"ทำไมผู้ปฏิบัติธรรม จึงไม่บรรลุ เป็นพระอรหันต์เจ้า ซักที"

ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ในจำนวนคนทั้งหลาย ทั่วสากลโลกนี้ จะมีใครพึงพอใจ หรือปรารถนา ในความเป็น "พระอริยเจ้า" กันจริงจังแน่แท้ สักแค่ไหน?

เพราะเท่าที่เห็น เท่าที่ได้รับรู้แจ้ง ในวงแห่งพุทธศาสนาเมืองไทยนี้ ก็นับได้ว่าเป็นแว่นแคว้น ที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่า "เมืองแห่งพุทธ"

และก็พุทธศาสนาเท่านั้น จึงจะมี "พระอริยเจ้า" ขั้นที่ ๑ (โสดาบัน) ขั้นที่ ๒ (สกทาคามี) ขั้นที่๓ (อนาคามี) และขั้นที่ ๔ (อรหันต์) อันพระพุทธองค์ ได้ทรงยืนยันไว้อย่างแน่ชัดว่า สมณะ ๔ เหล่าดังนี้ จะไม่มีในศาสนาใดเป็นแน่แท้ (เพราะศาสนาอื่นใด ไม่รู้ความละเอียดแห่งจิต จนจะสามารถแบ่งระดับ ความต่ำสูงของจิตอริยะได้ แต่ถ้าใครมีภูมิธรรม ก็สามารถอ่าน และจัดระดับต่ำสูง ให้กับพระในศาสนาอื่น หรือแม้กับคนทุกคนได้)

หายากยิ่งกว่างมเข็ม ในมหาสมุทร

แต่กระนั้นก็ดี ปัจจุบันก็มี "พระอริยเจ้า" น้อยเสียเหลือเกิน ดูไม่สมดุลกับตำแหน่ง ที่ได้รับว่า เป็นเมืองแห่งพุทธศาสนา เอาเสียเลย

ผู้บำเพ็ญเพียร ผู้พร้อมใจน้อมใจพลี และได้ประกาศ ทำสัญญาแก่เพื่อนพุทธศาสนิกชน ทั้ง หลายว่า ตนจะได้ตั้งใจ เดินทางไปสู่ความเป็น "พระอริยเจ้า" โดยพิธีอุปสมบทกัน อย่างครื้นเครงบ้าง และไม่ครื้นเครง แต่เป็นไปโดยแท้โดยจริงบ้าง ก็มีจำนวนมากมายก่ายกองอยู่

แม้ในจำนวนเหล่านั้น ก็ช่างหาพระอริยเจ้า ได้ยากเย็นเสียนี่กระไร ดูช่างไม่สมดุลกับความเป็น "พุทธ" ความมีตำแหน่ง "เมืองแห่งพุทธ" เลยจริงๆ

ยิ่งในกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ฯ หรือในเขตแคว้น ใกล้เคียงแผ่นดิน อันเรียกว่าเมืองหลวงนี่แล้ว อันมีพระสงฆ์ หรือผู้ประกาศ แก่พุทธศาสนิกชนว่า ตนจะทำตน เป็นผู้เดินทางไปสู่ ความเป็นพระอริยเจ้าให้ได้ ให้มีจำนวนมากมาย กว่าจังหวัดใดๆ ยิ่งหาดูได้ยากยิ่งเสียกว่า งมเข็มในมหาสมุทร

ผู้รู้เกลื่อนเมือง แต่ยากไร้ความจริง

แต่...พระอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้ตั้งตนเป็นผู้สั่งสอนสัจธรรมนั้น มีมากมายเหลือเกิน ในกรุงเทพมหานคร มีทั้งผู้มีตำแหน่ง ยศถาทางโลกที่ตั้งให้ และเต็มไปด้วย ผู้มีใบรับรองคุณวุฒิ ทางโลกว่าได้เรียนรู้ จบเรื่องวิชาความรู้ทาง "ธรรมะ" มาแล้วเป็นเปรียญธรรม ขั้นนั้นขั้นนี้

แท้ที่จริง เพียงขั้นที่ ๑ (โสดาบัน) ตามที่พระพุทธองค์ ท่านกำหนดชี้ เป็นขั้นต่ำสุด ของ "พระอริยเจ้า" บรรดาท่านพระอาจารย์ และท่านผู้มียศ มีใบรับรองเหล่านั้น ก็หาได้ก้าวเข้าไปใกล้ไม่ ยังคงคือ "ปุถุชน" ในร่างของ "อาจารย์" ในร่างของผู้มียศ ในร่างของผู้มีใบรับรอง คุณวุฒิทางธรรมะ อยู่ทั้งนั้น ยังเป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ต่อพระนิพพานอันแท้จริง ยังเป็นผู้ที่มีหวัง ตกนรกอบายภูมิ อยู่ทั้งสิ้น

ไยแก้วมณีอยู่ ณ แดนไกลกรุง

แต่สำหรับหมู่ผู้บำเพ็ญเพียร ที่อยู่ไกลกรุงเทพมหานคร ไม่เคยเห็น แม้แต่พระไตรปิฎกสักเล่ม อย่าว่าแต่ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือคุณวุฒิใบรับรองเลย แม้ "คน" จะรู้จักท่าน ก็เพียงคนในย่านในถิ่นนั้น เท่านั้น เป็นวงแคบนิดเดียว และเป็นหมู่ผู้ที่ พระอาจารย์ เหล่าที่ได้กล่าวถึงนี้ ดั้นด้นไปสอนไม่ถึงด้วย ทว่าในจำนวนท่านเหล่านั้นแหละ ยังมี "พระอริยเจ้า" เกิดอยู่เป็นอยู่มากกว่า ในถิ่นที่มีพระอาจารย์ ทั้งหลายอยู่ เยอะแยะเสียอีก

ร้อยรู้ ไม่สู้หนึ่งทำ

เมื่อได้นึกคิดกันมาถึงขั้นนี้ ก็น่าจะนึกได้แล้วว่า ทำไมพระอริยเจ้า จึงไปมีในถิ่นที่ ไม่มีพระอาจารย์ยศมาก เปรียญสูงไปสั่งสอน

เพราะท่านที่อยู่ไกลๆ เหล่านั้น ท่านขยัน "ทำ" แต่ไม่ค่อยได้ "เรียน"

ส่วนพระอาจารย์ทั้งหลายนั้น ท่านขยัน "เรียน" และขยัน "สอน" แต่ไม่ขยัน "ทำ"

"เรียน" ในที่นี้ก็คือ เรียนพระคัมภีร์ เรียนพระวินัย และเรียนพระอภิธรรม เรียนพระสูตร พร้อมกับเรียนสังคมศึกษา แห่งวงการศาสนา ตั้งหน้าตั้งตาเรียน จนครูบาอาจารย์ผู้สอน ให้ใบรับรองว่า ท่านเหล่านี้ได้ "เรียน" จริง

และตั้งหน้าตั้งตา "เรียน" เขยิบจากหนังสือ และตำราเล่มเล็กๆ กำหนดจดจำ (ฝังสัญญา หรือสร้างสัญญา ให้ยึดนั้นหนาแน่น) แตกฉานไปได้ จนตำราเล่มใหญ่ๆ ใครถามวรรคไหนบทไหน ยกออกมาพูด ออกมาอธิบายได้ ทุกวรรคทุกตอน ละเอียดถี่ถ้วน คล่องปากคล่องคอ จนเป็นที่โดดเด่น เป็นสง่า ได้ยศมาให้ตนกันมากมาย (นั่นเรียกว่า เก่งทางทฤษฏี เก่งปริยัติ คล่องด้วยเหตุผล ทางภาษา)

เมื่อได้ยศถา ได้ตำแหน่ง ก็ก้าวเข้าไปสู่สังคมแห่งวงการศาสนา กันละทีนี้ ก็ประหนึ่งว่า ได้รับบรรจุเข้าเป็น "ข้าราชการแห่งวงการศาสนา" ไม่ใช่ประชาชน ราษฎรธรรมดากันแล้ว หรือไม่ใช่ "พระสามัญ" แล้ว (แต่ไม่ใช่พระอริยเจ้า)

 

นี่หรือคือกิจของสมณะ?

"งาน" ที่ท่านผู้นี้จะทำ จึงเป็น "งาน" อย่างที่ท่านได้เรียนมามาก คือ "สังคมศึกษาแห่งวงการศาสนา" และ "งาน" เพื่อเพิ่มลาภ-ยศ -สรรเสริญ-สุขให้ตน ตามที่ได้เริ่มมีขึ้นแล้วกับตน เป็น "เจตนา" ขั้นเอก อันแฝงฝังอยู่ในก้นบึ้งของห้วงจิต (รู้ได้ยากสำหรับผู้มี "โลภะ-โทสะ" กล้า เพราะผู้มีโลภะ-โทสะ กล้าก็คือ ผู้มี "โมหะ" หรือ อวิชชาหนาแน่นนั่นเอง

เวลาจึงมีให้สำหรับ "งาน" ในด้านนี้ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตา เดินทางกันไปใน "ทาง" นี้กันหมด

ทางด้านดังกล่าวนี้คือ "ทางแห่งเขาวงกต" ใครเคยเดินเข้าไปกันบ้างเอ่ย? รู้ตัวได้ไหม?

