เป็นอินทรีย์พละ เป็นวัฒนธรรม
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๔
ณ ศาลาเมตตาธรรม อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

หน้า ๒ ต่อจากหน้า ๑


อาตมาพูดอย่างนี้ หลายคนอาจจะงงๆ พูดอะไรนี่ ไม่เห็นเข้าใจเลย อาตมาอาจจะอยู่ในภพ ภพของ อาตมามากหน่อย พวกคุณ ใครที่พอตามภพของอาตมาได้ ก็ไปก็แล้วกัน ฟังดูนะ จะอธิบาย ประกอบ อีกนิดหนึ่งให้ฟังว่า เช่น เราไปที่บุรีรัมย์ แล้วเราจะไปนี่นะ หัวหน้าศาลไม่รู้ตัวหรอก ว่าเราจะมีรูปแบบอย่างไร เราจะมีอะไรเกิดขึ้น พวกชาวอโศกจะไปมีอะไร เขาก็ยังไม่นึกว่า จะมีอะไรมาก พอไปจริงๆ เอ๊! ไม่ได้แฮะ จำเป็นต้องตามอาตมาเข้าไปหาในห้อง ห้องหัวหน้าศาลนะ เอ้า! ตามเข้าไปปุ๊บ เราเข้าไปด้วยกับคุณทองใบ ไปก็สุดท้ายก็ต้องยอม โทรศัพท์ไปถึงหน่วยกลาง ศาลที่ในกรุงเทพฯ ขออนุญาตให้ตั้งไมโครโฟน ต่อเสียงออกมา เพราะองค์ประกอบ มันบอกหมดนี่ คนนั่งทาง โอ้โฮ! ระเบียงโน่นนี่อะไร เยอะแยะ มันเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เขาต้องจำนน เอ้า! ต้องขอ ขอแล้วก็ให้ ต่อให้อะไรต่ออะไร อย่างนี้เป็นต้น เ

สร็จแล้วบทบาทของพวกเราน่ะ ทำให้เขา ลำบากใจไหม เขาไม่ลำบาก เขากลับไม่ลำบากใจ เขากลับรู้สึกว่า เอ๊! คนพวกนี้นี่ ไม่ใช่คนร้าย ไม่ใช่คนมารวน ไม่ใช่คนมาหาเรื่อง ไม่ใช่คนมาทำ สิ่งที่ชั่ว ลีลา พวกนี้ลึกซึ้งนะ คนพวกนี้สงบ และคนพวกนี้ มีความจริงใจ คนพวกนี้มีอะไรที่เขา มามีศรัทธานะ เอ๊! เขาศรัทธาอะไร อาตมา จะพยายาม จะวิเคราะห์เข้าไปหาถึงจิตให้ฟังนะ แล้วหัวหน้าศาลเขาจะคิดยังไง ที่อาตมาพูดนี่ ไม่ใช่เข้าข้างตัวนะ คุณฟังดูดีๆใช่ไหม คนในศาล เขาบอก เออ! คนพวกนี้ เขาก็ต้องรู้แล้ว เขาก็ต้องมี ปฏิภาณรู้แล้วว่า คนพวกนี้ศรัทธาอาตมา คนพวกนี้มาทำไม มาทำอะไร มันไม่เห็นจะน่ามีอะไร แต่ทำไม ต้องเสียเวลา เสียแรงงาน เสียทุนรอน มาทำไม น้ำหนักพวกนี้ มีน้ำหนักทั้งนั้นแหละ สิ่งที่อาตมา กำลังพูดถึงนี่ มีน้ำหนักทั้งนั้นแหละ ทำให้คนเขาคิด ทำให้คนเขาเห็น

เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ มีอิทธิพลต่อสังคม มีบทบาทต่อสังคม เขาก็รับไว้แล้ว เขาจะเอาไปพูด เขาจะเอาไปแสดงออกเมื่อไหร่ ฝากไว้ เราไม่ต้องไปกำหนด มันจะเป็นเอง ถึงเวลาวาระ มันก็จะต้องไอ้โน่นไอ้นี่ อะไรเป็นอะไรมี นี่ หนึ่ง แล้วมันไม่ใช่คนเดียว ไม่ใช่หัวหน้าศาลคนเดียว ไม่ใช่ผู้พิพากษาคนเดียว ไม่ใช่คนนี้คนนั้นคนเดียว เกิดการดูแคลน แต่เสร็จแล้วองค์ประกอบ หลายๆอย่าง ทำให้ลดความดูแคลน เกิดลดความดูแคลนนี้ ไม่ใช่ว่าอาตมาคนเดียว พวกคุณ ช่วยด้วย จึงเกิดความลดความดูแคลน เกิดแปรสภาพ เปลี่ยนแปลงความเห็น เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ เคยเข้าใจ ว่าชาวอโศกเป็นอย่างนี้ อาตมาเป็นอย่างนี้ สมณะพวกนี้ เป็นอย่างนี้ แต่พอสัมผัสแล้ว จากพวกเรานี่ เป็นองค์ประกอบร่วมกันทุกอย่าง เหตุการณ์ทุกอย่าง มันเป็นน้ำหนักที่ทำให้เขารู้สึก ทำให้เขาเข้าใจ ทำให้เขาเห็นแล้ว เขาสัมผัสแล้วดีขึ้นได้ไหม ดีขึ้น จะมีน้ำหนัก จึงทำให้เกิด ความเห็นว่า ดีขึ้นได้เท่าใด อาตมาคนเดียวทำไม่ได้หรอก เข้าใจไหม ฟังเข้าใจขึ้นไหม

อาตมาคนเดียว ทำไม่ได้หรอก ทำไม่ได้ แล้วอาตมาว่า ใครๆทั้งหลายแหล่นี่ เขาไม่รู้ตัว ประชาชน ในโคราชนี่ก็ดี แม้แต่ที่ศาล รู้ว่าเราจะไป รู้ว่าอาตมาจะไปขึ้นศาล และได้ข่าวได้คราวมาแล้ว พวกนี้มา มันมาเป็นทีมนะ มาเป็นคณะนะ เขาคงจะต้องรู้ข่าวรู้คราวแล้ว เขาก็ยังไม่รู้ว่า มันจะมา เป็นคณะอย่างไร ของจริงคณะมันมา เขาว่าอย่างโน้นอย่างนี้ หรือบางคน อาจจะยังไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่เลย ไปมัวแต่ทำงานส่วนของตน ไอ้นี่เรื่องเล็ก ไม่ได้ฟังกระแส นี้ฉันไม่ชอบล่ะ ฉันไม่เกี่ยวล่ะ ฉันไปสนใจการเมืองโน่น เอาเวลาวาระไปสนใจการเมือง ไปสนใจเบอร์หวย ไปสนใจไอ้อะไร ที่ตัวเองชอบไปโน่น ไอ้นี่ฮื้อ! ไม่รู้เรื่อง แต่เหตุการณ์นี้ไปถึง ไปเกิดกระทบสัมผัสขึ้น เขาก็จะต้องรับรู้ละ เขาจะเป็นตัวบทบาท จะเป็นตัวสำคัญของเรื่องหรือไม่ก็ตาม เหตุการณ์วันนี้ ต้องรู้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ มันไม่ใช่คนๆเดียว มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าอาตมาไปศาลคนเดียว แล้วใครไม่ใส่ใจนะ มันก็ไม่ใส่ใจ อาตมามาก็มาขึ้นศาลคนเดียว เสร็จแล้วก็มาให้การ ให้อะไรไป เรียบร้อย เสร็จก็จบ แต่นี่ อาตมามา พวกคุณก็มา อะไรก็มา อาตมาว่า ให้ตาเกือบบอดก็เห็น ตาเกือบบอดก็เห็น หูเกือบหนวกก็ได้ยิน จริงๆ เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็ก มันไม่ใช่ ขบวนเล็ก มันไม่ใช่ อะไรเล็กๆ มันไม่ใช่สิ่งที่น้อยๆ แล้วในรายละเอียด องค์ประกอบต่างๆพวกนี้ อาตมาเล่าไปแล้ว ขยายความไปแล้ว วิเคราะห์ให้ฟังไปแล้ว มันไม่มีตื้นๆหรอก มันเนียนใน มันเป็นวัฒนธรรมอันหนึ่ง เข้ามาเปิดเผย เข้ามาเผยแพร่

