เมื่อใด "คน" จึงจะมี"ค่า" แก่ผู้อื่น หรือโลก

ถ้าอ่านหัวข้อเรื่องนี้แต่เพียงผิวเผิน ไม่คิดให้ดีก็จะงง แล้วก็คิดคำตอบออกมาผิดเป้า หรือผิดความจริงไปได้อย่างแน่ๆ แต่แม้กระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็เชื่อว่า ก็คงจะมีอีกมากคน ที่อ่านแล้วก็ยังนึกคำตอบออกมาไม่ได้ หรือแม้ได้ ก็ผิดเอาอย่างจริงๆจังๆเสียด้วย ไม่เชื่อ ลองติดตามอ่านดู

ที่นึกคำตอบออกมาไม่ได้นั้น ก็เพราะไม่รู้ว่า "คน" คืออะไร? นั่นเป็นความสำคัญข้อใหญ่ "คน"อยู่เพื่ออะไร? อีก เป็นความสำคัญ ข้อรองลงมา เอาล่ะ ข้าพเจ้าจะไม่จาระไนออกมาให้ยืดยาวล่ะว่า "คน"คืออะไร? เพราะโดยจริง ทุกคนก็คงพอจะรู้ๆว่า "คน"ก็คือ "ชีวิต" ที่ต้องดิ้นรนอยู่ในโลก แต่ในที่นี้ ข้าพเจ้าอยากจะคุยกัน ในประเด็นที่สองมากกว่า คือ "คน"อยู่เพื่ออะไร? นั่นเป็นประเด็น ที่ตรงกับหัวข้อ หรือชื่อเรื่อง

"คน"เกิดมาแล้ว มี"ชีวิต"อยู่เพื่ออะไร? เดี๋ยวก็จะได้ทราบ แต่ก่อนจะไปกระจ่างใจว่า คนอยู่เพื่ออะไรนั้น ข้าพเจ้าอยากจะชี้ให้เห็นว่า "คน"นั้น ยิ่งเวียนเกิดเวียนตาย มากรอบมากวัฏฏะเข้าไปเท่าใด ก็ยิ่งมี"จิตใจ" คิดเฉลี่ยแล้ว ยิ่งเลวลงและต่ำลงไปทุกวันๆ นี่เป็นความจริงแท้ โลกยิ่งมีอายุมากขึ้นเท่าใด "คน" อันคือ "จิตใจ" หรือ "วิญญาณ"ของโลก ก็ยิ่งนับวันจะถูก"กิเลส" เกาะและพอก เข้าไปๆ หนาขึ้นมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้น ถ้า "คน" ผู้ใด รักจะมีชีวิตอยู่ โดยไม่มองให้เห็นความจริงแท้ ในแง่นี้มุมนี้บ้าง ก็เป็นของแน่นอน "คน"ผู้นั้น ก็ย่อมจะต้องเป็นอยู่ ให้เหมือนกับ "คน"ทั่วๆไปทั้งหลายเขา นั่นคือ จะต้องมีจิตใจต่ำลงเลวลงไปตามลำดับ ด้วยหลักแห่งความแท้จริง นั่นเพราะเหตุอะไรหรือ ก็เพราะว่า ในโลกนี้หรือโลกไหนก็ตาม สิ่งอันใดที่จะทรงอยู่ได้ ก็คือ "ความสมดุล" ถ้ามีซ้ายก็มีขวา มีชั่วก็มีดี ทำความสมดุลเอาไว้ ถ้าส่วนใดสิ่งใดมาก ก็จะฉุด หรือมีน้ำหนักมาก ถ่วงตัวเองลงไปสู่ทางนั้น เทียบง่ายๆ คนคือ "ชีวิต" คนจะต้องมีหิว (หรือไม่ได้กิน) กับอิ่ม (คือได้กิน) ถ้าผู้ใดเอาแต่หิว ผู้นั้นก็จะต้องดับ"ชีวิต"ลงเร็ว ผู้ใดเอาแต่อิ่ม ผู้นั้นก็ย่อมจะดับ"ชีวิต" ลงเร็วเช่นกัน ถ้าผู้นั้นกินแต่พอดี ไม่หิว และไม่อิ่มไป ไม่เกินไปไม่น้อยไป พอดีจริงๆ คนผู้นั้น ก็จะมี"ชีวิต"ยืนนาน เป็นพิเศษทีเดียว

ดังนั้น มีใครคิดบ้างไหมว่า "โลก"ที่เราอยู่ทุกวันนี้ แย่ลงทุกวัน "ชีวิต"ของโลก บาดเจ็บลงไปทุกวัน ถูก"จิตใจ" หรือ"วิญญาณ" อันคือคนนี่แหละ บ่อนทำลายลงไปทุกวันๆ ("ชีวิต" ประกอบด้วย "ลูกโลกทั้งหมด" เป็น "กาย" และ "ชีวิตคน" นั่นแหละ เปรียบได้กับ "จิต" หรือ "วิญญาณ" ของโลก) และโลกก็จะต้องตาย หรือหมดชีวิตลงในอนาคตแน่ๆ คือจะแตกสลายในที่สุด ถ้า"คน"ดีขึ้น มากกว่าเลวลง กว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ชีวิตของโลก ก็จะแตกทำลายช้าลงกว่านี้ ถ้าโลกมีคนดีหรือความดี เท่ากับคนเลวหรือความเลว โลกนี้จะอยู่ได้นิรันดรกาล แต่เพราะเหตุว่า โลกขาดสมดุลลงไปทุกวันๆ "คน"เลวลงมากกว่าดีขึ้น โลกจึงจะต้องแตกทำลายเร็วขึ้น นั่นเป็นหลักแห่งความจริง และนั่นคือ "โลก"ขณะนี้ กำลังใกล้วันจะแตกลงไป ทุกทีๆ

เอาละ เรามาแยกแยะอธิบาย ให้เห็นซิว่า สิ่งที่วัดให้เห็นว่า "คน"นั้น จิตใจต่ำลงเลวลงโดยไม่รู้ตัว กันอย่างไร?

