คนที่โลกซื้อไม่ได้
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๓
ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก


เช้านี้ อาตมาอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านดูของผู้ที่เขามีความรู้ทางด้านศาสนา ที่ทางสังคมเขายอมรับ เพราะว่าเป็นผู้เขียนคอลัมน์ประจำ มีนามปากกา เป็นที่รู้จักกันทั่ว มีความรู้ในด้านศาสนา ก็ทำให้เห็นว่า ด้านศาสนาพุทธนั่น เท่าที่ความรู้สึกของอาตมารับสัมผัสดูแล้วก็เห็นว่า ยังเข้าใจพุทธศาสนาอยู่แต่เพียงแค่เห็นว่า พุทธศาสนานั้น มีแต่ธรรมะในระดับอย่างศาสนาอื่นๆ ทั้งๆที่ศาสนาพุทธนั้น เป็นศาสนาที่มีระดับโลกุตตระ

คำว่า ระดับโลกุตตระ เป็นศาสนาที่ไปนิพพาน เป็นศาสนาที่จะต้องรู้จักรสของโลก รสของโลกีย์แท้จริงๆ จุดนี้เป็นจุดสำคัญ และเป็นจุดเด่นมาก และ เป็นจุดที่จะทำให้เกิดการพ้นทุกข์ เกิดความเจริญที่แท้จริงไปรอด เพราะมันเปลี่ยนถึงจิตวิญญาณ รากเง่าของจิตมนุษย์นี่ มันติดยึดอยู่ที่รสอร่อย ติดยึดอยู่ที่ความสุข ศาสนาพระพุทธเจ้า จึงตรัสรู้ความทุกข์ ไม่ใช่ตรัสรู้ความสุข เห็นความสุข เป็นสิ่งหลอก

นิพพานนั้น ท่านเรียกโดยภาษาว่า แม้จะอธิบายขยายความว่าเป็นสุขอย่างยิ่ง หรือยิ่งกว่าสุข นิพพานัง ปรมัง สุขัง มันก็ไม่ได้หมายความว่า มันเป็นสุข อย่างที่เราเคยรู้ๆกันในโลกมนุษย์ มนุษย์ทุกคนรู้ว่า สุขคืออะไร แล้วสุขอย่างที่ เขารู้กันนั่นน่ะ มันไม่ใช่ความหมาย มันไม่ใช่ลักษณะเดียวกันกับความสุข ที่พระพุทธเจ้าท่านหมายว่านิพพาน หรือว่ายิ่งกว่าสุข อาตมาแปลว่า ยิ่งกว่าสุข แต่เขาแปลว่าสุขอย่างยิ่ง ซึ่งภาษาบาลีที่เรียกว่า วูปสโมสุข หรืออุปสโมสุข หรือวูปสม ก็ได้ อุปสมสุข เป็นสุข เอาภาษาโลกเท่านั้นมาเรียกว่าสุข คือมันเป็นความไม่ทุกข์นั่นเอง ภาษาโลกที่มาเรียกเป็นความไม่ทุกข์ ที่จริงแล้ว มันทั้งไม่ทุกข์ และไม่สุขอย่างโลกๆ ที่เขาเป็นเขามี เขาเข้าใจ ไม่สุขหรอก

ศาสนาพุทธตรัสรู้ หรือมีเนื้อหาที่เด่นชัดเป็นของพุทธ อันนี้อันที่ไม่ทุกข์ และไม่ได้สุขอย่างโลกๆ ตราบใดที่เรายังมีสุขอย่างโลกๆอยู่ เรายังเอร็ดอร่อย เป็นอัสสาทะ เรียกว่า สุขอย่างโลกๆ รสอร่อยของโลกๆนี่ ตราบใดที่เรายังมีสิ่งนี้ ตราบนั้นยังมิใช่นิพพานที่แท้ ยังไม่ใช่สุดยอด ยังไม่ได้เป็นมรรคผลของศาสนา อันสมบูรณ์

เพราะฉะนั้น การสอนศาสนา ถ้าเข้าใจว่าศาสนาพุทธก็คือ ระดับ เหมือนกับอย่างศาสนาอื่นๆสอน ซึ่งที่จริงก็มีนะ อย่างของศาสนาอื่นๆสอน สอนเรื่องกุศล เรื่องคุณงามความดี เรื่องจะเป็นประโยชน์ในโลกให้มีเงินมากๆ ยิ่งทำก็ยิ่งมีเงินมากๆ และก็ได้ชื่นชมสมใจ เป็นสุขอยู่ เพราะมีเงินทองมากๆ มีลาภ มียศ มีเงินมาก ก็มีลาภมากนั่นเอง มีลาภ มียศสูงๆ และก็เป็นยศ ที่จะสามารถที่จะเที่ยวไปใช้อำนาจเบ่งข่ม หรือว่าใช้อำนาจทำไอ้นั่นไอ้นี่อะไรให้แก่ตนเองได้มากมาย สรรเสริญเยินยอตนก็เป็นสุข ได้ลาภได้ยศอะไรอยู่มาก็เป็นสุขอะไรอยู่นั่น อันนั้นไม่ใช่ศานาพุทธที่แท้ ไม่ใช่เนื้อหาหลักใหญ่ของพุทธที่ประเสริฐ ที่ว่าเหนือชั้น กว่าศาสนาไหนๆมากมาย

ถ้าเราไม่เข้าใจเนื้อหานี้อย่างชัดเจนแล้วนะ สอนศาสนาพุทธไป ก็เท่ากับสอนศาสนาอื่น ถึงเห็นได้ว่า เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธ กลายเป็นศาสนาเทวนิยม เป็นศาสนาที่มีพระเจ้า เป็นศาสนาที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นศาสนา มีการบันดลบันดาล เป็นศาสนาที่บำเรออัตภาพ หรืออัตตา อัตตานี่แหละคือ พระเจ้า อัตม อาตมัน ถ้าพระเจ้าเขาเรียกว่า ปรมาตมัน เรียกว่าบรมอัตตานั่นเอง เป็นอัตตาอันยิ่งใหญ่ ที่สุด ปรมาตมันนี่ บรมอัตตานั่นเอง เป็นเรื่องอำนาจลึกลับ

ศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ศาสนาอำนาจลึกลับ แต่เป็นศาสนาที่รู้จักกรรม รู้จักกาย วาจา ใจ กรรมของกาย กรรมของวาจา กรรมของใจ การกระทำหรือ พฤติกรรมของกาย วาจา ใจ และรู้ว่า พฤติกรรมของกาย วาจา ใจ นั้นดีก็เพราะเรา ไม่ใช่พระเจ้ามาบันดาล กายที่ดี วจีที่ดี มโนที่ดี เพราะเรา ประพฤติอบรมฝึกฝนเอาทั้งนั้น ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมาบันดาลให้เราก่อกรรม มีเจ้ากรรมนายเวร มีพรหมลิขิต ให้เราจะต้องไปไหนไม่รอด ถูกอำนาจของสิ่งเหล่านี้ ควบคุมเอาไว้ไม่หมด นั่นเป็นเรื่องของศาสนาอื่น ศาสนาพุทธเราทำดีก็เราดี เราทำชั่วก็เราชั่ว

ทุกวันนี้ เราจะมีบทบาทดีหรือชั่ว ไม่ใช่ใครมาบันดาล ไม่ใช่ใครมากำหนด เราทั้งนั้นทำไว้ แม้จะมีฤทธิ์มีแรง มีสิ่งที่เหมือนมีฤทธิ์มีแรงในตัวเรานี่ มันบังคับเรา ก็คือเราทำ เราสั่งสมกิเลส ถ้ามันบังคับให้เราทำไม่ดี จนเราทนไม่ได้ ต้องทำไม่ดีตามมัน ก็ไม่ใช่อำนาจอะไรที่ใครมาบันดาล อำนาจกิเลสของเราสั่งสมมาเอง แล้วกิเลสนั้นมันบังคับเรา จนเราสู้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่า อำนาจของพระเจ้า ให้เป็นอย่างนั้น อำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อำนาจของอะไรมาบันดาลให้เป็น อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ใช่!

นี่ ศาสนาพุทธตรัสรู้อย่างนี้ เพราะเราโทษใครไม่ได้ โทษพระเจ้า โทษฟ้า โทษดิน โทษนั่น โทษนี่ โทษไม่ได้ทั้งนั้น โทษตัวเราเอง เราเองไม่สามารถ เราเองไม่มีอำนาจ เราต้องมาฝึกให้เกิดอำนาจ ในตัวเรา โดยเฉพาะ อำนาจที่ใหญ่ยิ่งก็คือ จิตวิญญาณใจของเรานี่เอง ใจของเรานี่เป็นตัวอำนาจ เป็นตัวที่จะฝึกฝนให้มีอำนาจอยู่เหนือโลก อยู่เหนือสิ่งที่มันดึงดูด อยู่เหนืออำนาจส่วนใหญ่ อำนาจของโลกที่มันพาเป็นไป เราอยู่เหนือหมด จนกระทั่งสูงกว่านั้น

พระพุทธเจ้าเห็นว่า จิตวิญญาณของเราก็ตาม เราทำให้เป็นอำนาจที่เหนือ เหนือสุดที่เราเองเราจะรู้ มีปัญญารู้ด้วยว่า อะไรอกุศล อะไรกุศล อะไรดี อะไรชั่ว แล้วเราก็จะไม่ทำชั่วทั้งสิ้น จะทำอยู่ก็แต่ดี แม้ทำดี ก็ไม่ให้หลงติดดี เป็นของตัวของตน แม้จะมีอำนาจจิตวิญญาณมีอำนาจยิ่งใหญ่ อยู่เหนือโลกียะทั้งหมด มีอำนาจที่เหนือชั้นขนาดไหนก็ตาม ระดับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ มีอำนาจเหนือชั้นอะไรๆ อีกมากมายก่ายกอง จิตวิญญาณที่เหนือชั้น ที่ยิ่งใหญ่อย่างนั้น ของพระพุทธเจ้านี่น่ะ เป็นจิตวิญญาณที่น่าหลง หลงว่ามันเป็นอำนาจพิเศษ หลงว่ามันมีฤทธิ์มีเดช สูงส่งอยู่เหนืออะไรๆก็ได้ ขนาดรู้วันเกิดวันตาย ขนาดรู้อะไรต่ออะไร ที่ลึกซึ้งลึกลับ ลึกลับต่างๆ ท่านก็รู้ ลึกซึ้งอะไรท่านก็รู้ หยั่งรู้อะไร ต่ออะไรมากมาย เป็นจิตวิญญาณ ที่พิเศษ ซึ่งคนเราปรารถนาม๊ากมาก ปรารถนาจะมีอำนาจทางจิต จิตวิญญาณเป็นอะไรนิด เป็นอะไรหน่อย ก็โอ้โฮ หลงใหลจิตวิญญาณ ของตนเหลือเกิน จิตวิญญาณมีอำนาจพิเศษ อย่างนั้นบ้าง หรือจิตวิญญาณมีความรู้ เป็นความรู้ทางอริยคุณ ทางศาสนาพุทธเอง คือมีความรู้ และก็มีความสามารถ ลดละกิเลสได้ เป็นความสามารถของเรา จิตวิญญาณของเรา มันน่าหลงใหลได้ปลื้ม ราคามันแพงกว่าเพชรกว่าทอง ราคามันแพงกว่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขในโลก

เพราะลาภ ยศ สรรเสริญ นั้นน่ะ จะมีมากเท่าใด ก็ไม่สามารถซื้อ ไม่สามารถแลก อย่าว่าแต่แลก เอาถึงวิมุติเลย อย่าว่าแต่แลกเอาถึงปัญญาเลย ปัญญาที่เป็นญาณปัญญา ในระดับโลกุตตระ แลกเอาศีลสักข้อหนึ่ง ยังไม่ได้เลย เงินล้าน เงินสิบล้าน จะซื้อศีลข้อหนึ่งได้ไหม ซื้อได้ไหม มีไหม ตลาดไหนขายศีล เอาเงินไปแลกเอาเลย ได้ไหม ร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน ยังซื้อศีลข้อหนึ่ง ไม่ได้เลย เอายศให้ใหญ่ยิ่งขนาดค้ำฟ้า ให้ใหญ่ขนาดไหน เอาไปเบ่งอำนาจเอาว่า เอาศีลมาให้ข้า มีอำนาจนะ มียศใหญ่นะ เอาศีลมาให้ข้าได้ไหม? !! ได้ไหม ?!! ไม่ได้ ! ไม่ได้ !

อย่าพูดว่าเอาถึงสมาธิ ไปเอาถึงปัญญา ไปเอาถึงญาณวิมุติเล้ย แต่แค่ ศีลเบื้องต้น มันยังซื้อไม่ได้ เอาอำนาจยศ เอาอำนาจลาภ เอาอำนาจสรรเสริญเยินยอ อู๊ยท่านดีเหลือเกิน ท่านใหญ่เหลือเกิน ท่านสูงเหลือเกิน ชมเชย ชมเชิดยังไง เสร็จแล้วเราก็จะได้ศีลมาเอง เพราะเขาชมเรา ได้สมาธิมาเอง เพราะเขาชมเรา ยกย่องเรา ได้ปัญญามาเอง เพราะเขาชมเชย เพราะเขายกย่องเรา ไม่ได้ ! ไม่ได้ ! จะได้ด้วยอำนาจลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ได้! หรือจะเสวยโลกียสุข โอ้ย ! สุขทุกอย่างเลย อยากได้อะไร ชี้นกได้นก ชี้ไม้ได้ไม้ จะเอาฟ้าเอาดาว เอาเดือนเอาดินอะไรก็ได้ ต่างๆนานา สารพัดขนาดไหน มีความสมใจทุกอย่าง เป็นโลกียสุข จะเอาอำนาจของโลกียสุขได้อย่างนั้น ก็มาบังคับเอาศีล ไปเอาศีลมาให้ข้า ถ้าได้ศีลแล้ว ข้าจะเป็นสุขใจ เอาสมาธิมาให้ข้า ถ้าได้สมาธิก็จะสุขใจ ไปเอายศ เอาอำนาจอะไรๆมาแลก หรือมาบังคับเอา ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน ไม่ได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ญาณ วิมุติ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การที่ได้อริยคุณ ได้ศีล สมาธิ ปัญญา หรือได้ญาณ ได้วิมุติมาเราเอง ต้องฝึกฝนเอาเอง และจะไปเอาโลกียะมาแลก ไม่มีทางได้

คำว่า "บุญ" เรานึกว่าเราได้ด้วยการเป็นบุญ บุญนี่มีสองชนิด อาตมาเรียก โลกียะอย่างหนึ่ง กับโลกุตตระอย่างหนึ่ง บุญแปลว่า ตัวชำระ หรือบุญแปลว่า ตัวที่อุดมสมบูรณ์ พระพุทธเจ้า สุดท้ายท่านไม่ได้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแบบโลกๆ มีลาภ มียศ มีอะไร แต่ดูแล้วก็เหมือนมีนะ โดยเฉพาะลาภ นี่นะ ดูเหมือนว่า ท่านไม่มีสักบาท แต่ท่านก็มีลาภเยอะแยะ และท่านก็ไม่จำเป็น ที่จะต้องไปนั่งเบ่งเอาลาภมาใช้ อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าท่านจะใช้เมื่อไร ก็มีคนเอามาให้ อย่างโน้น อย่างนี้ ถ้าเผื่อว่าจะต้องกระทำ มีแต่คนเอามาถวาย มาให้มาอะไรต่ออะไร เหมือนกับไม่ใช่ของ ของเขา เหมือนกับของพระพุทธเจ้า คล้ายๆ กับสั่งเองเอาเอง ได้เอง อย่างนี้ เป็นต้น นี่ ลาภ ยศ ต่างๆ มันซ้อนเชิง ยศเหมือนท่านไม่มี ไม่มี ท่านไม่มียศอย่างโลกๆเขา ซีสิบ ซีสิบเอ็ด อะไรก็ไม่มี เป็นนายพง นายพล เป็นจอมกษัตริย์อะไร ท่านก็ไม่ได้เป็นยศศักดิ์อะไร ราชอิสริยยศอะไรก็ไม่มี

แต่ท่านก็ได้รับความเคารพนับถือยิ่งกว่า แม้แต่กษัตริย์ก็เคารพท่าน แม้แต่จอมทัพ อำมาตย์ ราชศักดิ์ ไหนๆก็เคารพยกย่อง ต้องกราบเคารพท่าน จะว่าท่านไม่มียศ คนที่มียศยังเคารพ นบนอบนับถือ ด้วยความจริงใจ ด้วยความศรัทธาเลื่อมใส บูชาด้วยซ้ำ มันซ้อน เหมือนไม่มี แต่มันยิ่งใหญ่กว่ามี นี่ล่ะ สภาพซ้อนเชิง ลาภไม่มี แต่ซ้อนเชิงว่ามี ยศไม่มี แต่ซ้อนเชิงมี สรรเสริญไม่มี ไม่ติดใจ เขาจะนินทาว่าร้าย ก็ไม่ได้ติดใจอะไร หรือใครจะสรรเสริญเยินยอ ท่านก็ไม่ฟู พองใจอะไร และจะว่าท่านไม่มีก็ไม่ได้ มี แต่นินทาท่านก็มีด้วยนะ ขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านยังต้องเจอเขานินทา คนเขาว่าร้าย เขากล่าวหาอะไร ต่างๆ นานา มี แต่สรรเสริญท่านมากกว่า

อย่างอาตมานี่ อาตมาว่าได้รับการนินทามากกว่าสรรเสริญนะ คนอย่างอาตมานี่ คิดว่า ได้รับการนินทามากกว่า เพราะคนไม่ค่อยเข้าใจได้ง่ายๆหรอก คนจะเข้าใจอาตมานี่ ไม่ได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้น เขาจะตำหนิติเตียน หรือ นินทาได้มากกว่าสรรเสริญ เยินยอจะน้อยกว่า ก็ไม่แปลก หรอก อาตมาไม่ไปติดใจ ว่าจะได้สรรเสริญ มาทำงานทุกวันนี้ ไม่ได้คิดว่า อยากจะมาได้ลาภ ได้ยศ หรือ ไม่ได้สรรเสริญ ได้สรรเสริญหรือมาเป็นสุข สุขหรือไม่สุข มันอยู่ที่จิตใจของเรา แล้ว ก็สุขอย่างโลกียะ ทำอะไรได้สมใจ มันไม่ได้ ถ้าอาตมาจะรอรับเอา แต่ด้านสุข แบบโลกียะ แบบสมใจนะ อาตมาอกหัก จากพวกคุณ ไปก่อนเลย ไม่ได้สมใจ ตั้งแต่พวกคุณ ไปก่อนเลย ทุกข์ไปก่อนแล้ว อาตมาอกแตกตายไปนานแล้ว ใช่ไหม ขนาดนี้จะไปพูดทำไมกับที่อื่น เขาจะมานั่ง ถล่มทะลายอาตมา ก็ในขนาดพวกเราเอง ยังไม่สุขสมใจเลย เพราะว่า แหม! คนนี้มันน่าจะทำ อย่างนี้ได้ น่าจะเป็นอย่างนี้ น่าจะเป็นอย่างนี้ ว๊า มันไม่เป็น!!! พูดปากเปียก ปากแฉะ ใช้วิธีการ ต่างๆนานานะ จะทำรุนแรงก็ไม่ดี ก็ไม่พยายามทำหรอก รุนแรง ทำกันอย่างที่ว่า อย่างเก่งก็เช่น ใช้ปากหอกนี่แหละ อย่างเก่งก็ใช้ปากหอกว่าเอา นอกนั้นก็ไม่ได้รุนแรงอะไร ใช้โวหารภาษาใช้ลีลา แล้วก็ดูคนด้วย

บางคนก็พูดไม่ได้ ก็ไม่ได้ พูดแรงก็หักโค่น พูดแรงก็ไม่ได้เรื่อง อ่อนแอ บางคน ก็ทนพูดแรงๆ ก็ฟังได้เข้าใจ ดีไม่ดีบางคนต้องแรงๆ ถึงจะได้ แหม! เหนื๊อย เหนื่อย พูดแรงๆถึงจะได้นี่ เหนื่อย! ต้องเล่นแรงๆหนักๆ เอ้อ! ถึงจะเข้าถึง ถึงจะยอมแพ้ ถึงจะเปลี่ยนแปลง มันก็อย่างนี้น่ะ แล้วมันไม่ได้สมใจ ไม่ได้เป็นสุขโลกียะ ต้องเสพสมสุขสม เราต้องการอย่างนี้ แล้วก็สมใจอย่างนี้ มันไม่ได้มา ตั้งแต่คุณเป็นเริ่มต้น นอกนั้นไม่ต้องพูดเลย สรรเสริญก็ไม่ต้องพูด ยศก็ไม่ต้องพูด ลาภก็ไม่ต้องไปพูด ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้รับอะไร ถึงได้รับมาอะไร พวกนี้ก็มาทำบุญทำทาน ได้มาก็เอามาทำงานใช้ไป ก็ให้มาเข้ากองกลางนี่ ทำอะไรๆไป สร้างสรรอะไรๆไป อย่างที่เห็นๆอยู่ ไม่ได้เอาบาท เอาเบี้ยอะไรของพวกคุณนะ