คำว่าวัฒนธรรมนี่ มันละเอียดนะ วัฒนธรรมของชาวอโศกเราทุกวันนี้นี่ มีวัฒนธรรม เป็นวัฒนธรรม เนียน แล้วก็ลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ เป็นอย่างที่พวกเรา เรามีสุขอย่างนี้ คนที่อยู่ประเทศอินเดีย เขามีความสุข ที่เขาได้ลงอาบน้ำแม่น้ำคงคา ทั้งๆที่แม่น้ำนั่น โอ้โฮ! บางที คนที่เคยไปประสบบอก มันลงไปอาบได้ยังไง แม่น้ำคงคานี้ มันคงจะสกปรกกว่าเจ้าพระยาน่ะนะ ใครเคยไปมาแล้วว่า ยังไง แม่น้ำคงคานี่ มันสะอาดกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาไหม สกปรกกว่าไหม สกปรกกว่าแม่น้ำเจ้าพระยานะ แล้วเขาชื่นใจ นั่นคือวัฒนธรรมของเขา แล้วเราจะไปบอกว่า แม่น้ำคงคานี้ ทำให้คนตายได้มากกว่า ไม่จริงอีกแหละ เพราะคนอินเดีย เขาขนาด เขากินกันเลย เขาก็ยังไม่ตายเลย อาตมาว่าเจ้าพระยานี่ กินเข้าไป จะตายเอา ทั้งที่ว่าไม่สกปรกเท่านี้ สิ่งพวกนี้ซับซ้อนอีกหลายชั้น เขาเคยเอาแม่น้ำคงคา เอาไปวิเคราะห์วิจัย เชื้อโรคนี่ โอ้โฮ! มหาศาลเลย จนกระทั่งเชื้อโรค มันฆ่าตัวมันเองมั้ง มันมาก จนคนไม่เป็นภัย ไม่รู้อาตมาก็รับฟังอันนี้มาด้วย อย่างนี้เป็นต้น เอ้า! เราวิเคราะห์เรื่องนี้ ประเดี๋ยว มันจะไปกันใหญ่ มันจะยาว ยืดยาด

อาตมากำลังจะบอกว่า วัฒนธรรมของคนนี่ เขาก็รับอย่างนั้น เขาก็เป็นสุข เขาเป็นสุขของเขา อโศกเราก็เป็นสุขของเรา และอยู่อย่างของเรานี่แหละ อะไรที่เรากำลังพากเพียรอยู่ ฝืนอยู่ก็ อาจจะฝืนไป มันอาจจะไม่สุขนัก แต่ก็รู้นะว่า ถ้าเราปฏิบัติได้แล้ว ลดละ ปล่อย วางได้แล้ว เราจะเป็นสุข เป็นวูปสโมสุขด้วย เพราะลด ละ ปล่อยวาง เราก็บำเพ็ญไปเรื่อยๆ จนลดละ ปล่อยวาง ได้อย่างจริง เป็นสุขอย่างจริง เป็นวูปสโมสุขอย่างจริง เป็นอินทรีย์พละเห็นจริง คุณก็จะได้ฐานอันนี้ ไปเรื่อยๆ แล้วก็มันซ้อน มันเสริมไปเรื่อยๆๆๆๆ เป็นวัฒนธรรม เป็น CONCEPT เป็นผลรวม เป็นค่าที่ สำเร็จรูป ลงไปให้แก่เรา เป็นค่าที่สำเร็จรูปที่เราเอง เราพอใจ พอใจๆๆไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเดิน ทิศทาง ลึกขึ้นไปเรื่อยๆ อาตมาจะพาพวกเราไป อย่างชาวอโศก จะมีวัฒนธรรม อย่างชาวอโศก โดยอาตมาเอาหลักแกนของ พระพุทธเจ้าเป็นแกน มีสันโดษ มีมักน้อย มีสุภโร สุโปสะ มีอัปปิจฉะ มีสันตุฏฐิ มีสัลเลข มีธูตะ มีปาสาทิกะ มีอัปปัจจยะ มีวิริยารัมภะ เป็นคนมีวรรณะ ๙ เป็นคนเลี้ยงง่าย ยังเหลือแต่ใส่รางให้กินเท่านั้นแหละ แล้วคุณก็สบาย

เอ้า! อาตมา บอกจริงๆนะ พวกคุณนี่ ปล่อยให้ไปกินในงานพิธีการเลี้ยง พิธีการอย่าง เสร็จแล้ว ก็ไปอยู่กัน อย่างชีวิต อย่างพวกนั้นน่ะ ถึงเช้าก็จะต้องตั้งโต๊ะ แหม! เขื่องหรู แล้วก็ยิ่งคุณต้องไป ทำด้วยน่ะนะ คุณจะต้อง ไปจัดแจงด้วย คุณจะต้องไปทำด้วย คุณจะรู้สึกว่า มันเป็นภาระ มันวุ่นวาย มันเสียเวลา มันเปลืองผลาญ มันทรมานทรกรรมไปเยอะเลย แต่มาอยู่อย่างชาวอโศกนี่ ประเดี๋ยว คนเป็นร้อยๆ หลายร้อย ประเดี๋ยวเถอะ กินกันพุ๊บพั๊บเสร็จ เดี๋ยวเดียวเสร็จ สบาย ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่หรอก นี่ เป็นวัฒนธรรมของพวกเราง่ายดาย สะดวก เลี้ยงง่าย กินง่าย นอนง่าย ถ้าเป็นคนพวกอื่นนะ เป็นชาวอื่น มาชุมนุมกันขนาดนี้ หลายร้อยคนนี่นะ มานั่ง มานอน บ่นอู้อี้เลย หนวกหูพัดลม ฉิบหายเลย โอ้โฮ! ดังทั้งคืนเลย นอนไม่หลับน่ะ นอนกับปูนกับอะไรนี่ก็ อีเหละเขะขะอย่างนี้ รับรอง นอนไม่หลับ เอาซิ เอาคนในราวจำนวนนี้ ไปสุ่มเอามาจากกองไหนก็ได้ รับรองว่า จะได้รับการบ่น จะอึดอัด ขัดเคือง จะมีภาวะที่มันไม่ค่อยสงบ ไอ้โน่นนิด ไอ้นี่หน่อย ก็จะโกรธ จะเคืองง่าย จะทุกข์จะร้อนง่าย แต่พวกเรา ไม่มีปัญหาอะไร อะไรนิดอะไรหน่อยเลย อย่าว่าหนักนิดเบาหน่อยเลย หนักมากแรงมากหน่อยก็อภัยกัน เอ้า! ไม่เป็นไรหรอก เอ้า ขอกันกิน ก็ยังได้ นิดหน่อยไม่เป็นไร เอาเถอะ และเรียบร้อย ไม่เห็นมันยุ่งอะไรเลย ก็นอน ก็ผ่านมาคืน ก็สบาย อีกหน่อย ก็จะไปอัดแบตเตอรี่ ที่พุทธาภิเษกอีก ๗ วันก็แล้วกัน ก็เสริมอินทรีย์พละเข้าไปอีก แต่ละปีๆ ก็ยังอัดอยู่ ทุกปีเลย เอ้า! เข้าไปกินง่าย นอนง่าย เลี้ยงง่าย ไปง่าย มาง่าย

