นักเป็น-นักปราชญ์
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๔
เนื่องในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๕ ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก จังหวัดศรีสะเกษ


กำชับกำชาพวกเราด้วยประโยคที่ว่า
จงให้ถึง "นักเป็น" อย่าเพียงได้เช่น "นักปราชญ์"
จงให้ถึง นักเป็น อย่าเพียงได้เช่น "นักปราชญ์"

ขยายความได้ว่า "ถ้าถึงขั้นความจริงถูกต้อง ก็ได้ชื่อว่า "นักปราชญ์" ถ้าถึงขนาดถูกต้องความจริง ได้ชื่อว่า "นักเป็น"

ถ้าถึงขั้นความจริงถูกต้อง ได้ชื่อว่า "นักปราชญ์" ถ้าถึงขนาดถูกต้องความจริง ได้ชื่อว่า "นักเป็น"

เราจะมาเน้นกัน วันนี้วันสำคัญ คือ วันเพ็ญเดือน ๓ วันเพ็ญเดือน ๓ เป็นวันสำคัญทางศาสนา อย่างไร พวกเราก็คงจะทราบแล้ว แม้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่มี ๘ สองหน แล้วเขาก็ถือกันทั่วไปว่า "วันมาฆบูชา" ไปถือเอาวันเพ็ญเดือน ๔ ก็ตาม สำหรับเรานั้น มันมีความจำเป็น หรือว่ามีความเหมาะสม ที่เราจะใช้วันนี้เป็นวันจัดงาน ที่มารวมชุมนุมกัน เพื่อที่จะปลุกเสก ตามที่เราเคยมี เป็นจารีตประเพณี เป็นพิธีกรรมของพวกเรา แล้วก็ถึงวันเพ็ญเดือน ๓ กันวันนี้ ตามที่เราเคยทำกันมา วันเพ็ญเดือน ๓ ก็มาฟังอะไร ที่อาตมาจะได้พยายามพูดอธิบาย ขยายความ หรือว่าจะเน้น จะย้ำอะไรลงไป เพื่อที่จะให้เราได้รับซับซาบเท่าที่จะสำนึก เท่าที่จะได้ รู้สึก หรือว่าได้เข้าใจ ได้เกิดความแทงทะลุอะไรไปถึงขนาดไหนก็ตาม ก็พยายามใช้สื่อในการพูดนี่แหละ ที่อาตมาเน้นคำว่า นักปราชญ์กับนักเป็นนั้นน่ะ ก็เป็นสภาพที่ขยายจาก ความเป็นจริงทั้งหมด คนในโลกนี้ เขาหลงความเป็นนักปราชญ์กัน หมายความว่า ผู้รู้ แล้วเขาก็เหยียดหยามนักเป็น เรียกว่าผู้ทำ หรือแปลเป็นไทยว่า กรรมกร กรรมกรก็คือผู้ทำ เขาดูถูกเหยียดหยามผู้ทำ เสร็จแล้ว โลกก็เดือดร้อนขึ้นทุกวัน เพราะมันผิดสัจจะ ที่จริงไม่ควรดูถูกดูแคลนกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ทำ ไม่ว่าจะเป็นนักปราชญ์ หรือไม่ว่าจะเป็น นักเป็นก็ตาม มันไม่สมควรจะดูถูก ดูแคลน ข่มขี่ เอาเปรียบ เอารัดกัน โดยสัจจะแล้ว ยิ่งเป็นผู้รู้ ยิ่งรู้ด้วย เป็นได้ด้วย ทำได้ด้วย ก็ไม่น่าจะข่มเหง คนที่ทำ หรือเป็นตัวทำจริงๆ เป็นผู้ทำจริงๆ ผู้ทำจริงๆ เขาทำ เขาก็ทำได้

เพราะฉะนั้น จะบอกว่าเขาไม่รู้ในสิ่งที่เขาทำ ถ้าเขาทำเป็น ทำได้ แล้วจะบอกว่า เขาไม่รู้นั้นน่ะ มันไม่ถูกต้อง แล้วผู้ที่ทำเป็น ทำได้แล้ว เขาต้องรู้ แล้วเขาถึงทำเป็น ทำได้ ดีไม่ดี ทำจนเป็นผลสำเร็จ เป็นผลดีด้วยน่ะ แต่เขาลงมือทำนะ แล้วก็ดูถูกดูแคลนเขา สำหรับผู้รู้ที่ทำไม่เป็น ทำไม่ได้นั้น เดี๋ยวนี้ไปหลง เอียงโต่งข้างความเป็นผู้รู้กัน ก็เลยไปส่งเสริมฉาบฉวย ฝึกฝนอบรมเล่าเรียนกัน แต่เฉพาะ ความเป็นผู้รู้ ความเป็นผู้รู้จึงนิยมกัน แล้วก็หลงใหลกัน แล้วก็ให้ค่า ให้ราคา ทั้งยกย่อง เชิดชูกันด้วย ความผิดพลาดสัจจะอันนี้นะ ทำให้โลกมันสับสน มันวุ่นวาย เพราะมันไม่ตรงสัจจะ มันไม่ถูกเรื่องนะ

อาตมาได้พยายามพาเน้นในเรื่องของความเป็น แต่ไม่ได้ทิ้งความรู้นะ แต่เน้นให้มันเป็นกันจริงๆ รู้น่ะรู้ด้วย เอาแต่รู้เฉยๆมันไม่พอ ในโลกนี้มันไม่พอจริงๆน่ะ รู้น่ะรู้ด้วยแน่นอน แล้วก็เป็นให้ได้ เน้นตรงที่ เป็นให้ได้ ทำให้ได้ ให้เกิดให้ได้น่ะ