ขึ้นชื่อว่า "คน" ก็คือ ผู้ที่เกิดมาก็ดิ้นรน เพื่อที่จะให้ตนอยู่อย่างดีที่สุด ซึ่ง"ความรับรู้" ที่เคยมีในจิตใจโดยธรรมชาติก็คือ "ได้ "รับรู้" มาว่า "ผู้ที่อยู่ดีที่สุด" ก็คือ ผู้ที่มีสิ่งใดๆ มาให้ทวารทั้ง ๕ "เสพ" ได้สมใจหรือบริบูรณ์ ตามใจได้มากที่สุด ไม่มีอื่นเป็นเด็ดขาด จึงเรียกว่า "คน" ตาจะต้องให้เห็น สิ่งที่อยากเห็นให้ถูกใจถึงใจ หูก็จะต้องได้ยินได้ฟังเสียง ที่อยากฟังให้ถูกใจถึงใจ ลิ้นจะต้องได้แตะได้รับรส ที่อยากแตะให้ถูกใจถึงใจ จมูกจะต้องได้กลิ่นได้ดม สิ่งที่อยากให้ถูกใจถึงใจ และ ส่วนเนื้อหนังมังสาร่างกาย ทุกส่วนแหละ ก็จะต้องได้แนบ ได้เสียดสี ได้แตะต้องกับสิ่งที่ชอบ ที่อยากให้ถูกใจถึงใจ มีเท่านี้จริงๆ คือ"คน" รับรองว่าไม่มีอื่นอีกเลย ที่"คน" ดิ้นรนปรนเปรอให้ตน อยู่ในทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อได้สิ่งเหล่านี้ มาให้ตนได้มากที่สุด ก็ดีอกดีใจว่าสุขที่สุด ผู้ที่อยากอยู่ แต่ยังไม่สมใจอยาก ก็พยายามเหน็ดเหนื่อย ดิ้นรนให้ได้มา ถ้าได้มาบ้างแล้วนิดหน่อย ก็อยากได้มากขึ้น ความพอหรือความจบไม่มี เพราะตัวอย่าง ผู้ที่เขามีมากกว่า หรือสุขมากกว่า มีอยู่รอบตัว ความสุดใจหรือ"ถึงใจ" อย่างแท้จริง จนเรียกว่า "จบ" จึงไม่มี

นั่นคือ "คน" คือผู้อยู่เพื่อ"เสพสิ่งทั้ง ๕" นี้ คือ"เสพกามคุณ"นั่นเอง มีหน้าที่อยู่เท่านี้ ยังไม่ตายตราบใด ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็น "คน"ละก็ ต้องทำหน้าที่ "ดิ้นรน" เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เพื่อสะสมเงินทอง หรือชื่อเสียง อันแยกออกไป เรียกเป็นหลักใหญ่ๆได้ว่า ลาภยศสรรเสริญ เพื่อนำมาให้ตน แล้วก็ใช้ลาภยศสรรเสริญนั้นๆ แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งต่างๆ อันจะเป็น"อาหาร" นำมาให้ทวารตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย นี่แหละเสพ และผู้"รับรู้รส" นั่นคือ"ใจ" และต้อง"ถูกใจถึงใจ" ก็จะเกิดอาการ"สุข"

เมื่อผู้ใดเหน็ดเหนื่อย หามาได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นลาภก็ดี ยศก็ดี เป็นสรรเสริญก็ดี คือสิ่งที่ถือว่า เป็นของมี"ค่า"ทั้งนั้น เพราะลาภ-ยศ-สรรเสริญ-นี่แหละ มันจะแปรเปลี่ยน หรือให้คุณ ให้ผลออกมาเป็น"อาหาร" เพื่อให้ทวารทั้ง ๕ เสพได้ ยิ่งมีลาภมากๆ ก็ยิ่งจะเห็นชัด เพราะลาภส่วนมาก เป็น"วัตถุ" เป็นส่วนใหญ่ ยิ่งถ้ากล่าวว่า ได้เงินทองมามากๆ ก็จะเรียกได้ลาภมาก เป็นลาภแท้โดยตรงทีเดียว ถ้าได้ยศ ได้สรรเสริญ ก็ยังเป็น"ลาภ"ทางอ้อม ยังเป็นเพียงลาภที่ต้องรอคอยผล ซึ่งจะตามมาทีหลัง นั่นคือ ถ้าจะเรียกให้สั้น และให้ตรงๆเลยทีเดียว คนทุกวันนี้ ก็ต้องการเงินทอง กับเกียรติยศชื่อเสียง นั่นแหละ คือลาภ กับ ยศ-สรรเสริญ และผลที่เป็นตัวเป็นตนชัดที่สุด ก็คือ ต้องแปรทั้งเงิน ทั้งเกียรติยศชื่อเสียงนั้น ออกมาเป็น "อาหาร" (ในที่นี้ มิได้หมายความ แค่ข้าวปลา แต่หมายถึงทุกอย่าง) ให้หู-ตา-ลิ้น-จมูก -กายเสพ เป็นขั้นสุดท้าย อันเรียก รูปที่ได้เสพถูกใจถึงใจ รสที่ได้เสพถูกใจถึงใจ เสียงที่ได้เสพถูกใจถึงใจ กลิ่นที่ได้เสพถูกใจถึงใจ สัมผัสเสียดสี ที่ได้เสพถูกใจถึงใจ และเมื่อ"ถูกใจถึงใจ" ก็เรียกอาการนั้นว่า "รสอร่อย" แล้วการ"เสพรสอร่อย" ก็จะเป็นไปอย่างไม่รู้จบ ตราบวัน "ชีวิต"ตายลง และก็ยังไม่จบลงได้ ก็ยังจะเกิดวนเวียนมา"เสพ" มันใหม่

ลองคิดดูเถิดว่า เห็น"ค่า"ของชีวิตหรือยัง? ลาภ-ยศ-สรรเสริญ เป็น"ค่า"ของชีวิตได้ไหม? ถูกต้องแล้วหรือยัง?

ตราบใด "คน"ยังไม่ได้คิด ยังไม่ได้วินิจฉัยให้ถ่องแท้ และยังไม่รู้ว่า ตนเกิดมาเพื่ออะไร? ก็จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า คนนั้นอยู่เพื่ออะไร? แม้เพียงเพื่อเสพ สิ่งทั้ง ๕ ตามทวารที่มีนี้ เท่านั้น ก็ยังไม่มีโอกาสรู้ตัว คงได้แต่หน้ามืดตาบอด ดิ้นรนเหน็ดเหนื่อย ไขว่คว้า"อาหาร" ที่ดีขึ้น-ดีขึ้น ไปเรื่อยๆก็แล้วกัน อยู่อย่างมีข้าวกับน้ำพริก กินทุกมื้อทุกวัน ก็ให้น้อยเนื้อต่ำใจ อยากกินผัด กินแกงชั้นดี อยากกินหมูหัน เป็ดย่าง อยู่อย่างมีขาสองขา เดินโหน"รถเมล์" ก็ให้น้อยเนื้อต่ำใจ พยายามหาเงินมาให้ได้มากๆ เอาไปซื้อ"รถ" มาทำ"เมล์" จนตัวเองไปไหนๆ เพราะขับเองไม่เป็น ก็จ้างคนมาขับ แล้วตัวเองนั่ง หรือแม้ขับเองเป็นแต่ไม่ขับ เพราะ"หลง" ในยศในศักดิ์ ก็นัยเดียวกัน คือให้ผู้อื่น ขนพาตัวเองไปนั่นเอง จึงเรียกว่า "รถเมล์"เหมือนกัน แต่จ้าง"คนขับ"เฉพาะตัว และจองการนั่ง เฉพาะตัวเสียด้วย การใช้จ่ายก็แพงขึ้น เงินที่จะต้องหามา ก็ต้องให้มากขึ้น ผลแท้ๆของมันก็คือ เพื่อ"การไป"นั่นเอง แต่"ไป" โดยให้คนได้เสพความสบาย ความโก้ ความหรูหรา แม้จะเป็นการ"เสพ" เรื่องอื่นอย่างอื่น ก็นัยเดียวกัน

