สุดโต่งโกงธรรมชาติ หน้า ๒ โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องคำนึง อาตมาดูเกมอยู่ ดูแลอยู่ อะไรต่ออะไรอยู่ อะไรมันขาด อาตมาก็เติม อะไรมันเกินไป อาตมาก็ระงับ ขณะนี้ พวกเราก็ตั้งใจ คนทำน่ะ อาตมาต้องการมากกว่า เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า อาตมาไม่ค่อยห้ามคนทำ คนทำ จะทำผิดทำเกินมั่ง อาตมาไม่ค่อยห้าม เพราะมันน้อย ปริมาณคนสร้างคนทำ มันน้อย จะผิด จะเกินมาก ก็ต้องให้กำลังใจกัน ส่วนคนขี้เกียจ อาตมาเข่นมาก คนที่ไม่ดุนไม่เข็น เข็นไม่ขึ้นนี่ เข่นมาก ว่ามาก มีความผิดอะไร ก็เล่นกับคนที่ขี้เกียจให้มาก คนที่หยุดเกินไป นี่มาก ส่วนคนที่ขยันหมั่นเพียรนั้น ทำไอ้โน่นมากไป เกินไป อะไรต่ออะไรต่างๆนานา อาตมาไม่ว่า แม้จะมีมานะอะไรบ้าง อาตมาก็อนุโลมให้ นี่บอกให้ทราบนะว่า นโยบายของอาตมา ทำอะไร ยังไง เข้าใจ เพราะฉะนั้น คุณสังเกตเอาก็แล้วกัน ว่าทำไมเข้าข้างคนนั้นคนนี้ คนเขาทำไอ้นั่นไอ้นี่มากระทบกระเทือน พวกนั้นพวกนี้ เอาเถอะ อาตมายอมให้ ทำก่อน พวกคุณสิไม่ทำ มันจะยิ่งแย่ ตอนนี้เราต้องการแรงงาน คนที่จะเข้ามาทำนี่ มันไม่เหมือนโลกทุนนิยม ทุนนิยมเขาเอาเงินจ้าง เอาเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องการ ไม่พอใจ เขาก็ซื้อคนได้ ของเรา ซื้อได้ที่ไหนล่ะ อิสรเสรีภาพ คุณจะมาคุณก็ยอมมาเสียสละเอง จะมาเป็นวัวงาน จะมาเป็นผู้รับใช้ คุณก็พอใจว่าคุณรู้จักบุญ รู้จักกุศลของคุณเอง คุณมาทำด้วยความสมัครใจ คุณไม่พอใจ คุณก็ไปได้ ไม่ใช่ไล่นะ เราไม่ได้มีการันตี ไม่ได้มีผูกยึดอะไรกันเอาไว้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น คุณจะทำ ก็ทำด้วยความเต็มใจ จะทำก็ทำด้วยตัวเอง เป็นคนที่จะเข็นเอง ที่พูดนี่ พูดก็พูดเพื่อให้มันปลุกเร้า ให้มันเข้าใจชัดเจน ส่วนคุณจะไปขยัน อาตมาพูดแล้ว อาตมาจะไปบีบบี้ ไปไล่เอา อาตมาก็ไปไล่ไม่ได้ ถ้าคุณไม่ทำ ตะโกนโหวกเหวก เอ้า! ตอนนี้ต้องการแรงงาน คุณไม่วิ่งมา ก็ไม่มีทางที่จะเอาไม้เรียว ไปเฆี่ยนกันมาเมื่อไหร่ ไม่หรอก คุณไม่มา ก็ไม่มา คนมาก็ทำกันไป คนทำก็ได้บุญไป คนไม่ทำ ก็เท่านั้นเอง เขาไม่มาก็ไม่มา จะไปบังคับกันได้ยังไง ขนาดพวกเรานี่ศึกษาแล้ว ลดละความเห็นแก่ตัวแล้ว พยายามมีความขยันขวนขวายกันแล้ว ดีน่ะ ต่างคนต่างทำ ขยันหมั่นเพียร คนนั้น คนนี้ เสร็จแล้วก็ดูแล้ว โอ้โห! โรงเห็ดฟางนี่ ผู้รับผิดชอบคือปะสุรศักดิ์ โอ้โห! อาตมา ไปดูเมื่อเช้านี้ บอก มันยังขยายได้อีกนะ แต่ดูแล้วก็ มีใครทำมั่ง สุรศักดิ์ ไปเช็ดพื้น ไปจนกระทั่งเก็บกวาด ทำกระทั่งลงมือปรุง จนกระทั่งถึงเวลาเก็บดอก แล้วค่อยไปมั่ง มีคนไปช่วยเก็บดอก ไอ้ตอนทำ ตอนสร้าง ตอนที่กำลังหมัก กำลังดอง กำลังเหม็นๆนี่ อย่างบางอัน ก็ต้องห้ามกล่าว กล่าวไม่ได้ พวกคุณฟังไว้แค่นี้ก็แล้วกัน ทุกวันนี้มันแปรปรวน มันกลับตาลปัตร กันไปหมดแล้ว ศาสนามันเสื่อม ศาสนามันต่ำ อำนาจโลกมันครอบครอง มันก็ไปกันใหญ่ เรากระทบอยู่ ทุกวันนี้ เรารับวิบาก อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะความผิดเพี้ยนที่มันผิดเพี้ยนสัจจะ กลับหัวกลับหาง เราจึงได้รับความกระทบกระเทือนอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะเขาเข้าใจผิดกัน เขาไม่เข้าใจสมณะ เขาไม่เข้าใจพระ เขาไม่เข้าใจของจริง แล้วก็ไปหลงเป็นพรรคเป็นหมู่เป็นพวกอยู่กับทางฆราวาส ฮั้วกัน เข้าหมู่เข้ากล โอ๊ย! ไม่ค่อยมีใครจะเอาหรอกอย่างนี้ แล้วมีคนอยู่ไม่เท่าไหร่ ทั้งๆที่มันก็เป็นความดี ความต้องการของสังคมอยู่ด้วยซ้ำ ยังไม่ขาด ตลาดของเรามีมากมายเลย ทุกวันนี้ มันน่าแปลก พวกเรานี่ อย่างบอกว่า ร้านมังสวิรัติ อ้วน วิมล บอก โอ๊ย! ปีหน้าคงต้องได้หยุด แล้วค่ะ ไปไม่ไหวแล้ว ทำไม ไม่มีแรงงานทำต่อ มันมากเกินไป มัน โอ้โห! คนอุดหนุนมากไป จะต้องหยุด มันเป็นอย่างนี้ มันตลกไหม เออ! มันขายไม่ออก มันค้าไม่ขึ้นนะ แล้วก็ต้องหยุด เราก็ไม่ว่าอะไร นี่มันขายดี แล้วต้องหยุด เพราะไม่มีแรงงานทำแล้ว หมด หมดแรง มันทำไม่ไหว โอ้โห! ขายวัน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เลยหมดแรงจะทำแล้ว หมดแรง เลย ขาดแรง ทำไม่รอด ตลกไหม พวกเรานี่ตลก ไม่ใช่หางานไม่ได้ ไม่ใช่ ไม่ใช่ไม่มีการพัฒนา