ตั้งแต่อาตมาทำงานมา จนถึงวันนี้ มัน ๒๐ ปีได้ บวชก็ ๒๐ ปีมา ๒๐ ปีขึ้นไป เลย ๒๐ ปีไปเรื่อยๆแล้ว ย่างเข้าปีที่ ๒๑ แล้ว สำหรับการบวชอาตมา แล้วก็ได้นำพากัน ด้วยความเข้าใจ ของอาตมาว่า เราเอง เราจะเอาแต่รู้ไม่พอ ต้องเป็น หรือต้องทำให้ได้ด้วย เมื่อมาถึง ๒๐ ปี เราก็มีสิ่งที่เกิด และเราก็เป็น ตั้งแต่เริ่มตนพาให้เป็น ตั้งแต่คนที่ปฏิบัติศีลเป็น ปฏิบัติสมาธิ ให้เป็น สัมมาสมาธิเป็น ไม่ใช่แต่รู้ จนกระทั่งมีปัญญา เป็นตัวปราชญ์ หรือเป็นตัวผู้รู้ ที่ไม่ใช่ปราชญ์เปล่าๆ ปราชญ์เพียงรู้ แต่เป็นปราชญ์ที่รู้ความจริงตามความเป็นจริง เป็นผู้รู้จริงๆ รู้ความจริง ตามความเป็นจริง จริงๆ เกิดเป็น มีได้ โดยเฉพาะในตัวในตนของเราเอง เกิดศีล  เกิดสัมมาสมาธิ หรือเกิดอธิจิต แล้วก็เกิดปัญญา ตัวปัญญาที่เกิดนี้ เป็นปัญญาดังที่ได้เน้นแล้ว เมื่อกี้นี้ว่า เป็นปัญญา ที่เห็นความจริงว่า ศีลเป็นอย่างไร สภาพของหลักเกณฑ์ ตั้งแต่ความหมายว่าศีล คือหลักเกณฑ์น่ะ คือสิ่งที่เราจะเอามาประพฤติ ตามความมุ่งหมายของศีลนั้นๆ แล้วเราก็เอามา ประพฤติ ให้เกิดมีกายกรรม ตามที่ศีลมุ่งหมาย เช่นว่า เราจะไม่ฆ่าสัตว์ เราก็ทำสำเร็จ เราจะไม่ลักทรัพย์ จะไม่เอาของผู้อื่น เราก็ทำสำเร็จ เราจะไม่วุ่นวายในกาม จะสำรวมในกาม เราจะลดละเรื่องกาม เราก็ทำได้ เป็นขั้นเป็นตอน สำเร็จขึ้นมาได้จริงๆ เราจะไม่พูด ในสิ่งที่ มันเป็นทุจริตต่างๆ ไม่พูดในสิ่งที่เป็นอกุศล เราก็ได้ขึ้นมาจริงๆ ไม่พูดให้เป็นภัย เป็นโทษ พูดแต่ให้เป็นคุณ เป็นประโยชน์ เราจะละลด เราจะเลิกเมา เลิกเสพ เลิกติด ตามที่ศีลกำหนด และเราก็ทำได้ ด้านนอกเป็นกาย เป็นวาจา อะไรเราก็ทำได้ ตามฐานานุฐานะ ด้านใจ โดยเฉพาะไปถึงใจ ซึ่งเป็นจิตที่เป็นอธิจิต จนกระทั่ง ถึงขั้นตั้งมั่น ที่เรียกกันว่า สมาธิ ตั้งมั่นจนกระทั่ง ถึงขั้นแข็งแรง แล้วหลุดพ้นขาด เป็นหลุดพ้น เป็นเว้นขาดน่ะ ตามศีลที่ให้เว้นขาด ให้เวรมณี ขาด จนขาดอย่างแท้จริง และเราก็มีญาณ มีปัญญา มีธาตุรู้ที่เรียกว่า ญาณทัสสนะ หรือว่า เรียกว่าปัญญา อธิปัญญา อยู่ในตัวเรานี่แหละ ไปสัมผัสรู้ รู้สิ่งที่เป็น สิ่งที่เกิด สิ่งที่มีได้ จริงๆน่ะ จะขอย้ำอีกว่า ไม่ใช่เป็นแล้วไม่มีรู้ ขอย้ำอีกว่า เป็นมีรู้ รู้ทั้งวิถีทาง รู้ทั้งเหตุผล ตั้งแต่ในระยะแรกว่า มันดีกว่า เกิดความเข้าใจใหม่น่ะ เกิดความเข้าใจ ทวนกระแสด้วย ที่ว่าใหม่นี่ มันใหม่จริงๆ มันทวนกระแส ทวนจากที่เราเคยเข้าใจ มาตั้งแต่ก่อน ตั้งแต่โลกีย์ แล้วก็เปลี่ยนแปลง มามีศีล จนกระทั่ง เรายังไม่ได้มีบทบาท ลีลา ไม่ได้มีกิจกรรม หรือไม่ได้มีการงานอะไร กว้างขวางออกไป จนกระทั่งมาถึงวันนี้ มีกิจกรรม มีการงานกว้างขวาง เพิ่มเติมขึ้นมาเรื่อยๆ มีทั้งพิธีกรรม เช่น ปลุกเสก นี่ก็เป็นพิธีกรรมของชาวเรา มาครั้งนี้ ก็ถึงครั้งที่ 15 แล้ว เราก็ทำให้มันเกิดผล เกิดประโยชน์ ผู้ที่มาก็พรักพร้อมขึ้น แข็งแรงขึ้น รู้จักการเอาประโยชน์ รู้จักการกอบก่อ ให้มันเกิดประโยชน์ ให้มันเป็น ให้มันได้ขึ้นมา กิจกรรม กิจการ ต่างๆ ซึ่งเป็นการกระทำ หรือเป็นการงาน ที่เป็นการงาน สัมมาอาชีพ เราก็เพิ่มขึ้น เราก็เจริญขึ้น แล้วเราก็แน่ใจว่า กรรมการงานต่างๆ ที่เราได้ทำนั้น มากอย่าง ก็ซ้ำซ้อนกับที่เราเคยทำ ตั้งแต่สมัย ที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม เป็นกรรม การงานชนิดเดียวกัน เช่นว่า เราจะเป็นชาวนา เป็นชาวไร่ เป็นคนขายของ เป็นครู เป็นคนทำงานอะไรก็แล้วแต่ มันก็เหมือนกับชาวโลก หรือบางที บางคน ทำงานเดิม แต่ไม่เหมือนเดิม ซึ่งเราก็รู้ว่า ไม่เหมือนเดิมอย่างไร มันสำคัญที่ตรงใจ จิตใจนี่ มันมีความรู้สึกเปลี่ยน มันมีความเข้าใจใหม่ มันมีความสุขสบาย หรือว่ามันมีสภาพที่มัน ลดโลภ ลดความต้องการอยากได้ นี่ตัวหลัก คือมันโลภ ทำด้วยความอยาก มาเพื่อตัวเพื่อตน ทำมาบำเรอตน ทำเป็นโลกียะนั่นน่ะ เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอย่างโลกๆ ที่โลกเขามุ่งหมาย แต่ก่อน เราก็เข้าใจ อย่างนั้นอย่างจริงๆเลยว่า ถึงแม้ว่าเรายังมีกิเลสบ้าง แต่เราก็เข้าใจ แล้วเราก็พยายาม ลดกิเลสนั้น ถ้าเราได้สังวร ระวังจริงๆนะ ได้ศึกษา ได้รับทั้งคำบอกเล่า ได้รับทั้งสิ่งที่ย้ำเตือน ให้ตรวจ ให้สอบว่า เราได้ทำไปผ่านวัน ผ่านคืน ผ่านเดือน ผ่านปีไปเรื่อยๆ เราทำแล้ว เราคล่องแคล่วขึ้น แต่ก่อนนี้เราเคยทำ แล้วก็มีกิเลสหลายด้าน กิเลสในด้านที่เรียกว่า มันจะต้อง มีสิ่งแลกเปลี่ยนก็ตาม เมื่อไม่ได้แลกเปลี่ยน ก็ขอให้ได้รับคำชมเชย หรือแม้แต่ที่สุด ทำแล้วก็หลงว่า มันเป็นความสนุกเพลิดเพลิน หรือเป็นความสุขสนุกสนาน อะไรก็ตามใจ มันก็ไม่ได้ไประเริงแบบโลก เราทำได้ด้วยความเข้าใจ แล้วก็เข้าใจซ้อนลงไปว่า เออ มันก็เป็นความทุกข์ด้วยซ้ำไป เราทำด้วยความทุกข์นะ ลึกๆ มันก็ความทุกข์ ถ้าระเริงหลงๆหน่อย เราจะรู้สึกสุข รู้สึกเพลิน แต่ความจริงแล้ว มันก็เป็นสภาพของโลกียะ เป็นรสโลกียะอยู่ ถ้าเราไม่ได้ ทำด้วยความรู้สึกเพลิน รู้สึกระเริงอะไร ก็จะรู้ว่ามันก็ต้องทำงาน มันก็จะต้องอาศัยแรงงาน ใช้ความพยายาม จ่ายแรงงาน ไปมากๆ ก็รู้สึกเหนื่อย รู้สึกเปลี้ย รู้สึกเพลีย ก็เป็นความจริง จะเห็นความจริงชัดเจน แต่เราก็ไม่ได้ แหนงหน่าย ไม่ได้ท้อแท้ถดถอย จะบอกว่าเป็นทุกข์ ก็เป็นทุกข์ที่ฝืดฝืนน้อยลง ลำบากใจน้อยลง รู้สึกว่า มันก็สะดวกใจขึ้น มันก็เหมือนกับทุกข์มันลด ในญาณปัญญาลึกๆนี่ เรารู้ว่า มันเป็นทุกข์ โดยความลำบาก ถ้าลำบากจัดๆ เราก็รู้ได้ แม้ลำบากน้อยๆ เราก็รู้ได้ มันต้องมีความพยายาม มีความอุตสาหะ อยู่ดีๆ ไม่พยายามให้มีพลังงานขับเคลื่อน ไม่ให้มีพลังงาน เข้าไปสั่งให้กระทำ มันก็ไม่ทำอะไรหรอกในโลก แล้วมันก็ว่างๆ เบาๆ ง่ายๆ มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องธรรมดา ใครก็รู้ แต่มันก็ไม่เกิดการสร้างสรร ผ่านเดือนผ่านวัน ผ่านปีไปเปล่าๆ โมฆะ ไม่เกิดคุณค่า ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ทั้งๆที่ ถ้าเราจะทำแล้ว แม้มันจะเมื่อย จะเหน็ดเหนื่อยอย่างไร มันก็ยังพักได้ ทำให้หายไปน่ะ พักผ่อนเสียแล้ว มันก็หยุด มันก็หายเหนื่อย อะไรอย่างนี้ เป็นต้น มันก็ทำได้ เสร็จแล้วเราก็มีกำลังใหม่ หรือยิ่งมีกำลังมากกว่าเก่า มีความชำนาญมากกว่าเก่า มีสมรรถภาพนะ ความสามารถที่ทำได้ดีขึ้น ทำได้ดี ทำได้เจริญคุณภาพดีขึ้น ปริมาณมากขึ้น มันมีแต่ความเจริญ ซ้อนลงไป ตามที่เราเคยมา เราทำแล้ว เราก็จะต้องมีสิ่งที่แลก ที่เปลี่ยน เสร็จแล้วเสร็จ เราก็ไม่ต้องแลกต้องเปลี่ยน ไม่ต้องได้อะไรมาตอบแทน เราก็ยิ่งศึกษา ได้รับการบอกกล่าว ที่อาตมาบอกๆ กรอกหูไปบ่อยๆ ซ้ำซาก ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนน่าเบื่อ พยายามบอกถึง เหตุผล มุมเหลี่ยม ต่างๆนานา ให้เห็น ให้ชัดเจน ให้ตรง ที่เรียกว่าสัจจะนี่ มันถูก มันตรง