ทีนี้ ลองมาพิจารณา ความเป็น"ค่า" ของชีวิตจริงๆดูซิว่า อย่างไรมันคือ"ค่า" หรืออย่างไร มันจึงจะเหมาะควร เรียก "ค่า"กันได้อย่างแท้

จะขอไล่มาจากตัวของเรา หรือตัวของคนเลยทีเดียว ถ้า"คน" คือแท่งท่อนที่ไม่มีชีวิตจิตใจ มันก็ไม่เสพอะไร เมื่อมันมีชีวิตจิตใจ ที่ยังหลงอยู่ ยังไม่บรรลุรู้แจ้ง มันก็จะเสพกามคุณ ๕ ดังได้กล่าวแล้ว เป็นธรรมดาของคน ดังนั้น สิ่งที่จะเสพโดยตรง คือ "รูป"ที่ตาเห็น ทันทีแท้ๆ เดี๋ยวนี้ทันที เช่น มีดอกกุหลาบงาม กับมีตา ที่จะเกิดการ"เห็นรูป" และพยายามให้ถูกใจถึงใจ "รส" ที่ลิ้นได้สัมผัสจริงๆ

เดี๋ยวนี้ มีของกิน มีลิ้นแตะ และพยายามให้ถูกใจถึงใจ หรืออื่นๆอีกทั้ง ๕ ทวาร นั่นแหละ เรียกว่า สิ่งที่"คน"พึง"เสพ" เป็น"อาหาร" ขั้นแรก เป็นของจริง ถูกตัวถึงตัวจริงๆ ดังนั้น ถ้าผู้ใดมีอาหารที่ว่านั้นบริบูรณ์ อยากเสพเดี๋ยวนี้ ก็มีเสพได้ทันที ถ้ายิ่งดีเยี่ยมด้วย รูป-กลิ่น-เสียง-สัมผัสกายครบ ก็นับว่าเป็น"ค่า"ยิ่งแล้ว สำหรับผู้ได้เสพนั้น นี่คือ "ค่า"ชั้นที่หนึ่ง และเป็น"ค่า" สำหรับผู้เสพคนเดียวเท่านั้น คนอื่น ผู้ไม่ได้เสพด้วย จะไม่เห็นว่า มันเกิด"ค่า" หรือมี"ประโยชน์"กับเขากัน ตรงไหนเลย เพราะเขาไม่ได้เสพด้วย เขาไม่ส่วนกับ"อาหาร" ดังกล่าวแล้วนั้น (โปรดเข้าใจให้ดีว่า "อาหาร"ที่ว่านี้ ไม่ได้หมายความเฉพาะ ของรับประทาน หรือของเสพทางปาก สัมผัสรสทางลิ้น เท่านั้น ที่เสพทางหู ตา จมูก กาย เรียกว่า "อาหาร" ด้วย)

เพราะฉะนั้น จะเรียก"อาหาร" ที่ว่านี้เป็น"ค่า" ก็เรียกได้เพียงว่า "ค่า"ของชีวิตแต่ละคนเท่านั้น ซึ่งเล็กน้อยจริงๆ แคบจริงๆ หน่วยเดียวเท่านั้น ผู้อื่นผู้ใดไม่ได้เสพด้วย ไม่มีสิทธิ์เอ่ยว่าเป็น"ค่า" เป็น"ประโยชน์"ได้เลย นี่คือ "ค่า"ชั้นต่ำสุด เท่าที่จะต่ำได้ โดยยังไม่ออกไปจากตัวเอง ถึงผู้อื่นเลย

ดังนั้น จงสำนึกเถิดว่า อาหารหู อาหารตา อาหารลิ้น อาหารจมูก อาหารกาย ทั้งหลายนั้น มันมีค่าแคบที่สุด ดังได้ลองวิจัยกันออกมานี้ จึงไม่ควรจะหลงใหล เหน็ดเหนื่อย เป็นทาสมันได้มากมายนัก และโดยแท้แล้ว จะเรียกว่า มันมี"ค่า" สำหรับ"ผู้อื่น" หรือสำหรับ"โลก" ไม่ได้เลยเป็นอันขาด ผู้ใดตั้งหน้าตั้งตาใฝ่ให้แก่ตัว หรือมุ่งมั่นหามาเสพแต่ถ่ายเดียว อย่างไม่ลืมหูลืมตา ก็คือ ผู้ไม่มี"ค่า" หรือ"ประโยชน์" ใดๆแก่"ผู้อื่น" หรือแก่ "โลก"เลย แม้เท่าขี้เล็บ เรียกได้ว่า ผู้เห็นแก่ตัว และเห็นแก่เสพ อย่างเต็มประตู

