![]() |
![]() |
"พุทธศาสนา" วันนี้ มี "ค่า" ต่ำกว่าเมื่อวานนี้ |
ข้าพเจ้าเชื่อด้วยจริง เชื่อด้วยแจ้งใจว่า "พุทธศาสนิกชน" ทุกคนที่ยึดถือศาสนาเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะนั้น ย่อมปรารถนาดีกับ พุทธศาสนาทั้งสิ้น และปรารถนาจะให้ "ศาสนาพุทธ" จำเริญรุ่งเรืองก้าวหน้า เป็นหลักยึดหลักปฏิบัติ เพื่อพาหนะนาวา อันจักนำพาคน ไปให้พ้นทุกข์ หรืออย่างน้อย ก็ไปสู่ความดีขึ้นๆ
และถ้า "พุทธศาสนิกชน" ทุกคนเหล่านั้น ทราบได้ว่า ตัวท่านเองนั่นแหละ เป็นผู้หนึ่งที่ทำให้ "พุทธศาสนา" ต่ำลง เสื่อมโทรมลง และไม่เป็น "พุทธศาสนา" ที่แท้ลงไปทุกที คือมี "ค่า" ต่ำลงๆ ไปทุกเมื่อเชื่อวัน ท่าน "พุทธศาสนิกชน" ทุกคนเหล่านั้น ก็จะต้องเสียใจ และก็ควรจะได้เสียใจแล้ว เป็นอย่างมาก ด้วยกันเป็นส่วนมาก เพราะนั่นคือความจริง ที่ได้เกิดได้เป็นอยู่
เพราะฉะนั้น "พุทธศาสนา" วันนี้ จึงมี "ค่า" ต่ำกว่า "พุทธศาสนา" เมื่อวานนี้
เพราะอะไรรึ? ก็เพราะมองกันไม่ออก เห็นกันไม่ได้ เห็นกันไม่เป็นนั่นเอง จึงไม่เห็นว่า อะไรเป็น "กิเลส" อะไรเป็นตัวฉุด ตัวบั่นทอนให้ "พุทธศาสนา" อับเฉา เสื่อมโทรมลงๆทุกวันๆ อายุของ "พุทธศาสนา" นั้น สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ถูก"กิเลส" เผาผลาญ ฉุดคร่าให้แปรสภาพ เปลี่ยนรูป เปลี่ยนร่างไปเรื่อยๆ จากชีวิตที่เกิดมาเป็น "พุทธศาสนา" ที่แท้ ใสบริสุทธิ์ผุดผ่อง แล้วก็นับวันถูกฉาบ ถูกทาด้วย "กิเลส -ตัณหา -อุปาทาน" ชีวิตหรือตัว "พุทธศาสนา" จึงถูกหุ้มถูกพอกด้วย ความไม่แท้ขึ้นทุกวันๆ เมื่อกาลเวลาผ่านมา จนป่านนี้ อายุปาเข้าไป เทียบได้ในวัยกลางคนแล้ว ก็ลองคิดดูเถิดว่า "คน" ผู้นี้ มีกิเลส มีตัณหา มีอุปาทาน อันถูกพอก ถูกหุ้ม เข้าไปทุกวันๆ นั้น จะมีความเป็นของแท้ ของจริง ให้เห็นได้แค่ใด
แต่แท้จริง "พุทธศาสนา" แท้ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ใจกลางนั้น ก็เป็น "พุทธศาสนา" แท้ๆ จริงๆ บริสุทธิ์ เที่ยงตรง ดังนั้น ถ้าใครใฝ่รู้ "พุทธศาสนา" แท้ ก็ยังจะได้รู้ ใครใฝ่เห็น "พุทธศาสนา" ที่ใสบริสุทธิ์ ให้คุณให้ประโยชน์แท้จริง ก็ยังจะได้เห็น แต่ก็จะต้องมีความพากเพียร มีมานะอดทน ค้นคว้าศึกษา บุกฝ่าแหวกสิ่งห่อหุ้ม ฉาบพอกเอาไว้ ดังกล่าวแล้ว เข้าไปอย่างหนักทรหดยิ่ง จึงจะถึงแก่นกลาง เห็น "พุทธศาสนา" แท้ รับเอาค่า เอาประโยชน์แท้ จาก "พุทธศาสนา" ได้
เมื่อผู้ใด บุกแหวก นำตนฝ่าสิ่งห่อหุ้มเข้าไปได้ และยิ่งสัมผัส ลึกเข้าไปหาแก่นได้เท่าใด ก็จะนับวันยิ่งรู้ ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นความไม่แท้ ความไม่จริง หรือ กิเลสหนา ตัณหาแก่ ที่ห่อหุ้มเป็นชั้นๆ อันบดบัง "พุทธศาสนา" แท้ๆไว้ชัดเจน แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น
กิเลสหนา และตัณหาแก่ เกิดขึ้นมาได้ด้วยอย่างไร? นี่สิ ควรจะได้นำมาขบคิดกัน จะได้รู้ต้นสาย ปลายเหตุกันบ้าง เพราะดังข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ในเบื้องต้นว่า ข้าพเจ้าเชื่อด้วยจริง เชื่อด้วยแจ้งใจว่า ไม่มีพุทธศาสนิกชนผู้ใดดอก ที่จะมีเจตนาระราน หรือเข่นฆ่าชีวิต "พุทธศาสนา" ให้อาสัญ ด้วยน้ำมือตนเอง แต่แท้จริง ก็ได้ร่วมมืออยู่ทุกวี่ทุกวัน อย่างน่าเสียดาย และน่าเสียใจ
เหตุใหญ่ ที่ก่อให้เกิดกิเลสหนา ตัณแหาแก่ พอกหุ้มศาสนาพุทธ จนแทบจะไม่เหลือ ความเป็นพุทธศาสนา ไปทุกวันๆ ก็คือ :-
เพราะ"คน" ผู้ไม่เข้าใจ "ค่า" แท้จริง หรือจุดสุดยอดแท้จริงของ "พุทธศาสนา" นั้นหนึ่ง และอีกอย่างก็คือ ผู้รู้ "ค่า" หรือจุดสุดยอดแท้จริง ของพุทธศาสนา ดีอยู่แล้ว "ผู้รู้" ผู้นั้น กระทำการ "หย่อนข้อ" หรือโอนอ่อน ผ่อนตาม โดยยอมให้ "คน" นำ "กิเลส" (สิ่งทำลาย) มาผสม มาฉาบมาทา พุทธศาสนาลงไป