ไม่ใช่ไม่มีความเจริญ เจริญ แต่ต้องหยุด หยุดเพราะว่ามันเจริญเกินไปแล้ว ทำกับมันไม่ไหว ทุกอย่างตอนนี้คนกำลังมองเรา กิจการด้านการค้า เราก็กำลังปลูกฝังให้มันเป็นแบบ ระบบบุญนิยม พาณิชย์อย่างบุญนิยม การศึกษา โรงเรียน อาตมาขำที่สุด โรงเรียนเราเพิ่งเกิด ทำกันให้เป็น กิจจะลักษณะ อาตมาก็ถือว่า ที่ศีรษะอโศกที่ทำนี่ เปิดโรงเรียนนอกระบบขึ้นมา แต่เขาเรียน มาจากประถมแล้ว ประถมที่ภาคบังคับจบแล้ว เพราะฉะนั้น มัธยมเราจะไปเรียนกันเอง สอนกันเอง เอาหลักสูตรมา เราตั้งใจว่าจะสอน มัธยมต้นมัน ๓ ปี มัธยมปลายอีก ๓ ปี เราตั้งใจจะสอนเด็กของเรา ๒ ปี แล้วไปสอบกับเขา ให้ได้มา ให้ได้เลยตามที่เขาสอบ ตามหลักสูตรของรัฐบาลนี่แหละ มัธยมต้นเขาเรียน ๓ เราบอกว่าเราเรียนสัก ๒ ปี แล้วเราจะไปสอบเอามาเลย มัธยมปลายก็อีก ๒ ปี แล้วเราก็เรียน อย่างระบบการศึกษา ของพวกเรา ว่าเรียนแล้วสร้างสรรได้ เรียนแล้วมีศีลธรรม เรียนแล้วเป็นคนดี เป็นทรัพยากรของประเทศที่ดี สอนเด็กให้เป็นอย่างนี้ เราเข้าใจการศึกษาว่า การศึกษาสอน อย่างโลกมันล้มเหลวแล้ว เราก็จะตั้งขึ้นมาทำ ก็เลยคัดคน พ่อแม่ของเขา ยอมให้เด็กมา อย่างนี้ ไม่มีนะ ประกาศนียบัตร จะมีก็ไปสอบเอาได้ ถ้าไม่ได้ก็แล้วไป ไม่มี ไม่ได้มาการันตีว่า จะต้องนั่น เออ! เด็กเอา ข้อสำคัญคือเด็กนี่แกต้องชอบ แกต้องเอา เพราะจะต้องมาขยัน ต้องมาเรียนรู้ จะต้องรู้แล้ว จะต้องมา คัดเด็กได้เรียนมัธยม ๒๐ คน ครูพวกเราก็เป็นครูจริงๆ กันก็ตั้งเยอะตั้งแยะ สอนได้ เด็ก ๒๐ คน มีครู ๑๔ ถ้าสอนให้ เด็กไม่ได้เกียรตินิยม ก็เอาหัวไปจิ้มขี้ตายซะครู เด็ก ๒๐ ครู ๑๔ คนนี่ สอนยังไงกัน สอนเด็กไม่เจริญได้ เป็นยังไง ที่อื่นเขาทำไม่ได้หรอก เขาจะสร้างโรงเรียน มีเด็ก ๒๐ คน แล้วครู ๑๔ เขาจะเอาเงินที่ไหนมาจ้างครู แต่ของเรามันครูฟรีนี่ มันก็สอนได้น่ะซี ใช่ไหม ยังแถมมี ครูจร จรมาสอนให้ ติวให้พิเศษอีก นอกจากครูที่ว่านี้ มีครูพิเศษ ว่างเมื่อนั่นเมื่อนี่มา พวกญาติธรรมเรา มีตั้งเยอะตั้งแยะ เป็นครูเป็นบา มาสอนได้ เสร็จแล้ว เราก็มีเด็กประถม ที่ต้องเรียนอยู่ เป็นเด็กอยู่ในหมู่บ้านพุทธธรรมนี่อีก ๑๔ คน ประมาณนั้น ตกลงเรามีเด็ก อยู่ ๓๔ คน เสร็จแล้ว เราก็เรียนอย่างที่เราเรียนนี่แหละ เราก็มีกิจกรรม มีอะไรต่ออะไร ตอนนี้กิจกรรมเห็ดเป็นของเด็กหมดเลยที่ศีรษะอโศก เด็กดูแลสะอาดสะอ้าน แล้วงานเห็ดมันจุกจิก มันก็เหมาะกับเด็ก โอ๊! เด็กแกสนุกสนาน ทำเห็ดตอนนี้ ขนาดคนมาดูงานเห็ด พวกเกษตร พวกอะไรมาดู บอกโอ้โฮ! เดี๋ยวนี้ดัง เกษตรของศรีสะเกษ ศีรษะอโศกนี่ ภูพานยังสู้ไม่ได้เลย ว่ายังงั้น อาตมาก็ว่ามันจริงหรือ มันแกล้งชมเราหรือเปล่า อาตมายังงงสงสัยอยู่ตอนนี้ เขาว่าอย่างนั้น จริงๆนะ บอกสะอาดสะอ้าน ได้เข้าระบบ เข้าอะไรต่ออะไร เขาทำกันมา นานกว่าเรา เขามีทุนรอน มากกว่าเรา เขามีอะไรต่ออะไรพรักพร้อมกว่าเราหมดเลย เราทำอย่างกระจอก ค่อยๆสร้าง ค่อยๆสรรค์ขึ้นมา ตลาดการค้าเห็ดอย่างอีสานนี่ อาตมาบอกแล้ว อีสานกินเห็ดเป็น ทำเห็ดขึ้นมาแล้ว ไปขายตลาดอีสาน อีสานซื้อแหลกเลย เห็ดนางรม มันเหมือนเห็ดขอน มันเหมือนเห็ด..อะไร เขาเรียกชื่อ เห็ดบด มันเหมือนเห็ดบด เห็ดขอน เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า อะไรพวกนี้ เขากินเป็น อีสานเขากินเป็น ภาคกลางนี่ อุปาทาน เขาก็ทำเห็ดฟางมาให้กินก่อน เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เกิดทีหลัง เลยไปติดอยู่ที่เห็ดฟาง สร้างก็ยาก ทำก็ยาก ไม่ได้เรื่องได้ราว แล้วไปหลงว่า มันอร่อย โถ! เห็ดนางรม นางฟ้า มันก็อร่อย แต่กินไม่เป็น ไม่รู้จักกินน่ะ อุปาทานนั่นเอง ไม่อะไรอื่นหรอก พูดกันไปเถอะ ขายดีที่โน่น ที่อีสาน ที่ทางศรีสะเกษทำขึ้นมาขายน่ะ ขายได้ ตลาดดี แล้วเขาก็เลี้ยงตนของเขา อยู่ที่ศีรษะอโศก เขาเลี้ยงตนของเขาเองเลย ทุกวันนี้ ได้หมู่บ้าน ของเขาก็มีหมู่บ้าน อาตมาว่า บทบาทพฤติกรรมการงานของศีรษะอโศกนี่ รู้สึกว่าปฐมอโศกนี่ จะไม่อยากเทียบ กลัวอาย จริงๆ เขาเลี้ยงตนจริงๆ เขาไม่ได้มีบุญมีทานเท่าที่นี่มีบุญ มีทานกว่าปฐมอโศก มีคนมาทำบุญ ทำทานด้วยมากกว่า กินเงินบุญเงินทานศีรษะอโศกนี่ มีคนทำบุญทำทานเข้าน้อย เขาผลิตของเขา เลี้ยงตน ฟังให้ชัดๆ เขาเหนือชั้นกว่า เป็นอัตตา หิ อัตตโน