เส้นเลือดใหญ่เส้นหนึ่งของผู้พึ่ง "ธรรม"

ท่านผู้ศึกษาธรรมะ และเคยได้ปฏิบัติธรรมมาบ้างแล้ว คงจะต้องเข้าใจดีว่า เรื่องของไตรลักษณ์นั้น เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเส้นเลือดใหญ่ หรือเป็นลำธารสายใหญ่ ที่จะนำพาผู้ปฏิบัติธรรม ให้ไปสู่จุดสูงสุด คือ "นิพพาน" ทีเดียว

ดังนั้น ลองฟังเรื่องของ "ไตรลักษณ์" ในแง่หนึ่งมุมหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้ลองแยกแยะ ออกมาเล่าสู่กันฟังนี้ดูบ้างซิ จะพอเป็นประโยชน์ได้บ้างหรือไม่?

เรื่องของไตรลักษณ์ เป็นเรื่องสำคัญต่อจาก เมื่อรู้จักรูปกับนามอย่างดีแล้ว การเดินทางและเป็นไปอยู่ หรือมีชีวิตอยู่ ของรูปและนาม เราเรียกว่าไตรลักษณ์ เช่นเดียวกับคำว่า "ชีวิต"

ถ้าจะสมมุติ "วงชีวิต" (วัฏฏะ) แต่เพียงวงแคบๆ ระหว่าง ผู้ชายคนหนึ่ง กับผู้หญิงคนหนึ่ง นั่นก็คือ ผู้ชาย หมายถึง รูป หมายถึง ผู้มีความดึงดูดน้อย เป็นสิ่งที่มีความรู้สึกน้อย เป็นตัวดีดดิ้นน้อย หรือ ถ้าจะพูดให้ถูกกับลักษณะของ "รูป" โดยตรงก็คือ ผู้ชายเท่ากับ สิ่งที่ตายแล้ว หรือคือ "ดับไปแล้ว" และโดยนัยนี้ แต่เป็นทางตรงกันข้าม ผู้หญิง ก็คือนาม คือผู้กำลังดีดดิ้น เร่งเร้า เป็นผู้ยังมีชีวิต โดยตรงก็คือ สิ่งที่ยังไม่ตาย หรือคือ "เกิดขึ้น" นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าโลกนี้มีผู้ชายคนนี้คนเดียว ดังที่สมมุติ และ ก็มีผู้หญิงคนนี้คนเดียวด้วย ถ้าผู้หญิงคนนี้ต้องการ จะให้โลกยัง "มีชีวิต" ต่อไป ผู้หญิงผู้ยังไม่ตายนี้ จึงจะต้องเดือดร้อน ดิ้นรน และจะต้องพยายาม "ปลุก" หรือทำการใดๆ เพื่อให้ได้ผสมพันธุ์กับผู้ชาย หรือ ผู้ที่เรากำลังเข้าใจอยู่ว่า "ตาย" แล้วนี้ให้ได้

และที่จริงผู้ชายที่ว่าตายนั้น ก็ยังไม่ตายหรอก แต่มี "ความเป็น" น้อยกว่าผู้หญิง ดังนั้น เมื่อไม่ตายจริง จึงต้องถูกผู้หญิง พยายามเร่งเร้า ดึงดูด ให้วิ่งเข้าไปผสม สืบพันธุ์จนได้ แล้วก็จะก่อเกิดเป็น "ลูก" ออกมา ในช่วงที่เรียกว่า ดิ้นรนเร่งเร้าของผู้หญิง และเวลาพร้อมๆกับเรื่องราว หรือปรากฏการณ์ ทั้งหมดที่เกิดขึ้น จนกว่าผู้ชาย จะไปผสมพันธุ์กับผู้หญิง นั่นแหละ เราเรียกว่า "ตั้งอยู่" หรือการ "มีชีวิต" หรือการเป็น "ชีวิต" เพราะถ้าผู้หญิงไม่ดิ้นรน ปล่อยให้ผู้ชาย ที่ถือว่าตายแล้วนั้น ตายไป ตนเองไม่ช้าก็จะต้องตายตาม อย่างสูญพันธุ์ แล้ว "โลก" ก็จบ ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ไม่มีความเกิด จึงจบอยู่ได้ ในลักษณะนี้

