอยู่ด้วยความเป็นอยู่สุข เป็นประโยชน์ตน และเป็นประโยชน์ท่าน อย่างนี้ ซึ่งเราจะมีวิธีการ ที่พยายามที่จะพัฒนาพวกเรา ซึ่งมันมีกิเลส ก็จะลดล้างกิเลส ลดล้างพฤติกรรมที่มันไม่เป็นกุศล พฤติกรรมที่มันไม่เป็นสุจริต มันไม่ดีไม่งาม ลดล้างมัน ให้มันมีสุจริต ให้มันมีกุศลให้สมบูรณ์ แข็งแรง มั่นคง เป็นระบบระเบียบ เป็นความจริงให้มันเกิด ตราบที่อาตมายังไม่ตาย อาตมาก็จะพาทำไปอย่างนี้ แล้วมันจะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ บอกแล้วว่า อาตมาจะไม่เป็นคนที่จะมานั่งพูดโครงร่างโครงสร้าง มีแผน มีโครงการอะไรเอาไว้ จะต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ จะเป็นรูปเป็นร่าง วาดหวานไว้ไกลเกินไป ไม่ พูดนำคร่าวๆ นิดๆหน่อยๆ พอถึงบทไหน ก็ เอ้า! บทนี้เดิม มีเหตุปัจจัยมาบทนี้ ทำต่อ พออันนี้เกิดเผยอแง้มขึ้นมา รับได้ รับทำขึ้น แง้มออกมาก็เปิดเลย ทำต่อ ไปเป็นจังหวะๆ ไปเป็นขั้นๆๆๆ ตามเหตุปัจจัยที่มีจริงขึ้นมาให้เราทำ ไม่ไปหลงเพ้อกับความนึกคิด โครงการ โครงสร้างล่วงหน้าล่วงตาอะไรไปไกล ไม่เอา อาตมาไม่เอาอย่างนั้น พาท อย่างที่ทำมานี่แหละ นานมาแล้ว หลายปีมาแล้ว ก็ไปเรื่อยๆ แล้วเราเห็นความเจริญ มันเจริญขึ้นมาเรื่อยๆ อาตมาไม่ได้วิเคราะห์ ให้พวกเราฟัง เรื่องเกษตรทุกวันนี้ก็ตาม มันเป็นเกษตรล้มเหลวอย่างไร การค้า การขายทุกวันนี้ก็ตาม มันเป็นการค้าการขายที่ล้มเหลวอย่างไร แม้ปัจจัย ๔ เสื้อผ้าหน้าแพร มันพาล้มเหลวอย่างไร ที่อยู่ที่พักที่อาศัย บ้านช่อง เรือนชาน มันพาล้มเหลวกันอย่างไร มันลึกซึ้งนะ เพราะฉะนั้น อาตมาก็ไม่ต้องไปอธิบายอะไรมาก่อนก็ได้ พวกคุณก็พอรู้ๆเลาๆอยู่แล้ว ก็พากันมานี่แหละ ที่อาศัย บ้านช่องเรือนชาน ที่อยู่อาศัย ก็อยู่กันอย่างนี้แหละ หนักเข้ารุกขมูล โคนไม้ นอนดินนอนหญ้าให้ได้ อย่างนี้นะ เสื้อผ้าหน้าแพรก็มักน้อยสันโดษ มานุ่งผ้า ใส่ผ้าบังสุกุล ผ้าเก่าๆ มอซอ คลุกขี้ฝุ่น บังสกุละนี่ แปลว่าคลุกขี้ฝุ่น เรียกว่า ขยะ ของที่เขาทิ้ง ของที่คลุกขี้ฝุ่นแล้ว เสื้อผ้าก็เหมือนกับของคลุกขี้ฝุ่น ของขยะ อย่างนี้ แล้วนี่แหละ นี่มีหลักฐานยืนยันว่า อาตมาไม่ได้พูดเอาเอง ก็รู้อยู่ พระพุทธเจ้าท่านตรัส เราก็มีแนวโน้มมาอย่างนี้ เราทำ เราพิสูจน์ เราไม่ได้ทำนอกรีตอะไร