
ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก
๖๕/๑ ซอยนวมินทร์ ๔๔
ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม
เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ
โทร. ๐๒-๓๗๔-๕๒๓๐ , ๐๒-๗๓๓-๖๖๙๙
๑. ประวัติ พุทธสถานสันติอโศก
โดยเหตุที่ สมณะโพธิรักษ์ บวชที่วัดอโศการาม และไปบรรยายธรรม บริเวณ ลานอโศก ภายในวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ อยู่เนืองๆ จนได้สมญานามว่า ขวานจักตอก ทั้งเมื่อทำหนังสือ ออกเผยแพร่ ตั้งแต่ยุคแรกๆ ได้ใช้ชื่อว่า เรวดียุครุ่งอรุณ ฉบับอโศก ส่วนนามปากกา ก็ใช้เป็นอย่างเดียวกันว่า อโศก ไม่ว่าใครเขียนก็ตาม
ความที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับคำว่า อโศก หลายสถานะหลายเหตุการณ์ ดังกล่าว เราจึงได้จับเอาคำว่า อโศก มาเป็นชื่อเรียก ในการร่วมเผยแพร่ธรรมะ ตั้งแต่บัดนั้น จนเกิดกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม อันประกอบด้วย นักบวชและฆราวาสขึ้นมา
ญาติธรรมรุ่นแรก ได้ร่วมกันก่อตั้งสถานที่ปฏิบัติธรรม ชื่อว่า สวนอโศก ที่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ถวาย สมณะโพธิรักษ์ แต่ก็ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย และไม่ลงตัว ด้วยเหตุหลายประการ
ต่อมาจึงย้ายไปที่แห่งใหม่ เรียกชื่อว่า ธรรมสถานแดนอโศก ตั้งอยู่ที่ ต.ทุ่งลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ และได้ใช้สถานที่นี้ อบรม บำเพ็ญธรรม จนกระทั่ง เกิดเหตุการณ์ที่บีบคั้นมากมาย ทำให้ลำบากในการเผยแพร่ธรรมะ
สุดท้าย สมณะโพธิรักษ์ และ หมู่สงฆ์ จึงต้องตัดสินใจ ประกาศตนเป็น นานาสังวาส ตามพระธรรมวินัย เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ ที่วัดหนองกระทุ่ม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
จากนั้น สมณะโพธิรักษ์ ได้นำพาหมู่กลุ่มมาที่ พุทธสถานสันติอโศก แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ซึ่งเดิมเป็น เรือนทรงไทย หลังใหญ่ ที่คุณสันติยา (กิติยา) วีระพันธุ์ ผู้เป็นเจ้าของ ได้ถวาย สมณะโพธิรักษ์ ไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ และ เรือนทรงไทย หลังนี้เอง คือจุดกำเนิดของ วิหารพันปีเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ ในปัจจุบัน
ส่วนคำว่า พุทธสถาน หมายถึง วัดของชาวอโศก ซึ่งมีอาณาเขตติดกับเขต ชุมชนบุญนิยม ของฝ่ายฆราวาส (ปัจจุบันมี ๙ แห่ง) และคำว่า สันติ หมายถึง ความสงบ
มูลเหตุที่ทำให้คุณสันติยา (กิติยา) วีระพันธุ์ ถวายที่ดินพร้อมเรือนทรงไทย แด่ สมณะโพธิรักษ์ นั้น คุณสันติยาเคยบอกเล่าไว้ว่า เมื่อคราวที่ชีวิต ประสบความทุกข์ใจ อย่างมาก ได้ลองติดตามไปฟังธรรม ที่วัดอาวุธวิกสิตาราม และเกิดศรัทธาเลื่อมใส ประจวบกับเป็นช่วงที่ กำลังสร้าง เรือนทรงไทย หลังนี้อยู่พอดี จึงแจ้งความประสงค์ ถวายแด่ท่าน เพื่อใช้สอย ให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง ดีกว่าอาศัยอยู่กันเพียงไม่กี่คน แล้วคุณสันติยากับลูกๆ ก็ย้ายไปอยู่ เรือนหลังเล็ก ที่เคยเป็นที่พัก ของคนงานก่อสร้าง เรือนทรงไทย นั่นเอง
สมัยแรกๆ พื้นที่โดยรอบส่วนใหญ่ ยังเป็นแอ่งน้ำและกอหญ้า โดยเฉพาะบริเวณด้านหน้าพุทธสถานฯ ต้องปรับปรุงกันเรื่อยมา อาทิ ถมพื้นที่เพื่อปลูกกุฏิ (ตามที่พระพุทธเจ้า ทรงอนุญาต คือ ขนาด ๗x ๑๒ คืบพระสุคต หรือราว ๑.๕ x ๒.๕ เมตร), ซ่อมแซมและต่อเติมตัวเรือน เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น โดยชั้นบน ใช้เป็นโบสถ์ และสถานที่ทำงานเผยแพร่ธรรมะ ส่วนชั้นล่างเป็นที่แสดงธรรม, ที่ฉันอาหาร, ที่เก็บเล่ม พับกระดาษ เพื่อทำหนังสือ (สมัยนั้น ยังไม่ใช้เครื่องจักรมาก เหมือนปัจจุบัน) เป็นต้น เรียกว่าใช้เป็น สถานที่หลัก ในการประกอบกิจวัตร และกิจกรรม
นับเป็นการถืออุบัติของ พุทธสถานสันติอโศก เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๑๙ จากนั้นจึงทยอยเกิด องค์กร ต่างๆ นับถึงปัจจุบัน รวม ๘ องค์กร, เกิดกลุ่ม, เกิดชุมชน เครือข่าย เป็นชุมชนพึ่งตนเองแบบครบวงจร ที่มีวิถีชีวิตตาม ระบบบุญนิยม มีผลผลิตของแต่ละเครือข่าย บริโภคและใช้สอยภายในชุมชน ผลผลิตส่วนเกิน ก็ได้นำออก เกื้อกูลต่อสังคม (โลกานุกัมปา)
๑.๑ วิหารพันปีเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ
ทุกอย่างย่อมเสื่อมไปตามสภาพธรรม เรือนทรงไทย หลังใหญ่ ที่ได้รับการใช้ประโยชน์อย่างมากมาย เพื่อมวลมนุษยชาติมานาน จึงชำรุดทรุดโทรม และเมื่อคุณตะวัน สิริวรวิทย์ มาสำรวจ ก็ได้พบว่า เสาเรือน ถูกปลวกกัดกินจนกร่อน น่ากลัวว่าจะพังลงมา จึงได้ประชุมกัน และมีมติให้รื้อถอน เรือนทรงไทย ออกทั้งหลัง โดยได้เริ่มรื้อถอน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ และก่อสร้าง วิหารพันปี เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งออกแบบโดย คุณอภิสิน ศิวยาธร ขึ้นมาแทนที่
(ตอกเสาเข็มลงต้นแรก เมื่อวันอังคารที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ )
สมณะโพธิรักษ์ ได้กำหนดประเด็น อันเป็นเป้าหมายสำคัญ ในการก่อสร้าง วิหารพันปีเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ ไว้เพื่อใช้สอย ให้เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง หลายประการ โดยมีแนวคิดว่า
๑. เป็นวิหารเอนกประสงค์ ที่แข็งแรงอยู่ยืนนาน
๒. ใช้ในงานกิจกรรมทางสังคมทั่วไปที่สมควรได้ด้วย
๓. เป็นที่ทำการ (office)
๔. เป็นพระเจดีย์ที่เคารพบูชา
๕. เป็นสถาปัตยกรรมที่มีศิลปะ
๖. มีธรรมชาติสัมพันธ์อย่างเหมาะสม
๗. กล่อมเกลาจิตวิญญาณบูรณาการอารมณ์
อนึ่ง ปี ๒๕๓๙ เป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงครองสิริราชสมบัติ เป็นปีที่ ๕๐
สมณะโพธิรักษ์ และชาวอโศกทั้งมวล จึงได้ถือเอา วิหารพันปีเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ อันเป็นที่เคารพสักการบูชาสูงสุดนี้ เป็นราชสักการะ แด่องค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว
โดยเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๙ ซึ่งตรงกับวันวิสาขบูชา สมณะโพธิรักษ์ ได้นำพาหมู่สงฆ์ ตลอดทั้งญาติธรรม กระทำพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ, พระธาตุ และ พระพุทธรูปปางต่างๆ หลายสมัย รวม ๑๐ องค์ ประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ทองคำ จากนั้นได้อัญเชิญ พระเจดีย์ทองคำ ขึ้นสู่ยอดโดมสูงสุดของ วิหารพันปีฯ เพื่อเตรียมเฉลิมฉลอง
เมื่อถึงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๙ อันเป็นวันกาญจนาภิเษก สมณะโพธิรักษ์ จึงได้พาหมู่กลุ่ม ประกอบพิธีเฉลิมฉลอง มีการสวดมนต์ ทำวัตรเช้า, การแสดงธรรม, การอภิปราย และกิจกรรมต่างๆ
ญาติธรรม ก็ได้ร่วมใจกันเปิด โรงบุญมังสวิรัติ หลายร้าน ตลอดทางเข้าด้านหน้า พุทธสถานฯ และตลอดแนว ในซอยนวมินทร์ ๔๔ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระ อันเป็น มิ่งมหามงคล ครั้งนี้ด้วย
พุทธสถานสันติอโศก จึงเป็นที่ประดิษฐาน ของสิ่งสักการบูชาอันสูงสุด เป็นส่วนน้อมนำ ให้เกิดจิตศรัทธาเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา สมดังเจตจำนงของผู้ถวาย ที่ดินแปลงนี้ คือ คุณสันติยา (กิติยา) วีระพันธุ์ ซึ่งได้ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๐
กาลเวลาผ่านไป ผู้สนใจใฝ่ธรรมก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ ทั้งลาออกจากงาน มาปฏิบัติธรรมอยู่ประจำที่ พุทธสถานฯ และในชุมชน ต่างช่วยกันทำงาน ที่เป็น สัมมาอาชีพ ตามหลัก อาริยมรรคมีองค์ ๘ จนเกิดหน่วยงานต่างๆ ขึ้นหลายหน่วยงาน ซึ่งดำเนินงานโดยใช้หลัก บุญนิยม ตามที่ท่าน สมณะโพธิรักษ์ ได้อบรมและพาทำ
ปี ๒๕๔๖ สมณะโพธิรักษ์ พร้อมหมู่สงฆ์ และชาวชุมชนฯ มีมติเห็นสมควรให้ซื้อที่ดิน ด้านหน้า พุทธสถานสันติอโศก ตั้งแต่ทาวน์เฮาส์ หน้าพุทธสถานฯ ไปจนถึง อาคารพาณิชย์ ริมถนนนวมินทร์ ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์มังสวิรัติ, ร้านกู้ดินฟ้า, ร้านดินอุ้มดาว, บจ.แด่ชีวิต, ร้านธรรมทัศน์สมาคม จากคุณมนัส หลิมขยัน (บุตรชายคนเดียว ของคุณมาลี หลิมขยัน เจ้าของที่ดิน ที่เพิ่งเสียชีวิตไป) มีเนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่ (๑,๑๗๗ ตารางวา) ภายใต้ โครงการร่วมบุญปฐพีพุทธ วิหารพันปี เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งญาติธรรม ต่างร่วมบุญร่วมใจกัน บริจาคตามกำลัง จนในที่สุด โครงการนี้ก็บรรลุเป้าประสงค์
ปัจจุบันพุทธสถานสันติอโศก มีพื้นที่ประมาณ ๑๓ ไร่เศษ.