อาตมาแน่ใจว่า อาตมาบริสุทธิ์ผุดผ่อง ใครเอาสตางค์มาทำบุญกับอาตมา อาตมาก็ต้องพยายาม เอาเข้าไปรวมๆๆกองกลางโน่นนี่ไป มีผู้รักษาเก็บงำ แล้วเงินเหล่านั้น ไม่ได้เคยแบ่งไปเล้ย สักบาทหนึ่ง ห้าบาท ร้อยบาท พันบาทไปซื้อ แหม! เราอยากจะได้อะไรสวยๆของเรา เราอยากจะได้อะไรๆ อร่อยๆของเรา เราอยากจะได้อะไรๆ ที่เป็นของเรา ที่มาใช้สอย หรือว่าตัวเอง ส่วนตัว มีแต่ส่วนตัวที่เขาซื้อให้นะ มีแต่ส่วนตัวเขาซื้อให้ ไม่เคยมาใช้กองกลาง ที่พวกคุณมาทำบุญ กับอาตมาเลย ยกตัวอย่างแว่นตา ก็ส่วนตัว ไม่เคยเบิกเงินกองกลาง นาฬิกา ก็ส่วนตัวของส่วนตัว ไม่ใช่ส่วนตัวอาตมานะ อาตมาไม่ พอเปรย ก็มีคนแย่ง แย่งทำบุญ พอบอกแว่นตาไม่ค่อยดี มาเลย เจ้านั้นเจ้านี้ก็ชิงกันทำอย่างนี้เป็นต้น ของจะใช้ส่วนตัวอย่างนี้ ผ้าผ่อนนี้ ไม่ต้องพูดเลย ประเดี๋ยว ก็คนนั้นตัดมา เดี๋ยวคนนี้ตัดมา จนต้องห้ามกัน ของใช้ส่วนตัว อะไรก็แล้วแต่ อะไรบ้างล่ะ พูดก็พูดเถิด ถึงขนาดว่า แม้แต่วิดีโอที่จะดู จะเช็ควิดีโออะไรนี่ เขาก็ซื้อมาให้ วิดีโอเครื่องเล่นวิดีโอ ตู้โทรทัศน์อะไรยังงี้ เป็นต้น ถึงขนาดเครื่องยังงี้ ก็ส่วนตัว ไม่ได้ใช้เงินกองกลาง แต่ถึงอาตมาต้องใช้ ก็ใช้ทำประโยชน์อย่างที่ว่านี่

เพราะฉะนั้น อาตมาว่า อาตมาระวังๆเรื่องนี้อยู่ และแม้แต่สมณะ พวกเรานี่ ก็ไม่เคยมี จะไปใช้เงินกองกลาง ไปเบิกเงินกองกลาง รับมาพวกเราก็ไม่เก็บไม่งำ แต่ละคนๆ ก็ต้องไม่เก็บ ได้รับมา ก็เอาเข้ากองกลาง แล้วส่วนมาก ไม่ต้องมาผ่านมือสมณะเราก็ได้ เข้าไปเลย กองกลาง มูลนิธิ สมาคมอะไรก็ตามใจ ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ผ่านมือเราก็ได้ เราก็มีเยอะแยะไป ไม่ผ่านมืออาตมา ไม่ผ่านมือสมณะหรอกไม่ผ่าน ไปเข้ากองกลางไปเลย เป็นแสนยังมีเลย ไม่ต้องผ่านมืออาตมาหรอก ก็มีเยอะแยะไปนะ เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น อะไรก็ตามใจ เสร็จแล้วเราก็ใช้ ประโยชน์ทางโน้น แต่อย่างเรื่องส่วนตัวก็มี เป็นครั้งเป็นคราว ไม่เคยไปเอาสตางค์ เอาเงินเอาทองอะไรพวกนี้ มาซื้อหา มาบำเรอส่วนตัว มาสนองกิเลสส่วนตัว ไม่มีนะ นี่เราต้องลึกซึ้ง เราต้องรู้ รู้ชัดเจนในสิ่งเหล่านี้ให้ดี

สมณะเราก็ดี แม้แต่สิกขมาตุก็ตาม สมณุทเทส สิกขมาตุ นักบวช หรือ แม้แต่ผู้ที่จะมาปฏิบัติธรรม อยู่ในวัด เป็นอุบาสก อุบาสิกา แล้วก็ตาม เป็นคนวัดน่ะ เป็นอารามิก อารามิกา ที่เราจะมาอยู่ อย่างศีลแปด ถ้าเราปฏิบัติตนจนถึงศีลสิบได้ ก็เอา อยู่ในวัดในวานี่ เราก็บอกแล้วว่า คนอยู่วัด อย่ามาเอาเงินมาสะสมอยู่ในวัดนะ มีกฎมีระเบียบมีไว้ บางคนจำเป็นต้องใช้ ก็มีไว้เท่านั้นเท่านี้ ก็กำหนดเอาไว้ เดี๋ยวนี้ ก็ดูเหมือนกำหนดอยู่ร้อยหนึ่งใช่ไหม มีเงินได้ร้อยหนึ่ง ไม่ให้เกินอะไรยังงี้ ก็พยายามระมัดระวังกันอยู่ ถ้าใครสามารถที่จะไม่มีในตัวเลย อยู่ในวัดในวาได้ ก็ยิ่งสบาย ยิ่งดี แล้วเราก็เอาสิ เงินกองกลางส่วนจำเป็นโน่นนี่ หรือว่าทำงานส่วนรวม ก็ไปเบิก ไปใช้กัน ไปซื้อไปหา ไปทำอะไรกันได้อย่างนี้แหละ อาตมาว่า ถ้าเผื่อว่า เราเห็นในคุณค่า ในความไม่เป็นตัว เป็นของตัว อะไรได้มากๆ มายๆอย่างนี้ ต่างคนก็ต่างพยายามระมัดระวังนะ ให้มันเกิดสภาพสังคม อีกชนิดหนึ่ง นี่ เราก็เป็นแล้ว

เมื่อวานนี้ อาตมากล่าวไว้ว่า พวกเรานี่ ในสภาพของความเป็นคอมมูน ในสมัยนี้มันเป็น สมัยพระพุทธเจ้า เป็นไม่ได้เลย คอมมูนเป็นได้แต่เฉพาะสงฆ์ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น มีกองกลาง ของกลางสงฆ์ เรียกว่าคอมมูน หมายความว่า ทุกๆคนมีกองกลาง ใครขาดใครเหลือ ก็มาเอาไปใช้ กองกลางไม่มีของๆ ตัว เป็นสมบัติส่วนตัว เพราะฉะนั้น ส่วนที่กลางๆอันไหนที่เบิกไปใช้ส่วนตัว ก็สิ่งจำเป็นเท่านั้น จำเป็นแล้วก็เป็นคนมักน้อย สันโดษ หัดมักน้อย แล้วก็ใช้ไปอย่างนั้น มันขาด มันเหลืออะไร ก็มาใช้กองกลาง หรือกองกลางจะใช้สำหรับส่วนรวมส่วนร่วมกันอะไร ก็ว่ากันไปอยู่

ลักษณะอย่างนี้ พระพุทธเจ้า ถ้าจะว่าไปแล้ว เรื่องคอมมูนก็มีกันมา ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้า จะไปทำกับประชาชนในสมัยนั้นไม่ได้ สมัยนี้ อาตมาพูดแล้วเมื่อวานนี้ว่า เรามีความรู้ ในเรื่องคอมมูน ในเรื่องของส่วนรวม ส่วนกลางมามาก ประชาธิปไตย ก็ยังไม่ใช่ ของส่วนตัวทีเดียว แต่ต่างคนต่างเคารพสิทธิและเกื้อกูลกันโดยน้ำใจ

ศาสนาพุทธนี้มันมีหมดเลย ประชาธิปไตยก็อยู่ในนี้ คอมมูนหรือสภาพของสังคมนิยม หรือ คอมมูนิสต์ก็ตาม ก็อยู่ในนี้ เผด็จการจริงๆก็มีอยู่ในศาสนาพุทธ คำว่าเผด็จการนี้ ไม่ได้หมายความว่า เอาอำนาจตนเป็นใหญ่ แต่เอาธรรมเป็นใหญ่ อย่างพระพุทธเจ้า จะสั่งอะไร ก็คล้ายๆกับเผด็จการ สั่งอะไรปัง! เขายอมรับ สั่งยังงี้ เด็ดขาด ทุกคนน้อมรับ ไม่มีใครกล้าค้าน กล้าแย้ง กล้าเถียง เป็นอำนาจเผด็จการอย่างสูงสุด ท่านมีอำนาจเขาเคารพนับถือเชื่อถือ แต่ท่าน ก็ไม่พยายามที่จะละเมิด อำนาจเผด็จการเหล่านั้นโดยความลำเอียง หรือโดยอารมณ์ ไม่เอา ! เอาโดยเหตุผล โดยความจำเป็นแล้วก็ทำ ซึ่งเมื่อทำไปแล้ว มันเกิดคุณค่าต่อสังคม ตัวท่านเอง ท่านไม่มีปัญหาอะไร ท่านอยู่ท่านก็ทำงานเท่านั้นเอง ลักษณะอย่างนี้ เป็นลักษณะที่ลึกซึ้ง เป็นลักษณะจริง มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพอันสูงส่ง

