ชีวิตนี้ลิขิตด้วยกรรม
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๔

เจริญธรรม ท่านสาธุชนทุกๆท่าน

ตามจารีตประเพณี ตามแบบแผนที่เราควรจะได้ประโยชน์กัน เมื่อมาชุมนุมกัน จะเป็นงานอันหนึ่ง อันใดก็ตาม แม้ที่สุดในชีวิตของคน...เป็นงานที่มารวมกันในครั้งคราวตายน่ะ

งานเกิด งานที่จะได้รับความดีอกดีใจอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็จะมีจารีตประเพณี ชักชวนเพื่อนฝูง ญาติมิตรต่างๆ มารวมกัน เสร็จแล้วก็พึงแสดงออกซึ่งอะไรก็ตาม ที่สามารถแสดงออกแล้ว จะเกิดเป็นคุณค่า ประโยชน์ต่อกันและกัน เพื่อดำเนินชีวิตไปด้วยความเจริญ

ในงานศพ เราก็มีวิธีการ การเทศน์หน้าศพ ก่อนที่จะได้ฌาปนกิจเป็นครั้งสุดท้าย ก็เป็นรูปแบบหนึ่ง ก็เกิดประโยชน์คุณค่า

อาตมาก็จะใช้เวลาประมาณ ๔๐ นาที ในช่วงนี้ ที่จะแสดงธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สู่พวกเราฟัง เพื่อเป็นประโยชน์แก่ชีวิต เรื่องของชีวิตก็เกิด ดำเนินไป มีอุปสรรค มีทุกข์ ก็แก้ทุกข์ กันไป ตลอดเวลา ถ้าผู้ที่มีปัญญา มีการแสวงหาที่ดี ก็จะสามารถพบทางที่ดี และเราก็จะได้ปฏิบัต ิประพฤติตามทางที่ดี โดยเฉพาะชาวพุทธ ทางที่ดีคือ สัมมาอริยมรรค ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านได้คันพบ เป็นทฤษฎีวิเศษ มนุษย์พึงได้พึงเป็น

เพราะฉะนั้น ผู้ใดได้พบทางที่ดี ได้นำเอาทางที่ดีตามหลักเกณฑ์ที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สั่งสอน เอาไว้แล้ว เอาไปประพฤติจริง ปฏิบัติด้วยความอุตสาหะวิริยะ เราก็จะเจริญ จะพบความสุข อันเป็นความสุขวิเศษ เราเรียกว่า วูปสโมสุข หรือ อุปสโมสุข ไม่ใช่สุขอย่างโลกีย์ คือสุขบำเรอ สุขเสพย์สมสุขสม สุขบำเรอตัณหา บำเรอกิเลสความอยาก สุขอย่างนั้นเป็นสุขสมมุติ ซึ่งคนทั้งโลก ก็ไม่เรียนศึกษา ไม่พบพระธรรมพระพุทธเจ้า ก็จะแสวงหาสุขสมมุติอยู่อย่างนั้น ตลอดกาลนาน

แต่ถ้าเผื่อว่าได้พบแล้ว เราก็จะพิสูจน์ได้ว่า เราจะพบสุขอันสงบจากกิเลส ไม่ใช่สงบแบบนั่ง หลับหู หลับตา สงบแบบไม่มองเห็นอะไร ทำตนเองให้เป็นผู้ที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีการงานอะไร หลับหูหลับตา หลีกหลบ หลีกๆเลี่ยงๆหมกๆหมักๆตัวเองอยู่ที่นั่นที่นี่ โดยไม่มีคุณค่าอะไร ก็ไม่ใช่ความสงบอย่างนั้น สงบที่หมายถึงจิต มันสงบจากกิเลส ซึ่งเป็นตัวร้าย โลภะ โทสะ โมหะ ก็ดี เป็นตัวร้าย ที่มันเป็นตัว มีอยู่ในคนทุกคน ที่ยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง อย่างถูกทาง เป็นสัมมาทิฏฐิ จะต้องมีกิเลส นี้อยู่ทุกคน ไม่ว่าใครทั้งสิ้นในโลก จนกว่าจะมาพบทางวิเศษ แล้วก็ปฏิบัติให้ลดละกิเลสนั้น ลงได้จริงๆ จึงจะรู้ว่า กิเลสมันลดลงได้ มันตายได้ มันดับสนิทได้ พระพุทธเจ้ายืนยันนักหนา ทรงยืนยันกับพวกเราว่า กิเลสนั้นดับได้ ดับสนิทได้เรียกว่านิโรธ อย่างอริยสัจเลยทีเดียว ดับกันจริงๆ สัจจะคือจริง ดับสนิทจริงๆ พระพุทธเจ้าไม่ได้โกหกเรา ท่านตรัสความจริง ท่านไม่มาโกหกมนุษย์ แน่นอน

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ท่านตรัสเอาไว้ ถ้าเรียนรู้ให้ถูกจริงๆ ไม่ผิดไม่เพี้ยน แล้วนำมาปฏิบัติจริงๆ เราจะพบความสุข ที่เป็นสุขสงบจากกิเลสนั้นจริงที่สุด พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องนี้ด้วย แล้วก็สอนเรื่องกรรมด้วย เรื่องกรรมสัจจะ ซึ่งกรรมสัจจะนี้ อาตมาอยากจะเน้นกับพวกเรามากทีเดียว เพราะว่ายิ่งในวาระที่เป็นคนที่ เมื่อตายไปจากโลกแล้วนี่ ศาสนาพระพุทธเจ้านี่ ไม่ได้ตายแล้วสูญ ไม่ใช่ตายแล้วก็ชาติเดียวแล้วเลิกเลย สังสารวัฏยาวนานนักหนา ถ้าใครศึกษามาดีๆ จะเห็นเช่นนั้น

สมัยนี้เป็นสมัยที่ถูกลวง มีผู้รู้รู้อยู่แต่เฉพาะสามัญสำนึก รู้แต่เฉพาะวงแคบๆในวัฏฏะสั้นๆ รอบเดียว เกิดมาแล้วก็จะแก่ แล้วก็จะตายรอบเดียว ไม่สามารถล่วงรู้สังสารวัฏ ที่มีรอบซ้อนรอบลึก อันเนื่อง ด้วยความซับซ้อน เป็นจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่อีกมากมาย เมื่อไม่ล่วงรู้ ก็เอาแต่เฉพาะที่ตัวเองรู้ เพราะว่าตนมันรู้แค่นี้อยู่ ส่วนมากมันไม่ใช่จะรู้ในเรื่องลึกๆซึ้งๆ ไมใช่จะรู้ได้ง่ายๆ แล้วยิ่งไม่ปฏิบัติ อย่างจริงจังด้วย ก็ไม่เกิดญาณ เมื่อไม่เกิดญาณ ก็ไม่สามารถมีบุพเพนิวาสานุสติญาณ ไม่สามารถ มีญาณระลึกรู้ เรื่องเก่าเรื่องหลังเรื่องอดีต เรื่องที่สืบเนื่องมายาวนาน ไม่สามารถรู้ ก็ไม่ค่อยจะเชื่อ เรื่องกรรม ทำสิ่งที่ดีแล้วเราก็จะได้ดี ทำสิ่งที่ชั่วก็จะเป็นชั่วของเรา เรียกว่า กัมมัสสโกมหิ แล้วเราก็ จะเป็นผู้ที่รับมรดกของกรรมของเราเอง กัมมทายาโท แต่เราไม่เชื่อกัน ทุกวันนี้ยิ่งไม่เชื่อกันมาก เพราะความตื้นเขิน ของญาณ เพราะไม่ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อไม่เชื่อกรรม จึงทำกรรมชั่วได้ง่าย เพราะไม่กลัวบาป ไม่เชื่อว่าตายแล้ว จะต้องมีสิ่งที่เนื่องต่อ เป็นกัมมทายาโท สามารถที่จะเป็นผู้ที่ จะต้องรับมรดกของกรรมของตน เป็นของตนพาเกิดอีก เป็นกัมมโยนิ กัมมพันธุ ก็ไม่เชื่อ เมื่อไม่เชื่อกรรม เอาความฉลาดมาเรียนรู้ความฉลาดที่หลบๆเลี่ยงๆอยู่ในสังคม อยู่ในโลก เพียงแต่ว่า ไม่ให้เขาจับได้ว่า เราทำชั่ว ไม่ให้รับอุปสรรค ไม่ได้รับโทษภัยอะไรในสังคม เท่านั้น หลีกเลี่ยง หลีกหลบอยู่เท่านั้น กรรม ๓ ชั่วจึงเกิดได้มากมาย แต่ถ้าเผื่อว่าผู้ใดได้ศึกษาศาสนา โดยเฉพาะศาสนาพุทธ ที่เป็นกัมมนิยม หรือกัมมสัจจะ เป็นกรรมที่เป็นสัจจะความจริง กรรมเป็นตัว กำเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นเครื่องอาศัย เป็นที่พึ่งอาศัย และ กรรมนี่แหละ จะจำแนกสัตว์ ให้เกิดดีเกิดชั่ว ให้เกิดมั่งมีร่ำรวย ให้เกิดทุกข์ยาก ให้เกิดอุปสรรคลำบาก หรือว่าจะให้เกิดเป็น ผู้ที่มีบุญบารมีอะไรต่างๆนานา ก็ด้วยกรรมทั้งสิ้น กรรมนี้ไม่ได้อยู่ที่ไหน กรรมอยู่ที่กาย วาจา ใจ