๑.๒ พระพุทธาภิธรรมนิมิต
พระพุทธาภิธรรมนิมิต เป็นพระพุทธรูปองค์แรก ของชาวอโศก ซึ่ง สมณะโพธิรักษ์ กำหนดว่าเป็น ปางตรีลักษณ์ องค์พระพุทธรูป แกะสลักจากหินทราย สูง ๗.๑๒ เมตร กว้าง ๖.๓๑ เมตร หนา ๓.๕๗ เมตร หนักกว่า ๑๕๐ ตัน ประดิษฐา อยู่บนแท่นหินทราย ขนาดกว้าง ๖.๓๐ เมตร ยาว ๗.๒๐ เมตร หนัก ๑๒๖ ตัน ซึ่ง สมณะโพธิรักษ์ ได้เป็นประธาน นำพาชาวอโศกทั้งมวล กระทำพิธีอัญเชิญ เคลื่อนองค์พระพุทธรูป มาประดิษฐาน ณ พุทธสถานราชธานีอโศก เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ เวลา ๐๗.๐๗ น.
พุทธาภิธรรมนิมิต แปลว่า เครื่องหมายยอดเยี่ยมแห่งพุทธธรรม หรือเป็นเครื่องหมายอันยอดเยี่ยม แห่งธรรมะของพระพุทธเจ้า
สมณะโพธิรักษ์ ได้กล่าวถึงการประดิษฐาน พระพุทธรูปองค์นี้ว่า
แต่แรกเราไม่ส่งเสริมการมีพระพุทธรูป เพราะว่าเราเอง แรกเริ่มขึ้นมา เราจะต้องเคร่งครัด จะต้องอยู่ในข้อจำกัดที่สะอาดให้มากๆ ยังไม่ไปเชื่อมโยงกว้าง ที่เราจะต้อง เข้าไปจัดการแก้ไข ไปเปลี่ยนแปลงอะไรต่ออะไร เราจะต้องอยู่ในระบบของศีลของธรรม หรือระบบดั้งเดิมของพุทธ ที่สำคัญคือ ตอนแรก อาตมาต้องพาเรา พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง ออกจากน้ำ เสียก่อน จนสอนพวกเราให้มีทั้งความรู้ ในการเคารพ ในความเป็นพระพุทธรูป เพียงพอแล้ว เราแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันแล้วในจิตใจ เราจึง ปฏินิสสัคคะ ทวนกลับไปมีพระพุทธรูป เพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่อสอนและนำพาคนอื่นๆ ให้เคารพพระพุทธรูปให้ถูกต้อง เคารพชนิดที่เป็น อเทวนิยม (ไม่ใช่เคารพอย่างเป็น เทวนิยม ) ...
พระพุทธรูป ปางตรีลักษณ์ นี้ เป็นความคิดของ คุณแสงศิลป์ เดือนหงาย ...
ลักษณะพระพุทธรูปของเรา ไม่ได้ทำมุ่นผมเป็นจุก อยู่บนพระเศียร หรือมุ่นยกแหลม อย่างที่เขาทำๆ กันมา เราทำศีรษะโล้นธรรมดา... พระอุณาโลม จะเป็นร่องลึก เข้าไปในพระนลาต ข้างในก็จะบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งมี ๑๕๑ องค์.... ( สารอโศก. ลำดับที่ ๓๐๐. สิบห้านาทีกับพ่อท่าน. ธ.ค.๔๙ - ม,ค.๕๐ )
จากนั้นญาติธรรม ก็ได้ร่วมบุญกันสร้างองค์ พระพุทธาภิธรรมนิมิตจำลอง ขนาดเล็ก ไว้ประจำแต่ละพุทธสถานด้วย
ปางตรีลักษณ์ หมายถึง ลักษณะ ๓ ประการ คือ
๑. โลกุตระ คือ จิตบรรลุธรรม อยู่เหนือโลกีย์ จิตนั้นหลุดพ้นความเป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทั้งด้าน กาม ทั้งด้าน อัตตา
๒. โลกวิทู คือ รู้เท่าทันโลกีย์ รู้แจ้งจริงในความเป็นโลกีย์ ที่ตนเคยเป็นทาส และปฏิบัติจนสามารถบรรลุธรรม มีจิตโลกุตระ อยู่เหนือสิ่งที่ตนเคยเป็นทาส ได้ถาวร
๓. โลกานุกัมปา คือ ความเอ็นดูต่อสัตวโลก มีจิตเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ความเกื้อกูลต่อมวลมนุษยโลก ช่วยคนให้พ้นทุกข์อริยสัจ
๑.๓ ขั้นตอนการบวชของชาวอโศก
การบวชหรือการเข้าสู่สถานะ นักบวช นั้น มีขั้นตอนและระยะเวลา ทดสอบความพร้อม คือต้องมีการกลั่นกรองว่า ผู้บวชมีความตั้งใจจริง ที่จะใช้ชีวิต ตามพระธรรมวินัย มีศักยภาพ ของความเป็นผู้สละบ้านเรือน เข้าสู่ชีวิตนักบวชได้ มีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ มิใช่อาศัยความเป็นนักบวช เพื่อหลบหนี ปัญหาส่วนตัวบางประการ และปฏิบัติตน ได้เหมาะสมกับฐานะพุทธทายาท และพุทธสาวก ที่สำคัญคือ ต้องเป็นผู้ที่เรียนรู้ชีวิตในชุมชนชาวอโศก และปฏิบัติขัดเกลา จนได้รับการรับรอง จากหมู่สงฆ์แล้ว มิใช่บุคคลทั่วไป ที่นึกอยากจะบวช ก็เข้าไปขอบวชได้เลย หรือมิใช่อาศัยความเป็นนักบวช เพื่อหลบหนีปัญหาส่วนตัว บางประการ
ผู้ที่จะสมัครเข้าเป็น นักบวชชาวอโศก มีข้อปฏิบัติดังนี้
๑. สมาทานรักษาศีล ๘ โดยสมัครเป็นอารามิก (คนวัดชาย) หรืออารามิกา (คนวัดหญิง) อยู่ภายในขอบเขต การดูแลของพุทธสถาน ๑ ปี จากนั้น จึงขอเลื่อนฐานะเป็น ปะ คือ ผู้ปฏิบัติธรรม โดยมีสมณะ ๕ รูป รับรองเป็นลายลักษณ์อักษร และดูแลรับผิดชอบ
๒. ปะ หรือผู้ปฏิบัติ โดยปะชาย นุ่งกางเกงสีน้ำตาล ส่วนปะหญิง นุ่งผ้าถุงสีน้ำตาล สวมเสื้อสีน้ำตาล แบบสุภาพ ตามที่มีอยู่แล้ว ไม่โกนศีรษะ และต้องอยู่ปฏิบัติธรรม อย่างน้อย ๔ เดือน สำหรับฝ่ายชาย และ ๖ เดือน สำหรับฝ่ายหญิง
๓. นาค และ กรัก คือ ผู้ที่ปฏิบัติครบกำหนด ในฐานะของ ปะ แล้ว ก็มีสิทธิ์เตรียมตัวบวช โดยแจ้งความจำนงต่ออุปัชฌาย์ เพื่อให้อุปัชฌาย์ นำเรื่องเข้าพิจารณา ในหมู่สงฆ์ เมื่อที่ประชุมมีมติเห็นชอบเป็น เอกฉันท์ แล้วจึงเลื่อนฐานะ เป็น นาค สำหรับฝ่ายชาย และ กรัก สำหรับฝ่ายหญิง แต่หากหมู่สงฆ์พิจารณาแล้ว ยังไม่เห็นชอบ ก็ต้องอยู่ในฐานะเดิมต่อไป ตามระยะเวลา ที่มติในที่ประชุมเห็นสมควร
นาค โกนผม สวมเสื้อคอกลมสีน้ำตาล มีขลิบที่คอเสื้อ สีน้ำตาลอ่อน
กรัก โกนผม สวมเสื้อแบบเดียวกับ นาค และมีสไบสีกรัก และฝ่ายหญิงต้องอยู่ในฐานะ กรัก อย่างน้อย ๑ ปี ๖ เดือน จึงมีสิทธิ์ขอบวช เลื่อนฐานะเป็น สิกขมาตุ ถือศีล ๑๐ เช่นเดียวกับ สามเณร ได้
๔. สามเณร คือ ผู้ที่ปฏิบัติในฐานะ นาค มาได้อย่างน้อย ๔ เดือน ก็จะมีสิทธิ์ขอเลื่อนฐานะ จากที่ประชุมสงฆ์ อย่างมีมติเป็น เอกฉันท์ จึงสามารถเลื่อนฐานะเป็น สามเณร ถือศีล ๑๐ ได้
สามเณร ที่บวชใหม่ จะต้องศึกษาเป้าหมายของการบิณฑบาต จากหนังสือ ศาสตร์และศิลป์ของบิณฑบาต ให้ชัดเจนก่อน มิฉะนั้น จะไม่มีสิทธิ์ออกบิณฑบาต
๕. สมณะ คือผู้ที่ปฏิบัติในฐานะ สามเณร อย่างน้อย ๔ เดือนแล้ว ก็จะมีสิทธิ์ขอเลื่อนฐานะ จากที่ประชุมสงฆ์ อย่างมีมติเป็น เอกฉันท์ จึงสามารถเลื่อนฐานะเป็น สมณะ ที่สมบูรณ์ได้ (สมณะ หมายถึง ผู้ถือปฏิบัติจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล และวินัย ๒๒๗ ข้อ)
สมณะ ที่บวชใหม่ จะต้องศึกษาพระวินัยจาก พระไตรปิฎก โดยต้องอ่าน พระไตรปิฎก เล่ม ๑-๒ ให้จบ เป็นอย่างน้อย ภายใน ๕ ปี
ธรรมสาระของการ บิณฑบาต
๑. เป็นการไปแสดงธรรมเป็นทานโปรดสัตว์ (คน) ของพระ
๒. เป็นสัมมากัมมันโต ของผู้มีศีล-สมาธิ-ปัญญาแท้
๓. เป็นสัมมาอาชีวะ ของพระโดยตรงอย่างเอก
๔. เป็นมนุษยสัมพันธ์อันลึกซึ้ง
๕. เป็นพุทธประเพณีทุกกัปทุกกัลป์ ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
๖. เป็นศิลปะที่ อันติมะ (สูงสุดที่ยากแก่การอธิบาย)
๗. เป็นการพิสูจน์สัจธรรมแท้ ว่าคนอยู่ได้ด้วยคุณธรรมความดี
๘. เป็นสหกรณ์ตัวสำคัญยิ่ง
๙. เป็นของทำได้ยาก ต้องพากเพียรเรียนรู้ และอุตสาหะอย่างยิ่ง
๑๐. เป็น ประธาน ก่อให้เห็น การให้การเสียสละ เกิด-มีอยู่ในโลก อย่างสำคัญ
เพราะโลก จะขาด การให้การเสียสละ ไม่ได้! โดยเฉพาะการให้ด้วยศรัทธา ด้วยบูชาเคารพ, การให้โดยไม่มีการบังคับ, การให้อย่างยินดี เต็มใจ และให้ชนิด ไม่หวัง อะไรตอบแทน
(จาก ศาสตร์และศิลป์ของบิณฑบาต. โดย สมณะโพธิรักษ์. หน้า ๑๘-๑๙.)