เพราะฉะนั้น จะบอกว่าลักษณะอาณา เป็นบัญชาเป็นอำนาจ พระพุทธเจ้าก็ใช้ ใช้ในกาละ บางกาละ และไม่พยายามที่จะละเมิด ไม่พยายามที่จะเที่ยวได้ใช้บ่อย ที่ใช้น่ะ ใช้เพราะเห็น เหตุการณ์ ที่จำเป็นสำคัญที่สุด ท่านก็ใช้ จะว่าไป อาตมาก็มีเอกสิทธิ์อันนี้อยู่เหมือนกัน หมู่สงฆ์ ท่านก็ยอมให้ ในบางสิ่งบางอย่าง และอาตมาก็ใช้ในบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน นี่เรียกว่า อำนาจเผด็จการ ส่วนนอกนั้น ก็เป็นประชาธิปไตย เป็นสังคมนิยม หรือเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นสภาพที่เหนือชั้น โดยมีญาณปัญญารู้ และเป็นอิสรเสรีภาพ ถ้าเป็นคอมมูนิสต์ ท่านเรียก คอมมูนิสต์ หรือคอมมูน ก็เป็นคอมมูนิสต์ หรือสังคมนิยม อย่างอิสรเสรีภาพ มีสิทธิมนุษยชน ขั้นพื้นฐานเท่าเทียมกันหมด มีสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานพอกัน เท่าเทียมกันหมดเลย เป็นอย่างนี้จริงๆ เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องละเอียดลออ เป็นเรื่องดี

เพราะฉะนั้น อำนาจการปกครอง หรืออำนาจการบริหาร การเป็นอยู่รวมกัน ในสมัยพระพุทธเจ้า กับสมัยนี้ มันต่างกัน สังคมมันเปลี่ยนไป สมัยพระพุทธเจ้าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช อำนาจสูงสุด มีทาส เพราะฉะนั้น อิสรเสรีไม่ได้มากเท่าสมัยนี้ ทำไม่ได้ บังคับกันไม่ได้เลย มาถึงวันนี้แล้ว ศาสนาพระพุทธเจ้า ท่านวางทางไว้แล้ว ตั้งแต่สมัยโน้น ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า เรื่องคอมมูน ที่อื่นเขาไม่มีหรอก ไม่มีนะ ๒๕๐๐ กว่าปี ไม่มีเรื่องคอมมูน ไม่มี ! ของส่วนกลางไม่มีหรอก มีของพระพุทธเจ้า ระบบคอมมูน ระบบคอมมูนิสต์ ระบบคอมมูนน่ะ สังคมนิยมนี่ ของพระพุทธเจ้า ถ้าจะบอก ท่านรู้มาก่อนพวกสมัยนี้ตั้งเป็นไหนๆ ประชาธิปไตยอิสรเสรีภาพน่ะเหรอ ยอดเยี่ยม มาแต่ไหนเลย ของพระพุทธเจ้า

นี่เป็นเรื่องที่ต้องศึกษากัน รัฐศาสตร์ในศาสนาพุทธ ไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน เป็นรัฐศาสตร์ที่ลึกซึ้งมาก และต้องเข้าใจเนื้อหาของจิตวิญญาณ เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ เข้าใจพฤติกรรมของสังคม เข้าใจผล หรือว่ากระแสของผล ที่มันออกมาแล้ว มีผลกระทบ มีเกิดอะไรต่อตามมาอะไรต่างๆนานา เป็นกระแส ที่เกิดอยู่ในสังคม แล้วกระแสเหล่านั้น มันจะออกฤทธิ์ไปในทางสงบรำงับ สันติภาพ หรือเป็นความวุ่นวายเดือดร้อน จะต้องมีปัญญาญาณเข้าใจเลยว่า ผลกระทบอย่างนี้ จะเกิดความวุ่นวายไหม อย่างทุกวันนี้ เราจะเห็นระบบการเมือง บริหารนี่ ทำอย่างนี้ออกมา ผลเกิดแล้ว ผลกระทบมานี่ จะทำยังไง ประชาชนรับไป หรือว่าผู้บริหารงานคนนั้นคนนี้รับไปแล้ว ผลที่มันเป็นกระแสสะท้อนที่จะเกิดนี่ปั๊บ มันจะทำให้เดือดร้อน หรือมันจะทำให้สงบ มีแต่เพิ่มกระแส ความเดือดร้อนขึ้นมาเรื่อยๆ จะหาอะไรสงบ การทำให้สงบรำงับ เป็นวิธีการ ที่ลึกซึ้งสูงสุด

ศาสนาพระพุทธเจ้า แน่ใจว่าเป็นศาสนาที่ทำให้เกิดความสงบรำงับได้ เยี่ยมยอดลึกซึ้งที่สุด เพราะเป็นการแก้ที่ต้นเหตุ ต้นปัญหา ของพระพุทธเจ้า หยั่งเข้าไปหาเหตุ หาต้นปัญหาให้ถึงลึกสุด แล้วแก้ไขมันตรงนั้น เหตุอยู่ที่ใดตามไปที่นั่น ศาสนาพุทธเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงแก้ปัญหาได้ สงบเรียบร้อยที่สุด ต่อให้มนุษย์เกิดมาอีกกี่ยุคกี่ปางก็ต้องใช้เหตุผลนี้ สัจจะนี้ ไม่ไปใช้อันอื่น ใช้อันอื่นไม่ได้ เพราะอันนี้เป็นสัจจะตายตัวมีหนึ่งเดียว ไม่มีสอง! ไม่มีสอง! คนเราค้นหาต้นเหตุ มันไม่เจอเท่านั้น ไปค้นหาเหตุที่เปลือกๆ ผิวๆ ตื้นๆ เขินๆ ไม่หยั่งลึก ไปถึงที่สุดของเหตุ มันจึงไม่เรียบร้อยไปทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธเอาอะไรที่เป็นเหตุลึกสูงสุด จิตวิญญาณเป็นเหตุลึกสูงสุด ศาสนาหลายศาสนา พึ่งจิตวิญญาณ แต่จิตวิญญาณของเขาไปฝากไว้ที่ของลึกลับ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ อำนาจบันดาล อำนาจเทพเจ้า อำนาจอะไรต่ออะไร มันก็เลยคว้าไม่ถึง ความละเอียด เพราะตัวเองสัญญาแล้วว่า อำนาจยิ่งใหญ่ไปอยู่ที่ผู้อื่นหมด ไปอยู่ที่ที่อื่น แล้วไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถไปเอาอำนาจนั้น มาใช้ได้เอง ต้องเขาบันดาลให้ ต้องเขามามอบให้ จึงจะได้ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นไม่สน อำนาจไหนจะใหญ่ ไม่สน อำนาจเรา นี่แหละใหญ่ ตัวเราเอง ต้องทำที่ตัวเราเอง จิตวิญญาณท่านบอกว่า จิตวิญญาณ ใหญ่เหมือนกัน จิตวิญญาณเป็นเอกเหมือนกัน แล้วท่านถึงได้ตรัส มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา จิตนี่แหละมาก่อนอื่น จิตวิญญาณนี่แหละใหญ่ยิ่ง เป็นประธานสิ่งทั้งปวง ทั้งปวงเลยนะ เป็นประธานสิ่งทั้งปวง มันซ้อนเชิงกันอยู่ มันสอดคล้องกับศาสนา ที่มีพระเจ้ายิ่งใหญ่ จิตวิญญาณ ยิ่งใหญ่ แต่จิตวิญญาณ ยิ่งใหญ่ของเขา ไปโหมะ ให้พระเจ้าที่ไหนไม่รู้ แต่ของศาสนาพุทธนั้น ยิ่งใหญ่อยู่ที่จิตวิญญาณ จิตวิญญาณอยู่ที่ไหน ทำที่นั่น จิตวิญญาณ อยู่ที่มนุษย์ ทำที่มนุษย์ แต่ละคน ของใครก็ทำของใครให้ดีที่สุด

แล้วท่านก็สอนซ้อนลงไปว่า คนเรานี่จะเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง พัฒนา ไม่มีใครพัฒนาให้เรา เราพัฒนาเราเอง เราจะต้องฝึกหัด อบรม แก้ไขที่ตัวเราเอง พระพุทธเจ้าได้แต่แนะนำ ครูบาอาจารย์ ที่ศึกษาศาสนาพุทธมา ได้แต่บอกแต่กล่าวชี้แนะ แล้วให้ไปพากเพียรอบรมเอาเอง เมื่ออบรมได้ ก็รู้ว่าได้ อบรมไม่ได้ ก็รู้ว่าไม่ได้ ได้แล้วเป็นยังไง ผลมันเกิด มีผลตนเอง มีผลกระทบกับผู้ข้างเคียง จนกระทั่งกระทบไปสู่สังคมระดับใกล้ ระดับไกลได้อย่างไร คุณจะมีญาณปัญญา ค่อยๆรู้ไปเรื่อยๆ อาตมาก็อาศัยสิ่งที่เกิดจริงเป็นจริงพวกนี้ มีผลกระทบ มีแรงสะท้อน อย่างโน้นอย่างนี้ มีอะไรๆ เกิดอยู่ในหมู่กลุ่มของเรา ในข้างนอกอะไร ก็รับ! รับ! ต้องรับรู้ เราจะเป็นคนซื่อบื้ออยู่แต่ในรู รู้แต่ของตัวเอง ของข้างนอก เขาก็มีผลมาถึงเรา แล้วเราก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จักป้องกัน ไม่รู้จักประสาน ไม่ได้ ! เราจะต้องรู้จักป้องกัน และรู้จักประสานด้วยกับข้างนอก ป้องกันได้ขนาดไหน ประสานได้ ขนาดไหน มันจึงจะสันติ มันถึงจะอยู่ดีอยู่รอด