ถ้าเป็นตะก่อนนี้ โกรธแล้ว เสียสตางค์ด้วยน่ะ นี่ ไอ้รถจะมา ดันผ่าไม่มีรถให้เสียอีกแน่ะ รอไปอีก ตั้งหลายชั่วโมง โอ้โฮ! กว่าจะได้มา นั่งรอไป นี่บอกจะออกจากโน่น บอกว่าบ่าย ๒ บ่าย ๒ ครึ่ง โอ้ย! เพื่อนไปกันหมดแล้ว ดูซินี่ บ่าย ๒ ครึ่ง ยังเพิ่งจะได้เดินทาง แทนที่จะมาได้เห็นวิว มืดแล้ว มาถึงมืดแล้ว แบบนี้ไม่คุ้ม ค่ารถนี่หว่า ถ้าเป็นข้างนอกเขา เราก็จะถือสา เราก็จะ แหม! หาทางเปรียบเทียบ เราขาดทุนนะ เราไม่ได้ไอ้โน่นไอ้นี่ อะไรนี่จริงๆน่ะ แต่นี่พวกเราไม่เป็นไรหรอก เรามายังไงก็ได้ วาง มาถึง ไม่ได้ขาดทุน อะไรหรอก มาถึงดูซินี่ เขาจองที่นอนหมดแล้ว เรามาถึงนี่ มีที่นอนหรือเปล่า ไปที่โน่น ก็คงจะกว้างล่ะ แล้วก็ไปจองหน่อย ถ้ามาที่นี่ก็ แต่ก็มาได้ ใครมารถนี่ ไปโน่นหมดเลย ใช่ไหม ไม่ได้มานี่เลย ใช่ไหม เออ! ก็ดีไปอย่างเหมือนกัน ไปวิทยาลัยครูหมดใช่ไหม ก็พักก็ผ่อน ก็เสร็จแล้ว ก็มาเลี้ยงง่าย สรุปแล้ว เลี้ยงง่าย อยู่ง่าย เป็นชีวิตที่ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องวุ่นวายอะไรมากมายขึ้น เลี้ยงง่าย เจริญ สุโปสะนี่เจริญง่าย คือ ที่นี่ก็เป็นที่เล็กเชอร์ ประเดี๋ยวก็ได้เรียน ประเดี๋ยวก็ได้ศึกษา แล้วเรารู้ว่า เราได้ศึกษาตลอดเวลา ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา เราได้ศึกษาตลอดเวลา เราได้สังวรสังกัปปะ สังวรวาจา สังวรกัมมันตะ สังวรอาชีวะ การศึกษาของเราอยู่ในชีวิต แล้วเป็นการศึกษา ที่ทำให้ตัวเจริญจริง

เลยบำรุงง่าย เจริญง่าย เจริญเป็นอริยะ หรือเป็นอริยชนจริงๆด้วย อาตมาขอยืนยันคำว่า อารยชน อารชนจริงๆด้วย ได้สัดส่วนๆ เหมาะสมกับเศรษฐศาสตร์ เหมาะสมกับยุคกาลสมัย ยุคกาลสมัย เหมาะจริงๆ เหมาะกับระดับ เหมาะกับคุณค่า เหมาะกับฐานะ

อาตมาพูด อาจจะเหมือนกับพูดอยู่คนเดียว อาตมารู้สึก หลายคนอาจจะเข้าใจตามอาตมา เท่าไหร่ อาตมายังไม่รู้ บำรุงได้ง่าย พาเจริญ พาเข้าใจ พาศึกษา ไปไหนก็พาศึกษา ศึกษาได้ทุกที่ ขึ้นภูเขา ลงห้วย เข้าไปในโน่นในนี่ เข้าไปในเมือง เข้าไปในศาล เข้าไปในที่ไหน ก็ได้ศึกษา เป็นที่ศึกษาหมด เจริญ ง่าย แล้วเราก็ฝึกฝนให้ตนเอง เป็นคนมักน้อย มักน้อยไปเรื่อยๆ มักน้อยไปเรื่อยๆ ถ้าใครฟังแล้ว ตัวเองยังไม่เป็น อย่างอาตมาว่า พยายามสังวรตัวเองหน่อย มักน้อยไปเรื่อยๆ แต่ก่อนนี้ ไม่ได้หรอก นอนก็จะต้องกินที่กว้าง เดี๋ยวนี้ แบ่งกันได้ กินแต่ก่อนไม่ได้หรอก ใช้จาน หลายๆใบ เดี๋ยวนี้น้อยใบก็ได้ หยิบอะไรมาแล้ว ใครมาหยิบต่อไม่ได้ แต่ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ เออ แบ่งไปได้ หยิบไปได้ ไม่หวง ไม่แหน มักน้อยลง จะเป็นที่ จะเป็นทาง จะเป็นของกินของใช้ จะเป็น อะไรต่ออะไร มาบำเรอตัวนี่ แบ่งได้ แจกได้ เกื้อกูลได้ มักน้อย แล้วตัวเอง ถึงแม้ว่า จะไม่พอนัก ก็เอาละนะ อดได้ทนได้ เผื่อแผ่คนอื่นได้ แต่ก่อนนี้ไม่ได้หรอก ฉันต้องเผื่อไว้ก่อน เผื่อทั้งนั้น ที่จะนั่งก็เผื่อ ที่จะกินก็เผื่อ ที่จะนอน ที่จะไป ที่จะมาเผื่อ เผื่อทั้งที่ เผื่อทั้งของ เผื่อหมดน่ะ เผื่อตัวเอง หอบมาเยอะด้วย เผื่อพอ หนักเข้าๆ ไม่ต้องหอบมามาก มันเมื่อย มันหนักเอามาแล้ว ก็ไม่ได้ไปเบียดเบียนใครด้วย นี่เรียกว่ามักน้อย หอบมาน้อยๆก็พอ ไม่ต้องไปเบียดเบียน คนอื่นด้วย ดีไม่ดี แม้แต่หอบมาน้อยๆ นี่ คนอื่นมาขอแบ่ง ยังให้ได้อีก มักน้อย สันโดษ พอน้อยลงไปอีกก็พอ มีการขัดเกลาตน บางทีบางครั้ง ก็บอก แหม! มันไม่รู้จักเอามาเลยโว้ย แต่จะต้องเผื่อเขา เอ้า! เอาไปเหอะ ขัดเกลาตัวเอง ขัดเกลาตัวเอง เอ้า! ยอม เอ้า! ให้มันเหอะ ตอนแรกๆ อาจจะให้ยาก พอนานๆเข้า ก็ให้ง่ายขึ้น เออ! เอาเหอะ เอาไป ขัดเกลาตัวเอง สัลเลข แบ่งแจก ลาภะถัมมิกา แบ่งลาภ แบ่งของตัวของตน แบ่งอัตตา แบ่งอัตตนียา ละตัวละตน ละของตัวของตนออกไปเรื่อย

นี่ การขัดเกลา มีศีลก็ดีขึ้น เจริญขึ้นเป็นธูตะ ศีลก็เคร่งขึ้นได้ เคร่ง ครัดขึ้นได้ ศีลที่มันสูงขึ้นนี่ มันก็เหมือนเคร่งขึ้นทุกทีน่ะ อธิศีลขึ้นเรื่อยๆ มันเจริญ ด้วยศีลขึ้นเรื่อยๆ อาการแต่ก่อนนี้ พอแตะเข้า นิดหนึ่ง ขอนิดหนึ่งก็ ไม่ได้ เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้หรอก ค่อยยังชั่วแล้ว อาการดีขึ้น ตอนหลังก็เอาเหรอ ไม่พอเอาไป เหอะ ทั้งๆที่เราบอก แหม! ดูซินี่ มันไม่รู้จักเอามา ข้างในน่ะ บ่นตั้งหลายบ่นแล้ว นะ แต่ข้างนอก เอาไปเหอะ ข้างในบ่นนะ แต่ข้างในบ่น ไม่รู้จักเอามา เที่ยว ได้มากวนคนอื่นเขา บ่นเชียว เป็นยายปลาร้าอะไรน่ะ ข้างใน จิตนี่ มันบ่นอย่าง นั้นเลยน่ะ แต่ข้างนอกนี่ อาการน่าเลื่อมใสแล้ว อาการดีขึ้นแล้ว ค่อยยังชั่วแล้ว อาการนี่เอาไปเฮอะ แต่ข้างในน่ะ บ่นอู้อี้ๆแหละ จนกระทั่ง หนักเข้าก็บอก โอ้ โฮ! เจองานนี้มาหลายงานแล้วเหลือเกิน หยุดบ่นแล้ว บ่นไปก็ไอ้เท่านั้นละว้า หยุด เลิกบ่นเถอะ แบ่งมันเถอะอย่างนี้ เป็นต้นน่ะ นี่ มันได้อบรม ฝึกฝน เนียน ในขึ้นมาเรื่อยๆๆๆ ใครฟัง แล้วใครอ่านตัวเองออก ประสบการณ์ทุกเมื่อ เกิดผล อย่างที่อาตมาว่าไหม นั่นแหละ เกิดวรรณะ ๙ นี่ขึ้นไปเรื่อยๆๆ มีธูตะ มีอาการที่น่าเลื่อมใส ไม่สะสม หนักเข้า ก็ไม่สะสมเท่าไหร่หรอก ถ้าจะสะสม ถ้าจะเป็นคนหอบ ตะกี้นี้น่ะ จะเป็นคนวิริยารัมภะ เป็นคนขวนขวาย เป็นคนที่ขยัน ตัวเองน้อยเท่าไหร่ ก็ได้แล้ว แต่ตอนนี้กลับแล้ว นอกจากไม่เอา ของตัวเองแล้ว ตอนนี้หอบมา เพื่อผู้อื่นด้วย ไม่เป็นไร ฉันแบกให้ ฉันหอบให้ไปก็เพื่อผู้อื่นจริงๆ เห็นไหม คุณค่า มันจะกลับไปเรื่อยๆ เป็นวรรณะ ถ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่ เรื่องอะไร หอบเอาไปซิ ฉันเบา ฉันน้อยได้เท่าไหร่ ฉันก็น้อยของฉันน่ะ คุณอยากจะหอบๆไปซิ ไอ้นี่ยังโง่ หอบไปมากกว่าก็ตั้งแยะ โง่ หอบไปตั้งเยอะ มันเปลืองของมันเอง มันจะต้องหอบไป แต่ตอนหลังก็บอก เออ! เอาเถอะ เอาหอบไปเถอะ เผื่อคนอื่นเขาบ้าง เราน้อยแล้วล่ะ แต่เราหอบไปตอนนี้ หอบเพื่อผู้อื่นด้วย นี่ มันจะกลับไป กลับมา ๆๆๆ จนมีชีวิต เพื่อผู้อื่น มีชีวิตเพื่อผู้อื่น อินทรีย์พละวัฒนธรรม เกิดอินทรีย์พละ แล้วก็เกิดวัฒนธรรม เกิดวัฒนธรรม คนอย่างพวกเรานี่ จะไปจะมา จะเป็นคน ง่ายดาย เป็นคนที่มีสังคมของพวกเราก็ง่าย ก็ดายขึ้นไปอีก ซ้อนเชิงขึ้นไปอีก