นาโถ ที่เข้าหลักพระพุทธเจ้ามากกว่า ทุกวันนี้ อย่างเห็ดนี่นะ เด็ก ตื่นเช้าขึ้นมาก็ตื่นมาแล้ว ตี ๔ ตี ๕ ดูแล เสร็จแล้วก็เรียน พวกมัธยม ก็เรียนกันอยู่ที่นั่น มีชั่วโมง ครูก็อยู่ที่นั่น นักเรียนก็อยู่ที่นั่น กินนอน นักเรียนกินนอน ไม่ต้องไปมา ๒๐ กว่าคนเรียนกัน เด็กประถมเขาก็ไปโรงเรียน เด็กแก จบ ป. ๖ ประเดี๋ยวแกก็มาเข้ามาอีก ป. ๖ ใช่ไหมตอนนี้ จบ ป. ๖ ก็หมดเขต ภาคบังคับ เขาก็จะมาอีก ขณะนี้ก็มีแรงงาน ว่างเมื่อไหร่ แกก็มาสมทบรวม เด็กประถมก็มารวม เขาก็รับเหมา ให้แกดูแลไปเลยเห็ด เก่งเห็ด ทำอะไรต่ออะไรเป็น ถ้ามันไม่ขี้เกียจ มันทำมันเร็ว มันคล่อง เด็กมันชำนาญเร็ว คนแก่นี่ แย่กว่า สู้ไม่ได้หรอก มันความคล่องมันสู้เด็กไม่ได้ ทำสะอาดสะอ้าน เขาให้แกรู้ ให้แกรู้ ว่าอะไรๆ แรงงานแทนที่จะให้แกไปดูฟุตบอล ไปเตะฟุตบอล ไปในเรื่องไม่เข้าเรื่อง เข้าราว เราให้แกมาแข่งขัน กันทางนี้ แข่งขันกันทำก้อน แหม! ชั่วโมงละเท่านั้นเท่านี้ก้อน แกแข่งขันกันทำกัน อื้อฮือ! ทำก้อนเชื้อ ทำอะไรต่ออะไร โยนกันเหมือนกับบาสเกตบอล เอ้า! เสร็จ เสร็จโยนช่วง ตอนนั้นตอนนี้ โยนลูกช่วงกัน อะไรต่ออะไร มันก็เหมือนกับ การละเล่น แต่มันเป็นประโยชน์ คนต้องฉลาด เอ้า! สรุปง่ายๆ เห็ดทุกวันนี้ของศีรษะอโศกนั้น เป็นไปได้อย่างที่เรียกว่า ถ้าเข้าใจต่อไปดี เขาบอกเด็กสนุกสนาน ผู้ใหญ่ก็เบามือไป ไปรับงานอื่นอะไรที่มันหนักกว่า อะไรที่มันจะต้อง ทำงานเห็ด มันไม่ใช่งานหนักเหมือนกับงานดินข้างนอก ร้อนก็ร้อน ยิ่งอยู่ในโรงด้วย เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งมีน้ำท่า มีสปริงเกอร์ นักคิดสปริงเกอร์ตอนนี้ก็คิดกัน โอ้โห! เดี๋ยวก็แบบใหม่มา เดี๋ยวไปจดสิ จดทะเบียนไว้แล้วล่ะ ๒-๓ แบบแล้ว จดอีก จดทะเบียน สปริงเกอร์ ก็ไม่มีปัญหา จดไป จะทำขายก็ทำ ทำถูกๆ ทำขาย แจกคนอื่น เกษตรกรรม ทางประเทศชาติจะได้ดีขึ้น ไม่มีทำนะ ไอ้สปริงเกอร์ที่เราทำนี่ยัง แบบเมืองนอกก็ยังไม่คิดอ่าน เอาละ ก็ไม่ต้องอธิบายมาก มันก็มีอะไรเกิดอย่างนี้แหละ เป็นไป โดยเฉพาะที่อาตมาบอกว่าขำมาก ก็คือโรงเรียนนอกระบบ โรงเรียนที่ไม่อยู่ในระบบ โรงเรียนที่เราสร้าง พวกการศึกษาทางโน้นมาดู บอกว่า โอ้โห! นี่สิ นี่สิ เพิ่งสร้างได้ไม่กี่เดือน เพิ่งก่อเกิดไม่กี่เดือน เขากลับบอกว่า โรงเรียนเราเป็นแบบ เป็นตัวแบบ มาชื่นชมยินดี บอกอย่างนี้สิ ที่จริงถูก เพราะเขาไม่มีคนอย่างนี้ ที่ทำอย่างนี้ ตัวเด็กก็ไม่มี ตัวผู้ใหญ่ผู้ปกครองก็ไม่กล้า เพราะว่าจะต้องทำอย่างโลก จะต้องไปได้ ประกาศนียบัตร จะต้องไปได้ปริญญา จะต้องไปได้อะไรแบบโลก จึงเป็นเครื่องรองรับ เขาไม่กล้ายอม ที่จะให้ลูกมา ข่าวคราวแต่ก่อนนี้ หมอโชติช่วง ลูกไม่ได้ไปเรียนในระบบ กฎหมายจะจับเอาตาย นี่เขาก็กลัวกันบ้าง เสร็จแล้วหมอโชติช่วงแกก็บอกว่า ลูกแกไปเรียน อย่างโน้นเสียหมด แกไม่ยอมให้เรียน แกสอนเอง แต่ก็สอนอย่างหมอโชติช่วงนั่นแหละ ว่าไปเถอะ มันซ้อนเชิงอยู่ แกก็สอนลูกแกอย่างนั้น ลูกแกกลัวนะ เพราะบังคับ แต่แก ตั้งใจจะให้ลูกของแกไม่ต้องไปรับมลพิษแบบโลกๆมามาก การศึกษาก็ตาม แล้วดูๆแกแล้ว เป็นอย่างนี้น่ะ ลูกอยู่ในอาณัติมาก เป็นเชิงพวกนี้ มันยังไม่เข้าใจ อนุศาสนีกับอาณา คือ บังคับ อาณานี่พวกบังคับ แต่อนุศาสนีนี่พวกอิสรเสรีภาพ มันต่างกัน อันหนึ่งมันอิสระ อีกอันหนึ่งมันอาณา มันพวกบังคับ มันไม่เหมือนกันทีเดียว ลักษณะพวกนี้ มันมีลักษณะที่ซ้อนเชิง อีกเยอะ ของเรานี่ เด็กเขาสบายใจ เด็กเขาพอใจ เขารื่นเริงเบิกบาน ไม่ถูกกดดัน ไม่มีอะไรต่ออะไร มันเป็นอิสรเสรีภาพ แล้วก็เข้าใจถึงคุณค่าความดีงาม ความถูกต้อง ความเจริญ แล้วทำเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นผล ยิ่งเห็นดี ถ้าเราทำทิศทางให้มันถูก โตไปก็เด็กรุ่นหลัง จะเข้าใจพวกนี้มากขึ้น ของเรายังไม่เป็นโล้เป็นพายที่นี่ เพราะว่าเราคุมกำเนิดมากอยู่ ผู้พวกที่ลูกเต้าเหล่าหลานอะไร ก็ยังไม่ค่อยกล้าเข้ามา เพราะคนกรุง ไอ้ที่โน่นเขาคนต่างจังหวัด เขาก็เลย ลูกเต้าเหล่าหลาน เขาเอาเข้ามาที่ศีรษะอโศก ลูกเต้าเหล่าหลานเขาเข้ามาพร้อม พ่อแม่เขาก็อยู่ในฐานะอย่างนั้น เขาก็ไม่กลัว แต่คนที่ ปฐมอโศก ส่วนมากเป็นคนกรุง เป็นคนร่ำรวย เป็นคนที่มีฐานะ เป็นคน.. พ่อแม่ พี่น้อง ลูกก็ เขาก็เอาไปเรียนทางโน้นหมด ระบบโน้น แล้วเข้ามาที่นี่ก็ต้องมาสร้างสรร ตีนติดดิน จะต้องหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ต้องปลูก ต้องฝัง ต้องทำ ต้องแบก ต้องหาม เขาไม่ต้องการให้ เด็กของเขามาเป็นอย่างนี้ นั่นคืออุปาทานของเขา concept ของเขา หรือสิ่งที่เขาเชื่อ ตามของเขาว่าดีคืออย่างนี้ เขาไม่กล้า เพราะฉะนั้นเด็กที่จะมาอยู่ที่นี่ จึงไม่เหมือนกับที่ศีรษะฯ ศีรษะฯเด็กของเขา พ่อแม่เขาคนชนบท ตีนติดดิน เพราะฉะนั้น ลูกเต้าเหล่าหลานของเขา ไม่จำเป็นจะต้องไปอย่างที่เขาคิดว่าอย่างพ่อแม่ ที่นี่ ลูกหลานจะต้องไปอย่างพ่อแม่ จึงไม่กล้าเอาลูกหลานมาที่นี่ เอามา เด็กก็ไม่ค่อย.. เพราะพ่อแม่ไม่ค่อยให้ให้เต็มที่ ไม่ยินดี ให้มาทางนี้เต็มที่ แล้วเราก็ยังไม่มีหมู่มวลพอสมควร คนจะเอาภาระ ก็ยังไม่มากไม่พอ ก็ค่อยๆกระต๊อกกระแต๊กไป มันก็เป็นไป ไม่เป็นไรหรอก มีรูปแบบ เกิดขึ้นไปเรื่อยๆๆ แทนที่ ที่นี่จะมีโรงเรียนพุทธธรรม ที่เป็นโล้เป็นพาย ที่เป็นลักษณะเต็มที่กว่า ได้ก่อน มันไม่ได้น่ะ พุทธธรรมแบบอีกอย่างหนึ่ง อย่างสันติอโศก ก็แบบหนึ่ง พุทธธรรมแบบนี้ ก็เลยค่อยๆประกอบกันขึ้นมา ก็ได้อย่างนี้ แต่ที่ศีรษะอโศกมันได้รูปแบบ ที่เป็นโรงเรียนที่ได้รูปร่าง ที่อะไรต่ออะไรขึ้นมา เป็นสภาพที่ได้ทดสอบ เรื่องจริงน่ะ เป็นจริง อาตมาขำตรงที่ว่า วงการศึกษามาเห็นโรงเรียนของเรา บอกว่า โอ๊! อย่างนี้ปีเดียวก็ไปสอบได้ เขาบอก เขาบอกอย่างนั้นเลยนะ เขาบอก โอ๊ย! พวกเด็ก พวกนี้นี่ ส่งปีเดียวก็ไปสอบเอามัธยมต้น มัธยมปลายได้ เขาว่าอย่างนั้นเลยนะ ของเรากะ ไว้สัก ๒ ปี นี่เขาบอก โอ๊ย! อย่างนี้ปีเดียวก็สำเร็จ ปีเดียวก็ได้แล้ว เขาภาคภูมิที่ว่า เด็กมีศีลธรรม เด็กมีระเบียบ เด็กมีใจเบิกบานร่าเริง ไม่เกิดภาวะ ที่มันเป็นปัญหาอยู่ในสังคม แม้ในโรงเรียน เป็นปัญหาเกเร เกกมะเหรก เป็นปัญหาที่มันประชด เป็นปัญหา กดดัน เป็นปัญหาอะไรนี่ ของโรงเรียนในสังคม เด็กนักศึกษา ทุกวันนี้เป็นหมด พอมาสัมผัส ก็เห็นเลย บอกของเราไม่มีหรอก ลักษณะอย่างนั้นไม่มี คนมีปฏิภาณมีไหวพริบบ้าง พอสมควร สัมผัสแล้วอ่านออก เอาล่ะ เราค่อยๆสร้างกัน อย่างนี้คือสิ่งกำลังเกิด จะเป็นร้านค้าร้านขาย จะเป็นการพาณิชย์ จะเป็นการเกษตร จะเป็นการศึกษา แม้แต่การแพทย์ สาธารณสุขของเรา ก็แงะๆแง้มๆอยู่นี่ อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง ทุกวันนี้มันยิ่งเข้ามา โอ้โห! คนเจ็บคนป่วย วิ่งกัน คนตายกัน แหม! ตอนนี้ก็ ทำไมขยันตายกัน มากนักก็ไม่รู้ เจ็บป่วยก็มาก ก็ดูแลกัน คนนั้นคนนี้ เอาคน เอาแรงงานไปช่วยดูแลคนเจ็บคนป่วย ก็จะไม่หวาดไม่ไหว มันกำลัง แตกกิ่งก้านสาขาให้เรา มันลองแรงของเรา เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังหลบหลับอยู่ในภพอยู่นี่ ตื่นเถิด งานเราเยอะเหลือเกิน ตอนนี้เรา ที่จะต้องขวนขวาย เราที่จะต้องเอาภาระมันมีมาก แล้วมันจะเป็นระบบของเรา สาธารณสุข ก็จะเป็นระบบของเรา แบบของเรา มันก็จะเจริญงอกงาม เป็นเรื่องที่สังคม มนุษย์จะต้องมีสิ่งเหล่านี้ เรายังไม่ได้ไปตั้งร้านที่จะได้ไปสร้างตุ๊กตา ไปตั้งร้านสร้าง เฮโรอีน ไปสร้างร้านทำอาวุธ ไม่ต้องหรอก เรื่องเหล่านั้น แต่โรงงานช่างก็จะต้องเกิด ทุกวันนี้นี่ ช่างก็หนักนะ เดี๋ยวก็ไอ้โน่น ทำไอ้โน่นอีกแล้ว ทำไอ้นี่อีกแล้ว มันก็ยัง ไม่เกิดช่างหรือเทคนิค เครื่องมือ เครื่องทุ่นแรง องค์ประกอบก็ต้องเกิด อาตมาก็ได้แต่ ขึงพืดอยู่นี่แหละ ถมดินไว้แล้ว จะหาทุนมาว่าสัก ๒ ล้าน จะสร้างโรงงานช่าง ให้เป็น โรงงานที่จะต้อง.. หน่วยกลางเลย ทีนี้ต่อไปในเรื่องช่าง เรื่องโน่น เรื่องนี่ของเรา ผลิตออกไป จากนี่หมดเลย แม้แต่ที่สุด คอมพิวเตอร์ จะเกิด ให้มันเกิดที่นี่ มันจะต้องเป็นไป ตามรูปการ แต่ยังไม่ต้องถึงคอมพิวเตอร์ก่อนหรอก งานช่างในระดับเบื้องต้นไปก่อนนี่แหละ เดี๋ยวมันก็ค่อยๆ พัฒนากันไป ทุกวันนี้ ก็ค่อยเป็นไป ดูซิ โรงสีของเรา ก็ปรับปรุงขึ้นมาอีกแล้ว แล้วช่างคือใคร สมณะพาลสุริโย แก่งั่ก อาตมาน่ะกลัว ไอ้เครื่องกลเวลามันหมุนเครื่องแล้ว เป็นลมล้มพับลงตรงนั้น สายพานดูดเข้าไป แข้งหักขาหักหรอก แต่ก็ทำกันจนได้ ตอนแรก อาตมาก็นึกว่า จักรพันธ์ จะเป็นตัวหลัก อ้าว! เอาเข้าไป