กาย วาจา ใจของมนุษย์นี่แหละ เรียกว่ากรรม กระทำออกมาทางกาย ออกมาเป็นรูปเป็นแบบ เป็นบทบาทข้างนอกเลย เรียกว่ากายกรรม ออกมาทางคำพูดก็เรียกว่า วจีกรรม ออกมาทางมโน ไม่ออกมาด้วยซ้ำ อยู่ในจิตของเรานี่แหละ ในจิตในใจของเรานี่แหละ เป็นบทบาทของกรรมอยู่ เช่นเราคิด เรานึก หรือแม้แต่ เรามีอารมณ์ มันเป็นกรรมของจิตทั้งนั้น เรามีอารมณ์โกรธ นั่นเรียกว่า กรรมชั่ว เรามีอารมณ์โลภ ก็กรรมชั่วอีกเหมือนกัน แต่เราไม่เคยคำนึงถึงกรรมเหล่านี้กัน และไม่เคย สังวรสำรวม ไม่เคยคิดว่ามันชั่ว จะโกรธก็โกรธมันให้สมอยากสมใจ โกรธไปเท่าไหร่ ก็โกรธเลย ไม่เคยสำนึก ไม่เคยมีสติสัมปชัญญะ ไม่เคยมีปัญญา ไม่เคยได้เล่าเรียน ว่าเราจะต้องกำหนดรู้ว่า เมื่อเกิดโกรธในใจแล้ว มีอารมณ์โกรธแล้ว มันเป็นของชั่วอยู่นะ เป็นกรรม อันจะติดตน เป็นกัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท เป็นการกระทำ เป็นบทบาทของกรรม เป็นบทบาทที่มันเกิดจริง เกิดในใจก็เป็นในใจ แล้วก็สั่งสมลงเป็นมรดกของเรา เราชอบโกรธบ่อยๆ อาฆาตบ่อยๆ เราก็จะมี สิ่งเหล่านั้นแหละ เป็นมรดกของเรา เราจะเป็นคนขี้โกรธ แล้วก็ได้รับทุกข์ ได้รับภัยจากความขี้โกรธ หรือเรามีราคะ มีโลภก็ตาม มีความโลภมีราคะในใจ เราก็ไม่เคยศึกษา ไม่เคยสังวรสำรวม มันจะเกิดราคะ ก็ให้มันปลุกเร้าเสียด้วยซ้ำ ปลุกเร้าราคะ ให้ตัวเองมีราคะจัดๆจ้านๆ ให้มีความโลภ อยากได้มาให้แก่ตัว เอาเปรียบเอารัด เขาก็ไม่รู้ ทำไปให้ตัวเองมีความโลภจัดๆจ้านๆ จนกระทั่ง ทุจริต อกุศลอย่างไร ก็ไม่เคยสังวร ไม่เคยสำรวม ไม่เคย...ระงับ ไม่เคยลดละ

สิ่งอย่างนี้ ถ้าเราไม่ได้ศึกษาธรรมะ แล้วไม่เกิดความเชื่อถือ ก็ไม่เชื่อฟัง เชื่อถือหมายความว่า เราฟังแล้วเราก็ยอมรับด้วยเหตุผล ยอมรับด้วยหลักฐานอะไรก็แล้วแต่ เสร็จแล้วเราก็เชื่อถือ แล้วเราก็ไปเชื่อฟัง คือ ปฏิบัติตาม ผู้เชื่อฟังคือผู้ปฏิบัติตาม ถ้าผู้ใดไม่เชื่อถือ ไม่เชื่อฟัง ก็ไม่ปฏิบัติ เมื่อไม่ปฏิบัติ ก็ไม่มีความเชื่อมั่น จะไม่เกิดความเชื่อที่สูงสุด เป็นศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ จะไม่เกิด อำนาจของความเชื่อสูงขึ้นไป มันก็หลวมๆอยู่อย่างนั้น แหละคน

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ศึกษาธรรมะไม่ปฏิบัติธรรมะ เป็นคนน่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ ในโลกในสังคม ทุกวันนี้ มากหลากหลายเลย มัวแต่ไปอยู่กับโลกีย์ ไปหัวหกก้นขวิด เขาหลอกยังไง เขายั่วยวน ปลุกเร้า มอมเมายังไง ไปตามโลก อยากได้ลาภมากๆ เอามาสะสม เอาเปรียบเอารัดเขายังไง ขี้โกง ทุจริต ทำร้ายทำเลวยังไง ก็ทำกันไป สังคมถึงได้เดือดร้อนกันไปหมด ตัวคนก็มีกรรม สังคมก็ เดือดร้อน คนมีกรรมก็คือ มีทุจริตกรรมด้วยซ้ำไป มีอกุศลกรรมด้วยซ้ำไป สั่งสมเป็นมรดกของตน โดยเฉพาะ ยิ่งผู้ที่กำลังพูดอยู่ขณะนี้ อยู่หน้าศพ ผู้ที่เป็นศพไปแล้ว ตายไปแล้ว ไม่ได้อะไรไป เห็นๆอยู่แล้ว จะไปโลภเอาลาภมาให้เป็นก่ายเป็นกองน่ะ ให้มีมรดก ให้มีเงินทองเป็นมรดก แบบวัตถุ มากเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เป็นมรดกที่จะได้ เป็นของตัวของตนไปเลย ไม่ได้ คุณจะให้มาเผา เป็นแบบ กงเต็ก เอาธนบัตรสดๆ มาเผาเดี๋ยวนี้ เอาทองคำ เอาเพชร มาเผา อยู่ต่อหน้าศพเดี๋ยวนี้ มันก็ไม่ไป มันไม่ได้ เอาเผาไปให้ยังไง มันก็ไม่ได้ ไม่ได้จริงๆ แล้วยิ่งโลภโมโทสัน ไปโกงเขามา ไปเอาเปรียบ เอารัด เขามา ความเอาเปรียบเป็นความชั่วนะ ได้เปรียบเขามา ไม่น่าดีใจอะไรเลย มันเป็นความชั่ว แต่ชื่นใจเหลือเกิน ที่เราได้เปรียบ นี่คือความเข้าใจผิด เรียกว่ามิจฉาทิฐิ หรือโมหะ หลงผิด คนเราชอบที่จะไป หาทางเอาเปรียบเขา เมื่อได้เปรียบแล้ว โอ้ย.ชื่นอกชื่นใจ มันโง่หรือฉลาด ลองคิดดูซิ คนที่ได้เปรียบกับคนที่เสียสละ นี่พูดกันธรรมดาๆนะ คนได้เปรียบเป็นความชั่ว ไปเอาเปรียบเขามา แล้วได้เปรียบเขานี่ เป็นความชั่ว