เพราะฉะนั้น การที่จะมาเป็นลักษณะอย่างนี้ ทีนี้ก็ไปพูดถึง การเปรียบเทียบให้ฟังว่า ถ้าเป็นสังคม คนอื่น เขาจะเชื่อ แล้วเขาจะศรัทธา แล้วเขาก็จะทำอย่างที่คุณทำ อย่างกับอาตมาอย่างนี้ไหม บอกเรื่องอะไรก็ไปซิ เรื่องอะไรจะตามไป เอ้า! ทีนี้ อาตมาจะสมมุติเล่นๆนะ นี่ ชาติชายก็ถูกขอร้อง ให้ไปนอกประเทศแล้ว คนที่ไปกับชาติชายก็มีภรรยา มีใครอีกบ้างไม่รู้ มีลูก ลูกสาวไปด้วยหรือเปล่า ไม่รู้ ไปแล้ว คนจะขอไปด้วย จะมีกี่คน แล้วไปคราวนี้ ยังไม่รู้ว่า จะได้กลับมาได้หรือไม่ แต่เขาก็บอกว่า ไม่นานหรอก ไปไม่นานหรอก ยิ่งท่านผู้หญิงบุญเรือนนะบอกไป ๒ วัน ประเดี๋ยว เขาก็ให้กลับมาเป็นนายกอีกหรอก จะไปร้องห่มร้องไห้ทำไม ไป ๒ วัน ประเดี๋ยวเขาก็ให้มาเป็นนายก ชาติชายก็บอก เพ้อเจ้อใหญ่แล้วนะ พูดอะไรบ้าๆใหญ่แล้วนะ บอกพูดบ้า อะไรกัน ก็หลวงพ่ออุตมะ บอกอย่างนี้จริงๆ ท่านผู้หญิงบุญเรือนบอกอย่างนั้นเลย

ถ้าสมมุติ อาตมาถูกเนรเทศอย่างนี้บ้าง ใครจะขอไปกับอาตมาบ้าง คุณต้องหาเงินเองนะ ที่จะต้องไปนี่ ไปสวิสฯน่ะ ต้องหาเงินเอง ค่าขึ้นเครื่องบินไปนะ จะไปเหรอ หาได้เหรอ อาตมาหยิบ เรื่องนี้มาพูดให้ฟัง เพื่อจะได้เห็นว่า ที่คุณมานี่ อาตมามาขึ้นศาลนี่ คุณมานี่ ลักษณะอย่างนี้น่ะ มันสัมพันธ์อันสนิทต่างกัน แล้วมันจะไปจะมาต่างกัน แล้วมันก็สบายใจกว่ากัน ยอมเสียสละ มากกว่ากัน อาตมาอาจหาญมากน่ะนี่ ไปเปรียบเทียบกับนายกเชียวนะ เอาอย่างนายก มาเปรียบเทียบ ให้ฟังเชียวนะ แล้วคุณแน่ใจหรือว่า ถ้าไปแล้ว ถ้าบอกว่า ตามจะไปอยู่ที่โน่น กันอีกนานๆ แน่ใจเหรอ อาตมาเอง อาตมาว่า ไม่เข้าข้างตัวเองนะ ไม่หลงตัวเองอะไรมากมายหรอก อาตมาว่าน้ำหนักมันต่างกันนะ อย่างเขาไปด้วยกัน มาด้วยกัน ท่านไปไหน ฉันไปด้วย ท่านไปไหน ฉันติดตาม ท่านไปไหน ฉันจะช่วยสร้างสรรด้วยอะไรพวกนี้ อาตมาว่าการไปด้วยเปลือกๆ แค่ ลาภ ยศ สรรเสริญนั้นน่ะ สัมพันธ์อันสนิทน้อยกว่ากันแยะ ศรัทธาต่างกัน ปัญญาต่างกัน วิริยะต่างกัน สติ สมาธิต่างกัน อินทรีย์พละ ๕ ต่างกันหมด

เพราะฉะนั้น วัฒนธรรมที่เกิดอย่างนั้น ที่อาตมายกตัวอย่างมาประกอบนี่นะ เพราะว่าอาตมา หยิบสิ่งเหล่านี้ มาพูดเป็นองค์ประกอบในการอธิบาย อธิบายถึงภาวะพฤติกรรมมนุษย์ จิตวิญญาณมนุษย์ อินทรีย์พละของมนุษย์ วัฒนธรรมของมนุษย์ อาตมาว่า พูดไว้วันนี้นี่ อีกซัก ๕ ปี ๘ ปี พวกคุณฟังอีกทีนี่นะ จะมีตัวอย่างที่ชัดกว่านี้ อันนี้ตัวอย่างที่อาตมาพูดนี่ อาตมาว่าตัวอย่าง อาตมาว่า พยายามหยิบมาอธิบายนี่ มันไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ก็คงพอรู้ สำหรับคนมีปัญญา มีปฏิภาณ คงพอฟังออก รู้เรื่องว่าหมายถึงอะไร มันยากนะ ธรรมะนี่ยาก โดยเฉพาะองค์ประกอบ นามธรรม วัฒนธรรม ชีวิตมนุษย์ จิตใจ มันไม่ใช่เรื่องง่าย นะ มันยาก แต่คิดว่า คงพอฟังได้ คงพอฟังเข้าใจ

เพราะฉะนั้น เกิดการแน่นแฟ้น เกิดการจริงจัง เกิดชีวิตที่พอใจ ความพอใจนี่ จะเรียกว่างมงายก็ได้ คนเขาก็ว่า พวกคุณงมายอยู่เหมือนกันนะ งมงายอะไรกันนักกับโพธิรักษ์ เขาก็ว่าจริงๆ ทีนี้ คุณเอง นั่นแหละ จงใช้ปัญญาแต่ละคน ที่คุณมี เขาจะว่างมงาย คุณจะยอมงมงายไหม ระวังนะ ไปตรวจตราดีๆ ประเดี๋ยวจะงมงายกันใหญ่ ถ้าคุณยังเห็นว่า เอ๊! มันยังไม่งมงายอะไรหรอก เราว่า เราเจริญ เราได้อะไรต่ออะไรถูกเรื่องถูกราวนะ คุณก็เอา แต่ถ้าคุณเห็นว่า มันไม่ได้ท่า คุณก็ไม่เอา มันก็เท่านั้นเอง แต่อาตมาเห็นว่า พวกเรานี่ฟังได้ มีปัญญา มีตัวตัดสิน มีตัวเลือกเฟ้น มีตัววินิจฉัยอะไร แล้วแต่ พร้อมพอที่จะยินดีที่จะพิสูจน์ไปต่อ ตอนนี้ยังไม่เห็นว่า เราเพลี่ยงพล้ำ ยังเห็นว่า เรายังดีอยู่ ยังไม่โง่ ยังไม่รู้สึกตัวว่าโง่ แต่เมื่อไหร่ จะรู้สึกตัวว่าโง่ก็ไม่รู้นะ แต่ตอนนี้ ยังรู้สึกตัวว่า ยังได้ดีน่ะ ยังเอาได้ดี ต่อ