ทีนี้ "ค่า" แท้จริง หรือจุดสุดยอดแท้จริง ของพุทธศาสนา คืออะไรล่ะ? และแม้ข้าพเจ้าจะพูด จะกล่าวออกไปในขณะนี้ ข้าพเจ้าก็เชื่อได้อย่างแน่ อย่างแท้ด้วยว่า จะต้องมีคนไม่เห็นด้วย และไม่ยอมเห็นจริง หรือไม่ยอมเห็นตามว่า นี่คือ "ค่า" อันแท้จริง หรือจุดสุดยอด อันแท้จริงของ "พุทธศาสนา"
จุดสุดยอดอันแท้จริงของ "พุทธศาสนา" นั้นคือ "ความไม่มีอะไรเลย" หรือ "ความพินาศสิ้นแห่งคน" และ "ค่า" อันแท้จริงของ "พุทธศาสนา" ก็คือ ความไม่ก้าวหน้า ความไม่ก่อ ความไม่สร้าง ความไม่เจริญงอกงามใดๆ ทั้งสิ้น ที่ "มนุษย์" หรือ "คน" ปรารถนา
ยิ่งเป็น "สมบัติทางโลก" หรือ "สมบัติทางกาม" แล้ว พุทธศาสนิกชนแท้ๆ จะต้องตัดให้สิ้นโดยเร็วโดยไว ก่อนอื่นใดหมดทีเดียว เพราะมันง่ายกว่า "สมบัติทางจิต" ดังนั้น "โลกธรรม" อันคือ ลาภ-ยศ-สรรเสริญ-สุข หากบุคคลใด ยังใฝ่อยู่ ยังหาอยู่ ยังไม่เพียร"ตัด" เพียร"ละ" ผู้นั้นยังไม่ใช่ "พุทธศาสนิกชน" ที่แท้จริงถูกต้องเลย ยังคือ ผู้แอบแฝงอยู่ใน "ศาสนาพุทธ" แต่ในนามเท่านั้น และ คือผู้คอยบ่อนทำลาย และคือตัว "ภัย" ของ "ศาสนาพุทธ" ตัวฉุด "ศาสนาพุทธ" ให้แปรสภาพเป็นต่ำลงๆ ด้วย
นั่นแหละคือ จุด "พุทธศาสนา" ที่แท้ที่ถูกที่จริง อ่านดู และคิดดูให้ดี คิดดูให้ชัด ดังนั้น การกระทำใดๆ ที่คนยังกระทำตรงกันข้าม "จุดแห่งความจริง" ที่ข้าพเจ้าว่าไว้นั้น จึงเท่ากับ เป็นการนำเอา "ความไม่ถูก" นำเอา "กิเลส -ตัณหา -อุปาทาน" พอกหุ้มลงไป ให้แก่"พุทธศาสนา" หรือคือ "ทอนค่า" ของพุทธศาสนา ให้ผิดเพี้ยน ให้ต่ำลงๆ นั่นเอง
มาทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า "มนุษย์" นั้นต้องการ หรือปรารถนาอะไร ? ถ้าสิ่งใดอันใด "มนุษย์" ปรารถนา ก็จงให้เข้าใจเถิดว่า สิ่งนั้นอันนั้นแหละ เป็นความไม่ปรารถนาของ "พระอริยเจ้า" นี่คือหลัก คือมาตรการ ที่จะนำมาใช้กัน "จุดแห่งความจริง" ดังกล่าวแล้ว เพราะความเป็น "มนุษย์" คือ ผู้ใฝ่อยู่ ผู้สร้างอยู่ แต่ความเป็น "พระอริยเจ้า" นั้นคือ ผู้ลดลง ผู้ตัดออก ความเจริญก้าวหน้าของ "มนุษย์" จึงคือการมี การได้มา การมากขึ้น ในสมบัติ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่เป็นสมบัติที่มีรูปร่างตัวตน และ สมบัติที่ไม่มีรูปร่างตัวตน แม้นได้มาเต็มโลก เป็นของตนผู้เดียว นั่นแหละ เรียกว่า เป็นความเจริญ ความก้าวหน้า ถึงขีดสุด ที่สุดยอดจริงๆ ของ "มนุษย์" แต่ความเจริญก้าวหน้าของ "พระอริยเจ้า" นั้นคือ การตัดออกไป การให้ไป การลด ทั้งสมบัติ ที่มีตัวตน และสมบัติที่ไม่มีตัวตน ออกไปจากตัว จนกระทั่ง "ไม่มีอะไรเลย" ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ แม้ความเป็นตัวตน ทั้งๆที่ยังมีร่างกายตัวตน อยู่นั่นแหละ และทั้งความเป็นตัวตน ที่เกิดจากสิ่งที่ไม่มีตัวตน จึงจะถึงขีดสุด ที่สุดยอดจริงๆ ของ "พระอริยเจ้า"
ทีนี้ คงพอจะเข้าใจได้แล้วว่า มนุษย์กับ "พระอริยเจ้า" หรือการสร้างความเจริญ ก้าวหน้าให้มนุษย์ กับการสร้างความเจริญ ก้าวหน้าให้กับตน ผู้เป็น"พุทธศาสนิกชน" อันเรียกว่า เดินทางไปสู่ความเป็น "พระอริยเจ้า" นั้น มันคนละทาง มันคนละทิศ เหมือนดำกับขาว หน้ามือกับหลังมือ เอาทีเดียว เพราะเหตุคนไม่ยอมเชื่ออย่างนี้ ยังไม่ยอมเห็นตามนี้ ยังไม่ยอมเข้าใจว่า ความจริงนั้น ดังนี้นั่นเอง คนผู้อ้างตนว่าเป็น "พุทธศาสนิกชน" จึงได้กระทำผิด ได้ช่วยลด "ค่า" ของพุทธศาสนา ได้เอา"ความไม่ถูก" พอกหุ้มพุทธศาสนา เข้าไปทุกวี่ทุกวัน ทั้งๆที่ใจนั้นรัก "พุทธศาสนา" ยังกะอะไรดี แต่ไม่ยอมเข้าใจ ให้ได้ว่า ความเป็น "พุทธศาสนิกชน" นั้น ควรจะทำหน้าที่อย่างไร? จึงจะตรง จึงจะถูก และความเป็น "มนุษย์" นั้น หากจะเดินทางไปสู่ ความเป็น "พระอริยเจ้า" นั้น ทำอย่างไร? เป็นอย่างไร? จึงจะแท้ จึงจะตรง