รู้ตัวไหมว่าไม่ใช่ทาง อันคือ "สัมมาอริยมรรค" หรือ "ทางไปสู่ความพ้นทุกข์ ที่ถูกที่แท้ของผู้ฉลาดจริง"

 

ตำราชีวิต

ส่วนคำว่า "ทำ" ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงว่า พระอาจารย์ที่มียศ มีตำแหน่งเหล่านี้ ไม่ขยัน "ทำ" นั้นก็คือ "งานปฏิบัติจิต" หรือเรียนรู้ "จิต" อันไม่ต้องกระโดดโลดเต้น ไม่ต้องท่อง ไม่ต้องสอบนั่นเอง

มีแต่ "อ่าน" และการ "อ่าน" ก็ไม่ต้องไปลงทุน ซื้อหาหนังสือ หรือ ตำราจากที่ใดมาอ่านด้วย

ตำราเล่มใหญ่ที่สุด ที่จะต้องอ่านให้มากที่สุด ก็คือ ตำราที่มีพร้อมแล้วในตัวเอง อันคือ "ชีวิตจิตใจ และร่างกาย" ของตนเองนั่นเอง

ตำราอื่นใดจากที่ไหน ก็ไม่ใช่ตำราแท้ ที่จะใช้ได้จริงจังเลย เพราะว่า แม้ใครจะไปเรียนรู้ภาษา จากตำราเล่มใดมา ไปเรียนรู้จาก ได้รับฟังคำสอน มาจากผู้ใดก็ตาม ก็จะต้องนำเอาภาษา ที่ได้เรียนรู้มานั้น มาเปิดอ่านเปิดใช้ ประกอบไปในการ "อ่าน" ชีวิตจิตใจ และร่างกายของตนนี่เอง

ถ้าใครไม่ทำอย่างนี้ไซร้ เรียกผู้นั้นว่า ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติตน อย่างพุทธศาสนิกชนเลย คงคือผู้มีเพียงแต่ชื่อ เรียกว่า เป็นพุทธศาสนิกชนเท่านั้น โดยแท้จริงแล้ว ไม่ได้มีความเป็นพุทธศาสนิกชน ยังไม่ได้ "ปฏิบัติธรรม" ตามทางที่ถูกที่แท้ ที่ตรงที่ควรเลย

 

รู้มาก ยากนาน

ด้วยความเป็นไป มันเป็นอยู่ดังนี้จริงๆ ในวงการพุทธศาสนาของไทย จึงหา "พระอริยเจ้า" ไม่ค่อยจะได้กัน ยิ่งในสังคมพุทธสังคมใด มีพระอาจารย์มากๆ ยิ่งในสังคมนั้นแล จะไม่มีพระอริยเจ้าเลย เพราะเหตุใด? ก็เพราะว่า ยิ่งมีพระอาจารย์ในหมู่ใดมาก คนในหมู่นั้น ก็ยิ่งจะพยายามเพิ่มความรู้ ความกว้างขวาง ความเก่งให้ตัวเอง ให้เป็นพระอาจารย์ที่เด่น ที่ได้รับคำยกย่องสรรเสริญมาก สังคมนั้นจึงกลายเป็น สังคมแห่งการ "เรียน" จริงๆ แต่อ่อนในการปฏิบัติ หรือการ "ทำ"

ลองนึกลองคิดบ้างเถิด ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลายเอ๋ย อย่าเพิ่งเอาสิ่งที่มีที่เป็น ในชนหมู่มาก มาเป็นเครื่องวัดว่า นั่นถูกนั่นดี นั่นเป็นไปอย่างชอบแล้ว

เพราะความถูกต้องแท้จริง อันเรียกว่าปรมัตถสัจจะ ของพุทธศาสนานั้น สูงส่งละเอียดลออนัก เป็นความจริงแท้ ที่มีอยู่ในคนหมู่น้อย เป็นความถูกต้องจริงแท้ ที่มีประสิทธิภาพสูงส่ง มีน้ำหนักมากยิ่ง จึงแม้จะมีจำนวนน้อย ก็สามารถเป็นสมดุลยภาค ฝ่ายข้างหนึ่ง ที่จะถ่วงสมดุลยภาค ฝ่ายข้างของคนหมู่มาก ที่เขาเป็นอยู่ไว้ได้

ดังนั้น การที่เข้าใจกันว่า คนหมู่มากเขาเป็นอยู่นั้น ถูกต้องแล้ว จึงไม่ใช่สิ่งตัดสินที่เที่ยงแท้ถูกแน่ จริงจังหรอก สำหรับพุทธศาสนา

เพราะอะไร? เพราะว่า ความถูกกับความผิดนั้น มันอยู่กันคนละข้าง เป็นตรงกันข้าม หรือความดีกับความชั่ว มันก็คือ จุดที่อยู่ตรงกันข้ามกัน เป็นเส้นตรง อันเดียวกันอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น ถ้าคนหมู่มากถูก คนหมู่น้อยก็ผิด ถ้าคนหมู่มากผิด คนหมู่น้อยก็ถูก มันจะถูกหรือผิด ไปทางเดียวกันไม่ได้ เป็นอันขาด ตามหลักแห่งปรมัตถสัจจะ

 

ทานบารมี

สังเกตเอาง่ายๆ พุทธศาสนา สอนให้บริจาคสอนให้ทาน ให้สละออกไปเป็นหลัก ถือว่าเป็นความดี เป็นความถูก เพราะฉะนั้น ผู้หามาให้ตน ด้วยวิธีต่างๆ ตั้งแต่หามาอย่างเห็นได้ชัด ไปจนหามาให้ตน อย่างเห็นไม่ได้ดูไม่ออก ก็ยังคงเป็นความชั่ว และเป็นความผิดอยู่ทั้งสิ้น จนกว่าจะบริจาคออกไป ให้หมดสิ้น ไม่เหลือหลอในตนเอง สักสิ่งเดียว ตั้งแต่รูปสมบัติ ไปจนกระทั่ง แม้แต่อรูปสมบัติ อันคือ ความรัก ความชัง ความโลภ ความหลงต่างๆ

และแม้ที่สุด ก็จะเหลือเพียงธรรมประทีป หรือธรรมปัญญา อันคือความรู้จริงในทางธรรม ซึ่งเป็นสมบัติที่พระอริยเจ้า จะมีมากที่สุดในตน เป็นเบื้องสุดท้าย ก็จะต้องบริจาค และแจกจ่าย "ธรรมประทีป" นั้นออกไป เป็นทานเสียด้วย ต้องไม่เก็บงำไว้ แต่ในตนนั่นแล จึงจะเป็น ปรมัตถสัจจะ เป็นความจริงแท้ ที่เที่ยงตรงสุดยอด

 

ทำไมจึงไม่บรรลุธรรม?

ทีนี้ ก็เข้าประเด็นกันได้ละว่า ทำไมผู้ปฏิบัติธรรม จึงไม่บรรลุเป็น พระอริยเจ้าซักที?

ก็เพราะว่า เห็นไม่ถูกทางนั้นหนึ่ง และ ไม่ได้ปรารถนาจะเป็นพระอริยเจ้าจริงจัง นั้นอีกหนึ่ง

จะขอยกเอากรณีหลัง คือ "ไม่ได้ปรารถนาจะเป็น พระอริยเจ้าจริงจัง" นั้นขึ้นมาคุยกันเสียก่อน ข้าพเจ้าแน่ใจว่า คนไม่ปรารถนา จะเป็นพระอริยเจ้า จริงจังนี่แหละ จะเป็นกรณีที่ยิ่งใหญ่ หรือมีจำนวนมากกว่าอีกกรณีหนึ่ง ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงนั้น

เพราะว่า การเป็นพระอริยเจ้านั้น โดยแท้จริง ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน ก็เป็นของแน่นอนว่า ตำแหน่ง "พระอริยเจ้า" นั้น ย่อมเป็นตำแหน่งที่สูงส่ง เป็นที่เคารพบูชาเทิดทูน สำหรับทุกคน และถ้าใครได้อยู่ในตำแหน่งนั้น ผู้นั้นก็ย่อมจะปีติและสุข (อย่างแท้) เป็นแน่นอน จึงยังมีผู้ใฝ่ ผู้อยากได้ตำแหน่งนี้ อยู่อย่างยิ่ง ก็มีผู้พยายามจะได้ชื่อว่า เป็นพระอริยเจ้าอยู่ดังนี้ แต่ทว่า ก็เพียงใฝ่ เพียงอยากได้ อยากเป็นโดยใจจริง ไม่ได้ตั้งใจจะปฏิบัติตน จะหาทาง จะเดินทางไปสู่ ความเป็นพระอริยเจ้า อย่างจริงจังกันเอาเสียเลย แท้จริงนั้น ต้องการเพียง "นาม" เพียง "ชื่อ" ของคำว่า "พระอริยเจ้า" เท่านั้นมาให้ตน

 

