การรู้จิต รู้เวทนา หน้า ๑
ทางเอก ภาค ๒ บทที่ ๑๐ ครั้งที่ ๖
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
๑๖ มกราคม ๒๕๒๒ ณ พุทธสถาน สันติอโศก


เรามาต่อ ต้องพยายาม ฟังดีๆ ต้องพยายาม ตอนนี้มันถึงเข้าขั้น วิเคราะห์จิต ตัวจิตจริงๆ นั่นก็เป็นบทธรรมดา เป็นบทเริ่มต้น จะว่าเริ่มต้นก็กำลัง เวียนมาเริ่มต้น คือวิเคราะห์จิต ในขั้นให้รู้พฤติกรรมของจิต จับจิตให้ถูก เข้ามาหาจิต

เมื่อรูปนามขันธ์ ๕ ของเรา เรารู้ว่ามันมีรูปนามขันธ์ ๕ รู้สภาพของ รูป เวทนา แล้วก็จิต ที่จริงเรียกคำว่าเวทนา จิต ธรรม ก็คือ เราจะต้องรู้ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือไม่ใช่ว่ารู้ คือ ตัวจิตของเราจะต้องทำงาน ทำงานเป็นเวทนา รู้ว่าเวทนา เวทนาคือความรู้สึก มันรู้สึก รู้สึกแล้วเราก็แยก มีปัญญาแยกออกว่า มันรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ คำว่าสุขว่าทุกข์ ก็เป็นคำใหญ่ เป็นคำที่บอกกว้างๆ รู้สึกสุข ก็คือ มันสบายใจ ชอบใจ มีรสในใจ ติดใจ ส่วนทุกข์มันก็มีการ ไม่สบายใจ มันไม่ชอบใจในจิต มันผลัก มันมีการอยากทำลาย เรียกว่า รังเกียจเดียดฉันท์ ชิงชังอย่างแรง หรืออย่างอ่อนก็ตาม มันก็มีลักษณะ คืออธิบายนี่ มันก็เป็นภาษาบอกความหมายไป เราเองเราก็จะรู้มาเป็นธรรมดา เป็นสัญชาตญาณมาแล้วล่ะ

ทีนี้ เราก็มาทำความเข้าใจให้ชัดเด่น หรือแม้ไม่สุข ไม่ทุกข์ แต่เราไม่อีโหน่อีเหน่เลย ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตัว ไม่มีเวทนา หรือมีเวทนา แต่เราก็ไม่ได้ใช้สติสัมปชัญญะมาตรวจ มาอ่าน มาสัมผัสรู้จิตของเรา ถ้าเราพูดขึ้น หรือว่าเราใช้สติ ระลึกปั๊บ ถ้าคนที่รู้จิต หรือรู้ตัวเวทนา รู้จิต หรือรู้รสของจิตเป็น ที่จริงก็จับจิตนั่นแหละ รู้จิต พอเรารู้จิตปั๊บ เราก็ระลึกถึงจิตทีเดียว พอระลึกถึงจิต สติเราระลึกถึงจิต กำหนดเข้าไปที่จิต การกำหนดเข้าไปน่ะ คือการทำงานของสัญญาทุกที แล้วการที่จะรู้ว่าเป็นอย่างไร ก็คือความหมาย ก็เป็นสัญญาทุกที แล้วการที่จะรู้อย่างแท้ถูกต้อง ก็เป็นความสำคัญทุกที เป็นสัญญาทำงานทุกที เป็นเรื่องของจิตทำงานจริง อย่างเช่นว่า อาตมาอธิบาย เราลองตรวจ ตัวเองปั๊บ เราก็รู้ว่า ตอนนี้จิตของเราเป็นอย่างไร ถ้าจับจิตถูก ก็เรียกว่าวิตก จับจิตถูกเรียกว่าวิตก เมื่อจับจิตได้ถูก แล้วเราก็รู้ต่อถึงพฤติกรรมของมัน เรียกว่าวิจาร หรือกิริยาของมัน กิริยาของมันแรง หรือ มันแรง หรือมันเบา กิริยาของมันมีสภาพ ตอนนี้ดีใจแรง ตอนนี้โกรธแรง ตอนนี้ชอบแรง ตอนนี้ชังแรง ถ้าแรงๆ มันก็รู้ง่าย เป็นโลภะนั่นเอง ชอบ ดึงไว้ ดูดไว้ ยึดไว้ โลภไว้ ไม่อยากให้หายไป อยากให้เที่ยง อยากให้เป็นอย่างนี้นิรันดร เป็นนิจจัง โลภไปอย่างนั้น ถ้ามันบกพร่องไป ก็ไม่ชอบ เพราะว่าเราติดจะชอบอย่างนี้ๆ เป็นต้น

ถ้าเผื่อว่า เป็นสภาพชัง มันก็อยากจะผลักออก อยากจะทำลาย อยากจะให้หายสูญ ถ้าสูงยิ่งกว่านั้น ก็อยากจะแก้แค้น ทำให้มันทำลายด้วยตัวเองอย่างถึงอกถึงใจเชียว อะไรอย่างนี้ เป็นต้น มันก็มีสภาพ เรารู้พฤติกรรมของจิต รู้อาการ รู้อารมณ์ของจิต เราเรียกว่ารู้วิจาร มีวิจาร แล้วยิ่งแบ่งออก แยกออกถูก ว่าพฤติกรรมอย่างนี้ เรียกว่าสุขเวทนา พฤติกรรมอย่างนี้ เรียกว่า ทุกขเวทนา พฤติกรรมอย่างนี้ เรียกว่าอุเบกขาเวทนา คือ มันจะเป็นทุกข์ มันก็ไม่ชัด จะเป็นสุข มันก็ไม่ชัด มันกลางๆ เฉยๆ ว่างๆวางๆ ถ้าเรารู้ของเรานี่ รู้จริงๆนะ เวลาเข้ามาอ่านจิตแล้วก็รู้ เขาเรียกว่าเวทนา เป็น อุเบกขาเวทนา หรือเป็นอทุกขมสุขเวทนา ที่ใช้ได้ นี่ดี แต่ถ้าคนที่มันเฉย มันไม่ทุกข์ มันไม่สุขหรอก แต่เราไม่รู้ตัว แม้จะเข้ามาอ่านจิตตัวเองก็จับไม่ถูก ไม่รู้อาการ ไม่รู้พฤติกรรมเลย นั่นเรียกว่า อัพยากฤต หรือว่าเฉย หรือว่าว่างโดยไร้ปัญญา ไร้ความรู้ ไร้เวทนา เพราะไม่รู้ ไร้สัญญา เพราะว่ากำหนดไม่เป็น กำหนดไม่ถูก ไม่รู้ความสำคัญ ไม่รู้ความหมาย ยังไม่เข้าท่า

ทีนี้ สังขาร ก็คือการเป็นจริงของจิต เวทนาก็คือการเป็นจริงของจิต สัญญาก็เป็นการเป็นจริงของจิต สังขารก็เป็นการเป็นจริงของจิต เรารู้อะไร รู้สังขาร เมื่อกี้ที่บอกว่า เวทนาเป็นสุข ก็คือสังขาร เวทนาเป็นทุกข์ ก็คือสังขาร ฟังนะ ซ้อนนะ ฟังดีๆ ฟังนะ ภาษาตอนนี้ อธิบายตัวจิตนั่นแหละ ซ้อน มันสังขารอยู่ แม้มันจะอุเบกขาเวทนา มันก็เป็นสังขารน้อย มันปรุงน้อย รสมันไม่ ถ้าสุขจัดก็ปรุงจัด ทุกข์จัดก็ปรุงจัด ถ้าทุกข์น้อยก็ปรุงน้อย สุขน้อยก็ปรุงน้อย ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ปรุงน้อย ไปตามความเป็นจริง หรือไม่ปรุงเลย เป็นอุเบกขาเวทนาไม่ปรุงเลย เฉย วาง ว่าง ปล่อย เป็นกลางอยู่ มีแต่จิตเป็นธาตุรู้ เป็นสัญญากำหนดหมาย อุเบกขาก็เป็นมโนปวิจาร ขั้นอุเบกขาเวทนานี่ เป็นมโนปวิจาร ขั้นเฉย ขั้นวางแล้ว รู้มโนปวิจาร มันก็เป็นสังขารน้อย หรือไม่ใช่สังขาร ไม่มีสังขาร ไม่มีการปรุงอะไร แต่ว่ามันทำงานตรงตามหน้าที่ ตรงตามความเป็นจริงของจิต ของเจตสิก ที่มันทำงาน

เพราะฉะนั้น ถึงขั้นไม่ปรุง เราก็จะต้องรู้ว่า มันหมดสังขาร หรือไม่มีสังขาร มีแต่จิตเท่านั้น ที่มันเป็นตัวงาน มันไม่ได้ปรุงอะไร มันไม่ได้เอาอะไรมาผสม มันไม่ได้ไปเอาอะไร มาเที่ยวได้ เป็นรสเป็นชาติ ไม่มีอัสสะ วิญญาณตัวนี้เป็นวิญญาณเป็นๆ เป็นตัวธาตุรู้ ที่รู้อย่างไม่มีอะไรปนปรุง ถึงเรียกว่าวิญญาณ วิญญาณนั้นก็คือจิต หรือคือธาตุบริบูรณ์ ถ้าปรุงตามหลังสังขาร โดยสังขาร เป็นอวิชชา ไม่มีความรู้อะไรตามที่อธิบายไปนี้เลย ปรุงก็ไม่รู้ ไม่ปรุงก็ไม่รู้ แล้วส่วนมากของปุถุชน ที่มีกิเลส มันจะปรุงอย่างอัตโนมัติ โดยที่เราไม่รู้ตัวได้ง่ายๆ ปรุงเสร็จแล้ว มันก็กลายเป็นวิญญาณ ตามหลังปรุง วิญญาณเหล่านั้น จึงกลายเป็นวิญญาณัสสะ เป็นวิญญาณที่มีกิเลส เป็นวิญญาณลวง เป็นวิญญาณมายา