ดังนั้น ใครยังรักจะเป็น "มนุษย์" หรือ "ปุถุชน" อยู่ ก็คือ ผู้รักจะกอบโกย เอาสมบัติ ที่มีรูปร่างตัวตน ทั้งสมบัต ิที่ไม่มีรูปร่างตัวตน ในโลกนี้ มาเป็นของตัว ถ้าไม่ได้มาเป็นของตัวแต่ผู้เดียว ทั้งโลกนี้ ก็ย่อมยังไม่ได้ชื่อว่า เป็น "ยอดมนุษย์" หรือ "สุดยอดของปุถุชน" อยู่ตราบนั้น คนหรือมนุษย์ หรือปุถุชนนั้น ก็จะเพียรเกิด เพียรตาย วนเวียนๆ มาตั้งหน้าตั้งตาสู้ทุกข์ แย่งเอาสมบัติ ทั้งเป็นรูป และไม่เป็นรูป ดังกล่าวแล้วนั้น จากผู้อื่น มาเป็นของตน ให้ได้อยู่ แล้วๆเล่าๆ จนฟ้าแตกดินละลาย จะเป็นไปได้ไหม ก็ลองคิดดูให้ดีเถิด
ส่วนผู้เป็นพุทธศาสนิกชนแท้ๆ นั้น คือผู้พยายามตัดออก สละออก รักที่จะให้ไป สมบัติที่มีรูปร่างตัวตน ทั้งสมบัติที่ไม่มีรูปร่างตัวตน ในโลกนี้ ที่ตนเองมีอยู่ และหรือที่ตนมีสิทธิ์ จะนำมาให้ใครๆ เขาได้ให้ไป ให้หมดให้สิ้น ไม่ให้เหลือเลย หมดสิ้นจากตัวเอง ได้อย่างแท้จริง จนเรียกว่า "ไม่มีอะไร" เลย แม้สมบัติที่ไม่มีตัวตน อันคือ ความรัก ความชัง ความสะดุ้งสะเทือนวาบไหว (อุทธัจจะ) ก็ไม่มีเหลือในตัว ที่จะให้ใครได้ หรือ จะกระเพื่อม เกิดขึ้นมาได้ "พุทธศาสนิกชน"ผู้นั้น ก็ถึงที่สุด เรียกว่าเป็น "สุดยอดของพุทธศาสนิกชน" หรือ "ยอดพระอริยเจ้า" เท่านั้นเอง นี่ ก็ลองคิดดูว่า การจะเป็น "ยอดมนุษย์" กับการจะเป็น "ยอดพุทธศาสนิกชน" นั้น "ยอด"ไหนจะเป็นได้ "ยอด"ไหนจะไม่มีวันเป็นได้เลย
นี่เองคือ "จุด" ที่พระบรมศาสดา แห่งพุทธศาสนา คิดได้ เห็นได้ หลังจากได้เวียนเกิดเวียนตาย "ทดลอง" สะสมสร้างสมบัติ สั่งสมบารมี มาไม่รู้กี่ แสนอสงไขยกัป และการสะสมที่ถูกต้องแท้จริง ก็คือ การลงทุนลงแรง หามาให้ได้ เมื่อได้แล้ว ก็ให้บริจาคออกไป บริจาคออกไปให้มากที่สุด จึงจะเป็น การสะสมที่ถูกที่แท้ ดังเช่น พระพุทธองค์ ได้เพียรสะสมสร้างมาทุกชาติ จนแม้ชาติสุดท้าย ของพระองค์ พระองค์ก็เกิดมาพร้อมกับ มหาบรมสมบัติ ที่ยิ่งฟ้ามหาศาล พรั่งพร้อม พระองค์ก็มีแล้ว ซึ่งสมบัติทั้งที่มีรูป เป็นตัวตน อันเรียกว่า มหาอาณาจักรแผ่นดิน ทรัพย์สิน เงินทอง เพชรนิล จินดา ข้าทาสบริวาร เวียงวัง และแม้สมบัติ ที่ไม่มีรูปร่างเป็นตัวตน อันเรียกว่า มหาอำนาจ ยศฐาบรรดาศักดิ์ ทั้งความรัก ความเทิดทูน บูชาใดๆ พระองค์ ก็มีพรั่งพร้อมมหาศาลยิ่งแล้ว แต่นั่นแหละ ก็ยังไม่ได้ชื่อว่า "ยอดมนุษย์" เพราะยังไม่ได้มาหมดทั้งโลก ดังกล่าวแล้ว ถ้าพระองค์ยังจะรักเป็น "มนุษย์" ต่อไปอีก ก็แน่นอน พระองค์ก็จะต้อง "ต่อสู้" ตั้งหน้า "กอบโกย" สะสมอาณาจักร และมหาสมบัติ ข้าทาสเหล่านั้น ต่อไปอีก ตำแหน่งต่อไป ของพระองค์ที่จะได้ ก็จะก้าวไปเป็น "พระบรมมหาจักรพรรดิราช" ซึ่งหมายถึง จะมีสมบัติต่างๆ นั้นเพิ่มขึ้น มากอีกกว่าที่มีอยู่แล้ว เมื่อจบชีวิตนี้ ชาติหน้า พระองค์ก็จะต้อง เกิดมา"สู้ทุกข์" ต่อสู้เพื่อสะสม กอบโกย เพิ่ม"สมบัติโลก" นี้ไปอีก ให้ยิ่งๆขึ้นไป และวิธีการที่จะสะสม สั่งสมบารมีสมบัติ ให้คนนั้น ก็มิใช่จะทำ จะรักษาให้เพิ่มพูนขึ้นได้ด้วยง่าย กว่าพระองค์จะได้ จะมีบรมมหาสมบัติได้ ขนาดในชาติของ พระสิทธัตถะนั้น ก็ได้สะสมสั่งสม ด้วยวิธีการต่างๆ มาไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ ก็คิดดู คำนวณดู ต่ออีกเถิดว่า ถ้าจะให้ตนมีสมบัติ อันเรียกว่าล้นโลก หรือทั้งโลก มาเป็นของตน แต่ผู้เดียวนั้น มันจะต้องทำกันแค่ไหน และจะมีทางเป็นไปได้ละหรือ?