ถ้าในสัจจะของพระพุทธเจ้าแล้ว ปัญญา ปัญญินทรีย์นี้ ไม่มีวันถดถอยหรอก ถ้าเป็นปัญญาตัวจริง มันก็จะยิ่งฉลาด ยิ่งจะลึกซึ้ง ยิ่งจะซับซ้อน ยิ่งจะเห็นจริงไปเรื่อยๆ ถ้าปัญญานั้นจริง อาตมาก็มั่นใจ ในปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผลอันนั้น มันยิ่งจะลึกซึ้งไปเรื่อยๆ ไม่มีการถอยหลังๆ มีแต่จะเดินหน้า ถ้ามันไม่จริง มันก็พังกันไปทั้งหมดนั่นแหละ มันจะถอยโครมเลย ด้วยซ้ำไป ในอนาคต อาตมาก็อยากรู้ความจริงเหมือนกัน ว่ามันจะ ถอยโครมเมื่อไหร่ จะดู หรือว่ามันยิ่ง จะเนียน แล้วมันก็ยิ่งจะแน่น มันยิ่งจะเนียน มันยิ่งจะแน่นขึ้น อาตมาใช้ภาษา ๒ คำ แต่แค่ว่า เนียนกับแน่นขึ้นมา คนที่อยู่มานานแล้ว ๕ ปี ๘ ปี ๑๐ ปี ๑๐ กว่าปี รู้สึกว่าเนียนขึ้น แน่นขึ้นไหม คนห่างๆ ไม่เอานะ คนนานๆ มาทีไม่เอา เอาคนที่อยู่ใกล้ อยู่ชิด มาเรื่อยๆ คุณว่าเนียนขึ้น แน่นขึ้นไหม อาตมาไม่รู้นะว่าหมายถึงอะไร เพราะอาตมาไม่มีภาษาบอก แต่ที่จริง อาตมารู้ แต่อาตมาไม่รู้ภาษาจะบอกว่าอะไร คุณก็คงไม่มีภาษาจะบอกอาตมาว่า อะไรเหมือนกัน นั่นแหละ ว่ามันอะไรเนียน อะไรแน่น ใช่ไหม อะไรเนียน อะไรแน่น ศรัทธาเนียนขึ้น เอ้า! อาตมาคิดได้ว่า เอาภาษานี้มาใช้ ศรัทธา เนียนขึ้นแน่นขึ้น ปัญญามันเนียนขึ้น แน่นขึ้น สูงขึ้นไหมปัญญา

ศรัทธากับปัญญา เป็นตัวหลัก นอกนั้นก็มีความเพียรอุตสาหะ นี่คุณมานี่ คุณใช้ความเพียร แต่ความเพียรนี้ง่ายดาย เอ๊! ไม่ต้องเพียรเท่าไหร่หรอก แต่คุณลองไปเข็นคน ที่เขาไม่ได้ศรัทธา อย่างที่เป็นนี่ คุณไปเข็นเขามาซิ เข็นมา ไปไหม ไปขึ้นศาลกับพ่อท่าน คุณไปบอกเขาซิ ไปตะโกน บอกที่สนามหลวง คุณจะได้คนมาสักกี่คน บอก เออ! เอ็งไปตาม โพธิรักษ์บ้าไปเถอะ เขาจะไม่ศรัทธา คุณจะพยายามทำความเห็น ทำความเข้าใจ ให้เขาเกิดปัญญา ขนาดไหนล่ะ อาตมาว่าคุณไปพูดเถอะ ๗ วัน ๗ คืน เขายังไม่มาด้วยหรอก จริงๆ ถ้าคุณจะมา ก็บอกจ้างแสนหนึ่ง ไปไหม เขาอาจจะเอาเงินแสนมา มาเอาเงินแสนน่ะ ไม่ใช่มาเพราะศรัทธาหรอก แต่ถ้าศรัทธา ยิ่งให้ออกสตางค์เองด้วย เรื่องอะไร ออกสตางค์ให้ด้วยไปไหม ไม่เอาล่ะ ออกสตางค์ให้ ก็ไม่มาล่ะ ไปช้อปปิ้งดีกว่า เสียสตางค์มาทำไม มากับโพธิรักษ์ มาอะไรว้า มาขึ้นศาล มาทำไม มาขึ้นศาล ไม่เกี่ยว ขึ้นศาลกับโพธิรักษ์ โดนจับขึ้นศาลไปซิ มาทำไม นี่จะเอาปัญญา คุณมานี่ เพราะคุณมีปัญญาเท่าที่ความโง่ของคุณมี เอ๊ะ! พูดอะไรกันแน่นี่ ปัญญากับความโง่ คุณมานี่ มาด้วยปัญญาเท่าที่ความโง่ของคุณมี เอ๊ะ! พูดอะไร ปัญญาของความโง่ มันคืออะไรกันแน่ คุณจะโง่ คุณจะฉลาดขนาดไหนก็ตาม คุณก็มีปัญญาเท่าที่คุณมี นั่นแหละ แล้วคุณก็มา ด้วยปัญญาที่คุณมีน่ะ เท่าที่คุณโง่ หรือเท่าที่คุณฉลาดนั่นแหละ ใช่ไหม เอ๊! หลับลงเหรอ อาตมาพูด มันไม่เห็นน่าหลับตรงไหนเลย มันน่าพูดบ้า อะไรเว้ย ! ฟังแล้วก็ยังงงๆ ยังคิดหัวแทบแตก ตามแทบแย่ ขืนนั่ง หลับลง ก็แสดงว่า คนนี้อยู่คนละภพ คนละภูมิกับ อาตมาแล้ว คุณอาจจะไปสวรรค์ อาตมากำลังอยู่กันที่นรก คุณก็ไปสวรรค์ของคุณแล้ว คนละภพแล้ว ตอนนี้ อยู่กันคนละภพ แต่ถ้าอยู่ภพเดียวกัน อยู่ในภูมิเดียวกัน อยู่ในที่เดียวกัน กำลังอยู่ด้วยกัน กำลังมีสติสัมปชัญญะ ปัญญากำลังอยู่ด้วยกัน มีองค์ประกอบด้วยกัน มีองค์ประกอบ อะไรต่างๆ ด้วยกัน คุณก็นั่นพูดอะไรว้า เอ๊! พูดยังไง จะว่าปัญญาก็ว่า ก็แล้วแต่ละ คุณก็ใช้ปัญญา ก็อยู่ในความโง่ของคุณ มีเท่าไหร่ก็เท่านั้น หรือคุณจะฉลาดเท่าไหร่ ก็เท่าที่คุณมี นั่นแหละ ใช่ไหม

เพราะฉะนั้น คุณจะมาตามอาตมา คุณก็มาตามด้วยความโง่ คุณก็มาตามด้วยความฉลาด เท่าที่คุณมี คนเขาบอกว่า คุณนี่โง่จัง ยังมาตามโพธิรักษ์ คุณก็ฟังเขา คุณก็มองไอ้คนที่ฉลาดกว่า คุณนั่น เขาว่าเขาฉลาด เขาว่าคุณโง่ คุณบอก อ้อ! เอ็งฉลาด เองก็ไปตามเองเถอะ เอ็งฉลาด ข้าก็โง่ ข้าก็ไปตามโง่ข้า ข้าเห็นว่า ไอ้นี่น่าจะทำ ข้าก็ทำตามความโง่ของข้า เอ็งฉลาด เอ็งก็ไปทำเรื่อง ของเอ็ง เรื่องของเอ็งน่ะ เอ็งไปตามความฉลาดของเอง เอ็งจะไปช๊อปปิ้ง เอ็งก็ไปเถอะ เอ็งจะไปดู คอนเสิร์ต อ้อม สุนิสา เอ็งก็ไปเถอะ ข้าจะเอาเวลามานี่ มันก็คนละอย่าง หรือ เอาเถอะ เอ็งก็เอาเวลาของเอ็ง ไปหาเงินเถอะ ข้าเอาเวลาของข้ามาเสียเงินด้วย ข้าว่า ข้าจะมาทำอันนี้ เสียสละอันนี้ มันของแต่ละคน มันของแต่ละคน