แต่ถ้าเผื่อว่า วิญญาณตามหลังสังขาร ไม่มีสังขาร หรือว่าสังขารเป็นส่วนหนึ่งของจิต สังขารไม่ปรุง สังขารจะปรุง ก็ปรุงอย่างมีวิชชา ปรุงอย่างมีการรู้ ปรุงอย่างวิสังขาร ปรุงอย่างอิทธาภิสังขาร วิญญาณนั้น ก็เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้ปรุงเพื่อตัวเพื่อตน ไม่ได้ปรุงเพื่อสุขเพื่อทุกข์ของเรา แม้แต่ เราปรุงอยู่ เราจะทุกข์ เราก็รู้ เราปรุงอยู่ เราจะลำบากลำบนอยู่พอสมควร ตั้งตนอยู่ในความลำบากอยู่ แต่เป็นกุศลแท้ และยังกุศลให้ถึงพร้อมอยู่ เราก็รู้ อย่างนี้ เขาเรียกว่า เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ได้เพื่อตัวเพื่อตน เสียสละเสียด้วย แล้วเราจะไม่ติด เพราะเรารู้ทุกข์ เราปรุงนี่ เราทุกข์ เราก็รู้ เราจะไม่ติด วิญญาณนี้จะไม่เกิด วิญญาณนี้จะไม่ติดใจ วิญญาณนี้ จะไม่ได้เที่ยวผูกพันอะไร เพราะมันเป็นทุกข์ เรารู้อยู่ว่าทุกข์ ไม่มีใครจะดูดทุกข์ มีแต่คนจะผลักทุกข์ ทุกข์มันจะต้องผลักออก เมื่อมันรู้ชัดเจนว่ามันเป็นทุกข์ ไม่มีใครจะดูด จะติด จะอยาก จะต้องการ แต่เราวางเฉยกับมันได้ เรารู้ว่ามันเป็นกุศล ก็ยังกุศลเสียให้ถึงพร้อม เราไม่ติด แน่ๆ ไม่ติดแน่ๆ ไม่ต้องมาตรวจอีกหรอก ถ้าไม่จำเป็นที่สุด มันจำเป็น เราก็จึงเป็นไป ถ้าไม่จำเป็น เราไม่เป็นไป เราต้องมีปัญญาอันยิ่ง ที่จะรู้อย่างนี้ อย่างแท้จริง แล้วเราก็ปล่อยวาง วางใจ อย่างไรๆ เราก็จะมีที่

ถ้าเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว พระอรหันต์ท่านรู้ทุกข์ ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้น ดับไป ท่านอยู่กับทุกข์ แล้วท่านก็รู้ว่าจะถึงเวลาสิ้น เพราะเดี๋ยวนี้ท่านสิ้น โดยลำลอง หรือว่าโดย สอุปาทิเสสแล้ว สิ้นอยู่แล้วโดยที่มันยังเหลือ สิ้นอย่างเหลือ สิ้นอย่างมี เดี๋ยวนี้มันสิ้นอยู่ แต่มันก็ยังมี มันมีสมมุติสัจจะอยู่ รูปนามขันธ์ห้า มันยังเหลือ เราอย่าเป็นเที่ยวได้ไปวิปลาส ไปเข้าใจผิด สัญญาผิดว่า มันสิ้นแล้ว มันต้องดับสูญ มันต้องไม่มี รูป นาม ขันธ์ ๕ มันต้องว่างโล่ง อยู่เฉยๆ เด๋อๆ ไม่ใช่ ไอ้อย่างนั้นวิปลาส เราต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่เหลือ สิ่งที่มี สิ่งที่ยังอยู่ ก็คือเหลือ คือมี คือยังอยู่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีค่า ประเสริฐ ถ้าสร้างประโยชน์ให้แก่โลก ให้แก่มนุษยโลก เผื่อแผ่เป็นงานเสียสละได้อย่างแท้จริง เป็นตัวอย่างรังสรรค์ สร้างสรรทุกอย่าง เราก็ให้มันเป็นจริงไปเถอะ ถึงยังไง มันถึงที่จบแน่ ใจเราปล่อยใจเราวาง ไม่มีอะไรขัด ไม่มีอะไรข้อง ไม่มีอะไรขวาง สบาย มันมีรู้เท่านั้นเอง มันเมื่อย มันเปลี้ย มันเพลีย มันจะทำให้สุขภาพเสีย โทรมเกินไปแล้ว เราไม่ใช่เราหวงสุขภาพ ถ้าคนที่เป็นอรหันต็์จริง จะไม่เสียดายสุขภาพ แม้มันจะเสื่อมโทรม มันจะตายเร็วกว่าควร ไม่มีปัญหา

ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ไม่มีปัญหา เพราะว่าท่านไม่ได้ห่วงสังขาร ไม่ได้ห่วงสุขภาพเกินไป แต่ท่านก็ ไม่ทรมานสุขภาพ ให้เป็นอัตตกิลมถานุโยค เพราะมันจะเป็นภาระแก่ผู้อื่น ถ้าเรายังเป็นที่เคารพ นับถือของผู้อื่น แม้สุขภาพของเรา เสื่อมลง โทรมลง อย่างที่เขาเห็นทันตาเลย เป็นป่วย เป็นเจ็บ เป็นอาพาธ เขาทนไม่ได้ เขาจะต้องเป็นทุกข์ เขาจะต้องรีบรักษา เขาจะต้องประคบประหงม เป็นภาระแก่เขา

เพราะฉะนั้น เราก็ยังไม่ต้องทำตนให้แก่เขา ต้องเป็นภาระจนเกินไป แต่เราจะไม่เสียดาย แม้มันจะ.. นี่มันจะเกินไปหน่อยแล้วนะ เปลี้ยไปหน่อยแล้วนะ เพลียไปหน่อยแล้วนะ มันทำให้สุขภาพของเรา เสื่อมไปบ้างแล้วนะ เรารู้ตัวของเรา แต่คนอื่นยังไม่ทันรู้หรอก คนอื่นยังไม่ทันสังเกตเห็น คนอื่นสังเกตไม่ได้ เพราะมันอยู่ส่วนละเอียด ส่วนในของเรา พระอรหันต์จะไม่กลัวอะไร สุขภาพเรา จะเสื่อมลงไปบ้าง โดยที่คนอื่นยังไม่ทันรู้ และคิด และเห็นด้วยว่า คนอื่นยังรู้ไม่ทันเรา มันจะเสื่อม ลงไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่ยุแหย่ให้คุณทำให้สุขภาพตัวเองเสื่อมนะ ก็ไม่ใช่ แต่ความจริงแล้ว พระอรหันต์ท่านจะทำให้พอดี จำเป็นเท่านั้นมันจะเสื่อม มันจะทำให้เกินการไปหน่อยหนึ่ง เพราะจำเป็นที่จะต้อง เป็นงานเป็นการ จะต้องรีบด่วนทำ จะต้องจัดการไป ท่านก็จะต้องทำไป อย่างนี้ หรือไม่ทำไปแก้ตัวไป อะไร เพื่อจะไม่ต้องไปทำให้คนอื่น เขาต้องเป็นภาระ เขาต้องหนักใจ เขาต้องวุ่นวายอะไรมาก ท่านก็จะทำไป ท่านรู้เป็นงานการ เป็นภาระ เป็นสิ่งที่ดี เป็นกุศล ยังกุศลให้ถึงพร้อม ท่านมีจิตที่เป็นกุศลเพียงพอ เป็นเจตนาที่เป็นกุศลเจตนาเพียงพอ ที่จะสร้างสรร ที่จะทำขึ้นไปในฐานะที่เรามีรูป นาม ขันธ์ ๕ แท่งนี้เหลืออยู่ ให้เป็นประโยชน์ ให้สูงที่สุด ที่มันจะเป็นไปได้ เพราะไหนๆ มันก็จะถึงที่ตาย เวลามันก็เดินไปๆๆ วันหนึ่ง มันต้องถึงที่ตายแน่ๆ ท่านไม่สงสัยเลย เพราะฉะนั้น ท่านจะไม่ให้เปลืองเปล่า ท่านจะไม่ให้อยู่เปล่า ท่านจะไม่ให้ มันสูญเปล่าไปง่ายๆ สูญเปล่าโดยไม่เข้าท่า ประเดี๋ยวมันก็ตาย เดี๋ยวมันก็ไร้ค่า

เป็นความรู้ที่อรหันต์ต้องรู้ พระอรหันต์รู้ รู้ว่า อ๋อ ! มันเป็นสัจจะ เป็นความจริง มันเป็นอย่างนั้น เสียดาย ไม่เสียดาย มันก็ต้องตาย แล้วพระอรหันต์จะไม่เสียดายเลย ท่านถึงไม่กลัวตาย เพราะฉะนั้น แม้มันจะเสื่อมหน่อย ก็ไม่สงสาร ท่านจะไม่มาโอ๋ตัวเรา ท่านจะไม่มานั่งเสพ แม้แต่อารมณ์ในวิญญาณ ในจิต เสพหยุด เสพเฉย ติดว่าง ติดวาง ติดปล่อย ท่านรู้แล้ววาง ว่าง ปล่อย ดี เฉย ดี เบา ง่าย แต่อารมณ์นั้น ต้องล้างความติด สลัดคืนได้ ไม่ติด ไม่เป็น ไม่มี ไม่ว่างก็ได้ ไม่วางก็ได้ ไม่เฉยก็ได้ วุ่นก็ได้ แต่ท่านวุ่นของท่านไม่ทุกข์ ท่านปรุงท่านไม่ทุกข์ บอกแล้ววุ่น หรือปรุง หรือสังขารท่านไม่ทุกข์ ท่านรู้ว่า นี่ต้องปรุง ต้องทำ แต่ท่านไม่วุ่นมากหรอก ท่านจะวุ่นเรื่องอะไร ก็เป็นเอกัคคตา เป็นฌาน วุ่นเรื่องนี้ ทำเรื่องนี้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ทำให้มันดี

ปรุงนี้หมายความว่า ทำให้มันได้สมส่วน สร้างให้มันได้กิจจะลักษณะ ให้มันมีไอ้โน่นไอ้นี่ อะไรต่ออะไร เป็นกิจเป็นการ อันลงตัวลงตน เป็นไปด้วยดี รู้แล้วว่าอันนี้ควรทำ ก็ทำไปปรุงไป ทำไปสร้างไป จะไม่เอาจิต มาประกอบ ทำแล้วเด๋อได้อย่างไร มันก็ต้องมีจิตประกอบ เอามาปรุง มาร่วม มาคิด มาอ่าน อะไรอย่างนี้ ขนาดก็ยังงี้ๆ เข้าท่าก็ยังงี้ ถูกก็ยังงี้ เจริญก็ยังงี้ ก็ต้องพัฒนา เป็นอิทธิบาท ก็ต้องมีปัญญาเข้ามาร่วม ก็ต้องมีการคิดอ่าน มีการเทียบเคียงว่า อะไรควรจะ ดีกว่าอะไร อันใดควรจะพอเหมาะพอสม หรือว่าอะไรมันจะได้ประโยชน์กว่าอะไร ก็ต้องดู ต้องรู้จริงๆ ทำงานไปโดยไม่มี สติสัมปชัญญะ มันจะไปได้ยังไง มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา แม้ปัญญาอย่างโลก ก็ต้องรู้ เอามารู้ เอามาใช้ด้วย เท่าที่เราสามารถจะรู้ และ ประมาณด้วย บางที เราจะไม่เอาตามโลกเขาจนเกินไป เอาแค่นี้ๆละ ไม่เช่นนั้นแล้ว มันก็เป็นการอนุโลมเกินไป ก็รู้ ท่านจะรู้สัดส่วนทีเดียว