หลงเสพสุขทุกรูปแบบ

เพราะอะไร? เพราะการจะเป็น "พระอริยเจ้า" ก็คือ การลาออกจากการเป็น "คน" ลาออกจากการเสพกามคุณ ทั้งสิ้นทั้งหมด อย่างคนธรรมดา ทั้งหลายทั้งปวง เขาเสพอยู่เสีย ลาออกให้เด็ดขาดด้วย ไม่หวนกลับมาเสพกันอีก เริ่มตั้งแต่ยังติดยึด ยังเสพ ยังใคร่อยาก (กาม) อยู่ในเรื่องต่ำๆ สิ่งที่เป็นโลกต่างๆ (อบายต่างๆ)

แม้จะยังมีชีวิตปะปนอยู่กับคน เห็นรูปสวย สัมผัสรสอร่อย สัมผัสเสียงไพเราะ สัมผัสกลิ่นหอม สัมผัสเสียดสีกับความนุ่มเนียน ซาบซ่าน อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องไม่รับเอา ไม่เสพ ไม่ต้องการ ไม่วุ่นวาย เฉยชา กับสิ่งเหล่านั้นให้ได้

 

ใจไม่เด็ด ตัดไม่ขาด

นี่สิ ที่คนไม่กล้าตัด ไม่กล้าทิ้ง ปล่อยไม่ได้ วางไม่ลง ทั้งๆที่ปรารถนาตำแหน่ง "พระอริยเจ้า" นั้นให้ตน สักปานใดก็ตาม แต่จะให้ลดให้ละ กินก็ให้กินแต่น้อย ไม่กินให้อร่อย สัมผัสคลุกคลี ปรนปรุงอยู่กับสิ่ง กับเรื่องที่ยังอร่อย ยังหลงเป็น "สุข"ใดๆอยู่ ก็จะให้เลิก ให้อด ให้ลด ให้ละ ในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ทั้งมวลนี่แหละ มันตัดได้ยาก ละได้ยาก แล้วก็ไม่พยายามพากเพียรละ หรือลดจริงจังกันได้สักที เมื่อไม่กล้าตัด ไม่กล้าลด ไม่กล้าละ แล้วเมื่อใดจะได้เป็น "พระอริยเจ้า" กันเล่า?

แต่ถ้าผู้ใดปรารถนา จะเป็นพระอริยเจ้าจริงจัง ถ้ารู้ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ดังนี้ ก็จะ "ทำ" จริงๆ จนเลิกขาด ไม่เวียนกลับไปหลงสุข กับสิ่งต่ำนั้น เรื่องต่ำนั้นๆ ได้ เลิกเวียนเรียกว่าดับโลกนั้น หรือเหนือโลกนั้นๆ และจะได้เป็นพระอริยเจ้า จริงๆ ด้วย

 

กามคุณสุดรัก ยากจะหักใจ

ผู้ที่ทำที (คือผู้บวชเป็นพระสงฆ์แล้ว) จะเป็นผู้พากเพียร เป็นพระอริยเจ้าให้ได้ ก็เลยทำแต่ทีท่าอยู่อย่างนั้น มีแต่ทีท่า (คือปฏิบัติเพียง ตามวินัย ตามศีลเฉยๆ) แต่ไม่ได้ "ปฏิบัติตน" ทำตนให้ก้าวไปได้ เดินหน้าไปสู่จุดหมาย สักก้าวเดียว เพราะทิ้งอารมณ์แห่งกามคุณ ๕ ไม่ได้ และที่สำคัญก็คือ ไม่ยอมทิ้งโดยตั้งใจ อันนี้แหละที่มีอยู่ ในผู้ทำทีท่าเหล่านั้นมากมาย ดังนั้น จึงไม่ได้ตำแหน่ง "พระอริยเจ้า" จริงๆ กันสักที แต่ไปได้ตำแหน่งพระครู เจ้าคุณ สมเด็จ หรือพระมหาเศรษฐี หรืออื่นๆ ที่เป็นลาภ เป็นยศเป็นศักดิ์ เป็นสรรเสริญทางโลกทั้งสิ้น

ด้วยกรณีสำคัญดังนี้เอง จึงไม่ต้องกล่าวให้ยืด ให้ยาวความไปหรอกว่า ท่านเหล่านั้น จะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ด้วยอะไรอื่นอีก เพราะแม้จะรู้ทาง หรือแม้จะเข้าใจหลักปฏิบัติอยู่ ท่านเหล่านั้น ก็จะไม่กล้าเดิน ไม่กล้าปฏิบัติอยู่นั่นเอง จึงไม่มีทางจะได้เป็น พระอริยเจ้า ตราบโลกแตก

ถ้าใครตั้งใจจะทิ้งจะละ และเพ่งบำเพ็ญเพียรจริงๆ ไม่ใช่สักแต่ว่า ถือศีล รักษาวินัย เคร่งอยู่เฉยๆ ละก็ ผู้นั้นก้าวไปได้แน่ๆ ขอรับรอง

 

เห็นไม่ถูกทาง

ทีนี้ ในอีกกรณีหนึ่งคือ "ท่านผู้เห็นไม่ถูกทาง" เมื่อเป็นผู้เห็นไม่ถูกทาง ที่จะเดินไปสู่ ความเป็นพระอริยเจ้า ก็แน่นอน ย่อมจะไปไม่ถึงแน่ อันนี้ก็มากอยู่ทีเดียว และเป็นกรณีที่ น่าจะได้ช่วยกันอย่างมาก เพราะในจำนวนท่านเหล่านี้นี่เอง คือผู้จะเป็น "พระอริยเจ้า" ได้ละ

ธรรมะนี้ละเอียดลออ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย แต่ถ้าไม่เห็น หรือยังไม่แจ้ง มันก็ยังเป็นผู้อยู่ในความยาก อยู่นั่นเอง และโดยแท้จริงแล้ว ถ้าจะเรียกให้ถูก ให้ตรง ก็ควรเรียกว่า "ยาก" เพราะในจำนวนคนส่วนมากแล้ว ทำกันไม่ค่อยได้ และเห็นไม่ค่อยได้เสียด้วย

เห็นไม่ได้อย่างไร? เห็นไม่ได้ก็คือ เขาเข้าใจเป็นทางตรงกันข้าม อยู่เสมอนั่นเอง เช่น ข้าพเจ้าจะบอกว่า อย่าไปดูหนังละครเลย มันสนุกเพลิดเพลิน มันเป็นความชั่ว เป็นความผิด คนผู้มองไม่เห็น ก็จะมองไม่เห็นจริงๆ

ก็ความสนุกเพลิดเพลิน มันเป็นความชั่ว ความผิดได้ยังไง? คนทั้งโลก เขาหาความสนุกเพลิดเพลิน กันอยู่ทั้งสิ้น แล้วเขาก็จะย้อนถาม ออกมาทันทีว่า มีใครบ้างไหม ไม่หาความสนุกเพลิดเพลิน? ก็จะตอบได้ทันทีเช่นกันว่า คนที่จะเดินไปสู่ ความเป็นพระอริยเจ้านั่นแหละ ไม่หาความสนุกเพลิดเพลิน โดยพยายามตัดความสนุกเพลิดเพลิน ออกไปให้สิ้นจากจิตใจให้ได้ หรือ ถ้าข้าพเจ้าจะบอกว่า อย่ามัวเมาหลงเสาะแสวงหา แต่ความสุขสมใจ มาเสพอยู่เลย มันเป็นความชั่ว เป็นความผิด คนผู้มองไม่เห็น ก็จะมองไม่เห็นจริงๆ ก็ใครไม่หวังความสุข แม้ "พระอริยเจ้า ก็หวังความสุขไม่ใช่หรือ?" นั่นแหละคือ ความเข้าใจยังไม่ได้ ความเห็นยังไม่ได้

พระอริยเจ้าท่านหวังความสุข ก็ไม่ใช่ความสุข เช่นคนธรรมดาหวัง ความสุขของพระอริยเจ้า ก็คือ ความพ้นทุกข์แท้ (โดยแท้จริงนั้น คำว่า "สุข" มันไม่มี มันมีแต่อาการบำบัด แล้วเรียกสิ่งนั้นว่าสุข ถ้าไม่มี "ทุกข์" มาก่อน ก็จะไม่มีคำว่า "สุข" เลยเป็นอันขาด) หรือเป็นความทุกข์โดยตรง ตามสายตาของคน นั่นเอง ส่วนความสุขของคนธรรมดานั้นคือ ความสมใจ ในทุกสิ่งที่ตนปรารถนา เรียกว่า ความสุข พระอริยเจ้า ก่อนจะเป็นพระอริยเจ้า (คือปุถุชน) ก็คือ "คน" ผู้ปรารถนาความสมใจ เช่นคนธรรมดา คือ ปรารถนากินดีอยู่ดี มียศ มีเกียรติ มีสรรเสริญ เมื่อสมใจในสิ่งเหล่านั้น ก็เรียกว่า "สุข"

แต่ผู้จะเป็นพระอริยเจ้า จะต้องไม่กินดีอยู่ดี ต้องไม่พยายามหาทางก่อยศ และไม่ยินดีในสรรเสริญ ต้องไม่สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นในใจ ต้องพยายามหลีกเว้น เช่น อยากกินดี อยากกินอาหารแพงๆ อาหารอร่อยๆ ก็ต้องพยายามละเว้นให้ได้ ถ้าละเว้นได้ ไม่มีอารมณ์นั้นในใจได้จริง (จิต "สงบ" ไม่ดิ้นไม่อยาก) ก็เป็น "สุข"