อาตมาไม่กลัวนะ ที่พูดนี่ ไม่กลัวเลยว่า พวกคุณจะเกิดฉลาดขึ้น เดี๋ยวนี้รู้ทันแล้ว รีบหนีหมดเลย อาตมาไม่กลัวเลย ไม่กลัวจริงๆ อยากจะพูดให้มันหมดว่า คุณเองนี่โง่หรือฉลาดกันแน่ ตรงไหน มุมไหนล่ะ ที่คุณยังโง่อยู่ อยากจะเปิดเผยออกมา คุณอย่าโง่ให้อาตมาหลอกนะ หรือว่า ถ้าพูดแล้ว คุณจะฉลาดขึ้น อาตมาก็จะพูด อาตมาพูดนี่ คุณคิดว่า อาตมาพูดให้คุณฉลาดขึ้น หรือ จะให้คุณโง่ลง อาตมาแน่ใจว่า คุณต้องเชื่อ อาตมาอยากจะให้คุณฉลาดขึ้นแน่ เพราะฉะนั้น อาตมาจะพูดๆๆๆๆ เพื่อให้คุณฉลาดขึ้น ไม่ใช่พูดให้คุณโง่ลงแน่นอน อาตมาไม่อยากได้คนโง่ อะไรมีเท่าไหร่ อยากจะพูดให้มันหมด เท่าที่จะเปิดเผย มุมไหนที่มันลับ มุมไหนที่มันซุกซ่อนอะไรนี่ เปิด รู้ทันหนี ถ้าอาตมาพาไปไม่ดี หนี จริงๆนะ อาตมาว่า อาตมาจริงใจนะ

อาตมาไม่อยาก พาคุณไปชั่ว ไม่อยากพาคุณไปตกต่ำ ไม่อยากพาคุณไปทุกข์ร้อน ต้องการพาไปเจริญ แล้วอาตมา เข้าใจว่า อย่างนี้น่ะเจริญ มาเป็นคนจนที่จนได้เก่งๆ นี่เจริญ มาจนได้เก่งๆ แต่ไม่ใช่จนอย่างงอมือ งอเท้า คนจนอย่างขยัน จนอย่างมีประสิทธิภาพ แข็งแรง อดทน จนอย่างเป็นคนที่ขวนขวาย มีน้ำใจ เก่งด้วย งานนี้ก็ช่วยได้ งานนี้ก็ช่วยได้ๆๆๆๆ แต่ช่วยงานช่วยแล้วไม่เอาด้วย ช่วยแล้วก็สร้างสรร เสียสละ ให้ไป เกื้อกูลไป แล้วไม่กลัว เรายิ่งแคล่วคล่อง เรายิ่งมั่นใจในตัวเราเอง ว่าเรามีสมรรถภาพ เมื่อไหร่ก็มีสมรรถภาพ ไปอยู่ที่ดินกันดาร เราจะบูรณะดินให้ดี ไปอยู่ที่น้ำเน่า จะทำน้ำให้ดี ไปอยู่ที่อากาศเป็นพิษ จะทำอากาศเป็นพิษให้ดี ไปอยู่ที่กลุ่มที่คนมันโง่ คนมันชั่ว จะทำให้คนฉลาด จะทำให้คนดี ไปอยู่ที่บรรยากาศไหนล่ะ มีดงพิษ มีดงกันดาร ดงที่ไม่เจริญตรงไหน จะไปทำให้ตรงนั้นเจริญ จะไปทำให้ตรงนั้นเป็นสุข ที่แห้งแล้งจะทำให้สมบูรณ์ สมรรถภาพของเรา จะต้องฝึกฝน ไม่ใช่เป็นคนไร้สมรรถภาพ

อาตมาว่า อาตมาพาคนมาเป็นอย่างนี้นี่ ถูกแล้ว ดีแล้ว ยังเหลืออยู่แต่ว่าพวกเรา มันยังขี้เกียจ มันยังไม่ขยันกว่านี้ มันยังไม่มีน้ำใจ เห็นงานแล้ว ไม่โดดใส่ เห็นงานแล้ว มีคนทำแล้วละ เราไปทำอันนี้ดีกว่า มันยังมีเท่านี้นะ ตอนนี้ กำลังเข็นกันอยู่ เคี่ยวกันอยู่

อาตมามั่นใจว่า ได้พาพวกเรามาเป็นอารยชน พาพวกเราเป็นคนเจริญ ไม่ได้พาพวกเรา เป็นคนตกต่ำ อะไรเลย แล้วทุกวันนี้ พวกเราเข้าใจมากขึ้น ลึกๆเข้าใจมากขึ้น หลายคนคิด อยากมาบวช อยากจะมาเป็นอย่างนี้ พอนานๆไป เอ๊! จิตดีขึ้นแฮะ เอ๊! มาบวชนี่ มันทำงานไม่ได้เยอะ มันรู้สึก จะเอาเปรียบอยู่บ้าง มันรู้สึกจะมีบาปอยู่เยอะ เพราะอาตมาบอกบาปเหมือนกันว่า มาบวชแล้วนี่ ระวังนะ กินเหล็กแดงเผาไฟมากกว่ากันนะ มาบวชแล้ว มาอะไรแล้วนี่ ถ้าไม่ให้คุ้มนี่ เสียนะ หลายคนก็บอก เฮ้ย! อย่าเพิ่งๆ อยู่เป็นฆราวาสก่อน ปฏิบัติไปสร้างบุญ สั่งสมบุญดีกว่า เพราะว่ากินข้าว อย่างเราเป็นฆราวาสกินข้าว ก็ยังบาปน้อยกว่าเป็นสมณะกินข้าวเขา อย่าเพิ่งบวช แต่ก่อนขมีขมัน อยากมาบวช ตอนหลังนี่ เอ๊! ยังไม่บวชก่อนดีกว่า ลึกๆหลายคนจะเข้าใจ

เพราะฉะนั้น อาตมาไม่ต้องกลัว อยากจะเร่งบวช อยากจะไอ้โน่น ไอ้นี่ นอกจากคนที่หาช่องทาง เอาเปรียบ ก็แล้วแต่จริตของคน แล้วแต่ความโง่ ความฉลาดของคน ความฉลาดเอาเปรียบ อยากเอาเปรียบ คนนั้นก็หาช่องที่จะเอาเปรียบ คนฉลาดที่ไม่เอาล่ะ ถ้าขืนเอาช่องเอาเปรียบ โดยสัจจะ เอาเปรียบ มันเป็นตัวหนี้ มันเป็นตัวขาดทุน มันเป็นตัวบาป เพราะฉะนั้น เราจะต้องหาตัว สละ หาตัวให้เสียสละมากกว่า เราจะทำปัญญา มันก็จะเกิด แล้วเราก็จะเห็นความจริง แล้วคนนั้น ก็จะทำอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น อาตมาไม่กลัวหรอก หลายคนกลัวว่า ถ้า โอ้! มาแบบนี้นี่ มารีบบวช ก็เป็นช่องทางบวช ก็เอาเถอะ ใครจะหาทางเอาเปรียบเขา ก็มีของเขาเอง ใครจะไม่เอาเปรียบ ใครจะอดทน ใครจะทำก็ของเขาเอง มันจะเป็นไปเอง มันจะได้ หรือมันจะไม่ได้ มันจะเป็น ของเขาเอง

อาตมาได้วิจัย ได้วิเคราะห์อะไรต่ออะไรมาเยอะ วันนี้เจาะเข้าไป ให้เห็นของสภาพของอินทรีย์พละ นี่เป็นหลัก อินทรีย์พละของมนุษย์ มีศรัทธา มีปัญญา เป็นที่ตั้ง เพราะฉะนั้น เราจะเชื่อ แล้วเรา จะเกิดปัญญาที่ฉลาดหรือไม่ฉลาด ลึกซึ้งหรือไม่ลึกซึ้ง ก็จากการอบรม จากการได้มีประสบการณ์ ได้มีสิ่งลึกซึ้งเนียน อย่างที่อธิบายมาแล้วว่า คุณไม่ใช่ว่าคุณเอง คุณได้รู้เพราะไปฟัง ฟังด้วย ไม่ใช่รู้ แต่เฉพาะฟังเท่านั้น แต่ได้รู้เพราะมันได้ปฏิบัติ ได้ประพฤติ ได้มีประสบการณ์ ได้มีกาย วาจา ใจ ได้มีสังกัปปะ มีวาจา มีกัมมันตะ มีบทบาทกิริยาของกรรม กิริยาของชีวิตที่มันได้เกิดมาเรื่อยๆๆๆ สั่งสมมาเรื่อยๆๆๆๆ แล้วคุณก็ได้อ่าน ได้วินิจฉัย สิ่งเหล่านั้นจึงเป็นจริง เกิดญาณ เกิดปัญญาของ ของจริงตามความเป็นจริงอย่างนี้ มันเนียนในนะ มันลึกซึ้ง มันซับซ้อน