อันนี้เป็นเรื่องของพระอรหันต์ ที่จะมีปฏิสัมภิทาญาณมากน้อยเท่าไรๆ ก็ตาม ก็จะเอามาทำ ไม่ใช่ว่า เฉยเด๋อ แล้วก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร มันมีรายละเอียด ที่อธิบายไปนี่ ก็ส่วนหนึ่ง มันมีรายละเอียด มากกว่านี้อีก ที่จะต้องเข้าใจ แล้วมันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริง ความจริงของมนุษย์ ที่ถอดตัว ถอดตน จะเห็น จะรู้ แล้วก็จะเข้าใจ พยายามเข้าใจตามติดให้ได้ แม้แต่ติดความว่าง อยู่เฉยๆ วางปล่อย เฉยๆ พยายามเข้าใจให้ดี ถ้าติดมันก็ติดเท่านั้นเอง มันก็อยากจะอยู่ว่างๆ อยู่ เฉยๆ มันก็ยินดีกับความล่องๆแล่งๆ ไปนี่ มันเป็นความรู้ ที่รู้แต่ส่วนติด รู้แต่ส่วนว่าง รู้แต่ส่วนทิศทาง ที่จะไปหาศูนย์ (สูญ) รู้สูญแล้วไปติดสูญ รู้ว่างแล้วไปติดว่าง คำว่าความติดนี่ คือกิเลสที่แท้จริง เราติดที่ไม่ว่าง ติดทำงานเกินไป จนสุขภาพเสื่อม สุขภาพเสีย ก็ไม่รู้ละ นอกจากไม่รู้แล้ว ถ้ายังมีเหตุปัจจัยว่า นอกจากทำได้งานแล้วยังได้เงิน ยังได้เกียรติ ได้ยศ แล้วก็เกียรติยศก็มาเป็นเหตุ ปัจจัยชูใจให้ทำๆๆๆๆ เพื่อจะได้เกียรติสูง ยศสูง ได้ลาภมากอีก สุขภาพจะเสื่อมเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่รังเกียจ ไม่แคร์ มันก็ยิ่งแย่ แล้วเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ในโลกนะ มนุษย์ในโลกเขาทำจริงๆ

ทีนี้ สำหรับผู้ที่รู้แล้ว ลาภยศ ไม่เอามาเป็นเหตุปัจจัย ก็ดูแต่สุขภาพร่างกาย เรียกว่า ดูแต่รูปขันธ์ ของเรา เราดูแต่สุขภาพร่างกายว่ามันพอเป็นไป พอตั้งอยู่ ไม่ใช่ไปทรมาน เป็นอัตตกิลมถานุโยค จนเกินไป แม้มันจะเสื่อมกว่าควรเล็กน้อย พอทนได้ ทนได้อยู่ พอเป็นไป อย่างที่ยกตัวอย่าง เคยยกให้ฟังแล้ว พระพุทธเจ้านั่น เสื่อมกว่าควร จึงแค่อายุ ๘๐ แล้วก็ดับขันธ์ ยังไม่ถึงร้อย ทั้งๆที่ ควรถึงกัปป์ นั้นเป็นอย่างนั้น ตรงตามที่ท่านตรัสกับพระอานนท์ ใช่ อานนท์ เราจะให้ยังไปจน ถึงกัปป์ก็ได้ หรือเกินกว่ากัปป์ก็ยังได้ ถ้าพยายามจะเข็นไปอีก ก็พอได้ ด้วยอิทธิบาท แต่ว่าเราแก่แล้ว คร่ำคร่าเหมือนกับเกวียน กำก็ต้องดาม กงก็ต้องดาม ต้องดามแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เราก็จำเป็น จะต้องตายละ สมควรแล้ว อานนท์ เราก็ต้องให้ท่านสมควร เพราะท่านสมบุกสมบัน ท่านทำจริง มันมีเหตุปัจจัย จริง มันทำจริง ก็สมควรตาย ถูกตามเขตตามขอบ ถูกตามสาระ ไม่ได้อยากตายก่อน ไม่ได้อยากตายหลัง ไม่ได้อยาก ความอยากไม่มี มีความอยากอยู่ มันก็ทุกข์ มีความอยากอยู่ มันก็ลำบาก มันเป็นไปเอง เป็นไปจริงๆ ต้องจะมีจิตปัญญาอันสูง หรือว่าเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัยจริงๆ แล้วเรื่องอย่างนี้ ปัจจัยจริงๆ มันเป็นไปตามจริง ไม่ได้อยากตาย ไม่ได้อยากเป็น ไม่ได้อยากเกิด ไม่ได้อยากตาย มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่แท้จริง เป็นความจำเป็นที่ท่านต้องทำงาน แล้วท่านก็ทำ จริงๆ

เพราะว่าในยุคพระพุทธเจ้าองค์ปลายนี่นะ องค์ปลาย จะเรียกว่าองค์ปลายก็ไม่ใช่องค์ปลาย แต่เป็นองค์จะต้องต่อ พอจากนี้ไปต่อแล้วสบาย พระศรีอาริยเมตไตรย์ ต่อพระพุทธเจ้านี่สบาย สบาย สอนไม่ยาก คนไม่โง่ คนไม่ทุกข์ คนทุกข์มีน้อย ถ้ามาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เรียกว่า ในกัปป์ต้นของกัปป์ จะแก้ไขก็แก้ไขระยะแรก เปลาะแรก พระศรีอาริยเมตไตรย์ ส่วนพระพุทธเจ้า องค์พระสมณโคดมนั้น แก้ระยะปลาย แก้ช่วงปลาย ช่วงสุดท้ายแล้ว แก้ช่วงนี้แล้ว เสร็จแล้วก็ หมายความว่า ถ้าปล่อยทิ้ง ก็ปล่อยเลย แล้วก็จริงด้วย ก็ ปล่อยเลย จากนี้ไป ก็ไปหาความสูญ บรรลัย แก้ไม่ได้อีก ให้ท่านเก่งเท่าไหร่ ก็ แก้ไม่ได้อีก หมดที่จะบูรณะ บูรณะก็ไม่ได้ อะไหล่ก็ใช้ไม่ได้ ไม่ได้แล้ว พังท่าเดียว เพราะท่านมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อ องค์ต่อที่จะต่อเชื่อมไปหาต้น พระพุทธเจ้าองค์สมณโคดม นี่

เพราะฉะนั้น ท่านถึงต้องทำงานหนัก ทำงานหนัก เพราะว่ามันหยาบ มันยาก มันหนา มันเป็น ขั้นปลาย ต้องตบ ต้องแต่ง ต้องบูรณะ ต้องใช้ปัญญาอย่างสูง ลำบากทั้งเหตุปัจจัย ใช้ปัญญา ใช้กำลัง ลำบากทั้งเราต้องใช้กำลังปัญญา กำลังแรงที่จะต้องกอบกู้ขึ้นมาตั้งมาก สุดแล้ว ต่อจากนั้น ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิด มีแต่โพธิสัตว์ หรือมีแต่สาวกผู้ที่จะช่วยเหลือเฟือฟาย เกื้อหนุน เป็นเชื้อ ที่จะให้ศาสนานี่เดินไปๆ จนกว่าจะสมส่วนของมันว่าหมดสูญ มันไม่มีส่วนที่จะให้ พระพุทธเจ้าเกิดได้อีก

เพราะฉะนั้น ผู้ที่มาทำอยู่ อย่างผมขึ้นมาทำนี่ ทำยาก ยากแล้ว ไม่บริบูรณ์ ทำแล้วสุดเปลี้ย สุดเพลียเลยเชียว ไม่บริบูรณ์หรอก จึงเป็นไปไม่ได้ ตามที่จะเรียกว่า จะต้องเป็นยุคใหม่กัน เปลี่ยนก็ยังเปลี่ยนไม่ได้ เปลี่ยนสูตร เปลี่ยนอะไรก็ยังเปลี่ยนไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัยยังไม่สมส่วน ที่จะต้องเปลี่ยน เปลี่ยนระบบ เปลี่ยนระบอบ เปลี่ยนเหตุปัจจัย เปลี่ยนสูตร เปลี่ยนวิธีการ เปลี่ยนทฤษฎี ก็ยังไม่ได้ ต้องดำเนินไป ดำเนินไป แต่อย่างนั้นก็ต้องปรับปรุงแบบฉลาดที่สุด เท่าที่จะใช้ความฉลาด ก็มาหัดฉลาด อย่างผมนี่ ต้องมาหัดฉลาด หัด หัดฉลาดให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ หัดฉลาดอย่างจริงใจ จริงใจ หัดฉลาดอย่างที่เรียกว่า ต้องทำให้ดี ทำให้สูง ทำให้ได้ผล สูงที่สุด ดีที่สุด จนมีเหตุปัจจัยจริง ไม่ใช่ว่าทำ โดยไปคาดคะเน คิดเอา ไม่ใช่ มีรายละเอียด มากเหลือเกิน แล้วมันก็ได้ มันก็ได้ตามที่ได้ มันจะไปบริบูรณ์ มันจะไปมากมาย แล้วมันจะได้ผลดี อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำนั้น ไม่ได้หรอก ทำมากได้น้อย ทำมาก ทำมาก เยอะแยะ แต่ได้น้อย เป็นอย่างนั้น เป็นธรรมดา

อันนี้ ตัวผมเอง รู้พื้นของผมมาแต่ไหนๆแล้ว เรื่องนี้ ทำไปก็ได้ แต่ทำมากแล้วได้น้อย ต้องรู้เลย ทีเดียวว่า เรานี่ขาดทุนมาแต่ต้น แต่เค้า เป็นผู้ขาดทุนมาแต่ไหนๆ จะไปทำน้อยให้ได้มาก อย่าไปหวัง เสียเลย ยิ่งถ้าไปซื้อหวย ๑๐ บาท จะถูกเลย ได้ร้อย ได้พัน ได้หมื่น ได้แสน จนหย่ากันแล้ว เรื่องซื้อหวย ก็อย่างที่เคยเล่าสู่ฟัง หรือทำงานก็เหมือนกัน ทำกับคนอื่น ทำกับใครต่อใคร เอ๊!ทำไม เขาทำได้ทำดี เขาทำนิดทำหน่อย เขาก็ทำรวย ทำได้มาก ได้ผลตอบแทนเยอะแยะ เราทำไมไม่ได้ หลายอย่าง แม้แต่บอกฝีมือ เอ๊ ! เราก็ว่าฝีมือเรานี่ จะว่าเข้าข้างตัว เราก็พยายามให้คนอื่นเช็คดู ก็ว่าฝีมือเราก็ดีกว่านะ แต่ทำไมต้องให้เราราคาถูก เขาให้เราราคาถูก ฝีมือก็ให้ถูกกว่า ไอ้ปริมาณน่ะ นับง่าย ไอ้ปริมาณมาก แล้วเขาให้น้อยน่ะ ไม่มีปัญหา ถ้าเอาทางคุณค่าด้วย เขาก็ให้ราคาถูกกว่า มันเป็นยังไง สงสัยแต่ไหนๆ จนกระทั่งหมดสงสัย เอ๊! เราดวงมันเป็นยังงี้นะ จนต้องยอม ยอมมา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ยิ่งเข้าใจ