ท่านพาลสุริโย เป็นตัวหลัก เสร็จแล้วก็นี่เมื่อเช้านี่ ลองเครื่องดูแล้ว ดูเรียบร้อยขึ้นอีกเยอะ แล้วก็ใช้ ตอนนี้อิฐ หิน จะไปผสมก็น้อยลง เพราะว่าหินขัดเราเอาออก ตอนนี้ใช้ลูกยาง เพราะเขาให้ลูกยาง เรามา เราไปคบหากับบริษัทไรซ์คอมปานีนั่นเข้า บริษัทนั้น เราก็ไปเลียบๆเคียงๆ แหม! ไอ้นี่ทำไม ทิ้งไว้เฉยๆล่ะ ท่านจะเอารึ เอา ให้เลย อ้าว! ดีสิ ให้ เอามาเลย เอามา เราก็เอาเข้าให้ ตอนนี้ก็เอา ไอ้ที่ไอ้แผ่นหินบด หินบดข้าวนั่นนะ แผ่นหินนั้นน่ะตั้ง เป็นหมื่น ถอดทิ้งออกไปเลยตอนนี้ อันนี้ ของนี่ ของได้ฟรี มาใส่ อาตมาก็ว่า เอ๊ะ! คุณภาพของมัน ประสิทธิภาพของมันนี่ ไอ้หินน่ะ เราสีได้ชั่วโมงหนึ่งตั้งกระสอบข้าวสารนี่ ชั่วโมงหนึ่งได้กระสอบหนึ่งนะ แล้วเครื่องใหม่นี่ มันดูซิ ลูกยางเล็กแค่นี้เอง ไอ้หินมันเท่านี้ โอ้โห! เทอะทะ ถอดไอ้โน่นออก โอ้โห! practical ขึ้นเยอะเลย เรียบร้อย แหม! ดูเล็กขึ้นไป ดูทะมัดทะแมงขึ้นตั้งเยอะตั้งแยะ แต่ก่อนนี้เทอะทะน่ะ ทางนี้ก็บอกว่า ได้แน่ ได้มากกว่าแน่ ได้มากกว่า เออ! ถ้าได้มากกว่าก็เอาละ โรงเก่านี่นะ ปรับปรุงขึ้นแล้ว แน่ๆ อะไหล่มีหรือเปล่า บอกมี เอาอะไหล่ ไอ้นี่มันก็มี ก็จะลองดู นี่คุณภาพมันก็จะดีขึ้น อย่างนี้เป็นต้น เราก็ทำไป เราจะมีโรงสีก็ทำกินใช้กันไป นี่เมื่อเช้าลองเอาข้าวของเรา ดูสิ ข้าว จะทำนาใหม่แล้ว ข้าวเก่าอยู่ในยุ้ง เรา โอ้โห! หวงแหน ไม่เอาออกมาสีกินเลย ระวังไปเอาข้าวสิงห์บุรีมาสีกิน จะตายกันเป็นเบือนะ อย่างที่ท่านชาตวโร มาเล่าน่ะ ขนาดสีออกมาแล้ว เอาไปให้หมากิน หมาตาย คนที่ทำนาเอง ให้นมลูกกิน ลูกตาย ไอ้มันฉีดยา แล้วยามันอยู่ที่ตัว จนกระทั่ง ลูกกินนมตัวเองก็ตาย โอ้โห! มันเกินไปน่ะ มันไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้ข้าวเขาก็ใส่หยูกใส่ยา เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่า เราต้องช่วยตัวเอง มลพิษต่างๆนานาพวกนี้ มันอยู่ที่เราจะทำความเสียสละ ความรู้จักสาระแก่นสารของชีวิต ชีวิตเกิดมาทำไม เกิดมาทำงาน เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพื่อตาย ยังจำได้อยู่หรือเปล่า แต่ก่อนนี้ เขียนติด อาตมายังจำได้เลย เขียนติดอยู่ที่สันติอโศก เดี๋ยวนี้หายไปหมดแล้วนี่ ชีวิตเกิดมาทำไม เกิดมาทำงาน เกิดมาเพื่ออะไร เพื่อตาย เดี๋ยวนี้ลืมไปแล้ว เกิดมาเพื่ออยู่ไปวันๆ เสร็จแล้ว เราก็จะได้ตายตามนั้น ตายอย่างสูญเปล่า ตายอย่างโมฆะ เอาละ เราก็มีเวลาที่จะเทศน์จะบรรยายสู่กันฟัง คุณฟังไป ไม่ได้มาบังคับนะ อาตมาพยายาม ที่จะวิเคราะห์สิ่งที่ลึกให้ตื้น สิ่งที่ไม่รู้ให้รู้ สิ่งที่คว่ำให้หงาย เปิดเผยสิ่งที่ จะต้องเข้าใจเอา ใครมีภูมิปัญญาก็รับเอา ใครพอใจก็ทำ ใครยินดีก็ทำ ไม่ยินดีก็ไปเลือก หาสิ่งที่ตนยินดีน่ะ ใครยินดีอะไรก็เอา ใครไม่ยินดีก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาคิดว่า ทุกอย่าง มันเกิดแล้ว พวกเรานี่เกิด แม้มันจะเล็กมันจะน้อย มันจะยังรู้ยาก มันจะอันเล็กอันน้อย รูปเล็กรูปน้อย มันยังดูไม่ชัดๆหรอก มันยังไม่มีวงจรสมบูรณ์ด้วย ปัญจสาขา หรือว่า สาขาทั้งหลายก็ยังเกิดไม่สมบูรณ์ด้วย ก็ค่อยๆ เป็นไป มันจะครบของมันต่อไปเรื่อยๆล่ะ มันสมบูรณ์ขึ้นไป บูรณาการจนกว่า จะเกิดบูรณภาพ มันก็จะมีบูรณภาพตามสัดส่วนของมัน ไปเรื่อยๆ อาตมายังเห็นการก้าวหน้าอยู่ในพวกเรา ยังพยายามพัฒนาไป เจริญไปใน เรื่องนั้นเรื่องนี้ อะไรต่ออะไร ต่างคนก็ต่างพยายาม ในความเห็นของตน ถ้าเรามุ่งหวังที่ จะพัฒนาเจริญ เจริญทั้งภพนี้และภพหน้า คนที่หัดขยันเดี๋ยวนี้ ภพหน้าคุณก็มีขยันเป็นพลวปัจจัย ติดตัวไป คุณหัดขี้เกียจเดี๋ยวนี้ ภพหน้าคุณก็ขี้เกียจติดตัวไป แล้วยังไม่รู้ว่าจะไปเจอคนที่เขา จะชวนให้ขยันหรือเปล่า โลกมันไม่ได้ขยันตามธรรมดา โลกมันขยันเพราะอามิส ขยันเพราะลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ล่อ ดึงดูดให้ขยัน ไม่ใช่ขยันเพราะเราเองจะเต็มใจขยัน เราเองขยันฟรี ขยันโดยไม่ได้อะไรตอบแทน โดยเรารู้สัจจะว่ามันเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นคุณค่าให้แก่ผู้อื่น ชาวโลกเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก แต่เขาก็มีความรู้เหมือนกัน มีสามัญสำนึกเหมือนกัน แต่ว่ามันไม่ลึก