ใครฟังธรรมมาในวันนี้ ตั้งแต่เทศน์มาจนกระทั่งถึงขณะนี้ ก็จะรู้ว่าตัวเอง เราจะไปไหน อาตมาพา ไปไหน เรากำลังเดินไปไหน เรากำลังเจริญจริงหรือไม่ และเรากำลังเป็นสุข เป็นสุข ที่เรียกว่า วูปสโมสุข เป็นสุขที่มักน้อย สันโดษ เป็นสุขที่สงบระงับ สงบระงับจากกิเลสตัณหา กามตัณหา ภวตัณหา สงบจากสิ่งเหล่านั้น คนยิ่งสงบจากกามตัณหา ก็ยิ่งเห็นโลกโลกียะ ที่เป็นกามภพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญอะไรนี่ เขาเอร็ดอร่อย แสวงหามาบำเรอตน แสวงหามา ให้แก่ตน เราก็ยิ่งจะเห็นชัดว่า เราสงบจาก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุข ต่างๆ เราอยู่เหนือมัน จิตเราแข็งแรง เป็นโลกุตระจิตอยู่เหนือ แล้วเราก็จะช่วยเขา เห็นเขาทุกข์ เจโตปริยญาณ จิตของเราเป็นอภิญญาน้อยๆ มันจะส่องเห็น โอ้! ทุกข์ร้อนหนอ เอ้อ! เขาทุกข์ เห็นคนเขาล่ะ แสวงหาให้แก่ตน โอ้งาบๆๆๆๆๆๆ งาบรูป งาบรส งาบกลิ่น งาบเสียง สัมผัส งาบแย่งชิงลาภ ยศ สรรเสริญ โอ้! เจ้าเป็นทาสจริงๆหนอ เห็นเขาเป็นทาสอยู่จริงๆ เราก็สงสารเขา แล้วเราก็รู้ ว่า เออ! เราช่วยเขาไม่ได้ เอาล่ะ คนที่ไม่ได้คัดเลือกแล้ว สอบเอ็นทร้านซ์แล้ว นี่ เรายังช่วยให้ต่อไปยังยาก ไอ้ที่พูดกับเขา มันไม่รู้เรื่องหรอก พูดกันคนละภาษาเลย เขาก็ยังมัวเมามุ่น เหมือนหนอนกินขี้ หนอนเอ้ย ขี้มันสกปรก ของสกปรก ทิ้งเถอะ ขึ้นมาข้างบนนี้ ไอ้คนหน้าโง่ เทวดาหน้าโง่ ไม่รู้จักของอร่อย ว่าแล้วก็สวาปามขี้ต่อไป

เขาไม่รู้เรื่องจริงๆ ไม่รู้เรื่องลาภ ยส สรรเสริญ โลกียสุขอะไร เขาไม่รู้เรื่องจริงๆ เห็นอยู่ตำตาหลัดๆเลย แต่เราก็ช่วยเขาไม่ได้ เป็นอย่างนั้นจริงๆ แม้แต่ในภวตัณหา พวกที่ไม่แย่งชิงลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่แย่งชิงกามอะไรหรอก สงบแบบพาซื่อ สงบแบบฤาษี แต่อยู่ในภพน่ะ ไปพูดอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ด้วยอีกเหมือนกัน เขาไม่รู้เรื่องกับเรา แต่ถ้าเรา มีเจโตปริยญาณ เราก็จะต้องรู้เรื่องกับเขาด้วย เรารู้จักภวตัณหา เรารู้จักภพ เรารู้จักมโนมยอัตตา เรารู้จัก อรูปมยอัตตากับเขา อย่างอาตมานี่พูด ถ้าอาตมาไปพูดก็รู้เรื่อง แต่อาตมาไม่ไปสอนคนเหล่านั้นก่อน อาตมาจะสอนคนในกามภพก่อน เพราะมันจับได้ ต้องได้ มันชัดกว่า มันพูดกันรู้เรื่องกว่า และคนมี ญาณปัญญาตี แตกได้ง่ายกว่า ถ้าอย่างภวตัณหาน่ะตีแตกยาก แม้แต่ในพวกเรา ภวตัณหายังตี แตกกันยากเลย ในพวกเรา ภวตัณหายังพูดกันแล้วยังพูดกันอีก ป่วยการกล่าวไปไยกับพวก ภวตัณหา ที่เขาไม่ได้เรียนรู้มาเลย พวกคุณเรียนรู้มา อาตมาสอนมา ขนาดนี้ ยังยากขนาดนี้ จะตีภพของเรา ยังยาก แล้วพวกโน้นน่ะ ภพของเรานี่ อาตมาว่า เพดานภพนี่นะ ของซัดดัม เพดานหนา ๑๕ ฟุต เหล็กที่มันทำถ้ำเข้าไป อยู่ข้างใต้กันอาวุธของอเมริกา ถ้ำที่ขุดเข้าไปอยู่ใต้นั้น เพื่อกันระเบิด กันอำนาจระเบิดทุกอย่าง เหล็กหนาขนาดนั้น และภพพวกนี้ อาตมาว่าหนากว่า เหล็กนั่นอีก แข็งกว่าเหล็ก ๑๕ ฟุตนั้นอีก อาตมาจำไม่แม่นนะ ๑๕ ฟุต หรือ ๗ ฟุต เอาเถอะ สมมุติไปก็แล้วกัน ตีไม่แตกสอนยากกว่า

เพราะฉะนั้น ก็ขอสอนพวกในกามภพก่อน แล้วก็ภวภพก็พวกเรานี่แหละก่อน จนกว่าพวกภวภพ พวกนั้นเขา จะพวกภวตัณหา พวกนั้นเขาจะมารู้ จะมากันทีหลัง เพราะพวกนั้น ไม่อีโหน่อีเหน่ อะไรเลย มาสอนให้รู้จักสังคม รู้จักตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ จะอยู่เหนือ สิ่งเหล่านี้ เขาไม่รู้เรื่อง เขาสู้ไม่ได้ อินทรีย์พละอ่อน กระทบแพ้ เพราะมันไม่เป็น โลกุตรจิตที่จริง ไม่เป็นโลกุตรธรรมที่แท้ ไม่ได้ ทำไม่ได้หรอก

เราก็ได้อย่างของเราไปเรื่อยๆ วันนี้อาตมาไม่ตั้งใจจะเทศน์ลึกอย่างนี้เลยนะ ไม่ตั้งใจ จะเทศน์ เจาะเข้าไปมากอย่างนี้เลย แต่ว่าเทศน์ไปๆแล้ว มันก็ดีเหมือนกัน ก็มีคนนั่งฟัง พอไปได้ อยู่เยอะเหมือนกัน ก็เลย ไปเลย ไม่ตั้งใจจะเทศน์ลึกขนาดนี้หรอก แต่ว่าได้เทศน์ไปแล้ว ลึกโดยอาศัย ภาษา อินทรีย์ ๕ พละ ๕ ก็ตาม มรรคองค์ ๘ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะก็ตาม มาประกอบ แม้แต่วรรณะ ๙ เอามาใช้เป็นหลักในการที่จะให้เห็นว่า ชีวิตของคนเจริญ ที่เรียกว่าเป็นมนุษย์อารยะ ก็คือวรรณะ ๙ นี่แหละ เป็นตัวแสดง เป็นตัวชี้ชัดเจนว่า เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุงง่าย นี่เป็นมนุษย์อริยะ เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ นี่เป็นมนุษย์อารยะ ไม่ใช่มักมาก เป็นคนกอบโกย เป็นนายทุนใหญ่ มันยังงั้น ไม่ใช่อารยมนุษย์ อารยมนุษย์นั้นไม่เป็นนายทุนใหญ่ เป็นคนที่ กระจายทุน ฟังภาษาไทยให้ชัด เป็นคนไม่สะสมกอบโกยไว้ที่ตน ตนกระจายทุน กระจายไปให้ คนอื่นจริงๆ ตัวเองมีสมบัติน้อย มักน้อยสันโดษจริงๆ มีอาการที่น่าเลื่อมใส ไม่ถือเนื้อไม่ถือตัว เป็นคนมีศีลเคร่ง เห็นชัดๆเลย มันเป็นศีลเคร่ง ไม่สะสม ไม่ซ่อนเร้น ไม่แฝง ไม่พราง ไม่เอาเปรียบ เอารัด เป็นคนขยัน ขยันหมั่นเพียร ไม่สะสม ไม่สะสมกอบโกย มั่นใจในอินทรีย์พละ มั่นใจใน สมรรถภาพของตน มีความรู้ มีความสามารถ มีความชำนาญในการสร้างสรร ผลิตทำงาน ได้มากอย่าง ทำงานได้แคล่วคล่อง มีความสามารถ งานนั้นก็ได้ งานนี้ก็ได้ จะให้กระโดดไป ทำงานเกษตรก็ได้ กระโดดไปทำงานอะไร ทำงานทางการเมืองก็ได้ ทำงานทางด้าน นั่งโต๊ะก็ได้ ทำงานทางบริหารก็ได้ ทำงานลุยหนักๆ หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดินก็ได้ ได้ทุกด้านอย่างนี้ แล้วคุณจะกลัวตาย อะไรเล่ามนุษย์ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีงานทำ ไม่ต้องกลัวตาย