ทีนี้ "คน" ทุกคนเหน็ดเหนื่อย ในขั้นต่อไป นอกจากเพื่อ"อาหาร" อันเป็น"ค่า"ส่วนตัวโดยตรงนั่นแล้ว เขาเหน็ดเหนื่อยเพื่ออะไรอีก เมื่อตรวจตราไตร่ตรองกันแล้ว ก็จะเห็นว่า เหน็ดเหนื่อยเพื่อ"ลาภ" ลาภในที่นี้ ห่างขึ้นมาจาก"สิ่งที่เสพ" แท้ๆตรงๆนิดหนึ่ง ทุกวันนี้ เราใช้เงินทอง เป็นแก้วสารพัดนึกกันทั้งโลก ดังนั้น "ลาภ"ตัวแท้ ก็ต้องคือ "เงินทอง"นั่นเอง นอกกว่านั้น จะเป็นเพชรนิลจินดา เป็นสมบัติ วัสดุอื่นใดก็ตาม อันจะแปรเปลี่ยน ซื้อขายออกมาเป็นเงินทองได้ ก็ถือว่าเป็น"ลาภ"ทั้งสิ้น และ"ลาภ"เหล่านี้ ก็ยังคงเป็น"ค่า"ส่วนตัว อยู่นั่นเอง เป็นแต่เพียงว่า มันยังเสพเจ้าลาภนั้น เข้าไปไม่ได้ทันทีตรงๆ เท่านั้น แต่มันก็จะคืออุปกรณ์ ในการจะไปแลกเปลี่ยน ไปแปรมาเป็น"อาหาร" (สิ่งที่เสพ) เพื่อให้ทวาร ๕ แห่งตนเสพนั่นเอง ดังนั้น ถ้าใครรัก"ลาภ"เหล่านั้น หวงแหนไว้เป็นของตัว ไม่ให้กระเด็นเลย แม้แต่เศษแต่เสี้ยวนิดน้อย "ลาภ"นั้น ก็เท่ากับ"อาหาร" ของผู้เป็นเจ้าของ"ลาภ"นั้นเท่านั้น และจึงมี"ค่า" เท่ากับ "อาหาร" เช่นเดียวกัน หา"ค่า"อื่นนั้นไม่ได้เลย "ลาภ"ในลักษณะหวงแหนเช่นนี้ จึงย่อมเท่ากับ"ไร้ค่า" สำหรับ"ผู้อื่น" หรือ"ไร้ค่า" สำหรับ "โลก" อีกเช่นเดียวกัน "คน"ผู้อยู่เพื่อเสพโดยลักษณะนี้ ก็คือ คนเห็นแก่ตัว ไร้ค่า ไร้ประโยชน์อยู่เช่นเคย

ทีนี้ ก็พิจารณาๆกันถึงขั้นต่อไปว่า "คน" เหน็ดเหนื่อยเพื่ออะไรกันอีก ก็คงพอจะนึกออกกันได้ว่า ต่อจากลาภ ก็คือ"ยศ" คนผู้เหน็ดเหนื่อย เพื่อ"ยศ"นั้น ก็อีกหนะแหละ คิดดูให้ดี ก็ไม่พ้นไปจากตัวเองได้ อยู่อีกนั่นเอง ยิ่งผู้เป็นข้าราชการแล้ว แน่ๆเลย ต้องปรารถนา"ยศ" อันหมายถึง เงินเดือนเพิ่มมากขึ้น และเงินเดือนหรือรายได้นั้น คืออะไรล่ะ ก็คือ"ลาภ" และ"ลาภ"อันถ้าผู้เป็นเจ้าของลาภ หวงแหน ไม่ให้กระเด็นเลย ก็คือ "อาหาร"ของผู้นั้นอีกเช่นเคย ดังนั้น "ยศ" ก็ไม่ได้มี"ค่า"อันใด สำหรับ"ผู้อื่น" หรือสำหรับ"โลก"อีก โดยนัยเดิม "คน"ผู้นี้ก็คือ สิ่งรกโลกชิ้นหนึ่ง อันไร้ค่าไร้ประโยชน์ ต่อผู้อื่นต่อโลกเช่นเคย

ต่อจาก "ยศ" สิ่งที่ผู้คนยอมเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพื่อมัน ก็คือ"สรรเสริญ" อัน"สรรเสริญ"นั้น ถ้าแปลตรงตัวก็คือ "ยกย่องเชิดชู" หรือ "ผู้อื่นต่างนิยมชมชื่น" นั่นเอง แล้วลองคิดดูซิว่า ผู้ที่ต้องการ"การยกย่องเชิดชู" หรือต้องการ"ความนิยมชมชื่น" จากผู้อื่นนั้น เขาจะต้องการไปทำไม ถ้าไม่ต้องการไปเพื่อประโยชน์ในทางอ้อม อันผลสุด ก็จะได้มาซึ่ง"ลาภ" นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น นักร้องคนหนึ่ง ทำมาหากิน ด้วยอาชีพร้องเพลง ก็ย่อมต้องการ"ความนิยมชมชื่น" จากประชาชน หรือย่อมต้องการ"ความยกย่องเชิดชู" ของมหาชน เพื่อการหากิน จะได้กว้างไกล จะได้สะดวก จะได้มากยิ่งขึ้น นั่นคือผล หรือแม้ข้าราชการก็ดี พ่อค้าก็ดี ก็นัยเดียวกันทั้งสิ้น เป็นแต่ว่า "สรรเสริญ" มันเป็น"อาหาร" ที่เดินทางช้า กว่าจะแลกเปลี่ยน จะแปรรูปมาเป็น"อาหาร" ให้เจ้าตัวผู้ได้รับเสพ แต่ก็ไม่พ้น"อาหาร" นั้นไปได้เช่นกัน หากผู้ใด ยังต้องการ"สรรเสริญ"อยู่ ก็จงทราบเถิดว่า ไม่ได้ต้องการไปเพื่อเหตุอันใดเลย นอกจากเพื่อผลแท้ คือ แปรไปเป็น"อาหาร" มาเพื่อเสพนั่นเอง ดังนั้น "คน" ผู้ยังใฝ่ปรารถนา"สรรเสริญ" ก็ดี ก็คือสิ่งที่ไม่มี"ค่า" สำหรับ"ผู้อื่น" และยังไม่มี"ค่า" สำหรับ"โลก" อีกเช่นเคย

นั่นคือ "คน"ผู้อยู่อย่างรกโลก "คน"ผู้มี"โลกธรรม ๔" คือ เสพสุข ลาภ ยศ สรรเสริญ จึงได้ชื่อว่า หาค่าใดจาก "คน"ผู้นี้ไม่ได้เลย เมื่อรู้ และ พิจารณากันละเอียด มาถึงขนาดนี้แล้ว ลองตรองดีๆกันสักนิดเถอะว่า จะหา"คน"ที่มีค่า มีประโยชน์กันได้จากใครบ้าง ผู้ที่เราควรจะรู้จัก ง่ายที่สุด ก็ต้องพิจารณากันไป เป็นขั้นๆ อีกดังนี้

ขั้นแรก เรามาดูการ"เสพ" ของ"คน" กันเสียก่อน

"คน" คือผู้ยังเสพกามคุณ ๕ อันคือยึด รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัสเสียดสีทางกาย เป็น"อาหาร" อยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ นั่นคือ"คน" และ การเสพของเขา ก็คือ การบังเบียดผู้อื่นมา และโดยการบังเบียดตน อันเป็นพฤติกรรมแท้ๆ