แต่คนธรรมดา ถ้าให้ละเว้นอย่างนั้น ก็โอดครวญเป็นทุกข์ กัดกรุ่นอยู่ในใจทันที (เพราะจิต มันจะเต้นผางๆ มันจะดิ้น มันจะทุรนทุราย มัน "สงบ"ไม่ได้นั่นเอง "สุข"ของคน กับ "สุข"ของพระอริยเจ้า มันจึงไม่เหมือนกัน มันก็ตรงกันข้ามกันอยู่ดังนี้

สุขของพระอริยเจ้านั้น มี "สงบ" สุขของปุถุชนนั้น มีรส มีรูป มีกลิ่น มีเสียง มีสัมผัส ตามที่ตนหลง ในแบบในขนาดนั้นๆ ฯลฯ หรือ ตามที่ตนชอบ ตนยึด

ถ้ามีใครมายกย่องสรรเสริญ คนธรรมดาก็ดีใจ ปลื้มใจสุขใจ แต่ถ้าไม่มีใครมายกย่องสรรเสริญ ก็พยายามหาทาง ให้คนยกย่องสรรเสริญอยู่ทุกทาง แต่ผู้จะเป็นพระอริยเจ้านั้น กลับตรงกันข้าม ถ้าใครมายกย่องสรรเสริญ ก็จะต้องพยายามไม่สุข ไม่ยินดีให้ได้อย่างจริงๆ และต้องไม่คิดอ่านหาทาง ให้คนมายกย่องสรรเสริญตน (ส่วนที่เป็นความดี ที่ท่านทำ โดยบริสุทธิ์ใจแล้ว มีคนมาสรรเสริญเอง ก็เป็นธรรม)

 

โลกกับธรรม อยู่คนละฟากฝั่ง

ความตรงกันข้าม มันก็จะตรงกันข้ามกันอยู่ดังนี้ ทุกสิ่งอย่าง แม้การมีลูกมีเมียแล้ว ก็พยายามตัดลูกตัดเมีย ปล่อยวาง ละจากลูกเมียให้ได้ คนธรรมดาก็เห็นว่า เป็นการทารุณ เป็นการทำชั่ว ที่ทิ้งลูกทิ้งเมีย หนีเอาตัวรอด ไปทำใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส ใฝ่สงบแต่เดียวดาย ก็การทิ้งลูกทิ้งเมียนั้น มันง่ายอยู่นักหรือ? ลองคิดกันดูบ้างเถิด

"คนชั่ว"เท่านั้น ที่ทิ้งลูกทิ้งเมียได้ง่ายๆ เพราะเขาไม่รักลูกรักเมีย และคนผู้นี้ (คนชั่วนี้) เขาก็จะไม่ไปบำเพ็ญธรรม เพื่อทำใจให้บริสุทธิ์ ผ่องใส ใฝ่สงบ เป็นอันขาด

"คนดี" ที่รักลูกรักเมียอย่างมากเท่านั้น ที่จะทิ้งลูกทิ้งเมียได้ยากยิ่ง และคนผู้นี้เองที่ เมื่อตัดใจหนีไป เขาก็จะต้องเห็นแล้วว่า การหนีไป หรือทิ้ง "ความรักความห่วงใย" นี้ไป ก็จะต้องทิ้งไปสู่ "ความดี" ที่ดีกว่า "ความสูง" ที่สูงกว่าความรัก ความห่วงใย อันมีต่อลูกต่อเมีย เป็นแน่แท้ เขาจึงจะตัดใจทิ้งไปได้

ถ้าเขาไม่เห็นแท้เห็นจริงว่า มีสิ่งที่เหนือกว่า "ความรักความห่วงใย" ในลูกในเมีย เขาจะไม่ยอม "ตัดใจ" ความรักความห่วงใย ไปสู่สิ่งนั้นเป็นอันขาด เพราะการทิ้ง การตัดใจของเขา มันเป็นการทารุณหัวใจของเขา ยิ่งเขารักมากเท่าใด ห่วงมากเท่าใด นั่นแหละ เขายิ่งจะทารุณ และเจ็บปวดหัวใจ ของเขาอย่างยิ่ง เท่านั้น

ถ้าเขาไม่เห็นว่า สิ่งที่เขาอุตส่าห์พยายาม กรีดใจตัวเอง ตัดใจตัวเองนั้น เป็นสิ่ง "ดีกว่า สูงกว่า" เขาจะกรีดใจตัวเอง ตัดใจตัวเองทำไม เขาก็อยู่กับลูกกับเมีย ไม่ดีกว่าหรือ? คนทั่วไป (ผู้ไม่รู้ความจริงนี้) ก็จะไม่กล่าวร้าย หาว่าเขาทิ้งลูกทิ้งเมียไปด้วย และเขาก็จะไม่เจ็บปวดหัวใจตัวเอง เพราะตัดใจละทิ้งลูกเมีย ทั้งๆที่รัก และเป็นห่วงด้วย เนื่องจาก เขารู้ความพอดีแล้วจริง เขาแจ้งในคำว่า "กรรม" แล้วจริง เขาแทงทะลุคำว่า "ชีวิต" ได้แล้วแท้ๆ ด้วยความเข้าใจไม่พอ รู้ไม่พอดังนี้ของคน จึงทำให้คนประณาม กล่าวหาพระพุทธองค์ว่า เป็นคนใจดำอำมหิต ที่ตัดลูกตัดเมีย ทิ้งลูกทิ้งเมียไปบวช แต่กระนั้นก็ตาม ผู้มีความรู้สึก ดังนี้ ก็ยังถือว่าดี แสดงว่าเป็นคนดี มีความรับผิดชอบชั่วดี จึงได้รู้สึก และเห็นดังนี้ได้ ดังนั้น ถ้าจะให้คนผู้นี้ ตัดลูกตัดเมียไปบ้าง ก็จะลำบากยากยิ่ง การกระทำที่ลำบากยากยิ่งเช่นนี้ นี่แหละ เป็นไปอย่างถูก เป็นไปอย่างแท้ เพราะเป็นการกระทำ ที่ตรงกันข้ามกับปุถุชนธรรมดา ที่ใจชั่ว ไม่มีรักห่วง และหรือ ถ้าไม่มีรักห่วงจริงๆ ก็จะมีปัญญาแท้ ที่รู้เห็นเข้าใจ ในหน้าที่อันควรทำ จนพอดีอย่างแท้จริง

เพราะดังได้กล่าวแล้วว่า "ความถูกกับความผิด" หรือ "ความดีกับความชั่ว" นั้นมันคือ จุดปลายของ เส้นตรงเส้นเดียวกัน มันจะอยู่ตรงกันข้ามกันเสมอ

ถ้าคนผู้ใด ไม่ได้มีความรักลูกรักเมียเลย ไม่รับผิดชอบ ลูกเมียตนเองเลย คนผู้นั้นก็คือ "คนชั่วคนบาป" แม้เขาจะตัดลูกตัดเมีย ของเขาไป เขาก็ไม่ต้องทำ ในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ จิตใจของเขาแต่อย่างใด เขาจะไม่ทุกข์ทรมานอะไร เขาจะตัดได้ทันที เพราะเขาไม่มีความรักความห่วงใย ในลูกในเมียเลย แต่ถ้าให้เขายังรับผิดชอบ ให้รับภาระอยู่ นั่นสิคือ ให้เขาทนทุกข์ ซึ่งลักษณะอาการ มันตรงกันข้ามกันทีเดียวกับ "คนดี" ผู้รักลูกรักเมีย แต่จะให้ตัด ให้ทิ้งลูกทิ้งเมียไป นี่แหละคือความจริง นี่แหละคือต้องคิดให้เห็น ต้องคิดให้แจ้ง

 

ญาติปริวัฏฏังปหายะ

ข้าพเจ้าเอง ก็ได้พยายามตัดภาระ ปลดปล่อยเรื่องครอบครัวนี้ หลายครั้งหลายคราเหลือเกิน ที่จริงข้าพเจ้าก็ไม่มีลูกมีเมียหรอก แต่ข้าพเจ้ามีน้องๆ ที่ต้องเลี้ยง ต้องส่งเสียให้เขาเรียน และข้าพเจ้าเป็นพี่ชายคนโต ส่วนพ่อแม่นั้น ตายสิ้นบุญไปหมดแล้ว จึงเป็นภาระหน้าที่ของข้าพเจ้า ที่จะต้องส่งเสีย เลี้ยงดูเขา ให้เขายืนอยู่กับโลกได้

ข้าพเจ้าเคยออกตัวกับใครๆ หลายครั้งหลายคราเต็มทีว่า ข้าพเจ้ายังไม่ออกวิเวก หนีไปหาความสงบ ไม่ตัดปล่อยน้องๆ ทันทีนั้น ก็เพราะเขาเป็นน้อง ข้าพเจ้าเห็นว่า เป็น "กรรมเก่า" อันตามมาให้ข้าพเจ้าชดใช้ เพราะเหตุว่า ทำไม? ข้าพเจ้าจะต้องเกิดมา เป็นพี่คนโต และทำไม? พ่อแม่จึงจะต้อง มาตายพรากจากไปหมด ทิ้งน้องถึง ๖ คน ไว้ให้ข้าพเจ้า

สมบัติใดๆ ก็ไม่ทิ้งไว้ให้ข้าพเจ้า เพื่อใช้จ่ายเลี้ยงดูน้องๆ เสียด้วย ต้องให้ข้าพเจ้าบากบั่น เหน็ดเหนื่อย เพราะอะไรกัน ?