ด้วย "ญาณ" ด้วย "พระปรีชาญาณ" อันเลิศ ได้ทรงเล็งเห็นแล้วว่า อีกตราบโลกนี้แตก ก็เป็นไปได้ยากเหลือล้น พ้นคนณา ที่พระองค์จะได้ "สมบัติโลก" นี้ มาไว้ในครอบครองแต่ผู้เดียว จนจักได้ชื่อว่า "ยอดมนุษย์" หรือ "ยอดปุถุชน" และแม้ได้สิ่งเหล่านั้นมาแล้ว ก็เพียงแสดงความเป็น "มนุษย์" คือ ผู้เต็มไปด้วย การใฝ่อยู่ ผู้เต็มไปด้วย การก่อการสร้าง การสะสมอยู่ ก็เท่านั้นเอง จะ"จบสิ้น"นั้น เป็นไปมิได้เลย ผู้ใดยังหลงงมงาย อยู่กับตำแหน่ง "ยอดมนุษย์" ก็คือ ผู้ที่ยอมทนทุกข์ และยอม "ตายเปล่า" อยู่ทุกชาติ
ด้วย "ญาณ" ดังนั้นแล พระพุทธองค์ จึงได้สละทิ้ง "สมบัติโลก" แล้วหมุนทิศ กลับหลังหัน ไปตั้งหน้าบำเพ็ญเพียร มุ่งไปในทิศทางตรงกันข้าม คือ มุ่งสู่ทางสละออก ตัดออก ให้ไป ไม่เอามา ซึ่งเป็นทางที่ทำได้ไม่ง่ายเลย เช่นเดียวกัน ยากยิ่งเท่าเทียมกันกับ การใฝ่สร้าง ใฝ่ก่อ หรือหามา เอามาเป็นของตน ถ้าใครไม่เชื่อ ก็ทดลองดูเถิด ลองหัดให้ไป หรือตัดออก หรือสละออกกันบ้าง ลองดูซิ การหาสมบัติมาให้ตน ยากยิ่งเท่าใด การสละสมบัติของตนออกไป มันก็ยากยิ่ง เท่าเทียมกันฉันนั้น ไม่ใช่ว่า จะทำง่ายกว่ากันนั้น ไม่ใช่เลย เราจะหามาให้คน ให้ได้มากๆยิ่งๆขึ้น เป็นการกระทำได้ยากเท่าใด เราจะสละออกไป ให้ได้ให้มากยิ่งๆขึ้น เช่นนั้น ก็เป็นการกระทำ ที่ทำได้ยากยิ่ง เท่าเทียมกัน
เมื่อพระพุทธองค์ เหหันมามุ่งเพียร บำเพ็ญ สร้างความไม่ใฝ่ ความไม่เอานี้ จึงได้มองเห็นทางว่า เป็นทางที่เป็นไปได้ เป็นทางแห่งความสำเร็จ เป็นทางที่ จะสมประสงค์สุดใจได้ พระองค์จึงได้เลือกเดินทางนี้ อย่างเด็ดเดี่ยว และสุดท้าย ก็บรรลุสุดทางได้อย่างจริง จึงได้ชื่อว่า "ยอดพระอริยเจ้า" และ ได้ชื่อว่า "ยอดคน" หรือ "ยอดมนุษย์" รวมทั้งแม้แต่คำว่า ยอดมาร ยอดเทวดา ยอดพรหม ก็จะต้องนำมามอบ ให้พระองค์ท่านด้วยดังนี้
เพราะในมหาพิภพ จบจักรวาลนี้นั้น จุดเริ่มต้น คือ "ความไม่มีอะไรเลย" ดังนั้น เมื่อผู้ใดถึงจุดนั้นแล้ว ก็เท่ากับผู้นั้น "มีทุกสิ่งทุกอย่าง เต็มครบทั้งสิ้น" ด้วยเช่นเดียวกัน นั่นคือ โลกแห่ง "สุญญตา" หรือคือ โลกแห่งมิติที่ ๐ และนั่นคือ เบื้องต้น และเบื้องปลายสุด บรรจบกัน ที่จุดๆ เดียวกัน เบื้องต้นก็คือ ความไม่มีอะไรเลย คือก่อนจะก่อเกิด และเบื้องปลายสุดก็คือ เกิดแล้วจนเต็มโลก แล้วก็ค่อยๆ ย่อยลงๆ กลับไปหาความหมดสิ้น หรือความพินาศสิ้น นั่นก็คือ ความไม่มีอะไรเลยอีกนั่นเอง หรือ จะเทียบให้เห็นได้ง่ายๆ ด้วยสิ่งที่เป็นตัวตน ก็คือสมมุติว่า เรามียางที่เป็นลูกโป่ง อยู่ลูกหนึ่ง นั่นคือ เริ่มต้นด้วย ยางลูกโป่งนั้นเท่านั้น ยังไม่มีอะไรเลย (ที่จะมีคือคน) เรานำมาเป่า บรรจุลม ใส่เข้าไปๆๆ จนมันเต็ม และเต็มสุดที่จริงๆ เรียกว่า "เต็มสุด" แม้จะมี "ธุลี" ใด เพิ่มเข้าไปอีก เพียงเสี้ยวธุลีเดียว ความ "เต็มสุด" ก็จะระเบิด หรือพินาศออกไปทันที "ธุลี" ที่เติมเข้าไปนั่นแหละ คือส่วนเกิน ความ"เต็มสุด" คือจุดที่เลยไปถึงมิติที่ ๐ และเมื่อพินาศสิ้นแล้ว ก็คงเหลือแต่ เนื้อยางของลูกโป่งใบนั้น เท่าเดิม คงที่ คือหมายถึง ความไม่มีอะไรเลย เท่าเดิมนั่นแล คือ ที่ต่อ หรือจุดต่อ หรือ บรรจบแห่ง "วัฏฏะ" ความไม่มีอะไรเลย กับความเต็มสุด อย่างแท้จริง จึงคือ จุดๆ เดียวกัน เรียกจุดนี้ว่า มิติที่ ๐ หรือ "สุญญตา"