แต่คนที่ไม่เอาเปรียบ เป็นคนที่เสียสละ สามารถทาน สามารถบริจาค สามารถเสียสละของตน ให้แก่เขาได้ เป็นความดี แต่พอเสียเล็กเสียน้อย ไม่ดีใจ เสียใจอีกแน่ะ บางทีโกรธแค้นด้วย นี่คือมิจฉาทิฐิ คือผู้ที่มีความเห็นไม่เข้าทาง มีความเห็นผิดเพี้ยนมีโมหะ หลงผิดเป็นถูก หลงกงจักร เป็นดอกบัว หลงดอกบัวเป็นกงจักร คือ เห็นหน้ามือเป็นหลังมือ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันเห็นกลับกัน เห็นความเลวเป็นความดี เห็นความดีเป็นความเลว ไปได้เปรียบเขามา เป็นความเลว เป็นความชั่ว กลับดีใจ แหม...มันผิดหนักไหม เสร็จแล้ว เราก็เคยทำกันมาทั้งนั้น เมื่อไม่ได้ศึกษาธรรมะ ก็เคยทำมา ทั้งนั้น ไม่เคยสังวรสำรวมตัวเองเลย พอได้เปรียบมาดีอกดีใจ ดีไม่ดีฉลองด้วยซ้ำ ที่ได้เปรียบเขามา ฉลองใหญ่เลย ฉลองความชั่วตัวเองก็มีด้วย ดูเถอะคนเรา

นี่คือสัจจะที่เราไม่ศึกษากัน นี่ยกตัวอย่าง แล้วก็พูดให้ฟังง่ายๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าผู้ใด ได้มาศึกษา สัจธรรมจริงๆแล้ว แล้วให้ศึกษาตั้งใจจริงๆ สำรวม สังวรจริงๆ เมื่อเรารู้ดังที่พูดนี้แล้ว ถ้าเชื่อก็ไปสังวร เราจะไปทำอารมณ์ เราจะไปทำใจในใจ เรียกว่าโยนิโสมนสิกการ อย่าไปทำ ใจในใจว่า นี่เราเองตอนนี้ เราเกิดได้เปรียบเขามาแล้วนะ มันเป็นความชั่ว เราสำนึก แล้วเราก็ พยายามที่จะสลัดคืน จะต้องพยายาม เอ๊อ! เราได้เปรียบเขามา ไม่ดีแฮะ มันเป็นบาปเป็นกรรม เป็นภัยเป็นหนี้

เพราะฉะนั้น เราไปสละดีกว่า เราไปทำคืน เราไปเกื้อกูลผู้อื่น ไปเป็นทาน เป็นบริจาคอะไร ไปสละความโลภ ถ้าสละความโลภ เราอย่าไปหวงแหน อย่าไปเอาเปรียบเอารัด เราทำอย่างนั้นได้ มันเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นจริงๆ กรรมเป็นอันทำ คุณคิดก็เป็นอันทำ คุณพูดก็เป็นอันทำ คุณกระทำลงไป ทางกายลงไปเต็มรูปเลย กายวาจาใจประกอบออกมาเต็มๆรูปเลย มันก็ยิ่ง เป็นความจริง เป็นกรรม กรรมเป็นอันทำ คุณคิดอยู่ในใจ คิดด่าคน แล้วคุณว่า คุณไม่ได้ด่า โกหกไม่ได้ โกหกไม่ได้ ถ้าคุณคิดด่าเขา คุณก็ได้คิดแล้ว คุณก็ได้ด่าเขาแล้วในใจ ยิ่งด่าออกมา ทางปาก เป็นเสียง ก็เป็นการการกระทำ เป็นกรรม กรรมสั่งสมลงไปเลย ไม่ต้องรอนายสุวรรณ นายสุวานจด ไม่ต้องรอ ดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่ว เป็นตัวของมันเอง

คนเราทุกวันนี้ เข้าใจกรรมผิดไป ไปรับเอาผลของกรรมมา มาเป็นข้อพิจารณา เช่น คนไปโกงเขา เมื่อไปทำการโกง แล้วก็ได้เงินมาใช้ เรียกว่า เขาทำชั่วแต่ได้ดี ว่างั้น นี่คือคนพิจารณาเพี้ยน ก็เมื่อไปโกงเขา การกระทำอยู่ที่การโกงน่ะ การกระทำมันอยู่ที่การโกง เมื่อไปโกงเขาแล้ว มันก็เป็น การทำชั่วแล้ว กรรมนั้นก็บันทึกลงไปแล้ว เป็นกรรมของตน เป็นกัมมัสสโกมหิ เป็นมรดกของตน เป็นกัมมทายาโท ตนจะต้องรับเป็นทายาทของกรรม อันตนทำไปแล้ว ตนโกงก็เป็นกรรมชั่ว เป็นอกุศลกรรม เป็นทันที ส่วนที่บอกว่า โกงแล้วได้เงินมาใช้ ปล้นเขาจี้เขา แล้วได้เงินมาใช้ ไอ้การได้เงินมาใช้ นี่ ไม่ใช่บุญเลย การได้เงินมาใช้นั้น มันเป็นเรื่องผลพลอยได้เฉยๆ ผลพลอยได้ จากกรรมชั่ว ก็ได้ ได้เงินมาใช้ จะบอกว่าเป็นของดี ถ้าเผื่อว่า การได้เงินมาใช้ ได้เงินมามากๆ เป็นของดี แล้วก็สะสมเงินไว้มากๆเป็นของดี น่านิยม น่าสร้าง น่ากระทำ ถ้าเป็นอย่างนั้นแท้ พระพุทธเจ้าผิดก่อนเพื่อน พระพุทธเจ้ามีเงินมีทอง มีทรัพย์ศฤงคาร กลับไม่สะสม นอกจาก ไม่สะสมแล้ว ก็สลัดคืน มอบให้แก่โลกเขาไปหมดด้วยซ้ำ กลายไปเป็นผู้ไม่มีเงินสักบาท นี่พระพุทธเจ้าเรานะ ศึกษาประวัติก็คงจะรู้กันทั้งนั้น กลับเป็นคนไม่มีเงินสักบาท ตลอดพระชนม์ชีพ จนกระทั่ง ดับขันธ์ปรินิพพาน ไม่มีทรัพย์ศฤงคาร

เพราะฉะนั้น การไม่มีเงินทอง ต้องไปซื้อไปหา มันไม่ใช่ความเลวเลย มันเป็นความประเสริฐ ที่เป็นได้ยากเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น พระที่มาปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้า ที่เป็นฆราวาสก็ตาม มาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นคนที่ไม่สะสม เป็นแต่คนขยัน สร้างสรร สุจริตกรรม กอบก่อสร้างสรรแล้ว เมื่อมีเมื่อเกิดก็แจกจ่ายเจือจานเอื้อเฟื้อเกื้อกูล บริจาคหรือทาน หรือให้แก่กันและกัน ไม่สะสม กรรมวิธีของพระพุทธเจ้า สังคมของพุทธบริษัท ของพระพุทธเจ้า มีอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณีของพระพุทธเจ้า เมื่อเวลากระทำกรรมแล้ว เป็นสังคมพุทธบริษัท จะอยู่รวมกัน แล้วก็จะอยู่พึ่งพาอาศัยกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องสะสม ถ้าการสะสมเป็นของดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องสะสมก่อนเพื่อน เพราะพระพุทธเจ้านั้น เป็นผู้ที่ทำกรรมดี ทำสิ่งที่ดี มีพฤติกรรมที่ดี ให้แก่ตนเอง