แม้แต่มาสร้างค่าทางธรรม ทำไปเถอะ แม้แต่ผู้ได้รับค่าทางธรรมแล้ว ยังตีโต้ตอบทีหลัง ยังได้เลย เพราะฉะนั้น ก็เป็นภูมิของเรา มันเป็นผล มันเป็นโจทย์ ให้แก่ตัวผมเองด้วย ถ้าผมเอง ผมไปยึดถือว่า ทำดีแล้วคนอื่นเขาลบหลู่ดีนี้ เขาไม่ศรัทธาเลื่อมใส เขาไม่กตัญญูกตเวที ต่อดีที่เราทำให้เขานี้ แล้วเราก็ยังจะเอามาทุกข์ เราจะเอามามีมานะ เราจะเอามาถือตัว เราจะเอามาโกรธ มาแค้น มาเคืองอีก เราก็ซวย

เพราะฉะนั้น มันจะให้มีเชียวแหละ มีมาซิ มีมามากๆ มันก็มีมาจริงๆ แล้วเราก็จะได้เฉยกับมัน ได้จริงๆ แล้วก็จะเห็นจริงๆว่า เอ๊อ!มันเป็นจริงหนอ มันเป็นตัวอย่างที่จะล่อเรา น้ำหนักน้อย เราก็อาจจะไม่กระเทือน มันก็พยายามมีน้ำหนักมาก มีตัวผู้อกตัญญูมากๆขึ้น มีตัวผู้ไม่ระลึกรู้คุณ มากขึ้น ระลึกรู้คุณแล้วก็ถดถอยไป เป็นยังโง้นยังงี้ไป อะไรต่างๆนานา มันก็เป็น เราทำนี้ เราก็ว่าดี๊ดี ลงทุนตั้งมากตั้งมาย คนในจำนวนพัน จำนวนร้อย ทำไปแล้ว ก็ได้น้อยหนึ่ง นอกนั้นเขาดูถูก นอกนั้นเขาเกลียดชัง นอกนั้นเขาไม่เข้าใจต่างๆนานา เราเฉยได้ไหม ทนได้ไหม ตรวจว่าเราทำนี่ เป็นสิ่งดี เป็นสัจจะหรือเปล่า สัจจะ เราก็ตรวจอีก ตรวจแล้ว เราหลงอยู่คนเดียวหรือเปล่า เปล่า คนรู้คนเห็นจริง ยืนยัน ยืนหยัด ยืนกัน อย่างมีน้ำหนัก ยืนยันกันอย่างมีปัญญา แต่ก็จะต้อง มีสิ่งนั้นๆขึ้นมา บอกว่าไม่เห็นด้วย ไม่ดีไม่เอา และที่จริง มันก็เป็นสัจจะ ไม่เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้ เพราะยุค เพราะกาล เพราะมนุษย์ เพราะเหตุปัจจัย ทุกอย่างต้องเป็นอย่างนี้ลงตัว ยิ่งวิเคราะห์แล้ว ยิ่งเห็นสัจจะคือสัจจะ เหมือนกับจับตัววางตาย แต่ก็ไม่ใช่ ถ้าขืนจับตัววางตาย ปล่อยไปเลย เราก็ไม่ดูดำดูดี เราก็ไม่อนาทรร้อนใจ เราก็ไม่มีความขวนขวาย เราก็ไม่เจริญ เราก็ไม่ได้รู้ เราก็ไม่ได้สัมผัส เราก็ไม่ได้ก้าวหน้า ทุกอย่างสบายก็สบายได้ สบายล่อยๆล่องๆ เราก็รู้ ไม่ใช่อยากได้ดี แต่เราควรดี ไม่ใช่อยากได้ดี แต่เราควรดี

ไม่ใช่ว่าเราเอง เราปล่อยร่องๆแร่งๆ ไปตามที่ไม่ควรร่องแร่งๆไปเฉยๆ ก็ปล่อยได้ เพราะคนเลวกว่าเรา ก็ยังปล่อยได้ ทำไมคนขนาดเราจะปล่อยไม่ได้ เราปล่อยเป็นด้วย แล้วก็มี อย่างน้อยเราก็มีคุณธรรม ที่เป็นอัตโนมัติ ที่มากกว่าเขาด้วย ทำไมเราจะปล่อยไม่ได้ ปล่อยได้ แต่เรารู้ว่าปล่อยกับไม่ปล่อยนี่ นี่เป็นขั้นตีกลับแล้วนะ เราปล่อยเป็นแล้ว แต่เราไม่ปล่อย นี่ เป็นขั้นตีกลับ เป็นปฏินิคสัคคะ เราไม่ปล่อยเสีย ก็เป็นการกตัญญู เป็นการสร้างสรร เป็นการเอาภาระ เป็นธรรมทายาท เป็นลูกที่ไม่อกตัญญูจริงๆ

พระพุทธเจ้า ท่านถึงได้เปล่ง เป็นอุทาน ทำอย่างไรหนอ สาวกของเรา จึงจะเป็นธรรมทายาท ไม่เป็นอามิสทายาท แม้แต่ไปติดสิ่งที่แลกเปลี่ยน ปฏิบัติธรรมมาเพื่อเป็นเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ที่จะไปอยู่ในอสัญญี หรือจะไปเสพว่าง เสพหยุด ก็ยังเป็นเทพเจ้า องค์ใดองค์หนึ่ง ยังเป็นอามิส จะบอกว่าสุข หรือเรียกว่า รสโลกุตตระ รสว่าง ไม่ใช่สุขอย่างโลก ไม่ใช่สุขอย่างปรุง เป็นนิรามิสสุข ก็เสพสุขอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าบอกว่าไม่ใช่อามิสก็ตาม โดยภาษา เรียกว่า ไม่ใช่อามิส มันก็เป็น อามิสส่วนลึก ส่วนสุขุม เป็นอาโลก เป็นโลกที่มันเป็นอีกโลกหนึ่ง ไม่เสพโลกหยาบ ก็ไปเสพ โลกละเอียด เอาโลกละเอียดมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ละเอียดที่สุดแล้ว โดยการยึดมั่น การติด ฟังซับซ้อน ฟัง มันกลับไปกลับมา

ถ้าเผื่อว่าผู้ใดไม่เข้าใจตัวจริง ไม่เข้าใจความวางตัว ว่าเราจะวางอยู่ในขณะนี้ๆ เราจะเป็นอย่างไร เราได้นิพพาน เราไม่ติดนิพพาน เราไม่สัญญามั่นหมายในนิพพาน เราจะไม่หลงนิพพานเป็นของตน คำพูดต่างๆ คำตรัสต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นการบอก ให้เราหยุดยึดมั่นถือมั่น หยุดติด นิพพานไม่ได้ ช่างหัวมัน แต่เราเป็นแล้ว เรามีแล้ว เราเป็นนิพพาน สิ่งที่เป็นจริง ถึงจริง มีจริง มันเป็นจริง จิตมันไม่ได้เป็นตัวหลอก มันรู้ว่า ไอ้นี่ขี้ จะไปจับขี้ยังไง มันก็ไม่อยากจับขี้อยู่ตลอดเวลา มันจับ เพราะจำเป็น มันจับเพราะวางใจ อย่างที่ยกตัวอย่างแล้วว่า เราต้องล้างก้นนี่ เราจับเพราะวางใจ เราไม่ทุกข์ แล้วเราก็ธรรมดา ถ้าเราไม่จำเป็น เราไม่อยากจับหรอก อยู่ดีๆ จะไปจับมันทำไม เราไม่ดูด ไม่ติด และแน่นอน อยู่ดีๆ อยากจับขี้ อยากล้างก้นเหรอ เปล่า ไม่มีใครอยากล้างก้น แต่จำเป็น ต้องล้างกัน แต่เมื่อล้างก้นนั้นน่ะ ถ้าคุณยึดถือ คุณทุกข์ แต่ถ้าคุณล้างก้นแล้ว คุณไม่ยึดถือ คุณก็หมดทุกข์ ฟังดีๆ ตัวอย่างวันนี้ มันดูจะดี ดูจะเข้าใจได้ง่าย

ต้องอ่านวิตกวิจารของจิตของตัวเองจริงๆ อ่านดูดีๆ อ่านวิตกวิจารของจิตจริงๆ มันเป็นแล้วก็เป็น ได้เมื่อไหร่มันก็ได้ แต่ธรรมดาใครอยากเอามือมาล้างก้น มาจุดแตะขี้อยู่อย่างนั้น ใครอยาก ไม่มีใครอยาก มันจำเป็น แล้วมันต้องทำ แต่ก็ทำได้ว่า มันไม่มีใครล้างก้นให้คนอื่น มันจำเป็นต้อง ล้างก้นให้คนอื่น ก็ล้าง มันสมควร มันจำเป็น มันเห็นควร ควรล้างให้เขาก็ล้าง แล้วเราก็ล้าง ด้วยใจวาง ที่เราวางเป็นน่ะแหละ เราล้างก้นเราเอง แตะขี้เราเอง เราก็วางใจเราลงได้อย่างนี้ ก็คนอื่นก็อันเดียวกัน ขี้คนนี้ ก็เอาไปให้คนอื่นอีก ขี้ของเรา ขี้ของอีกคนหนึ่ง เอาไปให้กับคนที่สามอีก เขาไม่อยากแตะเหมือนกัน มันก็เป็นขี้ของคนอื่นเหมือนกัน ขี้ของเรา เขาก็ว่าของคนอื่น คนนั้นเขาว่า ของคนอื่น แท้จริง ขี้ของเขาหรือของคนอื่น คนอื่นก็ว่าของคนอื่นอีก คนอื่น ก็ว่าขี้เขาน่ะ ของคนอื่นมันอื่นๆๆ ทั้งนั้นแหละ นอกจาก มันหลงว่าเป็นเราเท่านั้นแหละ มันก็คิดว่า แหม! ค่อยยังชั่ว ดีหน่อย ก็ของเรา คนมันหลงตัวเราอย่างนี้ ถ้าใครไม่หลงตัวเรา มันก็อื่นทั้งนั้นแหละ ขี้น่ะ มันของคนอื่นทั้งนั้นแหละ ขี้ของเรามีที่ไหน มันไม่มี ขี้ของเรามันก็ไม่มี แต่เราหลงนะ หลงมาก หลงว่าขี้ของเรา เหมือนขี้ของเราน่ะ มันมีส่วนผสมของธาตุอาหาร ธาตุอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ดิน น้ำ ไฟ ลม อย่างนั้นแหละ แล้วมันก็มีกลิ่นอย่างนั้น มีอย่างนั้นๆ มีสัญชาตญาณรับรู้ว่า เป็นของน่าเกลียด มาแต่ไหนแต่ไหน สัตว์อื่นมันไม่สัญญา มันกินด้วยซ้ำไป หมู หมา มันกิน มันยังไม่ได้สัญญาว่า ของน่าเกลียด แต่คนสัญญา ไปกำหนดเอา แล้วก็เลยน่าเกลียด อย่างนี้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราเองมีตัววาง ตัวใจวาง ตัวนี้มันเป็นของจริงที่จิต เป็นความสามารถทำได้ เมื่อทำได้แล้ว แล้วก็ใช้มันเป็น ใช้มันได้จริงๆ แล้วเราจะต้องไปติดมันทำไม จะไปเกาะ จะต้องเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดกาล ทำไม ไม่ต้อง ไม่ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดกาล ทำอื่นก็ได้ ไปสร้างสรรก็ได้ เป็นประโยชน์อื่นก็ได้ เป็นแล้วเป็นเลย ได้แล้วได้เลย ไม่ใช่ว่าได้แล้ว แล้วก็แกล้งไม่ได้ แกล้งไม่ได้ยังไม่ได้เลย