เพราะฉะนั้น ให้เห็นความถูกตรงเป็นความถูกต้อง เมื่อมันถูกตรง ถูกต้อง เราเกิดรู้ เออ อย่างนี้ เป็นความจริง เป็นความจริงที่ถูกต้อง ความถูกต้อง คือความจริง เงื่อนไขหนึ่ง เราก็รู้ การรู้นี่แหละ คือการรู้เป็นนักปราชญ์ เป็นนักรู้ เป็นผู้รู้ แล้วเราก็พิสูจน์ เพราะรู้ด้วยเหตุด้วยผล รู้ด้วยความเข้าใจ แล้วเราก็พิสูจน์กระทำ พิสูจน์ว่า เออ ถ้าเราไม่เอานี่ มันเป็นตัวสละ เราสร้างสรร ก็เป็นการสร้าง เป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ เราก็ได้อาศัย ผู้อื่นก็ได้อาศัย ได้แจกจ่ายกัน ได้ใช้สอยอาศัย เป็นคุณค่า เราเคยเข้าใจว่า ถ้าได้สิ่งที่แลกเปลี่ยนมา ตอบแทนคืนมา นั่นคือ ความได้ ในแนวกลับ ในมุมกลับ ในการทวนกระแส ด้วยความจริง จริงๆ จะทั้งด้วยเหตุผล ความหมายด้วย และความเป็นจริงด้วยว่า ถ้าเราไปแลกกลับ ลึกซึ้งเข้าไป มันกลับกลายเป็นว่า เรากลับไม่ได้ เรากลับเป็นผู้ไม่มีประโยชน์คุณค่า แลกกลับ จนเกินค่าของมันเอง มันก็ยิ่งเป็นตัวไปเอาเปรียบมา ไปโลภโมโทสันเอามา

นี่ก็เป็นเรื่องที่ย้ำพูด จนกระทั่ง พวกเราฟัง เรารู้ และเราก็ได้พิสูจน์ เราก็ได้ทำ เป็นตามที่พูด เป็นตามที่ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้ ได้เข้าใจนั้น เป็นจนกระทั่ง ผู้ที่ได้รับประโยชน์ ผู้ที่ได้เกิด ความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ กับบทบาทพฤติกรรมที่เรากระทำ เราได้เป็นผู้ให้ เราได้เป็นผู้เสียสละ เขาเป็นผู้รับเกื้อกูลกัน แบ่งแจกกัน มีสภาพที่เกี่ยวโยงสัมพันธ์กันไปมา อาศัยร่วมกัน ไปในหมู่กลุ่มที่ใกล้ที่ชิด จนกระทั่ง ขยายออกไป สู่หมู่กลุ่มที่ไกลขึ้น แล้วผลมันเป็นอย่างไร มันเป็นความน่าเกลียดน่าชัง เป็นความเลวร้าย เป็นความไม่เป็นสุข เป็นความไม่สงบ เป็นความไม่ดีไม่งามอย่างไรหรือ? เมื่อได้พิสูจน์แล้ว เขาก็ได้รู้ ได้เห็นความเป็นความจริง ที่มันเกิดตาม ตามๆ... แม้เราได้ฝึก เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ได้สร้าง แล้วเป็นผู้ได้ให้ เป็นผู้ที่ไม่ต้องแลกเปลี่ยนกลับคืนมา มีแต่ให้ แม้จะมีจิตใจ ที่เรายังอยากได้เปลี่ยนกลับคืนมา แลกกลับคืนมาอยู่ เราก็พยายามวางใจ หัดปรับจิต ปรับใจว่า ไม่ต้องการอะไร แม้จะถูกตำหนิ อย่าว่าแต่ต้องได้รับคำสรรเสริญ หรือได้ลาภ ได้ยศ ได้อะไร มาแลกเปลี่ยนเลย แม้แต่จะได้ตำหนิกลับคืนมา เราก็หัดอาศัย คำตำหนินั้น เป็นขุมทรัพย์ อาศัยคำตำหนิติเตียนนั้น มาพิจารณาตรวจสอบทบทวน แล้วจะดูดีขึ้น จะได้เข้าใจขึ้นว่า เออ มันมีคนดูแล มันมีคนตรวจสอบให้ มันก็จะดีขึ้น อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

เราก็ได้ตรวจสิ่งที่เกิดจริง เป็นจริง ได้รู้ ได้เห็นจากของจริง จากความเป็น ความเกิด ความมี ได้รู้ รู้จากการเกิด การเป็น การมี ไม่ใช่รู้แต่คิด แต่นึก แต่จำ แล้วก็จำ แล้วก็ผกผันความคิดนึกเท่านั้น ก็ไม่ใช่เท่านั้น จะมีตัวผกผันคิดนึกอีกก็มีด้วย แต่ความเป็นก็มีจริงๆ สร้างสรร ทำจริงๆ จนไม่ใช่ คนเดียว ไม่ใช่ 2 คน ไม่ใช่ 5 คน ไม่ใช่ 10 คน ไม่ใช่ 100 คนเท่านั้น มีมากกว่านั้น เป็นร้อย เป็นพัน เพิ่มขึ้น มากบ้าง น้อยบ้าง ขยายไป อาตมาก็ว่าคงจะเป็นหมื่น จะถึงแสนหรือไม่ อาตมาก็ไม่ได้กังวล ทุกวันนี้ก็ไม่ได้กังวลเลยนะ ว่าจะถึงแสน จะถึงล้าน มีคนมาถามเสมอว่า มีสมาชิกเท่าไหร่ มีผู้ปฏิบัติธรรมอย่างนี้ อยู่ในประเทศไทย หรือที่ไหนก็แล้วแต่ รวมแล้ว มีสักกี่คนรู้ไหม อาตมาบอก ไม่รู้จริงๆ เพราะอาตมาไม่เคยไปเที่ยวได้สำรวจ ไม่มีวิธีการจะไปสำรวจ ว่าจะสำรวจได้ยังไง แต่ตามกระแส ที่เราได้รับข้อมูลมา คนเขาเห็นด้วย คนเขาแอบปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ได้ปฏิบัติตรงๆ ไม่ได้แจ้ง ไม่ได้บอกกับเรา ก็ไปทำอยู่... ส่วนตัวของเขา

อย่างพวกเรานี่ ที่มาที่นี่แล้ว ก็เคยแอบทำ เคยทำส่วนตัว โดยไม่ให้พวกเรารู้ จนกระทั่งมั่นใจ แน่ใจแล้ว ค่อยมาเปิดเผยตัวเอง เข้ามาสู่หมู่ สู่กลุ่ม ก็มีอยู่ แล้วนอกๆ เดี๋ยวนี้ อาตมาก็เชื่อว่า ผู้ที่แอบทำ หรือว่าทำโดยไม่มาบอก มากล่าวเรา เห็นด้วย รู้เข้าใจ แล้วก็พยายามเป็นนักเป็น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงรู้ ก็ยังมีอยู่ เขาก็ทำอยู่ แม้ยังไม่เข้าหมู่ ยังไม่มาเปิดเผย ยังไม่มาบอกเรา ยังไม่เข้ามาหา ให้เราเห็น แม้แต่เขาจะทำอยู่ที่ของเขา บางทีเขาก็ยังปกปิดผู้ที่ใกล้ชิดก็ยังมี ไม่ให้ผู้ที่อยู่ที่ใกล้ที่ชิดรู้ ทำเป็นหลบๆเลี่ยงๆ ทำไปแอบๆทำ ถ้าคนที่ใกล้ที่ชิด เขาเห็น จะทำลักษณะ อย่างที่พวกเราทำ ก็จะโดนท้วง โดนว่า โดนตู่อะไรเข้า ก็ไม่อยากให้เขารู้เขาว่าแอบ แอบทำอยู่ อย่างนั้น ก็มี