๒. องค์กรในชุมชนบุญนิยมสันติอโศก
๒.๑ มูลนิธิธรรมสันติ (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐)
๒.๒ กองทัพธรรมมูลนิธิ (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔)
๒.๓ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗)
๒.๔ ธรรมทัศน์สมาคม (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๑)
๒.๕ มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗)
๒.๖ สมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขา (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗)
๒.๗ สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗)
๒.๘ มูลนิธิบุญนิยม (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๙)
๒.๑ มูลนิธิธรรมสันติ
วัตถุประสงค์
๑. ช่วยธำรงรักษา บำรุงส่งเสริมการเผยแพร่สัจธรรม ของพระพุทธศาสนา
๒. ส่งเสริมการศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา
๓. ดำเนินงานและสนับสนุน ส่งเสริมการดำเนินงาน เพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ บุญนิยมต่างๆ (ไม่แสวงหากำไร แบบบุญนิยม) เช่น การศึกษาบุญนิยม, สุขภาพบุญนิยม, อุตสาหกิจบุญนิยม, สื่อสารบุญนิยม พาณิชย์บุญนิยม, กสิกรรมบุญนิยม, บริโภคบุญนิยม, ศิลปบุญนิยม, การเงินการคลังบุญนิยม, ชุมชนบุญนิยม, ศาสนาบุญนิยม และ ด้านขยะวิทยา เป็นต้น
๔. นับสนุนส่งเสริมการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยความเป็นกลาง และไม่ให้การสนับสนุน ด้านการเงิน หรือทรัพย์สิน แก่นักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด
๕. ดำเนินการและร่วมมือกับองค์กรอื่น ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสาธารณประโยชน์
กิจกรรมสำคัญ
ได้แก่ พิมพ์หนังสือธรรมะ และวารสารรายเดือน สารอโศก เพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน เป็นหลัก,
โครงการโรงเรียนสัมมาสิกขาฯ อันมีปรัชญาว่า ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา,
โครงการปฐมอโศก ต.พระประโทน อ.เมือง จ.นครปฐม,
โครงการสามอาชีพกู้ชาติ (วงจรของกสิกรรมไร้สารพิษ -ปุ๋ยสะอาด -ขยะวิทยา) เป็นต้น
สถานที่ติดต่อ มูลนิธิธรรมสันติ
๖๗/๑ หมู่ ๕ ซ.นวมินทร์ ๔๘ (ประสาทสิน) ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐๒-๓๗๔-๕๒๓๐ , ๐๒-๗๓๓-๖๖๗๗ ,
๐๒-๗๓๓-๖๖๘๘ , ๐๒-๗๓๓-๖๖๙๙
๒.๒ กองทัพธรรมมูลนิธิ
วัตถุประสงค์
๑. ส่งเสริมการศึกษา ปฏิบัติและเผยแพร่สัจธรรม ในพระพุทธศาสนา
๒. สนับสนุนให้ประชาชนรักษาศีล ในพระพุทธศาสนา
๓. ร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
๔. จัดการศึกษาเพื่อการกุศลให้แก่ผู้ด้อย และบุคคลทั่วไป
๕. เพื่อส่งเสริมการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ด้วยความเป็นกลาง และไม่ให้การสนับสนุน ด้านการเงิน หรือทรัพย์สิน แก่นักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด
กิจกรรมสำคัญ
อบรมคุณภาพชีวิตแก่ข้าราชการ และประชาชน,
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ,
โครงการชุมชนราชธานีอโศก อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำมูล ต.บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เป็นต้น
สถานที่ติดต่อ กองทัพธรรมมูลนิธิ
๖๕/๕ ซ.นวมินทร์ ๔๖ ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐๒-๓๗๔-๕๒๓๐ , ๐๒-๗๓๓-๖๖๗๗ ,
๐๒-๗๓๓-๖๖๘๘ , ๐๒-๗๓๓-๖๖๙๙
๒.๓ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม
วัตถุประสงค์
๑. ธำรงรักษา บำรุงส่งเสริมและเผยแพร่สัจธรรม ของพระพุทธศาสนา
๒. ส่งเสริมการศึกษาปฏิบัติธรรม ในพระพุทธศาสนา
๓. ส่งเสริมการพิมพ์หนังสือธรรมะ เทปธรรมะ และอุปกรณ์ในการเผยแพร่ธรรมะ ออกสู่สาธารณะ
๔. บำรุงสาธารณประโยชน์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง
กิจกรรมสำคัญ
- จัดทำวารสาร ดอกหญ้า และวารสาร ดอกบัวน้อย ราย ๒ เดือน แจกแก่สมาชิก (ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘)
- เผยแพร่อาหารมังสวิรัติโดย ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย (ชมร.)
ปัจจุบันมี ๓ สาขา คือ
ศูนย์มังสวิรัติ หน้าสันติอโศก กรุงเทพฯ, ร้านชมรมมังสวิรัติฯ จ.เชียงใหม่, ร้านชมรมมังสวิรัติฯ จ.นครราชสีมา
- โรงสีสมาคมผู้ปฏิบัติธรรม จ.ขอนแก่น สีเฉพาะข้าวกล้อง
- ห้องสมุดสมาคมผู้ปฏิบัติธรรม บริการประชาชนทั่วไป
- ชมรมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม [นศ.ปธ.] จัดกิจกรรม เช่น โรงบุญ ๕ ธันวามหาราช, จัดอบรม พุทธทายาท ในช่วงปิดภาคเรียน เป็นต้น
- ชมรมสัมมาสิกขาพุทธธรรม
- โรงเจสมาคม จ.จันทบุรี
สถานที่ติดต่อ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม
๖๗/๓๐ หมู่ ๕ ซ.นวมินทร์ ๔๖ ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐๒-๓๗๔-๕๒๓๐ ,
๐๒-๗๓๓-๖๖๗๗ ,
๐๒-๗๓๓-๖๖๘๘ , ๐๒-๗๓๓-๖๖๙๙
๒.๔ ธรรมทัศน์สมาคม
วัตถุประสงค์และกิจกรรมสำคัญ
๑. ส่งเสริมการศึกษาปฏิบัติจริยธรรมของสมาชิก และสาธุชนทั่วไป ตามหลักสัจธรรม อันเป็นแก่นแท้ของ พระพุทธศาสนา
๒. ส่งเสริมกิจกรรมสาธารณประโยชน์ โดยไม่มุ่งผลทางการเมือง
๓. ส่งเสริมเผยแพร่พุทธธรรม ด้วยสื่อสาระสัจจะ ทุกประเภท เช่น หนังสือเล่ม หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เทปเสียง วิทยุ โทรทัศน์ วิดีโอ สไลด์ จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม สถาปัตยกรรม นาฏกรรม เพลง ดนตรี แผ่นภาพ โปสเตอร์ และสื่อสาร เผยแพร่ใดๆ
๔. ไม่มีนโยบายหรือเจตนา จัดตั้งโต๊ะบิลเลียด เพื่อเล่นการพนัน พนันเอาทรัพย์สินกัน และไม่มีเจตนาหาผลกำไร
สถานที่ติดต่อ ธรรมทัศน์สมาคม
๖๗/๗-๘ หมู่ ๕ ถนนนวมินทร์ (ซอย ๔๘)
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐๒-๓๗๕-๔๕๐๖
๒.๕ มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน
วัตถุประสงค์
๑. ส่งเสริมจริยธรรมในการแก้ปัญหาโรคเอดส์ ตลอดจนปัญหาต่างๆ ทางสังคม
๒. ส่งเสริมให้คนในสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน โดยการใช้สื่อ เผยแพร่ต่างๆ รวมทั้งการฝึกอบรม
๓. ส่งเสริมและสนับสนุนแบบวิถีชีวิต ที่ช่วยรักษาธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
๔. ดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
๕. ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ประการใด
กิจกรรมสำคัญ
เช่น โครงการจัดรายการวิทยุ ทั้งภาค AM และ FM ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เป็นเพื่อนทางจิต มิตรทางใจ, รายการโทรทัศน์, โครงการบริจาค และเผยแพร่สื่อธรรมะ ในโอกาสต่างๆ เป็นต้น
สถานที่ติดต่อ มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน
๖๗/๑๕๔ ซ.นวมินทร์ ๔๘ ถนนนวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐๒-๗๓๓-๔๐๐๐
๒.๖ สมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขา (สศส.)
วัตถุประสงค์และกิจกรรมสำคัญ
๑. ส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นสาธารณประโยชน์ และสนับสนุนกิจกรรมทุกประเภท ที่เป็นการเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ยังผลประโยชน์แก่มวลสมาชิกโดยรวม โดยไม่ขัดต่อ ศีลธรรมอันดี และกฎหมายบ้านเมือง
๒. แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ประสานสัมพันธ์พี่น้อง ให้รักมั่นกลมเกลียวกันยิ่งๆ ขึ้น
๓. มุ่งส่งเสริมการสร้างอาชีพที่เป็นสัมมาอาชีพ แก่มวลสมาชิก
๔. การดำเนินการทั้งปวง ด้วยวิถีทางแห่งพุทธศาสนา
ส่วนกิจกรรมสำคัญ อาทิ โครงการจัดงาน คืนสู่เหย้าเข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา และโครงการจัด โรงบุญมังสวิรัติ ในโอกาสต่างๆ เป็นต้น
สถานที่ติดต่อ สมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขา (สศส.)
๖๔๔ หมู่ ๕ ซ.นวมินทร์ ๔๔ ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐๒-๓๗๔-๕๒๓๐ ,
๐๒-๗๓๓-๖๖๗๗ ,
๐๒-๗๓๓-๖๖๘๘ , ๐๒-๗๓๓-๖๖๙๙
๒.๗ สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม (นศ.ปธ.)
วัตถุประสงค์และกิจกรรมสำคัญ
๑. ผนึกรวมตัวรวมแรงรวมใจกันของผู้ใฝ่ธรรม ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยไม่แบ่งแยกสี หมู่กลุ่มหรือสถาบัน มวลสมาชิกมีส่วนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมทำกิจวัตร กิจกรรมกิจการ พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
๒. เชื่อมร้อยเครือข่ายประสานสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ต่างๆ ทั้งทางโลก และทางธรรม
๓. สนับสนุนส่งเสริมสัมมาอาชีพ ทักษะการดำรงชีวิต คุณภาพชีวิต จริยธรรม คุณธรรม ตามทฤษฏีบุญนิยม และเศรษฐกิจพอเพียง
๔. จัดหาจัดการทุนทรัพย์ อุปกรณ์ สถานที่ เพื่อสนับสนุนส่งเสริม งานด้านการศาสนา การสื่อสาร เศรษฐกิจพาณิชย์ การศึกษา การเงินการคลัง อุตสาหกิจชุมชน สุขภาวะ การบริโภค กสิกรรม ชุมชนสังคมสิ่งแวดล้อม การเมืองในส่วนที่เหมาะสม โดยไม่มุ่งหวังหาผลกำไรหรือรายได้ มาแบ่งปันกัน
๕. สนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นการกุศล สาธารณประโยชน์ ซึ่งไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีงามของประชาชน และบทบัญญัติของกฎหมาย
๖. การดำเนินกิจวัตรกิจกรรมกิจการทั้งปวง ไม่ขัดกับหลักธรรม ในพระพุทธศาสนา
อนึ่ง สมาคมฯ มีกิจกรรมสำคัญ อาทิ โครงการจัดงาน คืนสู่เหย้าเข้าคืนรัง นศ.ปธ. และโครงการจัดโรงบุญมังสวิรัติ ในโอกาสต่างๆ เป็นต้น
สถานที่ติดต่อ สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม (นศ.ปธ.)
