ความรักกับศรัทธา
อบรมทำวัตรเย็น เมื่อ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓
พุทธสถานสันติอโศก
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์

วันนี้เราก็มาทำวัตรกันอีกตามปกติ ได้เกริ่นไว้แล้วว่าจะแสดงธรรมเรื่อง "ความรักกับความศรัทธา" หรือ "ความรักกับศรัทธา" ๒ คำซึ่งเป็นคำไทยๆ ก่อนที่จะได้ อธิบายถึงรายละเอียดอะไรต่อไป มากมาย ก็จะต้องมาจำกัดความกันให้ชัดๆ กันเสียก่อนว่า คำว่า "ความรัก" คำนี้เป็นภาษาไทย หมายไปในเชิงเพศ หมายถึง ความผูกพัน พอใจ รัก ใคร่ในเชิงเพศ

คำว่า "ความรัก" ฟังนิยามกันเสียก่อน ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะเลอะเทอะ พูดกันไม่รู้เรื่อง เราจะไม่พูด โดยไม่มีนิยามกัน ไม่งั้นมันไม่จำกัดขอบเขต มันพลิกแพลงกันไปได้ ก่อนอื่น ตั้งใจใหม่...

คำว่า "ความรัก" ในที่นี้เราจำกัดความลงไปว่า มันเป็นความรักระหว่างเพศ หรือความรัก ที่เกี่ยวข้องด้วยเรื่องของเพศสัมพันธ์ เป็นความพอใจ รักใคร่สิ่งที่จะเกี่ยวข้อง เรื่องผู้หญิงผู้ชาย ส่วนเรื่องของ "ศรัทธา"นั้น มีความหมายในตัวแท้ของมันเอง เดี๋ยวจะได้อธิบายไปเรื่อยๆ แต่ส่วน "ความรัก" นี้ ตีความหมายกันกว้างขวางมาก

เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องจำกัดความกันลงไปเสียก่อน ที่เราจำเป็น จะต้องพูดกันถึงเรื่อง "ความรักกับศรัทธา" นี้ก็เพราะเหตุว่า การปฏิบัติธรรมของเราต้อง การที่จะเอาความละเอียดลออ ถึงความเป็นจริง เราจะไม่มามัวปฏิบัติธรรม หรือว่ามา เล่นกัน โดยให้เกิดผลเสียที่ซ้อนที่แฝง เราจะต้องป้องกัน เราจะช่วยกันรักษา ช่วยกันพยายามปัดเป่า ทำลายสิ่งที่จะพาให้เสีย แล้วจะสร้างสรรสิ่งที่ดี และเราก็มีเรื่อง ผู้หญิง-ผู้ชาย ไม่ใช่มีเรื่อง เรามีผู้หญิง-ผู้ชาย เรามีผู้หญิง-ผู้ชาย ที่มาปฏิบัติธรรม กันทั่วถ้วน มีทั้งหนุ่มทั้งสาวทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ มีหมดทุกรุ่นทุกวัย ปฏิบัติกันไปทีเดียว ปฏิบัติกันอยู่ อย่าง... ถ้าจะเรียกว่าคลุกคลีก็คลุกคลีกันทีเดียว ความคลุกคลีนั้น เราก็ระมัดระวัง แน่ใจอยู่ว่าเราได้สอดส่อง และพยายามจะไม่ให้การคลุกคลีนั้น เกิดความเสียหาย ในเรื่องเพศ เรื่องเพศกับศรัทธา มันเป็นผลดีผลเสีย ต่างกันทันที เมื่อเราพูดถึงเรื่องธรรมะ

โดยเฉพาะธรรมะโลกุตระ ของเรานั้น เรื่องเพศ หรือเรื่องความรักเป็นความเลว เป็นความเสื่อมเสีย ส่วนเรื่องศรัทธานั้น เป็นความดี เป็นความก้าวหน้า เป็นความเจริญ นี่ฟังเป็นระดับๆ ไปก่อนเป็นขั้นๆ เป็นตอนๆ เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดความรัก จะเกิดอย่างอ่อน หรืออย่างแฝงก็ตาม ก็เลวแล้ว ถ้ายิ่งเกิด อย่างมาก ถ้าใครรู้กันแล้ว ก็รีบจัดการช่วยเหลือ อย่าให้ก่อเกิด อย่าให้มีอยู่ใน ณ ที่นี้เป็นอันขาด ส่วนความศรัทธานั้นไม่มี ต้องปลูกฝัง ตนเองก็ต้องสร้างศรัทธาขึ้น ศรัทธาหมด ตั้งแต่ตัวผู้ที่ น่าศรัทธาที่สุด จนกระทั่ง ศรัทธาผู้ที่เราควรศรัทธาได้เรื่อยไป แม้แต่เพื่อนสหธรรมิก ซึ่งจะมีดี มีสิ่งที่เราจะเชื่อถือได้ พึ่งพาอาศัยได้ เกื้อกูลกันได้ เราก็จะพึ่งศรัทธากัน

เพราะฉะนั้น ความหมายของคำว่า "ศรัทธา" มันจะอธิบายตัวมันเอง มันจะอธิบายตัวมันเอง ไปเรื่อยๆ ต้องพยายามฟัง และพยายามตามๆไปดีๆ ทีนี้เราก็มาให้ความหมาย ที่ชี้ลงไปถึง ความใกล้เคียงของคำว่า "ความรักกับศรัทธา" จะชี้ถึงความแตกต่าง มันใกล้เคียงนะ ความหมายของคำว่า "ความรัก" กับ "ศรัทธา" มันใกล้เคียงคือ มันเป็นความเกี่ยวพัน เป็นความหมายง่ายๆว่า เป็นความเกี่ยวพัน คำว่า "ศรัทธา"นั้น โดยจริงแล้วมันไม่ได้หมายความว่า ความเกี่ยวพันโดยจริงโดยแท้ มันไม่ได้หมายว่า ความเกี่ยวพัน แต่เราเข้าใจเอาเอง เราเข้าใจในฐานของมรรค ในฐานของบทเริ่มต้น ก็เข้าใจว่าศรัทธานั้น คือความเกี่ยวพัน เมื่อศรัทธาแล้ว เราก็ต้องการเข้าหา เข้ารับ เข้าพึ่ง มันจะมีการโยงใย เกี่ยวเกาะหรือเกี่ยวพันอยู่ เข้าหา เข้ารับ เข้าพึ่ง เมื่อเกิดศรัทธา แต่โดยจริงแล้ว ศรัทธาจริงๆนั้น มันแปลว่าความเชื่อ ศรัทธาแปลว่าความเชื่อ เชื่อถือ นับถือ มั่นใจในสิ่งนั้น ศรัทธาเป็นความมั่นใจในสิ่งนั้น เห็นสิ่งนั้นดี และก็เชื่อมั่นในความดีนั้น เห็นในความดี รู้ในความดี เข้าใจในความดี ถ้ามีอยู่ที่บุคคล ก็บุคคลนั้นมีความดีนั้น เราเห็น เราเชื่อ แล้วเราก็มั่นใจในความดี ความดีมีลักษณะต่างๆประการ เพราะฉะนั้น บุคคลใดมีความดีใดๆ หรือมีสัจจะ มีความจริงใดๆ ความจริงหรือความดี หรือความเมตตาเกื้อกูล หรือความอะไร ก็แล้วแต่เถอะ เป็นสิ่งที่เป็นกุศล เป็นสิ่งที่เป็นความดีงาม ในผู้นั้นๆ แล้วเราก็เชื่อ นับถือว่าท่านมี มีจริงๆ แล้วเราก็เชื่อมั่นนับถือในท่าน เราอยากได้ เราก็จะมาพยายาม มาเอา มาเกี่ยวข้อง มาใกล้เคียง มาเพื่อที่จะมาได้รับถ่ายทอดเอา นั่นเรียกว่า เรา"ศรัทธา" มารับถ่ายทอดเอา เมื่อเราได้แล้วเราก็พอ เมื่อเราได้จริงในสิ่งที่ท่านมี แล้วเราก็ถ่ายทอดมา รับเอาได้ แล้วเราก็พอ เราก็ไม่คลุกคลี ไม่เกี่ยว ไม่เกาะ นี่ เรียกว่า "ศรัทธา"

ส่วน"ความรัก"นั้นยิ่งมารับได้ ยิ่งได้ไปแล้ว แล้วเราก็เสพสมสุขสมในอารมณ์ แล้วเราก็ยิ่งติดใจ ก็ยิ่งเกี่ยว ยิ่งเกาะ ยิ่งเกาะ ยิ่งหวง ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งติดยิ่งสัมพันธ์เข้าไปใหญ่ ยิ่งมีความเห็นแก่ตัว จัดขึ้น มีนัยะขยายอีกอย่างหนึ่งก็คือ "ความรัก" นี่นะ มันยิ่งรัก มันยิ่งไม่ต้องการให้ใคร มันยิ่งหวงแหนแก่ตัว ส่วน "ความศรัทธา"นั้น ยิ่งศรัทธา ยิ่งต้องการ ให้แจกให้ผู้อื่น ท่านมีดีนั้น ช่วยท่านแจกด้วยซ้ำไป ถ้าช่วยได้ ช่วยไม้ช่วยมือ เกื้อกูลให้ท่านไปแจก สิ่งที่ท่านมีดีนั้น สิ่งที่ท่านเป็นดีนั้น สิ่งที่เราเชื่อมั่นในท่านนั้นให้ไปแจกให้ผู้อื่น เราไม่หวง จะไม่หวง จะยินดี ยิ่งมีคนเข้ามาเอามาก เข้ามาใกล้เคียงมาก เข้ามาคลุกคลีกับท่านมาก เข้ามารับเอามาก ยิ่งดีใจ ยิ่งพอใจไม่หวง