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะนับเอาสถิติจำนวน มันนับไม่ได้ อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาไม่กังวล ว่าจะมีเท่าไหร่ แต่ขอรู้ ขอเห็นว่า มันมีนะ คนหนึ่ง สองคน ห้าคน สิบคน ร้อยคน พันคน มันมีได้มากหรือได้น้อย จริงหรือไม่ มากเท่าที่มันมี เท่าที่เรารู้ได้ เราสามารถที่จะมีญาณรับรู้ว่า จะรู้ได้ เออ มีได้ขนาดนี้ละ เอาหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าต่างๆ มาวัดว่า คนที่ควรจะเป็นคนเจริญ ควรเป็นคนอย่างไร คนประเสริฐที่เรียกว่าอริยะ เป็นคนประเสริฐ เป็นคนเจริญ เป็นคนมีอริยคุณนี่ เป็นคนมีคุณงามความดี ที่เราถือว่า เป็นผู้ที่สร้างสรร เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ละเลิกสิ่งที่ควรเลิก ตามข้อกำหนด ที่เรียกว่า บาปสมาจาร หรือเรียกว่าศีลที่ให้เลิก ส่วนศีลที่เป็นอภิสมาจาร เป็นศีลที่ให้ทำให้ยิ่งขึ้นๆ ก็สอดคล้อง ทบทวน ตรวจกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เรามีหลักฐาน พอที่จะตรวจ จะสอบ ทำความเข้าใจ เห็นจริง เราก็ได้อะไร เป็นอะไรขึ้นมา จนเกิดสภาพของกลุ่มชน เกิดสภาพ ของวัฒนธรรม ของจารีตประเพณีขึ้นมา มันเกิดความเป็น ไม่ใช่เกิดเป็นนักรู้ ไม่ใช่เกิดเป็นนักปราชญ์ แต่เกิดนักเป็น

ทุกวันนี้ อาตมาเห็นว่า นักเป็นนี่ มันมีความหนัก มันมีความแน่น มันมีความดัน มันมีความเข้มข้น มันมีอย่างนั้นจริงๆ จนกระทั่งว่า มันจะเกิดผลกระทบ กระทบคนอื่น โดยความเป็นของเรา เรานำความเป็นของเรานี่ ไปไหนๆ ไหนๆ มันจะเกิด เกิดเป็นมวล เป็นน้ำหนักที่เพิ่ม รวมกันขึ้น แม้คนเดียว บางทีนี่ เราเป็นอย่างเราเป็นนี่ บางคนจะมีประสบการณ์ เราเป็นอย่างที่เราเป็นนี่ แล้วเราก็เข้าไปที่ไหนๆ บางทีนี่ ก็ไปกระทบให้คนอื่นเขารู้สึก รู้สึกเขาละอาย แม้คนเดียว หรือว่า แม้เป็นกลุ่ม ก็กลุ่มน้อยๆ ไม่ใช่กลุ่มใหญ่อะไร ก็มีน้ำหนัก มีความหนัก มีความแน่น มีความดัน มีความเข้มข้น ที่ทำให้คนอื่นเขารู้สึกว่า จนบางทีเขาอึดอัด เขามีภาวะโต้ตอบ มันเป็นนะ มันมีน้ำหนัก

ฟังความนี้ให้ดีๆนะ ที่กำลังพูดนี่ ยิ่งเป็นหมู่ เป็นกลุ่ม ไปที่ไหนๆ เขารู้สึกเลย เขารู้สึกว่า พวกเรานี่ไปข่ม มันมีน้ำหนักอย่างนั้นจริงๆ ไปดัน ไปกด ไปเบียด ที่จริงเราไม่ได้ต้องการจะไปข่ม ไม่ต้องการจะไปดัน ไปเบียดเลยนะ แต่มันเลี่ยงไม่ออก เพราะเราเป็น มันเลี่ยงไม่ออก เราไม่ได้แกล้ง เราไม่ได้มีเจตนาจะไปข่ม หรือจะไปเบียด จะไปดัน จะไปมีน้ำหนักอะไร กระทุ้งกระแทก กระเทือน อะไรใครเขา เราไม่มีเจตนา แต่จะให้เราไม่เป็น อย่างที่เราเป็น เช่นว่า เราเป็นคนไม่โลภโมโทสัน เราเป็นคนมักน้อยสันโดษ เราเป็นคนละลด เราลดแล้วสิ่งนี้ เลิกแล้วสิ่งนี้ ละแล้วสิ่งนี้ ไปในหมู่ ในกลุ่มที่เขายังนิยมกันอยู่ พอเขาหันมาที่เรา เราไปสังสรรกับเขา ไปสัมพันธ์กับเขา เช่นว่า เขาบริโภค หรือว่าเขาเอง เขามีเครื่องอุปโภคอะไร อย่างที่เขาเป็น เขามี เราไม่มี เราไม่ได้ทำ อย่างเขาทำ เขาก็รู้สึกโดยสามัญสำนึก คนเรานี่ ถ้าไม่มีกิเลสอะไรมาเข้า มาเป็นเจ้าเรือนมากมาย มันพอรู้นะว่า อันนี้มันดีกว่า เช่นว่า เราไม่กินข้าวเย็น เราไม่กินเล่นกินหัว พอเราเข้าไปสังสรรค์กับเขา เขากินข้าวเย็น เราก็ไม่กิน ก็เราก็ไม่ได้แกล้ง เขาก็ถามว่า ทำไมไม่กินข้าวเย็น เราก็บอกว่า เรากินแค่มื้อเดียว เรากินแค่ 2 มื้อ แล้วยิ่งบอกมื้อเดียว อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเขาไม่เคยรู้มาก่อน เขาก็วี้ดว้าย อะไรทรมานตนทำไม ในลึกๆ สามัญสำนึกเขารู้นะ เขารู้ว่ามันดี มันทำได้ยาก แต่จริงๆ บางทีเขามี บางคนก็อาจจะไม่ อย่างเรื่องกินมื้อเดียวนี่ เขาอาจจะคิดว่า ไม่ดีก็ได้นะ บางคน เขาอาจจะคิดว่า เออ มันเกินไป มนุษย์มันกินอะไรมื้อเดียว มันไม่ดีหรอก บางคน ก็อาจจะนึกได้ อย่างนั้น สำหรับเรื่องกินมื้อเดียวนะ เพราะว่า มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเข้มข้นหน่อย

ยกตัวอย่างง่ายกว่านั้น จะเข้าใจมากกว่านี้ เช่นว่า เราไม่สูบบุหรี่ แล้ว เราไม่กินเหล้า สามัญเขาก็รู้ว่า มันดี พอเราไม่ไปสังสรรค์กับเขา เราก็ไม่ทำสิ่งเหล่านี้ เป็นต้น เราไม่เล่นแล้วไพ่ เล่นไพ่ เล่นหวย เล่นโป เราไม่ทำ เราไม่ได้ไปเสพไอ้สิ่งที่เขาจะเสพกัน บำเรอสิ่งที่เขาบำเรอกัน เราก็หยุดแล้ว หลายๆอย่าง เราก็เป็นของเราธรรมดา เราไม่ได้ไปแกล้งอวด ไปแกล้ง ถ้าเราไปสัมพันธ์กับเขา เราไม่ไปแกล้ง แกล้งจะไปเบ่งข่ม แกล้งไปทำเต๊ะ ไม่ใช่ เราเป็นแล้ว เราได้ เราเป็นแล้ว เราทำแล้ว ยิ่งเป็นอัตโนมัติ เป็นธรรมดาของเราด้วยซ้ำ แล้วจะให้เราทำยังไง หรือแม้ว่าเรา จะไม่ถึงขนาดว่า เป็นอัตโนมัติ เป็นธรรมดา ยังฝืนใจอยู่บ้าง ยังพยายามอบรมฝึกฝนตนอยู่ ใจมันยังมีรอนๆ มันยังมี ยังไม่สมบูรณ์ แต่มันก็ทนได้โดยไม่ยาก ทนได้โดยไม่ลำบาก ก็ยังขัด ยังเกลา เพิ่มเติมอยู่บ้าง นิดๆหน่อยๆ ยังศึกษาอบรม ฝึกฝนต่อๆไปอยู่ ยังไม่บรรลุผลสำเร็จ เป็นที่สุดก็ตาม เราก็ทำแล้ว เราก็เป็นแล้ว เท่าที่เราเป็นได้ เมื่อไปสัมพันธ์สังสรรค์กับคนอื่น อย่างที่กล่าวแล้ว อย่างที่สังคมอื่น ที่เขาไม่ได้เป็นอย่างนี้ และเมื่อในสามัญก็ตาม เขาก็รู้ว่าดี แล้วเขาก็ว่า เราไปข่ม แล้วมันมีน้ำหนัก ไปกระแทก ไปกระเทือนเขา นี่ เราก็เกิดเหตุการณ์นี้มาอยู่ สังคมของเรา จึงเกิดสภาพที่คนเขารู้สึก อย่างนี้มาก จนกระทั่ง คนที่จิตไม่ดีนี่ นะ จิตรู้สึกหมั่นไส้ จิตรู้สึกริษยา ก็มีแรงผลักดันที่จะประชด ที่จะแกล้ง ที่จะทำลาย ทั้งๆที่ว่า ที่จริงเขาก็ว่าดีนะ แต่เขาก็ มันมีตัวกิเลสพวกนี้ มันมีบทบาทอยู่ในใจ บางครั้ง บางที คนที่เขาทำการประชด หรือทำการจะทำลายเรา ไปในอย่างหยาบ หรืออย่างไม่หยาบก็ตาม บางทีเขาไม่รู้ตัว เพราะกิเลส เขาไม่ได้รู้ตัวว่ากิเลส นี้มันทำอย่างนี้ๆ แสดงออกเป็นกระแสอยู่ในสังคมขณะนี้นี่ มีอยู่ไม่ใช่น้อยเลย