เช่นเดียวกัน เดี๋ยวนี้ ให้คุณแกล้งตักข้าวเข้าปากอย่างนี้ เหมือนตอนที่คุณเด็กๆ อ่อนแอ ตักข้าว เข้าปากไม่ค่อยเป็น ไม่ค่อยถูก ตรงๆ คุณทำอย่างนี้ คุณจะแกล้งทำอย่างนี้ คุณทำยังไงก็ไม่เป็น ทำยังไงก็ไม่ค่อยเป็น แกล้งไม่เป็น แกล้งไม่ได้หรอก มันเป็นแล้ว มันเป็นเลย คุณแกล้งเดินตอนนี้ แกล้งเดินซิ แหม!เราเดินไม่เป็น เหมือนกับหัดเตาะแตะๆ เหมือนตั้งไข่ คุณแกล้งเป็นไหม มันไม่เป็นน่ะ แกล้งยังไง ก็มันเป็นแล้ว จะไปแกล้งได้ยังไง เพราะฉะนั้น นิพพาน หรือว่าจิตจริง ที่มันสำเร็จแล้ว มันสำเร็จเลย ไม่ใช่เรื่องต้องแกล้ง ต้องอะไรกัน

ขอให้อ่านจิต อ่านจริงๆ รู้พฤติการณ์ของจิต รู้วิจาร ผู้ใดเริ่มรู้ ผู้ใดเริ่มเข้าใจ เรียกว่าปีติ เริ่มจับได้ เรียกว่าปีติ เห็นดี รู้ดี ได้สัมผัสดี ก็ดีใจ เพราะมันยังได้ใหม่ๆ ยิ่งเข้าใจจริงๆ ต้นๆ มัน แหม! มันดีใจ มันยินดี มันตัวรู้ดี ที่มีรส แล้วมันได้ดี ที่ดีจริง ไม่ใช่ดีอย่างโลก มันได้ธรรมะ มันได้ความสามารถ ทางธรรมด้วย มันยินดีทีเดียว จึงเรียกว่าปีติ ทุกคนต้องเกิด ถ้าได้แล้ว ทีนี้ เราเรียนรู้ในทฤษฎีว่า ถึงปีติ เราก็อย่าไปหลงใหลมันนา ให้จิตมันอ่อนลง ไปนั่งยินดี ตีปีกตีขาแรงๆอยู่ มันก็ไม่ควร ลดลงมาเสีย ปีติ มันเป็นแรงจิต มันผูกใจ ติดใจเกินไป แล้วเดี๋ยวก็ไม่เป็นอื่นกัน เดี๋ยวก็ไม่ได้ต่อฐาน ประเดี๋ยวก็ไปติดอยู่ที่ฐานเดิม แค่นั้นเอง ไม่ทวี ไม่พัฒนาต่อ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

หลงว่าดีมันมีเท่านี้ในโลก เปล่า มีดียิ่งกว่านี้อีก เพราะฉะนั้น ไม่ต้องติด ได้แล้วก็ได้ สบาย รู้ให้ชัด ทำให้ชำนาญ ถ้าได้แล้วก็ เออ! ถ้ารู้ว่าดีแล้วก็ดี อย่างนี้ก็แล้วไป ไม่ต้องให้อารมณ์จิต ไม่ให้วิจาร หรือพฤติกรรมจิต ไม่ให้มันฟูใจมากเกินไป ได้แล้วรู้แล้ว ลักษณะนี้ กำหนดลงไปให้ชัด แล้วก็ทำอย่างนี้แหละ ให้เป็น ให้มั่น ทำบ่อยๆ ฝึกเข้าอีก คุณฝึกได้มั่นคง คุณก็จะเคยชินมัน แล้วคุณก็จะชินชาต่อมันด้วย ความที่จะมานั่งดีใจ ความที่จะมานั่งฟูใจมาก ก็น้อยลงจริงๆ ถ้ายิ่งเรามีทฤษฎีเข้าใจ แล้วเราก็ทำจิตของเราให้ได้จริงๆ มันก็ไม่ฟูใจนาน มันก็ไม่ยินดีนาน ปีติก็ไม่นาน ทีนี้ คุณก็ได้เรื่อย มันก็ไปหาสุข คือว่างลง ถ้าคุณลดปีติ มันก็เป็นสุข คือว่าง บอกแล้วว่า สุขะนี้ โดยเนื้อหาสาระแท้ๆเลยจริงๆ มันแปลว่า ว่างนั่นแหละดี สุขะ แยกบัญญัติให้ฟัง แยกตัวอักษร ให้ฟัง พยัญชนะให้ฟัง แล้วมันลักษณะจริง ลงมาอีก หรี่ลงมานั่นเอง จากปีติ หรี่ลงมา ว่างลงมาอย่างดี อย่าไปนั่งติด นั่งแน่น นั่งหนาอยู่ ให้ว่าง ให้บาง ให้เบาลงมา มาหาเฉยเอง

อยู่ในฐานกลาง เฉย วาง ปล่อย เปล่า โปร่ง มาหาฐานของเฉย มาหาอุเบกขา มาหาความเป็นหนึ่ง ไม่มีอะไรปรุง อะไรปน อุป+เอก+ขะ มาหา สภาพว่างจริงๆนะ เป็นเอก ขะ บอกแล้ว สุข ตัวขะ ก็เป็นว่าง มันเป็นหนึ่งจริงๆ นะ มันว่าง มันหนึ่ง มาหาหนึ่งเลยนะ ใกล้ความเป็นหนึ่ง เข้ามาจริงๆ ใกล้ความเป็นสูญเข้ามาจริงๆ สูญ นั่นก็เป็นหนึ่งที่จริง ถ้าเรามีจิตรู้สูญ จิตรู้ว่าง ไอ้ตัวจิตรู้ เป็นหนึ่ง ไอ้ตัวว่างเป็นอีกหนึ่ง มันก็เป็นสอง มันเป็นสอง เพราะฉะนั้น แม้ว่างนั่นก็เป็นหนึ่ง หนึ่งที่ให้ไอ้จิตรู้ ถ้าตัวจิตเอง หรือตัวว่างเอง อะไรว่างกัน ในโลกก็เป็นลักษณะหนึ่ง สัญลักษณ์หนึ่งของโลก ว่าง คุณจะเอาอะไรว่าง เอาวัตถุ ดิน น้ำ ไฟ ลม ว่าง มันก็เป็นสัญลักษณ์ อันหนึ่งของโลก ที่จิตว่างๆ จิตที่มันโปร่งๆ จิตที่มีอารมณ์ มีพฤติการณ์ว่าง วาง ปล่อย มันก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของโลก จึงเรียกว่าหนึ่ง

คำว่าสูญ ก็เป็นบัญญัติภาษา สูญมันไม่มี ไม่มีอะไรที่เราต้องการ ไม่มีอะไรที่เราหมาย ถ้าจิตเป็นธาตุรู้ มันก็เป็นจิตว่างๆ จิตธาตุรู้นี่มันต้องว่าง แต่มันก็เป็นจิตธาตุรู้ มันเป็นรู้ รู้เป็นหนึ่งอย่างเดียว ไม่มีอะไรอื่น ที่จะมาเลอะเทอะ ปนปรุง โดยเฉพาะอารมณ์ของโกรธ โลภ อารมณ์โลภ อารมณ์โกรธ อารมณ์โง่ ไม่ปนปรุงเข้าไป ไม่เลอะเทอะเข้าไป เป็นจิตใสๆ จิตสะอาด จิตรู้เต็มจิต มันก็เป็นจิตหนึ่ง เป็นลักษณะของจิต คุณจะบอกว่า จิตคือไม่ใช่จิต ไม่ใช่ ไม่ได้ จิตมันก็คือจิต มันทำหน้าที่นี้ มันต้องรู้ ถ้าไม่ใช่ธาตุรู้ละก็ไม่ใช่จิต จิตมันต้องเป็นธาตุรู้ มันต้องรู้ ไปดับมัน มันก็ไม่ใช่จิต พอมันรู้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรมาปนมาปรุง มาวุ่น มาวาย มาแถม มาเลอะเทอะ เป็นจิตสะอาด แล้วก็รู้เป็นสว่างแท้อยู่ ทำอะไรก็ทำด้วยปัญญา มีราบรื่นสงบเสงี่ยม ไปดี ไม่มีอะไร ที่จะไร้ผล แม้จะต้องต่อสู้อุปสรรค เหมือนไปผ่าโขดหินโขดเขา อยู่ในทะเลก็ข้ามหาดทราย ข้ามเกาะแก่ง ข้ามอะไรพวกนี้ก็ตาม มันก็ยังไปได้เรียบร้อย จะไม่ให้มันมีเสียเลยนั่นน่ะไม่ได้ โลกไม่ให้มีโขดหิน ไม่ให้มีแก่งผา ไม่ให้มีอุปสรรคไม่มี โลกไม่มีอุปสรรค ไม่มี