ดังนั้น ย่อมพูดได้สั้นๆว่า ผู้ชายคือรูป ผู้หญิงคือนาม เมื่อรูปกับนามผสมกัน ก็เป็นวิญญาณ แล้วก็มีตัวตนใหม่ขึ้นมา ไตรลักษณ์ ก็คือ ผู้หญิง-ผู้ชาย - และการดีดดิ้น ให้เป็นไป เพื่อจะได้ผสมพันธุ์นั่นเอง ถ้าผู้หญิงกับผู้ชายคู่นี้ แต่งงานกัน ก็จะมีแต่การ "ก่อเกิด" คือจะมีแต่สร้าง "วิญญาณใหม่" ให้ตัวใหม่ เกิดขึ้นอยู่นั่นเอง จะไม่มี "ดับไป" ได้ง่ายๆ และ ถ้าผู้ชายกับผู้หญิงคู่ใด ยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่กำลังติดต่อกันอยู่ ด้วยความเป็นคู่รักกัน เอาอกเอาใจกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง กระเง้ากระงอดกันบ้าง ต่างๆ นานา จนสุดท้ายก็แต่งงานกัน หรือแม้จะไม่ได้แต่งงานกัน เพราะลงเอยกันไม่ได้ แล้วต่างก็ไปหาคนอื่น จับคู่กับคนใหม่ อะไรต่างๆ เหล่านี้แหละ คือบทบาทของ "ชีวิต" คือการยังเป็นไป การดีดดิ้น การยังไม่ยอม "ตาย" การยังไม่ยอม "ดับไป" ยังมีความฟุ่งซ่าน คิดหวังจะก่อ "การเกิด" ใหม่อีกให้ได้ อันเรียกรวมได้ว่า "ตั้งอยู่" นั่นเอง (ไตรลักษณ์ คือ ๑.เกิด ๒.ตั้งอยู่ ๓.ดับ รวมเป็น ๓ ลักษณะ)

ฉะนั้น ถ้าใครเกิดมาแล้วไม่ดีดดิ้น หรือไม่คิดถึงเรื่องจะสืบพันธุ์ หรือไม่คิดว่าจะต้องมีคู่ จึงเป็นผู้ที่เกิด และดับในตัวแล้ว ในช่วงหนึ่ง ของความแท้จริง แห่งชีวิต เพราะเท่ากับ เกิดแล้วก็ดับไปแล้ว ตัด "ทุกข์" อันคือการ"ตั้งอยู่" ของชีวิต ออกไปได้จำนวนหนึ่ง เป็นก้อนโตเสียด้วย ดังนั้น ผู้นี้จะมีชีวิตอยู่ ก็เพียงคิดถึงแต่ตัวเอง และความเกี่ยวข้อง ในวงที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันคือญาติพี่น้อง มีพ่อแม่เป็นสำคัญ เท่านั้น ที่จะต้องดีดดิ้น เป็นบ่วงแห่งชีวิต จึงดีดดิ้นน้อยลง มีความเป็น "ชีวิต" น้อยลงจริงๆ (ที่จริง สำหรับหลักการ ของพระพุทธองค์แล้ว พอใครเริ่มบวช ก็จะต้องตัดขาด จากเมถุนธรรม เลิกเรื่องสืบพันธุ์ หรือเรื่อง มีผัวมีเมีย กันอย่างเด็ดขาดทันที ใครแตะต้อง เป็นถูกจับสึก และแม้ความเป็นญาติ ก็ยังให้ตัดขาดลงไปด้วย)