บังเบียดผู้อื่นมานั้น ไม่ต้องพูดกันมากก็รู้ว่า ไปเอาเปรียบผู้อื่นมา เพื่อให้ตนได้เสพดีกว่าเขา ได้เสพมากกว่าเขา จะด้วยวิธี เอารัดเอาเปรียบ โดยนัยตรง คือ"โกง" หรือฉ้อ หรือฉก เขาซึ่งๆหน้าก็ตาม หรือจะด้วยวิธีทางอ้อม คือ อาศัยฤทธิ์ของอำนาจ ฤทธิ์ของศักดา ฤทธิ์ของเงินทอง ฤทธิ์ของสมองปัญญา หรือฤทธิ์ของการให้ผู้อื่น ยินยอมเสียเปรียบ โดยกรรมวิธีรักใคร่เอ็นดู โอนอ่อนอย่างไรก็ตาม ล้วนเรียกว่า ผู้เสพนั้นเอาเปรียบผู้อื่น คือ บังเบียดผู้อื่นทั้งสิ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ไม่สนับสนุนเลย

ทีนี้ บังเบียดตนเอง นี่สิ เป็นเรื่องควรรู้ ควรเข้าใจได้มาก "คน"แทบทุกคน นึกไม่ออก คิดไม่ได้ว่า ตนเองบังเบียดตนเอง อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แทบจะเรียกได้ว่า ทุกนาที ทุกวินาทีทีเดียว ยิ่งผู้ใด "เสพ"หนัก "เสพ"ไม่วรรคไม่เว้น "เสพ"ทั้งทางกาย "เสพ"ทั้งทางใจ ตลอดขณะจิตเต้นละก็ ยิ่งเป็นผู้บังเบียดตัวเอง เหลือขนาดที่สุด

การ "เสพ" นั่นแหละ คือการ"บังเบียดตัวเอง"หละ คิดให้ดีนะ การ"เสพ" ซึ่งได้อธิบายมาแล้วแต่ต้น ทั้งหมดทั้ง ๕ ทวารนั่นแหละ คือ การ"บังเบียดตัวเอง" ผู้ใดยังเสพรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัสอยู่ ยังละเว้นไม่ได้ นั่นแหละคือ ผู้ยัง"บังเบียดตัวเอง"อยู่ พยายามทำความเข้าใจให้ดี ถ้าไปแย่งคนอื่นมา ดังได้กล่าวแล้ว เรียกว่า "บังเบียดผู้อื่น" แต่ถ้าได้มาแล้ว แล้วก็นำมาเสพเข้าไป นั่นแหละ คือ "บังเบียดตัวเอง" ทำไมถึงเรียกว่าบังเบียดตนเอง ก็คือ "คน"นั้น กว่าจะได้สิ่งต่างๆ ทั้ง ๕ นั้นมา"เสพ" ก็ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องใฝ่หาควานคว้า จึงจะได้ อยู่ดีๆ จะมีเองมาให้เสพนั้น มันยาก ดังนั้น ที่ทุกคนดิ้นรน ประกอบกิจ ประกอบการทำงานใดๆ อันแบ่งกัน เป็นชั้น เป็นขั้นต่ำขั้นสูงอย่างไร ก็ตามในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่เขาทำกัน เขาเหน็ดเหนื่อยกัน เพื่อให้ได้มา ซึ่งรูป-รส-กลิ่น -เสียง -สัมผัส เป็นประการสุดท้าย ให้ตนทั้งสิ้น นอกจาก รูป-รส-กลิ่น-เสียง -สัมผัสนี้ ก็จะมีของจำเป็นจริงๆ สำหรับร่างกายคน อยู่นิดหน่อย เท่านั้น นั่นคือ

๑."อาหารแท้" ที่จะเข้าไปสังเคราะห์ในร่างกาย ให้ร่างกายทรงอยู่ได้ อันมีแป้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรท น้ำตาล และอื่นๆ อีกเล็กน้อย

๒.เครื่องนุ่งห่ม อันกันหนาวกันร้อน แมลงสัตว์กัดต่อย

๓.สถานที่ ที่จะให้ร่างกายมันอยู่ นั่ง ยืน เดิน นอน หลบร้อนหลบหนาว เพราะกายเป็นแท่ง มีรูปร่าง มีเนื้อที่