ส่วน"ความรัก"นั้น หวงแหน เห็นแก่ตัว ยิ่งรักมาก ยิ่งไม่อยากให้ใครมาเกี่ยวข้อง ยิ่งเป็นเนื้อเป็นตัว ยิ่งเป็นส่วนแคบๆ ยิ่งเป็นของตัวของตน ของเราเข้าไปเรื่อยๆ ทิศทางมันเดินสวนทางกันอย่างนี้ ยิ่งคนที่เรารัก ให้ความสุขแก่เรา ให้ความสมใจ ให้ความสมความใคร่ ความอยากของเราได้มาก ยิ่งจะพอใจ ยิ่งจะติดใจ ยิ่งจะหวงแหน ยิ่งจะไม่ให้ใครเลย มันเป็นความสมใจของความรัก และเป็นผลของความรัก ส่วนผลของ ศรัทธานั้น ยิ่งเราเข้าใกล้ท่านยิ่งจะนับถือ ยิ่งมั่นคง ยิ่งเชื่อ แล้วเราก็จะถ่ายทอดเอาความดี จะถ่ายทอดเอาความดีที่ท่านมีนั้นให้แก่เรา เมื่อเราได้แล้ว ยิ่งเราได้ เราก็ยิ่งได้ดี เราก็ยิ่งจะเชื่อมั่นท่านมากขึ้น เพราะเราได้ดีจากท่าน ถ้าเราได้ดีจากท่านยิ่งสมใจแล้ว สมใจคือได้ดีจากท่านเข้ามาแล้ว เราปล่อยท่าน เราไม่ต้องมาเอาจากท่าน ให้ท่านมีโอกาสไปให้ผู้อื่น จะช่วยท่านให้มีโอกาสเอาไปให้ผู้อื่น ถ้าคนอื่นเขาศรัทธาท่าน เขายังไม่ศรัทธาเรา แม้เราจะได้ ความดีนั้น ใส่ตัวเราแล้วก็ตาม คนอื่นเขายังไม่ศรัทธาเรา เขาศรัทธาท่าน เราก็จะช่วยท่าน ให้เผื่อแผ่ให้คนอื่น แบ่งแจกให้คนอื่น เราไม่เป็นไร เราได้แล้วนี่ ยิ่งได้สมใจแล้ว พอใจแล้ว ตักตวงเอาจากท่านมาแล้ว เรายิ่งไม่หวงแหน เรายิ่งจะให้ท่าน และเราก็ไม่ต้องเกี่ยวเกาะคลุกคลี ไม่ว่าความดีใด ยิ่งได้ความดีมาจากท่านจนหมดแล้ว ก็ยิ่งไม่เกี่ยวเกาะ ปล่อย ยิ่งปล่อย ยิ่งคลาย ยิ่งพรากจากกัน ยิ่งตัวใครก็ตัวใคร

ทีนี้ ตัวใครก็ตัวใคร หมายความว่า เราจะเป็นที่พึ่งต่อไปอีก ท่านเป็นที่พึ่ง ท่านมีสิ่งเป็นที่พึ่ง ของท่านเอง จนท่านเป็นที่พึ่งให้แก่คนอื่นได้ แล้วคนอื่น ก็มาเอาสิ่งที่พึ่งจากท่าน แล้วผู้นั้น ก็ได้สิ่งดีนั้นไป เมื่อได้สิ่งดีนั้นไป เราได้พึ่งสิ่งดีนั้นในตนเป็น อัตตา หิ อัตตโน นาโถ เมื่อเราได้ สิ่งที่ดีนั้น ได้พึ่งตน หรือได้พึ่ง สิ่งที่ดีนั้น จนครบถ้วนแล้ว เราก็ย่อมไม่ไปเอาจากท่านอีก เพราะเรา ได้แล้ว ได้บริบูรณ์ชัดแจ้งเต็มรูป เราก็ไม่เอาจากท่าน ก็ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกัน เราจะกลายเป็นที่พึ่ง ให้แก่คนอื่นต่อไป

เพราะฉะนั้น ต่างคนก็ต่างแจก ต่างคนก็ต่างจ่าย ต่างคนก็ต่างกระจาย ขยายออกไป ให้ไปให้แก่คนอื่นต่อๆไป เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เกื้อกูลโอบอุ้มต่อมนุษยชาติ เป็นความเผื่อแผ่อย่างยิ่ง ต่างกันกับความรัก ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเป็นของตัวของตน ยิ่งไม่แจกไม่จ่าย ยิ่งไม่พรากจากกัน ยิ่งไม่ปลด ยิ่งไม่ปล่อย เมื่อยิ่งได้รับความสมใจ ยิ่งติดใจ ยิ่งพอใจ ยิ่งหวงแหน ยิ่งไม่อยากให้ใคร

นี่ลักษณะใหญ่ๆเป็นอย่างนี้ อ่าน ทุกคนอย่าให้เกิดความรัก ยิ่งมาปฏิบัติธรรมแล้ว เราคลุกคลี เกี่ยวข้อง มันแฝงอยู่ในตัว มันแฝงอยู่ในตัวเราไม่รู้ ว่าเราเกิดความเกี่ยวข้องนี้ เกี่ยวข้องอย่างที่มารับ ศรัทธาก็บอกแล้ว ก็มารับเอา ความรักก็มารับเอา มันจะยิ่งมารับ มันยิ่งอยากจะได้ ได้อะไร ก็ตามใจเถิด จากผู้ที่เรารักนี่ ถ้ามันรักมากๆแล้ว แม้แต่นั่งอยู่ใกล้ๆ อยู่อย่างนี้แหละ อยู่ใกล้ๆ อยู่ด้วยกัน ไม่ต้องพรากจากกัน อย่างนี้มันก็พอใจแล้ว ถ้าเป็นความรักไม่ต้องได้อะไร ไม่ต้องไกลกัน มันอยู่ใกล้ๆอย่างนี้แหละ พอใจแล้ว ถ้าได้อะไรอื่นอีก จะเป็นลักษณะกิริยา อาการ สัมผัสเสียดสี ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่างไรขึ้นมา หรือแม้แต่ จิตวิญญาณสัมผัส มีสัญญาณอะไรขึ้นมา ยิ่งเป็นสุข ยิ่งพอใจ ยิ่งดูดดื่ม มันก็เป็นรส เป็นชาติ เป็นอารมณ์ เราจะเกิดปฏิกิริยา เราจะเกิดผล ของสัมผัส ความรัก นี่จะได้ผลของสัมผัส เกี่ยวเกาะเป็นเมถุน เมถุนอย่างตั้งแต่หยาบๆ ไปจนกระทั่งถึง ละเอียด

เพราะฉะนั้น เราอ่านย้อนมาตั้งแต่ละเอียด อ่านทวนมาป็นปฏิโลม เอาตั้งแต่ ปลายเมถุนสังโยค ๗ เอาตั้งแต่เราหลงหรือเชื่อ มันแฝงความรัก มันแฝงด้วยศรัทธา แฝงด้วยความเชื่อ เราเชื่อว่าคนนี้ จะให้สิ่งที่เราชอบใจ เขาจะเป็นผู้ที่มีสิ่งที่จะให้เราชอบใจ ก่อนอื่นสิ่งที่จะให้เราชอบใจ ทุกคน ก็เข้าใจว่า มันต้องเป็นความดี ความประเสริฐ เราก็จะมาในรูปที่จะต้องการความดี ความประเสริฐ ท่านจะให้แก่เรา เราก็จะเข้ามาในลักษณะของการจะเป็นเมถุนโดยเทพเจ้า เราก็สมมติว่า ท่านเป็นเทพเจ้า หรือเชื่อว่า ท่านเป็นเทพเจ้า ท่านเป็นพระผู้เป็นเจ้า หรือว่าท่านเป็นเทวะองค์หนึ่ง เป็นผู้ที่จะมีฤทธิ์ มีแรง มีอำนาจ มีสิ่งจะเรียกว่า สิ่งอะไรก็ตามใจ สิ่งที่ท่านจะให้เราได้ เราก็จะมาเอา

ดูดีตอนแรกประสมมากับศรัทธา ศรัทธายังไม่เรียกว่าความรักไปทีเดียวก็ได้ จนเมถุนสังโยค มันจะหยาบขึ้นๆ พอมาในรูปของขั้นต่อมาเป็นระดับที่ ๖ ระดับที่ ๗ นั้นเป็น เทวะ เป็นเทวดา องค์ใดองค์หนึ่งของเรา นี่พูดเป็นบุคคลเลย เป็นตัวตน บุคคล เรา เขา เป็นสองแท่น เป็นสองท่อน เป็นเมถุนเป็นคู่ๆ พอในระดับสองนั้น ท่านก็จะมีสิ่งที่เป็นอารมณ์กามให้แก่เรา ท่านจะมีอะไร เป็นการบำเรอกามให้เรา อย่างละเอียดก่อนก็ได้