อาตมาไม่ได้มาส่อเสียด ไม่ได้มาเอาเรื่องอะไรๆ ที่ไม่เข้าท่า มาบอกคุณหรอก แต่ว่าพยายาม จะพูดความจริง ให้สู่ฟังว่า มันมีผลอยู่ในโลก เพราะฉะนั้น การที่เราจะต้องถูกจับ ถูกใส่ความ ถูกอย่างโน้น อย่างนี้ อยู่ตลอดเวลา แทนที่จะส่งเสริมเรา แต่เขาไม่ได้แสดงแง่ ส่งเสริมเรา ไม่ได้แสดงออก ถึงการส่งเสริมเรา ดีไม่ดี แสดงออกเป็นสภาพเหมือนกับจะทำลาย เหมือนกับ จะให้เราเกิดผลลบ ให้คนในโลก ให้ประชาชนในสังคมนี้เข้าใจผิด และพยายามสื่อสาร พยายาม ที่จะบอกกล่าว พยายามที่จะสร้างอะไรขึ้นมา เพื่อที่จะประกาศ หรือประจานว่า เราก็มีอยู่ สิ่งเหล่านี้ นี่อาตมาอยากจะบอกพวกเราว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของกิเลส ที่เขาทำโดยไม่รู้ตัวนั้น ก็มีอยู่เยอะ ที่รู้ตัวแล้วก็มีเจตนา มีความพยายามด้วยก็มี ก็มี แต่ที่ไม่รู้นี่เยอะ ไม่รู้ตัวนี่เยอะ เขาไม่รู้ว่า กิเลสของเขา มีอย่างนั้น แล้วกิเลสนี้แหละ มันพาให้เขาทำ แม้แต่จะไม่เป็นสื่อสารออกมา เป็นชิ้น เป็นอัน กระแสของคำพูด กิริยาเวลาเขาพูดพาดพิง เกี่ยวข้องถึงเรา เดี๋ยวนี้เราเป็นกลุ่ม เป็นหมู่ ที่มีบทบาท มีพฤติกรรมเป็นขบวนการ เป็นหมู่ชน เป็นสังคมหนึ่ง มันเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นจริงๆนะ มีจารีต มีประเพณี เกิดเป็น เป็นสังคม เป็นกลุ่ม เป็นหมู่ที่มันกำลังพัฒนาขึ้นแล้ว มันก็มีวงจักร จักรคำนี้ นี่หมายความว่า ตัว ตัวเดินบทบาทอยู่ แล้วก็มีทุกๆอย่าง มีเฟือง มีข้อเหวี่ยง มีลูกสูบ มีอะไรก็แล้วแต่เถอะ นี่เหมือนกับเอาเครื่องกลมาพูด คือ เราก็มีแหละ มีเฟือง มีข้อเหวี่ยง มีสาย มีตัวโยงใย ที่จะต้องสัมพันธ์กันเดิน บทบาทเชื่อมต่อกัน จนกระทั่งเป็นจักรกล จักรกลของสังคม จักรกลของมนุษยชาติ เดินบทบาทสัมพันธ์ต่อเนื่องกันอยู่

ทุกวันนี้ พวกเราเกิด พวกเราเป็น พวกเรากำลังมีกิจกรรม พิธีกรรม ก็มีขึ้นบ้าง แต่เอาละ พิธีกรรม ยังไม่เด่นชัดเท่าไหร่หรอก กิจกรรมนี่เด่นชัด เพราะกิจกรรมนี่เป็นของคน การกระทำการงาน ที่เป็นของคน ในสังคม การงานเหล่านี้ เราทำขึ้นมา เพื่อพึ่งตนให้ได้ พวกเราพึ่งกันเอง จนเราให้ผู้อื่น พึ่งเราได้ พึ่งตนเองจนให้ผู้อื่นพึ่งเราได้ อย่างจริงใจ อย่างจริงใจ ในวิธีการนี้ เราก็พยายาม อาตมาพยายามใช้ภาษา ในลักษณะที่มันมีการย้อนแย้ง มีการกระทบ แล้วก็กระเทือนกัน ต่างๆ นานา พวกนี้ และเราก็พยายาม ที่จะใช้สภาพที่จะให้มันเป็นไปด้วยดี มันเกิดแรงกล ที่จะเป็นอยู่ อย่างที่อาตมา พยายามอธิบาย มันกระทบที่เขาไม่รู้ตัวบ้าง เขาก็ทำอะไรต่ออะไรที่จะปราบ จะปราม ทั้งๆที่เขา ควรส่งเสริม เขาไม่ให้การส่งเสริม จนผู้ส่งเสริมก็มี เราก็พยายามที่จะทำให้เขาส่งเสริม แล้วเขาเห็นด้วย เห็นดี จนเขาก็เป็นเช่นเราเป็น โน่นแหละ ลักษณะอย่างนั้นแหละ อาตมาเรียก ลักษณะของกลปรานี น่ะ ลักษณะของกลปรานี ด้วยใจเมตตา ด้วยใจปรานี ด้วยใจหวังดี ปรารถนาดี เราจะไม่นึกไปในทางร้าย แม้จะมีความร้าย เราก็บอกกัน แล้วเราก็อย่าไปถือสา อย่าไปตอบโต้ความร้าย ด้วยความร้าย ใครจะทำร้าย ก็เป็นเรื่องของเขา เราอย่าไปทำร้ายใดๆเลย เราจะตอบโต้ ก็ตอบโต้ด้วยความดี ด้วยความหวังดี ด้วยความปรารถนาดีกลับไป ทุกทีไป เพื่อให้เกิดผลดี ที่จะเกิดตามมา ให้ได้เสมอๆ