เพราะฉะนั้น ตัวอย่างอันดีของพระพุทธเจ้า ตัวอย่างของพระอริยสาวกต่างๆ ไม่ได้สะสมจริง สะสมด้วยการสะสม เป็นความชั่วด้วยซ้ำไป เป็นความไม่ดีด้วยซ้ำไป แต่เราไม่ได้ศึกษาธรรมะ ก็เลย ไม่ได้เดินตามรอยพระพุทธเจ้า สังคมก็เลยเป็นสังคมที่ไม่เอื้อเฟื้อเจือจาน ต่างคนต่างกอบโกย ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างสะสมมาให้แก่ตน ก็เลยเกิดการแย่งชิงกัน เกิดการทุจริตกัน เกิดใช้ความฉลาด เรียกว่าเฉกตาหรือเฉโก ใช้ความเฉลียวฉลาด เฉกตาหรือเฉโกนี่ เอามา หาทางเอาเปรียบเอารัด เป็นความฉลาด ทุกวันนี้ สร้างความฉลาดแบบเฉกตากัน ทั้งบ้านทั้งเมือง ทั้งโลก ไม่ใช่แต่บ้านเมืองไทย สร้างความเฉลียวฉลาด แบบจะได้เปรียบเขา เอาเปรียบเขา ได้มาก็มาหลงดีใจ นั่นน่ะ แหม! มันน่าสมเพช

อาตมาเกริ่นแล้วเมื่อกี้ว่า ไปได้เปรียบเขามา มันเป็นความชั่ว แล้วมาหลงดีใจ ที่เราได้ทำชั่ว มันน่าสมเพชจริงๆ เพราะฉะนั้น ฟังธรรมวันนี้แล้ว ถ้าผู้ใดยังไม่เคยได้ฟังธรรมะของอาตมาแล้ว เอาไปไตร่ตรอง อาตมากำลังพูดผิดอยู่หรือ หรืออาตมากำลังพูดถูก เอาไปไตร่ตรอง คุณจะฉลาดมาก ฉลาดน้อยอะไร ก็เอาไปไตร่ตรอง ตามความฉลาดของคุณก็แล้วกัน อาตมาว่า ไม่ได้พูดยากเย็น ไม่ได้พูดลึกลับอะไรเลย พูดง่ายๆ พูดธรรมดาๆ สามัญนี่น่ะ

เพราะฉะนั้น ถ้าศึกษาดีๆแล้ว เราจะเห็นได้ว่า เราเดินทางผิดอยู่ ตลอดเวลาเลย ส่วนมากของมนุษย์ ที่ไม่ได้ศึกษาสัจธรรม ไม่ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จึงก่อกรรม กายกรรมก็ดี ก็เป็นไป ในรูปแบบของการเอาเปรียบเอารัด กอบโกย มีความโลภเป็นที่ตั้ง ดีไม่ดีก็มีความอาฆาต มาดร้าย ความโกรธแค้น แก้แค้นอะไรต่ออะไรกันต่างๆนานาอยู่ตลอดเวลา อย่างหยาบบ้าง อย่างละเอียดบ้าง ก็ตามแต่เถอะ เป็นการสร้างบาป สร้างเวรให้แก่ตนของตนไปตลอดเวลา

อาตมาขอเตือนนะ ผู้ใดยังมีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย ขอให้ระวังกรรม ๓ ระวังกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ระวังจริงๆ สังวรระวัง กายของเรา จะเป็นการเสียสละ จะเป็นการโอบอ้อมอารี เมตตาเกื้อกูล ช่วยเหลือผู้อื่นหรือเปล่า กายกรรมของเรา จะเป็นความขยันหมั่นเพียร เป็นความอุตสาหะ วิริยะ การกระทำในกรรมที่ดี การงานที่เป็นกุศล การงานที่เป็นสิ่งที่ควรกระทำ หรือว่าการงาน ที่เป็นมิจฉาชีพ มิจฉากัมมันโต มิจฉากัมมันตะ มันเป็นอย่างไร ให้พิจารณาจริงๆ พูดก็ตาม พูด ก็พูดเป็นยังไง เราพูดนี่ มันสร้างสรรดี หรือว่าพูดแล้ว ก็กลายเป็นภัยเป็นพิษ กลายเป็นบาปเป็นเวร กลายเป็นความชั่วทุจริต หรือว่าเป็นอกุศลอะไร ต้องพิจารณาจริงๆ พระพุทธเจ้าท่าน มิจฉาวาจา ก็มีตั้ง ๔ อย่าง มิจฉาทางความคิด เราดำริ ดำริไปในกาม ในความใคร่ ความอยากได้มาให้แก่ตน มาบำเรอตน หรือว่าดำริไปในทางพยาบาท อาฆาตเคียดแค้น ดำริไปในทางเบียดเบียนตน เบียดเบียนท่าน นี่เป็นมิจฉา ๓ ทางความคิด ทางการคิด นี่เป็นมรรคองค์ ๘ พระพุทธเจ้าสอน เอาไว้เรียบร้อยหมด แต่ว่าเราไม่ได้เดินทางตามพระพุทธเจ้าสอนเลย

เดี๋ยวนี้ ปฏิบัติธรรม ก็ไปปฏิบัติธรรม หลับหูหลับตา นั่งเพ่งภาวนา สะกดจิตกันไป ตามแบบฤาษี สมัยโบราณ แบบอุทกดาบสบ้าง แบบอาฬารดาบสบ้าง แบบปริพาชก แบบฤาษีต่างๆ ที่เขานั่งหลับหูหลับตากัน มีมากมาย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน พระพุทธเจาท่านสอนมรรคองค์ ๘ เป็นทางอันประเสริฐ ให้มาเข้าใจ เป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วก็ไปมีสติสัมมาวายามะ ไปพยายามมีสติ สังวรตน กำกับกรรม ๓ มีสัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ ให้ประจำชีวิต เรียกว่า สัมมาอาชีวะ ให้ทำจริงๆ แล้วจะสั่งสมลงเป็น สัมมาสมาธิ เมื่อสั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ โดยการลดมิจฉา หรือลดสิ่งที่เป็น อกุศล เป็นสิ่งที่เป็นบาป เป็นสิ่งที่เป็นความชั่ว เป็นสิ่งที่เป็นทุจริต ได้เสมอๆ คุณจะเห็นเลยว่า เมื่อคุณปฏิบัติ ลดสิ่งที่เป็นบาป เป็นชั่ว เป็นอกุศลทุจริตเหล่านี้แล้ว คุณจะเห็นว่า มันดีอย่างไร ่เรียกว่า สัมมาญาณ ยิ่งคุณรู้จิตรู้กิเลส กิเลสความโลภอาการมันเป็น ยังไง เราลดกิเลสความโลภได้ กิเลสความโกรธ ความอาฆาตมาดร้าย มันเป็นอาการยังไง มันอยู่ใจของเรา เราโกรธ เรารู้อาการมัน ให้ได้ แล้วเราลด ลดด้วยการกดข่ม เรียกว่าสมถะก็ได้ หรือจะลดด้วยการพิจารณา เรียกว่าวิปัสสนา ลดมันจริงๆ ลดลงไปได้จริงๆ นั่นแหละ คุณจะเห็นว่า เมื่อลดแล้ว คุณจะสบายใจไหม การเห็นอารมณ์ ที่มันว่างหรือลดจากกิเลสนั้น อารมณ์ที่ลด จากกิเลสเป็นอย่างไรคุณจะเห็นเป็นปัจจัตตัง เห็นของของตนเอง มันสุข มันเบา มันว่าง มันง่าย หรือว่ามันร้อนเร่า ถ้าเรามีอารมณ์โลภ อารมณ์โกรธ มันร้อนเร่านะ คุณจะเห็นเอง คุณจะเข้าใจ คุณจะรู้ด้วยตน เรียกว่าปัจจัตตัง รู้จริงๆ นั่นแหละ เรียกว่าสัมมาญาณะ เกิดญาณรู้ รู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า รู้ความจริง ของกิเลสในจิต อารมณ์ของจิต เราเรียกว่า รู้ปรมัตถ์

นี่เราจะรู้จริงๆเลย แล้วเราจะเห็น จนกระทั่ง คุณจะเชื่อมั่นว่า อ้อ.การลดกิเลส มันเป็นประโยชน์ คุณค่า เป็นความประเสริฐของมนุษย์ คุณเชื่อมั่น คุณปฏิบัติไป คุณก็จะกระทำสูงขึ้น มากขึ้น ได้ดีขึ้น ก็เป็นผู้ประเสริฐขึ้น เป็นอริยะ อริยะแปลว่า ผู้ประเสริฐ ประเสริฐขึ้นจริงๆ แล้วคุณก็จะกระทำได้ จนกระทั่ง ถึงขั้นวิมุติ ถึงขั้นดับความโกรธ ดับความโลภ ในเหตุในปัจจัยใดๆ ก็แล้วแต่ ในเงินในทอง ในลาภในยศ สรรเสริญ หรือนินทา หรือว่าจะในโลกียสุขต่างๆ คุณไปมีความสุขแบบไม่เข้าท่า มีความสุข ในอบายมุข คุณก็มาเลิกดู มาเลิกดู จริงๆเลย ลดละจริงๆ คุณทำของคุณ เป็นของคุณ ทำของคุณ ได้ของคุณ คุณไม่เอาเปรียบเขา ก็เป็นบุญของคุณ คุณไปเอาเปรียบเขา ก็เป็นบาปของคุณ เป็นบาปเป็นบุญ เป็นกัมมานัง ผลัง วิปาโก ท่านว่าอย่างนั้น เป็นผลกรรม เป็นผลวิบากของกรรม ของตนเอง

ผู้ใดที่จะปฏิบัติธรรม มีชีวิตอยู่นี่ อะไรๆไม่สำคัญเท่ากรรม เงินทองไม่สำคัญ ยศศักดิ์ไม่สำคัญ สรรเสริญ นินทาไม่สำคัญหรอก ถ้าจะพูดถึงเรื่องนินทาแล้วนะ ถ้าคุณรู้จักอาตมา พระโพธิรักษ์... เขาด่า ขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์เลย เดรัจฉานโน่นแน่ะ เขาด่า เคยเห็นมั่งไหม เดรัจฉานโพธิรักษ์ พิมพ์ตัวแดงแจ๋เลยนะ หนังสือ พระยาครุฑเขาพิมพ์น่ะ ถ้าลงนินทาแล้ว ไม่มีใครได้รับหนัก เท่าอาตมาหรอก ด่ากันน่าดูเลย แต่อาตมาก็เข้าใจเขา เขาด่าเพราะความเห็นของเขา เขาเอง เขาไม่เชื่ออาตมา เขาไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาพาเป็น เขาเชื่ออย่างของเขา มันคนละทิศกัน มันสวนทางกัน มันคนละกระแส กระแสคนหนึ่งเขาจะไปทางลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขของเขา กระแสของอาตมา มันไปทางลด ลดลาภยศ ไปในทางไม่ติดใจในสรรเสริญโลกียสุขอะไร มันทวนกระแสกัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดา มันก็ต้องเห็นต่างกันเป็นธรรมดา ธรรมดาอ่านว่าธรรมดา มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก อาตมาไม่ได้โกรธเคืองเขา แล้วก็ไม่ได้เสียอกเสียใจ อะไร เพราะว่าเราเอง เราก็ถือว่า เราไม่เก่ง ที่เราทำให้เขาเข้าใจไม่ได้ ก็เป็นความไม่เก่งของเรา เราก็มาปฏิบัติที่เรา มาปรับตัวที่เรา เราจะไปโทษเขาไม่ได้หรอก เพราะว่าเขาเอง เขาก็ต้องมีความคิด ความเห็นของเขา อย่างของเขา อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ในเรื่องของชีวิตแล้วละก็ ถ้าผู้ใดเข้าใจว่า ชีวิตคืออะไร อาตมาขอบอกได้เลยว่า ชีวิตคือกรรม ๓ ชีวิตมนุษย์คือกรรม ๓ ถ้าคุณหมดกรรม ๓ คุณก็หมดชีวิต คุณก่อเกียรตินี่หมดแล้ว กายกรรมก็ไม่มีแล้ว วจีกรรมก็ไม่มี นี่ไปอ้าปาก ไปจับปากอ้าดูซิ ไม่มีเสียง ไม่มีจิตวิญญาณ ก็ไม่มี คิดนึกอะไรแล้ว หมดกรรม ๓ แล้วหมดชีวิต เพราะฉะนั้น ผู้มีชีวิต คือผู้มี กรรม ๓ เข้าใจให้ดี ชีวิตคืออะไร ชีวิต คือ กรรม ๓ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ผู้หมดกรรม ๓ คือผู้หมดชีวิต

เพราะฉะนั้น ผู้จะมีชีวิตที่ดีคืออะไร ผู้มีชีวิตที่ดี คือ ผู้ทำให้กายกรรมของเราดี กายกรรมของเรา เป็นกุศล กายกรรมของเราเป็นสุจริต วจีกรรมของเราเช่นเดียวกัน มโนกรรมของเราเช่นเดียวกัน ให้เป็นกุศล ให้เป็นสุจริต นั่นคือชีวิตที่ดี ฟังง่ายนะ แล้วใครคงไม่เถียงอาตมาแน่ หรือใครเถียง ยกมือขึ้นซิ มีไหม อาตมาพูดผิด เถียงเลย ไม่ผิด แต่เราไม่เคยศึกษาสัจธรรม แล้วไปคิดอะไรเฟ้อๆ ชีวิตคือละคร ชีวิตคืออะไรต่ออะไร อู๊ว์! ปราชญ์ นักปราชญ์ นักอะไรต่ออะไร ตั้งกันมากมาย ชีวิตคือนั่นคือนี่ คือโอ๊ย! สารพัด สาระเพ เขาตั้งสุภาษิตหรือทุภาษิตก็ตาม ตั้งขึ้นมาเยอะแยะ แต่เสร็จแล้ว ก็ปฏิบัติยาก ปฏิบัติไม่ได้ ชีวิตคือละคร เอ้า!ก็เล่นละครเท่านั้นเอง จะไปได้เรื่อง อะไรล่ะ มันก็ไม่เข้าท่า ชีวิตนี่น่ะ เป็นเรื่องจริง คุณจะเจ็บจะปวดก็จริง คุณจะเลิกเจ็บได้ เลิกปวดได้ ก็จริง จริงน่ะ ไม่ต้องมีทุกข์ ไม่ต้องมีโศก ไม่ต้องมีโสก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส อะไรที่เป็น ปกิณกทุกข์ ไม่ต้องมีได้น่ะ ไม่ต้องมีได้จริงๆ หรือแม้แต่ที่สุดชีวิตไม่ต้องมีกิเลส ไม่ต้องมีสันตาปทุกข์ ต้องมีราคะเป็นกองไฟ ต้องมีโทสะเป็นกองไฟ ต้องมีโมหะเป็นกองไฟอยู่ในใจเรา ไม่มีได้ ถ้าเผื่อว่าไม่จริง หลักการของพระพุทธเจ้ามาสอนเราไม่จริง พระพุทธเจ้าก็โกหกเรา พระพุทธเจ้า ท่านสอนเราว่า เมื่อปฏิบัติตนไม่ให้มีไฟราคะ ไม่มีไฟโทสะ ไม่มีไฟโมหะ ดับได้หมดเลย สันตาปทุกข์นี้ ดับได้สิ้นซาก เป็นพระอรหันต์เจ้า ถ้าปฏิบัติไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็มาหลอกเรา ตั้งแต่ ๒,๕๐๐ กว่าปี แล้วน่ะซิ อาตมาว่าน่ามาลองนะ เอาชีวิตของเรานี้ไปลอง ลองไปแย่งลาภ ลองไปแย่งยศ สร้างบาป สร้างเวรให้แก่ตัวเอง ก่อกรรม เป็นกัมมทายาโท เป็นมรดกของกรรม เราใช้ชีวิตอย่างนั้น มากันคนละมากๆ ตั้งแต่เกิดมาแทบทั้งนั้น อาตมาก็เคยหลงมาก่อน เกิดมาก็หลง อย่างโลกๆเขาพาไป แย่งลาภ แย่งยศ แย่งสรรเสริญ หลงโลกียสุขอยู่อย่างที่เขา เป็นกัน อาตมาก็เคยเป็นมาเหมือนกัน แต่มาได้สำนึก มาปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ถึงได้เห็น ความจริงว่า โอ้! สิ่งเหล่านี้เหมือนฟองคลื่น เหมือนพยับแดด มันไม่จริงไม่จังเลย มันเป็นเรื่องลวง