ทีนี้ประเภทปฏิโลมซ้อนนี้อย่างละเอียด ท่านมีลีลาอย่างนั้นอย่างนี้ ปรุงอยู่ หรือว่ามีอิริยาบถอยู่ ยังไม่หยาบ ห่างๆกัน แต่สัมผัสแตะต้องด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย มีอิริยาบถอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ชวนใจ แหม! ท่านมีลีลาท่าทีน่าชื่นใจ น่าชื่นใจ มันจะเริ่มตั้งแต่ ความสงบก่อนก็ได้ แล้วถึงค่อยดีดดิ้นขึ้น มีลีลาที่อ่อนไหวอ่อนช้อย ประโลมท่าทีอย่างนี้ อ้อ! ชักชอบใจ ประโลมท่า ประโลมค่อยๆโตขึ้น หยาบกร้านขึ้น เป็นทีท่าของรูป เป็นทีท่าของเสียง ยังไม่ต้องถึงกับสัมผัสแตะต้องเสียดสี นวดฟั้น ยังไม่ต้อง เป็นแต่เพียงสัมผัสทางตา ทางหู ด้วยลีลา สิ่งเหล่านั้น ก็ทำให้เกิดอารมณ์กามอย่างอ่อน อย่างละเอียด เราไม่มีปัญญา เราจะไม่รู้ว่า มันเป็นกาม หรือเป็นความรัก มันจะแฝงอยู่กับศรัทธา นี่แหละเรื่อยไป จนมันหยาบๆ หยาบออกมา มันก็จะอยากได้ยินแต่เสียง ทีนี้เมื่ออยากได้ยินแต่เสียง ในระดับ ละเอียดนี่นะ ฐานที่ ๕ นี้ ระลึกทางใจ เมถุนทางใจ เราจะผ่านไปก่อน ไม่ผ่านก็ได้ อธิบายซ้อน แต่ว่ามันไม่หยาบ มันเป็นการระลึกฐานจิตที่เราเอาไปปรุง จะเป็นกริยาท่าที จะเป็น ทางรูปทางเสียง เราก็เอาไประลึกนึกคิดอยู่ในอารมณ์ ได้รับมาเป็นอดีต ได้รับมาเป็นสิ่งที่ประทับใจ แล้วก็เอามาระลึกเกิดรส ปรุงให้มันปักใจ ให้มันติดใจ ให้มันแนบแน่น ให้มันเกิดการปฏิพัทธ์ ผูกพันมากขึ้นๆ ก็เป็นฐานเมถุน ที่หยาบขึ้นๆ เป็นฐานที่ ๕

จากฐานที่ ๕ ไล่ย้อนขึ้นมาเหลือฐานที่ ๔ ฐานที่ ๔ นี่ ได้ยินเสียง ทีนี้ก็อยากกันใหญ่ อย่าว่าแต่เสียง สุขุม ประณีต ประเล้าประโลม แม้แต่เสียงร้องไห้ เสียงหยาบคาย เสียงอะไรก็ติดใจขึ้นมา ขอให้เป็นเสียงผู้ที่รัก ตอนนี้เป็นตัวชัดแล้ว ไม่ใช่เป็นความดีงาม ไม่ใช่เรื่องมีคุณค่า ขอให้เป็นรูป ขอให้เป็นลักษณะออกมาจากผู้นี้ จากตัวผู้นี้ ในระดับฐานที่ ๔ ฐานเสียงจะเป็นลักษณะใดๆ ขอให้ได้รับ แม้อยู่มีอะไรคั่น มีอะไรกั้นอยู่ ได้ยินเสียงลอดม่าน เสียงลอดแผ่นฝาผนังเพดาน อะไรแล้วแต่ ลอดภูเขาฝากั้นอะไรก็ตามใจ อย่างนี้ปรากฏแล้วเป็นตัว ถ้าอย่างนี้แล้วละก็... เป็นกิเลสแล้ว พิจารณาในเสียงนั้นหรือ คำพูดอย่างนั้น มันไม่มีคุณค่า มันไม่มีความดีงาม มันจะเป็นกาม เป็นกิเลส

หรือแม้แต่เสียงอื่นๆที่ มันเป็นหยาบคาย เป็นเรื่อง... เป็นเสียงร้องไห้ เป็นเสียง มันไม่มีท่าอะไร เป็นคำพูด ที่เพ้อเจ้อ ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ราวอะไร ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นอรรถ ไม่เป็นธรรมอะไรก็พอใจ ขอให้ได้มีเสียงจ้อยๆ อะไรจ๊อกแจ๊กจอแจจ้อยๆๆไปเท่านั้น ก็พอใจเรื่อยไปอย่างนี้ ชักไม่ค่อยเข้าท่าแล้ว ไม่ค่อยเข้าท่า ถ้าเผื่อว่า มันแสดงชัดถึงความรัก มันไม่เข้าท่าเลย มัน เป็นความหลง หลงใหล อยากสัมผัสเสียง อยากสัมผัส ได้รับกาม ได้ยินเสียงเท่านั้นก็ชื่นใจ ได้สัมผัสนั่นเอง สัมผัสทางเสียง สัมผัสทางรูป ถ้ามาในฐานที่ ๓ ก็สัมผัสทางตาเลย ได้เห็น ได้มอง ได้จ้อง...ได้สปาร์ค ทางตายิ่งเต็มที่เลย สปาร์คทางตา ได้ตาสัมผัสตา หรือได้โลมลูบ ได้เห็นได้อะไรต่ออะไรไป ก็รู้สึกน่าชื่นใจไปเสียหมด เห็นกิริยารูปร่างอยู่ ก็ชื่นใจ ก็เป็นสุขสมใจ สมความใคร่อยาก เป็นอารมณ์ปรุง สมใจที่ได้สัมผัส ไม่ใช่เก็บเอาความดีความงามอะไร แต่ก็มีเชิงอธิบายไป ทางศรัทธาได้ว่า บางทีเรามารับ ตามกริยาท่าที ที่รูปท่านแสดงอยู่แล้ว เราก็จะทำรูปร่าง อย่างนี้ตามท่าน เพราะว่าอันนี้ เป็นคุณงามความดี กริยาทางกายก็ตามด้วย เห็นกริยาทางเสียง ก็ตามด้วยฟัง เป็นสภาพที่มีคุณค่า เราก็จะรับ หรือเราก็อยากรับ อย่างนั้นเป็นศรัทธา

นี่อธิบายแซมปนเข้ามาเป็นคู่เทียบให้ฟัง เพื่อจะได้วิเคราะห์ชัดๆ แต่ส่วนทางด้านของความรักนั้น มันเสพผลเสพอารมณ์ มันไม่มีคุณค่า มันไม่มีความดีงามเข้ามา เป็นเครื่องวัด มันได้สัมผัสเสียง สัมผัสรูปพอใจขึ้นไปทั้งหมด หนักเข้า หยาบกร้านรุนแรง อย่างไรได้ทั้งสิ้น

นั่นเป็นความรักจะไปหาทางต่ำอย่างนั้น ขอให้ได้สัมผัสเสียงก็ตาม รูปก็ตาม หยาบกร้านๆ แข็ง แข็งกระด้าง หรือว่าลามกอนาจารอะไรไปอย่างไรได้ทั้งสิ้น ถ้าเป็นความรักได้ทั้งสิ้น ส่วนถ้าด้านศรัทธาแล้วไม่ จะมีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา เอ๊ะ! อย่างนี้ไม่ชอบมาพากลแล้ว จะลดความศรัทธาเอาด้วย ถ้าไปในกริยากายก็ดี เสียงก็ดี ที่เป็นเชิงลามก เป็นเชิงนี่ แสดงความเกี้ยวพาราสี หรือจะออกไปในเชิงที่ไม่สู้ดีแล้ว นี่เป็นเชิงกาม เป็นเชิงโทสะ เป็นเชิงความใคร่ เป็นเชิงโทสะออกมา แม้ในเสียง แม้ในลีลาท่าที กริยาของผู้ที่เราศรัทธานี่นะ มันไม่ใช่ความดีแล้ว ถ้าเผื่อว่า ผู้ที่มาศรัทธานี้ แสดงสิ่งอย่างนี้ออกมา ถ้าเรารับรู้รับเห็นแล้ว มันจะผลักศรัทธา ไม่ใช่ยิ่งชอบใจ ยิ่งพอใจ ยิ่งผนึก ยิ่งติด ไม่ใช่ สังเกตให้ดี ไม่ใช่ เราจะเกิด เอ๊ะ! นี่ชักไม่เข้าทีแล้ว ไม่เข้ารูปเข้าเรื่องแล้ว ศรัทธาจะตกๆ ไม่ใช่จะยิ่งรัก ไม่ใช่จะยิ่งผูกพัน

ส่วนความรักนั้น ยิ่งมีในเชิงกามก็ยิ่งดีซิ ยิ่งติด ยิ่งชอบ ยิ่งสมใจเลยแหละ ถ้ายิ่งเชิงกาม ยิ่งเชิงจะเป็นเรื่องสัมพันธ์ทางกาม ทางความใคร่ แม้แต่ความโกรธ ความรุนแรง บอกแล้ว ก็ไม่ถือสา จะพอใจแล้วพอใจอยู่นั่นเอง

ถ้ายิ่งเป็นความ...ลีลาทางเพศ ทางลามก ทางอะไรต่ออะไรๆเข้าไปแล้ว ก็แน่นอน ยิ่งชอบใจใหญ่ นี่มันจะเกิดภาวะที่แตกต่าง ค้านแย้งกันออกมาให้เห็น ถ้ายิ่งหยาบ ไปจนกระทั่ง ถึงประเล้าประโลม ฉอเลาะ เป็นเสียงแห่งความกำหนัดใคร่ เป็นฐานของเมถุน ระดับที่ ๒ มันก็ไปแล้วจนที่สุด นวดฟั้น สัมผัสเสียดสี เป็นลีลาของการสัมผัสกายเลย ไม่ต้องอธิบายต่อ เรื่องความรักอย่างนั้น เลอะเทอะ ไปเลย เราไม่ได้พูดเอาความหมาย ถึงขั้นหยาบอย่างนี้

เพราะฉะนั้น แม้แต่ในเมถุนระดับ ๑ ระดับ ๒ นี่นะ เราก็ยังไม่มีอะไรกันมากหรอกในที่นี้ หยาบอย่าง ระดับหนึ่ง ระดับสอง นวดฟั้น แตะต้องสัมผัสเรายัง...และขั้น ในระดับที่เรียกว่า เสียงที่เกี้ยวพาราสีก็ยัง แม้แต่เราจะเป็นนักปฏิบัติธรรม เป็นฆราวาส ในพวกเรา ขณะนี้ที่อยู่ในขอบเขตนะ อยู่ในวัดในวานี้ เรายังไม่มี หรือยังมีก็แผ่วเผิน หรือน้อยมาก ในระดับต่อมา ระดับที่ ๓ ที่ ๔ นั้นมีบ้างไหม ? ในระดับที่ ๕ เก็บไปคิด ไม่ใช่ความหยาบแล้ว มีบ้างไหม ให้เราไตร่ตรอง อ่านของแต่ละบุคคล ไม่ว่านักบวช จะเป็นพระ เป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสผู้ที่มาศึกษาปฏิบัติ ประพฤติจริงๆ ให้ตรวจ ให้อ่าน พยายามทำความเข้าใจคำว่า อารมณ์กาม อารมณ์เพศ มันพริ้วๆ แผ่วๆ ยังไง เราก็จะต้องพยายามอ่านให้ชัด ให้ละเอียดลออ มันเป็นความสมใจ มันเป็นความสมใจซาบซ่าน เป็นรสๆ