แต่ถ้าเราจะมีเสื้อผ้าหน้าแพรดีขึ้นในอนาคต อนุโลมขึ้นมาบ้าง ถ้าเราอุดมสมบูรณ์เพียงพอ มีวงการผลิตที่ดีจริงๆ ไม่เดือดร้อน ในวงเศรษฐกิจของเราดี อาจจะดีขึ้นมาบ้าง แต่ใครยังจะปฏิบัติตน ที่จะมีบทบาทเป็นผู้นุ่งผ้าคลุกขี้ฝุ่น ผ้าบังสุกุลอยู่อีก โดยเฉพาะเป็นสมณะ เป็นตัวหลัก ยืนหยัดยืนยันปฏิบัติตน นุ่งผ้าปะผ้าชุน นุ่งผ้าคลุกขี้ฝุ่น เย็บเอง ทำเองอะไร มันมักน้อย ให้มันมักน้อยจริงๆ เป็นผู้ที่สังวรระวัง ประหยัด ให้เห็นชัดๆอยู่ จะยืนหยัดยืนยัน ตัวอย่าง อย่างนั้นอยู่ เชิญ นิมนต์ ทำอยู่เลย แต่จะอนุโลมไปบ้าง สำหรับพวกที่เขาอยู่ในฐานที่ว่า เออ! เอาล่ะ เขาจะใส่เสื้อผ้าหน้าแพรมากชิ้น ไม่ถึงขั้นคลุกขี้ฝุ่นอะไร จะอนุโลมขึ้นมาบ้าง เราก็ไม่มีปัญหา ถ้าเราอุดมสมบูรณ์ ไม่มีช่องว่าง ไม่มีอะไรที่จะต้องเดือดร้อน กระเบียดกระเสียน เป็นทุกข์เป็นภัย วุ่นวายอะไรมากมายนัก เราก็ทำ บ้านเรือนจะใหญ่ขึ้นกว่าที่มันเป็นกระต๊อบ อยู่อย่างทุกวันนี้ พอสมควร แต่ไม่ถึงกับเป็นภาระ เราก็ไม่มีปัญหา เราจะมีสิ่งสร้างส่วนกลาง จะสร้างสถาปัตยกรรมบางสิ่งบางอย่าง ให้เห็นว่าหรูหราฟู่ฟ่า ใช้ความสามารถ ใช้ทุนรอน ใช้วัตถุ ที่เราก็ไม่ใช่เป็นคนกระจอกยากจนอะไร ไม่เป็นของส่วนตัว เป็นของของกลาง เราจะพึงทำได้เหมือนกัน เราจะพิสูจน์ได้เหมือนกัน ระบบการขนย้ายถ่ายเท การเอาออกไปเผื่อแผ่กัน ที่เรียกว่าการค้าการขาย ที่จริงก็คือการแจกจ่าย การจำหน่ายแจกจ่าย แก่กันและกันนั่นเอง มันก็จะเป็นระบบอย่างพวกเราที่พาทำ มันจะเป็นเนื้อหาของเศรษฐกิจอย่างไรๆ มันจะมีๆ มันจะเกิด ทุกวันนี้ก็พยายาม อาตมาก็พยายามดูแล ปรับทิศทางให้มันเกิด เรียกว่าจะเป็นการจำหน่ายจ่ายแจก ที่เรียกว่าการค้า เอ้า! ตอนนี้ก็การผลิต ก็พยายามดู ควบคุมดูแลว่า เอ้า! ให้มันเข้าร่องเข้ารอย การผลิตให้มันดีๆ สร้างนักบริหาร พยายามฝึก ฝึกๆ หัดๆ การบริหาร เสียสละจริงๆ ที่จริงนักบริหารนี่เป็นอนาคาริก แล้วก็สมบูรณ์ ไม่ใช่อยู่อย่างฆราวาส บริหารได้ ลองดู ลองสังเกตคุณจำลอง ทุกวันนี้ คล้ายๆกับอนาคาริก บ้านตัวเองจะอยู่สักหลังหนึ่งก็ไม่มีนะๆ แต่มีคนให้ เห็นไหม ตามที่ว่า มีคนมาเสนอให้ ตั้งไม่รู้กี่หลัง ให้มันจริงเถอะน่ะ มนุษย์ ไม่ต้องไปสะสมหรอก แต่ระวังนะ คุณยังไม่มีบุญพอ บารมีพอ ทำไปแอ๊คอย่างนี้ไม่ได้นะ ไฟแรงแล้วก็ทิ้งพรวดทิ้งพราด ทำอะไรข้ามขั้น ไม่ได้ แต่เมื่อมันมีเหตุปัจจัยที่ครบ มีบุญบารมีที่ครบ มันไม่อดไม่อยากหรอก มันจะเป็นไปเอง มันจะเป็นไปจริง อาตมาว่าในอนาคต พวกเรานี่จะมีตัวจริง นี่ไม่ได้พยากรณ์อีกนะ ถ้ามันเป็นไปโดยจริงแล้ว มันจะมีตัวจริง ยิ่งกว่าคุณจำลองอีก เป็นอนาคาริกยิ่งกว่าคุณจำลอง เป็นนักบริหาร อย่างลักษณะของคุณจำลองนี่ ถือว่า เป็นนักบริหาร ในวรรณะกษัตริย์นี่ อาตมาเรียกว่านักบริหาร บอกแล้วว่า กษัตริย์นี่ไม่ใช่เป็นนักรบ ที่จริงเป็นนักเกษตรด้วยซ้ำไป บอกแล้ว กษัตริย์มาจากคำว่า เกษตร กษัตริย์นี่ หรือขัตติยะนี่ มันมาจากเขต หรือ เกษตร เอาล่ะ อาตมาก็ว่าไป ทางเปรียญธรรม ท่านจะว่าอาตมาก็ว่า อาตมาไม่มีปัญหาอะไร จริงๆ มันไม่ได้หมายความ แคบๆตื้นๆ แต่ว่าเป็นนักรบ ไอ้นั่นมันแปลเอาความ มันแปลเอาสภาพเฉยๆ ในกาละยุคหนึ่ง มันก็เป็นอย่างนั้น หมายถึงอันนั้น แต่ในความลึกซึ้ง ในความสมบูรณ์ครบพร้อมแล้ว มันไม่ได้หมายตื้นๆแค่นั้น มันมีมากกว่านั้น มันเป็นคุณลักษณะของนักบริหาร มีความรู้ทางด้านสร้างสรร ในด้านเกษตร ในด้านควบคุมป้องกัน ปกป้อง ดูแล ตัดสิน ครบทั้งนั้นแหละ นักบริหารนี่ครบหมด เป็นทั้งนักรบ เป็นทั้งตุลาการ เป็นทั้งนักนิติการ เป็นนักอะไรทั้งหมด จะว่ากันแล้ว ก็มีความรู้ด้วยทางด้านเศรษฐกิจ มีความรู้ทาง ด้านรัฐกิจ มีความรู้ทางด้านสังคม มีความรู้ทางด้านทั้งพาณิชย์ ทั้งการอะไรแล้วแต่ แม้แต่ต่างประเทศ แม้แต่อะไรต่ออะไรน่ะ เหมือนกัน บริหารประเทศชาติอยู่นี่แหละทั้งหมด อยู่ในสภาพอนาคาริก ได้จริงๆเลย ถ้าเผื่อว่าระบบมันสมบูรณ์น่ะ มันเป็นไป มันจะเป็นอย่างนั้น นี่ก็พูดนำหน้าเอาไว้ให้ฟังคร่าวๆ แต่ก็ไม่ได้ระบุรายละเอียด แล้วก็หวังไว้ว่า จะต้องเราเป็น แต่ก็เรานี่แหละจะไปเป็น แต่ว่าไปนี่ มันอาจจะนานก็ได้ ตายไปแล้วอีกกี่ชั่วอายุคนก็ตาม ปลูกฝังสิ่งนี้ตามทฤษฎี ตามหลักเกณฑ์หลักการ เหตุปัจจัยนี้ มีเป็นทุนรอน เชื้อนี้ เผ่านี้ พันธุ์นี้ มันจะไปของมันเอง ทฤษฎีหลักๆ ที่มีคุณภาพ มีฤทธิ์มีแรง มันจะนำพาทฤษฎีหลักมีแรง มันจะนำพา ไปสู่สภาพที่ขยายอัตราการก้าวหน้า ไปสู่ความสมบูรณ์ได้เอง ขอให้มีฤทธิ์แรง