ยิ่งโลกทุกวันนี้แล้ว ยอดมหาบรมอภิอุปสรรคเลย เยอะแยะเหลือเกิน ยิ่งเลอะ ยิ่งเยอะ ยิ่งมาก ยิ่งเดี๋ยวนี้ยิ่งมากเลย อุปสรรค เพราะฉะนั้น ต้องรู้ความจริงอีกเหมือนกัน ว่าเดี๋ยวนี้ อุปสรรค มันยิ่งมาก เพราะกิเลสมันมาก เพราะคนที่มันจะรวนเร มันจะตีโต้ มันจะย้อนแย้ง มันจะอะไร ต่ออะไรมาก นักต่อสู้ นี่มาก ข้าศึกนี่มาก ทุกวันนี้ยิ่งมาก ถ้าเรารู้ความจริงนี้เสียแล้ว เราก็สบาย สบาย อุปสรรคมาก แต่ว่าในอุปสรรคเหล่านั้น เรากระทำไปได้ผลไหม ต้องเอาผล หรือ เอาประโยชน์มาวัด เมื่อได้ผลได้ประโยชน์อยู่ดี เราเองก็ไม่ได้อยู่ในภาวะเดือดร้อน ต้องซุกๆ ซอนๆ ต้องต่อสู้เจ็บปวด ต้องเหนื่อย ต้องเหน็ดแบบทรมาน ทรกรรม ต่อสู้เลือดตกยางออก ซอกๆซอนๆ จะอยู่อย่างอิสระเสรี จะไปจะมา จะพักที่นั่น จะอยู่ที่นี่ จะกินจะนอน จะอย่างโน้นอย่างนี้ ก็ต้องต่อสู้กับศัตรูอยู่เรื่อย .....เราไม่ต้องต่อสู้ เราปรารถนาจะนอนก็นอนได้ จะพักก็พักได้ จะอยู่ จะทำงาน ก็ทำงานได้ อะไรจะขัดจะเขิด ก็ห้ามจิตฤทธิ์แรงของเราไม่ได้ ฤทธิ์แรงของเรา ทำแล้ว มันก็สามารถนำไปด้วยได้ เขาไม่ถึงจะโต้ตอบตีตอบไปจนกระทั่งกลายเป็น เราเอง ถูกกระทบ กระเทือน จนลำบากลำบนใจ หรือลำบากลำบนกาย ใจน่ะมันเป็นความเก่งของคน

อย่างผม ผมทนได้ทุกวันนี้ เขาจะว่า เขาจะตำหนิติเตียน เขาจะกล่าวหา เขาจะย้อนแย้ง เขาจะเอาข้อนั้น ข้อนี้มาตีโต้อะไร ผมไม่มีปัญหา ผมทนได้ ผมรู้ชัด เข้าใจชัด ไม่สงสัย แล้วก็พยายามที่จะเอาเหตุเหล่านั้น มาเป็นเหตุปัจจัยที่จะปรุงให้ดีที่สุด แต่เจตนาไม่แกล้งเขา แต่ก็มีใจเมตตา เกื้อกูลเพื่อที่จะขัดเกลาเขา ผมไม่ทิ้งซึ่ง "สัลเลขธรรม" ธรรมต้องขัดเกลา ไม่ใช่ธรรมะก็ปล่อยปละละเลย ไม่ใช่ ธรรมะนี้มีการขัดเกลา ขัดเกลาเขา เท่าที่สามารถจะทำได้ แรงบ้าง สำหรับบางจุดบางส่วน บางครั้งบางคราว แรง แต่ก็เกิดผลสะท้อนกลับมา ผมไม่เดือดร้อน ไม่เดือดร้อน จะต้องถึงกับสุขภาพร่างกายเป็นไป ไม่ได้ แม้แต่ ถึงอิริยาบถต้องถูก ขนาดถึงไล่ อย่างโน้น ไล่อย่างนี้ ขนาดถึงแค่ไล่ ไม่ต้องถึงขนาดจะต้องมาตี มีข้าศึกมีศัตรูถึงขนาด จะต้อง ลงมือลงไม้ ทำรูปขันธ์เราให้สลาย อย่าว่าแต่ให้เจ็บใจเลย เอาเจ็บกาย เอาแต่กายแตกสลาย ยังไม่ถึงเลย ผมทำแรงทุกวันนี้ เขาว่าเราทำแรง ไม่แรงหรอก แม้แต่เราจะต้องไม่มีที่อยู่ เดือดร้อน ถูกขับไล่ ผลักไส ถูกรังควานอยู่ไม่เป็นที่ อยู่ไม่เป็นสุข ดิ้นรน เดือดร้อน หาที่อยู่ก็ไม่ได้ หาศาลลง ก็ไม่ได้ เป็นเจ้าไม่มีศาล ก็ไม่ใช่ เรายังไม่ถึงขนาดนั้น แม้เราจะทำแรง แต่เราก็ปรุงสัดส่วน มันซ้อนนะ มันซ้อน มันซ้อน มันน่าสงสัย

บางคนบางหมู่บางกลุ่ม เขาทำนี่ เขานึกว่าเราทำนี่แรง เขาว่ายังงี้โหดร้าย อำมหิต ไม่สันติ ไม่เรียบร้อย ไม่งาม เพราะเขาไปเพ่งงาม ตรงที่งามภาษา งามบัญญติ งามส่วน ต้องเพราะพริ้ง ด้วยภาษาพูด เพราะพริ้งด้วยกิริยาเกินไป แต่เขาหารู้ไม่ว่า สัดส่วนของโลก สังขารโลกของทุกวันนี้ มีเหตุ ปัจจัยอย่างไรเท่าไหร่ หยาบหรือละเอียดเท่าไหร่เขาไม่รู้ เขาไม่รู้ถึงสมมติฐาน ที่แท้จริงของโลก เขาก็เอาสิ่งนั้นมาทำ ผลมันก็เบา เมื่อผลเบา มันก็ไม่ได้ผลมาก ไม่ได้ผลมาก แต่คนเขาก็รู้ว่าสิ่งนี้ มันเป็นจริงว่าได้หรือไม่ได้ ทีนี้ ผู้ที่รับไม่ได้ มันก็ตีโต้ เมื่อไปตีโต้ มันก็แรง เมื่อเขารู้ว่าสิ่งนี้ มันย้อนแย้งเขา เขาก็จะต้องโต้ตอบ การโต้ตอบจึงแรงกลับ เพราะฉะนั้น นักธรรมะบางกลุ่ม ทั้งๆที่เขาบอกว่าแรง เขาน่ะเบากว่าเรา แล้วเราก็รับว่า เราแรงกว่าเขา

แต่เราแรง เราว่าเราได้สัดส่วน เป็นสาระ เขาไม่เชื่อ ไม่เชื่อจริงๆ ผมแน่ใจจริงๆ ว่าเขาไม่เชื่อ แล้วเขาก็ไปเพ่งโทษเรา ทั้งๆที่เขาเพ่งโทษเราน่ะแหละ เขาหาศาลลงก็ไม่ได้ เขาหาที่อยู่ก็ไม่ได้ ต้องได้รับการรังควาน ได้รับการสอบสวน ได้รับการขับไล่ แม้แต่มวลเนื้อที่เขาทำ มันก็ไม่ได้เนื้อ ได้หนังอะไรมากมายนัก ได้กอบได้แก่นอะไรมากมายนัก ช้า เขาก็เลยกลายเป็นยอมรับไปเลย ไม่เป็นไรเขาช้า เขาต้องการ ช้าๆ นิ่มๆ เนิบๆ น้อยๆ เขาก็ไม่แคร์ เขาก็ทำไป เอาก็เอา ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็เห็นอยู่ชัดๆว่า ไม่ใช่มหัปผลา มหานิสังสา ไม่ใช่ผลมาก ไม่ใช่ประโยชน์สูง เพราะเขาแคร์ต่อ การที่บอกว่าแรง

เพราะฉะนั้น ในเรื่องของแรงนี่ มันอยู่ที่อินทรีย์พละ อยู่ที่ผู้นั้นต่างหาก อยู่ที่ผู้ทำ ผู้นี้ทนได้ไหม นอกจากทนได้แล้ว คุณมีฤทธิ์ไหม ถ้ามีฤทธิ์ทำไว้แล้ว ตัวเราเองไม่วิ่งซุกวิ่งซอน นี่เพราะฤทธิ์ มันต้องไม่วิ่งซุกวิ่งซอน ไม่ต้องเดือดร้อน เขาไม่สามารถจะโต้ตอบได้ เพราะอะไร เพราะสัจจะ มันเด่น ที่เราทำออกไป สัจจะมันชัด คนมันรู้กระจ่าง ไม่ต้องไปพรางอยู่ด้วยบัญญัติ ไม่ต้องไปพราง อยู่ด้วยภาษา หรือกิริยาที่ดูนุ่มนิ่ม ปกปิด พรางๆ ไม่บอกตรง ผางเข้าไปเถอะ อ้อ!ใช่ เขาหยุด เพราะแม้เขาจะโกรธยังไง เขาก็หยุดเพราะมันชัด เฮ้ย! ไอ้นั่น มันสัจจะ สัจจะมันยับยั้งต่างหากล่ะ สัจจะมันยับยั้งเขา เขารู้ชัด ถึงเขาจะเป็นคนอำมหิตแค่ไหนก็ตาม ไอ้โจรมันก็รักสัจจะ จริงๆ ไอ้โจรมันก็รักสัจจะ ยิ่งมาทำทีเป็นคนละขั้นกะไอ้โจร ไอ้โจรมันบอก อ้อ! นี่มายกชั้นศักดินาเหรอ ทำที เป็นผู้ดีตีนแดงเหรอ หวาน มันก็ซัดเข้าให้เท่านั้นเอง แต่ถ้าเราเอง เราก็บอกว่า เอ้าน่า โจรก็เหมือนกันละ ไม่มีต่ำ ไม่มีสูง หยาบเราก็หยาบเป็น ถ้าเราหยาบก็หยาบเป็น ไอ้โจรมันก็บอก ไม่เป็นไรหยาบ ไอ้นี่มันหยาบ มันพรรคเดียวกับเรา มันก็ไม่รังเกียจรังงอน เพราะเราลดศักดินาลงไป แต่ผู้ใดมันทำศักดินา ฟังดีๆนะ นี่อธิบายให้ฟังสู่สาระ มีผู้ที่ถืออันนี้มาก ไม่ได้บอกให้คุณหยาบนะ แต่ว่าเรื่องของสัจจะ เรื่องของกาละเทศะ เรื่องของส่วนที่ แหม! ยากที่จะบรรยาย ดูแล้ว มันเหมือนไม่ดี แต่มันก็ดี เราดูให้เข้าใจจริงๆ แล้วเราทำให้สมส่วน การประมาณนั้น พระพุทธเจ้า ท่านตรัสตายตัวไม่ได้ ประมาณต้องประมาณจริงๆ