๔.ยารักษาโรค อันนี้ ไม่ใช่จำเป็นตลอดเวลา เมื่อมีโรคเท่านั้น จึงจะจำเป็น

มีเท่านั้นเอง คือของแท้ของจริง ที่ "คน"ต้องกินและใช้อย่างแท้จริง อันไม่เรียกว่า"เสพ" ต้องมีพอดีพอควร นอกกว่า ๔ อย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องใช่ราวอะไรเลย ที่จะต้องวุ่นวาย ดังนั้น ผู้ใดเสพอาหาร (ของกิน) ก็จะต้องเสพให้ได้ อาการสุขไปด้วย"รส" และ "รส"ต้องดี ถ้าไม่ดี ก็ไม่ถือว่าได้"เสพ" ทีนี้จะได้"รส"ดีเท่าใด ก็ต้องเลือกหา การเลือกหาเป็นการเหน็ดเหนื่อย ชั้นที่หนึ่ง คือ ต้องเสียเวลา เสียแรงไป บางทีกว่าจะคิด กว่าจะเลือกได้ ใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ และเลือกได้แล้ว กว่าจะได้กิน กว่าจะเดินทางหรือไปหามา ก็อีกตั้งนาน หรือต้องไปตั้งไกล ต้องเสียค่าใช้จ่าย ค่ารถ ค่าเดินทาง อันต้อง"จับจ่าย"เงิน หรือ"ลาภ" ที่ตัวเองเหน็ดเหนื่อยหามานั้นทั้งสิ้น เพียงเพื่อ จะเอาของจำเป็นแท้ๆ คือ แป้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ฯลฯ ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น เข้าไปไว้ในร่างกายเท่านั้น แต่ช่างกระไร "บังเบียดตนเอง"เสีย กว่าจะได้จัดการ เอาใส่ท้องเข้าไปได้ ก็ต้องจ่ายโน่นจ่ายนี่ ไม่รู้กี่ชั้น เพียงเพื่อจะได้เสพ รูป-รส -กลิ่น -เสียง -สัมผัสกาย ประกอบด้วย "อาหารแท้ๆ" นั้นลงไปไว้ในกระเพาะ เท่านั้น ดูทีรึว่า "บังเบียดตนเอง"แค่ใด? ถ้าเราไม่ต้องเห็นแก่ รูป -รส -กลิ่น -เสียง -สัมผัสเหล่านั้น เราก็ย่อมกิน"อาหารจริงๆ" อันใดก็ได้ ที่มันมีแป้ง โปรตีน ฯลฯ ที่จำเป็นดังกล่าวแล้ว เข้าไปไว้เท่านั้น ก็จะไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ไม่ต้องดิ้นรน ทุรนทุกราย ให้เป็นวรรคเป็นเวร อย่างที่เป็นอยู่กันอยู่นี้เลย คิดให้ดีเถิด นี่แหละคือ สภาพของ "คน" สภาพของผู้"บังเบียดตนเอง" อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย และก็เป็นกันอยู่ เต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ยักมีใครยอมคิดเห็นได้ หลงกันอยู่ มัวเมากันอยู่อย่างนั้น "เสพอาหารแท้ๆ" เข้าไปในกระเพาะ ก็ต้องจ่ายค่า"เสพ" สะบั้นหั่นแหลก แพงเหลือคณา กว่าจะได้เสพ เอาอาหารจริง อาหารแท้ เพียงไม่เท่าไหร่ เข้าไปไว้ในกระเพาะ ก็กินเวลา กินทั้งสถานที่ กินทั้งเหตุการณ์ และกินทั้งเรี่ยวแรงเข้าไป เปลืองไปเหลือจะคำนวณ ยิ่งผู้ใด กินข้าวในไนท์คลับในบาร์ มีพร้อมแม้ดนตรีเสียงเพลง นั่นแหละ จะเห็นเป็นตัวอย่างได้ชัดเจนยิ่ง แล้วอะไรกันละ ที่ว่า"ทุกข์?" อะไรกันละที่ว่า"สุข?" ไปกินอย่างนั้นได้"สุข"หรือ? ที่ต้องเสพสิ่งที่ไม่มี"ค่า"จริง ไม่มี"ประโยชน์"แท้ ดังที่ได้อธิบายมาแต่ต้น คือ รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส แต่ต้อง"จับจ่าย" ไปเพื่อ รูป-รส-กลิ่น ฯลฯ พวกนี้ไปมากมาย อันกว่าจะหา"ลาภ" มาไว้ เพื่อ"จับจ่าย"นั้น ต้องเหน็ดเหนื่อยเท่าใด? ลองคิดดูให้ดีว่า เป็น"ทุกข์" หรือเป็น"สุข" การไม่เหน็ดเหนื่อยลนลาน น่าจะเรียกว่า"สุข" เราไม่เหนื่อยได้เท่าใด ควรจะเรียกว่า"สุข"เท่านั้น ไม่ใช่ว่า เราเหน็ดเหนื่อยมากๆ เพื่อให้ได้"ลาภ"มามาก แล้วก็เอาไป เลือกจ่ายในที่แพงๆ ที่ๆมีรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส ครบๆ แต่แพงๆ แล้วแท้จริงก็ได้ "อาหารแท้ๆ" (คือ แป้ง โปรตีน ฯลฯ) เข้าไปในกระเพาะ เท่ากับที่ๆ ไม่มีรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส ครบเหมือนกัน แต่ได้จ่ายไปแล้ว ที่อุตส่าห์หามาแทบตาย หมดไปแล้ว แทนที่จะเอาไว้ซื้อ "อาหารแท้ๆ" ได้มากกว่านั้น ก็เอาไปถลุง เพราะเพียงเพื่อเพิ่ม รูป-รส-กลิ่น ฯลฯ เท่านั้น คิดดูเถิดว่า "บังเบียดตนเอง" มากเท่าใด "ทุกข์"มากเท่าใด?

"คน" ผู้ไม่ยอมเลิก ก็ยังจะมองไม่เห็น ก็คงยอมเชื่อเขาหลอก ยอมตายอย่างเขา โดยเขาโพนทะนาว่า"อร่อย" โพนทะนาว่า"โก้" โพนทะนาว่า"หรูหรา" โพนทะนาว่า"เป็นคนชั้นสูง" โพนทนาว่า"มีรสนิยมสูง" ผู้โพนทนา ก็พยายามสารพัดจะหาเรื่อง หาข้อมาหลอก เพื่อจะได้"บังเบียด (เอาเปรียบ) ผู้โง่เง่าที่หลงลม ตามคำหลอก เอา"ลาภ"มาให้ตน ผู้ถูกหลอกก็ยอม"โง่" ไป"ติดกับ"เขา โดยยอมให้เขา "บังเบียด" เอา"ลาภ"ตนไป แถมยัง "บังเบียดตนเอง" ดังกล่าวแล้ว อย่างไม่มีใครช่วยได้เลย ถ้าไม่คิดจะช่วยตัวเอง

นั่นคือ "ความจริง" นั่นคือ ความแท้ ถ้าใครคิดเห็นจริงได้ และปฏิบัติได้ คือหักห้ามใจ หรือมองให้เห็นจริงว่า รูป-รส-กลิ่น-เสียง -สัมผัสกาย อะไรนั้น มันไม่ใช่ของจำเป็น ถ้าตัดได้ ไม่เสพได้ ก็จะสบาย ไม่เหน็ดเหนื่อย ภาระก็น้อยลง จะป็นผู้ประหยัด เป็นผู้ง่าย ผู้สะดวกสบายอย่างแท้จริง ถ้าคนผู้นี้ ผู้ตกอยู่ในภาวะสะดวกสบาย หมดภาระ ไม่เหน็ดเหนื่อย เป็นคนประหยัดโดยตนเอง เป็นคนง่ายต่อตนเอง และต่อคนอื่นด้วยดังนี้ ไม่เรียกผู้นี้ว่า มี"ความสุข" จะเรียกผู้ตกอยู่ในภาวะดังนี้ว่าอย่างไร? ใครๆช่วยคิดกันด้วย!