ที่อธิบายมาทั้งหมดนั้น คือ จุดสุดยอดแท้จริงของ "พุทธศาสนา" ดังนั้น ทางเดินของ "พุทธศาสนา" จึงไม่ใช่การสร้าง การก่อ การก้าวหน้า ด้วยวัตถุโลกใดๆ เป็นอันขาด นี่คือความแท้ ถ้าใครยังยืนยันว่า ทางเดินของ "พุทธศาสนา" เป็นไปตรงกันข้ามกับ ทางดังกล่าวนี้ละก็ "ผิด" อย่างตรงกันข้าม เช่นกัน
ด้วยดังนี้ ผู้เต็มไปด้วย กิเลสตัณหาอุปาทาน ผู้ยังเต็มไปด้วย ความยึดไว้หวงไว้ จะเอาไว้ จึงย่อมปฏิเสธ "ทางเดิน" นี้อย่างเอาเป็นเอาตาย แม้จะรัก "พุทธศาสนา" สุดใจอย่างใด ก็ยังไม่ยอมเชื่ออยู่นั่นเองว่า ทางเดินของ "พุทธศาสนิกชน" นั้นคือ ทางเดินไป โดยจะต้องเล็กลงๆ ตัดออกๆ หายไปๆ มิใช่ยังเอามา ก่อมา สร้างมา
ผู้ใด ตัดออกไป ลดลงไป ได้มากยิ่งเท่าใด ผู้นั้นก็ยิ่งเดินทางเข้าไปใกล้ จุดสุดยอดแท้จริง ของตำแหน่ง "ยอดพระอริยเจ้า" เท่านั้น ถ้าผู้ใดยังไม่แน่ใจ ยังไม่กล้าตัดออก ยังไม่กล้าลดลง อย่างเห็นแจ้ง เป็นความจริง ผู้นั้นก็ยังไม่มีวัน ได้เดินทางไปสู่จุด "ยอดพระอริยเจ้า" คือ ยังไม่เข้ากระแส แห่งพระนิพพาน นั่นเอง ถ้าผู้ใดเห็นแจ้ง เข้าใจอย่างดี และได้เพียรพยายามตัดออก ลดลงๆ ไปทุกวันทุกเวลา และ เมื่อได้เริ่มลดลงไปเท่าใด ก็บังเกิดผล เห็นเป็นการ "พ้นทุกข์" ขึ้นแก่ตน แก่ใจของตนไปได้เท่านั้น ผู้นั้นก็คือ ผู้ได้เดินทาง และมุ่งหน้าเข้าหานิพพาน หรือมุ่งหน้าไปสู่ จุดสุดยอดของ "พระอริยเจ้า" กันแล้ว ผู้ที่เห็นดังนี้ แจ้งใจดังนี้ และเข้าใจแท้ได้ดังนี้แล้ว จะไม่มีวัน "หย่อนข้อ" หรือโอนอ่อนผ่อนตาม ยอมให้ "กิเลส" เข้ามาฉาบพอก หรือมาหุ้มตัว เป็นอันขาด จะมีก็แต่จะพยายาม "ฆ่า" กิเลส ที่มันมีอยู่ในตัวเองออกไป และถอดไปให้ได้ ให้หมดสิ้นจากตัวเอง เท่านั้น
แลนี่คือ เหตุข้อสอง ที่ว่า "พุทธศาสนา" มี "ค่า" ต่ำลงๆไป เพราะ"ผู้รู้" (บ้างแล้ว จากตำราก็ดี จากได้ฟังมาก็ดี) ได้กระทำการ "หย่อนข้อ" หรือโอนอ่อน ผ่อนตาม โดยยอมให้ "คน นำกิเลส" (สิ่งทำลาย หรือ การกระทำที่ตรงกันข้าม กับการจะเดินทางไปสู่จุดยอด ของพุทธศาสนา) มาผสม มาฉาบมาทา พุทธศาสนา ลงไปเรื่อยๆ "ผู้รู้" ที่กล่าวถึงนี้ จึงคือ "ผู้รู้" ที่ยังไม่แท้ ไม่เข้าข่ายผู้ได้เดินทาง อย่างจริง หรือคือ ยังไม่ใช่ผู้เข้าสายกระแส แห่งพระนิพพานแล้ว นั่นเอง แต่เป็นเพียง "รู้" จากตำรา และจากได้ยินได้ฟังมา บางคนมี "ใบบอกแจ้ง" ตำแหน่งถึงเปรียญ ๙ บางคน มีผู้คนยกย่องรับรองกัน ทั่วบ้านทั่วเมือง ถึงขั้น "อาจารย์" แต่กระนั้นก็ดี ก็ยังคือผู้ฟาดฟัน ริดรอน เข่นฆ่า ความเป็น "พุทธศาสนา" ลงไป ด้วยน้ำมือของตนเอง อยู่นั่นเอง เพราะตนเอง คิดได้เพียงว่า ต้องล่อต้องหลอก ให้คนที่ไม่สนใจศาสนา มาสนใจศาสนา ต้องทำให้เขาดีขึ้นนิดหน่อย โดยยอมเปลี่ยน ยอมแปลง กฎวินัยของทางเดิน อันแท้จริงของ "พุทธ" ไปบ้างก็เอา หรือ แม้เขาจะเอาจารีตประเพณี เอาพิธีกรรมของมนุษย์ๆ มาผสมผเสบ้าง ก็ยินยอม เพื่ออย่างน้อยก็จะเป็นเหยื่อล่อ ให้คนเข้ามา สู่พุทธศาสนาบ้าง