มาทำกรรม ๓ ให้ดี มาสร้างสิ่งที่ประเสริฐนี้ให้แก่ชีวิต แล้วมันจะเป็นกัมมานัง ผลัง วิปาโก มันจะเป็นผลวิบาก กรรมเป็นผลวิบากที่เราจะได้รับของเรา เป็นกัมมทายาโท เป็นมรดกแท้ คุณก่อเกียรติตายไปแล้ว ไม่มีอะไรได้เลย เห็นไหม จะได้ก็คือวิบากกรรม ถ้าทำดีเท่าไหร่ก็ได้ไปเท่านั้น ทำชั่วเท่าไหร่ก็ได้ไปเท่านั้น ในชีวิตตั้งแต่เกิด จนกระทั่งตาย อายุกี่ขวบก็ตาม ตายกี่ขวบก็ตาม ในช่วงที่มีชีวิตนั่น เป็นโอกาสที่เราจะปรับกรรม ๓ ของเรา ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ เป็นโอกาสจริงๆนะ

ถ้าผู้ใดไม่สำนึก แล้วปล่อยปละละเลย ไม่ว่าจะเป็นตัวเล็กตัวน้อย ไปจนกระทั่ง คนที่แก่ๆ อายุยิ่ง มากเข้า ๆ แล้วใกล้ๆ กองฟอนเข้าทุกวันๆแล้ว ยิ่งประมาท ยิ่งระเริง ยิ่งไม่เอาถ่าน ไม่สำนึกในกรรม ๓ อย่าหาว่าอาตมาไม่เตือน อย่าหาว่าไม่เตือนนะ ยิ่งมาพบกันหน้ากองฟอน มาพบกันหน้าศพ มีผู้ตายเป็นตัวอย่างแล้ว ถ้าเราไม่สำนึก เมื่อนี้แล้วละก็ ยังระเริงอยู่ แล้วละก็ ไม่มีทางช่วยได้ โลกมันลวงเรามากมาย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า คนเราเกิดมา สังสารวัฏนี่ยาวนานมาก ถ้าจะเอาน้ำตาของแต่ละคน ที่ได้เสียน้ำตา มาแต่ละชาติ แต่ละชาติ มารวมกันแล้ว เท่ากับ ๔ มหาสมุทร ฟังแล้วไม่น่าเชื่อนะ แต่คุณว่า พระพุทธเจ้าจะตรัสเล่นหรือ เราไม่รู้ที่ต้น แล้วเราไม่รู้ที่ปลายของสังสารวัฏ เราไม่รู้นะ สังสารวัฏ นี้มากมายยาวนาน จนนับไม่ถ้วน เราไม่รู้ที่ต้น โลกเกิดเมื่อไหร่ จักรวาลนี้เกิดเมื่อไหร่ เราเกิดเป็นสัตว์เมื่อไหร่ เราเกิดเป็นคนเมื่อไหร่ เราเกิดกันหมุนเวียนเท่าไหร่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสอีก ถ้าจะเอากระดูกของแต่ละคน ตั้งแต่เราเป็นคนเป็นสัตว์อะไรมา เอากระดูกของแต่ละชาติ แต่ละชาติของเรา มากองรวมกัน เอ้า! ชาตินี้ได้กระดูกมาแค่นี้ ตอนนี้เกิดเป็นหมา ได้กระดูก กองน้อยหนึ่ง ตอนนี้เกิดเป็นช้าง ได้กระดูกกองโตหน่อย ตอนนี้เกิดเป็นคน ก็ได้กระดูกกองเท่านี้ ตอนนี้เกิดเป็นหมูหมากาไก่อะไร ก็เอามารวมๆกันแต่ละชาติ กระดูกของแต่ละคน จะกองโตเท่า ภูเขาเวปุลบรรพต นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ก็ตามใจ

อาตมาเป็น ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า อาตมาเชื่อ และอาตมาก็ปฏิบัติตามแล้ว อาตมาปฏิบัติตามแล้ว จึงได้พบ ทางออกที่ดี จึงได้เห็นว่ามันเป็น วูปสโมสุข เป็นความสุขอันประเสริฐ เป็นความสุขวิเศษ ที่สุขสงบ จากกิเลส แล้วมันสบาย มันเป็นประโยชน์คุณค่าต่อมนุษย์ มันไม่ไปเป็นโทษต่อเราเอง ต่อมนุษย์อื่นเลย มันไม่เป็นจริงๆ มันจะไม่เห็นแก่ตัว มันจะเห็นว่า เออ! ชีวิตนี้มันจะมีค่า ก็อยู่ที่การงาน อยู่ที่การกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ ที่เป็นกายกรรมก็สร้างสรร วจีกรรมก็ สร้างสรร มโนก็สร้างสรร เมื่อสร้างสรรขึ้นมาในสิ่งที่ควรสร้าง มันก็เป็นประโยชน์ ถ้าเราทำงาน เราทำนา เราก็ได้ข้าวขึ้นมา เราทำอุตสาหกรรม เราก็ได้สิ่งผลิตออกมา เราทำงานเช็ดปัดกวาด ถู เราก็ได้ความสะอาด เราทำอะไร มันก็เป็นประโยชน์คุณค่าขึ้นมา แล้วเราก็ได้อาศัย มนุษย์เพื่อนฝูง ก็ได้อาศัย ทำขึ้นมาแล้ว ถ้าเราแจกจ่ายกัน เกื้อกูลกัน ก็เป็นบุญเป็นกุศล ของใครทำของคนนั้น แย่งกันไม่ได้ แบ่งกันไม่ได้ ปล้นกันไม่ได้ โกงกันไม่ได้ ไม่ได้ ใครทำไปเป็นการละโลภ บริจาคให้ใคร ก็เป็นบุญของตน อาตมาก็จำเป็นต้องกล่าวว่า ไอ้เรื่องที่เราเคยหลงผิดว่า จะต้องอุทิศ ส่วนกุศล แบ่งบุญ แบ่งบาปไปให้กันนั่น เป็นความหลงผิดมานานแล้ว ก็ขอบอกสู่กันฟัง บุญมันแบ่งไม่ได้ บาปแบ่งไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนเรา กัมมัสสโกมหิ กรรมเป็นของๆตน ก่อกรรมบาปก็เป็นของตน ก่อกรรมบุญ ก็เป็นของตน แบ่งกันไม่ได้ ถ้าแบ่งได้ ก็คงจะพอเชื่อนะ ว่าอาตมามีบุญ มีกุศลบ้างอยู่นะ นี่ยังไม่ตายจากกันนะ เอ้า! เอาไปเลยแบ่งเอาไป แบ่งเอาไปได้ไหม ได้ไหม อาตมาทำดี ดีนั้นก็เป็นของอาตมา เป็นพฤติกรรมของอาตมา ติดตัวอาตมา อาตมาทำเมื่อไหร่ มันก็เป็นมรดกของอาตมา คุณทำก็เป็นของคุณ ของอาตมาก็เป็นของอาตมา กัมมัสสโกมหิ กรรมเป็นของๆตน แล้วอาตมาก็รับมรดกของกรรมของอาตมา