มันไม่มีเรื่องอื่นเลย นอกจาก จะยกไปให้เป็น "กรรมเก่า" หรือ "หนี้เก่า" ที่ข้าพเจ้าเองได้สร้างไว้ จึงต้องมารับกรรมนี้ และมันก็เป็น "กรรมเก่า" เป็น "หนี้เก่า" จริงๆ

 

กรรมเก่า-กรรมใหม่

ข้าพเจ้าเคยบอกเพื่อนๆ ว่า ถ้าน้องๆ เหล่านี้เป็น "ลูก" ของข้าพเจ้าสิ ข้าพเจ้าจะพยายามรวบรัด ตัดใจจากไปให้ได้ทันที เพราะข้าพเจ้าถือว่า ลูกของข้าพเจ้านั้น เป็น"กรรมใหม่" ที่ข้าพเจ้าทำเองก่อเองในชาตินี้ อันไม่ใช่ "กรรมเก่า" ที่ทำมาแล้วแต่ปางก่อน ที่แก้ตัวไม่ได้แล้ว

เหตุเพราะ ข้าพเจ้าอยากสร้างความชั่ว ก่อบาป โดยไปรักในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง ในสัมผัสนั่นเอง ข้าพเจ้าจึงได้ก่อกรรม สร้างลูกออกมา ด้วยความเลวของตัว ที่ได้ลนลานเสพรูป-รส - กลิ่น-เสียง -สัมผัส นั่นเอง จึงต้องเกิดมีลูกขึ้นมา ดังนั้น แม้ข้าพเจ้าจะรัก และห่วงลูกเมียมากเท่าใด ข้าพเจ้าก็จะต้อง พยายามหาทางตัดใจ ละขาดให้ได้ไวที่สุด เพราะจะได้ล้างความชั่วของตนออกไป ให้ได้เร็วที่สุด และก็คิดว่า จะตัดได้เร็วกว่า ตัดน้องๆแน่

การตัดขาดลูกเมียให้ได้ แทนที่จะตัดน้องๆ ให้ได้ก่อนนี้ คนธรรมดาเห็นได้ด้วยยาก ถ้าจะเปรียบกับสมบัติวัตถุ ก็เปรียบได้กับ เราจะสละเงินแสน กับสละเงินพัน การจะตัดใจสละเงิน จำนวนแสนออกไปนั้น มันย่อมยากกว่า การจะสละเงินพันออกไป อย่างแน่นอน

ดังนั้น เราจึงต้องพยายามเสียสละ ทิ้งเงินแสนนี้ ให้แก่ผู้อื่นไปให้ได้ แล้วเราจะไม่ต้องเสียสละ เงินพันนั้นเลย เพราะถ้าลงใจเราแข็งกล้า ถึงขนาด บริจาคเงินแสนได้ เงินพันนั้นไม่ต้องกล่าวถึงเลยก็ได้ เราจะตัดใจ ละทิ้งมันเมื่อใดก็ได้ มันง่ายนักหนาแล้ว เท่ากับตัดกิเลส ขาดไปสิ้นแล้วนั่นเอง

แต่ถ้าไปมัวคิดงมอยู่ว่า ต้องตัดเงินพันก่อน หรือหัดสละเงินพันเสียก่อน แล้วค่อยขยับขึ้นมา ตัดเงินหมื่นเงินแสน แล้วละก็ อีกหลายชาติ กว่าจะมีใจบริสุทธิ์ มีความแกร่งในจิต มี"จาคบารมี"กล้า ถึงขั้นจะสละเงินแสนได้ บางทีอาจจะไม่ได้เอาเลย ก็ได้ในชาตินี้ จะได้ก็เพียงสละ เงินพันแล้วพันเล่า ไปเปล่าๆ ไม่มี "จาคบารมี" ถึงขั้นสุดยอด ได้สักทีนั่นเอง

การบริจาคเงินแสน ก็เหมือนกับตัดขาดลูกเมีย และการบริจาคเงินพัน ก็เหมือนกับตัดขาดน้องๆ ดังนี้ ซึ่งเพื่อนๆ ทั้งหลาย เมื่อได้ฟังความเห็นนี้ ก็มีคนเห็นด้วยน้อยเต็มที ต่างเห็นขัดแย้งกับข้าพเจ้า แทบทุกคน หรือแม้ผู้อ่านอยู่ขณะนี้ก็เถอะ ข้าพเจ้าก็เชื่อว่า จะต้องเห็นขัดแย้งกับข้าพเจ้าแน่ๆ คือจะต้องเห็นว่า ตัดลูกตัดเมียสิ ไม่ควรตัด แต่ตัดน้องสิ ควรตัดกว่า

โดยความแท้จริง ที่เรียกกันว่า ปรมัตถสัจจะแล้ว ความเป็นชีวิตนั้น ทุกชีวิตเท่ากันโดยแท้ ไม่มีใครจะมีสิทธิพิเศษอะไรกว่าใคร แม้คนกับสัตว์ ก็มีชีวิต ที่ควรจะถือเป็น "ชีวิต" เท่าเทียมกัน ดังนั้น ถ้าใครยังเข้าใจ ความเท่าเทียมกัน ของชีวิตดังนี้ไม่ได้ ก็คือยังจะเข้าใจ ในข้อความที่ข้าพเจ้า อธิบายไปแล้ว ยังไม่ได้ นั่นคือ ยังเข้าใจการสละเงินแสน เพื่อสร้างจาคบารมีให้ได้ ซึ่งจะเป็นจาคบารมี ที่เหนือกว่าการสละเงินพัน ไม่เข้าถึงใจแท้อยู่นั่นเอง

ความจริงแท้ ปรมัตถสัจจะ มันเป็นดังนี้จริงๆ มันตรงกันข้ามกันอยู่ ทุกขณะทุกเวลา ดังนั้น ถ้าเราจะทำดี เราก็ต้องยอมให้อีกฝ่ายหนึ่ง เห็นว่าชั่ว และ คนกำลังทำชั่วอยู่นั่นแหละ โลกเขาก็เข้าใจว่าดี โลกก็เป็นดังนี้เอง การกระทำดีหรือชั่ว ที่กล่าวถึงนี้ จะต้องเป็นการกระทำที่เป็นจริง เป็นโดยแท้บริสุทธิ์ เกิดจากใจจริงด้วย มิใช่แกล้งเสแสร้ง เช่นว่า ไม่ได้รักหรือห่วงใยในลูกเมียเลย แต่ทำทีว่ารักห่วงเต็มที่ แล้วก็หาโอกาส หาทางทิ้งลูกเมียไป ถ้าเป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นก็ ไม่ใช่ "ความจริง" ทำโดยกิเลส ตัณหา อุปาทาน ไม่ใช่นักปฏิบัติธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่ "คนดีจริงแท้" จึงไม่อยู่ในข่ายที่ข้าพเจ้า อธิบายมาทั้งหมดนี้

 

พระเวสสันดรเห็นแก่ตัวจริงหรือ?

ด้วยหลักแห่งความจริง ดังกล่าวแล้วนี่เอง พระเวสสันดร บริจาคลูกเมียก็ดี พระพุทธองค์ทิ้งลูกเมียก็ดี จึงเป็นการกระทำของ "พระอริยเจ้า" ทั้งสิ้น ถ้าไม่ใช่ "พระอริยเจ้า" แล้วจะทำไม่ได้ง่ายๆ เป็นอันขาด หรือ ไม่ก็เป็น "คนชั่วคนต่ำ" ไปเลย ก็ทำได้แต่ปัญญา หรือผลของ "จิต" มันผิดกัน

มีหลักที่จะยึดถือในการ "ปฏิบัติ" ให้ไปสู่ดีอยู่ว่า กิเลสตัวใดแรง ให้ระงับตัวนั้นให้ได้ ยิ่งระงับตัวแรงร้าย ตัวใดลงได้ ยิ่งถึงซึ่ง "ความดี"ยิ่ง เท่านั้น นั่นคือ ยิ่งรักแรงรักมาก ยิ่งปรารถนาแรง ปรารถนามากเท่าใด ยิ่งควรตัดให้ได้มากเท่านั้น เพราะ "ความรัก" ความปรารถนา เป็นโลภะ เป็นกิเลส

ดังนั้น การตัดลูกเมีย ซึ่งแน่นอนต้องยากกว่า เป็นกิเลสตัวที่ร้ายแรงกว่า เพราะเป็น "ความรัก" ที่สูงยิ่งกว่า "ความรัก" ที่มีต่อน้องๆ ด้วยเหตุนี้ ถ้ามีโอกาสเลือก ก็จะต้องเลือกทำสิ่งที่ยากกว่า "ความดี" จึงจะเป็นความดีที่สูงขึ้น การล้างกิเลส จึงจะล้างออกไปได้มากกว่า