ในความหมายที่อาตมากล่าวไปนี้ อาตมาว่า อาตมาได้พยายามให้พวกเราได้เป็นเช่นนั้น เป็นเช่น ที่กล่าวมานั้น และเราก็ได้ทำมา จนกระทั่งเกิดความเป็นอยู่ของเราได้เป็นสังคม เป็นกิจกรรม กิจการขึ้นมา มีผลผลิต แรงงานของเราก็ชำนาญขึ้น สบายขึ้นเรื่อยๆ แม้มันจะต้องเป็นสภาพบุกเบิก เป็นสภาพที่แบกหาม และเป็นสภาพที่จะต้องขัดแย้ง เพราะมันทวนกระแสกัน ต้องโต้ ต้องต้าน คนจะเห็น จะเข้าใจ ส่งเสริมด้วย เห็นด้วยไม่ เขาจะเห็นประหลาด เขาจะเห็นว่า มันผิด เขาจะเห็นว่า เป็นเรื่องตรงกันข้ามกันก่อน ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความจริงออกมาพิสูจน์ยืนยัน ยืนยันว่าไม่ผิดนะ ดีนะ ไม่ได้เลวร้ายนะ แล้วก็ไม่ได้ขัดแย้งกับคุณจริงๆ เพราะเราให้ คุณจะเอา มีแต่คุณได้ คุณน่ะ ยังไม่ได้ล้างความเอาเลย คุณจะเอา จะเอาอยู่นั่นแหละ แล้วคุณก็ได้ ตามที่คุณอยู่นั่นแหละ คุณจะเป็นอย่างนั้น คุณไม่เปลี่ยนแปลง คุณจะเป็นผู้เอา เราก็ไม่ว่า ที่จริงว่าเขาน่ะ ว่าให้เขาเปลี่ยน แต่เขาก็ไม่ว่าคำนี้ มันเป็นสำนวนเท่านั้นแหละ เราก็ไม่ได้ไปลงโทษ ตีโพยตีพาย อะไรเกินไปนักหรอก เพราะเรารู้อยู่ว่า สามัญปกติ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น แต่เรามาทำได้ เราเป็นผู้ให้ได้จริงๆ เราได้เห็นว่าการให้ การสละ การให้ผู้อื่นได้พึ่งเรานะ เราเป็นผู้สร้าง เราเป็นผู้กระทำ เขาเป็นผู้ได้เปรียบ เราเป็นผู้เสีย ให้สละให้ มันเป็นคุณค่าของมนุษย์ มันเป็นความดีงาม มันเป็นความจริงนะ เห็นจริงๆ เข้าใจจริงๆ เขาก็เป็นอย่างเขาเป็น เขาเป็นผู้เอา เราเป็นผู้ให้ จริง มันอาจจะต่างตระกูลกัน เขาตระกูลเอา เราตระกูลให้ แต่มันอยู่ด้วยกันได้

โลกทุกวันนี้ เขาเหมือนกับว่า เขาเป็นตระกูลเดียวกัน เป็นตระกูลเอา ต่างคนต่างก็จะเอา กูก็จะเอา กูก็จะเอา ไอ้คนไหนๆ ก็จะเอามาให้กู ตัวกูนี่แหละจะเอา  มันก็แย่งกัน เขาอยู่ด้วยกันอย่างทุกข์ อยู่ด้วยกัน อย่างแย่งชิง แก่งแย่งกัน จนกระทั่งเราก็รู้ ก็เห็นอยู่ตลอดเวลา ซับซ้อนมีเล่ห์มีกล มีอะไรต่ออะไร อยู่อย่างลำบากลำบน เหมือนเขาเป็นตระกูลเดียวกัน เหมือนกับเขาไม่ได้ขัดแย้งกัน เหมือนกับคนเผ่าเดียวกัน ที่จริงก็ไม่ใช่เหมือนหรอก จริงเขาเป็นคนเผ่าเดียวกัน เขาเป็นคน โลกเดียวกัน โลกเดียวกัน โลกปุถุชน เขาก็แย่งกัน เขาดูเรา เหมือนกับเรานี่คนละโลก จริง เราเป็นโลกโลกุตตระ หรือว่าโลกที่เข้าใจ อย่างนี้จริงๆ เข้าใจต่างกับเขา เราก็ทำ เราก็เป็น ให้จริงๆ เลยว่า มันต่างก็ต่าง แต่ว่ามันอยู่กับเขาได้ นี่เราจะเข้าใจเพิ่มขึ้น เราจะเห็นจริงเพิ่มขึ้น แม้เขาจะปราบปรามเราลง เพราะเขาไม่เข้าใจ แต่โดยเนื้อหา โดยพฤติกรรม เราเป็นผู้ที่พยายาม จะให้เขา ให้ได้ๆๆ มันก็ไม่เกิดความเดือดร้อน มันเป็นสันติภาพอยู่ในตัว อยู่แล้ว เพราะมันจะไม่กระทบ หรือปลุกเร้า หรือว่ากดเบียดเบียนเข้าไป จนเขาก็จะเอา แล้วเขาก็ไม่ได้ เพราะเราก็แย่ง เขาก็จะเอา เขาก็ไม่ได้ เพราะเราแย่ง มันจะไม่เป็นอย่างนั้น เมื่อไม่เป็น มันไม่เกิด สภาพอย่างนั้น เขาจะเอา เออ เขาก็ได้ เพราะเราให้ เขาจะเอาก็ได้ แม้เราจะยังไม่มีให้มากก็ตาม มันก็ยังไม่เกิดปฏิกิริยา หรือไม่เกิดผลที่มันรู้สึกไม่สมใจ หรือว่ารู้สึก อึดอัดขัดเคือง คือ มันไม่ได้สมใจ เพราะอย่างน้อย เราก็ให้ๆๆอยู่ แต่ยังให้ไม่ได้มาก มันก็ยังมีให้ ไม่เหมือนกับโลกเขา ที่มันเป็นกันอยู่จริง เขามีแต่แย่งกัน จะเอา แล้วเขาก็ไม่ได้ เท่าที่มันเป็นจริง สังคมเขาแย่งๆๆกัน ต่างคน ต่างจะโลภมาได้มากเท่าไหร่ เขาก็ไม่หยุดไม่ยั้ง แต่เรานั้นให้

มาถึงวันนี้ เราได้ให้พอสมควร ความจริงอันนี้ ทำให้โลกสันติ หรือ โลกสงบอยู่ตามความเป็นจริง เพราะผลกระทบทางจิตของเขาบอกแล้วว่า ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่า ต่างเผ่าต่างพันธุ์กับเขา แต่เขาก็ได้รับ สิ่งที่มันไม่เกิดการกดดัน ที่เขาต้องการจะได้ แล้วเขาก็ไม่ได้ เขาได้จากเราอยู่จริง ความคับแค้น ความโกรธเคือง ความไม่สมใจ มันจึงไม่มากขึ้น เพราะว่า มันเป็นสภาพที่ มันประสานกันได้ มันไม่ใช่ตัวสภาพขัดแย้งนะ มันประสาน นี่ลองฟังดีๆนะ อาตมาเล่านี่ ซ้ำซากนะ พวกคุณฟัง ก็เคยได้ยินแล้ว แต่ว่าอาตมาพยายามที่จะเจาะลึก สภาพที่มันเกิด มันเป็น เพื่อที่จะเน้นให้เห็นว่า ความเป็นได้นี่ เป็นน้ำหนัก ความเป็นนักปราชญ์ กับความเป็น นักเป็น นี่ มันต่างกันน่ะ แล้วคนก็นิยมความเป็นนักปราชญ์ เพราะราคาของความเป็นนักปราชญ์นี่สูง อย่างที่พูดแต่ต้นแล้ว ความเป็นนักเป็น คือกรรมกรต่ำ ราคาก็ถูก ถูกลง ถูกกดทุกวัน เอาเปรียบเอารัด มากขึ้น ๆ ทุกวัน ราคานักปราชญ์ยิ่งแพงขึ้นทุกวัน ทั้งโลกไม่ใช่แต่ในประเทศไทย ทั้งโลก นิยมกันอย่างนั้น แล้วมีวิธีการ ที่จะเป็นนักปราชญ์ให้ง่ายที่สุด เรียกว่าพยายามนะ ยกยอปอปั้น มีกิตติมศักดิ์ มีโน่น มีนี่ มีเครื่องอะไรที่จะประกอบอลังการ ยกให้มันสูงไว้ ให้มันเลิศ ให้มันสูง ให้มันลอย ให้มันพุ่ง พร้อมกันนั้น ลักษณะที่กด กดผู้ทำ หรือผู้เป็น กดอยู่ในทีเรื่อยๆๆไปตลอดเวลา

นี่เป็นโลภที่ไม่ปรานีกัน ไม่มีเมตตากัน ไม่เกื้อกูลกัน ซึ่งเราก็รู้ว่า จะไปลงโทษเขาไม่ได้ เพราะว่า ไม่มีใครบอก ไม่มีใครชี้สัจจะ หรือแม้จะชี้ ก็ชี้ไม่ตรง ชี้ไม่ชัด มีบทพิสูจน์ที่ไม่ชัดเจน ไม่เห็นจริง ไม่มีจริง ไม่ได้จริง ไม่ค่อยยอมเชื่อ ไม่เกิดศรัทธา ไม่เกิดความเชื่อมั่น มันเชื่ออย่างนั้นละ เชื่อหลวมๆ เชื่ออย่างไม่มีกำลัง เชื่ออย่างไม่มีฤทธิ์มีแรง ไม่มีอินทรีย์ ไม่มีพละ เชื่อฟ่ามๆ เชื่อหลวมๆ จนไม่ถึงขนาด จะต้องมาฝึกฝน มาอบรม มาเปลี่ยนแปลง มาเป็นให้ได้ แม้จะเป็นความรู้อะไรก็ตาม แต่ไม่ค่อยเป็น จะเป็นก็ซับซ้อน ไม่ได้มาเป็นตรงที่นิสัย หรือความประพฤติ หรือพฤติกรรม ไม่มาเป็นที่นี่ ไปเป็นก็ไปเป็นสภาพที่ สร้างแบบโลกีย์ สร้างแล้วก็เอาไปแลกลาภ แลกยศ แล้วก็ไปล่า สิ่งเหล่านั้น แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เอาอำนาจสิ่งเหล่านั้นละ มาเป็นสภาพอาศัย เขาเป็น อย่างนั้น อยู่จริงๆ มันจึงทุกข์ร้อน