ให้มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพที่เพียงพอก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น เราต้องปลูกฝัง เราต้องลงมือทำ ต้องสร้างสรร ในวันนี้ อาตมาก็ย้ำยืนยัน ในวันมาฆฤกษ์ ในวันสำคัญ พวกคุณมาฟัง ตั้งใจรวมกันมาฟัง บอกแล้วว่า มันจะเป็นนิมิตอันหนึ่ง ที่มีความเพิ่มขึ้นได้ มันน่าจะลด แต่มันก็เพิ่ม อาตมาแน่ใจว่า คุณมาฟังวันนี้ มาฆบูชา งานปลุกเสกฯวันนี้ และถ้าแม้ว่ามันเป็นวันหลังๆ อย่างนี้แล้ว วันอื่นๆ มาฆบูชา จะไม่ได้อย่างวันนี้ วันนี้ได้ มีมากได้ มันเป็นอย่างนี้ได้ มันก็เป็นเหตุปัจจัยของมัน ตามสัจจะ อะไรมันเกิดได้ขนาดไหน ก็ตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรื่องฟลุกๆ ไม่ใช่เรื่องไปทำเล่นๆหัวๆ แล้วก็เกิดเอง เป็นได้เอง อย่างฟลุกๆเล่นๆ ไม่ใช่ มันเกิดได้ เป็นจริงตามจริงของมัน เพราะเหตุปัจจัยมันมี ซึ่งเป็นอจินไตย กล่าวยาก หยิบมาอธิบายหยิบมายืนยันได้ยาก หลายอย่าง อาตมาเป็นนามธรรม เอามาพูดไม่ได้ หลายอย่างอาตมาไม่รู้ด้วยซ้ำ ยังไม่มีภูมิปัญญา ที่ไปเก็บข้อมูล ไปเก็บเหตุปัจจัยเหล่านั้น มายืนยันกับพวกคุณได้ เพราะยังไม่มีญาณสูงส่งปานนั้น มีอยู่ แต่เท่าที่พอมี พอหยิบมาพูดได้ตามกาละ ตามโอกาส ก็เอามาบอก เอามายืนยันกับพวกเรา การก้าวหน้าของความเป็นไป ของความเป็นอยู่ ของชีวิตในชาวอโศกเรา มีหลักฐาน มีความเป็นไป มีความเป็นอยู่ ที่ยืนยันแล้ว เกิดแล้ว มีสภาพมีตัวมีตน เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าวันนี้ก็ดี ได้ฟังธรรมแล้วก็ตรวจสอบ ตามสภาพจริงที่เราเกิดเป็นมาแล้ว แล้วก็ลองดูซิ วินิจฉัยดู วินิจฉัยดูซิว่ามันดีไหม มันดีจริงไหม ถ้าดีจริง จงอุตสาหะเพิ่มขึ้น เพื่ออะไร จะบอกว่าเพื่อความชนะ ก็ใช่ เราจะชนะด้วยการสร้างคุณธรรมความจริง ให้ออกมาเป็นความจริง เราไม่ได้ไปชนะด้วยคารมโวหาร การโต้การเถียง การต่อสู้อะไรด้วยวิธีกล เชิงกล อย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ ไม่ไปนั่งทำให้มันเมื่อย สร้างเชิงกลอย่างนั้นอย่างนี้ วิธีการเหมือนเขาเล่นการเมือง เหมือนเขาเล่นอะไรกัน ไม่ ไม่มีแผน ไม่มีการวางแผนอะไร เล่นลูกซื่อนี่แหละ สร้างความจริง สร้างความดีขึ้นมาให้เต็มที่ ชนะหรือแพ้ก็ช่าง อยู่ตรงนี้ จบ จบอยู่ตรงนี้ล่ะ ถ้าจะชนะ ก็ชนะไอ้นี่ล่ะ ความจริง จนเขาจำนนนี่แหละ ถ้าความจริงนี้มันไม่มากพอ มันไม่ดีพอจนเขาเห็นได้ จนเขายอมจำนนได้ ก็แพ้ไปก่อน ผู้ที่ยังเห็นจริงว่า ควรจะบากบั่นต่อไปอีก สร้างต่อไปอีก อาตมาตายแล้ว รุ่นพวกเรา ต้นๆ นำหน้าไปก่อน ตายแล้ว พวกคุณรุ่นหลังทำต่อไปอีก ถ้าแน่ใจว่าควรจะสุคโต ควรจะสัมมัคคโต ควรจะดำเนินไปอย่างนี้ให้ดีต่อไปอีก ยิ่งๆๆขึ้น ก็ทำต่อไปเท่านั้นเอง ไม่มีทางเลือก ไม่มีทางอื่นดีกว่านี้ เพราะฉะนั้น ชนะกันด้วยโวหาร ชนะกันด้วยความเฉลียวฉลาด ชนะกันด้วยคารม ยิ่งเอาเล่ห์เอาเหลี่ยม เอาเชิงชั้น อะไรต่ออะไรมาชนะ ไม่ได้น่าปลื้มใจอะไร ไม่ได้เป็นสารัตถะสมบูรณ์อะไร ถ้าจะชนะ ก็ชนะด้วยความจริง ชนะด้วยเนื้อหาของชีวิต ชีวิตแท้ๆ ชีวิตความประเสริฐของมนุษย์นี่ ยืนยันพิสูจน์ ว่าเรามาทำอย่างนี้ ทฤษฎีอย่างนี้ เรามาอบรมฝึกฝนตน ปฏิบัติประพฤติตนไป เพราะทฤษฎีอย่างนี้ เราก็ได้อย่างนี้ ดำเนินไปอย่างนี้ ดีอย่างนี้ ถ้ามันดีก็ดีอย่างนี้ เราว่าดีนะ คุณจะว่าดีตามไหม เรามามักน้อยมาสันโดษ มาเลี้ยงง่ายกินง่าย มีศีลมีธรรม มีธูตะ มีศีลเคร่งได้ มีอาการที่น่าเลื่อมใส คืออาการที่ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง หรือมีการขัดเกลาโลภโกรธหลง ลงไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ ไม่สะสมล่ะ แต่ขยัน วิริยารัมภะ เป็นคนขยันหมั่นเพียร สร้างสรร เสร็จแล้วก็แจกจ่ายเจือจาน มีทาน มีบริจาค มีการเกื้อกูล เสียสละ ช่วยเหลืออยู่อย่างนี้ให้ยิ่งๆขึ้น ให้จริงจังขึ้น จริงใจขึ้น เพราะจิตใจไม่มีกิเลส มันก็ยิ่งจริงขึ้น ให้จริงๆ สละจริงๆ ไม่ต้องการอะไรตอบแทนล่ะ แต่คุณจะมีการตอบแทน หมุนเวียน มีกตัญญูกตเวทีตามโอกาส มันเรื่องของคุณ มีมาเราก็รับไป รับไปเราก็สร้างสรรต่อ เพราะเราไม่ได้ไปสะสมกักตุนอะไร มีอะไรจะระบายออก ก็ระบายไป พัฒนากันไป สร้างสรรออกไป ให้มันกระจาย เผื่อแผ่ให้ทั่วถึงกัน แล้วก็มีวิธี มีปัญญาที่จะให้คนอื่นมาเห็นตาม แล้วก็มาเป็นอย่างนี้ ตามไปเรื่อยๆ จะให้ก็ไม่ได้หมายความว่าให้ ให้เขาเลวลง จะทานก็ไม่ใช่ว่าทานแล้ว ให้คนได้รับ ส่วนทานนั้นเลวลง จะต้องพยายามมีปัญญา ทำทานก็ทำด้วยปัญญา ให้มันได้ประโยชน์ แล้วก็ให้มันได้การพัฒนา ประโยชน์ก็เกิด เขาก็พัฒนาด้วย