๖๔๔ หมู่ ๕ ซ.นวมินทร์ ๔๔ ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐ , ๐๒-๗๓๓-๖๖๗๗ ,
๐๒-๗๓๓-๖๖๘๘ , ๐๒-๗๓๓-๖๖๙๙
๒.๘ มูลนิธิบุญนิยม
วัตถุประสงค์และกิจกรรมสำคัญ
๑. เพื่อสนับสนุนการทำงานเผยแพร่อุดมการณ์บุญนิยม
๒. เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน ขององค์กรบุญนิยม และหรือสถาบันบุญนิยม ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำงาน ตามอุดมการณ์บุญนิยม
๓. ดำเนินการหรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่น เพื่อสาธารณประโยชน์
๔. ส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข ด้วยความเป็นกลาง และไม่ใหการสนับสนุน ด้านการเงินหรือทรัพย์สิน แก่นักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด
๕. สนับสนุนส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นการกุศล สาธารณประโยชน์ ซึ่งไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีงามของประชาชน และบทบัญญัติของกฎหมาย
๖. การดำเนินกิจวัตร กิจกรรม กิจการทั้งปวง ไม่ขัดกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
สถานที่ติดต่อ มูลนิธิบุญนิยม
๖๕/๔๕ หมู่ ๕ ซ.นวมินทร์ ๔๔ ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐๒-๗๓๓-๖๖๙๙

๓. วิถีชีวิตในสังคมบุญนิยม
ระบบบุญนิยม เริ่มต้นจากการ สร้างคนดีมีศีล ให้ได้ก่อน
คนดี ที่ว่านี้ คือ บุคคลผู้ถือ ศีล ๕ ละอบายมุข เป็นอย่างน้อย และจะต้องฝึกฝนตน สู่ทิศทางแห่งโลกุตระ คือ ลดละการบำเรอตน ปฏิบัติให้เข้าถึงอริยสัจธรรม ไปตามลำดับ จนเกิด โลกุตรจิต ซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติได้จริง ไม่หลบหลีกปลีกเดี่ยว อยู่ตามป่า, เขา, ถ้ำ
แต่ยังคงอยู่กับโลก อย่างรู้เท่าทันโลก (โลกวิทู) คือ รู้เท่าทันความทุกข์, รู้เท่าทันความเป็นไปของโลก โดยเห็นชัดในกิเลสของตน ที่ยังมัวเมาลุ่มหลงกับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อันเป็นเหตุแห่งการแก่งแย่ง เบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบกันอยู่ในสังคม
ดังนั้น คนดี จึงเข้าไปขวนขวายอนุเคราะห์สังคม อนุเคราะห์โลก (โลกานุกัมปายะ) ช่วยเหลือสังคมอย่างเสียสละ จริงใจ ตรงตามลักษณะของ พุทธศาสนาที่ว่า เป็นไปเพื่อ ประโยชน์เกื้อกูล แก่ปวงชนทั้งหลาย (พหุชนหิตายะ) และเพื่อความเจริญสุข แก่ปวงชนทั้งหลาย (พนุชนสุขายะ)
เป้าหมายของการทำงานใน ระบบบุญนิยม จึงไม่ได้มุ่งค่าตอบแทนที่เม็ดเงิน ยิ่งไปกว่าการไดั "รู้จักตนเอง" ด้วยอาวุธแห่ง "ไตรสิกขา" และ "ตรวจตน มองตน มีสัญชาติแห่งคนตรง" ไม่ย่อท้อต่อกิเลสตัวใด
เพราะถ้าเราไม่เห็นกิเลส ไม่รู้จักตัวเอง เราจะถูกกิเลสทำลาย ไม่สามารถพัฒนาตนเอง ให้พ้นกิเลสได้ และนี่คือ ค่าตอบแทนที่สูงค่า ของผู้ทำงานทุกคน
บุญนิยม สามารถจัดแบ่งลักษณะ ให้เห็นชัด ในการค้าขาย ๔ เป็นระดับ
ขั้นที่ ๑ ขายให้ต่ำกว่าราคาท้องตลาด มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ยังไม่ถือว่า เป็นบุญนิยม) เพียงแต่พอเป็นเครื่องอาศัย ตามความจำเป็นของชีวิต ซึ่งมีระดับความสันโดษ ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ถือว่า เป็นบุญนิยมทีเดียว
ขั้นที่ ๒ ขายเท่าทุน (เริ่มต้นบุญนิยมขั้นแรก) ยังไม่มีบุญ แต่ก็ไม่มีบาป ให้พออาศัยต่อทุน ทำงานต่อไป ถือว่าเป็นการเริ่มต้นบุญนิยม ขั้นแรก
ขั้นที่ ๓ ขายต่ำกว่าทุนที่ลงไป โดยอาจไม่รวมค่าแรง ค่าโสหุ้ยต่างๆ ค่าวัตถุดิบ ซึ่งผลิตเอง หรือเก็บจากธรรมชาติ ขายต่ำลงได้มากเท่าไร ก็เป็นบุญมากเท่านั้น
ขั้นที่ ๔ แจกฟรี เป็นการสังเคราะห์เกื้อกูลกันไป
บริษัท พลังบุญ จำกัด เปิดดำเนินงาน อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๐ ด้วยทุนจดทะเบียน ๕ ล้านบาท ถือเป็น แม่แบบ สากลของการค้าขาย ใน ระบบบุญนิยม ซึ่งปรากฏให้เห็นได้ ทั้งด้านรูปธรรม และด้าน "นามธรรม"
ด้าน รูปธรรม คือ การดำเนินกิจการค้า โดยมีเป้าหมาย เพื่อรับใช้สังคมทั่วไปอย่างเปิดกว้าง ไม่เลือกตัวบุคคล ผลประโยชน์ที่สังคมจะได้รับ คือ การได้ซื้อสินค้า ในราคาถูก และยุติธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจาก ความสำเร็จในการพัฒนาบุคลากร ของบริษัท
ด้าน นามธรรม คือ การพัฒนาปรับปรุงแก้ไขตัวตน ให้เกิดญาณปัญญา ในการ "ฝึกหัดตน" ให้มีความเสียสละ ซื่อสัตย์ ลดละกิเลสโลภ ขยัน สร้างสรร มีความประณีต และประหยัด โดยเน้นการฝึกกินอยู่อย่างเรียบง่าย กินน้อยใช้น้อย ไม่จำเป็นต้องมีรายได้สูง หรือ ไม่มีรายได้เลย โดยสละรายได้ เข้า "กองบุญนิยม" ซึ่งจะเป็นส่วนสร้าง ระบบสวัสดิการ ดูแลพนักงานภายในบริษัท
ต่อมาได้ก่อเกิด บริษัท (บุญนิยม) ตามมาอีก คือ บจ.แด่ชีวิต, บจ.ขอบคุณ ซึ่งปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๕๗) ได้ควบรวมทั้ง ๓ บริษัท (บจ.พลังบุญ, บจ.แด่ชีวิต, บจ.ขอบคุณ) แล้วจดทะเบียน จัดตั้งบริษัทขึ้นใหม่ ใช้ชื่อว่า บริษัทพลังบุญ (บุญนิยม) จำกัด เพื่อความเป็นปึกแผ่นของ ระบบบุญนิยม
ระบบบุญนิยม จึงคือการประกอบกิจการ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ค้ากำไรเกินควร ผลประโยชน์ทางการค้า จะต้องหมุนเวียน กลับคืนมาสู่ลูกค้า เป็นระบบ ที่จะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อ 'มนุษย์มีความเจริญทางปัญญาสูงสุด ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า' คือ จะต้องลดละกิเลสโลภ โกรธ หลง และรู้จัก เสียสละ เป็น มนุษย์พัฒนา หรือเรียกว่า มนุษย์วรรณะ ๙ ที่มีความขยันหมั่นเพียร มักน้อยสันโดษ ไม่สะสม ซึ่งจะพัฒนาได้มากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับ คุณภาพและคุณธรรมของบุคคล
สมณะโพธิรักษ์ และชาวอโศก เชื่อมั่นว่า คุณค่าที่มนุษย์ควรจะได้รับ เป็นทรัพย์ติดตัวไปอย่างแท้จริง คือ "อาริยทรัพย์" ที่ต้องเสียสละให้ได้จริงๆ ลดละกิเลสให้มากที่สุด ด้วยการทาน บริจาคออกไป ช่วยเหลือเกื้อกูล โดยมีหลักว่า
ผลได้ น้อยกว่าต้นทุน เรียกว่า กำไรอาริยทรัพย์
ผลได้ เท่ากับต้นทุน เรียกว่า เสมอทุน
ผลได้ มากกว่าต้นทุน เรียกว่า ขาดทุน, เป็นหนี้
๏ ลักษณะ บุญนิยม ที่สมบูรณ์ ๑๑ ประการ คือ
๑. ทวนกระแส (คนละทิศกับ ทุนนิยม)
๒. ต้องเข้าเขตโลกุตระ
๓. ทำได้ยาก (ยกเว้นผู้มีบารมีจริง) แม้ยากก็ต้องทำ
๔. เป็นไปได้ (ไม่ใช่ฝันเฟื่อง)
๕. เป็นสัจธรรม (ของจริงแท้สำหรับมนุษย์และสังคม)
๖. กำไร ของชาวบุญนิยม ที่เรียกว่า รายได้ หรือ ผลประโยชน์ ก็คือ สิ่งที่ให้ออกไป คุณค่าที่ได้ สละจริง เพื่อผู้อื่น เพื่อมวลมนุษย์และสัตวโลกทั้งหลาย จึงเรียกว่า บุญ
๗. สร้าง คน ให้ประสบผลสำเร็จเป็นหลัก
๘. ต้องศึกษาฝึกฝนกันจน จิตเกิด-จิตเป็น เรียกว่า บรรลุธรรม ตามลำดับ จึงชื่อว่าเป็น ผลสำเร็จจริง
๙. ความร่ำรวยอุดมสมบูรณ์ ไม่อยู่ที่ส่วนบุคคล แต่อยู่ที่ ส่วนรวม หรือ ส่วนกลาง
๑๐. เชิญชวนให้มาดูได้ หรือพิสูจน์ได้ ดุจเดียวกับพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
๑๑. จุดสัมบูรณ์ คือ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ
สมณะโพธิรักษ์
(จาก สรรค่าสร้างคน โดย อโศก ผลงานอันดับที่ ๒๕ ของกลุ่มสุดฝั่งฝัน. น. ๑๖-๑๗)
๓.๑ อุดมคติแห่งบุญนิยม
บุญนิยม เป็นอุดมคติที่ สมณะโพธิรักษ์ ต้องการปลูกฝัง หยั่งลงในสังคม เพื่อสร้างให้เป็นวัฒนธรรม ประเพณี เหมือนชาวอินเดีย ที่ไว้หนวดเครา ไว้ผมยาว กันมาตลอด ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าสังคมจะเปลี่ยนแปลงทางแฟชั่น เป็นอย่างใด ชาวอินเดียก็ยังรักษาหนวดเครา และ ผ้าโพกผมยาวอยู่บนศีรษะ มาโดยตลอด