ส่วนศรัทธานั้น เรามีความหมายของความดี ความหมายของปัญญาที่จริง เพราะฉะนั้น เรามาฟังเสียงของท่านผู้ที่เราศรัทธา เราจะมาฟังรับเอาความหมาย แล้ว เราจะมีปัญญาฟัง ทั้งความหมาย ทั้งเสียงสำเนียง ถ้าเป็นเสียงสำเนียง ประเล้าประโลม เป็นเสียงที่ชักไปในลีลา ของการไปหาทางเพศ มันจะมีลักษณะ ประเล้าประโลมเป็น.. .ถ้าจะพูดในเชิงภาษาง่ายๆ ก็จ้ะ จ้ะ จ๋า จ๋า อะไรต่ออะไร ออกไปแล้ว อย่างนี้ก็ระวัง ระวัง ให้ดี เราจะไม่เอาผูกพันอย่างนั้น ความศรัทธา บอกแล้วว่า ไม่ใช่จุดเป้าหมาย มุ่งหมาย เป็นเรื่องของความผูกพัน ความศรัทธาเป็นความเชื่อมั่น เป็นความเห็นจริง เชื่อมั่นเห็นจริง

เพราะฉะนั้น เราเชื่อว่าท่านมี เราศรัทธาท่าน และจะมารับเอา เมื่อเรารับเอา เราได้ เราได้แล้ว เราพราก ปล่อยวาง อ้อ! ไม่ต้อง เราพึ่งตนเองได้ เราได้สิ่งที่ท่านเป็น ท่านมีมาไว้ที่เราได้เรื่อยๆ แล้วมันมีความจบ ความพอ มีความจบความพอ มันมีความพึ่งตน เป็น อัตตา หิ อัตตโน นาโถ มันไม่ใช่จะต้องเป็นเมถุน จะต้องเกี่ยว เกาะกันตลอดนิรันดร จนตาย ไม่ มันไม่ศรัทธา มันจะไม่เกิดผลอย่างนั้น นี่คือความแตกต่างที่จะต้องสังเกต ละเอียด อ่านให้ดี แล้ววิเคราะห์วิจัย ถึงสภาพธรรม หรือสภาวธรรมเหล่านี้ให้เด่นชัด ไม่เช่นนั้นปนเปกัน เพราะมันปนกันอยู่ได้ในความรัก

เรารักคนนี่ เรารักแบบเพศ มีความศรัทธาประสมอยู่ด้วยก็มีได้ มีได้ เรารักแล้วมีความศรัทธา อยู่ในคนนั้นๆด้วย คือเรารักด้วย แล้วก็ผู้นั้น มีความดีงาม มีความน่าเชื่อถือ อะไรต่ออะไร ดีอยู่ในผู้นั้นด้วยได้ เราศรัทธา ศรัทธาที่ว่าโดยมีแกนนะ แกนศรัทธา เชื่อมั่นเชื่อถือในผู้นี้ ว่าท่านเป็นคนดี เป็นผู้มีคุณความงามความดีที่แท้จริง มีสัจธรรม แล้วเราก็ศรัทธา ศรัทธาแล้วก็แฝง เราแฝงปนความรักเข้ามาด้วย ก็มีได้ แฝงปนความรักเข้ามา มันจะกลายเป็นเรื่องเพศเข้ามาก็ได้ ถ้าเราไม่รู้ตัวก็จะเพาะ เพาะความรักเพิ่มขึ้นๆๆ หนักเข้าๆก็ลามก ไม่เอาแล้วเรื่องศรัทธา จะมาเป็นเรื่องความรักไปทีเดียว เมื่อเป็นความรักไป ก็แต่งงานกันเท่านั้นเอง ส่วนความดีงาม อะไรต่างๆก็ไม่ ก็ไม่เอา ไม่สั่งสม เรื่องความรักก็ขึ้นหน้า

ทีนี้เรื่องความรักนั้นนะ ขาดความศรัทธา ไม่มีความศรัทธาอยู่ในตัวบุคคลนั้นๆเลย แต่บุคคลนั้น เรารักก็มีได้ มีได้ เช่นว่า ผู้หญิงรักผู้ชาย คนหนึ่ง ไม่ได้ศรัทธาในตัวเขาหรอก ผู้หญิงเป็นผู้นำด้วย ผู้หญิงมีความสามารถ มีความดี มีความเก่งกล้าด้วยซ้ำไป ส่วนผู้ชายนั้นไม่หรอก ไม่มีความดีงาม ไม่มีความเก่งกล้าอะไร เป็นคนเลว ด้วยซ้ำ ขี้เหล้าเมายาสารพัด ไม่เอาการเอางาน ผลาญเงิน ผลาญทอง ผู้หญิงเป็นคนหาเงินหาทอง แต่ยังรักยังหวงอยู่ เพราะเขามีอะไรที่เป็นเกมกาม ที่เป็นกามให้แก่เขาพอใจถึงใจ เป็นเรื่องของเพศ แท้ๆ ไม่มีความศรัทธาเลย พูดมาแล้ว บางทีพูดถึงนี้ ถ้าไม่ต้องการกาม ด่าให้ ชังผลักไส แต่ต้องการกามขึ้นมาเมื่อไหร่ เอา อย่างนี้มีได้ ความรักที่ไม่มีศรัทธาก็มีได้ แม้แต่ผู้หญิงกับผู้ชาย เป็นอย่างนี้มีอยู่ ส่วนศรัทธาที่ไม่มีความรักนั้น แน่นอนที่สุด มีได้ เป็นศรัทธาที่บริบูรณ์ผุดผ่อง ไม่มีความรักเจือปนเลยมีได้ แน่นอน อย่างนั้น โดยเฉพาะด้านศาสนา ขอให้มีศรัทธา อย่าเอาความรักมายุ่ง อย่าเอาความรักมาปน ต้องอ่านอารมณ์ แห่งความรักออกให้ได้ ออกให้หมด

เพราะฉะนั้น การที่มานี่ การที่มาคลุกคลี มาเกี่ยวข้อง มาอะไร ระวัง เรื่องไม่ใช่เรื่อง ประจี๋ ประจ๋อ อะไรอย่างนี้ ใช้ศัพท์สำนวนไทยๆ ฟังผู้หญิงผู้ชาย และประจี๋ ประจ๋อ ประแจ๋ ไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไร ไม่ใช่เนื้อหาความดีงาม หรือจะเอาสัจธรรม หรือจะเอาอะไร ต่ออะไรกันจริงจัง หาเรื่องไปประจี๋ ประจ๋อ ให้มันได้อยู่ใกล้ อยู่ชิด ลักษณะอย่างนี้ระวัง! ระวัง! มันเป็นลักษณะเพศคู่ หรือเมถุน จะต้องประจี๋ ประจ๋อ อยู่ใกล้เคียงเรา เข้านั่งใกล้ นั้นเป็นศัพท์ของพระพุทธเจ้าจริง! เราเข้านั่งใกล้ สัตบุรุษ หรือคนที่เราศรัทธา เข้านั่งใกล้ เข้าฟังสัทธรรมของท่านก็ดี การที่เข้านั่งใกล้นั้น ไม่ใช่ การประจี๋ ประจ๋อ ประแจ๋ อะไร เป็นกิจลักษณะ เป็นเรื่องที่แสดง ท่านจะให้ ท่านจะมีอะไรให้มา ก็เป็นคุณค่า แม้พูดภาษาเรื่องราว ก็จะเป็นภาษาเป็นเรื่องราวที่เป็นคุณค่า เป็นสัจธรรม เป็นปัญญา เป็นอภิปรัชญา เป็นเนื้อหาแก่นสาร ไม่ใช่เรื่องประเล้าประโลม เล่นๆหัวๆ มากมาย ไม่ใช่ ยิ่งจะไป ในเชิงกาม ยิ่งไม่ใช่ใหญ่เลย

เพราะฉะนั้นขอบเขตที่จะสังเกตได้ง่ายๆ ผู้ที่มีปัญญาแล้วระมัดระวังว่า นี่ พูดเป็นเชิงจีบ เป็นเชิงแสดงซ้อนแฝงในประเภท...จะเรียกอะไรล่ะจีบนี่นะ เป็นเชิงที่แสดงออก ในเชิงไปหา ในด้านเพศแล้ว อะไรบ้าง ระวัง!เข้าไว้เชียว ถ้าไม่ชอบ มาพากลแล้ว ก็ไม่เข้าทีแล้ว แต่ถ้าผู้ที่รู้ ด้วยปัญญา ที่พูดไปแล้วเข้าใจดี ผู้ที่มาด้วยศรัทธา ศรัทธาผู้นี้ อย่างเช่น ผู้หญิงศรัทธา ผู้ชายคนนี้ ท่านเป็นผู้ที่มีคุณงามความดี มีสัจธรรม เราจะมาเอาสัจธรรมจากท่าน พอท่านพูด มีเชิงอย่างนี้ เข้าแล้ว ผู้มีปัญญา เอ๊ะ! พูดอย่างนี้มันไม่เข้าทีแล้วนี่ ศรัทธาจะลดเลย จะกลัว เฮ้ย! อย่างนี้ ไม่เข้าทีแล้ว มีช่อง มีทาง มีเหลี่ยม มีอะไรขึ้นมาแล้ว เพราะฉะนั้น ศรัทธาจะตกเลย