โลกน่าสงสาร น่าสงสาร น่าเวทนา น่าสงสารจริงๆ เราลงโทษเขาไม่ได้ทีเดียวนะ เพราะอย่าง ที่บอกแล้วว่า ไม่มีใครบอกให้เขาชัดเจน พวกคุณได้ฟัง อาตมาว่าพวกคุณฟังชัดเจนนะ ชัดเจน ย้ำแล้วย้ำอีก แล้วก็ขยายความ เจาะลึก วันแล้ววันเล่า พูดซ้ำซากแล้วก็ขยายออกไป เจาะลงไป อาตมาพยายามอย่างนั้นจริงๆนะ พยายามแม้พูดซ้ำซากก็พยายามเจาะ พยายามเปรียบ พยายามเทียบ พยายามยกสิ่งที่เป็นหลักฐาน มีเหตุผล เอามาชอนไช เอามาขยาย เอามาเปรียบ เอามาเทียบ เอามาประกอบกัน เพื่อที่จะให้คุณได้เห็นได้พบ ได้เกิดญาณ ได้เกิดรู้จริงว่า อ๋อ!พูดนี่ มันมีของจริงรองรับ เราก็เป็น ที่เราเห็นอยู่ ข้างๆเคียงๆก็เป็น... มีหลักฐานยืนยันประกอบหนาแน่น เห็นจริงเข้าใจจริงๆ มีหลายข้อมูล มีหลายตัวอย่าง มีหลายหลักฐาน ยืนยันได้ คุณก็เกิดความเชื่อมั่น เกิดความแข็งแรง แข็งแรงที่จะก่อกรรม แข็งแรงที่จะก่อกรรมที่จะเป็น ที่จะไป ในทิศทาง ที่เราควรจะเป็น ตามที่เราจะได้รู้นำมาก่อน เข้าใจมาก่อน แล้วเราก็เป็นขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นขึ้นไปเรื่อยๆ

ปีนี้ ปี ๒๕๓๔ นี่ เกิดสภาพอะไรหลายอย่าง กิจการโดยเฉพาะเป็น วรรณะศูทรน่ะ เป็นผู้ผลิต เป็นผู้ลงมือนั่นเอง เป็นนักเป็น นั่นเอง เป็นนักที่จะกระทำนั่นเอง ปีนี้นี่เริ่มต้นขึ้นมามาก กำลังเริ่มต้นนะ แล้วก็มีบทบาท มีจิตใจของพวกเราเอง พร้อมที่จะเข้ามาสู่ความเป็นนักเป็น กันมากขึ้นๆ อาตมาเห็นอย่างนั้นนะ คุณจะเห็นด้วยหรือไม่ คุณก็สังเกตกันในหมู่พวกเรานี่แหละ ในชาวอโศกเรานี่ มันมีกำลังขึ้นนะ มีกำลังขึ้น ขวนขวายขึ้น พากเพียรขึ้น เห็นจริงขึ้น แล้วเราก็เข้าใจบุญ เข้าใจกุศล หรือเข้าใจบาป เข้าใจความเป็นเจ้าหนี้ เข้าใจความเป็นลูกหนี้  เข้าใจเป็นผล เป็นวิบาก เข้าใจว่า... มันมีกรรม มีวิบาก มีของตน กัมมัสสกตา มีเป็นนามธรรม มีสภาพต่อเนื่องเป็นพันธุ์ เป็นเผ่าที่ยาวไกล เป็นพันธุ์เผ่าที่มันลึกซึ้งนะ ไม่ใช่พันธุ์เผ่าตื้นๆแค่ชีวะ แค่ทางตัวตน แท่งก้อนแต่ละชาติ แต่ละตัวร่างกาย ไม่ใช่ มันเป็นเผ่าพันธุ์ที่ยาวไกล เผ่าพันธุ์ที่ลึกซึ้ง เผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ๋ เผ่าพันธุ์ของอริยะ เผ่าพันธุ์ของพุทธ ไม่ได้ติดอยู่ในเชื้อชาติ ไม่ได้ติดอยู่ในแค่ สัญชาติ เชื้อชาติ เรารับเผ่าพันธุ์นี้มาจาก คนชาติอินเดียด้วยซ้ำ พระพุทธเจ้าเป็นคนชาติอินเดีย เราไม่ได้ติดใจ จะเป็นคนชาติอินเดีย ก็ท่านเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ เป็นมนุษย์ที่เลิศยอด ท่านมีทฤษฎี มีความจริง มีหลักการ มีอะไรที่เป็นความจริง ที่เราเอามาพิสูจน์ได้ อย่างจริง จะทวนกระแสยังไง จะเป็นคนละเรื่อง คนละราวกับโลกธรรมดาของคนยังไง เราก็พยายามเรียนรู้ พยายามเข้าใจ พยายามปฏิบัติ พิสูจน์จนได้ ขึ้นมาขนาดนี้ อย่างนี้

มาถึงวันนี้ กำลังก่อเกิดสวนฟ้านาบุญ เกิดมีนาม มีภาษา มีชื่อ และเราก็รู้ว่า เราจะทำอะไร เราก็พยายามเรียนรู้มาแล้ว จะทำอะไร หรือทำอะไร อันนี้อะไร ช่วยกันคิด ช่วยกันประกอบ ช่วยกันทำ ด้วยความจริงใจ ด้วยความเห็นดีเห็นชอบ ด้วยความรู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่ มนุษย์ต้องทำ ต้องเป็นให้ได้ ต้องทำให้ได้ โดยเฉพาะคำว่าบุญนิยม ระบบบุญนิยมนี่ ซึ่งเป็นตัวใหญ่นะ ชื่อนี้ ไม่ใช่เล็กๆนะ บุญนิยมนี่ ขอบอกให้พวกเราทราบๆ เอาเข้าไว้ มันเป็นระบบของมนุษยชาติ ตัวอย่างในโลกยังไม่มี ตัวอย่างในโลกยังไม่มี เขาก็คิดนะ เป็นยูโทเปีย สังคมอะไรต่างๆ นานา หลายสังคมเขาก็คิด ก็คือลักษณะนี่แหละ บุญนิยมนี่แหละ เป็นบุญนิยม ตามทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า ถือว่าแทงทะลุสุดยอด ยูโทเปียก็ไม่แทงทะลุสุดยอด ยูโทเปียที่ของโทมัส มอร์ (THOMUS MOR) เขาก็ได้แต่คิด ได้แต่คิด นี่พระพุทธเจ้าท่านคิด แล้วก็ได้พิสูจน์มาระดับหนึ่งแล้ว สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชนั่น ยุคนั้นผ่านไป อีก ๒๕๐๐ ปี กอบต่อไปอีกนี่ มันจะไม่ใช่ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ มันเสรีประชาธิปไตย

เพราะฉะนั้น หลักบุญนิยมนี้ จึงไม่ใช่รูปร่างบุญนิยมในสมัยพระพุทธเจ้า ที่เป็น สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะมันต่างกัน เพราะฉะนั้น รูปรอยมันจะไม่เหมือนกันทีเดียว ของพระพุทธเจ้า ท่านทำได้เท่านั้น เพราะอำนาจของบูรณาญาสิทธิราชย์ มีได้ให้แค่นั้น ระบบทาส มีได้ให้แค่นั้น ทุกวันนี้ไม่มีทาส โดยหยาบไม่มี แล้วไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ เสรี อิสรเสรีภาพ ขอยืนยันว่า แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้า สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นก็ตาม ก็เป็นเรื่องของอิสรเสรีภาพ แต่มันได้เท่านั้น ซึ่งคุณทุกคนก็คงเข้าใจ ว่ามันยังเป็นทาสอยู่จริงเลย ทาสในสมัยพระพุทธเจ้านี่ มันทาสมาตั้งเป็นพันๆปี กว่าจะมาเลิกทาสกันได้นี่ ไม่กี่ร้อยปีมา ประมาณ ๒๐๐ ปี มานี่เอง เลิกทาส แม้แต่เมืองไทย แม้แต่อเมริกา แม้แต่อะไร อังกฤษอะไรก็แล้ว แต่ มันพึ่ง ๒๐๐ ปีกว่า มานี่เอง เลิกทาส เลิกทาส โดยรูปชัดๆนี่นะ