กฎวินัยอย่างจริงของ "พุทธ" ศีลและพรต อย่างถูกต้องของ "พุทธ" จารีต ระเพณีที่ถูกต้องของ "พุทธ" จึงบานปลายออกไป มากเรื่องออกไป กลายเป็นหย่อนยานลง ทางเดินก็คดก็โค้งออกไป เสียเส้นทางหมด ยืดยาดรวนเร ไม่เป็นเส้นตรงเส้นแท้ บางที เป็นทางเดินไปสู่นรก เอาเลยก็มี "พุทธ" สอนความแท้จริง ชี้ให้แจ้งความแท้จริง จึงจะต้องพูด ต้องทำให้ "เห็น" ความแท้จริง โดยไม่ต้องหลอกไม่ต้องล่อ ไม่ต้อง "หย่อนข้อ" โอนอ่อน โดยยอมก่อวัตถุ เครื่องมือ ยอมสร้างพิธีการ สร้างจารีต อันจะเบนทางแห่งความเข้าใจ ที่ถูกจุด ตรงเป้าออกไป นั่นคือ "ข้อเสีย" อันแท้จริง ที่เกิดโดยน้ำมือของ พุทธศาสนิกชน ผู้เจตนาดีกับศาสนาพุทธ โดยจริงเหมือนกัน แต่เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการ จึงได้ฉุด ได้ทำลายศาสนาพุทธ โดยความหวังดี ของตนเองแท้ๆ ส่วนจารีตและประเพณี รวมทั้งพิธีกรรม อันเป็นของศาสนาอื่น เข้ามาเจือ มาปนในพุทธนั้น เป็นความจงใจ ของผู้นับถือศาสนาอื่น โดยหวังผล จะจูงพุทธศาสนิกชน ออกไปสู่ศาสนาของเขา โดยตรงก็มี และก็มีทั้ง ผู้ที่อลุ้มอล่วย "หย่อนข้อ" รับเอาจารีต ประเพณี พิธีกรรมเหล่านั้น เข้ามาเจือใน "พุทธ" โดยรู้โดยเห็น แม้โดยไม่รู้ ไม่เฉลียวใจ ก็ยังมีอีกด้วย
นี่แหละคือ ผลของการกระทำของ "ผู้รู้" (อันเพียงรู้อย่างได้จากตำรา และจากฟัง) ที่ "หย่อนข้อ" หรือโอนอ่อนผ่อนตาม "มนุษย์" ดังนั้น ผู้จะไปสู่ทางสุดของ "พุทธศาสนา" จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจ และพยายามเข้าใจ ให้ดีให้พอว่า พุทธศาสนา ไม่มีการหย่อนข้อ มีแต่จะแข็งข้อ เพราะรอบด้าน คือ กิเลส-ตัณหา-อุปาทาน จึงจะต้องระวังตัวอยู่ทุกวินาที พุทธศาสนาไม่มีหลอกล่อ เพื่อเรียกเอา "ปริมาณ" เอาความมาก เอาความทวีเพิ่ม พุทธศาสนามีแต่ความจริง ความแท้ ความเด็ดเดี่ยว และความลดลงๆ ผู้เป็น "พุทธศาสนิกชน" อย่างแท้จริง จึงคือผู้ไม่เพิ่ม "กิเลส" หรืออนุญาต หรือยินยอมให้ใครๆ นำเอา "กิเลส" (สิ่งบั่นทอน ทำลายความแท้ ของพุทธศาสนา) เข้ามาพอก มาฉาบมาทา มาหุ้มพุทธศาสนา ใครผู้ใดยินยอม หรืออนุญาต หรือร่วมมือ ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่า ช่วยลด "ค่า" ของพุทธศาสนาให้ต่ำลง และเรียกได้ว่า คือผู้ทำลาย ความเป็น "พุทธศาสนา" ลงด้วยมือ ของตนเอง นั่นเอง ซึ่งบางที น่าเสียใจอย่างยิ่งที่สุด เพราะผู้ทำนั้นๆ ไม่รู้ว่าตนได้ทำไปแล้ว เช่นนั้นจริงๆ และได้กลายเป็น "ความไม่ถูก" ดังนี้
จึงเป็นการยากมาก ที่จะให้ "รู้"แท้ รู้จริงให้ได้ และดำเนินไปโดยถูกโดยต้อง เพราะทางนี้เป็นทางเล็ก ทางนี้เป็นทางลัด และทางนี้เท่านั้น ที่คนจะเดินถึง จุดสุดยอดแท้จริงได้ เมื่อถึงจุดสุดยอดแท้จริงแล้ว ผู้ถึงนั้นก็คือ ผู้มีทุกสิ่งทุกอย่างครบพร้อม อย่างจริงอย่างแท้ ผู้ถึงนั่นแหละ จะรู้เองโดยตนเองว่า ตนมีตนได้อย่างแท้จริงๆ "ผู้ไม่มีอะไรอยู่เต็ม หรือผู้ได้อะไรมาไว้เป็นของตน เสียทั้งหมดนั้น ก็คือ ผู้จะไม่ได้อะไร จากใครอีกเลย (เพราะได้มา หมดเกลี้ยงแล้ว) และของที่ตนมี ก็จะไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว เมื่อตนแน่ใจว่า จะไม่ยอมให้ ของที่ตนมีแต่ผู้เดียวนั้นแก่ใคร นั่นคือ ของผู้นั้นก็หมดค่าลง เป็นสูญ และนั่นคือ เท่ากับผู้ไม่มีอะไรเลย"