ดังนั้น ที่สำคัญที่สุด ก็คือ "ตัวเอง" ซึ่งมันยังโง่ ยังดีดดิ้น เพื่อความอยู่รอดของคำว่า "ชีวิต" และเมื่อเหลือแต่เพียง "ตัวเอง" ก็ไม่ต้องคิดเผื่อแผ่ไปอื่น ให้เป็นเรื่องมากมายหนักหนา จึงเท่ากับตัดวัฏฏะ หรือตัดวงโคจร ที่ตัวเองจะต้องวิ่ง ต้องเต้น ต้องดีดดิ้น เอาเงินทอง เอาสิ่งที่จะนำมาปรุงแต่งให้ตัวเอง และส่วนที่ตัวเอง ยังยึดเอามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้อยู่รอดด้วยลงไปได้ ตัวเองจึงน้อยลง คำว่า "ตัวตน" จึงเล็ก จึงแคบเข้า มีชีวิตแคบลงเล็กลง โดยความเป็นจริง ดังนี้ ถ้ามีครอบมีครัว มีลูกมีเต้า มีญาติเพิ่มขึ้นไปอีก ความดีดดิ้น จึงต้องทวีตาม ความ"จบสิ้น" จึงจะมีได้ยากขึ้นไป ตามความเป็นจริง ผู้จะมองเห็น ไตรลักษณ์ ต้องเข้าใจรูปกับนาม ให้ถ้วนทั่ว นอกจากในลักษณะ ที่ได้เล่าให้ฟังนี้ ชี้ให้เห็น ความเป็นไตรลักษณ์แล้ว แม้ช่วงชีวิตที่สั้นกว่านี้ ก็เป็นไตรลักษณ์ตัวเล็ก ตัวละเอียด ตัวที่มีวงแคบ วงสั้นตามลำดับ ลงไปทั้งสิ้น เช่น ถ้าจำกัด งชีวิต (วัฏฏะ) หรือ ความเป็นอยู่ ของเด็กสักคน อายุเพียง ๒-๓ ขวบ เขาก็ไม่มีหน้าที่อะไร ที่จะรับผิดชอบ หรือจะต้องดีดดิ้น คิดค้น เพื่อความอยู่รอดมากนัก เขาจะยังไม่รู้จักคำว่า คนอื่น นอกจาก "ตัวเอง" ดังนั้น ความสำคัญของเขาก็คือ ต้องได้อาหารมาใส่ปาก เป็นตัวดีดดิ้นที่สำคัญที่สุด ถ้าขาดอาหาร ก็ "ดับไป" ก็เท่านั้น

เรื่องอื่นจะไม่ทำให้เด็กคนนี้ ดับง่ายๆ เป็นต้นว่า แม้เด็กคนนี้ จะไม่ได้วิ่งเล่น จะไม่ได้นุ่งห่ม จะไม่ได้มีที่อยู่อาศัย ดังนั้น ความสำคัญชั้นที่หนึ่ง ของเด็กคนนี้ ก็คือ "อาหาร" เท่านั้น ตัวเขาจึงเป็น "นาม" ต้องดีดดิ้นหาอาหาร มาใส่ปากเข้าท้อง ของเขาให้ได้ เพื่ออยู่รอด และอาหารก็เป็น "รูป"ไป เมื่อเขาได้อาหาร มาผสมเข้าในร่างกาย หรือจะเรียกให้ฟังยากๆว่า ได้อาหารมาสืบพันธุ์ เข้ากับร่างกายของตน อันคือ ได้อาหารมาปรุงแต่งร่างกาย ก็เหมือนกันนั่นเอง ในความหมายตัวเด็กคนนี้ ก็จะ"ตั้งอยู่" ไม่"ดับไป" จะยังมีความ"เกิดขึ้น" ความเกิดขึ้นที่ว่านี้ก็คือ ชีวิตของเขา "เกิด" (ตั้งอยู่ หรือโตขึ้น) จากก่อนที่จะได้กินอาหาร เหมือนรถยนต์น้ำมันหมด เรียกว่า รถยนต์ตาย พอไปเอาน้ำมันมาใส่ รถยนต์ก็ติดเครื่องได้ รถยนต์ก็ "เกิด" ใหม่ ดังนี้

การเป็นอยู่เพียงช่วงสั้นนี้ ก็เป็นวงวัฏฏะ ที่เล็กละเอียด ซ้อนวงวัฏฏะใหญ่ๆ เข้าไปอีก แม้ในจิตในใจ ก็มีรูปกับนามผสมพันธุ์ หรือ "ปรุงแต่ง" หรือสืบพันธุ์อะไร ก็เรียกได้ ถ้าเข้าใจลักษณะความแท้จริง ของเรื่องนั้นของสิ่งนั้น ได้ถูกฝาถูกตัว การ "ตั้งอยู่" นี่แหละ จึงเรียกว่า "การเกิด" พระพุทธองค์ตรัสว่า "การเกิด" เป็นทุกข์ ก็คือสิ่งนี้เอง