นี่ สรุปสิ่งเหล่านี้ให้ฟังว่า เรากำลังดำเนินไปอยู่ แม้แต่ที่อาตมาได้เปรียบเทียบให้ฟังว่า คุณเฮละโล กันมานี่ อย่างโง่หรืออย่างฉลาด คุณมานี่ จะเกิดผลหรือไม่เกิดผล อาตมาก็พยายามอธิบายว่า มันเกิดผลดีต่อสังคม มันเนียนและมันแน่น แล้วมันเกิดอะไรต่ออะไรต่อสังคม ขึ้นไปอย่างจริงๆ อาตมาก็ขอย้ำว่า นี่เป็นเรื่องดี เป็นองค์ประกอบที่คนเรายังไม่รู้ตัวหรอกว่า เรื่องนี้ดี เขามองมาง่ายๆ มองมาตื้นๆ เขาจะเห็นว่า ไอ้พวกนี้มันโง่ งมงาย มันเฮละโลมาทำไม มาอย่างนี้น่ะ แล้วอาตมา ก็พิสูจน์ให้ฟังแล้วว่า พวกคุณเฮละโลตามมานั่นน่ะ คุณตามมายิ่งกว่าคุณตาม คุณชาติชาย มันมีอะไรลึกๆ มันมีอะไรในๆ เนียนๆอยู่เยอะ จะเป็นความโง่ หรือ เป็นความฉลาดของคุณก็ตามใจ คุณก็ไปศึกษาตัวเองเอา ถ้ารู้ตัวว่าโง่ ถูกอาตมาหลอกก็ถอนตัว ถ้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องโง่ มันเป็น เรื่องที่ฉลาด มันเป็นเรื่องดี คุณก็ฝึกฝนต่อไป

สังคมของมนุษย์ที่อาตมาแน่ใจว่า มันเป็นสังคม ของคนที่จะกอบกู้ สถานะของสังคมที่มันเลวร้าย ลงทุกวัน เป็นสถานะของสังคมที่เดือดร้อน เป็นสถานะของสังคมที่แตกร้าว เป็นสถานะของสังคม ที่เอาเปรียบเอารัด เป็นสถานะ ของสังคม ที่อวิชชาหรือโง่ ที่เขาเอง เขาไม่อยู่กันอย่างสงบ ไม่อยู่กัน อย่างเป็นสุข ไม่อยู่กันอย่างพี่น้อง ไม่อยู่กัน อย่างอิสรเสรี อยู่กันอย่างเป็นทาส แล้วก็ระแวงระวัง ระมัดระวังตัว ระแวง ไม่เป็นสุข ไม่สงบ ไม่สนิทใจ สะดุ้งหวาดไหวทุกข์ร้อน แต่พวกเรามาปฏิบัติตัว แล้วเราจะสงบ แล้วเราจะไม่สะดุ้ง สะเทือน ไม่เป็นโรคประสาท ไม่หวาด ไม่ผวา จะสงบ สบาย มักน้อย สันโดษ สะอาด บริสุทธิ์จริงใจ จะจริงใจ จะไม่มีอำพรางแฝง แต่ไม่ใช่โง่ จนกระทั่ง ไม่รู้จัก เรื่องแฝงๆ เรื่องพรางๆ เรื่องลวงๆ ของโลก รู้ รู้เท่าทันมากขึ้นด้วย อย่างนี้แหละเป็นคุณลักษณะ ของมนุษย์อริยะ หรือ อารยชน เป็นมนุษย์พัฒนา ไม่ใช่ด้อยพัฒนา คนเขาจะบอกว่าประเทศไทย เป็นประเทศด้อยพัฒนา ให้เขาว่าไป อาตมาว่า อเมริกาที่หลงตัวว่าเป็นมนุษย์พัฒนา เป็นจ้าวโลก อะไรนี่ เอาเถอะ แม้แต่ญี่ปุ่นก็ตาม เป็นมนุษย์พัฒนา แต่จิตใจลึกๆ เป็นอย่างไร เอาเปรียบเอารัด มีเชิงซ่อน เชิงแฝง มีเชิงระเริง บำเรอ ฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย ผลาญพร่า แย่งชิง เล่ห์เหลี่ยมมันมี มากแค่ไหน อย่างเรา เป็นคนซื่อสัตย์ จริงใจมากขึ้น เสียสละสร้างสรร แม้จะยังมีประสิทธิภาพ ในสมรรถภาพ ที่สร้างสรร ได้เก่งเท่าชาวอเมริกัน เก่งเท่าชาวญี่ปุ่นไม่ได้ก็ตาม แต่เราก็จะพัฒนา พยายามที่จะชำนาญ หรือ ว่าจะแข็งขันมากขึ้นกว่านี้

เอาละ อาตมาเทศน์ไปเทศน์มา ก็หมดเวลาแล้ว เราจะต้องเตรียมตัวกัน แล้วเราก็จะไป แล้วทุกคน ก็สังวรระวัง ถือว่าเราปฏิบัติธรรม ถือว่าเราสำรวมสังวรอินทรีย์พละ จิตใจที่เราจะต้องเป็นจิตใจที่ดี เป็นจิตใจที่ไม่ให้เกิดโลภ เกิดโกรธ ไม่ให้มีโลภะ โทสะ เห็นแก่ตัว พยายามที่จะสำรวมสังวร อบรมฝึกฝนตนไป เราปฏิบัติธรรมไปทุกขณะ ปฏิบัติธรรมไปทุกที่ แล้วเราก็จะเป็นอย่างเรา อันนี้ ก็เป็นบทฝึกหัด ที่มีองค์ประกอบ มีสนามฝึกหัดที่กว้างขึ้น เป็นบทบาทที่เราทำได้ เป็นเรื่องที่เราทำได้ เราจะเป็นไปอย่างนั้น

เอาละ สำหรับ วันนี้ก็พอ


ถอดโดย อารามิก ดงเย็น จันทร์อินทร์ ๒๔ มีนาคม ๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๑๔ เมษายน ๒๕๓๔
FILE:1463B


... อถโข ภควา อายสฺมนฺตํ สุทินฺนํ อเนกปริยาเยน วิครหิตฺวา ทุพฺภรตาย
ทุปฺโปสตาย มหิจฺฉตาย อสนฺตุฏฺ€ตาย สงฺคณิกาย โกสชฺชสฺส
อวณฺณํ ภาสิตฺวา อเนกปริยาเยน สุภรตาย สุโปสตาย อปฺปิจฺฉสฺส
สนฺตุฏฺ€สฺส สลฺเลขสฺส ธูตสฺส ปาสาทิกสฺส อปฺปจฺจยสฺส วิริยารมฺภสฺส
วณฺณํ ภาสิตฺวา ภิกฺขูนํ ตทนุจฺฉวิกํ ตทนุโลมิกํ ธมฺมึ .....
(พระไตรปิฎกบาลี เล่ม ๑ ข้อ ๒๐ หน้า ๓๗)