ระบบ บุญนิยม มี "ฐานะ๔" คือ นักบวช นักบริหาร นักบริการ และนักผลิต เป็นองค์ประกอบสำคัญ
นักผลิต เป็นฐานะที่ สมณะโพธิรักษ์ ให้ความสำคัญอันดับแรก เพราะชาวไร่ชาวนา เป็นผู้สร้างอาหารเลี้ยงโลก แม้พระศาสดายังได้ตรัสไว้ว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก นอกจากนี้ ท่านยังมีเจตนารมณ์ นำพาชาวอโศก มาเป็นชาวไร่ชาวนา ในระบบกสิกรรมธรรมชาติ เพราะเป็นงานบุญ มากกว่าอาชีพอื่นๆ
ดังนั้น ค่านิยม ที่ยิ่งเหยียดหยามชาวไร่ชาวนา, กรรมกร ต่ำลงๆ เท่าใด ค่าแท้ ของชาวไร่ชาวนา, กรรมกร ยิ่งสูงจริงขึ้นๆ มากเท่านั้น
นักบริการ หรือผู้ทำการค้า สมณะโพธิรักษ์ ได้ให้หลักการค้าใน ระบบบุญนิยม ไว้ว่า
๑. ต้องพยายามขายให้ต่ำกว่าราคาตลาด ให้ได้มากยิ่งขึ้นๆ ที่สุด
๒. หากสามารถขายได้เท่าทุนยิ่งดี
๓. ถ้าสามารถขายได้ต่ำกว่าราคาทุน ก็จะได้บุญ เป็นกำไรอริยะเพิ่มขึ้น
๔. ยิ่งสามารถให้ฟรีได้เลย! โดยที่ตัวเองก็สามารถอยู่ได้ ก็ยิ่งเป็นความยอดเยี่ยมสูงสุด ของมนุษย์ ใน ระบบบุญนิยม เลยทีเดียว
นักบริหาร หรือนักปกครอง, นักการเมือง สมณะโพธิรักษ์ แบ่งไว้เป็น ๓ ระดับ คือ
๑. การเมืองปุถุชน
๒. การเมืองกัลยาณชน
๓. การเมืองอาริยชน
การเมืองระดับอาริยชน คือ การเมืองที่เป็นโลกุตระ
นักการเมืองต้องมีคุณธรรมถึงขั้น อริยบุคคล ไม่เป็นทาสของโลกธรรม (ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข) อย่างมั่นคงจริงใจ
ตามฐานะแห่งความเป็น อริยะ จริงนั้นๆ (ทำได้มากได้น้อย
ตามฐานะแห่งภูมิธรรม ของนักการเมืองแต่ละคน) ซึ่งจะต้องมีความเป็นอยู่ ที่ยากจนกว่า นักบริหาร และ นักผลิต
นักบวช นั้น สมณะโพธิรักษ์ เตือนให้ระวังอันตรายจาก เสือ ๒ ตัว คือ สตรี และ สตางค์ ทึ่ต้องบริสุทธิ์สะอาด จาก ๒ สิ่งนี้ และ มีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่อยู่แบบฤๅษีหนีโลก นักบวชในพุทธศาสนา จะต้องมี มรรคองค์ ๘ เป็นเครื่องดำเนินชีวิต เพื่อยังประโยชน์ตน - ประโยชน์ท่าน ให้สมบูรณ์ โดยมีสัมมากัมมันตะ และ สัมมาอาชีวะ (มีการงานที่เป็น สัมมาทิฏฐิ คุ้มค่าข้าวค่าน้ำของผู้ถวาย)
(สรุปจาก สารอโศก อันดับที่ ๑๕๕. บันทึกจากปัจฉาสมณะ มิ.ย.-ก.ค. ๒๕๓๕. หน้า ๒๒-๒๓)
๓.๒ กิจการงานแห่งบุญนิยม
กิจการงานใน "ระบบบุญนิยม" มีลักษณะ "พึ่งตนเอง" ตามทฤษฎี เศรษกิจพอเพียง จนเป็นศูนย์ศึกษาเรียนรู้ ด้านชุมชนเข้มแข็ง (ไม่เป็นทาสบริโภคนิยม และทุนนิยม) โดยมีกิจกรรมหลักของ "บุญนิยม ๑๒ ประการ" คือ
๓.๒.๑ ศาสนาบุญนิยม
ประกอบด้วย ๘ องค์กร คือ มูลนิธิธรรมสันติ, กองทัพธรรมมูลนิธิ, สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม, ธรรมทัศน์สมาคม, มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน, สมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขา, สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม (นศ.ปธ.) และมูลนิธิบุญนิยม
๓.๒.๒ ชุมชนบุญนิยม
ประกอบด้วย พุทธสถาน, ชุมชน, องค์กรต่างๆ และกิจการงานใน ระบบบุญนิยม
๓.๒.๓ การศึกษาบุญนิยม
มีปรัชญาการศึกษาว่า ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ประกอบด้วย
- โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก (สส.สอ)
- โรงเรียนสันติบาล (ระดับอนุบาล- ประถมศึกษา) ขึ้นอยู่กับ โรงเรียนสัมมาสิกขา ศีรษะอโศก (สส.ศ.)
มีปรัชญาการศึกษาว่า ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา ประกอบด้วย
- วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม (ว.บบบ.)
๓.๒.๔ การบริโภคบุญนิยม ประกอบด้วย
- ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาจตุจักร (ชมร.กทม.)
- ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาหน้าสันติอโศก (ชมร.สตอ.)
๓.๒.๕ พาณิชย์บุญนิยม ประกอบด้วย
- บริษัท พลังบุญ (บุญนิยม) จำกัด ผลิตและจำหน่ายสินค้าชาวอโศก รวมทั้งสินค้าจาก วิสาหกิจชุมชน ทุกภาคทั่วประเทศ โดยส่งเสริมสนับสนุน สินค้าพืชไร่ไร้สารพิษ -ปลอดสารพิษ
- ร้านกู้ดินฟ้า ๑ จำหน่าย พืชผักและผลไม้ไร้สารพิษ จากเครือแห กสิกรรมไร้สารพิษ
- สำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาอโศก
๓.๒.๖ กสิกรรมบุญนิยม ประกอบด้วย
- เครือแหกสิกรรมไร้สารพิษแห่งประเทศไทย (คกร.)
- สวนบุญผักพืช คลอง ๑๓ จ.ปทุมธานี
สมณะโพธิรักษ์ ให้ความสำคัญในเรื่อง กสิกรรม อย่างยิ่ง ท่านได้กล่าวไว้ว่า มีเพียง ๓ อาชีพนี้เท่านั้น ที่จะกอบกู้มวลมนุษยชาติได้ คือ
กสิกรรมธรรมชาติ / ขยะวิทยา / ปุ๋ยสะอาด
ซึ่งเขียนเป็นภาพวงจรได้ ดังนี้

วงจรที่สมบูรณ์ของ "สามอาชีพ เพื่อมนุษยชาติ"
โดยเฉพาะประเทศไทย เป็นประเทศที่มีภูมิอากาศ เหมาะอย่างยิ่งในการทำกสิกรรม ท่านจึงเน้นย้ำให้ชาวอโศก ต้องเป็นหลักในเรื่องของ กสิกรรมธรรมชาติ (ไร้สารพิษ) เพราะ อาหารเป็นหนึ่ง ในโลก ซึ่งมีหลักอยู่ ๓ ประการ คือ
๑. ไม่ไถพรวนดิน
๒. ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี
๓. ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง
หัวใจ ของการทำกสิกรรมธรรมชาติ คือ การบำรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ก่อน เพราะดินที่ไม่ดีนั้น คือดินป่วย ผลผลิตที่ได้มาก็ไม่สมบูรณ์ ผู้บริโภคก็จะป่วยด้วย เรียกว่า sick soil sick plant sick people ดินป่วย - ผักป่วย คนก็ป่วย ดังนั้น ความอุดมสมบูรณ์ของ ดิน ก็คือ ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ และท่านได้ชี้ให้เข้าใจถึง ปรัชญาธรรมชาติ ว่า พึ่งตนเอง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สร้างสิ่งแวดล้อม เอื้อเฟื้อพี่น้อง
๓.๒.๗ อุตสาหกิจชุมชนบุญนิยม ประกอบด้วย
- บริษัท พลังบุญ (บุญนิยม) จำกัด สำนักงานสาขาที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำยาทำความสะอาด และยาสมุนไพร ใช้ทาภายนอก เพื่อใช้ภายในชุมชนเป็นหลัก ต่อมาได้ผลิตจำหน่าย (ในราคาบุญนิยม) ตามความต้องการของผู้บริโภคด้วย
๓.๒.๘ การเมืองบุญนิยม
มีคำขวัญว่า เศรษฐกิจพึ่งตน ชุมชนเข้มแข็ง ประชามีธรรม ประเทศมีไท
๓.๒.๙ ศิลปวัฒนธรรมบุญนิยม
ความหมายของ ศิลปะ ในวัฒนธรรมของชาวอโศก คือ ส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจศิลปะ ว่าเป็น มงคลอันอุดม เป็นเหตุที่ก่อให้เกิด ความประเสริฐแก่มนุษย์ นำพามนุษย์ไปสู่ความเจริญอันสูงสุด ซึ่งมีทั้ง สุนทรียศิลป์ และ แก่นศิลป์ โดยใช้ ศิลปะ เพื่อสร้างสรร
สุนทรียศิลป์ หมายถึง สิ่งที่สร้างที่ประกอบขึ้น เพื่อชี้ชวนให้คนสนใจ เพื่อไปเอา แก่นศิลป์ หรือเอา 'สาระ' ไม่ว่าจะเป็ การวาด การเขียน การปั้น วรรณกรรม ท่าทาง ลีลาฯ จะชี้ชวน เพื่อนำไปสู่สารประโยชน์ อันเป็นคุณค่าที่แท้จริงแก่มนุษย์ ไม่ใช่เป็นมหรสพมอมเมา หรือเป็นอนาจาร เช่น ภาพเขียนโป๊เปลือย ที่คนดูภาพแล้ว เกิดการลดราคะได้ ก็เป็นศิลปะ แต่หากดูแล้วเกิดราคะ ก็เป็นอนาจาร
งานศิลปะดังกล่าว สามารถมองเห็นเป็นรูปธรรมได้จาก วิหารพันปี เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ
๓.๒.๑๐ การสื่อสารบุญนิยม
มีคำขวัญว่า สื่อสร้างสรร ขยันช่วยสังคม ระดมบุญคุณธรรม ประกอบด้วย
- บริษัท ฟ้าอภัย จำกัด, สำนักพิมพ์กลั่นแก่น, กลุ่มสุดฝั่งฝัน เป็นแหล่งผลิตหนังสือธรรมะ เพื่อเผยแพร่เป็นหลัก มีสโลแกนว่า "เราจะพิมพ์หนังสือธรรมะให้ท่วมโลก" โดย "สมณะโพธิรักษ์" มีความเห็นว่า โลกขาดแคลนธรรมะ ทั้งที่ธรรมะ เป็นอาหารอันวิเศษสำหรับมนุษย์ แต่คนกลับไม่เห็นคุณค่า ไม่ตั้งใจแสวงหา
- ธรรมปฏิกรรม, แผนกธรรมโสต, แผนกธรรมรูป, แผนกธรรมปฏิสันถาร, แผนกธรรมปฏิสัมพันธ์