มันไม่จริงจัง มันได้อะไรตอบแทน มันจึงชอบ นั่นแหละ คนเลยติดนิสัยมา เป็นชาวโลกมา พอมาอยู่ในโลกุตระ ได้นิดได้หน่อย ขยันตอนแรกๆ ไฟแรง เสร็จแล้วก็ไฟไหม้ฟาง หว่า มันก็ติดนิสัยเดิม กิเลสเก่า มันก็ลดขยันลงไปด้วย พลวปัจจัยที่มันซ้อนลึก มันเป็นสิ่งที่ เราได้สะสม ได้สร้างสรรความขยันที่เป็นโลกุตระ ความขยันที่เป็นอิสรเสรีภาพ ความขยัน ไม่ใช่ความขยันอย่างทาส ทาสนี่มีเครื่องล่อ ที่จริงทาสนั่นมันบังคับ ไม่ได้มีเครื่องล่อ โลกียะ เขาก็ไปเอาอย่างทาส เขาก็เอาเครื่องล่อ มันก็เป็นทาสทางเศรษฐกิจนั่นแหละ ทาสทางเศรษฐกิจ ทาสทางอย่างอามิส มีเครื่องล่อ ส่วนทางธรรมะนั้นไม่ใช่ทาส เต็มใจทำเอง ขยันเอง รับใช้เอง เสียสละเอง โดยรู้ว่าเป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นค่าของมนุษย์ เต็มใจทำเอง คุณสร้างอันนี้ขึ้นให้มันได้ โดยลึกๆ จิตของคุณก็ได้อันนี้ด้วย ความเข้าใจอย่างที่อาตมาพูด จนมันเป็นของคุณเองจริงๆด้วย มันก็สืบทอดต่อไป แต่ละช่วงชาติๆ ไม่ใช่ว่ามันเกิดวันนี้ วันเดียว พูดเดี๋ยวนี้สำเร็จเมื่อไหร่ ไม่สำเร็จวันเดียว ยิ่งสร้างคนนี่ ยากกว่าสร้างตึกด้วย สร้างตึกมันยังไม่เท่าไหร่ สร้างตึกร้อยชั้น มันยังง่ายกว่า สร้างคนน่ะยากกว่า ยิ่งสร้างให้เป็นปรมัตถ์ สร้างให้คนเป็นคนที่เสียสละ เป็นคนที่ มีคุณค่าในโลก เป็นคนที่มีความประเสริฐจริงๆ มันยิ่งยากกว่า สร้างตึกสร้างราม สร้างอะไรต่ออะไร ในโลก สร้างง่ายกว่า จะสร้างคนอย่างนี้สร้างยาก แต่ก็ต้องสร้าง จะยากยังไงก็ต้องสร้าง ไม่มีทางเลือก อาตมาเองไม่มีเอางานอื่น ไม่เอา จะสร้างคนนี่แหละ จะสร้างอย่างนี้ ได้มากได้น้อย เท่าไหร่ก็ตาม ขณะนี้ มันเป็นสภาพที่มันกำลังมีแบบฝึกหัดคัดเลือกคน เพราะฉะนั้น ผู้ใดผิวเผิน จะตกร่วง ผู้ใดมีมรรคผล จะทนอยู่ได้ คำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านยืนยันนี้ แล้วมันจริง ผู้มีมรรคผล ผู้ที่เกิดญาณปัญญา จะเข้าใจ อ๋อ! มันอาจจะมีวูบวาบบ้าง มันเข้าใจผิดเข้าใจเพี้ยน วูบๆวาบๆ ครั้งๆ คราวๆ แต่เสร็จแล้ว พอตั้งหลักได้จริง มันจะแข็งแรง มั่นคง แล้วมันก็จะเต็มใจรับเต็มที่ มันจะเอาเอง มันจะเป็นเอง มันจะวูบวาบได้ เอียงเทไปบ้าง ร่วงๆ หล่นๆไปบ้าง มันจะเป็นจริง เพราะตอนนี้มันมี เหตุการณ์อะไรต่ออะไรมา เหมือนกับแบบฝึกหัด มาคัดเลือกว่า มันจะไปรอดหรือพวกเรา เอ๊! แล้วทำไมมันเป็นอย่างนี้ มันหนักนะ จะอยู่ไปมันคงจะหนักหน้า เรื่อยไปนะนี่ กลัวคนรักงานเบา คนมักง่าย เขาก็จะออก ตีตัวออก แต่คนที่ใจสู้ เอ๋ย! หนักมันก็หนักไปซี ไม่เป็นไร ก็หนักมานักหนาแล้ว แบกหินทั้งก้อนก็แบกมาแล้ว ต่อไปจะต้องแบกข้าวสาร แบกหินทั้งก้อนก็แค่แบกหิน ต่อไปจะแบกข้าวสารเป็นร้อยกิโล ทางขอนแก่นเขาเตรียมตัวแล้ว พวกนั้นเขาทำ แบกถั่วเหลือง แบกข้าวสารกัน คือมาทำทาง ด้านพาณิชย์ แล้วทำด้านที่จะเป็นหน่วย ที่เอามาทางด้านสายของการค้า เป็นหน่วยรับซื้อ มาจากผู้ผลิต แล้วก็จะไม่เอาเปรียบผู้ผลิต แล้วจะคัดที่คุณภาพดี มีความซื่อสัตย์สุจริต ทำการค้าก็ซื่อสัตย์สุจริต แล้วก็จะต้องเอามาส่งให้ทางพลังบุญฯเรา พลังบุญฯ จะได้จัดจำหน่าย ให้ญาติโยมเรา อะไรต่างๆนานาพวกนี้ หาของดีๆ คัดเลือก มาก่อน แล้วก็เป็นการงานของเขา ด้านโน้น เอาล่ะ ให้มีรายได้ ให้มีอะไรพอสมควร ก็เป็นเรื่องของเขา มันจะมีขั้นตอนอย่างนี้ เสร็จแล้วเราก็มาซ้อนเชิง ให้หัดเสียสละ ทุกอย่าง เป็นการพาณิชย์ ก็พาณิชย์อย่างเสียสละ เป็นการอะไร สร้างสรรอะไรก็สร้างสรร อย่างเสียสละ ไม่ใช่สร้างสรรไป เพื่อเอาเปรียบแบบทุนนิยม สร้างสรรแบบบุญนิยม สังคม ประเทศชาติมนุษยชาติจึงจะเป็นได้ ทีนี้เราจะทำทีเดียวกว้างไปหมดเลย มันจะได้แต่แนวระนาบ แล้วบาง เผิน ไม่ได้ลึก แล้วไม่ได้ครบวงจร เพราะฉะนั้น เราจะต้องเข้าใจว่า ไม่เอา ไม่หลงใหลในแนวระนาบ หรือแนวกว้างแนวใหญ่มากนัก จะต้องเอาแนวลึก ให้มันซ้อนเชิงไปถึงจิตวิญญาณ ไปถึงพฤติกรรมของมนุษย์ มีจารีตประเพณี มีวัฒนธรรม คนต้องมีวัฒนธรรม วัฒนธรรมอันนั้น มันจะพาไปอีกยาวนาน บอกแล้ว พวกเราวัฒนธรรม อย่างนี้ กินน้อย ใช้น้อย วัฒนธรรมเสียสละ รู้จักบุญที่ชัดเจน ไม่เอาเปรียบเอารัด อะไรต่างๆนานา ลักษณะมันเป็นกรรม เป็นกิจกรรม เป็นพิธีกรรม เป็นพฤติกรรมอย่างไรๆๆ มันจะเป็นของมัน ในตัวบุคคลนี่แหละ สร้างสรร ประกอบกิจกรรม ประกอบพฤติกรรม ประกอบพิธีกรรม จะเกิดกรรมอันนี้จากกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของมนุษย์ เกิดการสานต่อสืบทอด เป็นวงจักรกันอยู่ในสังคมของพวกเรา มันจะมีลีลา มีรูปร่าง มีอะไรต่อ อะไรต่างๆนานา เกิดกันเอง อันนี้มันจะถ่ายทอดไปไหน อันนี้มันจะมา แล้วมันจะไปยังไง อันโน้นควรจะทำยังไง อันนี้ควรจะทำยังไง มันจะเกิดรู้กัน ในวงพวกเรานี่ เข้าใจน่ะ เข้าใจ รู้ เด็กเกิดมาใหม่ก็สืบทอด คนรุ่นก่อนๆสร้างสรรเอาไว้ ปลูกฝังให้ดีขึ้นๆๆๆ ยิ่งดีขึ้น เด็กขึ้นมาใหม่ก็ได้รับแต่สิ่งดีๆ สิ่งดี เรียนรู้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปอะไรมาก เกิดขึ้นมา ก็เจอวัฒนธรรมอย่างนี้ เกิดขึ้นมา ก็รู้พฤติกรรม อย่างนี้ เกิดขึ้นมาก็มีกิจกรรมอย่างนี้ เกิดขึ้นมาก็มีพิธีกรรมอย่างนี้ แล้วเราก็ไม่ได้ปิดหูปิดตา เปิดหูเปิดตา ของโลกเป็นยังไง ให้เขารู้เขาเห็นด้วย แล้วให้เขาเลือก เด็กในของพวกเรา โตขึ้นแกไม่เอาอย่างนี้ แกจะไปเอาอย่างโลก เชิญไป ไม่ต้องไปไล่เขาหรอก เขาจะไปของเขาเอง เราพยายามที่จะดึงเขาไว้ ถ้าเป็นลูกเต้าเหล่าหลานของเรา เราก็จะหวงแหน ดึงเขาไว้ๆ ถ้าดึงไม่ได้ ขีดหนึ่งก็ปล่อยเขาไป คนข้างนอก เด็กของข้างนอก เขาจะเข้ามา เราก็คัดเลือกเอา เด็กของเราเอา ปลูกฝังได้ มันเอาแบบนี้ มันก็จะอยู่ไปด้วย เด็กเกิดมาในหมู่ของเรามันไม่เอา มันไปเห็นคนอื่น มันเปรียบเทียบแล้ว มันจะเอาอย่างโน้น ก็ให้มันไป ไม่มีการบังคับกัน เพราะฉะนั้น เราจะได้ของจริงๆ ของจริง ของที่เต็มใจยินดีอยู่ตลอดกาลนาน สิ่งนี้จะทนทาน ต้องมองเห็นด้วยญาณปัญญานะว่า อย่างนี้ดีถึงเอา ไม่ฟู่ฟ่าหรูหรา ระเริง เหมือนอย่างโลกเขานะ อย่างนี้ เอาหรือไม่เอาล่ะ พาตื่นเช้าอย่างงี้ กลางค่ำกลางคืน ไม่ต้องไปเที่ยวไปเตร่อะไรหรอก ถึงเวลา ๒ ทุ่ม ๓ ทุ่ม นอน หนังก็หาโรงมาให้ดูแล้ว หนังก็ดู เซ็นเซอร์ให้ดูด้วย ปฐมอโศกเธียเตอร์นี่ ฉายเรื่องอะไรตอนนี้ หา อุปสรรค ไม่ใช่ทุกข์ เหรอ อ๋อ! โจ๊ตจังหรือ หนังก็มีมาให้ดู เซ็นเซอร์ให้ดู ถึงเวลา ก็หลับก็นอน ตื่นเช้าอากาศสดชื่น ทำงานทำการสร้างสรร ไม่ต้องไปเที่ยวกลางคืน ไม่ต้อง คบมิตรชั่ว ไม่ต้องระเริงระรงอะไรต่างๆนานา วันเวลาแข็งแรง โลกก็รู้ ไม่ใช่เราไม่รู้โลก คุณรู้โลก รู้ อยู่เหนือโลกเขา ไม่ต้องไปติดโลกเขา ไม่ต้องไปเที่ยวได้เป็นทาสโลกเขา หรือใครจะติดเชื้อของโลก จะไปสู่โลก ก็ไป ไม่ว่าอะไร ไม่ได้ปิดบัง เพราะฉะนั้น ญาณปัญญาจะเป็นตัวตัดสิน คุณจะอยู่ หรือคุณจะไป อิสรเสรีภาพ คุณจะเอาอย่างนี้ ก็ด้วยญาณปัญญา คุณเห็นว่าดี คุณก็เอา เห็นว่าไม่ดี คุณก็ไปเอาอย่างอื่น ให้เลือก มันจึงไม่ได้ปิดบัง มันจึงไม่ได้เหมือนฤาษี มันไม่ได้กดดัน มันถึงไม่ได้เหมือนกับ ทางโลกียะเขา นี่โลกุตระมันเป็นอย่างนี้ อยู่เหนือโลกอย่างที่เรียกว่า ผงาด ไม่ใช่ไม่รู้โลก มีโลกวิทู พหูสูต เข้าใจของเขา แต่เราไม่เอา เราจะเอาอย่างงี้ เราว่าอย่างนี้แหละดีกว่า ประเสริฐกว่า เจริญกว่า ดีกว่า เราเอาอย่างนี้ ใครไม่เอาก็ไม่ได้ว่าอะไร หนุ่มๆแน่นๆสาวๆน่ะ ดีๆทั้งนั้น ยังมีเวลาอีกเยอะ ประเดี๋ยวจะหาว่าถูกหลอก แก่ๆ ไปไหนไม่รอด นั่นเอาเถอะ ทนเอา อีกกี่ปีก็ตาย แก่ๆแล้ว ไปไม่รอดแล้ว จะไปเต้นไปดีด กับเขาก็ไม่ไหว หนุ่มๆสาวๆ ประเดี๋ยวได้มีแรงมีเรี่ยว จะได้ไปเต้น ไปดีดนะนี่ กามก็ยังเยอะ โลกียะมันๆอร่อยๆ อยู่ในโลกนี่เยอะ ศึกษาเอา เดี๋ยวจะหาว่า อาตมาปิดป้อง มาครอบงำทางความคิด อำพราง ไม่ให้รู้โลก ไม่ได้ปิดโลกเลย เปิดโลกให้คุณรู้อยู่ ตลอดเวลา คุณจะเอาก็ไปเอาเลย ถ้าไม่เอา ก็ต้องคุณเอง อย่ามาโทษอาตมา อยู่ที่นี่ เขามาว่า โอ๊ย! พวกนี้ดักดาน เป็นแรงงานทาส ดูซินั่น มีกินก็ไม่กิน มีใช้ก็ไม่ใช้ มาทำให้คนอื่นเขาใช้ โง่ตายเลย เขาสนุกสนานก็ไม่สนุก ดูซิ นั่นเขาตื่นเต้นบอลโลกกัน จะเป็นจะตาย นี่ไม่ได้ดูเลย อดอยาก ใช่ บางคนมีกิเลสอยากดู นี่ก็กดดันอยู่บ้าง แต่คนที่ไม่กดดันแล้วก็สบาย ไม่เห็นมีอะไร บอลโลก มันก็บ้าๆบอๆของมันอย่างนั้นแหละ เห็นไหมนั่น อ่านดูซิ ประโยชน์อะไร ไม่อยากวิเคราะห์เฉยๆนะ อาตมาอ่านเมื่อเช้านี้ มันได้ดีอะไรกัน การพนันกันทั่วโลก ตั้งแต่เด็กจนแก่ ก็พูดเอง พนันกันไปหมดเลย