แต่ถ้าเป็นความรักแล้ว ไม่ ไม่ระแวง พอใจ บางทีจะตาบอดด้วย ฟังไป โอ๊ย! นี้เป็นเนื้อหาสัจธรรม เป็นอะไรต่ออะไรไปเลยด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น ถ้าเจ้าตัวก็มีด้วยนะ ผู้หญิงมาศรัทธาพระ มาศรัทธา ผู้ชาย ผู้ชายคนนี้แล้วพอไปๆๆๆๆแล้ว ถ้าเราจิตใจ ก็มีในทางเพศด้วยแล้วนะ ก็มืดบอดไปด้วยกัน ง่ายๆ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดไม่มี ผู้ใดบริสุทธิ์ใจอยู่ ให้ระวังกัน อย่าให้เกิด ถ้าไม่ชอบมาพากล ปลีกเลย ห่าง อย่าไปเชื่อมไปต่อ ต้องป้องกัน แล้วให้เจ้าตัวเขารู้ตัวด้วยซ้ำไปว่า อย่านะ! อย่างนี้เป็นความเลว เกิดขึ้นแล้ว

โดยเฉพาะในวงการของอโศกนี่ ยิ่งใกล้ชิดอยู่ในเรื่องอย่างนี้แล้วเราไม่ แม้แต่คฤหัสถ์ เราก็ไม่ชักชวน ให้เกิดความรักทางเพศและแต่งงาน ศาสนาของเราออกจะเข้ม เคร่งหน่อย ออกจะเข้มเคร่งหน่อย แต่ใครที่แต่งก็แต่ง ทนไม่ได้ก็ต้องเป็นไป ในฐานของโสดา จะแต่งงานก็ไม่ใช่ว่าจะรุนแรงจนเกินไป ไม่คบไม่หาเลย เฮ้ย! คนแต่งงานแล้ว ไม่คบไม่หาก็ไม่ใช่ คนที่มาปฏิบัติธรรมกับเรา ปฏิบัติไป ก็อธิบายไป อะไรไป เสร็จแล้วก็ไปแต่งงานก็มีอยู่ ก็พากันมาก็ไม่เป็นไร ก็ปฏิบัติไป เล่าเรียน ให้สูงขึ้นอีก เพิ่มอันนั้นก็เป็นฐานนั้น บอกว่าเราเอง เรา...มันต้องเป็นไป เพราะบางคนก็มี ก็มันทนไม่ได้ มันเรื่องอะไรแล้วแต่องค์ประกอบ บางคนก็อาจจะไม่หรอก จิตใจของตัวเองก็ไม่ แต่ว่ามีองค์ประกอบอื่น เกี่ยวกับอะไรต่ออะไร พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติโกโยติกา โน่นนี่อะไร มีได้เหมือนกัน

ทั้งๆที่โดยจริงใจแล้ว ตัวเองไม่เป็นไปหรอก แต่เราไม่เก่ง เรากลายให้คนอื่น มาบังคับเรา จูงจมูกเรา เป็นทาส แล้วเราก็ต้องถูกบีบบังคับ แล้วเราเองก็ต้องไปแต่ง แล้วเราเอง เราก็ไปทุกข์ ตัวเราเอง เป็นตัวภาระ ตัวเราเองเราเป็นคนรับเคราะห์รับกรรม เราไม่เก่งจริง เราก็ตกไป เราก็เป็นไปตามเรื่อง ของเรา แต่ถ้าเก่งกว่านั้น ก็จะพยายามดิ้นรน และพยายามที่ไม่ไปเกี่ยวเกาะ ไม่เข้าไปให้ก่อเกิด การแต่งงานแต่งการ หรือเกิดมีเพศคู่ขึ้นมา ผู้ที่มีแล้ว ก็พยายามขบถ ต่อคู่ปาท่องโก๋ อย่างที่เรา ได้กระทำกัน เป็นการฉีกคู่ ขบถต่อคู่ปาท่องโก๋ แต่ไม่ได้โกรธกัน เราไม่โกรธกัน แม้จะสมมติ จะเป็นคู่ผัวตัวเมียอยู่โดยสมมติ อย่างเรา มีตั้งหลายคู่ ที่เราเคย เอาออกมาเปิดเผย กันแล้วนี้ แม้จะมี เราก็พยายามทำส่วนที่เป็นสัจธรรม มันดีมันงาม สมมติโลกเขาก็เถอะ ไม่เป็นไร

ถ้าสมมติโลกอีกเชิงหนึ่ง แต่งงานมาแล้วมาหย่ากัน เขาว่าด้วยซ้ำไป เราก็ไม่หย่า เราก็เป็นพี่ เป็นน้องกัน แต่ในเรื่องของกิเลสตัณหา ในเรื่องเพศ เราลดละ ช่วยกันประพฤติ ช่วยกันให้อบให้รม ละ วาง ขาดกันออกไป จนกลายเป็นขาดได้ ไม่เกี่ยว ไม่ข้องกันเลยในเรื่องเพศ มีแต่ช่วยกันสนับสนุน สร้างสรรสิ่งที่เป็นธรรม เป็นความดีงาม เพิ่มขึ้นเข้าด้วยกัน ไม่ใช่แตกแยก ไม่ทะเลาะวิวาท ไม่แตกแยก ไม่ทะเลาะวิวาท เป็นอย่างนั้นจริงๆ เราจะทำ

เพราะฉะนั้น แม้ใครที่จะแต่งงานแล้ว จะมาปฏิบัติธรรมที่นี่ ก็จะต้องเข้าใจ เป้าหมายให้ดี แต่ถ้าคน ที่ยังหวงแหนในกาม ในความใคร่ ความเป็นเมถุนธรรมอยู่ ก็แน่นอนละ ถ้าเผื่อมา ปฏิบัติธรรมนี่แล้ว เขาจะต้องลดไอ้นี่ลงไป เขาจะต้องให้แตกให้แยก เรื่องนี้ แม้แต่ยังเป็น ในรูปนอกๆ ในโลกย์ๆ ก็เป็นคู่อยู่ก็ตาม แต่เรื่องนี้ลด เขาก็ไม่พอใจ แล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องจริง เพราะเขาเอง เขายังติดยึดอย่างนั้นอยู่ ก็แน่นอนละ

เพราะฉะนั้น ขั้นตอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโสดาบัน เอาเถอะผัวเรา เมียเรา นี่เป็นขั้นตอน ขั้นต้น แต่อย่างนั้นก็ต้องลด ต้องละ จาง คลายลง ต้องรู้ทิศทางที่ เป็นความประเสริฐของมนุษย์ พอสกทาคามีก็ลดละมา ลดละมาได้เรื่อยๆไป เป็นอนาคา ก็ไม่เลย จิตใจตัดขาดได้ สบายมาก อย่างนี้เป็นต้น

ทีนี้เรื่องของความศรัทธาที่เรียกว่าความเชื่อมั่นนั้น มันไม่ใช่เรื่องของเพศคู่ มันไม่ใช่เรื่องของความคู่ อย่างเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด มันเป็นปัญญาที่มันได้รับรู้ รับเห็น รับเข้าใจว่า สภาพอย่างนี้ เป็นสภาพที่ดีหนอ เราต้องการสภาพอย่างนี้มาไว้ที่เรา มันไม่ใช่ภาวะของการไปสัมผัสเสียดสี แล้วมีผลปฏิกิริยา ได้สัมผัสแล้วมีผล ฟังดีๆนะ ไม่ใช่รสแห่งผัสสะ ศรัทธาไม่ใช่สุขสมใจ ด้วยรสแห่งผัสสะ แต่ศรัทธานั้น จะได้สมใจ เรียกว่า ลภติ หรือ ลภเตเหมือนกัน บรรลุหรือ สำเร็จเหมือนกัน ลภติ ลภเต บรรลุสำเร็จ เพราะเราเห็นว่าสิ่งนั้นมีที่ท่าน เราต้องการสิ่งอย่างนั้น มาก่อเกิดที่เรา มาเป็นที่เรา ไม่ใช่สัมผัสนะ ฟังดีๆนะ ไม่ใช่สัมผัสแล้วเกิดผลสัมผัส รับรสจาก ผลสัมผัส ไม่ใช่นะ ฟังดีๆ แยกแยะละเอียดลงไปอีก ศรัทธาไม่ใช่ ศรัทธานั้นเราเห็น เรารู้ว่า ท่านมีอะไร ที่เป็นสิ่งที่เราต้องการ แล้วเราจะเอาสิ่งนั้น ปั้นสิ่งนั้นขึ้นที่เรา ไม่ใช่เราจะเอาสัมผัส เสียดสี เราจะปั้นเอาสิ่งอย่างนั้นจากท่าน ท่านจะบอกเรา สอนเรา แนะเรา อธิบายสภาพอะไร ก็แล้วแต่ แล้วเราก็จะเอามาก่อเกิด ให้มีที่เราขึ้นมา

เมื่อก่อเกิดที่เราขึ้นมาแล้ว เราก็จะลภเต เราก็จะบรรลุธรรม สำเร็จความประสงค์ สำเร็จความปรารถนา จะไปเรียกศัพท์คำว่า "สำเร็จความใคร่" ซ้ำกันก็ได้ เราปรารถนา เราใคร่อยาก ได้อันนี้ ไม่ใช่รสแห่งความสัมผัสแล้วก็เกิดรส ไม่ใช่ แต่ เอามาสร้าง มาก่อ มาปั้น มาทำให้เกิด ให้เป็น ให้มี เมื่อสร้าง เมื่อก่อ เมื่อปั้น เมื่อเป็น เมื่อมีขึ้นมาที่เรา แล้วเราได้ขึ้นมา เราก็จะเห็นจริง เชื่อมั่นในสิ่งนี้ ยิ่งจริง อ๋อ! เราเชื่อถูกแล้ว ท่านมีสิ่งดีอันนี้ เรามีได้ด้วย แม้แต่น้อย พอโตขึ้นยิ่งโตขึ้น ยิ่งสภาพยิ่ง เป็นจริงอยู่ที่เราตั้งขึ้นๆ โอ๊ย! หยั่งลง ยิ่งหยั่งลง ยิ่งตั้งขึ้น ยิ่งเชื่อถือ ยิ่งเชื่อมั่น เราศรัทธาท่าน ศรัทธาเรา เรามีที่เรามากขึ้น เราก็ไม่ต้องเอาจากท่านมามาก มันก็ห่างกันได้ ไม่ต้องคลุกคลีกันได้ ไม่ต้องเกี่ยวข้องกันได้เรื่อยไป ถ้ายิ่งเรามีได้ เต็มสิ่งที่เราต้องการนี้ ท่านมี เราเอามาได้ที่เราเต็มรูปเลย ก็ไม่ต้องเอาจากท่าน ก็ไม่ต้องเกี่ยวข้องอีก ถ้ามีหนึ่งหน่วยอย่างเดียว ก็จบกัน