ไอ้ที่มันไม่พัฒนาได้ มันจำนนไปก่อน ก็จำนนไปก่อน แต่ก็พยายามอยู่ ที่จะไม่ให้มันจำนน ก็พยายามให้เขาพัฒนาด้วย เจริญขึ้นด้วย มาเป็นคนอย่างที่เราว่า มันดีนี่ เราดีแล้วก็ให้คนอื่นเขามาดีอย่างที่เราเป็นนี่อีก ตามไปเรื่อยๆ เพิ่มพูนทวีขึ้นเรื่อยๆ สังคมพวกเราทุกวันนี้ไม่เล็กนัก มีรูปร่าง มีสภาพ มีกิจกรรม มีพฤติกรรม มีพิธีกรรม มีกรรมอันเห็นได้เป็นรูปธรรมพอสมควร เพราะฉะนั้น คนที่เขามีปัญญาพอสมควร เขามาเห็นมาสัมผัส ทุกวันนี้เขาถึงจำนนอยู่ เพราะเราทำอยู่นี่แหละ ใครจะมาแอบดู หรือไม่แอบดู ก็ไม่เป็นไร ยิ่งแอบดูยิ่งดี ที่จริงเราไม่มีปัญหาหรอก ไม่ต้องมาแอบดู มาดูตรงๆเลยก็ได้ แต่จะแอบก็แอบไป เราก็ไม่ถือสาอะไร ไม่ว่าอะไร เพราะว่ามันไม่มีอะไรน่าอาย จะมาแอบดูยังไง ก็แอบดูได้ ยินดีจะโป๊ให้ดู เรามีความจริงยังไงล่ะ เราก็ให้ดูทุกขุมขนน่ะ นี่ไม่ใช่ภาษาลามกนะ ฟังธรรมะให้เป็น เรามีอะไร เราก็แสดงโดยความซื่อสัตย์ จริงใจ มีบทบาท มีความเป็นอยู่ จะรังสรรค์ยังไง ให้มาดู พวกนี้อยู่กันเป็นหมู่ๆมวลๆ เขาอบรมอะไรกัน พูดอะไรกัน แนะนำอะไรกัน มีความฉลาดพอ จะฟังรู้เรื่องไหม แล้วเอาไปแปลความผิดละ เราทำอะไรกัน สร้างวัฒนธรรมอย่างไร กอปรก่ออะไรอย่างไร แยกย้ายกันไปแล้ว ก็จะไปทำอย่างไร แนะนำกันไว้ สั่งเสียกันไว้ แยกย้ายกันไปแล้ว ไปทำอย่างนั้นๆน่ะ ทำยังไง ติดตามได้ เป็นเรื่องสืบไม่ยากเลย อย่างพวกเรานะ เป็นเรื่องที่สืบไม่ยาก จะมาสอดแนม จะมาสืบเอาความจริงอะไร ไม่ยากเลย ไม่ยากจริงๆ และไม่ได้ปกปิดด้วย เพราะฉะนั้น คุณจะไปหวั่นอะไร เราไม่ปกปิด สิ่งที่เราเป็นเรามี ใครจะมาสืบ เขาก็ต้องได้ความจริงไป เพราะมันง่ายที่จะรู้ แล้วความจริงพวกนี้ อย่าว่าแต่ปกปิดเลย เราอยากให้รู้ อยากให้เห็นด้วยซ้ำไป ทำไมเขาจะไม่ได้ ทุกวันนี้มันไม่ค่อยมาเอาด้วยซ้ำ แต่กลเชิงที่มันเป็นอยู่นั่น มันจะต้องเป็นศัตรู เขาจะต้องอยากรู้แอบรู้อะไร อย่างที่ว่านี่ มันน่าชื่นใจ ที่เขาแอบมาดู เพราะจริงๆเราอยากให้เขาเห็น อยากให้เขามาดู อยากให้เขามารู้ เพราะเรามั่นใจว่า เรามีของดีให้เขาดู ให้เขาเห็น เพราะฉะนั้น เราถึงพร้อมเต็มที่ ที่จะโป๊ให้ดูเลย โป๊ให้ดูเลย จะไปปกปิดอะไร เรามีความจริงใจพอ เราแน่ใจพอว่า เราทำสิ่งที่จริงใจ ว่าเราดี ต้องการให้ดู ดีๆ ลึกๆ มีดีลึกๆ มีดีแท้ๆ มีดีมากขนาดไหน จะว่าอวด ว่าโอ่ ก็อยากอวดอยากโอ่ด้วยซ้ำ ทำไมคนไม่รู้จักของดีนะ แล้วมาใส่ความ มาว่า ใช่ไหม เราอยากบอก ถ้าจะว่าอยาก ที่อาตมาพูดนี่ ฟังๆดูเป็นเรื่องสัจจะที่คิดว่า ได้พยายามที่จะบอก ที่จะเปิดเผยให้เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็สรุปแล้วก็มีแต่ความจริง มีแต่ของจริงเท่านั้นแหละ ที่เราจะต้องเสริมสาน แล้วก็อุตสาหะ วิริยะ บากบั่น เพื่อที่จะเกิดทั้งตัวเรา และก็จะนำพาไปสู่ชัยชนะ ไม่ใช่อยากชนะน่ะ แต่มันควร เท่านั้นเอง แม้มันจะไม่ชนะ อาตมาก็บอกแล้วว่า ไม่ได้เสียใจ จริงๆ แม้จะไม่ชนะก็ไม่เสียใจ ความดีควรจะชนะความชั่ว ด้วยสัจจะ ถ้าเราแน่ใจว่าเราดี มันก็พูดในสิ่งที่ควรเท่านั้นเอง สำหรับวันนี้นี่ ฟังแล้วก็ขอให้พวกเราได้สังวรเพิ่มขึ้น ทำเพิ่มขึ้น อะไรๆนี่ มันมาให้เรานี่ ก็มีความรู้สึกอยู่ว่า เอ๊! ทำไมนะ เราประพฤติกันไป เราทำกันไป ไปอยู่กับพวกอโศกนี่ ยิ่งมีงานมากขึ้น อย่าสงสัยเลย เป็นความจริง งานจะมากขึ้น เพราะนั่นคือบุญ นั่นคือกุศล งานจะมากขึ้น เพราะเราจะเกื้อกูลคนในโลก ที่เขาเอง เขาไม่พยายามเกื้อกูลออกมา มีแต่พยายามที่จะทำให้มันพร่อง ให้มันสูญเสีย ให้มันขาดแคลน แล้วทำไมจะไม่ใช่หน้าที่ของเรา ที่จะต้องไปอุดหนุนอุปัฏฐากอุปถัมภ์ อนุเคราะห์ช่วยเหลือเขาอยู่เล่า แล้วมันไม่เป็นบุญเหรอ ทำไมไม่อยากทำล่ะ มันก็เป็นบุญ ใช่ไหม มันก็ต้องอยากทำ บากบั่นเข้า ถ้ามันเร็ว มันก็ยิ่งจะทันกาล ความชนะก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ถ้ามันช้า เหตุการณ์มันก็ไปอยู่เรื่อยๆ เขาก็ไม่เห็นความจริง แต่ถ้าความจริงมันโต มันชัด ผู้ที่กำลังมอง ผู้ที่กำลังหาหลักฐานข้อมูล จะตัดสินให้เราชนะหรือแพ้ ถ้าเรามีสิ่งเหล่านั้นออกไปจริง มันก็ช่วยให้เราชนะได้ บอกแล้วว่า ไม่ได้อยากชนะหรอก แต่ว่ามันต้องควรชนะ ถ้าเราแน่ใจว่าสิ่งดี สิ่งดีควรชนะสิ่งชั่ว ก็เท่านั้นเอง ก็ได้สาธยายมาพอสมควรแก่เวลานะ ก็คิดว่าพวกเราได้เข้าใจว่า ที่เราได้ดำเนินกันอะไรต่ออะไรกันมานี่ ว่ามันเป็นอย่างไร แค่ไหน ก็ขอจบด้วยประโยคว่า ผู้เชี่ยวชาญ คือผู้ที่ทำสิ่งที่ตนทำยังไม่ได้จนได้ เอวัง ถอดโดย
นายทองอ่อน จันทร์อินทร์ ๒๖ พ.ค. ๓๓ |