แล้วก็ไม่เห็นอะไร แรงงานออกไปเรียกว่าดังทั่วโลก ไอ้ดัง โดยไร้ค่า อย่างนั้น อย่าไปดังมันเลย มันไม่ดังก็ช่างมัน ขอให้มันดีก็แล้วกัน ถ้ามันจะดัง ก็ดังด้วยดีจริงๆนี่ แล้วมันวิเศษน่ะ แล้วมันยืนนาน ไอ้ดังด้วยฉาบฉวย เก่งไอ้แบบฉาบฉวย แบบนั้น เป็นวิธีการของโลกีย์เขาหากัน แม้แต่จะเป็นอบายมุข ก็ยอมดัง บ้าๆบอๆก็ยอมดัง อย่างคนอเมริกา มันอยากจะขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์ มันไปทำบ้าๆบอๆอะไร มันก็ทำ เดี๋ยวนี้ ก็มี นี่ไอ้พวกไอ้นี่ ไปแก้ผ้าแก้นมอะไร โอ้โห! แล้วให้เขาไปถ่ายรูปมา เก๋ ดัง ได้รูปลง หนังสือพิมพ์นี่ ไอ้งานเชียร์บอลนี่ เปิดต้ม เปิดนมอะไร เข้าไปเยอะแยะ บ้าๆบอๆ ไปทำพิลึกอะไร ทำไปสารพัด อยากดัง ไม่เข้าเรื่องเลย ใช่ไหม มันทำสารพัดสารเพ ไม่เข้าท่า นี่เราต้องศึกษาดีๆ แล้วเราก็จะรู้ ทุกวันนี้ อาตมายังสบายใจว่า พวกเรายังมีคนเข้าใจได้ ยุคกาลนี้ ยังพิสูจน์ได้ อกาลิโก ธรรมะของ พระพุทธเจ้า ยังมีคนรู้จัก โลภ โกรธ หลง ยังละโลภ โกรธ หลง ยังรู้โลกียะ โลกุตระ แล้วยังสามารถลดละ ปลด ปล่อย วาง นี่รู้จักธรรมรส รู้จักวิมุติรสให้จริง ธรรมรส วิมุติรสนั่น มันเลิศกว่ารสโลกีย์ แล้วก็สร้างสมสั่งสมไป บุญของเรา กุศลของเรา อะไรที่จะเจริญขึ้น ก็พยายามเอาก็แล้วกัน เอ้า! วันนี้วันอาสาฬหบูชา พรุ่งนี้จะเข้าพรรษา แล้วเราจะได้จำพรรษากัน ผู้ที่ตั้งใจ จะมาจำพรรษาก็มี ก็เอา ใครจะพากเพียรศึกษากันไป งานการเราก็เยอะ จะไปศาลหรือก็ต้อง เดือนหนึ่งตั้ง ๔ วันแน่ะ ขณะนี้ เอา ก็เป็นไป อาตมาถือว่าการไปศาล เป็นการเผยแพร่ธรรมะ อย่างหนึ่ง แล้วเป็นการพิสูจน์ความอดทนของเรา พิสูจน์ความ สามัคคีธรรม พิสูจน์สิ่งที่รู้จัก สาระสัจจะของคน ผู้ที่เข้าใจก็ไปช่วยกัน คนละไม้คนละมือ ไปแสดงธรรม อย่าไปแสดง สิ่งที่เป็นอกุศล ทุกขณะ ทุกเวลาสังวรระวังกาย วาจา ใจ ทำให้มันเข้าร่องเข้ารอย แล้วสิ่งเหล่านี้ เป็นอำนาจชนิดหนึ่ง เป็นอำนาจที่คนอื่นเขาไม่ เข้าใจลึก แต่เขามีผลกระทบ แล้วเขาเกรงเขากลัว แล้วเขาก็ยอมในสิ่งที่มันเป็นจริง ถ้ามันเป็นกุศลแท้ คนทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญญา ไม่รู้ว่าดีว่าชั่วคืออะไร เขารู้กุศล เพราะฉะนั้น ถ้ามันเป็นกุศลๆ นานเข้า เขาก็บอกว่า ไอ้อย่างนี้ต้องยอมมัน จริงๆ มันเป็นไปเอง เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ อาตมาไม่ต้องมีปัญหาอะไรหรอก จะว่าความ จะซักไอ้โน่น ซักกันออกมา อย่างโน้นอย่างนี้ออกมา พวกเรามีส่วนช่วยอย่างมาก ทำให้มันจริงเถอะ มีแต่ของดีไปประกาศ มีแต่ของดีไปเผยแพร่ มีแต่ของดีไปยืนยัน ยืนยันไปยืนยันมา มันก็เหมือน หลักฐานไปยืนยัน พวกคุณเหมือนพยาน เหมือนหลักฐาน นี่คนพวกนี้ มาเรียนอย่างนี้ มาเป็นอย่างนี้ แล้วเป็นคนอย่างนี้ คุณว่าเป็นคนเลว ตรงไหน ไปวุ่นวายอะไร ไปทำความไม่สงบ ตรงไหน ไปทำความเลวความชั่วอะไร มันไปย้ำยืนยัน แล้วมันก็มีตัว แม้แต่ศรัทธาเลื่อมใส ว่าคนพวกนี้ทำไมมาศรัทธาเลื่อมใสอยู่ได้ โพธิรักษ์มันน่าศรัทธาเหรอ มันน่าเลื่อมใสเหรอ แล้วคุณอยากจะให้เขาเข้าใจว่า คุณไม่อยากศรัทธาเลื่อมใสอาตมา หรืออยากให้เขาเข้าใจว่า คุณศรัทธาเลื่อมใสอาตมา แล้วคุณแน่ใจว่า อาตมาพาทำดี หรือพาทำไม่ดี ถ้าพาทำไม่ดี ก็อย่าไปทำ อย่าไปศรัทธา อย่ามาศรัทธา ใช่ไหม ถ้าพาทำไม่ดี แต่ถ้าพาทำดี ก็ศรัทธา แล้วก็หนุนเนื่อง ให้มันเข้าร่องเข้ารอย อันเดียวกัน มันก็จะเป็นฤทธิ์เป็นแรง เป็นธรรมฤทธิ์ ในตัว อาตมาพูด ไม่ใช่ว่ามาบีบคั้นบังคับ ให้คุณเข้าใจ แล้วคุณก็เต็มใจทำ ตามความเป็นจริง แล้วมันก็เป็นไปเอง ถ้าจะจ้างจะวาน จะบีบบังคับมันไม่ได้นานหรอก ถ้าของจริงแล้วมันถึงจะนาน เพราะฉะนั้นอันนี้มันจะพิสูจน์ความนานเหมือนกัน เขาก็ต้องการความนาน อาตมาคิดว่า ขณะนี้เขาก็พอรู้แล้วว่า อะไรเป็นอะไร แต่เขายังไม่รู้ว่า เขาจะลงยังไงดี เอ๊! จะลงยังไงดีวะนี่ จะจบยังไงดี อาตมาว่าเรื่องนี้เขาคงอย่างนั้นนะ แต่เอาเถอะ ยังไงก็แล้วแต่ เราก็ทำไป มันจะมีเวลา ที่จะต้องอย่างนี้ไป ก็ไปเรื่อยๆ ให้มันเป็นความดี ยังความดี ยังกุศลให้ถึงพร้อม อยู่ทุกขณะเวลาไปก็แล้วกัน ฯลฯ เอ้า! เลยเวลาไปพอสมควรแล้ว เอ้า! พักก่อนน่ะ สาธุ ถอดโดย
นายประสิทธิ์ ฝ่ายทอง ๒๒ ก.ค. ๓๓ |