ถ้าใครพยายามกระทำให้ได้ โดยนัยดังนี้ ทุกกรณีแล้วไซร้ ก็จะเป็นผู้หักโค่นลบล้าง กิเลสตัณหาอุปาทานได้เก่ง และ จะสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ได้เร็วยิ่งขึ้น การเห็น จึงต้องพยายามเห็นให้เป็น เห็นให้ถูก เห็นให้แท้ แล้วปฏิบัติให้ถูกให้แท้ให้ได้ ตามความเห็นที่แท้ที่ถูกนั้น เรื่องของ "ความเห็น" ให้ถูก ให้แท้ ให้เป็น สำคัญมากทีเดียว ถ้าใครยังเห็นไม่ถูกไม่ต้อง มันก็ยังตรงกันข้าม อยู่เท่านั้น ดังได้อธิบายมาแล้ว

ทำอย่างไร เราจะ"เห็นเป็น" หรือ "เห็นถูก"ได้? เป็นข้อที่น่าจะเล่าสู่กันฟัง

พระพุทธองค์สรรเสริญยกย่อง ธรรมะข้อ "วิปัสสนา" เป็นเอกเป็นเลิศว่า เป็นธรรมที่จะนำพาไปสู่ "วิมุติ" หรือ "พ้นทุกข์" หรือบรรลุความดี ความถูกต้อง อย่างแท้จริงได้ ดังนั้น จึงควรจะเข้าใจคำว่า "วิปัสสนา" ให้ดีให้ได้ ว่าคือ ธรรมะที่มีความหมาย ที่ถูกที่ต้อง หรือที่ตรงอย่างไรกันแน่

มีคนมากกว่ามาก ที่พอกล่าวคำว่า "วิปัสสนา" ขึ้นมาทีใด ก็ให้นึกไปถึง คนนั่งหลับตานิ่ง บางทีก็เลยเถิดไปว่า เป็นคนนั่ง เพื่อให้เห็นเทวดา เห็นผี เห็นพรหม หรือ เห็นเลขท้ายล็อตเตอรี่ หรือเป็นหมอดู อะไรไปโน่น นั่นไม่ใช่ "วิปัสสนา" เลย นั่นคือการปฏิบัติ "ฌานจิต" คือนั่งหลับตา เจริญฌานสมาธิ และถ้าไปนั่งหลับตา เจริญฌานสมาธิ เพื่อเห็นเลขท้ายล็อตเตอรี่ หรือดูหมอด้วยละก็ ยิ่งคือการปฏิบัติ ที่นอกลู่นอกทาง ของพุทธศาสนา ไปเลยทีเดียว คนที่ปฏิบัติดังนั้น ไม่ใช่พุทธศาสนิกชน ผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน อย่าไปมัวเมา คบหาเป็นอันขาด

"วิปัสสนา" ไม่ใช่การนั่งหลับตาเท่านั้น และไม่ได้มีความหมายว่า นั่งหลับตาด้วย

"วิปัสสนา"นั้น มีความหมายว่า มีสติ และพยายามผูกสติอยู่กับจิต ให้ได้มากขณะที่สุด พร้อมกับใช้สตินั้น คิดอ่าน หาเหตุผล หรือให้สตินั้น รู้อะไรๆ ในจิตให้ละเอียด ให้แท้ให้จริง ให้ได้ นั่นคือ ความหมายของคำว่า "วิปัสสนา"

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติ "วิปัสสนา" จึงกระทำได้ แม้มีสติสัมปชัญญะ ลืมตาเดินเหิน ทำงานอะไรๆ อยู่อย่างธรรมดานี้ และกระทำได้ แม้ในขณะเจริญฌานจิต หรือเจริญฌานสมาธิ คือนั่งหลับตานิ่ง การกระทำ ก็กระทำโดยนัยเดียวกัน คือ ถ้าเป็นขณะที่เราลืมตาตื่นๆ อยู่ในแบบ คนธรรมดานี้ เราก็พยายามผูกสติ หรือ มีสติกำกับจิตใจ ให้ได้มากขณะที่สุด พร้อมกับให้สติ คิดอ่าน หาเหตุผล ในขณะที่เรากำลังคิด เรากำลังพูด และเรากำลังจะทำอะไรลงไป หรือ เรากำลังประสบกับเรื่องอะไร เราก็ต้องคิดอ่าน พิจารณาเรื่องนั้นๆ ให้ออกเป็นสองประตู ให้ได้เสมอคือ ประตูไหนเป็นประตูดี ประตูไหนเป็นประตูชั่ว หรือ ประตูไหนถูก ประตูไหนผิด

เรื่องใดๆก็ตาม จะเป็นเราพบคนอื่น กำลังกระทำอยู่ หรือเรากระทำเองอยู่ก็ตาม จะพิจารณา แยกออกได้เป็นสองแง่ ดังนี้เสมอ ไม่ถูกก็ผิด ไม่ดีก็ชั่ว ไม่สูงก็ต่ำ ไม่หมดก็มีอยู่ ไม่ขี้เหร่ก็สวย ไม่ได้ก็เสีย ฯลฯ คือ จะต้องเป็นสภาวะ ๒ สภาวะ คู่กันอยู่ดังนี้ ทั้งสิ้น แล้วเราก็เลือก เอาสภาวะใดสภาวะหนึ่ง จึงกระทำลงไป ตามสภาวะที่เลือกแล้วนั้น และการเลือกกระทำ ก็จงใช้หลัก "ได้มา หรือ เสียไป" เป็นหลักตัดสิน

ถ้าการกระทำใด เป็นการ"ได้มา" นั่นคือ การกระทำนั้น เป็นโลภะ เป็นกิเลส เป็นความชั่ว จึงจะต้อง พยายามเลือกกระทำ ในสิ่งที่เป็นการ "เสียไป" (สละออก, ไม่เอามา) ให้ได้เสมอๆ จึงจะได้ชื่อว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติถูก ปฏิบัติควร

เพราะการ"เสียไป" การ"สละออก" การ"ไม่เอามา" คือ"ทาน" คือ "จาคบารมี" อันเป็นการบำเพ็ญกุศล เป็นการกระทำเพื่อตัวเราแท้ๆ เพราะสิ่งอันใดก็ตาม ถ้าเรา "ไม่เอามา" สิ่งนั้นถ้าเป็นสิทธิ์ของเรา อย่างแท้จริงแล้ว ก็เท่ากับ เราฝากคนอื่นไว้ หรือสะสมไว้ เราไม่จำเป็นต้องไปจดจำ ไปกำหนดกฎเกณฑ์ว่า เราจะฝากไว้กับใคร? เมื่อไหร่? อย่างไร? ขอให้เราปฏิบัติโดย เลือกในทาง "ไม่เอามา" หรือ "สละออก" หรือ "เสียไป" ให้ได้ ในทุกกรณีเถิด นั่นแหละคือ ความถูกแท้ ความดีแท้ บุญแท้ กุศลแท้

เพราะในโลกนี้ ไม่มีอะไรเป็นของฟรี เราจะไม่ได้อะไรมาฟรีๆ เป็นอันขาด ถ้าเราไม่สะสมไว้ ไม่ฝากไว้ หรือ ไม่สละออก เอาไว้แล้ว เราจะไม่มีอะไรเลย นั่นคือ เราจะไม่มีบุญ ไม่มีกุศลใดๆ

ดังนั้น ถ้าใครปฏิบัติ โดยการมีสติ แล้วก็คิดอ่านพิจารณา เรื่องทุกเรื่อง พิจารณาการกระทำ ของเราทุกอย่าง คือ คิด (มโนกรรม) พูด (วจีกรรม) และทำจริงๆ (กายกรรม) ให้ได้ตามหลักที่อธิบายแล้วนี้ คือ ไม่เอามา สละออก หรือ เสียไปให้ได้ทุกสิ่ง ทุกอย่างแล้วไซร้ คนผู้นั้นก็จะได้ชื่อว่า เป็นผู้สั่งสมบุญ สร้างกุศลบารมี โดยการ "บริจาค" หรือการให้ การไม่เอานี่เอง จะไม่มีใครเลย อยู่ดีๆ ไม่มีกุศลเก่า ที่ตนได้สั่งสมไว้ แต่จะอาจสามารถ ถูกล็อตเตอรี่ รางวัลที่ ๑ ได้ ไม่มีจริงๆ

ทุกอย่างต้องเกิดด้วยเหตุ มีมาก่อน คือ ได้สละออกเอาไว้ สะสมไว้เป็นบุญบารมี หรือเป็นกุศลเสียก่อน เมื่อก่อเหตุ คือสะสมไว้เต็มแล้ว จึงจะได้รับผลนั้น ถ้าเหตุยังไม่เต็ม ผลก็จะยังไม่เกิด

สรุปผลก็คือ อย่าพยายาม "เอามา" เป็นอันขาด แม้สิ่งใดๆ จะเป็นสิทธิของเราก็ตาม พยายามหัด อดออม ตัดทุกอย่างให้น้อยลง เช่น เรากินข้าววันละ ๓ มื้อ ก็พยายามลดให้เหลือ ๒ มื้อ และ พยายามลดลงให้เหลือมื้อเดียว เราก็จะมี หรือสะสมไว้ถึง ๒ มื้อ หรือเราควรจะได้เสพสุข จากการมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ อะไรก็ตาม เราก็อย่าไปรับมา ตัดออก เฉยเสีย สละไปเสีย ลาภ ยศ สรรเสริญนั้น ก็จะสะสมไว้ หรือ แม้เราควรจะได้ รูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส ที่ดีๆ เป็นที่ถูกอกถูกใจ อันใดมา เราก็อดออม ไม่ยอมรับมา สละไป นั่นคือเราสะสมไว้ เป็นบุญ เป็นกุศลทั้งสิ้น ชาติแล้วชาติเล่า