ลองนำไปคิดดูให้ดี นี่คือความแท้จริง นี่คือข้อไขขยายความว่า จงมาปฏิบัติธรรมของ พุทธศาสนากันเถิด มาฝึกหัดตัดออก มาฝึกหัดลดลง มาฝึกหัดให้ออกไป มาฝึกหัดไม่เอามาเป็นของตน กันนั้นเถิด แล้วเราจะเป็นผู้บรรลุถึง ความเป็นผู้ได้มาเต็ม ผู้มีอยู่เต็ม ผู้ครบพร้อมบริบูรณ์ ทุกประการ อย่างแท้จริงๆ และจะเป็นได้เร็วกว่าลัดกว่า ที่ไปใฝ่ได้ ใฝ่เอา ไม่มีเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย พากันแย่งกันกระทำอยู่ เพราะ "ทางนั้น" คนแย่งกัน "ทำ"แยะ จึงเป็นทางเดิน ที่จะบรรลุตำแหน่ง "เต็ม" จริงๆ หรือบรรลุตำแหน่ง "ยอด" จริงๆ ได้ยาก แต่ทางเดิน ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบนี้ เป็นทางเดิน ที่จะสะดวกกว่า บริสุทธิ์กว่า มีขวากหนามน้อยกว่า มีการต่อสู้กับ "ศัตรู" ภายนอกน้อยกว่า ทุกๆด้านแหละ ถ้าคิดให้ดี ทางนี้เป็นทางที่ พระพุทธองค์ ทรงปฏิบัติมาแล้ว และได้บรรลุแล้ว ก็แล้วกัน และเป็นทางลัดโดยจริง จึงถึงเร็ว ถึงอย่างแท้จริง ได้ง่ายกว่าด้วย อย่าไปมัวหลงอยู่กับ คนหมู่มากนั้นเลย มามองให้ออก อ่านให้เห็นเถิดว่า "ความเต็ม" นั้น เราจะใฝ่เอาได้ทั้งสองอย่าง อย่างที่ได้อธิบายมาแล้วทั้งหมดนั้น เชื่อเถิดว่า ทางเดินที่เป็น ทางสละออก ตัดออก ลดลงนี้ เป็นทางที่จะ "ได้มา" ที่ถูกต้อง และเพียบพร้อมถึง "จุดสุดยอด" อย่างแท้จริง เพราะพระพุทธองค์ ได้ทดลอง "เดิน" มาก่อนแล้ว และแม้การสะสม พระพุทธองค์ ก็ได้ทรงลองสะสมมาก่อนแล้ว เช่นกัน พระองค์จึงได้ทรงเห็นแท้ เห็นจริง และแล้วก็บรรลุ สุดยอดแท้จริง ดังเราทุกคน ก็ได้รู้ ได้ทราบกันดีอยู่แล้ว
ข้อที่ข้าพเจ้า ใคร่จะกราบขอร้องกัน ก็คือ พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย แม้ตนเอง จะไม่เห็นดีเห็นตาม ที่ข้าพเจ้าอธิบายมานี้ ไม่เห็นแท้ตามนี้ และจะไม่ยินดี ปฏิบัติตามนี้ ก็ขอความกรุณา อย่าช่วยกันฉุด หรือลาก "พุทธศาสนา" ให้ลด "ค่า" ลงเลย "พุทธศาสนา" ทุกวันนี้ มองหาเนื้อแท้ แทบจะไม่เห็นอยู่แล้ว เพราะความเข้มข้น จริงจัง ได้ถูก"มนุษย์" ละเลง ละลาย หรือทำความเจือจาง ลงไปเรื่อยๆ ทุกวี่ทุกวัน อย่าคิดแต่เพียงว่า ตนไม่อาจเดินทางไป จนถึงขั้น พระอริยเจ้าได้ ก็ขอเพียงเข้า "ปลอมตน" เป็น "พระอริยเจ้า" แล้วทั้งจิตทั้งใจ และการกระทำของ "พระอริยเจ้าปลอม" ผู้นั้น ก็จะแสดงออกมา ตามวิสัยของ "พระอริยเจ้าปลอม" จึงเท่ากับ ผู้นั้นเอา "ความไม่ถูก" ความไม่แท้ความไม่จริง มาทามาพอก มาหุ้ม มาแปดเปื้อน "พุทธศาสนา" ไว้
แต่ละผู้ที่คิดว่าตัวรู้ แล้วกระทำการ "หย่อนข้อ" ก็กรุณาอย่าได้กระทำต่อไปเลย จะคิดเพียงว่า ตำแหน่ง ความสูงของ "พุทธศาสนาแท้" ถ้าเทียบได้ว่า อยู่ขั้นที่ ๑๐ ถ้าเรายังไม่รู้ ถึงขั้นที่ ๑๐ (หรือแม้รู้ก็ตาม) แต่นำมาสอนเขาไม่ถึง หรือไม่ได้แค่ขั้นที่ ๑๐ เพราะถ้าบอกจุดสุดยอด ของขั้นที่ ๑๐ แล้วกลัวคน เขาเห็นว่าสูงเกิน จะไม่ยอมสนใจ ก็เลย "หย่อนข้อ" สอนเขาเพียงแค่ขั้นที่ ๙ อำพรางขั้นที่ ๑๐ ไว้ และแล้วยังไม่พอ บางคนก็อนุโลมลงมา ยิ่งกว่านั้น แค่ขั้นที่ ๘ ที่ ๗ ลงมาเรื่อยๆ เพื่อเพียงจะหลอกล่อ ให้เขาเข้ามาร่วม เป็นพุทธศาสนิกชนนั้น "ผู้รู้" ผู้นั้นคิดผิด เพราะที่ถูก "ผู้รู้" ผู้นั้น ต้องทำตนให้ถึงขั้นที่ ๑๐ เสียก่อน นั้นขั้นแรก แล้วค่อยมาสอนคนอื่น และผู้รู้นั้น จะต้องไม่หย่อนข้อ ด้วยประการทั้งปวงด้วย จึงจะถูก จึงจะดึงคนอื่น ขึ้นไปหาขั้นที่ ๑๐ นั้นได้ และอย่าโอนอ่อน โดยใช้วิธียอมตาม แม้คนจะนำเอาสิ่งไม่ถูกไม่ดี เข้ามาร่วมขอผสม หรือขอฉาบทาพุทธศาสนา ก็อย่ายอมเป็นอันขาด