มีคนมาตั้งข้อสังเกตว่า เอ๊อ มีคนมาว่าเรานี่ผิดพลาด เอาเถอะ ! เขาว่าอาตมาผิดพลาด แล้วท่านก็ได้รับผลของท่านแล้ว ท่านก็เดินเข้าหาคุก เข้าหาตะรางแล้ว ท่านก็คงสำนึกผิดแล้วล่ะ อาตมาขอยืนยันนะขณะนี้ แม้แต่เกิดคดีขึ้นศาลนี่นะ หรือแม้แต่อาตมาจะต้องถึงถูกพิพากษาว่าผิด และให้ติดคุก อาตมาขอยืนยันว่า อาตมายังไม่ได้ผิด ยังไม่ได้ผิดหรอก ไม่ได้ผิด แต่เขาเอง เขาเข้าใจ เอาเองว่าอาตมาผิด เหตุผลของเขา เรื่องราวของเขา เนื้อหาที่ลึกนั้นไม่ได้ผิด อาตมาออกเห็นด้วย ซ้ำไปว่า คดีที่เกิดขณะนี้ ที่เป็นอยู่นี่ เป็นเรื่องดี! พูดคำนี้ มาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว เป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องเสียหาย มีคนมาถาม เมื่อเช้านี้ก็มาถาม ถามหลายๆครั้ง แล้วเมื่อไรจะเสร็จสักที อาตมาก็บอกว่า ให้มันนานๆๆไปหน่อยดี หลายคนก็อยากจะให้มันจบ อยากจะให้มันเสร็จ จริง! มันดูแล้ว มันก็น่าอึดอัด มันก็น่ารำคาญ มันก็รู้สึกว่า เป็นภาระรุงรังอยู่เรื่อย แต่จำเป็นเหลือเกินนะ ถ้าเราไม่รู้ ไม่เข้าใจแล้ว เราจะอิดหนาระอาใจ รู้สึกอ่อนแอ รู้สึกว่า ไม่อยากจะทำต่อไปแล้ว รู้สึกไม่อยากจะพากเพียร เพราะมันต้องอาศัยความอดทน และพากเพียรอยู่ ต้องไปศาล ต้องพากันไป หลายคนด้วย ต้องอะไรต่ออะไร ต้องใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายก็ต้องมี เวลาก็ต้องเสีย แรงงานคน ผู้คนมาก็ต้องมาอะไร ต่างๆนานาพวกนี้ อาตมาขอบอกให้ว่า คุ้ม ! เพราะเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องค่าเล็กๆ ค่าถูกๆ เป็นค่าเป็นผลของราคาของมันนี่ มันแพง มันสูงนะ จึงต้องลงทุนเยอะ! ต้องลงทุนเยอะ! ของมันสูง ที่อาตมาพูด ไม่ใช่พูดแกล้ง ไม่ใช่พูดเอาแต่ แหม! หลงตัวหลงตน คุณฟังไปแล้ว คุณก็สังเกตไปใช้ปัญญาญาณอ่าน อ่านไปได้เรื่อยๆ นะ

ขณะนี้จะเห็นว่า บรรยากาศมันอะไร กำลังดีขึ้นมา ของเรานี่ ทำไป ยังงี้เรื่อยๆ บทบาทลีลา ผลที่เราเกิด เราเป็น ของเราก็เป็นอย่างของเราเป็นนี่แหละ ของอื่นๆก็เป็นขึ้นมาเรื่อยเหมือนกัน จะเกิดคู่เทียบ คู่เคียงที่เกิดผลขึ้นมาทุกวันนี้ มันชัดดีขึ้นเยอะเลย มันมีอะไรหลายๆอย่าง อาตมาพูดไม่ไหว หยิบมาพูดมาอธิบายเปรียบเทียบให้คุณฟังไม่หมด คุณคิดเอาเอง อาตมาพูดไป มันก็ไม่ค่อยดี อะไรบางอย่างบางอัน พูดไปแล้วก็เหมือนเราหลงตัวหลงตน เราไปเบ่งไปข่ม ไปทับถมคนอื่น เหมือนกับว่า เราดี เขาชั่วอะไรมากเกินไปนัก มันพูดไปแล้ว มันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น คุณก็คิดเอาเอง ดูเอา ผลกระทบเกิด คนที่เป็นผู้คุมบังเหียน ดูแลควบคุมจัดการ เขาจัดการกับเราอย่างไร จัดการกับผู้อื่นอย่างไร นี่ก็เป็นข้อเปรียบเทียบให้เห็น ผู้อื่นทำ ทำอย่างไร เราทำ ทำอย่างไร แล้วเราโดนนี่ โดนใช้มาตรการ มาตรการทำกับเรา ทำอย่างไร มาตรการทำกับผู้อื่น ทำอย่างไร ร่ำร้องทีเราทำได้ทำเร็ว ทำเอ๊า ทำเอา ทีผู้อื่นทำไม่ได้ทำไม่เร็ว ทำแล้วก็อะไรก็คา ก็ขัด อะไรก็แล้วแต่

สิ่งเหล่านี้แหละเป็นผลที่เกิดจริงเป็นจริง ต้องใช้เวลา ต้องใจสบายๆ อย่าไปติดยึด มากมาย ให้มันเกิดไปเรื่อยๆ แล้วสิ่งเหล่านี้ เขาจะจำนนเอง มันเป็นสิ่งที่เกิด จนเขาเอง คนที่มีดวงตา รับซับทราบ เก็บข้อมูลเหล่านี้ ที่เกิดจริงเป็นจริง ก็จะได้ข้อมูลเหล่านี้ไปเป็นตัวให้ค่า จะบอกได้ว่า อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรถูก อะไรไม่ถูก มันจะได้บอกได้ เพราะตอนนี้ ไม่มีใครบอกหรอก ใครก็บอกไม่ได้ บอกแล้วใครจะไปเชื่อ อาตมาบอกว่า อาตมาถูก พวกคุณยังจะไม่เชื่ออยู่เลย บางคน เอ๊ะ ! ยังไม่ยอมรับ ปากแข็งอยู่อีก ยังนึกว่าตัวเองถูกอีก ขนาดถูกฟ้องติดตะราง ยังบอกว่า ตัวเองถูก ถูกอยู่อีก อาตมาว่าบางคนยังไม่ค่อยเชื่อ ยังคลางแคลง เอ๊ะ ! ทำไมพูดอย่างนั้น แน่ใจยังไง ตัวเองเอาอัตโนมัติ ของตัวเองตัดสินเอาเองว่าตัวเองถูก อาตมาแน่ใจว่า อาตมาไม่ได้ผิด เราก็เงียบๆ สงบๆ ของเราดีแล้ว พวกเราเงียบๆสงบไป พยายามมองความจริง แล้วก็จบ อันไหนถูก อันไหนต้อง คุณก็ตัดสินพิจารณาเอา แล้วก็จบอยู่แค่นี้ เงียบๆสงบไป ฯลฯ..

เพราะฉะนั้น เขาจะทำอะไร ให้เขาทำด้านเดียว แล้วเราสงบรำงับไว้ดีๆ และศึกษา อันไหนดี อันไหนถูก อันไหนผิด สรุปเอาไว้ แล้วก็ใช้ปัญญา กระทำต่อ สร้างสรรต่อ รังสรรค์ต่อ ในสิ่งที่เจริญ ในสิ่งที่ถูกต้องที่เราแน่ใจ ทำขึ้นไป

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรากำลังรังสรรค์อยู่ทุกวันนี้ จะเป็นรูปธรรม นามธรรมก็ตาม จิตวิญญาณ ของแต่ละบุคคล ของพวกคุณ กายวาจาที่ได้อบรมฝึกฝน ปรับปรุงไปเรื่อยๆ สิ่งที่เรากำลังกระทำ สร้างสรร กลับมาทำสิ่งแวดล้อม มาทำดินให้ดี ทำน้ำให้ดี ทำอะไรๆให้ดี ทำสิ่งที่เป็นอยู่ แม้แต่เป็นวัฒนธรรม พวกเรา บ้านหลังใหญ่ ลดลงมาเป็นคนบ้านหลังเล็ก เสื้อผ้าหน้าแพรแต่ก่อนนี้ ตกแต่งประดับประดา ลดลงมาเป็นคนตกแต่งกันอย่างแค่นี้ๆ ลดน้อยลงไป อะไรต่างๆก็แล้วแต่ เครื่องใช้ไม้สอย แต่ก่อนหลงใหลได้ปลื้มกับโลก เขามอมเมา มากมาย เดี๋ยวนี้ เครื่องใช้ไม้สอย เราก็ลดลงมา ก็ใช้ในสิ่งที่สำคัญ ที่จำเป็นอะไรอย่างนี้ เป็นประโยชน์คุณค่าไปพอสมควร แม้แต่ผลของสังคมในการเป็นอยู่ การกินอยู่หลับนอนต่างๆ เราก็มาลดมาละ มาเป็นให้มันถูกเรื่อง กินให้มันมีสาระ กินให้มันเป็นประโยชน์ ให้เป็นรูปแบบที่ดี อยู่! อยู่ให้มันเป็นประโยชน์ มีลีลา อันใดที่ควรจะมีบทบาทลีลากับโลกเขา บทบาทลีลาเหล่านั้น จะไปรังสรรค์ หรือจะไปช่วยเหลือ เกื้อกูลสร้างสรร เราทำ อันใดที่เป็นบทบาทลีลาที่บอกว่า มันไม่เป็นไปเพื่อสร้างสรร ไม่ร่วมมือ ทำต่อไปแล้ว มันจะกลายเป็นสนับสนุน หรือไปทำลาย ไปทำลายเพิ่ม เราเป็นผู้ไปเพิ่มแรงงานให้เขา ไปเพิ่มบทบาทให้เขา แล้วก็กลายไปเป็นทำลาย เราไม่เอา เราไม่ต่อ เราเอาแต่ส่วนที่ถูกต้อง เราก็ทำอยู่กับสังคมทุกวันนี้ ทำไปเรื่อยๆ มันก็จะเกิดผลจริง ขึ้นมาเรื่อยๆ จะเกิดอยู่ในโลก ในสังคมเราอยู่ในประเทศไทย เราก็ทำเกิดผล อยู่ในสังคมประเทศไทยนี่แหละ เราทำในส่วนที่เน้น ของพวกเราเอง ทำประสานอยู่กับกลุ่มอื่น

สังคมทุกวันนี้ หาที่อยู่ยาก หากลุ่มอยู่ร่วมได้ยาก ใครว่าไหม โลกทุกวันนี้ หาสถานที่จะอยู่ก็ยาก แม่น้ำไนล์เดี๋ยวนี้ ก็ปิดไม่ให้คนลงแล้ว เพราะมันเสียหมด และเป็นพิษ มิสซิสซิปปี้ ก็เน่ามามากแล้ว เจ้าพระยาไม่ต้องพูดล่ะ เน่าไปทุกวัน ไอ้ท่อพิษอะไรๆ โรงงานอะไรๆ ก็ลงหมดเลย นั่นผิดกฎหมาย มันผิดก็ไม่ว่ากันน่ะ กฎหมายก็มีกฎหมายไป แต่เสร็จแล้ว ก็ละเมิดกันอย่างนี้ อะไรจะใหญ่ ขนาดไหน ธรรมชาติก็จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน มันก็สู้ไอ้คนที่ทำสิ่งที่เป็นมลพิษลงไป ให้มันไม่ได้ คนนี่แหละทำ ไม่มีใครหรอก คนนี่แหละตัวเลวร้าย ร้ายกาจที่สุด ก็คนนี่แหละ เอาเปรียบเอารัด เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ คนอื่นจะยังไง ช่างหัวมัน แล้วมันจะไปอยู่สุขได้ยังไง เพราะฉะนั้น สถานที่ในโลกนี่ สถานที่ที่จะอยู่สุขในโลกนี่ หายาก หาสถานที่ที่จะอยู่ก็ยาก