ทีนี้เราก็จะไปเป็นที่พึ่งให้คนอื่น คนอื่นก็จะมาอยากได้จากเราอีกเหมือนกัน เราก็จะก่อให้คนอื่นต่อไป อันนี้ก็เป็นแต่แม่ หรือเป็นแต่พ่อที่ประทานที่สร้าง ที่ถ่ายทอดให้ ก่อเกิดให้ ก็เป็นลักษณะเท่านั้น มันยิ่งเกิดความเชื่อถือ เชื่อมั่น ไม่ได้ลดไปเลยนะ แต่ว่าไม่เกี่ยวเกาะกันเป็นผูกพันสัมพันธ์คู่อะไรไป แต่ก็ประสานด้วยงาน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่านก็มีดีอันนั้น เราก็มีดีอันนั้น ต่างคนต่างทำงาน เผยแพร่ ต่างคนต่างทำ กิจดีอันนั้น สิ่งดีอันนั้นไปด้วยกัน มันเป็นคุณงามความดีของธรรมะแท้ๆ ถ้าเป็นกายกรรม เราก็ถ่ายทอดกายกรรมมาได้ ถ้าเป็นวจีกรรมเราก็ถ่ายทอดวจีกรรมมาได้ ถ้าเป็นสภาพธรรมทั้งหมดเลย กาย วจี มโน มันก็เป็นทั้งกาย วจี มโน อยู่ในเราเสร็จเรียบร้อย ถ้าเรามีตัวสภาพธรรม ที่เป็นจิตวิญญาณนั้น ถ้าเป็นการตัดกิเลส เราก็ตัดได้อย่างท่าน เป็นคุณงามความดี ถ้าท่านมีความรู้ ละเอียดลออ ในเรื่องของสภาพการตัดกิเลสนั้น แล้วท่านก็รู้ทั้งมรรค ทั้งผล มรรคญาณ ผลญาณ มีความรู้เป็นปฏิสัมภิทาญาณ รู้อรรถ รู้ชั้นเชิงธรรม รู้ภาษานิรุกติ รู้ มีปฏิภาณในสภาพนั้น เราได้มาด้วย เราก็จบอยู่ที่เรา เราก็เอาไปใช้กับ คนอื่นต่อไป สร้างให้คนอื่นต่อไปอีก ก่อเกิดแพร่ออกไปอีก ทั้งนี้ก็ไม่ต้องพึ่ง ยิ่งได้มาครบๆ หมดๆ ยิ่งมากๆ ไม่ มันไม่เกี่ยวเกาะ ธรรมะอย่างนี้จะเห็นได้

จนบางทีบางครั้ง เราออกจะแปลกใจ เช่นว่าแต่แรกๆ เรามาศรัทธา เหมือนคนมาศรัทธาอาตมา ใหม่ๆ มาศรัทธาแรกๆ โอ๊ย! อยากจะใกล้ชิด อยากจะได้ยิน อยากจะได้ฟัง อยากจะถ่ายทอดรับเอา พอได้ขึ้นๆๆแล้ว เราก็มีขึ้นๆๆ เอ๊! ทำไม บางคนอาจจะสงสัย ทำไมเราไม่ประจี๋ประจ๋อ เราไม่อยาก จะเข้าใกล้เหมือนแต่ก่อนนะ เราไม่อยากจะเข้ารับเข้าฟัง เราไม่เหมือนแต่ก่อน เราห่าง ห่างอาตมา จะไปแปลกใจอะไร ก็คุณได้ คุณก็ต้องจางไป ห่างไปเป็นธรรมดาเหมือนลูก เด็กๆ เล็กๆ ก็เกาะพ่อ เกาะแม่แจกินนม เพราะต้องการนม พอโตแล้ว หากินเองเป็น ไม่ต้องกินนมหรอก กินข้าวในครัวก็ได้ หรือ จะกิน หากินข้างนอกก็ได้ โตแล้วก็ไม่เกาะแม่ แล้วก็ปล่อย ฉันใดก็ฉันนั้น มันเป็นธรรมดา เป็นความจริงๆ

เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เราได้ศรัทธาจากท่าน แล้วเราได้มาจนกระทั่งมาเป็นศรัทธาในตน เราก็พึ่งตน เพราะฉะนั้น ความเกี่ยวข้องผูกพันกันอีกก็น้อยลง แต่มันมีความสัมพันธ์ใน คือมีธรรมะอันเดียวกัน มีความดีอันเดียวกัน ที่จะไปขยายเผยแพร่แจกจ่ายสู่ผู้อื่นต่อไป สร้างลูก สร้างหลาน สร้างเชื้ออันนี้ ต่อออกไปแก่กันและกันแก่คนอื่นๆต่อไปอีก มีอีกจริงๆ เป็นความสัมพันธ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นเอโกธัมโม สร้างจักรวาลอันนี้ สร้างลูกอันนี้ สร้างนามธรรมก็ตามอันนี้ รูปธรรมนามธรรมอันนี้ ให้เกิดขึ้นต่อๆๆ ขยายออกไป

เรื่องของความรักและเรื่องของศรัทธา จึงเป็นเรื่องที่มีทั้งใกล้เคียงกัน เหมือนกัน ทั้งที่แตกต่างกัน สุดท้ายแล้วจะเห็นลักษณะเด็ดขาด แยกจากกันเด็ดขาด ยิ่งในบั้นปลาย หรือบั้นบริบูรณ์ ความศรัทธาที่บริบูรณ์ แล้วเมื่อเกิดเป็น ก็เป็นความเชื่อ เชื่อที่ตนด้วย ศรัทธาอันนี้ถ่ายมาที่ตนเลย ด้วยความมีจริงเห็นจริง เป็นจริง เชื่อมั่น เป็นความสำเร็จ

เพราะฉะนั้น การสำเร็จความปรารถนา หรือสำเร็จความใคร่ในศรัทธามีจบ หยุด ไม่ผูกพัน ไม่เกี่ยวพัน ส่วนสำเร็จความใคร่ในทางโลก ในทางโลกียะ ในทางความรัก สำเร็จแล้ว ติดใจ ผูกใจ ยิ่งมีรสมาก ยิ่งมีรสซาบซึ้งตรึงใจเท่าใดๆ ยิ่งเกาะ ยิ่งติด ยิ่งหวง ยิ่งแหน นี้เป็นทิศทางจบ มันต่างกันอย่างนี้ และยิ่งหยาบคาย ยิ่งไร้ความดีงาม ส่วนศรัทธานั้น ยิ่งละเอียดลออ ยิ่งไม่หยาบคาย ยิ่งงามพร้อม ยิ่งบริบูรณ์ ยิ่งสุภาพ สุขุม เป็นลักษณะอย่างนี้ ที่มันจะเป็น จะมีบ้างไหมในวงของเรานี่ วงวารว่านเครือของเรา ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เรามีทั้งสภาพที่เกี่ยวเกาะกัน ถ่ายทอดกัน เป็นไปในสภาพทั้งในด้านเอา หลักการของเมถุน ๗ ระดับมาใช้

เริ่มต้นตั้งแต่ขั้นที่ ๑ นวดฟั้นยังไม่มีก็ตาม เราก็ผ่านไป เรา...หรือใคร มี หยาบคาย ถึงขั้นแตะต้อง เสียดสีนวดฟั้นอะไรขนาดนั้นแล้วละก็ รีบๆนะ ถอยหนีได้ ถอยหนีนะ ไม่ถอยหนีได้เฉก ถ้าเป็นผู้ ที่มาสัญญาแล้วว่า มาเป็นผู้ปฏิบัติธรรม จะเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เริ่มต้นเป็นปะขึ้นไป ส่วนฆราวาสนั้น ก็บอกให้รู้ตัวว่า... ก็เรื่องของคุณ คุณจะมีอะไร ก็ฆราวาส อาตมาไม่เกี่ยวข้อง อยู่ในเขตของฆราวาส ก็ฆราวาสไป แต่ถ้าผู้ใดมาในทีแล้ว ถึงขั้นอาคันตุกะก็ดี มาโดยปริยาย เรายังรับไม่ได้ อาคันตุกะที่จะมาตั้งใจปฏิบัติธรรม เพื่อจะเป็นนักบวชเข้าไปนี้นะ เรายังมีกฎ ระเบียบอยู่ว่า เรายังรับไม่ได้ แต่ว่าจะมา แน่ใจ อย่างนี้ก็อย่าเลยนะ มาสร้างสภาพอย่างนี้ขึ้นมา ไม่เข้าท่า ผู้ชายก็ตามผู้หญิงก็ตาม ถ้าจะบอกมาอย่างนั้น ถ้ายิ่งลงทะเบียนแล้ว ตั้งแต่เป็นปะ ขึ้นไปแล้ว ถ้าถึงขั้นนวดฟั้น แตะต้องสัมผัส เสียดสีกันแล้วก็ ถ้ารู้เรื่องรู้ราวแล้วก็ต้องปลดกันแหละ ทีนี้ไม่มีหยาบอย่างนั้น