การค่อยๆ ลดตัวลงมาหาสิ่งที่ต่ำ นั่นแหละ คือ การปล่อยให้สิ่งที่ต่ำ ฉุดความสูงลงมา ถ้าความสูง ไม่ยอมลดราวาศอก เอากับความต่ำ แข็งข้ออยู่ให้ได้ ความสูงก็จะฉุดความต่ำ ขึ้นไปหาสูงได้เอง หรือแม้ความต่ำ ไม่พยายามขึ้นสูง ก็ไม่ใช่ความเสียหายอะไรของความสูง นั่นเป็นเพียง เราไม่ได้ความสูง เพิ่มขึ้นมา แต่ถ้าความสูง ลดลงมาหาความต่ำ นั่นคือ ความต่ำได้ความสูงลดลงมาหา ตัวความสูงเองนั่นแหละ เจือจางไป คือพ่ายแพ้ไป คือเสียหาย คือค่อยๆ เสื่อมสูญนั่นเอง
ดังนั้น จงอย่าคำนึงถึงปริมาณ ต้องคำนึงถึงคุณภาพเป็นใหญ่ การปล่อยให้คน สอนธรรมะกันพร่ำเพรื่อ อวดภูมิ (โดยเป็นภูมิ ที่ยังไม่ถูก) ก็เป็นการฉุด การทำลาย การทำง่ายๆ เช่น อบรมนักธรรม ๓ เดือน ๕ เดือนเท่านั้น แล้วก็ส่งนักธรรม ผู้ยังไม่รู้เรื่องอะไรนั้น ออกไปสอนผู้คน ทำยังกับ "ธรรมะ" ของพระพุทธองค์ นี่ง่ายดายเหลือกำลัง อบรมกันนิดๆหน่อยๆ ก็ได้ ทำยังกะของเล่น นั่นแหละคือ ท่านกำลังละลาย "พุทธศาสนา" ให้เจือจางลง ด้วยวิธีดังกล่าวแล้ว อย่างมักง่าย
และแม้ผู้ได้เรียนรู้ปริยัติ มามากมาย ถึงขนาดเปรียญ ๙ ก็จงอย่าได้ทะนงตนว่า "รู้" เป็นอันขาด ควรจะ"ปฏิบัติ" ให้ "รู้" เสียก่อนเถิด ค่อย"สอนคน" เมื่อ "ปฏิบัติรู้"แล้ว ท่านจะรู้เองว่า ท่านได้ "รู้" แตกต่างกว่าที่ "รู้" อย่างมี "ปัญญาขั้นปริยัติ" มากมาย และจะรู้ตนได้ด้วยว่า เมื่อใดเราควรสอนคน เมื่อใด เรายังไม่ควรสอนคน ส่วนผู้เรียน "ปริยัติ" มาถ่ายเดียวนั้น ขอความกรุณา อย่าเพิ่งริอ่าน สอนคนง่ายนัก เพราะส่วนมาก ผู้เรียน "ปริยัติ" มานั้น เป็นผู้เรียนด้วย "จิตสำนึก" หรือ "ปัญญาชั้นนอก" จึงหลงตนว่าตนมี "ปัญญา" ได้ง่ายๆ แล้วก็มักจะอยากอวด "ปัญญา" (อันยังไม่แท้) เสียด้วย ส่วนผู้ "ปฏิบัติ" จริงๆนั้น ไม่กล้าสอนใครง่ายๆ เพราะ "ปัญญา" เกิดอยู่ใน "จิตใต้สำนึก" หรือ "จิตภวังค์ชั้นใน" หรือ "เจโต" มักจะไม่รู้ตัวว่า ตัวมี "ปัญญา" ตราบจน เมื่อรู้ตัวว่ามี "ปัญญา" พอสอนคนได้ ผู้ปฏิบัติจึงจะกล้าสอนคน และ จึงเป็นผู้ถูก มากกว่าผิด
อันความจริงแล้ว มันก็ห้ามไม่ได้หรอก ที่จะไม่ให้ "พุทธศาสนา" มี "ค่า" ต่ำลงทุกวันๆ เพราะความจริงแท้ มันจะต้องเกิด และหมุนแปร ไปตามสามัญลักษณ์ ดังนั้น แต่กระนั้นก็ดี ก็อย่าได้ย่ำยีศาสนา ให้เป็น"บาป" แก่ตนเองให้มากนัก ควรมี "สติ" ตรองให้ดี แล้วก็ยับยั้ง สิ่งที่ควรยับยั้ง เพิ่มแต่สิ่งที่ควรเพิ่ม เราทำถูกนั้น ไม่เป็น "บาป" เลย แต่เราทำผิดสิ เป็น"บาป" แม้จะเจตนา หรือไม่เจตนาก็ตาม
อย่าให้ "พุทธศาสนา"วันนี้ มี"ค่า" ต่ำกว่าเมื่อวานนี้ลงไป วันละมากๆ ด้วยน้ำมือของท่านนักเลย เดี๋ยว "พุทธศาสนา" ของพระโคดมเจ้า จะไม่ยั่งยืนถึง ๕๐๐๐ ปี ตามพระพุทธกำหนด ด้วยฝีมือของท่าน ผู้มีนามว่า "พุทธศาสนิกชน" เอง
๙ เม.ย.๒๕๑๓
(ประกายธรรม ๗ )
*****
ตรวจทานใหม่ 31 มีนาคม 2568 ที่สุด