ถ้าใครได้ทำไว้มากเท่าใด เราก็จะมีบุญมีกุศล เป็นบารมีมากเท่านั้น ทับทวีเป็นลำดับไปเสมอ มันจะไม่สูญหายไปไหน ข้อสำคัญ สะกดอก สะกดใจ ไม่เอามาในสิ่งต่างๆ ดังกล่าวนั้น ได้หรือเปล่าเท่านั้น เห็นลาภ ก็ขี้คร้านจะอดไม่ได้ ก็จะเสพลาภนั้นเสีย ถ้าเสพสิ่งใด หรือรับสิ่งใดมาเสีย ก็คือไม่มีบุญ หรือกินบุญในสิ่งนั้นไป ก็ไม่มีบุญเก็บ ไม่มีกุศลเก็บ ถ้าเห็นรูปสวย ก็อยากได้รูปสวย แล้วก็เสพรูปสวยนั้น ก็ไม่เหลือรูปสวยนั้นเก็บ หรือสะสม เราก็ไม่มีบารมีในรูปสวยนั้น ดังนี้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงคือ ผู้ได้สะสมบุญบารมี ดังกล่าวนี้ มานานับชาติ พระองค์จึงมีล้นฟ้า แม้ชาติสุดท้ายของพระองค์ ก่อนมาเป็นพระพุทธเจ้า คือเป็นพระเวสสันดร พระองค์ก็ "ทาน" ก็สละออก จนไม่มีอะไรจะสละ หรือชาติก่อนๆ ใดๆ พระองค์ก็สละมาทุกชาติ บำเพ็ญกุศล บำเพ็ญความดี ด้วยหลักดังนี้ มาทุกชาติ เกิดชาติใหม่ต่อมา พระองค์จึงยิ่งมีมากขึ้น บริบูรณ์ขึ้น ล้นฟ้ามากขึ้นด้วยทุกอย่าง ทั้งรูปสมบัติ และ อรูปสมบัติ

และอันสิ่งที่ได้ชื่อว่า "ความดีแท้ๆ" นั้นจึงคือ ไม่เอา ไม่รับ ไม่ยึดไว้ ไม่ยินดีในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ หรือ แม้ในรูป - รส - กลิ่น - เสียง - สัมผัสใดๆ นั่นเอง คือสิ่งที่ถูก ที่แท้ที่จริง ที่ควรที่ชอบ ผู้ปฏิบัติ "ความดีแท้ๆ" ดังนี้ได้นั่นแหละ จึงคือ "พระอริยเจ้า" และถ้าทำได้บริสุทธิ์หมดสิ้น ทำได้จริงจัง แม้จะมีสิทธิ์ หรือ เป็นเจ้าของโดยชอบธรรม ในสมบัติล้นฟ้า ก็ยังไม่เอา ไม่รับ ดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงกระทำเป็นตัวอย่าง มาแล้วนั่นแล คือยอดสูงสุด แห่งพระอริยเจ้าแล

ดังนั้น ตำแหน่งของ "ยอดแห่งคน" ก็คือ ผู้สั่งสมกรรม กระทำตนจากการ "ได้มา" ด้วยการ "ขอ" และการ "บังเบียด" และการ "สะสม" ลาภ-ยศ -สรรเสริญ จากต่ำสุด ให้ก้าวขึ้นไปหาสูงสุด ทำได้เร็วทำได้ไวเท่าใด ก็พอใจมากเท่านั้น เรียกง่ายๆ ก็คือ วันนี้เป็นขอทาน พรุ่งนี้พยายาม เป็นบรมมหากษัตริย์ จักรพรรดิราชให้ได้ ก็เรียกว่า ได้เป็น "ยอดแห่งคน" หรือ ปุถุชนที่สูงที่สุด

ซึ่งก็ตรงกันข้ามกับ ตำแหน่งของ "ยอดแห่งพระอริยเจ้า" เพราะยอดแห่งพระอริยเจ้า ก็คือ ผู้สั่งสมกรรม กระทำตน จากการ "สละออก" ด้วยการให้ และการไม่บังเบียด และการไม่สะสมลาภ -ยศ - สรรเสริญ จากสูงสุด (อย่างคน) ให้ก้าวไปหาต่ำสุด (อย่างคน) ทำได้เร็วได้ไวเท่าใด ก็พอใจมากเท่านั้น เรียกง่าย ๆ ก็คือ วันนี้เป็นพระบรมมหากษัตริย์ - จักรพรรดิราช พรุ่งนี้พยายามเป็นขอทานให้ได้ (อันคือ ผู้ไม่มีอะไรเลย นอกจาก "บาตร" ใบเดียว สำหรับ ใช้อุ้มขออาหาร ก็คือ "ขอทาน" เราดี ๆ นั่นเอง เข้าใจให้ดี) นั่นแลคือ "ยอดแห่งพระอริยเจ้า" และการเป็นไป ต้องเป็นไปให้แท้ ให้ได้ด้วยใจ ด้วยปัญญา สามารถด้วย จึงจะเป็น "ความแท้"

แม้ "ขอทาน" จะกลับกลายขึ้นไปเป็น บรมกษัตริย์ จักรพรรดิราช ในวันรุ่งขึ้น ก็จะต้องขึ้นไปด้วย ปัญญาบารมี เมื่อเป็นบรมกษัตริย์ จักรพรรดิราช ก็จะต้องมีภูมิปัญญา มีความสามารถพรั่งพร้อมในตน พร้อมที่จะอยู่อย่าง บรมกษัตริย์จักรพรรดิราช อย่างแท้จริงด้วย ไม่ใช่ขึ้นไป เพียงสวมตำแหน่งเฉยๆ เหมือนพวกลิเกละคร แต่โดยแท้โดยจริงแล้ว ยังมีปัญญาบารมี อยู่แค่ขอทานอย่างเดิม จะปกครอง หรือ จะใช้สติปัญญาอย่างใด ในตำแหน่งนั้น ก็ไม่เป็น และทำไม่ได้ นั่นก็เป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องเก๊ เป็นเรื่องไม่เที่ยง ไม่ตรง ไม่ถูก

ถ้าเป็นไปได้ มันต้องเป็นได้อย่าง สิบโทฮิตเลอร์ของเยอรมัน เปลี่ยนตนเองขึ้นเป็น จอมเผด็จการ ในทันที และเขาก็เป็น "ยอดคน" ได้ในทันทีจริงๆ ด้วยปัญญาบารมีของเขาจริง ๆ เพราะเขาสามารถเปลี่ยนจริง เปลี่ยนด้วยความสามารถในตัว ในปัญญาทั้งหมด มิใช่ใส่แต่หัวโขน นั่นจึงจะแท้ จะถูก จะจริง

และนัยเดียวกัน ผู้เป็นบรมกษัตริย์จักรพรรดิราช จะกลับกลายมาเป็นขอทาน ในวันรุ่งขึ้นก็ดี ก็จะต้องลงมา ด้วยปัญญาบารมี เป็นข้อใหญ่ใจความ เช่นเดียวกัน ไม่ใช่เสแสร้ง ไม่ใช่แกล้งทำ เหมือนเรื่อง นิทรา-ชาคริต หรืออย่าง พระเจ้ากาหลิบ หรือ เรื่องนิทานอะไรนั่น

ต้องทำด้วยจริง ด้วยใจแท้ ทำแน่ๆ ด้วยปัญญาอันแทงตลอดว่า เป็นขอทานโดยการสละออก ให้หมดสิ้นเสีย อย่าได้ยึดเอาอะไรไว้เลย แล้วเราจะเป็นสุข เป็นโดยจริงโดยแท้ อย่างเห็นแจ้งในจิต ในวิญญาณ แล้วก็ลงมือกระทำทันที โดยไม่มีกังวล ไม่เกิดอาการทุกข์ กระวนกระวายอะไร ผู้นั้นจึงจะเป็นขอทาน ที่มีตำแหน่งกำกับ อย่างสูงส่ง ไม่มีใดเทียบว่า "ยอดแห่งพระอริยเจ้า" เพราะเป็นผู้เต็มเปี่ยม ด้วยปัญญาบารมี อย่างแท้จริง และแล้ว ท่านก็หมดสิ้นจาก "ทุกข์" ทั้งหลายทั้งปวง โดยสิ้นเชิงโดยจริงด้วย

 

อีกฝั่งฟากฟ้าหนึ่ง
ทำความเข้าใจให้ได้ ให้ถึง ให้แท้ แล้วจะแจ้ง จะเห็นว่าความตรงกันข้ามของ "โลกกับธรรม" นั้น มันตรงกันข้ามกัน เป็นเส้นตรงอันเดียวกัน จริงๆจังๆ นั่นคือ การคิด-อ่าน-พิจารณา ก่อปัญญา โดยวิปัสสนา ในภาวะจิตตื่นธรรมดาๆ ก็ต้องทำให้แจ้งถึงใจ ให้เห็น ให้สว่างไสวในใจ ให้ได้ดังนี้