นี่วิเคราะห์ให้ฟัง ถ้าใครเข้าใจ ว่ากำลังพูดถึงธรรมหมู่ไหนนี่ ของใครทำ มีตัวอย่าง ถ้าใครรู้ ใครเข้าใจ ฟังเทียบ เปรียบเทียบอันนี้ ไม่ใช่ส่อเสียด ไม่ใช่อวดอ้าง ไม่ใช่ส่อเสียดให้ไปเกลียด หมู่โน้น อย่าไปเกลียดใคร หมู่โน้นก็ดี เขาทำได้ก็ยิ่งดี แต่ถ้าเราทำได้ ถ้าเราแรงไป เราพยายามต้องเอา เป็นหลักเหมือนกัน เราแรงไประวังนา เราลดนิ่มหน่อย แต่ถ้าแรงอยู่ได้ ประโยชน์สมควรอยู่ เห็นประโยชน์แท้ แล้วคุณก็อาจหาญ มีฤทธิ์เพียงพอ ที่จะไม่ให้คุณเองต้องลำบาก ผู้อื่นก็ต้องปีกหัก อาเจียนเป็นโลหิตตาย คุณก็ทำก็แล้วกัน แต่ ถ้ามันไม่ดี ทำแล้วก็ แหม! อาเจียนเป็นโลหิตตายไป แตกร้าว ไม่ได้ผล เราเอง ประเดี๋ยวก็โดนเขาตอกย้อน อาตมาลำบากลำบนอีก จนกระทั่ง ร้อนที่นั่ง ร้อนอาสน์ เราก็อย่าทำ อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ที่ฟังนี่ ฟังดูดีๆ รายละเอียด การปรุงในสัดส่วนพวกนี้ ที่เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องละเอียด เราก็ไตร่ตรอง ใครจะติอะไรมา ใครจะท้วงอะไรมา ก็ฟังทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็มีส่วน ส่วนถูก ส่วนผิดอะไรมี เราต้องเข้าใจย้อนซ้อน รับซับเข้าไปอีกมากๆๆ ที่ยกตัวอย่าง ให้ฟังอย่างนี้ เราหลงตัวหรือไม่ เทียบเคียงกับเราซิ เทียบเคียงดู ผมว่าผมพาทำนี่แรง ผมไม่ได้เคยไม่รับว่าไม่แรง แรง แต่แรงคำนี้ ผมว่าผมแรงอย่างพอประมาณแล้ว สุดที่แล้ว ถ้าจะทำแรงกว่านี้ ก็ยังทำได้ ทำได้ ผมทำได้ ทำแรงกว่านี้ก็ทำได้ เปิดแรงกว่านี้ ทำผ่า ยิ่งกว่านี้ จัดกว่านี้ ทำได้ ไม่ประนีประนอมเท่านี้ ได้ ไม่ใช่ยังไม่ได้ ได้อีกนะ แต่เราประมาณแล้ว ว่าเท่านี้ เราเบากว่านี้อีกจริงๆได้ไหม ได้ เบากว่านี้ได้ เบากว่านี้ ง่ายกว่านี้อีก สบายกว่านี้อีก ทำไมผมโง่ จนไม่รู้ความสบายเหรอ ไม่ต้องเอาถ่านอะไรเลย ให้เป็นเดียรถีย์ด้วยเลย อย่างที่เขาเป็นกันแล้ว ได้ สบายมาก ยิ่งเป็นเดียรถีย์เหรอ ต่างคนต่างไปเลยนะ เอาตัวรอด เป็นยอดเดี่ยวเลย รู้ความสงบ ติดสงบ ก็หยุดเลย เลิก กามก็อย่างนี้ ว่างก็อย่างนี้ ติดว่างไปเลย เรียบร้อย จบ ฮึ! หมูมาก ที่เข็นอยู่เดี๋ยวนี้ เข็นมันจะติดว่างกันน่ะซี่ เข็นอยู่เดี๋ยวนี้ แล้วมันก็ศาสนาจะด้วน โลกมันก็จะไม่เข้าท่า คุณก็จะเสีย สูญเปล่า ล้างละเอียดก็ไม่ละเอียด บริบูรณ์ก็ไม่บริบูรณ์ มันก็ขาดทั้งนั้น มันไม่ดีทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ถึงเข็นอยู่เดี๋ยวนี้ ก็เข็น เพราะมันยากเหลือเกิน มันยากเพราะว่าคุณเปลี้ย คุณเพลีย ต่อสังขาร มานานนับชาติ ทุกคนแหละ เป็นอย่างนี้มาทั้งนั้นแหละ เป็นแต่เพียงอินทรีย์พละ และเหตุปัจจัยของมัน มันมีมากเดี๋ยวนี้ สมัยพระพุทธเจ้า บอกว่ามันปรุงกัน มันก็ปรุงกันเท่านั้น เดี๋ยวนี้ มันมากกว่า มันเห็นตำตา สัมผัสเปิดตา เปิดสัมผัสขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็จริง มันเยอะ เพราะฉะนั้น มันเป็นตัวหยาบ มันจึงเบื่อหน่ายแรง มันก็รูดไปหาวาง ว่างมาก

เหมือนกับพวกตะวันตก มาได้นั่งหลับตาในเมืองไทย ติดหลับตา พูดไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก อุ๊ย! ได้หลับตา สบาย ก็มันหลอกกันเสียจนจะตาย มันปรุง มันแต่ง มันสร้าง มันสรรค์ หลงโลกียะ หลงโลก โลกามิส หลงโลกธรรม ๘ มันจะตายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น มาเจอเขานั่งหลับตานี่มันติด เพราะฉะนั้น พูดเรื่องอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่เข้าใจ นอกจากผู้มีปัญญาจริงๆ ว่า อ๋อ! ก็ต้องสร้างสรร รังสรรค์อะไรต่ออะไร เป็นของถูก ของดี ของอะไร ไอ้ตัววางตัวปล่อยก็มีไป เขาจะรู้ แต่ก็ยังยาก

เพราะฉะนั้น ทางด้านฝ่ายตะวันตกนั่นน่ะ แท้ๆนี่ยังหรอก แม้แต่จะเข้ามาหาเรา เราจะปิดหรือไม่ปิด ถ้าสัจจะแล้ว มันก็ต้องมา ยัง ฐานยังมาไม่ถึง ฐานถึงเขามาเอง ยัง ก็ให้เขาอยู่ในฐานขั้นนั้นก่อน ฐานที่จะติดสงบ บางทีก็ตายไปก่อน ก็จำเป็น หรือว่าไม่ตาย แต่มันจะต้องฟื้นมาในโลกขั้นนี้ ปางนี้ก็แล้วแต่ ไม่ใช่เราไม่สงสาร เราสงสาร แต่ว่าเราเองก็มีงาน ไม่ใช่ไม่มีงาน งานที่พอจะทำได้ประโยชน์ก่อนด้วย เพราะว่าฐานถึง เพราะว่ามันมีเหตุปัจจัย ที่สมพร้อม เราก็ทำอันนี้ก่อน

เพราะฉะนั้น การปรุง หรือว่าการกระทำงาน การกระทำอะไร ที่มันจะต้องดูรายละเอียด มันซับซ้อนที่สุด เราเอาสิ่งที่พิสูจน์อยู่เดี๋ยวนี้ให้พวกคุณทุกคน พิสูจน์ว่าเราเอง เราพอเป็นพอไปไหม แม้แต่เราจะเคร่ง เราก็เคร่งได้กว่า ขนาดเคร่งได้แล้ว เราไปอยู่รอดไหม รอด ทั้งการงาน การกระทำ ดูเถอะ ไม่ต้องเอาอะไรมาก เราทำหนังสือ ที่อื่นก็ทำหนังสือ แต่เราทำหนังสือแจกได้ ทั้งๆ ที่เราจน เราไม่ได้สะสมจริงๆ ไม่ต้องมีมูลนิธิมานั่งทำ เขามีมูลนิธิยิ่งกว่าเรา ร่ำรวยยิ่งกว่าเรา บางแห่ง หรือบางแห่ง ยังมีมูลนิธิ ยังไม่มากกว่าเราก็ตาม เขาไม่ได้ทำอาจหาญแกล้วกล้าอย่างเรา เราทำแจกจริงๆ แจกกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ไอ้ที่ขายนั่น เป็นเรื่องนโยบายปลีกย่อย การขายที่เห็นอยู่นี่ ไม่ใช่นโยบายหลักเลย ซึ่งพวกเราก็รู้ดี แต่ทำไมเราไปรอด ทำไมเราไปรอด เพราะมันเป็นสัจจะ นี่ยกตัวอย่างการเคร่งอย่างนี้ให้ฟัง นี่เป็นเรื่องเคร่งนะ

เราทำงานนี่ ทำแม้กระทั่ง สร้างสรรอันโน้นอันนี้ ออกไปแจกจ่าย ออกอะไรต่ออะไร ฟรี เราเคร่งนะ ที่อื่นเขาไม่เคร่งหรอก เขาเหลือ เพราะเขาขาย เพราะเขาไม่แจกมาก หวงแหนด้วย แจกน้อย ทำมาแล้ว พิมพ์มาจำนวนพันหนึ่ง สองพัน กว่าจะแจกหมด สองปี สามปี ยังแจกไม่หมด เราพิมพ์หมื่นเดียว บางที เดือนหนึ่ง สองเดือนหมดแล้ว มันต่างกันมากนะ ฟังดูดีๆ เราทำอย่างนี้ เป็นลักษณะเคร่ง มันย้อนแย้งนะ คล้ายๆกับเราหลวม เคร่งนะ เคร่งคือ เราไม่เอา ไม่แลก ไม่เปลี่ยน ไม่เป็น ลาเภ น ลาภัง นิชิคิงสนตา ไม่ใช่ลาภต่อลาภ เคร่งนะ เป็นอาชีพที่เคร่ง เป็นอาชีพที่จัดทีเดียว แม้แต่ลาภต่อลาภยังไม่เอา ให้ แล้วแจกให้มากด้วย แพร่ไปให้สะพัดให้ไกล ให้มาก ให้เร็ว ทำให้ ทำแจก ทำจ่าย ทำไม่หวง ทำประทาน นี่มันเรื่องเคร่ง เราเคร่งได้กว่า ลองเทียบดูดีๆ เราเคร่งได้กว่า จริงมั้ย ไม่ใช่ว่าเราคุยโม้นะ มีสถิติ พยายามบอกสิ่งต่างๆแก่พวกคุณ พยายามอะไรไป เพื่อให้คุณได้เข้าใจเหตุปัจจัยไปเรื่อยๆ ต่อไปพูดขึ้นมาแล้ว อย่างนี้พูดขึ้นมา คุณก็จะได้รู้สึก คุณก็จะได้มีเหตุปัจจัยเหล่านี้ มาคำนวณ มาประมาณ จะได้แจ้งใจ ไม่เช่นนั้น ไม่มีเหตุปัจจัย ไม่มีข้อมูลอะไรมา พูดกันไม่รู้เรื่อง มันก็ไม่ได้นะ อย่างที่ทำอยู่นี่ อย่างนี้ เป็นต้น