เพราะฉะนั้น มันจะไม่เหมือนกัน รูปของสังคมจะไม่เหมือนกัน จักรกลของสังคมจะไม่เหมือนกัน อาตมา แหม! จริงๆมันอยากจะพูดนะ แต่ว่ามันจะใหญ่ จริงๆมันจะใหญ่ไป ไม่อยากจะพูดต่อ คุณฟังไปคิดเอาเองก็แล้วกันนะ มันเป็นระบบที่ยังไม่เคยมีในโลก เคยมีของพระพุทธเจ้า แต่ว่า มันยังไม่เป็นอย่างนั้น มันยังไม่สมบูรณ์ มันยังไม่ถึงขั้นความคิดของคนนี่ ปัญญาของคนนี่ หรือ ตัวอิสรเสรีภาพของคนนี่ มันยังไม่เป็น สมัยพระพุทธเจ้า ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว มันยังไม่มีอิสร เสรีภาพที่เต็ม ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีทาส แม้จะปลดทาสด้วยรูปแบบ มันก็ยังมีทาสทางเศรษฐกิจ ทาสทางวัฒนธรรมกันอีก ตั้งมากตั้งมาย จริงๆแล้วคำว่าทาส ทางวัฒนธรรมนี่ ของเราก็เป็น วัฒนธรรม ที่คนอื่นจะมาเอาตาม จะเรียกว่า เขามาเป็นทาสอันนี้ เราไม่ได้ไปบังคับเขา เราไม่ได้ใช้เล่ห์เหลี่ยม เล่ห์กลวิธีการ เพื่อที่จะให้เขายอมจำนนกับระบบนี้ ไม่ใช่

เพราะฉะนั้น เขาไม่ได้มาเป็นทาสวัฒนธรรม พวกคุณไม่ได้มาเป็นทาสวัฒนธรรมอันนี้ คุณมาด้วย อิสรเสรีภาพ ความพอใจที่จะมายอมรับอันนี้เอง คุณจะไม่เอาเมื่อไหร่ เดี๋ยวนี้ก็ไปได้ ไม่มีแอก อะไรเลย เมื่อไหร่จะโยนทิ้งล่ะ อันนี้ มันไม่มีแอกอะไรไว้ที่คุณเลยนะ คุณมาด้วยความสมัครใจ แล้วไม่ได้มีเล่ห์กล  ไม่มีอะไรหลอกลวง ไม่มีอะไรที่จะหว่านล้อมให้มาเป็น ไม่ง้อไม่งอนด้วย พูดอยู่ตลอดเวลา คุณจะไปก็ไปของคุณเอง คุณมาเอาก็เอาของคุณเอง คุณจะอยู่ก็อยู่ของคุณเอง ถ้าคุณอยู่ไม่ได้มาตรฐาน เชิญคุณออกด้วย ถ้าคุณอยู่ได้มาตรฐาน ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน ก็อยู่ไป อยู่กันไป อยู่ด้วยกันได้

ก็เป็นปรากฎการณ์ อย่างที่เราเคยเป็นนะ ในวันเพ็ญเดือน 3 เราก็มานั่งฟังกันอย่างนี้ อาตมาคิดว่า พวกคุณจะมีใจที่นั่งฟัง ที่ต่างจากบางวันบางเวลา สำหรับวันพิเศษ เรามีความรู้สึก คนเรามันมีๆ มีรู้ มีปฏิภาณ มี sense มีความรู้สึกของตนเอง รู้อยู่ว่าอะไรคือคนตั้งใจไม่ตั้งใจ ส่วนใครไม่ตั้งใจ ไม่เอา ไม่อะไรต่ออะไรก็ของเขา แต่คนไหนเห็นความสำคัญในความสำคัญ เห็นความสำคัญในกาละ เห็นความสำคัญในโอกาส เห็นความสำคัญในเวลา ในอะไรก็เป็นของคน หรือว่ารูปร่างรูปเรื่อง ที่สำคัญอะไร เห็นความสำคัญในความสำคัญนั้น ก็เป็นความสำคัญ ส่วนใครไม่เห็นความสำคัญ ก็ไม่เห็น ก็แล้วไป...บ้าง ในพวกเรา ก็มีขาดหกตกหล่นอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่อาตมาแน่ใจว่า เห็นความสำคัญในความสำคัญนั้นถูก แล้วอาตมาก็แน่ใจว่า อาตมาได้ทำความสำคัญ ในกาละสำคัญ

อาตมาถือว่า อันนี้เป็นเนื้อ ที่พูดไปตั้งแต่ต้นจนกระทั่ง ถึงเวลานี้ จนจะจบอยู่ในเวลาไม่นานนี้แล้วนี้ ก็ว่าเป็นเนื้อ เป็นสาระสัจจะของคนอย่างเราๆ ชาวหินฟ้า หรืออโศเกี้ยนนี่ เป็นอันนี้ และมันกำลังเริ่ม และมันกำลังก่อ และมันกำลังไป และมันกำลังมาถึงวันนี้ มาถึงขนาดนี้ อาตมาก็หยิบมารวมพูด กับพวกเรา เพื่อที่จะได้เดินต่อไปให้สุ สุคติ คือดำเนินต่อไปให้มันเป็นสุคติ ให้ดำเนินไปดีต่อไป จะดีหรือไม่ดี ฝากไว้ที่พวกเราทั้งหมด ฝากไว้จริงๆ เราจะต้องอุตสาหะกันต่อไป ยังไม่แน่ใจ ไปทำความมั่นใจให้ได้ แล้วจงเดินต่อ

เราจะช่วยศาสนาขึ้นได้  เราจะสืบทอดของพระพุทธเจ้าต่อไปได้ เชื่อไหมว่า เป็นพวกเรานี่แหละ ไม่ใช่หลงตัวนะ ใครรู้สึกว่าเราหลงตัวมั่ง จริงๆคนหลงตัว เขาก็ไม่รู้ว่าเขาหลงตัวหรอกนะ คนข้างนอกเขาก็คงว่า เรา...หลงตัวนั่นแหละ แต่ก็พยายามตั้งสติสัมปชัญญะ ใช้ปัญญาตรวจสอบ ให้ดีๆ ใหญ่นะ พูดนี่ใหญ่ เรานี่แหละ จะต้องพยายามกอบกู้ทำศาสนา เขาก็บอก เขาพิทักษ์ศาสนา เขากอบกู้ เขายอมสละชีวิต เขาก็พูดกัน แต่พวกเรานี่สละ หรือไม่สละล่ะ ลาภยศสรรเสริญ อะไร ก็ทิ้งมา อะไรๆ ก็เอาออกไป เข้ามาเป็นอย่างนี้ เข้ามาทุ่มเทอยู่อย่างนี้ๆ เขาที่บอกว่า เขาสละชีวิตๆๆๆ นี่ เขาสละอะไร บุหรี่มวนหนึ่ง ยังไม่ทิ้งเลย เหล้าขวด..ยังไม่ทิ้งเลย เงินบาทหนึ่ง เบี้ยหนึ่ง ยังไม่ทิ้งเลย ยังกอบหอบหวงหาอยู่นั่นแหละ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอะไร ก็ยังละเลง ระเริงอยู่อย่างนั้น นี่ก็เหมือนว่าประชด หรือว่าแดกดัน เหมือน ว่า..กระแทกเขาอะไรไป

เอาละนะ อาตมาก็คิดว่า สมควรแก่เวลาที่ได้ย้ำกับพวกเรา เพราะฉะนั้น ก็ขอย้ำประโยค ที่ได้พูดมา แต่ต้นแล้วว่า

จงให้ถึง "นักเป็น" อย่าเพียงได้เช่น "นักปราชญ์"

เอวัง


ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง ๑๗ ก.พ.๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย สิกขมาตปราณี ๑๙ ก.พ.๓๔
พิมพ์โดย สิกขมาตนัยนา ๒๒ ก.พ.๓๔
ตรวจทาน ๒ โดย น.ส.อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๒๔ ก.พ.๓๔
1305.TAP