- ห้องสมุดสำหรับประชาชน สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม (ห้องสมุดสันติอโศก) แม้จะมีหนังสือธรรมะเป็นหลัก เพราะพุทธศาสนา สอนให้เราเป็นผู้อยู่เหนืออำนาจโลกีย์ (โลกุตระ) รู้เท่าทันโลก (โลกวิทู) พร้อมเกื้อกูลโลก (โลกานุกัมปายะ) จึงเป็นแหล่่งศึกษาธรรมะ และสนับสนุนงานผลิตหนังสือธรรมะ แต่ก็มีหนังสือวิชาการอื่นๆ ที่ไม่ไกลตัวมากๆด้วย ดังที่สมณะโพธิรักษ์ได้อธิบายว่า ห้องสมุดต้องมีหนังสือศาสนา และวิชาการอื่นๆ ผู้ที่เห็นว่าห้องสมุดวัด ควรมีแต่หนังสือศาสนาเท่านั้น เป็นคนมีความคิดแคบ ไม่เกิดประโยชน์ตนประโยชน์ท่านสมบูรณ์ ศาสนาพุทธต้องเป็นโลกวิทู
รู้โลก ไม่ใช่ปิดโลกหนีโลก ถ้าเป็นวิทยาการไกลตัวมากๆ เราก็รู้ แต่ไม่ต้องสนใจมาก เท่าเรื่องใกล้ตัว
- คลังเสียง, อินเทอร์เน็ตอโศก
- สถานีโทรทัศน์ "บุญนิยมทีวี" (Boonniyom TV) ดำเนินงานโดย "มูลนิธิบุญนิยม"
มีคำขวัญว่า ทุกบรรยากาศ รายงานความจริง (Truth Media)
เริ่มทดลองแพร่ภาพ ส่งสัญญาณผ่านดาวเทียมไทยคม เมื่อ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๗
ออกอากาศ ๒๔ ชั่วโมง มีรถ OB พร้อมถ่ายทอดสดเคลื่อนที่ บริการ สื่อบุญนิยม เพื่อสาธารณประโยชน์ โดยไม่มีการโฆษณาสินค้าใดๆ
ดำเนินงาน ด้วยทุนสนับสนุน จาก สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ (สขจ.) และ จากการบริจาคผ่าน มูลนิธิบุญนิยม พร้อมด้วย แรงงานฟรี จากจิตอาสาทุกท่าน
อนึ่ง "บุญนิยม ทีวี (Boonniyom TV)" นี้เดิมคือ สถานีโทรทัศน์ เพื่อแผ่นดิน FE.TV (For The Earth) ดำเนินงานโดย บริษัทถอยหลังเข้าครรลอง จำกัด ซึ่งออกอากาศเมื่อ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๐
ต่อมามีกลุ่มการเมือง นำไปตั้งชื่อพรรค (พรรคเพื่อแผ่นดิน) ประจวบกับเป็นจังหวะ ที่จะปรับปรุงสถานีใหม่หมด จึงไปเปลี่ยนชื่อเป็น สถานีโทรทัศน์ เพื่อมนุษยชาติ FMTV (For Mankind Television) และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัทเดินหน้าฝ่ามหาสมุทร จำกัด ออกอากาศเมื่อ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ต่อมาในปี ๒๕๕๗ ก็ได้ยกเลิกบริษัทนี้ไป เป็นการดำเนินงานโดย มูลนิธิบุญนิยม ดังกล่าว
๓.๒.๑๑ สุขภาพบุญนิยม ประกอบด้วย
- หน่วยคัดกรองสินค้า
- กลุ่มงานการพัฒนาระบบสุขภาพชาวอโศก (คลินิกทันตกรรม, บ้านสุขภาพ)
- ชมรมผู้อายุยาว
๓.๒.๑๒ สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ
สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ (สขจ.) : Institute of Ethical Waste Management เป็นองค์กรทางเศรษกิจ สังคม ศาสนา ภายใต้การกำกับดูแล ของมูลนิธิบุญนิยม ก่อเกิดพร้อมกับการเปิดตัวของ โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ FMTV (For Mankind Television) เมื่อเดือน เมษายน ๒๕๕๐ ซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อว่า โทรทัศน์เพื่อแผ่นดิน FETV (For The Earth) และปัจจุบันคือ บุญนิยมทีวี (Boonniyom TV) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อนำรายได้ ที่เกิดจากกิจกรรม ไปเป็นทุนในการดำเนินงาน
จากรากเหง้าเดิมที่ สมณะโพธิรักษ์ ได้กำหนดแนวทางสำคัญ สำหรับชาวอโศก คือ ๓ อาชีพเพื่อมนุษยชาติ (กสิกรรมไร้สารพิษ, ปุ๋ยสะอาด, ขยะวิทยา) ดังได้กล่าวมาแล้วนั้น
"สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ" จึงมีการจัดการอย่างเป็นระบบ ระเบียบ เพื่อสร้างรายได้ โอบอุ้มกิจกรรมของ โทรทัศน์ เพื่อมนุษยชาติ FMTV (For Mankind Television) และ เพื่อปลุกฟื้น จิตวิญญาณมนุษยชาติ สู่เป้าหมายหลัก "ขยะวิทยา"
เป้าหมายหลัก ๕ ประการของ ขยะวิทยา คือ
๑. เพื่อกำจัดขยะทางวัตถุ และ ขยะทางจิตวิญญาณ
๒. เพื่อจัดสรรสิ่งที่เหลือใช้ส่วนเกิน ให้เกิดประโยชน์สูง ประหยัดสุด
๓. เพื่อส่งเสริมให้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างมีคุณค่า
๔. เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้สมดุล
๕. เพื่อส่งสริมอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาให้ยิ่งๆ ขึ้น
การดำเนินกิจกรรม
๑. รับบริจาคของเก่าที่ไม่ใช้ ของใหม่ที่เกินจำเป็น นำมาแปรเป็นทุน สนับสนุน Boonniyom TV โดยจัดจำหน่ายที่ ร้านดินอุ้มดาว เป็นการขายปลีก และ ที่โกดังของ สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ (สขจ.) เป็นการขายส่ง
๒. ส่งเสริมและเผยแพร่กิจกรรมของ สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ (สขจ.) ผ่านสื่อ Boonniyom TV ในรายการ ดินอุ้มดาว และบทความ ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ของชาวอโศก (วารสารสารอโศก, ดอกหญ้า, ดอกบัวน้อย, นสพ. เราคิดอะไร)
๓.๓ หลักการแห่งบุญนิยม
นโยบายการค้า
๑. ขายถูก ๒. ไม่ฉวยโอกาส ๓. ขยัน อุตสาหะ ๔. ประณีต ประหยัด
หลักการตลาด
๑. ขายของที่ดี ๒. ราคาถูก ๓. ซื่อสัตย์ ๔. มีน้ำใจ ๕. ขายสด งดเชื่อ (เครดิตเหนือเครดิต)
อุดมคติ
๑. ขายถูกกว่าตลาด ๒. ขายเท่าทุน ๓. ขายต่ำกว่าทุน ๔. แจกฟรี
อุดมการณ์
๑. แรงงานฟรี ๒. ปลอดหนี้ ๓. ไม่มีดอกเบี้ย ๔. เฉลี่ยทรัพย์เข้ากองบุญ

๔. ประวัติ ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก
เมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๔๐ ชาวชุมชนฯ และผู้ที่ปฏิบัติธรรม อยู่ประจำพุทธสถานฯ ในฐานะต่างๆ คือ อาคันตุกะจร (ผู้มาปฏิบัติพักค้าง เป็นครั้งคราว), อาคันตุกะประจำ (ผู้มาปฏิบัติพักค้าง เป็นประจำ), อารามิก (ผู้สมัครอยู่วัดฝ่ายชาย), อารามิกา (ผู้สมัครอยู่วัดฝ่ายหญิง) ได้ประชุมร่วมกัน ณ ศาลาส่วนกลาง ของพุทธสถานฯ รวม ๕๘ คน โดยมีนักบวช ๕ รูปเป็นประธาน
นับเป็นการเริ่มต้นของการรวมกลุ่ม เพื่อความสมานสามัคคี สร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ทำให้ได้ทราบทุกข์สุข ตลอดจนปัญหา ความเป็นไปของการทำงาน ในหน่วยงาน และองค์กรต่างๆ อันเป็นกิจการใน ระบบบุญนิยม ดังได้กล่าวมาแล้ว รวมถึงชาวชุมชนฯ ผู้พักอาศัยอยู่ใกล้พุทธสถานฯ ด้วย
ตั้งแต่นั้นมา ก็มีการประชุมชุมชนฯ เป็นประจำทุกเดือน โดยมี สมณะโพธิรักษ์ เป็นประธาน
ต่อมา ปี ๒๕๔๔ จึงได้จัดตั้งเป็น ชุมชน ขึ้นอย่างเต็มรูป และเนื่องจาก เรามีวิถีชีวิตอย่าง ระบบบุญนิยม ดังกล่าว เราจึงเรียกชื่อว่า ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก เช่นเดียวกับ ชุมชนบุญนิยมอื่นๆ ของชาวอโศก อาทิ ชุมชนบุญนิยมปฐมอโศก, ชุมชนบุญนิยมศีรษะอโศก, ชุมชนบุญนิยมราชธานีอโศก เป็นต้น แม้ปัจจุบัน มักเรียกขานกันเพียงสั้นๆ ว่าชุมชนสันติอโศก, ชุมชนศีรษะอโศก ฯลฯ ก็ตาม
ชาวชุมชนบุญนิยมสันติอโศก มิได้จำกัดขอบเขตเฉพาะ ผู้ปฏิบัติธรรม ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงพุทธสถานฯ เท่านั้น แม้ญาติธรรมในกรุงเทพฯ ที่มาฟังธรรม มาร่วมกิจวัตร กิจกรรม ตามแนวคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (อาริยมรรค มีองค์ ๘) ซึ่งมาพักค้างเป็นครั้งคราว และมีความตั้งใจจริง ในการวิรัติตน ด้วยการ ถือศีล ๕ ละอบายมุข รับประทานอาหารมังสวิรัติ ก็ถือเป็นสมาชิก ของชุมชนบุญนิยมสันติอโศก ด้วยเช่นกัน
๔.๑ สาธารณโภคี : เป้าหมายและนโยบายของ ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก
ชาวชุมชนฯ อยู่กันอย่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูล โดยมีระบบส่วนกลาง เรียกว่า สาธารณโภคี คือ เฉลี่ยแบ่งปัน ตามหลัก สาราณียธรรม ๖ คือมี เมตตากายกรรม. เมตตาวจีกรรม, เมตตามโนกรรม, สาธารณโภคี, ศีลสามัญญตา (มีศีลเสมอกัน โดยผู้มีคุณธรรมสูง ย่อมมีความเข้าใจ และเมตตาต่อผู้มีคุณธรรมต่ำกว่า ส่วนผู้มีคุณธรรมต่ำกว่า ก็พึงเคารพรัก ผู้มีคุณธรรมสูงกว่า) และ ทิฏฐิสามัญญตา (มีความเห็นสอดคล้องกัน เป็นหนึ่งเดียว) อันเป็นคุณธรรมของการอยู่ร่วมกัน สร้างความเป็นพ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน (ญาติธรรม) ที่พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้