เพราะฉะนั้น มาทำเป็นแบ่งบุญ แบ่งกุศลไปให้ผู้ตาย ก็ขนาดเป็นๆ เห็นหน้ากัน แบ่งให้กัน มันยัง ไม่ได้เลย กรรมน่ะ แล้วมันก็ค้านแย้งกับพระพุทธเจ้าสอนด้วย กัมมัสสโกมหิ กรรมเป็นของๆตน กัมมทายาโท ตนนั่นแหละรับมรดกของกรรมของตน ไม่ใช่ไปเอาของคนอื่นมาได้ แบ่งไม่ได้ แบ่งบุญ แบ่งบาปไม่ได้ อย่าไปอุตริ อุตรินี่เป็นภาษาไม่ค่อยดีหรอกน่ะ อย่าไปอุตริ มันแบ่งไม่ได้ แบ่งบุญ แบ่งบาป มันเป็นเรื่องที่เหลวใหลมานานแล้ว

ถ้าเผื่อว่าเราจะทำ เพื่อที่จะเป็นการแสดงพฤติกรรมว่า เรามีกตัญญูกตเวที ระลึกถึงผู้ตาย ระลึกถึง พ่อถึงแม่ จะระลึกถึงด้วยวิธีการอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นพิธีกรรมพิธีการอะไรบ้าง เพื่อแสดงถึง ความกตัญญูกตเวที นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่จะระลึกถึงพ่อแม่ ผู้ตาย หรือ ผู้ที่ควรเคารพนับถือ เป็นผู้ที่มีคุณค่าประโยชน์ต่อสังคมมนุษยชาติ เช่นพระพุทธเจ้า พระอริยสาวก หรือว่า ผู้ที่ทำคุณงามความดีให้แก่ประเทศชาติ สังคม เราจะระลึกถึง เราจะทำพิธี มาสรรเสริญคุณ มีการประณามคาถา มีการสวดร้องสรรเสริญ ยกย่องอะไรกัน ไม่ใช่เรื่องความผิด และไม่ใช่เรื่อง ที่จะต้องไป แบ่งบาป แบ่งบุญให้แก่กันและกัน แต่เป็นวิธีการที่จะต้องชักจูง นำพากันว่า เราจะต้อง ส่งเสริมสรรเสริญ ผู้ที่ทำคุณค่าที่ดี แม้ตายไปแล้วเราต้องทำ และเป็นวิธีการ เรียกว่า ยิฎฐัง ยิฏฐัง พิธีการ เป็นจารีตประเพณี เป็นยัญพิธีที่ทำแล้ว เกิดคุณค่าต่อสังคมก็จงทำ ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่ใช่เรื่อง ที่เหลวใหลอะไร ดีอย่างนั้น ดี ก็จงทำ แต่ไม่ใช่เรื่องแบ่งบาปแบ่งบุญ ยิ่งมาเอาสตางค์ ไปซื้อกงเต็กมา แล้วก็เอามาเผา ดีไม่ดีกงเต็กนี่ทำเป็นตัวมนุษย์ด้วยนะ เอามาเผาไปด้วย วุ๊ย.หลอก ไม่รู้กี่ชั้น ไอ้ตัวตุ๊กตุ่น ตุ๊กตา ที่ทำนั่น มันก็ไม่ใช่คนอยู่แล้ว นี่แถมยังมาเผาอีก ถ้าเป็นคนจริงๆ เผามันก็ไม่ไปแล้ว มันก็ตายอยู่ตรงนั้นแหละ นี่เป็นกระดาษแล้วเผาอีก แล้วบอกว่าไป แหม! อาตมาก็เล่าแล้ว มันก็อดขำไม่ได้ล่ะนะ คือมันเรื่องเหลวใหลกันอย่างนี้ ทำกันจนกระทั่ง เสียเวล่ำ เวลา แล้วก็พาให้ความเข้าใจเขว เรื่องนี้อาตมาก็ขอแวะอธิบายบ้างเล็กน้อย

เอาละก็ขอสรุปนะ ว่าชีวิตของคนเรานั้นคือ กรรม ๓ ชีวิตของคนคือ กรรม ๓ จำไว้ให้มั่นเลย และคุณจะมีกำไร หรือมีขาดทุนให้แก่ชีวิตนั้น คุณจะไปโลภลาภมามากๆ กอบโกย เอาเปรียบ เอารัดมา ยิ่งขาดทุน อย่าหลงผิดเป็นอันขาด เราจะต้องมาพยายามทำอย่างไรให้ชีวิตของเรา เป็นคนที่ไม่สะสม กอบโกย ถ้ายิ่งพูดกันชัดๆแล้ว ทำอย่างไรเราจะมีชีวิต จนได้เก่งที่สุด เป็นความจน ที่ยิ่งใหญ่ จนอย่างไม่อด จนอย่างไม่อยาก จนอย่างไม่สิ้นไร้ไม้ตอกอะไร จนอย่างมีเกียรติ จนอย่าง มีชีวิตอยู่ได้ อยู่ในสังคม คุณจะจนได้อย่างไร

ไม่ใช่ว่าคุณจะรวยได้อย่างไร แล้วอยู่ได้ในสังคม การรวยแล้วอยู่ได้ในสังคมนั้น มันเป็นของไม่ยาก แต่การจน แล้วอยู่ได้ในสังคมนั้น เป็นของยาก ผู้ทำได้ คือ อริยะ หรือผู้ประเสริฐเท่านั้น คนที่อยู่อย่างจนได้ แล้วอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นผู้ประเสริฐ คุณอาจจะแปร่งหู ที่มาฟังธรรม อาตมาเทศน์แล้ว เอ๊ะ! พระองค์นี้นี่เทศน์ยังไงชอบกล ไม่เทศน์เหมือนคนอื่นเขาเทศน์น่ะ เอาละ คุณฟังไป ไปไตร่ตรองดู