เสียง ขั้นระดับเมถุนสังโยคขั้นที่ ๒ ยังพูดยังจา ยังใช้สุ้มใช้เสียงเกินขอบเขตกัน มีประเล้าประโลม มีลีลาที่แสดงทั้งภาษาน้ำเสียง สำเนียงเป็นไปในราคะ กำหนัดใคร่ ไม่รู้จะบอกตายตัวได้อย่างไรว่า พูดยังไง ลีลายังไง ก็ฟัง ก็ดู ถ้ามันหยาบ มันก็รู้ง่าย ถ้ามันไม่หยาบหน่อย ก็อาจจะรู้ยากละ อย่างนี้ก็ไม่ต้องพูด ถ้ายังมีถึงขนาดนี้ เห็นกันอยู่ รู้กันอยู่ บอกให้ทราบด้วย ต้องรีบๆ ระมัดระวังกัน เราไม่ทำเล่น เพราะทุกวันนี้ มันต้องช่วยกัน มันเป็นเรื่องทุกข์ มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปด้วยความสบาย เป็นวูป สโม สุโข อะไร มันเป็นเรื่อง เพราะฉะนั้น ยิ่งมาฟาดเนตรกันอีกก็เหมือนกัน ยังจะมาสัมผัส ด้วยรูป ด้วยตาอะไร มาซึ้งกันด้วยสายตา มาอะไรๆ กันอยู่นี่ ถ้ารู้ ถ้าเห็น ก็บอกกันด้วย มันเสียงเงียบ เหมือนกันนะ มาซึ้งกันด้วยสายตา แล้วก็...แหม!อะไรอย่างนี้ สัมผัส ถ้าเห็นอยู่ในวงวารนี้ บอกกันด้วยนะนี่ เมถุนสังโยค

เพราะฉะนั้น แม้แต่ไม่ได้ซึ้งกันด้วยสายตา ต้องฟาดเนตรกัน แล้วก็ซึ้งเข้าไป เจาะเข้าไป ลึกในหัวใจอยู่เรื่อยเลย ฝังรากเรื่อยไป ราคะเรื่อยไป ไม่อย่างนั้นแล้วก็ตาม แม้จะประโลมกันด้วยรูป ประโลมกันด้วยสายตา ถ้าเห็นทีไม่ชอบมาพากลแล้ว อุตส่าห์ระมัดระวังแล้ว มันเยิ้มหยดแหมะ ลงมาแล้ว โอ้โห! เห็นออกจากตา เยิ้มหยดแหมะ ดูรูปไรๆเกิดอารมณ์ เกิดรสอะไร พูดอย่างนี้ ก็คงเข้าใจกันได้ มันบอกได้นะ แต่อย่าเพิ่งไปหาเรื่องกันง่ายนักละ ประเดี๋ยวพอพูดอย่างนี้ โอ้โห! เกิดเรื่องใหญ่เลย ก็ไม่เข้าท่า

เพราะฉะนั้น ถ้ามีอย่างนี้ก็ให้ระมัดระวัง สูงขึ้นไปกว่านั้น ถ้าเผื่อว่ามันไปถึงขั้น ไปแอบฟังสงฟังเสียง แม้แต่เสียงไม่เข้าท่าแล้ว เสียงพูด แม้แต่เสียงร้องไห้ของเธอ ก็ชื่นใจได้แล้ว เสียงหยาบคาย ลามกอะไร ไม่พิจารณาทั้งนั้น เอาความดีงาม เข้ามาจับไม่ได้ ขอให้ได้ยินเสียงก็แล้วกัน อย่างนี้ มันหนักแล้ว ในใจหนักแล้ว แต่ว่า ดูเชิงเหมือนมันละเอียดนะ เหมือนมันไม่หยาบ แต่ทางด้านใจ ชักจะไม่ดีละ ชักจะมืดหน้ามัวตา มืดบอดเข้ามากแล้ว เอ๊ะ ความดีงาม พิจารณาไม่ออกแล้ว มันเป็นของลึกในใจแล้ว ฟังดูดีๆ ย้อนไป ย้อนมา

เพราะฉะนั้นรีบรู้ตัวเอง ถ้าคนไหนไม่รู้ตัวเอง เดี๋ยวหนัก เดี๋ยวออกมาหยาบเลยคราวนี้ แม้แต่แค่ สัมผัส แค่ได้ยินเสียงข้างฝา ข้างกำแพง หรือเสียงไม่ประเล้า ประโลมนัก ก็ไม่ถึงใจ ทีหลังก็ต้อง ใช้เสียงประเล้าประโลมเท่านั้นเอง ได้ยินเสียงไปในเชิงกามชัดๆ แจ้งๆ เท่านั้นเอง เมื่อมันหยาบ ออกมาทางนอก โตใหญ่ขึ้นมาแล้ว มันก็ต้อง การอย่างนั้น ทีนี้สูงขึ้นไปถึงขั้น แม้แต่เอาไปฝัน เอาไปนึกไปคิด เป็นโอปปาติกะอยู่ข้าง ในจิตในใจ ก็ให้ตรวจสอบของตัวเองให้มาก เป็นเมถุนสังโยค อย่างไร พิจารณาอ่านให้ ออกถึงขั้นที่ ๖ เมื่อประสบเมื่อไรก็เกิดมี เป็นปัจจุบันธรรม ท่านเรียกว่า ได้สัมผัสคฤหบดี บุตรคฤหบดี ก็เกิดอารมณ์ได้ ที่จริงถ้าเราพูดถึงเรื่องความรัก ก็เป็นเรื่องของกาม สัมผัส แล้วก็เลยเกิดเรื่องของกาม ของเรา ของใคร ถ้าไม่สัมผัสจริงๆ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยก็ไม่หรอก จะไปนึกปั้นอดีตเข้ามา มีอะไรต่อมิอะไรก็ไม่มีแล้วละ ขั้น ๖ นี่ แต่พอปัจจุบันธรรม สัมผัสแล้วละก็ เห็นคฤหบดี บุตรคฤหบดี แล้วยังมีเชิงกามอะไร ออกมาแล้วก็แว็บวาบ เกิดผลเกิดอะไร ก็ต้องอ่านรู้ของตัวเอง ให้สำคัญ

ส่วนขั้นที่ ๗ เมถุนขั้นที่ ๗ นั้น เป็นเชิงที่ยังแยกยากๆ และแม้แต่สายศรัทธาก็มี นับถือเหมือนเทวดา องค์ใดองค์หนึ่ง เหมือนเทพเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งนับถือ เชื่อถือ ว่าจะให้สิ่งที่ดี ดีอันนั้น อาจจะเป็น รสกาม ตามเชิงของโลก ก็จะต้องศึกษา แต่ว่าคนเรา มันก็จะต้องเริ่มมีการเกี่ยวพัน เพราะฉะนั้น จุดที่ ๗ ที่เรียกว่าคู่ มันจะต้อง มีการเกี่ยวพันเป็น สรณะ เพราะฉะนั้น เราไปศรัทธา ผู้ที่เรานับถือ ศรัทธา ก็อย่าเพิ่งตีความง่ายๆ เมื่อเวลา มันอยากขึ้นไป ก็ให้พิจารณาอ่านอย่างนี้

นี่คือ"ความรักกับศรัทธา" ที่พยายามวิเคราะห์วิจัย ชี้ในเชิงเอาหลักธรรม ของพระพุทธเจ้า เอาหลักวิชา มาอธิบายประกอบ ใช้ภาษาของตัวเองบรรยาย เพื่อให้รู้ให้ เข้าใจ ก็ฟังดูดีๆ แล้วเอาไปพึงตรวจอ่าน ไม่ใช่ฟังแค่รู้ ไม่เอา อย่าประมาท เราต้องการเนื้อใน เราต้องการ การปฏิบัติธรรม ที่มีคุณค่าให้ได้จริง เราจะพากันไปในทิศทาง นี้ เราไม่ได้ติดป้ายหลอกใคร เราไม่ได้บอกว่า เรามาทำงานทางศาสนาแล้วลามก คนเขาจะว่าอย่างไรก็ว่าไปเถิด เขาจะไม่เข้าใจ จนกระทั่ง สาดเสียเทเสีย พูดไม่รู้เรื่อง เอาแต่ข่าวโคมลอย แล้วก็พูดบาปปาก อย่างที่คุณเยาวดี มาเล่าให้ฟัง

อย่าว่าแต่มีแค่นี้เลย อาตมาแน่ใจว่าที่เราไม่ได้ยิน มีทีอื่น มีผู้อื่น จะพูดมีอีก ไล่ไป เล่าไป จนกระทั่ง โอ๊ย! ที่นี่น่ะมีผู้หญิงผู้ชาย พระโพธิรักษ์ก็เลยออกมา ก็ออกมาเรื่องผู้หญิง... ออกมาบวช มีความกดดันอะไร หรือว่าทำอะไร ต่างๆนานา อยู่นี่มีอะไรซุกซ่อนเร้นลับ เขาก็ว่าไป เราก็ไม่ได้ไปถือเคือง ถือโกรธ เราก็เห็นอยู่ รู้อยู่ด้วยเหตุ ด้วยปัจจัย ด้วยเหตุด้วยสมุทัยว่า เขาเอง เขาพูดอย่างนั้น เขาเป็นอย่างนั้น ก็เพาะว่าเขาไม่รู้ เขาอวิชชาน่ะ เขาไม่รู้ความจริง ไม่รู้ด้วยความจริง ที่เขาไม่ได้สัมผัสนั่นแหละ แต่แม้ไม่ได้สัมผัสแล้ว เขาได้รับความรู้ จากข่าวคราว จากเสียงลือ จากที่ได้ยินมา เป็นกิรดั่งได้ยินมา แม้แต่กิรดั่งได้ยินมา เขาก็ไม่มีปัญญา ที่จะวิเคราะห์วิจัย เขาก็เสริมสิ่งที่เป็นกิเลสลงไปด้วย เขาก็ต้องยึดถือ เขาก็เห็นจริง เชื่อมั่นเอาว่า มันเป็นจริง เขาก็เชื่อไป สิ่งอย่างนี้ก็เกิดได้ด้วย รากฐาน แห่งความไม่พอใจ ด้วยความที่ไม่เป็นกลาง ความไม่รอบคอบ ไม่พยายามสร้างธรรมวิจัย ไม่พยายามที่จะให้เห็นจริงเห็นจัง อะไรมันก็ย่อมเป็นได้