หรือแม้แต่เรามากินมื้อเดียวนี้ เคร่ง กินมื้อเดียว ไม่กินเนื้อสัตว์ เคร่ง ไม่รับเงิน รับทองกันจริงๆ ไม่ใช้เงินกันเลย มาเป็นตั้งแต่ศีล ๑๐ ขึ้นไปแล้ว ไม่ต้องเอาเงินพก เก็บพกเก็บห่อเลย แล้วเคร่งนะ เขาเคร่งได้เท่าเรามั้ย เขาเคร่งเท่าเราไม่ได้ ทั้งเคร่งอย่างนี้ เราก็ยังมีมวลกว่า ยากนะ ยิ่งเคร่ง ยิ่งยาก ถ้าอนุโลมกว่านี้น่ะเหรอ กองกว่านี้อีกจะบอกให้ คนมากกว่านี้อีก ถ้าอนุโลมกว่านี้ ผู้ที่ต้องหล่นลงไป ก็เพราะว่าสู้เคร่งไม่ได้ เยอะแยะ แต่นับจำนวนแล้ว คนทำงานมากรุ๊ป แต่ละกรุ๊ป แต่ละหมู่ ทำงานมา มีเจ้าหมู่เจ้าคณะ เขาก็ได้มากได้มายกว่าเราเท่าไหร่ มีเนื้อแน่นๆ อย่างเรา เอาจริงเอาจัง มีสาระที่มาเทียบเคียง ต้องพยายามประมาณเนื้อเลย มีเพชรทับชั้นเพชร บางคน อาจจะมีเพชร ตะกร้าหนึ่ง เท่านี้ บางคนอาจจะไม่มีเพชรเป็นตะกร้าหรอก มีเพชรอยู่แค่กะหยิบหนึ่ง สิบเม็ด แต่เพชรสิบเม็ดนี้ แต่ละเม็ดๆ คัดทั้งนั้น กับไอ้ ตะกร้าหนึ่ง เอามาดู โอ้โห! เอาไปวางบ้านหม้อ ตีราคาแล้ว ไอ้ตะกร้านี้ก็ให้สักสองแสน สิบเม็ดนี่ สิบล้าน ยี่สิบล้าน ก็ได้ อย่างนี้ เราก็ต้องประมาณให้ดี ต้องคำนวณให้ดี ความมากคืออะไร ความมากคือสาระและเนื้อแท้ ไม่ได้หมายความว่า มากมีแต่ปริมาณเฉยๆ อย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องพิจารณา เรามีทั้งปริมาณ เรามีทั้งคุณภาพ

ถ้ายิ่งเพชรเม็ดๆอย่างนี้แหละ คัดๆนี่แหละ ยิ่งมีจำนวนไล่เลี่ยกันเลย นี่มี ๙๐ นี่มี ๑๐๐ ถึงแม้เขาจะ ๑๐๐ มาข่มเรา แต่นี่มัน ๙๐ โอ้โฮ! มันยิ่ง เพชรคัด ไอ้นี่ ๑๐๐ เม็ด ไอ้นี่ ๙๐ เม็ด แล้วอย่างคัดด้วย จะบอกว่า ๙๐ นี้แพ้ ยิ่งไม่จริงเลย ยิ่งต่างกันลิบลับ ยิ่งไล่เลี่ยกัน ขนาดไม่ไล่เลี่ย ๑๐ เม็ด ต่อเข่งหนึ่งอย่างนี้ มันยังต่างกันแล้ว ยิ่ง ๙๐ ต่อร้อยแล้ว ไม่ต้องพูดเลย คุณต้องเข้าใจ คุณต้องอ่าน ต้องพยายามทำปัญญาให้แจ้ง เรามีลักษณะอย่างนั้นไหม เข้าข้างตัวเองมากไปไหม ลองเอาศีล มาวัดดูดีๆ เอาจิตใจของเราเองนี่ ว่าเราได้พากเพียร เรามีอิทธิบาทไหม เรายังมี อายุแห่งสมณะ หรือว่าเราเอง กลายเป็นคนตายแล้ว กลายเป็นปุถุชน กลายเป็นผี ไม่เอาภาระ แห่งการปฏิบัติตน เป็นสมณะแล้ว หมดสมณกิจแล้ว ไม่ใช่หมดอย่างพระอรหันต์ด้วย กลายเป็นตกต่ำแล้ว หยุดแล้ว ไม่มีอายุแห่งสมณะแล้ว ไม่มีอิทธิบาทแล้ว ไม่มีฉันทะในการจะปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่มีวิริยะ ในการจะปฏิบัติธรรมแล้ว ไม่มีจิตตะในการปฏิบัติธรรมแล้ว วิมังสาไม่เกิดแล้ว อย่างนั้น อายุเราไม่มีแล้ว ไม่ใช่สมณะแล้ว ฟังดีๆนะ มันมีความหมายลึกๆ เอามาพูดให้ฟังอยู่ทุกวันๆ นี่ขยายพิสดารเพิ่มๆๆๆอยู่นี่ สูตรของพระพุทธเจ้า ท่านยืนยันอยู่ มันลึกซึ้ง อันไหนที่ผมจำได้แม่นๆ เห็นว่า แหม! ไอ้นี่ หลักเหลือเกิน เอ้า ! หยิบมาใช้ๆอยู่ทุกวันนี่ มันเป็นเนื้อๆ

อายุของสมณะ คืออิทธิบาท แหม ! มันชัดเหลือเกิน แล้วมันจริงเหลือเกิน แม้จะเป็นสมณะอรหันต์ หรือสมณะผู้ที่กำลังฝึกเพียรก็ตาม จะเป็นโคตรภูบุคคลอยู่ก็ตาม ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตา อยู่ก็ตาม เขามีอายุ เขาเป็นอายุสมณะ เขาพากเพียร หน้านองน้ำตา เขาก็มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก้าวได้น้อย ก็ช่าง วิมังสาน้อย แต่เขาก็ยังมีฉันทะ วิริยะ หน้านองน้ำตาทำ เขาก็ยังเป็นสมณะ ที่เป็นอาหุเนยยบุคคล ที่น่าเคารพ น่าบูชาหนอ แม้เขาจะได้น้อย เพราะเขา มันไม่เก่ง แต่เขาก็อาศัยเพียร อาศัยวิริยะ อาศัยฉันทะ อาศัยจิต เอาจิตเอาใจใส่จริงๆ ไม่ย่อยั่น เขาก็เป็นสมณะที่มีอายุ ถ้าทำได้เพิ่มขึ้น ก็มีวรรณะ เอาศีลใดมาเทียบ ก็ได้แล้ว โอ! อันนี้ได้แล้ว อันนี้ได้แล้ว อันนี้ปกติขึ้น ปกติขึ้น จนเป็นปกติแล้ว ไม่ต้องฝืด ต้องฝืน ไม่ต้องหน้านองน้ำตา ว่าง เบา ง่าย เป็นอัตโนมัติ เอ้า ศีลข้อนี้ก็ผ่านได้ๆๆ เอาศีลข้อไหนมาวัด เอาหลักเกณฑ์ธรรมวินัยข้อไหน มาวัด ก็เป็นไปได้ จริง เป็นได้ทั้งรูปนอกรูปใน มีทั้งกายสักขี มีทั้งวิมุติพร้อม วิมุติทั้งนอก วิมุติทั้งใน ร่วมส่วน ก็ยิ่งเป็นสมณะที่ชัด มีวรรณะที่ผ่องเหลือเกิน ผ่องทั้งนอก ผ่องทั้งใน ไม่ด่างไม่พร้อย ไม่เปื้อน ไม่หมอง ทั้งนอกทั้งใน เป็นวรรณะที่ แหม! ยอด วรรณะ เป็นผิวเพชร เป็นผิวทองแท้ เป็นผิวพระแท้ๆ วรรณะ มีศีล เอาศีลวัดเข้าไป เขาบริสุทธิ์ในใจจริงๆ วัดนอกกายกรรมก็ได้ วจีก็ได้

เพราะฉะนั้น แม้แต่วัดนอกกายวจีเท่านั้น ก็บอกว่าศีล เอ้อ!ได้แล้ว เห็นผิวแล้ว ว่าผิวนี้บริสุทธิ์ เพราะบริสุทธิ์ด้วยศีล บริสุทธิ์ด้วยกาย ด้วยวจี ยิ่งศีลนี่เป็นปกติเลย เป็นศีลใน เป็นวิสุทธิศีล เป็นปาริสุทธิศีล เป็นศีลที่สะอาดปกติแล้ว ใจไม่ฝืดไม่ฝืน หมดทุกข์ สบาย เป็นอัตโนมัติ ปกติธรรมดา เฉยมาก ทำได้อย่างเฉยมาก ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่หนักไม่หนาเลย สบายมาก จีงเรียกว่า ศีลอันบริบูรณ์ ศีลอันปาริสุทธิ สุทธิ=รอบ ปาริสุทธิ=สบายรอบ สะอาดรอบแล้ว ปาริสุทธิ รอบ คือ รอบทั้งนอก และใน ปาริสุทธิศีลนี่ ไม่ได้หมายความว่า สะอาดแต่นอก ปาริสุทธิศีล ไม่ใช่หมายความว่า สะอาดแต่นอก ทั้งนอกและใน บริบูรณ์นอกบริบูรณ์ใน สะอาดนอกสะอาดใน เป็นศีลปกติ แล้วก็ มีศีลเป็นชีพ มีสัมมาอาชีวะศีล เป็นศีลปกติ เป็นชีวะ ชีวิตที่ดิ้นด็อกแด็กอยู่ เป็นศีลตลอดเวลา กายก็เป็นศีล วจีก็เป็นศีล มโนก็เป็นศีล เอาศีลมาวัดเป็นศีลหมด ไม่ได้ด่างได้พร้อย ไม่ได้ตกได้หล่น มีชีวิตอยู่ ดิ้นด็อกแด็กอยู่ ยังกับจะมีพิษนี่ ไม่ผิดศีลอะไร บริบูรณ์ยังงั้นนะ

ทีนี้ มีวรรณะแท้ มีฌานเป็นที่อาศัย มีสุขเป็นที่อาศัย มีทิฏฐธรรมสุขวิหารเป็นที่อาศัย มีวิตกวิจาร

(อ่านต่อหน้า ๒)
FILE:0982A.