ดังนั้น ถ้าใครไม่ให้มีการเกิด ไม่ต่อการเกิดให้ยืดยาว แตกแขนง ใหญ่โตขึ้นได้เท่าใด ก็พ้นทุกข์ไปได้มากเท่านั้น สิ่งแวดล้อมข้างนอก ถ้าเราตัดการเกิด ที่จะแผ่ขยายออกไป อย่างที่ว่านี้ได้ ก็เท่ากับเราตัดไฟแต่ต้นลม ไปได้เป็นระดับๆ ยิ่งไม่ต้องการ แม้ลาภ - ยศ - สรรเสริญได้ด้วย ก็เท่ากับเราตัด "การเกิด" ไปได้ เพิ่มให้ตนอีกอักโข และสุดท้าย ก็มาตัด "การเกิด" แต่เพียงภายในจิตของเราเอง การเกิดภายในจิต ก็ไม่มีอะไรมากแล้ว ก็เหลือโลภะ โทสะ โมหะ อย่างอ่อน อย่างเบา เท่านั้นเอง เพราะลาภก็คือ โลภะอย่างแรง ยศก็คือ โลภะอย่างกลาง และสรรเสริญก็คือ โลภะอย่างละเอียดอ่อน มีความสำคัญ กับชีวิตแท้ๆ จริงๆ ไล่ลงไปตามลำดับ และที่เรายังตัดไม่ได้ ก็เพราะยังมี "โมหะ" ตัวเดียว โมหะก็คือ ความหลงเข้าใจผิด หลงว่าเราจะต้องโลภะ เราจะต้องโทสะ จึงจะเรียกว่า "คนผู้มีสุข" แท้จริง

คนผู้มีสุขนั้น ไม่ใช่คนผู้ที่มีโลภะมีโทสะ คนผู้ไม่มีโลภะไม่มีโทสะต่างหาก จึงจะเป็นผู้มีสุขถูกต้อง ถูกตรงอย่างแท้ เมื่อรู้แจ้งดังนี้ ก็หมดโมหะ แล้วก็พยายามใช้จิตตัวเอง อ่านตัวโลภะกับโทสะ ที่มีในตัวเอง น้อยเต็มทีนั้นให้ออก (โลภะก็คือ กามราคะ, รูปราคะ, อรูปราคะ, และ โทสะก็คือ ปฏิฆะ, มานะ) พร้อมกันนั้น ก็"ดับ" หรือ ฆ่าเจ้าตัวโลภะ และโทสะ ออกไปให้หมดสิ้น จากจิตใจของเรา อย่าให้มี "โลภะ"เกิด อย่าให้มี "โทสะ"เกิดอยู่ในจิต ของเราได้ ก็เป็นการ "ดับ" เจ้า "การเกิด" ตัวที่เล็กละเอียดได้หมดสิ้น ก็เป็นผู้อยู่สุขอย่างแท้จริง เป็นผู้พ้นภาระ เป็นผู้จบ เรื่องที่จะต้องทำให้ตนเองแล้ว ทั้งสิ้น จะเหลือก็แต่ ความเป็น "ผู้รู้" (พ้นอวิชชา) และ อยู่โดยควบคุมความมีชีวิต หรือควบคุมจิต ที่ยังจะต้องรับกระทบ สัมผัสกับ "โลก" ที่เรายังไม่ดับจากไปจริงๆ อยู่เท่านั้น (คือ ปล่อยให้มีเพียงอุทธัจจะ และคุมอุทธัจจะ นั้นไว้ด้วย "วิชชา" หรือ "ปัญญา" อันถูกต้อง เหมาะควรนั่นเอง)

ก็แล้วเจ้า "โลภะ" กับ "โทสะ" ๒ ตัวนี้ มันยังเกิดอยู่ที่ผู้ใด ? เพราะ "เหตุ" อะไร? นี่สิ สำคัญที่ควรรู้ ก็เพราะเหตุว่า ผู้นั้นยังมี "โมหะ" ตัวความหลง อยู่ในจิตใจอยู่ โมหะหรือหลงผิดอยู่ในอะไร ? ก็หลงผิดอยู่ในเรื่องของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนั่นเอง