เพราะฉะนั้น ข่าวข้างนอกยังมีอยู่ ที่เขาพยายามโจมตีเล่ห์เลศเรื่องนี้ เรื่องผู้หญิง ผู้ชายนี่ เขาโจมตี พระโพธิรักษ์ หรืออโศกด้วยจุดนี้ โดยเฉพาะพระโพธิรักษ์ว่าเป็นแกน มาเลย มาด้วยเรื่องผู้หญิง มาแล้วก็ยังมาสร้างกลุ่มผู้หญิงขึ้นมาอีก เขาก็ตีขลุมหมดเลย พวกอโศก ก็มาอย่างนี้แหละว่าไป เกี่ยวข้องเรื่องพวกนี้ ยิ่งต้องระวังให้จริง นี่ชับกำชากัน ยิ่งต้องระวังให้จริง

อาตมามีความจริงใจเพียงพอ มีความจริงใจที่ว่า เรื่องอย่างนี้ อาตมาแน่ใจ ว่าเห็นชัดเจน พูดกับคุณ อธิบายทุกอย่าง ตั้งแต่ไหนๆ มา มีเวลานานมาหลายปี มันมีเครื่องพิสูจน์ยืนยันได้ แม้แต่จะเริ่มต้น ตั้งแต่แรก เป็นผู้หญิงมา แล้วอาตมาก็รับ พยายามก่อหวอดกลุ่มผู้หญิงมา ก็เริ่มต้น ถูกเพ่งเล็งโทษ มาจนกระทั่ง มาตั้งกลุ่มผู้หญิงอะไรต่ออะไรขึ้นมา แม้แต่อยู่ในวงในนี่ ไม่เข้าใจเพียงพอ แต่เวลา ก็คงทำให้โลก เข้าใจมากขึ้นได้ อาตมาไม่ได้มีความหลงผิดอะไรในเรื่องนี้ แน่ใจว่า ตัวเองเข้าใจถูก และตัวเองมีเจโต ที่เพียงพอ มีกำลังจิต มีกำลังใจ หรือมีใจที่เพียงพอ ว่า เรื่องอย่างนี้เหลวใหล ปัญญาก็รู้อยู่แล้ว ด้วยจิตก็มีกำลังเพียงพอที่จะไม่ให้มันเกิด ทั้งอาการ กิริยากาย กิริยของวจี จะไปกระหลีกระหลอ จะไปแสดงเชิงลีลา ทั้งวาจา ลีลาทั้งกายกรรม เป็นเชิงที่จะไปในทางเพศคู่ อะไรนี่ อาตมาว่า อาตมาได้พยายามรู้ตัว มีสติ พอๆอยู่เสมอ ซึ่งบางคนมองเอียงๆ มองด้วยการ เอาอุปาทานมาจับ อาตมาก็อาจจะมองไปในรูป เห็นเป็นเชิงว่า เป็นได้ แต่ก็เผื่อว่า เวลามัน ไม่เป็นแล้ว มันใช้เวลานานๆ เดี๋ยวก็ปลดปล่อยเอง เดี๋ยวก็รู้เรื่องเอง และเราก็ระวัง เราก็ไม่ไปยั่ว ไปยวน ไม่ไปแกล้งประชดประชัน แดดดัน ทำให้หยาบคาย ยิ่งขึ้นหรอก ไม่ทำหรอก อาตมาก็ไม่ทำ ถ้ารู้ตัว ก็จะพยายาม เออ อย่างนี้มันเป็นเชิง ทำให้คุณเข้าใจผิดมาก ก็จะไม่ให้เป็นท่าทีลีลา การสัมพันธ์ การเกี่ยวข้องกันอย่างนี้ๆ คนอื่นมองแล้ว เอ๊ ! ไม่เข้าที ไม่ดีก็พยายาม นอกจากจุดไหน ที่มันจำเป็นที่สุด ก็ให้สั้น ให้เร็ว ไม่ก่อเกิดให้คนมาเที่ยวได้จับผิด จับพลาดหรือว่าเพ่งโทษ อะไรก็พยายาม พยายามอยู่ เท่าที่สามารถทำได้ มีสติและใช้ความสามารถไม่ให้ก่อเกิด ให้คนอื่น มาเที่ยวไม่สบายใจ เพราะเราทำอันนี้ไม่ให้เขาไว้ใจ ก็พยายามอยู่เสมอ ช่วยกันพูด ช่วยกันอธิบาย ช่วยกันพอเป็นไป

ผู้หญิงที่มาปฏิบัติธรรม จนกระทั่งมาอยู่กับอาตมานานปี กันคนละปาเข้าไปจะ ๑๐ ปี กันก็มีอยู่แล้ว จนกระทั่งป่านนี้อยู่นี่ มีบ้างไหม ตัวเองระวังในส่วนตัวบุคคลแต่ละบุคคลเองนี่น่ะ บางคนจะระลึก จะรู้สึก จะมีเอง ก็ไม่รู้ด้วยนะ จะเข้าใจเอาเองก็ไม่รู้ด้วยนะ และเป็นอย่างไร มีไหมตลอดระยะมา จนกระทั่งป่านนี้ ในระยะ ๑๐ ปีที่อาตมา ทำงานด้านศาสนา ทางด้านธรรมะมาแล้ว เวลาหรือว่า สิ่งที่คบคุ้นกันอยู่ ก็จะบอกได้ มันจะบอกได้ จะยืนยันได้ ยิ่งนานปีไป มันก็เป็นความจริง ถ้ามันไม่จริง มันก็ซ่อนแฝง มันก็ปิดบัง ใครจะเก่งทำในที่ลับในที่แจ้ง อาตมามีในที่ลับอะไรก็สอดส่อง สอดส่องได้ อาตมากิน ยืน นั่ง นอน อนุญาตให้คนประกบ ตลอดเวลานี่อนุญาตให้ประกบ ถึงไม่ประกบ คุณก็ทำได้ เพราะอาตมาโล่งแจ้งเปิดโบ๋วๆอยู่ตลอดทุกที ไม่ได้ปิดบังอะไร จะไปที่ไหน จะมาที่ไหน นั่งๆนอนๆ ทุกวันนี้ ตลอดเวลามาทำงานศาสนา พอเริ่มต้น มีกลุ่มแล้วนี่ ก็มีปัจฉาสมณะ หรือว่าผู้ที่เป็นพยานอยู่เสมอ ไม่ได้ไปเที่ยวอะไร ที่จะไปเดี่ยว ไปหลบไปซ่อน ไปอะไรต่ออะไรๆ ทำอะไรส่วนตัวที่... นอกจากเข้าส้วมจริงๆ ก็รู้อยู่ เฝ้าอยู่ข้างนอกส้วมได้ หรือเอาอะไรไปซ่อนไว้ในส้วม ก็เข้าไปตรวจ ก่อนเข้า หรือหลังเข้า ก็เข้าไปตรวจเชียว เอาอะไรซ่อนไปพกไว้ในส้วม จะมีที่ลับที่ไหนกว่านั้น

อาตมาเกิดมาเป็นโพธิรักษ์ จะทำความสะอาดหรือว่าจะเคลียร์ปัญหาเรื่อง ความรักกับความศรัทธา ซะหน่อย ก็มีอุปสรรคอย่างนี้แหละ ก็ต้องลงแรง ไม่ใช่อะไรหรอก ถึงก็ไม่ใช่อุปสรรคยิ่งใหญ่ อะไรหรอก ต้องลงแรง มีนะ มีคนเห็นใจ อย่างท่าน ฌานวัณโณบวช ตัดสินใจบวชเพราะ แหม! เห็นใจท่านเหลือเกิน ท่านแสดงธรรม แข่งกับเสียงเครื่องบิน ว่าอย่างนั้น ท่านฌานวัณโณ ตามอาตมาไปทางอีสานไปเรื่อย ตอนนั้นก็บำเพ็ญ ก็พยายามจะเข้ามาปฏิบัติ ก็ยังร่อแร่อยู่ ยังไม่เอาจริง สุดท้ายไปยังไงไม่รู้ สารภาพว่า ทำไมตัดสินใจสมัคร แหม ! เห็นใจท่านจะมาเผยแพร่ ดูซิ นี่เข้ามา ไปแสดงธรรมในโรงเรียน ในวิทยาลัยอะไร ไปวันนั้น ไปแสดงธรรมที่วิทยาลัยครูอุดร อยู่ที่จังหวัดอุดร แสดงไปก็พูดตะเบ็งเสียง แข่งกับเครื่องบิน ไม่ยอมหยุด แหม เห็นใจท่านเหลือเกิน จะต้องมาช่วยทำงาน จะต้องมาปฏิบัติเคร่งครัดเข้า แล้วจะได้มาช่วยท่านทำงาน มันหนักหนา เหลือเกิน ว่าอย่างนั้น ตัดสินใจสมัคร เพราะเห็นใจแสดงธรรมแข่งเครื่องบิน ท่านฌานวัฌโณ นี่ก็พูดนี้อาจจะมีคนเห็นใจก็ได้ ก็เลยเร่งมือปฏิบัติธรรมเข้าให้ยิ่งๆ ก็ดี

เอาละ เราได้แสดงธรรมเรื่องของ"ความรักกับศรัทธา" พอสมควรแก่เวลา แล้ว


ถอดและพิมพ์โดย โครงงานถอดเท็ปฯ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๓๓
file 0831