ยิ่งกลุ่มชน ที่จะอยู่ร่วมอยู่รวมด้วย เป็นกลุ่มชนที่น่าจะอยู่รวมด้วย ยิ่งหายาก หายาก! เพราะฉะนั้น เรากำลังสร้างกลุ่มคนขึ้นมา เพื่อที่จะเป็นคนที่เป็นพี่น้อง เป็นภราดรภาพ ภราดรภาพ เป็นกลุ่มที่มี สันติภาพ ภราดรภาพ มีอิสรเสรีภาพด้วย อย่างที่ว่านี่นะ มีอิสรเสรีภาพ มีสมรรถภาพ เราต้องอยู่ด้วย สมรรถภาพ ทุกวันนี้ เคี่ยวเข็ญกันอยู่นี่ เพื่อสร้างสมรรถภาพของแต่ละคน พวกคุณไม่ใช่มางอมืองอเท้า หลบๆเลี่ยงๆ ฝึกฝนเร่งรัดให้ทำงานทำการ สร้างสรรอยู่นี่ เพื่อความชำนาญ เพื่อความเก่ง เพื่อความสามารถให้ยิ่งขึ้น บุญคุณก็ได้ ความสามารถคุณก็เพิ่มขึ้น คุณตกต่ำตรงไหน นอกจากขี้เกียจ ใช่มั้ย ถ้าไม่ขี้เกียจเสีย ก็ทำไปซิ บุญ คุณก็ได้ ความสามารถ คุณก็จะเจริญ ใครมาแย่งคุณได้ คุณซักซ้อมบ่อยๆ อบรมฝึกฝนบ่อยๆ วรยุทธ์ก็ดีขึ้น ความสามารถเก่งขึ้น ใครมาแย่งของคุณได้ คุณทำของคุณเอง ฝึกฝนของคุณเองใช่ไหม ก็คุณก็ได้ของคุณเอง ถ้าเขาจะเอา คุณก็บอกเขาด้วย คุณสามารถคุณเต็มใจจะบอกเขา นะ อาตมาเชื่อว่า พวกเราไม่หวงแหนวิชาหรอก แต่เขาไม่เอา เขาได้ แต่ฟังแล้วเขาก็ไม่ฝึกฝน เขาก็ไม่ได้ บางคนฟัง ก็ยังไม่ฟังเลย แล้วจะไปได้อาไร้ เขาบอกก็ไม่ฟัง ทำอย่างนี้นะ มาทำอย่างนี้สิ มาดูบ้าง ก็ไม่ดู ไม่ฟัง แล้วจะเอาอะไรมาได้ ใครทำก็ได้ ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งความสามารถ ได้ความสั่งสมเป็น พลวปัจจัยทุกอย่าง เรากำลังสร้างกลุ่มคน กลุ่มคนที่จะน่าอยู่ร่วมอยู่รวม เดี๋ยวนี้ก็หายาก นี่อาตมาไม่ใช่แกล้งพูดหรอก คุณฟังไป แล้วคุณก็เอาไปไตร่ตรอง ตรวจสอบความเป็นจริง ขึ้นไปให้ได้

เพราะฉะนั้น ค่าของอะไรต่างๆที่เกิดขึ้นมานี่ ค่าของดิน แผ่นดินที่อยู่ ค่าของดิน น้ำ ไฟ ลม ค่าของตัวมนุษย์ ค่าของตัวมนุษย์ อาตมาภูมิใจว่า อาตมาได้พวกคุณมาขนาดนี้นี่ ที่จริง ไม่ใช่มาเป็นของอาตมาหรอกนะ ได้มาเป็นกลุ่มสังคมชาวอโศก กลุ่มสังคมนี้ ได้มาขนาดนี้นี่ แต่ละคนๆ พัฒนาตนเองมา ละโลภ โกรธ หลง ละความเห็นแก่ตัว ทำตนให้หลุดพ้นจากโลกียะ หลุดพ้นจากอำนาจ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขมาได้ขนาดนี้นี่นะ แล้วจนกระทั่งทุกคน ไม่แยแสลาภ ไม่เอา ลาออกมา ยศไม่เอา สรรเสริญ โลกียะ ก็สรรเสริญไม่เอา มาเอาพวกเรานี่ ตำหนิกันดีกว่า แน่ะ ! มาอยู่ในนี้ โดนตำหนิ โดนซัดเรื่อยเลย แทนที่จะชม น้อยเหลือเกินที่จะชมกัน มาเอาอย่างนี้ ถ้าออกไปข้างนอก คุณได้รับคำชม พวกเราออกไปข้างนอก ได้รับคำชม ได้รับคำชมนะ โอ้ยดีจัง ขยันหมั่นเพียร เสียสละอย่างโน้นอย่างนี้ โอ้ยดี ชมในลักษณะที่เราได้สร้างคน เป็นคนอย่างนี้ ไปแล้ว แต่ไม่เอา มาอยู่นี่ เพื่อพัฒนาเพิ่มขึ้น คนมาทำอย่างนี้มารวมกันอยู่อย่างนี้ เป็นกลุ่มชนได้ขนาดนี้ อาตมาได้อะไร คุณว่า โอ้โฮ แต่ละคนที่มีคุณธรรมขนาดนี้ มีพฤติกรรม ขนาดนี้ มีอะไรขนาดนี้ๆ ราคาแพง เอาอะไรไปประมูลมาไม่ได้หรอก และอาตมาก็ไม่มีสิทธิ์ ที่จะเอาอะไร ไปประมูล เพราะว่าไม่มีเงิน ไม่มีเพชร ไม่มีทอง ไปประมูลใครมา สัจจะมันประมูลตัวมันมาให้ ราคาที่ว่านี้ซับซ้อนลึกซึ้ง ใครมองออกว่า ราคาแต่ละคนที่จะได้มานี่ ราคาแพง หาค่าบ่มิได้ ได้มาแต่ละคนๆ แล้วอย่าหลงตัวล่ะ พอพูดยังงี้ล่ะ แหม ฉันนี่เป็นคนไม่ใช่เบาล่ะนะ ราคาแพงนะ อย่าหลงตัวล่ะ

ฟังให้ออกฟังให้ดีๆ อาตมาไม่ใช่มาแกล้งชมคุณหรอก แล้วกำลังเตือนคุณอยู่ว่า อย่านั่งหลงตัว อย่ามานึกหลงตัว คุณเป็นคนอยู่ในนี้ เป็นคนที่จะต้องทน จะอยู่กับมักน้อย สันโดษอย่างนี้ได้นี่ มันก็เป็นคนที่หายากแล้ว นอกจากมักน้อย สันโดษนี่นะ ไม่ฟุ่มไม่เฟือย ไม่บำรุงบำเรอตัวเอง จนเกินการ ที่โลกเขาบำเรอ อร่อย เอร่ยอะไร คุณยังมาขยันเสียสละอีก สร้างสรรอยู่ในนี้อีก เกิดคุณค่าอยู่ในนี้อีก แล้วตัวเองก็ไม่หยุดยั้ง ที่จะพัฒนาตัวเอง ให้เจริญขึ้น กว่านี้ๆๆอีก คนอย่างนี้ บอกตรงๆด้วย เอาด๊อกเตอร์มาแลกเถอะ สิบ ยี่สิบ ห้าร้อยคน อาตมาก็ไม่อยากได้ล่ะ ด็อกเตอร์มา ยิ่งมานะมาก พูดกันไม่รู้เรื่อง เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อด้วย หรือไปเอาเศรษฐี ลูกเศรษฐี ร่ำรวยมาอีกร้อยคน พันคน อาตมาก็ไม่เอา อาตมาต้องการอย่างนี้ เป็นชาวนา จบ ป.๔ บ้าง อ่านหนังสือไม่ออกบ้าง โยมแว่น อ่านหนังสือออกหรือเปล่า ไม่ออกเลยใช่มั้ย เขาอุตส่าห์ตั้งชื่อว่าแว่น มันน่าจะอ่านออก ละน้อ แว่น แว่นส่องอะไรออก ไม่ได้เรียนเลย ไม่เป็นไร คนอ่านหนังสือไม่ออกนี่แหละ แต่มีคุณสมบัติอย่างนี้ มีอย่างนี้เป็นทรัพย์ อาตมาว่า ราคาหรือค่าของทรัพย์ของคน คนอย่างนี้ๆ ราคาค่าในตัวของเขา มีทรัพย์ในตัวของเขา มากกว่าทรัพย์ที่เป็นทองเป็นเพชร เป็นพลอย เป็นตำแหน่งยศศักดิ์ มีบั้งมีเบอร์ อะไรอย่างโลกๆ

ฟังนะ ฟังธรรมะดีๆ ฟังภาษาไทย นี่อาตมากำลังพูดภาษาไทยง่ายๆ อาตมากำลังบอกค่าของคน อยู่ที่อะไร ค่าของคนอยู่ที่คุณธรรม ค่าของคนอยู่ที่ตัวคน ที่ลดโลภ โกรธ หลง ตัวคนที่เป็น โลกุตตรบุคคล เป็นคนที่ไม่เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข โลกโลกียะก็คือ อันนี้นั่นแหละ ค่าของคนก็ตัวนี้ ตัวหลักที่พระพุทธเจ้าสอนเรา แล้วให้เราเป็นให้ได้ เป็นได้แล้ว คนๆนั้นมีค่า คนอย่างนี้มีค่า คนๆนั้นมองออก อาตมามองออก อาตมายินดีที่จะรับพวกคุณ คนเหล่าใดๆ ที่ไม่น่ารับ เราก็ไม่รับ คนเหล่าใดที่น่ารับ เราก็รับ รับมาแล้ว ก็มาอยู่กันเป็นสุข อยู่กันอย่างรังสรร เป็นประโยชน์ตน เป็นประโยชน์ท่าน เจริญยิ่งอยู่ ไม่มีหยุด วุฒิๆๆๆๆ ไม่เอาไอ้อยู่คงกับที่ยังไม่เอาเลย ฐิติ ก็ยังไม่เอา อยู่กับที่ ป่วยการกล่าวไปไย กับการมาอยู่อย่างเสื่อม ปหาน ไม่เอา นี่เราก็พัฒนากันอยู่ ทุกวี่ทุกวัน พยายามรังสรรกัน แนะนำกัน ชี้นำกันไป พัฒนากันไป