การเสพด้านอื่นๆ จะเป็นการนุ่งห่ม แต่งตัวก็ดี การมีสถานที่อยู่อาศัยก็ดี ก็เหมือนๆกัน นัยเดียวกันทั้งนั้น ถ้าเราไม่หลงโง่จะเสพ จะเอารูป เอารส เอากลิ่น เอาเสียง เอาสัมผัสกาย เข้ามาประกอบละก็ เครื่องนุ่งห่ม ก็เพียงกันหนาวกันร้อน กันแมลงสัตว์กัดต่อย สถานที่อยู่ ก็เพียงเพื่อให้ร่างให้กาย มันหลบร้อนหลบหนาว เข้านั่งเข้านอนอะไรอยู่ได้ เท่านั้น ก็เพียงพอแล้ว นั่นคือ "ผู้รู้" อันเป็นผู้รู้อย่างแท้จริง ที่เราเรียกเป็นภาษาบาลีว่า "พุทธะ" หรือ ผู้พ้นอวิชชานั่นเอง "พุทธศาสนา" คือเรื่องอย่างนี้ ไม่มีเรื่องที่จะ"รู้" อย่างอื่นใด "พระพุทธเจ้า" รู้อย่างนี้ และสอนอย่างนี้ พระองค์ "รู้" ความแท้ความจริงอย่างนี้ ไม่ได้"รู้"อย่าง"โง่" อย่างที่ "คน"ทั้งหลายหลงตน คิดว่าตัวเองฉลาด ตัวเองมีปัญญา อยู่อย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่เลย ถ้าใครคิดว่า ผู้ฉลาดจะต้องเป็นผู้ได้ เป็นเจ้าเป็นนาย เป็นใหญ่เป็นโต เป็นผู้สร้างผู้ก่อ แล้วละก็ ก็จงพยายามคิดถึง พระพุทธองค์นั่นเถิด เป็นตัวอย่าง ทั้งๆที่พระองค์ มีความใหญ่โต มีความเป็นเจ้าเป็นนาย มีอุปกรณ์ในการสร้างก่อ มหาศาล เพราะพระองค์เป็นถึง พระหน่อเนื้อองค์กษัตริยราช แต่ทำไมพระองค์จึงหลีกเร้น หนีไปเสียอย่างไม่ไยดี ถ้าลักษณะนี้ การกระทำแบบอย่าง ดังที่พระพุทธองค์ประพฤติปฏิบัตินี้ ไม่เรียกว่า เป็นการกระทำของ "ผู้ประเสริฐผู้ฉลาดที่สุด"แล้ว จะให้เรียก พระพุทธองค์ว่าอย่างไร? ก็ลองคิดดูให้ดี ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนอะไร

ดังนั้น เมื่อคนไม่รู้ คนยังหลงงมอยู่ในด้านโง่ โลกจึงเต็มไปด้วยการ"หลอก" กันนานาประการ หลอกเพื่ออะไร? หลอกเพื่อจะได้"ลาภ" เป็นวิธีการ"บังเบียด" อันอำพรางทั้งสิ้น "คนโง่"มาก ก็ย่อมรู้ไม่ทัน ก็ยิ่งยอมให้ "คน" (ผู้ก็ยังโง่ดักดานอยู่เช่นกัน) "หลอก"เอา แล้วก็ยอม นำตนไปให้เขา"บังเบียด" การแต่งตัวให้สวยให้โก้ การมีบ้านให้หรูให้งาม การพักผ่อนหย่อนใจทั้งหลาย แม้ดูหนังดูละคร ดูการละเล่น ดูการกีฬา ดูอะไรก็ตาม หรือเราเล่นเอง เล่นเกมกีฬา เกมไม่กีฬา ไปจนกระทั่ง เกมการพนัน อะไรกันก็ตาม มันเรื่อง"หลอก"ทั้งนั้น "หลอก"เพื่อการ"บังเบียด" ใครถูก"บังเบียด"มากเท่าใด ก็ได้ชื่อว่า "โง่เง่า" มากเท่านั้น ยิ่งดูหนังมาก เอามาคุยโวว่า ตนได้ดูมาก ก็คือ ยิ่งโพนทะนาว่า ตัวเอง"โง่เง่า" มากเท่านั้น ยิ่งมีเครื่องแต่งตัวมากมาย ก็ยิ่งแสดงออกว่า ตัวเอง"โง่เง่า"มากเท่านั้น หลงให้เขา"หลอก" ให้เขา"บังเบียด" เอาไป โดยแท้จริง นุ่งก็นุ่งได้ทีละชุดทีละตัว ใช่ว่าจะนุ่งได้ทีละมากๆตัวไม่ เอามานุ่งกันร้อนกันหนาว ก็ได้เท่าๆกัน กับไม่ต้องไปถูกหลอกถึงขนาดนั้น เพียงเพื่อสวยเพื่อโก้ ความฟุ้งเฟ้อ ความบันเทิง ยิ่งมีเพิ่มขึ้นมากเท่าใด ก็คือ โลกยิ่งต่ำลง "ความหลอก"ยิ่งมากขึ้น นี่คือ ความแท้ ความจริง แสงสี รสชาติ เสียงสำเนียง กลิ่น และการสัมผัส กระทบเสียดสี ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเท่าใด

นั่นคือ ความต่ำของโลก มีมากเท่านั้น ความหลอกบังเกิดขึ้นมานั่นเอง ไม่ใช่อื่น โดยความแท้ "ของจริงที่จำเป็น" มีอยู่แล้วในโลก ตามธรรมชาติ ไม่ต้องปรุงเลย ยิ่งนำมาปรุงมาแต่ง มาผสมผสานให้แพรวพราว หรูหราเท่าใด ยิ่งคือ การสร้าง"ความหลอก"กันออกมา เท่านั้น ผู้สร้างขึ้น ก็ไม่มีจุดมุ่งหมายอันใดเลย นอกจากหวัง "บังเบียดผู้อื่น" เท่านั้น ด้วยวิธีการอันอำพรางนั่นแล

ดังนั้น เราผู้จะได้ชื่อว่าไม่โง่เง่า ก็คือ ผู้อย่าถูกเขา"หลอก" โดยยอมตนไปให้เขา"บังเบียด" และอย่ายอมโง่ "บังเบียดตนเอง" ให้มากนัก

พูดถึงการ"บังเบียดตนเอง"นั้น เห็นจะไม่มีการถูกหลอก ให้บังเบียดตนเองอันไหน จะหลอกได้รุนแรง และถึงใจ เท่าการหลอกให้คน "สูบบุหรี่"

"ผู้สูบบุหรี่" จึงน่าจะได้ชื่อว่า ผู้ที่ "โง่เง่าเต่าตุ่น" ที่สุดกว่า "คน" ทั้งหลาย

เพราะอะไรหรือ? ก็เพราะเป็นการ "ทำลายขั้นสูงสุด" เหนือการทำลายใดๆ ทั้งปวง

ผู้สูบบุหรี่ ก็คือ ผู้หลงเสพรูป-รส-กลิ่นเท่านั้น และเท่านั้นจริงๆ เมื่อก่อนจะเสพ ยังนำมันมาเป็นแท่งเป็นมวน เป็นตัวตน แต่เมื่อตอน เสพมันเข้าไป ก็หาได้มีรูปร่างตัวตนอะไร ตกแตะเข้าไปในกายของเรา แม้แต่นิดน้อยไม่ ไม่มีเลย ไม่เอาจริงๆ ซ้ำเป็นการทำลายกัน ต่อหน้าต่อตา คือ "เผาด้วยไฟ" กันอย่างโจ่งแจ้ง เผากันจริงๆ เผากันเป็นขี้เถ้ากันไปในบัดดล การทำลายอันใดเล่า จะทำลายได้ดีกว่าการ "เผาไหม้" ไม่มีอีกแล้ว และถ้าคิดให้ดี การเผาบุหรี่นั้น หากไม่มี"ตัวบุหรี่" (ที่ต้องเอาเงินไปซื้อ) มาคั่น ก็เท่ากับผู้เผานั้น เอาแบ้งค์มามวนเข้า แล้วก็จุดไฟเผา ให้มันละลายเป็นขี้เถ้า ลงไปต่อหน้าต่อตา อย่างยินดีปรีดาเอาด้วย