ชาวอโศก จึงมีหลักปรัชญาว่า : -
- พึ่งตนเองได้
- สร้างสรร
- ขยัน อดทน
- ไม่เอาเปรียบใคร ตั้งใจเสียสละ
การอยู่กันด้วย สาราณียธรรม ๖ ทำให้เกิดอานิสงส์ หรือเกิดผลตาม พุทธพจน์ ๗ คือ มีความระลึกถึงกัน, รักกัน, เคารพกัน, สงเคราะห์กัน, ไม่วิวาทกัน, สมานสามัคคีกัน เป็นเอกีภาวะ หรือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อ ๒๘๒-๒๘๓)
จึงเปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ พึ่งพาอาศัย ช่วยเหลือดูแลกันยามเจ็บป่วย แม้ไม่มีทรัพย์สมบัติและเงินเดือน ที่เป็นรายได้ส่วนตัวเลย
ธุรกิจการค้าภายในชุมชนฯ อันเป็น บุญนิยม มีจุดมุ่งหมายเพื่อบริการสมาชิก ในชุมชนฯ เป็นหลัก แต่ก็ได้รับความนิยมจากประชาชน ในสังคมเสมอมา ทั้งเพิ่มขึ้น เจริญขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราไม่เอาเปรียบผู้บริโภค และมิได้มุ่งเอากำไรสูงสุด เป็นเป้าหมาย
อนึ่ง ชุมชนบุญนิยมสันติอโศกมี หน่วยคัดกรองสินค้า เพื่อให้สินค้าที่ผลิต มีคุณภาพดี ไม่เป็นพิษไม่เป็นภัย ทำให้ประชาชนเชื่อถือไว้วางใจ
ด้วยเหตุนี้ชาวชุมชนฯ จึงมีเศรษฐกิจสัมพันธ์กับสังคม อย่างเจริญดี อย่างมีคุณภาพ
กิจวัตรประจำวัน ของชาวชุมชนบุญนิยม สันติอโศก
๐๓.๓๐ น.- ๐๕.๐๐ น. ทำวัตรเช้า สวดมนต์และฟังธรรม จากสมณะ ผู้เป็นประธาน ในแต่ละวัน
๐๕.๐๐ น.- ๐๕.๓๐ น. นักเรียนสัมมาสิกขาฯ มาทำวัตรเช้า
๐๕.๐๐ น.- ๐๘.๔๕ น. แยกย้ายกันไปทำงานในฐานงาน ที่รับผิดชอบ
๐๕.๕๐ น.- ๐๗.๓๐ น. สมณะ สามเณร และสิกขมาตุ ออกบิณฑบาต
๐๘.๓๐ น.- ๑๑.๐๐ น. ฟังธรรม แล้วรับประทานอาหารร่วมกัน ระหว่างนี้มีวิดีทัศน์ รายการที่น่าสนใจให้ชม หรือมีการแจ้งเรื่องราว ที่ต้องรับทราบร่วมกัน
๑๑.๐๐ น.- ๑๖.๓๐ น. แยกย้ายกันไปทำงาน ในฐานงานที่รับผิดชอบ
๑๘.๐๐ น.- ๒๐.๐๐ น. ศีกษาธรรมะจากรายการ สงครามสังคม ธรรมะการเมือง สมณะโพธิรักษ์ และคณะ
๑๘.๐๐ น.- ๑๙.๓๐ น. เฉพาะวันอาทิตย์ วิปัสสนาจอแก้ว (ชมวีดิทัศน์ ที่ผ่านการตรวจสอบจากสมณะแล้ว)
โดยมีหลักการดู ๔ ประการคือ
๑. เกิดอริยญาณ ๒. ทำการปฏิบัติ ๓. อัดพลังกุศล ๔. ฝึกฝนโลกวิทู เพิ่มพหูสูต
๒๑.๐๐ น. เข้านอนไม่เกิน ๓ ทุ่ม
๔.๒ งานประจำปีของชาวอโศก
๔.๒.๑ งานวันโพชฌังคาริยสัจจายุ วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม (ว.บบบ)
ณ ชุมชนบุญนิยมราชธานีอโศก จัดช่วงปลายเดือนธันวาคม ถึงต้นเดือนมกราคม รวม ๗ วัน
๔.๒.๒ งานฉลองหนาวธรรมชาติอโศก
ณ ชุมชนบุญนิยม ภูผาฟ้าน้ำ จัดช่วงปลายเดือนมกราคม รวม ๒ วัน มีจุดมุ่งหมาย ให้ชาวอโศกได้ไปพักผ่อน เที่ยวชมธรรมชาติ ได้ผ่อนคลาย หลังจากทำการงานมา ตลอดทั้งปี และมีโอกาสพบปะ คบคุ้นกันมากยิ่งขึ้น
ในงานมีการแข่งขัน กีฬาอาริยะ เช่น แข่งเก็บผักป่า, สีข้าวด้วยมือ (ตำข้าว), ผ่าฟืน เป็นต้น
๔.๒.๓ งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์
ณ พุทธสถานศาลีอโศก จัดช่วงวันมาฆบูชา ราวเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม รวม ๗ วัน เพื่ออบรมบำเพ็ญธรรม "สติปัฏฐาน ๔"
๔.๒.๔ งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ
ณ พุทธสถานราชธานีอโศก จัดช่วงต้นเดือนเมษายน รวม ๗ วัน เพื่ออบรมบำเพ็ญธรรม "สติปัฏฐาน ๔" เช่นเดียวกับ งานพุทธาภิเษกฯ
๔.๒.๕ งานตลาดอาริยะปีใหม่อโศก
ณ ชุมชนบุญนิยมราชธานีอโศก จัดช่วงกลางเดือน เมษายน ซึ่งตรงกับ ปีใหม่ไทย หรือ สงกรานต์
๏ วัตถุประสงค์ของการจัดงาน ตลาดอาริยะ คือ
๑. รักษาประเพณีการบิณฑบาต
๒. ช่วยกันสร้างตลาดอาริยะ (ขายต่ำกว่าทุน)
๓. ฟังสัจจะสาระจากปฏิบัติกร
๔. ฝึกตื่นนอนแต่เช้า
๕. ชาวเราได้ร่วมสังสรรค์
๖. ช่วยกันทำงาน
๗. เบิกบานใจและผ่อนคลาย
๏ อุดมการณ์ของตลาดอาริยะ
๑. กำไรของชีวิต คือ การให้ และการเสียสละ
๒. สินค้าที่ขาย ต้องขายต่ำกว่าทุน (ตั้งใจขาดทุน นั่นคือ เสียสละ)
๓. เจตนาให้ผู้ซื้อสินค้า ได้แสดงน้ำใจ เปิดโอกาสให้ผู้อื่น ซื้ออย่างแบ่งปัน ไม่โลภ
อาริยะ หมายถึง วัฒนธรรมของผู้เจริญ, ผู้ประเสริฐ อันเป็นความเจริญทาง จิตวิญญาณ
ตลาดอาริยะ จึงเป็นที่จำหน่ายสินค้า ของผู้ที่ตั้งใจผลิต เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกอย่าง เสียสละ จริงๆ เท่าที่สามารถทำได้ ตามฐานานุฐานะ ของแต่ละบุคคล (ยิ่งขายต่ำกว่าทุน ได้มากเท่าไร ก็ยิ่งได้ กำไรอาริยะ มากเท่านั้น) จึงต้องเป็น ผู้มีเลือดแห่งการเสียสละอย่างแท้จริง และมีเลือดแห่งการสร้างสรร ที่แข็งแรงพอ การเอาผลผลิตของคนอื่น มาเสียสละนั้น ไม่ได้ผลเต็มที่ เท่าผลิตจากแรงกาย และหยาดเหงื่อของเราเอง โดยหัดเป็นผู้มักน้อย สันโดษ ไม่สะสม ไม่เกียจคร้าน สะพัดส่วนที่เหลือออกไป อย่างตั้งใจเสียสละ อย่างมั่นใจ ในความขยันหมั่นเพียร และในสมรรถนะของเรา
๔.๒.๖ งานโฮมไทวัง
ณ ชุมชนหมู่บ้านราชธานีอโศก หรือ ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก ตามความเหมาะสมขณะนั้น โดยจัดวันที่ ๖-๗ มิถุนายน เป็นงานที่มีความสำคัญ ดังนี้
๑.
ครบรอบวันเกิดของพ่อครู สมณะโพธิรักษ์ (๕ มิถุนายน ๒๔๗๗)
๒.
เป็นวันน้อมรำลึกถึง พระคุณของพระโพธิสัตว์
๓. เป็นวันสิ่งแวดล้อมโลก
๔.๒.๗ งานบัณฑิตศิษย์เก่า
ณ ชุมชนหมู่บ้านราชธานีอโศก หรือ ชุมชนบุญนิยม สันติอโศก หรือชุมชนของชาวอโศก แห่งใดแห่งหนึ่ง ตามความเหมาะสม ในขณะนั้นๆ จัดวันที่ ๘ มิถุนายน เป็นวันที่บรรดา ศิษย์เก่า จากมหาวิทยาลัยต่างๆ มาพบปะ และรับธรรมะจาก สมณะโพธิรักษ์
๔.๒.๘ งานอโศกรำลึก บูชาพระบรมสารีริกธาตุ
ณ ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก หรือชุมชนหมู่บ้านราชธานีอโศก ตามความเหมาะสมในขณะนั้นๆ จัดวันที่ ๙-๑๐ มิถุนายน เป็นวันที่ชาวอโศก ทุกแห่ง มาร่วมรำลึก ด้วยการปฏิบัติบูชา และสักการะ พระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุฯ ที่บรรจุอยู่ในพระเจดีย์ทองคำ บนยอดโดมของ วิหารพันปี เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ
เนื่องจากปี ๒๕๓๙ นี้เป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ ทรงครองสิริราชสมบัติ เป็นปีที่ ๕๐ และ ในมหามงคลนี้ สมณะโพธิรักษ์ พร้อมด้วย ชาวอโศกทั้งมวล จึงร่วมฉลอง วันกาญจนาภิเษก ด้วยการถือเอา พระเจดีย์ทองคำ นี้ เป็นราชสักการะ แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
โดยเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๙ สมณะโพธิรักษ์ ได้พาหมู่สงฆ์และญาติธรรม ประกอบพิธีเฉลิมฉลอง พระบรมสารีริกธาตุฯ ที่บรรจุอยู่ใน พระเจดีย์ทองคำ บนยอดโดม ดังกล่าว วันที่ ๙ มิถุนายน ของปีต่อๆ มา จึงถือเป็น วันบูชาพระบรมสารีริกธาตุ
วันรุ่งขึ้นคือ ๑๐ มิถุนายน ก็จะเป็น วันอโศกรำลึก ซึ่งเป็นวัน ผนึกคุณธรรมสำคัญ ของชาวอโศกทั้งมวล ที่ตั้งใจปฏิบัติให้เกิดจริงเป็นจริง ตามความหมายของ วันอโศกรำลึก
วันอโศกรำลึก มีความหมาย ๑๗ ประการ คือเป็น
๑. วันส่วนตัว
๒. วันเล็กๆ น้อยๆ
๓. วันสะอาด
๔. วันเงียบ
๕. วันอบอุ่น
๖. วันสูญ
๗. วันอิ่ม
๘. วันอิสระ
๙. วันให้
๑๐. วันง่ายๆ
๑๑. วันจริงใจ
๑๒. วันกตัญญู
๑๓. วันสดชื่น
๑๔. วันรัก
๑๕. วันระลึกถึงพระคุณของบรรพชน
๑๖. วันรวมแก่น
๑๗. วันลึก
๔.๒.๙ งานคืนสู่เหย้าเข้าคืนรัง
จัดโดยนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม (นศ.ปธ.)