เพราะฉะนั้น เมื่อมารวมกันอยู่เป็นกลุ่มสังคมอย่างนี้ อาตมาก็ว่า อาตมาพอใจ พอใจทีเดียว ที่มีกลุ่มสังคม ที่อาตมาพูดให้คุณฟังวันนี้แล้ว ไม่ใช่จะหากลุ่มสังคมมนุษย์ ที่จะอยู่ด้วยได้ง่ายเลย พูดอย่างนี้เหมือนกับไปดูถูกดูแคลน เที่ยวได้ข่มคนอื่นเขา ดูถูกคนอื่นเขาหมด มันก็ไม่ถึง ขนาดนั้นหรอก กลุ่มอื่นก็พออยู่กันได้ เราไปอยู่กับเขาก็ได้ แต่ว่ารวมแล้ว อยู่อย่างนี้ อาตมาว่า อยู่อย่างนี้ มันน่าอยู่กว่า ก็อยู่อย่างนี้

คุณลักษณะของคนที่มีธาตุ ที่เป็นธาตุมาทิศทางเดียวกัน มีสัมมาทิฏฐิ มีศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตาด้วยกัน นี่ แล้วคนกลุ่มไหน กลุ่มไหนที่มีศีลอย่างไร ทิฏฐิอย่างไร ความเห็นอย่างไร มีหลักเกณฑ์ของชีวิตคือศีล หลักเกณฑ์ของชีวิตที่จะทำให้ตนเองเจริญขึ้นๆอย่างไร มันสอดคล้องกันไหม เพราะฉะนั้น ศีลนี่ก็มีความเห็นต่างกันได้บ้าง แต่มันจะสอดคล้องกัน โดยหลักแกนๆ ใหญ่ๆ อย่างพวกเรา มีหลักแกนๆของศีล ปฏิบัติใหญ่ๆ สอดคล้องกัน มีปลีกย่อยขัด กันบ้างเล็กน้อย มีความเห็นๆใหญ่ๆ แกนๆตรงกัน ความเห็นเล็กน้อยขัดกัน เป็นธรรมดา ต่อไปก็พิสูจน์กันได้ ไอ้ที่ความเห็นต่างกัน ต่อไปพิสูจน์กันไปนาน ก็ยอมรับกันแล้ว คนก็พิสูจน์กันไป ต่างคนต่างยึดความเห็น ประเดี๋ยวก็ความเห็นคนนั้นคนนี้ ต่างคนต่างมีเวลาวันๆก็สร้างกันไป แล้วเดี๋ยวก็พิสูจน์กันมา เปรียบเทียบกัน พิสูจน์กันไป สุดท้าย มันก็ต้องยอมรับว่า อันนี้ดีกว่า อันนี้ไม่ดี อันที่ไม่ดีก็ต้องพับไป อันที่ดีก็ต้องยืนยาวต่อไป เป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติของมัน ธรรมชาติของสิ่งที่ มันเกิดอยู่ในโลก มันก็เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

เพราะฉะนั้น คนตกเป็นทาสของลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็จะอยู่อย่างนี้ แต่พวกเราพูดกันแล้ว จะเข้าใจเพิ่มเติมขึ้นว่า อ้อ! ทำไมเราไม่ไป ทำไมเราไม่อย่างโน้น ขนาดอยู่อย่างโน้น คุณยังลาออกมา ใช่มั้ย เดี๋ยวจะเพิ่มให้ เพิ่มซีเจ็ด ซีแปดนะ อยู่ต่อไปเถอะ ไม่เอา เงินเดือนที่ได้อยู่เก่า ยังไม่เอาเลย อย่าว่าไปเพิ่มซีเจ็ด ซีแปดมาอีก กี่ตังค์กันเชียว ทุนเก่าก็ตั้งหลายตังค์อยู่แล้ว เดือนหนึ่ง ก็ยังไม่เอาเลย มาทำงานที่นี่ดีกว่า ก็มากัน มันน่าทึ่งจะตาย มันน่าอัศจรรย์จะตายพวกเรา คนราคาแพงอย่างนี้ พวกเราซื้อหาไม่ค่อยได้ เอาล่ะ คนที่ไม่มีทุนรอนเดิม เป็นคนชาวไร่ชาวนา แล้วก็ทำงานอยู่ตามไร่ตามนามา ถึงมาที่นี่ มันไม่มีอะไรให้เทียบก็ตาม คุณก็เหมือนกันนั่นแหละ มาทำไร่ทำนาอยู่ที่นี่ แม้จะมีหลักฐานเก่าๆ คนทำไร่ทำนา เป็นคนมีค่าอยู่แต่เดิมอยู่แล้ว เพราะ ค่าคนทำไร่ทำนานี่ ทำเลี้ยงโลก เป็นกระดูกสันหลังของโลก เป็นผู้ที่ช่วยโลกอยู่แล้ว แล้วทำแล้วก็ขาย ในราคาถูกด้วย ข้าวบอกแล้วว่าต้องขายราคาถูก ขืนไปขายราคาแพงก็ตายสิ คนจนจะได้กินที่ไหนล่ะ ไอ้คนรวยจะไปเดือดร้อนอะไร มันมีเงินซื้อขาย ราคาแพงเท่าไร มันก็มีเงินซื้อกิน มันไม่ตายหรอกคนรวย ข้าว ขายราคาแพงมันก็ตายกันพอดี คนในบ้านในเมือง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ ขายถูกน่ะดีแล้ว ทำถูกแล้ว แล้วขายถูกนั่นแหละเป็นกำไร ถ้าเข้าใจทฤษฏี กำไรขาดทุนของอารยชน คุณก็ได้กำไร ได้ค่า กำไรตรงไหน กำไรตรงค่าของคุณสูงขึ้น เป็นคนดี เป็นคนมีคุณธรรม เป็นคนมีบุญ เป็นคนมีกุศล เป็นคนมีประโยชน์

เพราะฉะนั้น ค่าตัวของชาวนา ไม่ใช่ราคาถูกด้วยประการฉะนี้ แต่คนไม่เข้าใจ นอกจากจะขายถูก แล้วยังไม่พอ ยังถูกโกงเสียอีก ถูกกดถูกข่มเสียอีกแน่ะ พวกเอาเปรียบมันก็ได้บาป พวกคุณก็วางใจเสีย ได้บุญ ถ้าไม่วางใจ ไปอาฆาตมาดร้ายอยู่ ประเดี๋ยวก็บาปด้วยกัน ถึงยังไงอย่างนี้คนที่ฉลาดน้อย ถูกคนที่ฉลาดมากกว่า เอาเปรียบเอารัด มันก็เป็นบาปของเขา คนที่ถูกเอาเปรียบไป ถ้าว่ากันจริงๆ ก็เป็นเหมือนบุญในตัวเหมือนกัน ถูกเอาเปรียบไป ก็ได้บุญเหมือนกัน แต่มันเป็นไม่ใช่บุญสมบูรณ์ ถ้าจะบุญสมบูรณ์ ก็จะต้องซ้อนเชิงว่า เอ้า! เราถูกเขาเอาเปรียบ แล้วเราก็ยินดีให้เขาเอาเปรียบ เพราะเราไม่มีทางที่จะไม่ให้เขาทำบาป ถ้าเราจะแก้ ค้านเขาไว้ ต้านเขาไว้บ้างได้ ลด อย่าให้เขาทำบาปมาก อย่าให้เขาเอาเปรียบมากได้ ก็ทำ ทำได้ถึงที่สุด แล้วยังไงๆ เราก็จำนนต้องให้เขาเอาเปรียบ เรารู้อยู่ชัดๆ อย่างนี้ ไม่มีบาปเลย แล้วเราก็ได้บุญมากขึ้นด้วย มากตรงที่เรารู้ ตรงที่เราเสียสละ ตรงที่เราทำความสงบ เรารักสันติ เราไม่ต้องให้ทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ต้องค้านแย้งกัน ไม่ต้องจองเวรจองกรรมอะไรกัน มันสุดทางแล้ว เท่านี้เราก็จบ อย่างนี้ เป็นต้น เป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่จะต้องเรียนรู้ มันสภาพพวกนี้ มันซับซ้อนหลายชั้นหลายเชิง เพราะฉะนั้น คนในโลกนี้ มีต่างกัน คนราคาแพง คนราคาถูก

พวกคุณนี่ มองโดยโลก เป็นคนราคาถูก แต่มองโดยธรรม เป็นคนที่ซื้อไม่ได้ง่ายๆ ราคาแพงมาก เข้าใจไหมโยมแว่น นั่นแน่! ไม่ได้เรียนหนังสือมาเลย เข้าใจ ไม่ได้จบแม้ป ๔. แล้วด็อกเตอร์มาฟัง จะเข้าใจมั้ยนี่ ยังสงสัย ที่อาตมากำลังพูด ว่าไง ปริญญาโท นั่งท้าวแขนฟังนั่นรู้เรื่องไหม รู้มั้ย ยูปริญญาโทด้วย หรือ (หัวเราะ) ท้าวแขนนี่อาจารย์จงจินต์ อยู่โรงพยาบาลจุฬาฯ เข้าใจนะ ยังดีปริญญาโทเข้าใจ อาตมากลัวปริญญาโทจะเข้าใจยาก เดี๋ยวปริญญาเอกยิ่งเข้าใจยากใหญ่ อาตมากลัวจะไม่เข้าใจ ไม่ใช่กลัวอื่นหรอก เข้าใจได้ก็ดี นี่มันตรงที่จะเข้าใจสิ่งที่เราพูดนี้ อาตมากำลังพูด มันไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่นะ คมฺภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา อาตมายืนยันว่า นี่เป็นคำสอนของสัจจะ เป็นของพระพุทธเจ้า ที่สอนอาตมามา อาตมาเอามาสอนพวกคุณ อาตมาได้รู้มาจากพระพุทธเจ้า ได้ฝึกฝนอบรมมา ได้มีของเก่ามา ที่พูดนี่ ไม่มีในตำราเล่มไหนหรอก หาว่าพูดเอาเองด้วย อาตมาโดนตู่นะว่า หาว่าพูดเอาเอง จริงของเขาเหมือนกัน