ยิ่งผู้ใด มีบุหรี่ราคาแพงๆมาเผา ยิ่งยกย่อง ยิ่งยินดีกันใหญ่ ยิ่งเป็นซิการ์ มวนละ๔๐-๕๐ บาท ถึง ๑๐๐ บาท นำมาเผาให้ดูได้ ยิ่งโก้ ยิ่งชมเชยกันถึงขนาดว่า ทำลายได้เก่งได้ยอดเยี่ยม ก็คิดดูเอาเถิดว่า คนพากัน"โง่" อยู่ขนาดไหน? "บังเบียดตัวเอง"ได้รุนแรงแค่ใด? ถูกหลอกกันอย่างหนักยังไง? อุตส่าห์หาเงินมาแทบตาย แล้วก็เอามา"เผาไฟ"เสียเอง ต่อหน้าต่อตา

กรรมกร ทำงานหาเช้ากินค่ำ เหงื่อไหลไคลย้อย ได้เงินรายได้วันละ ๕-๑๐ บาท ส่วนมาก สูบบุหรี่กัน วันละอย่างน้อย ๑ ซอง ราคาสำหรับ "การเผา" หรือ "การทำลาย" โดยฝีมือตนเอง ๒.๕๐ บาท ไปจนถึง ๖ บาท หรืออาจจะกว่า แล้วคิดดูซิว่า "โง่" ขนาดไหน? เป็นการ "บังเบียด"ตนเอง ได้อย่างสมน้ำหน้าเท่าใด? ข้าวปลา เสื้อผ้า ที่อยู่ อันควรบริบูรณ์ เพื่อการจะทรงอยู่ เมื่อรักจะมีชีวิตอยู่ ควรจะดีกว่า ก็พลอยไม่ได้ ไม่ดี เพราะ"ความโง่" หรือแม้ "คน" ผู้มีรายได้มากก็เถอะ ก็ไม่พ้นไปจากการเป็น "คนโง่เง่า" ผู้หลงช่วยตนเอง ทำลายน้ำพัก น้ำแรงของตนเอง ลงไปได้ไม่ ยังได้ชื่อนักเผานักทำลาย นักบังเบียดตนเอง อย่างได้ขนาด อยู่ทั้งสิ้น

นั่นคือ ผลจากการคิด การค้นหาวิธี"หลอก" วิธี"ทำลาย" กันได้ขนาดถึงขั้นจริงๆ ในสมัยพุทธกาลนั้น ยังไม่มีบุหรี่ ถ้ามี พระพุทธองค์ จะต้องตราบทบัญญัติไว้อย่างสูง ห้ามบุคคลแตะต้อง เป็นอันขาดทีเดียว เพราะเป็นการแสดงออก ถึงอาการใจต่ำถึงขนาด ของ"คน"จริงๆ ขนาดมีสุราเมรัย อันยังไม่ใช่การทำลายถึงขั้นถึงขนาด เท่าการเผาทำลายต่อหน้าต่อตา พระพุทธองค์บัญญัติ ห้ามแตะต้อง เป็นศีลไว้ ออกชัดแจ้ง (ยิ่งปัจจุบันนี้ มีพวก"ไอระเหย" ที่เผาผลาญกันได้ในพริบตา ก็ยิ่งต่ำลงๆ ขนาดหนักยิ่งๆ)

นี่แหละคือ สิ่งที่แสดงว่า โลกต่ำลง "คน"ต่ำลงทุกวันๆ ยัง-ยังไม่เท่านี้หรอก มันยังจะต่ำยิ่งกว่านี้ ถ้าผู้ใด ไม่พยายามยก"จิต"ตัวเอง ทำความ "รู้" (วิชชา) ให้แก่ตัวเอง ก็จะไม่อาจสามารถอ่านออก เห็นได้เป็นอันขาด จะคงหมุนไปกับ ความเป็น"คน" ต่ำลงไป พร้อมกับความเป็น "คน" และ"โลก" ลงไปทุกเมื่อเชื่อวัน

ผู้ใดยังคงยอมตนให้"คนโง่" เขาคิดหลอก "บังเบียด"อยู่ ผู้นั้นคือ ผู้ยังไม่รู้จัก"ค่า" รู้จัก"ประโยชน์"ใดๆเลย ดังนั้น ผู้นั้นจะสร้าง"ค่า" หรือ ทำ"ประโยชน์"ใดๆ ให้แก่่ใคร หรือให้แก่ "โลก" ย่อมไม่ได้ ด้วยประการใดๆ ด้วย

และผู้ใดยัง"บังเบียด" ตนเองอยู่อย่างขมักเขม้น เอาเป็นเอาตาย ยังหลงอยู่ในรูป-รส-กลิ่น -เสียง -สัมผัสกาย อยู่อย่างโง่เง่า ยังเสพ "รสอร่อย" ของสิ่งใดๆ อยู่ตราบใด คนผู้นั้น ก็จะยังไม่มี"ค่า" หรือมี"ประโยชน์"ใดๆ แก่ผู้อื่นผู้ใด หรือแก่ "โลก" เลย แม้แต่เท่าขี้เล็บ

"ค่า" หรือ "ประโยชน์" แก่ "ผู้อื่น" และแก่ "โลก" จึงคือ ผู้นั้นไม่บังเบียดทั้งตนเอง และไม่บังเบียดทั้งผู้อื่น อยู่เพียงเพื่อพอดี และพอดี เท่าที่ตนเอง จะอยู่อย่างสบายที่สุด ง่ายที่สุด ประหยัดที่สุด สะดวกที่สุด และนั่นคือ "สุข" ที่สุด แล้วแรงงานส่วนเกิน ที่ผู้นี้จะมีให้แก่ "โลก" และแก่ "ผู้อื่น" นั่นแลคือ "ค่า" และ "ประโยชน์" อย่างแท้จริง

หากผู้ใด ยังแม้ไม่บังเบียดผู้อื่น แต่ยังบังเบียดตนเองอยู่ตราบใด ผู้นั้น จะยังไม่มี"ค่า" หรือมี"ประโยชน์"ใดๆ แก่ "โลก และแก่ "ผู้อื่น" เลย อย่างจริงแท้ที่สุด.

๑๐ มีนาคม ๒๕๑๓

ประกายธรรม ๔

*****

(รวมบทความเก่า)