ถ้าผู้ใดยังเห็นว่า รูปสวยก็ยังต้องการ รสอร่อยก็ยังต้องการ เสียงไพเราะก็ยังต้องการ สัมผัสเสียดสีถูกใจก็ยังต้องการ ผู้นั้นแหละ ยังได้ชื่อว่า ยังไม่หมดโมหะ ดังนั้น เมื่อโมหะตัวโต รู้แจ้งหมดแล้ว ก็ต้องรู้จักโมหะ ตัวเล็กลงไปเรื่อยๆให้ได้ เมื่อรู้ว่า มันไม่ใช่ของที่เรา จะต้องมีต้องได้ มันไม่ใช่แก่นสารของชีวิต มันไม่ใช่ของจำเป็นอะไร เหมือนเด็ก คนที่ได้ยกตัวอย่างแล้วว่า เขาไม่ได้วิ่งเล่น เขาก็ไม่ตาย เขาไม่ต้องมีเสื้อผ้า ก็ยังจะไม่ตาย แม้จะไม่มีที่อยู่ ก็จะยังไม่ตาย เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน แม้จะไม่ต้องมีความสวย ไม่ว่าตัวเองสวย ด้วยตบแต่งให้สวย หรือ หาเสื้อผ้าสวยมาให้ตน อะไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องเกี่ยวพันกัน เป็นเรื่องเดียวกันทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องจำเป็นอะไรเลย ไม่ต้องมีสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ตาย ถ้าเราจะมีเสื้อผ้า ก็สักแต่ว่า มีใส่พอกันอุจาด กันร้อนหนาว กันสัตว์แมลง มีชุดเดียวก็ได้ ถ้าเก่งจริง เหมือนอย่าง พระท่านมีไตรจีวร เพียงชุดเดียว และอาหารที่จะกิน เข้าไปในร่างกาย อะไรก็กินได้ เมื่อเป็นอาหารแท้ อาหารจริง ที่คนพึงกินกัน โดยไม่ต้องเห็นว่าอร่อย หรือไม่อร่อยทั้งสิ้น สักแต่ว่ากินก็แล้วกัน และที่อยู่ก็สักแต่ว่า ที่หลบนอน ที่อาศัยกันแดดลม กันร้อนหนาว ก็เท่านั้น ส่วนยารักษาโรค ถ้าไม่มีโรค ก็ไม่จำเป็นเลย

เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว อะไรอื่นนอกจากนี้ เป็นของนอกประเด็นทั้งสิ้น เป็นเรื่องที่เรียกว่า ขาดจากกันได้ โดยเด็ดขาดแน่แท้ แม้จะไม่ต้องเห็น ต้องพบสิ่งอื่นๆ เหล่าใด อันพึงมีในโลก นอกจากอาหาร ที่อยู่ เสื้อผ้า ดังกล่าวนี้ ก็จะไม่ตายเป็นอันขาด จะอยู่ได้อย่างสุขแท้จริง ถ้าใจผู้นั้นบริสุทธิ์ ผุดผ่อง หมดโมหะ คือ เข้าใจได้ถ่องแท้อย่างนี้ แล้วก็ปฏิบัติให้ได้อย่างนี้ ผู้นั้นก็ไม่มี "การเกิด" ที่ใหญ่โต จนเรียกว่า ทำทุกข์ให้แก่ตน

นั่นคือ ถ้าอยากจะยังไม่ "ตาย" จริงๆ ก็หาปัจจัยแท้ๆ เพียง ๓-๔ สิ่งนี้ ให้ตนเท่านั้น นอกนั้น ไม่พึงเป็นสิ่งที่สำคัญอะไร กับตัวเอง อย่างจริงอย่างแท้ ถ้าไม่อยากอยู่ คือ ไม่อยากได้ชื่อว่า "เกิดอยู่" คือ "ตาย" นั่นเอง ก็ไม่ต้องใช้แม้แต่ปัจจัย ๔ นี้ อยู่อย่างไม่อนาทรอะไรจริงๆ อาหารก็ไม่ต้องกิน เสื้อผ้า ก็ไม่ต้องเอาใจใส่ ที่อยู่ก็ไม่อีนังขังขอบ ยาก็ไม่ต้องใช้ เมื่อได้เวลา ร่างกายนั้น และจิตใจนั้น ก็จะแยกจากกัน ออกจากร่างกาย ไปอย่างสงบที่สุด บริบูรณ์ที่สุด เป็นการ "จบ" ชีวิตที่เรียบร้อย สันติที่สุด จึงเรียกว่า หมดสิ้นเชื้อแห่งการเกิด นั่นคือ เมื่อพระอรหันต์ท่านใด คิดว่าตนเอง ถึงเวลาแล้ว ที่ควรจะตาย ก็จะทำตนอย่างนี้ แล้วก็จากไปอย่างหมดเชื้อ ดังนี้ การเกิดด้วยเชื้อใด ก็ไม่มีอีก

๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๓

ประกายธรรม ๑๓

******

ตรวจทานใหม่ 1 เมษายน2568 ที่สุด