อาตมาไม่ได้ไปหยิบปากใครมาพูด แล้วอาตมาก็ไม่ได้ไปเอาความคิดของใครมาพูด ความคิดนี้ อาตมาถือว่า เป็นความรู้ทางสัจธรรม ที่ได้รับถ่ายทอดมา เป็นสัจจะหนึ่งเดียวกันกับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะว่าของท่านก็ใช่ จะว่าของที่รับมาจากท่านก็ใช่ จะว่าของอาตมารับมานั้น อาตมาแน่ใจว่า อาตมาพูดสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เบี้ยว ไม่ได้ผสม ไม่ได้ใส่ไข่ ไม่ได้เบี้ยว ไม่ได้ไปใส่ไข่ ไม่ได้ไปพูดให้มันดู มาชมว่าพวกคุณมีราคาแพง ไม่ได้ใส่ไข่หรอก แต่ปรามเอาไว้ พวกคุณ อย่าหลงตัวหลงตน แล้วอาตมาก็พยายามวินิจฉัยให้ฟังแล้วว่า มันแพงอย่างไร ราคาสูงอย่างไร อธิบายให้ฟังด้วยเหตุผลแล้ว

เพราะฉะนั้น จริงหรือไม่จริง คุณไปดูเอาเอง แล้วไปตรวจสอบว่า เอ๊ะ จริงๆเราราคาแพงเท่าไร อย่าไปหลงตัวว่า ฉันราคาแพงมากนะ เรามีคุณค่าเท่าไร เราลดละได้เท่าไร เราอยู่เหนือโลกียะเท่าไร นั่นน่ะ ราคาแท้ มันอยู่ที่ความจริงอันนั้นของคุณ ถ้าลดละได้มาก เป็นคนมีประสิทธิภาพมาก เป็นคนมีคุณค่า สร้างสมสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า เป็นบุญให้แก่โลกมากๆ คุณก็มีราคาแพงจริง จิตใจของคุณ ไม่เป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยิ่งซื้อไม่ได้เท่าไร เอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาประมูลไม่ได้เท่าไร คุณยิ่งราคาแพงเท่านั้น ฟังเข้าใจดีนะ เข้าใจไหมโยมจเร เข้าใจนะ เอ๊ะ! ชักไม่เบา เป็นไงโยม แขนโค้งๆนี่ จันแดง โยมนั่งพิงเสานั่น โยมอะไรน่ะ โยมออน เข้าใจไหม เข้าใจนะ ฟังรู้เรื่องหมดเลยนะ เอ๊ะ อาตมาเก่งหรือโยมเก่งกันนะนี่ เก่งทั้งคู่หรือ

อาตมาว่า อาตมาไม่ได้พูดตื้นๆนะ ที่พูดให้ฟังอยู่ขณะนี้ ไม่ใช่เรื่องตื้นเขินนะ เรื่องลึก กลับตาลปัตร กันไปหมดแล้วนะ มันกลับไปหมดแล้ว แทนที่คนทางโลกเขาราคาแพงๆ ประมูลกันนายธนาคาร จบด็อกเตอร์ไปเป็นประธานกรรมการ ไปเป็นกรรมการ จบไปเป็นประธานบริษัทนั่นนี่อะไร ต่างๆ นานา เขาประมูลตัวไปแพงๆ เงินเดือนเป็นแสนๆเป็นล้าน แล้วอาตมาว่า พวกคุณราคาแพง มากกว่าเขา คุณเชื่ออาตมาหรือถูกหลอก ถูกอาตมาหลอก หลอกให้ประเล้าประโลมใจ ทำเป็นหลอก ทำว่าราคาแพง นี่จ้างไปอยู่บริษัท เขาให้เดือนละสองพันจะเอาไหม โยมนี่ ไปอยู่ บริษัทอะไรกับเขานี่ เขาจะจ้างเดือนละสองพัน เขาจะจ้างหรือ เขาไม่จ้าง แล้ว เชื่อเสียด้วย แล้วรู้ตัวเสียด้วยว่า ตัวเองราคาแพง ถ้างั้นน่ะ สองพันเขายังไม่จ้างเลย แน่ะ มียังงี้อีก จ้างก็ไม่ไป ให้ห้าพัน เอ้า ให้หมื่นหนึ่งเอ้า เดือนละหมื่น คิดดูก่อนแฮะ ใช่มั้ย ให้เดือนละหมื่น คิดดูก่อน ตอนนี้เกาหัวละ ห้าพันไม่ไป หมื่นหนึ่งเอ้า ประมูลตัว เอ๊ะ หมื่นหนึ่งชักคิดแล้ว โยมจเรนี่ คำไม่แข็งแรง เหมือนคำห้าพัน เมื่อกี้นี้บอกประมูลตัวไป จะให้เงินเดือนๆละหมื่น ไม่แข็งแรงเท่า ห้าพัน เมื่อกี๊ มันก็เป็นจริงเท่านั้นๆนะ จริงๆไม่มีใครเขาประมูลหร๊อก ไปเดือนละหมื่นนี่ อาตมาว่า ไม่ใช่ดูถูก นะ ไม่ใช่ดูถูก เงินเดือนๆละหมื่น เขาไม่ประมูลไปหรอก เขาว่าไม่คุ้มของเขา แต่ไม่เป็นไร อยู่ที่นี่คุ้ม อยู่ที่นี่ ไม่ต้องจ้างสักบาทหนึ่ง ไม่คุ้มได้ไง (หัวเราะ) โอ กลับตาละปัตรหมดเลย ก็ไม่จ้างสักบาท ไม่คุ้มได้ไง แล้วอาตมาบอกว่านี่มีค่านะ ราคาแพง เอ๊ะ มันมองยากนะ มีค่าตรงไหน เห็นไหมเล่า คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา ลึกซึ้ง รู้ได้ยาก เห็นได้ยาก เข้าใจได้ยาก เข้าใจไหม

ที่อาตมาพูดว่า ค่าของพวกคุณมี มีตรงไหน มีตรงที่ว่า โลกซื้อไม่ได้ง่ายๆ แล้วคุณก็เป็นคน เสียสละ มักน้อย สันโดษ มา คนอย่างนี้ มันหาได้ที่ไหนง่ายๆ หาได้ทีนี่ มีขนาดนี้ อาตมาก็ภูมิใจแล้ว ได้แค่นี้ ถึงแม้ว่าโยมจเร จะหวั่นไหวในเงินหมื่น ตอบยากกว่าห้าพันหน่อยแล้ว ก็ตามเถอะ อาตมาก็ว่า เอาเถอะ คนอย่างนี้ อาตมาว่าอยู่ทางโลกยังแย่กว่านี้นะ ถ้าอย่างนี้ คุณภาพอย่างโยมจเร ฝีมือทางโลกขนาดนี้ เขาซื้อ เขาก็ต้องเอาภูมิทางโลกไปใช้ ใช่มั้ย อย่างโยมจเรนี่ อยู่ในตลาด เขาจะกี่พันกัน จะจ้างเงินเดือนนะ เขาไปประมูลเอาแคล่วคล่อง เอาหนุ่มกว่านี้ก็ได้ เขาไม่มาประมูลเราหรอก โยมแก่แล้ว สองสามพัน เอาเรี่ยวแรงขนาดนี้ไปใช้นะ ไอ้ประเภทฟัน ฟันเก่งๆ บอกให้ ฟันฟันแหลกเลย ไปหาในตลาด ในสังคมมนุษย์เยอะไป หนุ่มกว่านี้ แข็งแรงกว่า นี้ เยอะไป เนี่ย นัยละเอียดลออซับซ้อนพวกนี้ เราต้องเข้าใจนามธรรม เข้าใจคุณธรรม คนอย่างนี้ สังคมอย่างนี้ เรากำลังที่จะสร้างจะมี

เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว ปฏิรูปเทสวาโส สถานที่ที่ควรอยู่ ไม่ใช่หาได้ง่าย สังคมมนุษย์ เรียกว่าบริษัท สังคมมนุษย์ เราเรียกว่าบริษัท บริษัทที่ที่มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่เป็นบริษัท ที่มีพรักพร้อมนั้น ก็หาไม่ได้ง่ายสังคมมนุษย์ที่เป็นบริษัท มาหาไม่ได้ง่าย เราควรจะรู้บริษัทที่ควรอยู่ รู้จักสถานที่ ที่ควรอยู่ ก็ไม่ใช่ง่าย คนที่จะรู้ เพราะฉะนั้น ผู้รู้เท่านั้น จึงรู้สถานที่ที่ควรอยู่ ผู้ที่รู้เท่านั้น จึงรู้สังคมบริษัทที่ควรจะอยู่ทำงานด้วย เพราะฉะนั้น บริษัทที่ประเมินตัวเราไป ด้วยราคาแบบโลกๆ ก็ของโลกๆ บริษัทที่ประเมินตัวมาด้วยราคาแบบธรรมะ นี่ อาตมาประเมินตัวพวกคุณมานี่ คนละศูนย์บาทๆๆๆ มาแฮะ (หัวเราะ) มันประหลาดดีนะ บริษัทนี้รับคนราคาศูนย์บาท แล้วคุณก็มาอยู่กับบริษัทนี้ แล้วก็เป็นคนในบริษัทนี้ บริษัทที่น่าอยู่ก็หายาก สถานที่ที่น่าอยู่ก็หายาก พอเข้าใจไหม

ธรรมะวันนี้ อาตมาได้อธิบายลึกซึ้งขึ้นไปหลายอย่างให้พวกคุณฟัง คุณไปคิดดู อาตมากำลังหลอกคุณ กำลังประเล้าประโลมคุณหรือ อาตมากำลังแผ่สัจจะ เปิดเผยสัจจะ แง้มสัจจะออกไป ให้คุณได้เข้าใจลึกขึ้นไป ชักของลึกให้ตื้นขึ้นมามากพอสมควร

วันนี้ก็เทศน์เลยเวลาไปเกือบห้านาทีแล้ว เอ้า! ก็ขอจบแค่นี้ก่อน

FILE:1043A.TAP