สำหรับผู้ปฏิบัติ แบบหลับตาข่มจิต ก็นำวิปัสสนาไปใช้ร่วมด้วยได้ คือ พยายามมีสติ ตามจิตของตนเองเข้าไป แม้ในจิตภวังค์ ขั้นรูปภพ-อรูปภพ ผู้ที่จิตตกภวังค์ แบบหลับตา ก็คือ ผู้ถึงภาวะอยู่ในจิตสมถะ ดังนั้น จึงคือผู้หลับๆ ตื่นๆ สติก็จะขาดจากจิต

แต่ถ้าหัดฝึกวิปัสสนา ก็คือ แม้จะหัดนั่ง ทำจิตให้ตกภวังค์ ก็ต้องไม่ทิ้งสติ ต้องแทรกเจ้าสติ ความระลึก รู้ตัวนี้ ตามจิตเข้าไป ให้ถึงภวังคจิตให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นภวังค์ชั้นไหน แม้จะเข้าไปในภวังค์ลึก ๆ จนกระทั่ง เป็นภพขั้นสูงๆ สูงขึ้นคือจิตยิ่งละเอียด ยิ่งเล็กลงไป ผ่านกามาวจรจิต (จิตคนธรรมดา คือ จิตสำนึก) ลึกเข้าไปสู่ รูปาวจรจิต (จิตขั้นความคิดความฝัน หรือจิตกึ่งสำนึก) และลึกละเอียดเข้าไปถึง อรูปาวจรจิต (จิตขั้นใต้สำนึก) แม้ในจิต ขั้นลึกสุดยิ่งกว่านั้น "สติ" ก็ยังตามเข้าไประลึกรู้ เข้าไปพิจารณา เข้าไปอ่าน และเข้าไปควบคุม เข้าไปรู้ชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ได้ แล้วเลือกทำแต่ในความดีแท้ ๆ โดยเลือกวิธีตัดสิน ดังได้อธิบายมาแล้ว

ถ้า "จิต" เรามีความคิด มีความปรารถนาในสิ่งใด ก็ต้องใช้สติรู้ ใช้ปัญญาเลือก พิจารณาทำ ในสิ่งที่เป็นความดี (กุศลธรรม) คือ ไม่ทำด้วย "กิเลส" ไม่ทำด้วยความต้องการเสพรส (รู้กาม) ไม่ทำให้มีความยึดไว้ในจิต ไม่ว่ายึดไว้ในรูปลักษณะใดๆ ไปจนถึง ลักษณะอาฆาตจองเวร (รู้พยาบาท) ไม่ทำเพราะหลงใหล ติดยึด เสพจิตสงบ จิตหยุด จิตดับ (รู้ถีนมิทธะ) ไม่หลงในจิตรู้ ที่เป็นธรรมวิจัย หรือวิตกวิจาร และไม่รำคาญในจิตปรุง ที่ตนเจตนาก่อขึ้นนั้นๆ (รู้อุทธัจจะ กุกกุจจะ) และต้องทำการตัดสินเด็ดขาด เป็นยุติให้ได้ ในความรู้ความเข้าใจนั้น ๆ (รู้วิจิกิจฉา)

เมื่อต้องการปัดเป่าเรื่องใด ๆ ที่อยู่ในจิต ก็ทำได้ หยุดลงได้ เมื่อต้องการจะให้มี ก็ทำได้ อยู่ในจิตโดยตรง แท้ ๆ ก็เรียกว่า เป็นผู้สร้าง เจโตสมถะ ให้แคล่วคล่อง ให้มีความเด็ดขาด เก่งกล้า มีกำลัง (พละ) และพร้อมกันนั้น ก็เรียนรู้จิตของตน ที่ยังมีความหลง (โมหะ) จิตที่ยังไม่เข้าใจใน สมมุติสัจจะทั้งหลาย ให้แจ่มแจ้ง ในสมมุติสัจจะ ให้ได้ชัดแจ้งจริงจัง จนไม่หลงยึดไม่หลงติด ได้จริงๆ ทั้งสมมุติสัจจะที่อยู่นอกตน ที่เราไปหลงมัน และ ทั้งสมมุติสัจจะที่อยู่ในตน คือ ขันธ์ ๕ ของเราเป็นที่สุด แล้วก็ไม่หลงยึดหลงติดมัน ปล่อยวางมันได้ ถูกรูปถูกนามของขันธ์ ๕ แท้ๆ ได้จริง

แล้วเมื่อลืมตาออกมา ก็นำมาใช้กับ การกระทบสัมผัส จนไปเกิดรส เกิดอารมณ์ที่จิต เราก็รู้ในจิต ในเวทนา -สัญญา -สังขาร -วิญญาณ ได้ถูกตัว ถูกตนแท้ได้ และดับได้ (นิโรธ) หรือ แม้จะยอมให้มีปรุงอยู่ (ปุญญาภิสังขาร) เราก็รู้ชัด รู้แจ้งเท่าทัน และยอมให้มีอยู่ได้ โดยไม่มีรัก ไม่มีชัง ไม่มีชอบ ไม่มีเคือง เรียกว่า สิ้นโลภะสิ้นโทสะแท้ได้

ผู้นั้นก็เป็นอันสิ้น "อวิชชา" เป็นที่สุดได้

ดั่งนี้คือ "วิปัสสนา" ที่เอาไปใช้ใน "จิต" ในขณะหลับตา จนได้ผลออกมา เป็นการบรรลุได้จนตลอด แม้กระทั่งลืมตา ก็เป็นบริบูรณ์สิ้นเชิง

การปฏิบัติโดยดำเนินการมาจาก "นั่งหลับตา" ดั่งกล่าว ก็คือ เราเอื้อมเข้าไปฝึกหัด เรียนรู้จิต -เจตสิก -รูป(จิต) จนไปสั่ง จิตตัวลึกๆ ที่อยู่ถึงก้นบึ้งของ "จิต" ของเราได้ เราก็จะรู้เห็น "รูปจิต" และ "อรูปจิต" ถูกตัวถูกตน และดับได้ถูกตัวถูกตน

เมื่อมาลืมตา รับผัสสะทางทวาร ๕ ต่างๆ แล้วมันก็เลื่อนไหลเข้าไปในจิต เป็น"อุปทายรูป" ต่างๆ เราก็รู้ได้อีก เหมือนเมื่อนั่งหลับตา และ ดับมันถูกตัวได้สำเร็จ จะปล่อยให้ปรุงอยู่ โดยไม่เกิดราคะ - โทสะใด ๆ มีปัญญาเข้าใจรู้ควร ในการปรุงนั้น ๆ อยู่ (ญาณสัมปยุติ) ก็ทำได้จริง

ก็เรียกว่า เป็นการปฏิบัติจากใน มาหานอก

แต่ถ้าผู้ใด "วิปัสสนา" ในภาวะธรรมดา คือ อย่างคนตื่นๆ อยู่ ดังที่ได้อธิบาย ผ่านมาก่อนแล้วนั้น เราก็จะทำจาก "จิต" ตัวนอกๆ ผัสสะหยาบๆ แล้วจึงจะค่อยๆ ฝึกจิตตน ให้หัดตัด หัดดับเข้าไป หาจิตตัวลึกๆ ก็จะค่อยลึกเข้าไปๆ มันจะมีสะพานเชื่อมเข้าไป ถึงจิตตัวในลึก ๆ ได้ชัดได้ง่าย

การปฏิบัติธรรม จึงทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง และทำได้ทั้งเป็นการช่วยกัน พร้อมกันทั้ง ๒ วิธี

จึงการนั่งหลับตา ปฏิบัติแบบเจโตสมถะมาก่อน ก็ต้องปฏิบัติให้ถูก ให้แท้ ให้ตรง ให้ควร ให้ชอบ ไม่ใช่นั่งหลับตา แล้วก็ยังให้จิต ไปมองหาเลขท้าย ล็อตเตอรี่ ไปทายลักษณะรูป -รส-กลิ่น-เสียง -สัมผัส ทายโชคชะตา ทายโชคลาภผู้คน สร้างกิเลส ตัณหาอุปาทานอยู่ ทั้งแม้ขณะไม่ได้นั่งหลับตา ก็จะต้อง สำรวม สังวร พากเพียร ประหารสิ่งที่ควรประหาร ปรับปรุงสิ่งที่ควรปรับปรุง ไปทุกๆขณะเสมอๆ เป็นอนันตัง จึงจะถูกแท้ ถูกจริง และเจริญเป็นสูงสุด (อริยอรหันต์)

ถ้าผู้ใดยังทำให้เป็น การขัดแย้ง "ความดีแท้ ๆ" ดังได้เล่ามานี้ ผู้นั้นก็จะยังไม่บรรลุ เป็นพระอริยเจ้าได้ซักที ตราบโลกแตกพินาศ

แล้วจะได้เป็น พระอรหันต์เจ้ากันได้แต่ไหน

๑๐ พฤษภาคม ๒๕๑๓

ประกายธรรม ๙


*****

ตรวจทานใหม่ 2 เมษายน 2568 ที่สุด