คนที่มาปฏิบัติธรรมกับอาตมา จะเห็นได้นี่จนลงจนลง บางคนก็ไม่จนเท่าไหร่หรอก นี่ทำเป็นแต่งตัว มอซอมายังงี้ มีเงินเป็นล้านก็ยังมี แต่ยังแกะไม่ออก อาตมากำลังแกะๆอยู่ มีบางคน ก็มีเป็นล้าน บางคนก็มีเป็นแสนอยู่ ยังน่ะ ทำเป็นตัวมอซอนี่ เขาเข้าใจแล้วว่า มาเป็นคนจนนั่นดี เป็นคนรวยนั้น ถ้าคุณรวย คุณก็แจกจ่ายเจือจานไป แจกไปแล้วเป็นยังไง แจกไปมันก็หมดลง หมดลง เดี๋ยวมันก็จน มันไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไรตรงไหนนี่ แต่ถ้าคุณรวย แล้วคุณยิ่งไปออกดอกออกเบี้ยอะไร ยิ่งไปกอบโกย ยิ่งไปหาทางกอบโกยมาอีก มันก็รวยน่ะซี ยิ่งไปเอาเปรียบเอารัดเขามา ด้วยวิธีการ เชิงกลของสังคม เชิงกล ฉ้อฉล ฉ้อฉลของแบบทุนนิยมนี่ คุณยิ่งไปหามา มันก็ยิ่งแย่น่ะ

เอาละอาตมาเน้นได้ เท่าที่เวลามี เน้นเรื่องที่มันสำคัญๆเท่าที่มันมีโอกาส ผู้ที่เคยฟังเทศน์ของ อาตมามาแล้ว ก็เคยฟังมาฉ่ำหูแล้วล่ะ เพราะว่าอาตมาเทศน์ในแนวเดียว เทศน์ในแนวที่ ให้เป็นไป เพื่อความละหน่าย คลาย ไม่ได้เทศน์ให้เป็นไปเพื่อความสั่งสมกองกิเลส หรือว่าเป็นการโลภ โมโทสัน ให้แก่ตน อาตมาไม่ได้เทศน์อย่างนั้นมาแต่ไหนๆ เทศน์มีแต่ เทศน์เพื่อให้ละหน่ายคลาย เพื่อให้ปลดปลง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกจากตัวจากตนน่ะ ทำกรรม ๓ ของเราให้ดี แล้วคุณจะมีอันนี้เป็นมรดก เป็นวิบากของตน อันอื่นไม่มี ขอยืนยัน คุณไม่เชื่อก็ลองไปคิดอีก ไปคิดอีก ถ้าแจ้งสว่างเมื่อไหร่ ก็รีบลงมือปฏิบัติ เวลาไม่นาน คนเราอายุร้อยปีไม่นานเลย ไม่นานจริงๆ อาตมาก็นี่ป๊อบแป๊บ ป๊อบแป๊บ ยังหนุ่มอยู่หลัดๆเลย มาถึงวันนี้ เขาเรียกว่า แก่แล้วด้วย บางคนเขาเรียกว่าแก่ แต่อาตมาว่า อาตมายังไม่แก่นะ แต่หลายคนเขาก็ว่า อาตมาแก่แล้ว อาตมาก็บอกยัง ยังไม่แก่ จริงๆอาตมายังไม่แก่ แต่อายุมันจะเกินเลข ๕ ไปแล้ว ก็ช่างมัน นั่นมันเป็น เรื่องตัวเลขน่ะ ไม่เกี่ยว ไม่เกี่ยว มันไงนะ แป๊บๆดูเหมือนไม่นานเลย อาตมา โอ้โห! ยังจีบสาวอยู่ ไม่ช้าไม่นานนี้เอง โอ! มาถึงวันนี้แล้ว แหม! มันรู้สึกว่า มันไวเหลือเกินน่ะ

ไอ้เรื่องจีบสาว ก็เป็นเรื่องเลอะเทอะ อาตมาไม่รู้ ก็ตามสังคมเขา โชคดีที่รอดปากเหยี่ยวปากกา มาได้ จนป่านนี้ ยังไม่โชคร้ายเหมือนหลายคน ที่ต้องมีห่วงผูกคอ มีห่วงผูกแขนผูกขา อะไรกันไปหมดแล้ว ก็เป็นเรื่องของผู้ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ผู้รู้ก็หาทางออกที่ดีน่ะ

ก่อนจะจบก็ขอย้ำยืนยันอีกที ในการเทศน์วันนี้ ตามโอกาสตามเวลาที่พอมี ว่าคุณอย่างประมาทเลย ชีวิต คือ กรรม ๓ ถ้าคุณไม่มีสติ สัมปชัญญะปัญญา ไม่รู้ว่าเราจะปฏิบัติกับกรรม ๓ ของเราอย่างไร ผู้นั้นล้มเหลว และผู้นั้นจะไม่มีโอกาสได้บุญที่แท้จริง ขอยืนยัน ถ้าผู้ใดไม่รู้จักกรรม ๓ ไม่รู้จักกุศล ที่แท้ กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา ไม่รู้จักอันใดเป็นกุศล อันใดเป็นอกุศลที่แท้ ผู้นั้นจะไม่ได้สังวร กรรม ๓ ของเรา กรรม ๓ เป็นอาหารของนิวรณ์ ๕ น่ะ พระพุทธเจ้าสอนเราอย่างนั้น

ถ้าผู้ใดสร้างกรรม ๓ ไม่ดี ก็เท่ากับสร้างนิวรณ์ ๕ หรือให้อาหารแก่นิวรณ์ ๕ ให้แก่ตัวเอง ยิ่งมีนิวรณ์ ๕ มีกาม มีพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉามากเท่าใดๆ ก็เท่ากับเราเอง ยิ่งมีอวิชชา มากเท่านั้น เพราะนิวรณ์ ๕ เป็นอาหารของอวิชชา

ยิ่งปฏิบัติไม่ถูก ยิ่งเป็นปุถุชน ยิ่งมีกิเลสหนาลงไปทุกวันๆๆ ทุกวัน แล้วจะมีบุญได้อย่างไร อย่านึกว่า คนมีเงินมีทองล้นฟ้า คนมียศ มีศักดิ์ใหญ่ๆนั้น เป็นผู้มีบุญ อย่านึกอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนมียศศักดิ์ คนมีฐานะยศศักดิ์จะไม่ใช่บุญ จะไม่ใช่บารมี ก็เป็นบุญบารมีที่มันจะเป็น ไปตามกรรม ขอให้คำนึงถึง การปฏิบัติกรรม ๓ นี้ให้จริง แล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นผล เป็นวิบากของคนที่เป็นจริง ถ้าเราไม่มี เราไม่ต้องไปได้ อย่าไปอยากได้ ถ้าเรามีบุญมีบารมีจริง ไม่อยากได้มันก็ต้องได้ ขอยืนยัน

ถ้าผู้ใดได้โดยอยาก ผู้นั้นได้ไม่จริง ถ้าผู้ใดได้โดยไม่อยาก ขอให้ปฏิบัติกรรม ๓ ให้ดี แล้วได้โดย ไม่อยาก จะมีลาภก็โดยไม่ต้องอยาก จะมียศก็โดยไม่ต้องอยาก จะมีสรรเสริญก็โดย ไม่ต้องอยาก นั้นคือความจริงเกิดตามกรรม แต่ถ้าผู้ใดไปได้โดยอยากนั้นเกิดตามกิเลส ได้ลาภมาด้วยอยากก็กิเลส ได้ยศมาด้วยอยากก็กิเลส ได้สรรเสริญมาด้วยอยากก็กิเลส ได้โลกียสุข  มาด้วยอยากก็กิเลส

อาตมาก็ขอสรุปได้ตามที่ได้เน้นความสำคัญนี้แล้วดังนี้ ก็ขอจบ การแสดงธรรมไว้ แต่เพียงเท่านี้ เอวัง


แสดงธรรม งานฌาปนกิจศพ นาย ก่อเกียรติ ทัพพวสุ ที่วัดบางเตย

ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง
ตรวจทาน ๑ โดย สิกขมาต ปราณี
พิมพ์โดย อนงค์ศรี เบญจโศภิษฐ์ ๑๕ เม.ย.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๒ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๓๐ เม.ย.๓๔
FILE:1389.TAP