ณ ชุมชนสันติอโศก ช่วงปลายเดือน มิถุนายน รวม ๒ วัน
๔.๒.๑๐ งานบูชาบุพการี
ณ ชุมชนอโศกทั่วทุกแห่ง จัดในวันที่ ๑๒ สิงหาคม หรือวันที่ใกล้เคียง เพื่อรำลึกถึง พระคุณของบุพการี เนื่องในโอกาส วันแม่แห่งชาติ
๔.๒.๑๑ งานมหาปวารณา
ณ พุทธสถานปฐมอโศก ซึ่งผนวกเอางานวันเกิด ชุมชนบุญนิยม ปฐมอโศกไว้ด้วย จัดในช่วงต้นเดือน พฤศจิกายน รวม ๔ วัน โดย ๒ วันแรก เป็นวัน ประชุมปวารณา ของหมู่สงฆ์ และ ๒ วันหลัง เป็นวัน ตักบาตรเทโว และวันฉลอง วันเกิดชุมชนบุญนิยม ปฐมอโศก
มหาปวารณา คือการที่หมู่สงฆ์ชาวอโศก มาร่วมประชุม ชี้ข้อบกพร่องซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์บริบูรณ์ ได้ทบทวนการงาน ของปีที่ผ่านมา ทั้งกำหนด วางหลักเกณฑ์ และเป้าหมาย การทำงานในปีต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับ สภาวะความเป็นจริงของสังคม เป็นปัจจุบัน
๔.๒.๑๒ โรงบุญ ๕ ธันวามหาราช
ณ ชุมชนชาวอโศกทั่วทุกแห่ง โดยญาติธรรมทั่วทุกภาค ทุกชมชน ร่วมกันจัดขึ้น ในวันที่สะดวก ตลอดเดือนธันวาคม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาส วันเฉลิม พระชนมพรรษา ๕ ธันวามหาราช
๏ หลักการจัดโรงบุญฯ ของชาวอโศก
๑. เป็นอาหารมังสวิรัติเท่านั้น
๒. ไม่เรี่ยไรใดๆ ในวันจัดโรงบุญ นอกจาก นำผลไม้หรือวัตถุดิบ หรืออาหารมังสวิรัติมาร่วมแจก
๓. ไม่มีการซื้อขายใดๆ ในบริเวณโรงบุญ
๔. ผู้ให้พึงไหว้ผู้รับ
๔.๒.๑๓ งานคืนสู่เหย้าเข้าคืนถ้ำสัมมาสิกขา
ณ ชุมชนหมู่บ้านราชธานีอโศก จัดช่วงปลายเดือนธันวาคม รวม ๓ วัน เป็นการคืนสู่เหย้า ของศิษย์เก่าสัมมาสิกขา ทุกพุทธสถาน ได้กลับมารวมตัวกันอีก เพื่อรื้อฟื้นความหลัง, ดึงคุณธรรม, ดึงจิตวิญญาณเก่าๆ คืนมา, ได้สนทนากับสมณะ สิกขมาตุ, พบปะพูดคุย ทักทายถามไถ่ ขัดเกลากิเลสกันบ้าง อันจะเป็น ทรัพย์แท้ ติดตัวตลอดไป
๔.๓ สภาวะ ๕ ประการ
: ลักษณะของชาวอโศก, สภาพสัจธรรม ที่เหมาะที่สุดของมนุษย์
ด้วยวัฒนธรรมดังกล่าว ชาวชุมชนสันติอโศก จึงมีวิถีชีวิตที่เป็นไป ตาม "สภาวะ ๕ ประการ" คือ
๑.
อิสรเสรีภาพ (independence)
๒.
ภราดรภาพ (fraternity)
๓.
สันติภาพ (peace)
๔.
สมรรถภาพ (efficiency)
๕.
บูรณภาพ (integrity)
อิสรเสรีภาพ (Independence)
หมายถึง ความไม่เป็นทาสผู้อื่น ไม่เป็นทาสค่านิยมของสังคม และไม่เป็นทาสกิเลส ของตนเองด้วย จะรับใช้ผู้อื่น ก็รับใช้ด้วยความยินดีเอง รับใช้ในทางที่ดี และพาทำด้วย
ภราดรภาพ (Fratarnity)
คือ ความเป็นญาติพี่น้องทางธรรม ต่างมารวมเป็นกลุ่มหมู่ ที่แข็งแรง เหนียวแน่น แข็งแกร่งเหมือนหิน
สันติภาพ (Peace)
เป็นผลของอิสรเสรีภาพและสมรรถภาพ ของแต่ละบุคคล จึงเกิดภราดรภาพขึ้นมา ซ้อนเข้าไป ยิ่งเกิดอิสรภาพ สมรรถภาพ จึงเกิดบูรณภาพ ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกิดความเต็ม ความเจริญ เต็มแล้วโตๆๆ
สมรรถภาพ (Efficiency)
หมายถึง ความสามารถ สมรรถนะ คนที่มีความรู้ความสามารถสูง ลักษณะที่จำเป็นสำคัญ สามารถสร้างงานให้วิจิตร
บูรณภาพ (Integrity)
คือ เต็ม ทำให้เต็ม ทำให้เจริญมั่นคง ทำให้ได้สมบูรณ์ ทำทั้งปัจจัยสี่ และสิ่งประกอบธรรมะทั้งปวง
สภาวะ ๕ ประการดังกล่าว หมายถึง ความไม่ติดยึด ความเป็นอิสระ เหนือวัตถุทรัพย์ศฤงคาร ไม่หอบไม่หวง ทุกคนต่างมี อิสรเสรีภาพ (independence) ในการแบ่งปันกัน จนเกิดความเป็นพี่เป็นน้อง
นั่นคือเป็นภราดรภาพ (fraternity) และเมื่ออยู่กันอย่างพี่น้อง จึงเกิดความสงบสุข เป็นสันติภาพ (peace) ไม่แย่งชิงทรัพยากร ซึ่งความสงบสุขนี้ ทำให้เรามีเวลาเพียงพอ ที่จะมาสร้างสมรรถภาพ ให้กับตนเอง ด้วยความขยันขันแข็ง โดยชาวอโศก จะเป็นผู้ที่กินน้อยใช้น้อย ที่เหลือ จุนเจือสังคมอยู่แล้ว
จึงเป็นผู้มีสมรรถภาพ (efficiency) ที่ดี สามารถสร้างสรรกิจการงาน โดยไม่เข้าพกเข้าห่อของตนเอง แต่นำไปสู่ส่วนรวม ชุมชน สังคม ประเทศชาติ และ มวลมนุษยชาติ จนเกิดเป็นบูรณภาพ (integrity)
๔.๔ โครงการเข้าวัดปฏิบัติศีล ๘
โครงการเข้าวัดปฏิบัติศีล ๘ จัดครั้งแรก เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๖ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๔ โดยคณะสงฆ์ชาวอโศก เป็นผู้ดูแลอบรม
เป้าหมาย
๑. เพื่อพุทธศาสนิกชน ได้รู้จัก เข้าใจ คุ้นเคยพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น
๒. เพื่อปลูกฝังสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นเบื้องต้นของ มรรคองค์ ๘
๓. เพื่อฟื้นฟูสมาธิและการปฏิบัติธรรม ในระบบมรรคมีองค์ ๘ ให้แจ่มแจ้ง ชัดเจนมากขึ้น
๔. เพื่อเรียนรู้อยู่ร่วมกับมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ซึ่งเป็นสังคมพุทธบริษัท
๕. เพื่อสร้างจารีตประเพณี แนวทางอันดีไว้ให้เครือญาติ บุตรหลาน และอนุชน
๖. เพื่อผนึกพลังคนดีมีศีล ร่วมสร้างสังคมพุทธ สังคมเพื่อน หรือ สังคมกัลยาณมิตรสืบไป
แนวทางฝึกอบรม
๑. เน้นฟื้นฟูสุขภาพ และองค์ความรู้ดูแลตนเอง
๒. เน้นเสริมสร้างสุขภาพใจ ด้วยแนวธรรมคำสอน ของพระพุทธองค์
๓. ภาคปฏิบัติถือศีล ๘ ตื่นตีสาม กินอาหารมังสวิรัติ หนึ่งมื้อ เดินเท้าเปล่า ฝึกสติ
๔. ปฏิบัติกิจกรรมในงานสัมมาอาชีพของชุมชน คุ้นเคยกับสังคมศาสนา
๕. พบพระเกจิฯ ถามตอบข้อสงสัยทุกประเด็น, สนทนาธรรมเป็นกลุ่ม
ระยะเวลา
สามคืนสองวัน ตั้งแต่เย็นวันศุกร์ถึงย็นวันอาทิตย์
โดยเริ่มลงทะเบียนเวลา ๑๖.๓๐ น. ทั้งหมดพักที่สันติอโศก
เตรียมเครื่องนอน เช่น ผ้าห่มกันหนาว และกางเกงวอร์ม (สำหรับฝึกโยคะ) มาด้วย
ผู้เข้าอบรม และผู้สนใจปฏิบัติธรรม สามารถร่วมกิจกรรมได้ตลอด (ไม่เสียค่าใช้จ่าย)
ผู้ประสานงาน และรับผิดชอบโครงการ คือ สมณะกล้าจริง ตถภาโว
ผู้ดูแลและอนุมัติโครงการ คือ คณะสงฆ์พุทธสถานสันติอโศก
การสมัครเข้ารับการอบรม
สอบถามได้จากคณะทำงาน โครงการอุโบสถศีล หรือมาสมัคร เย็นวันศุกร์ เวลา ๑๖.๓๐ - ๑๘.๓๐ น. บริเวณใต้โบสถ์ สันติอโศก (เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ของกิจกรรม และได้ประโยชน์ในธรรม แบบเต็มๆ ทีมงานจะรับสมัครเฉพาะ ผู้ตั้งใจเข้าร่วมกิจกรรม ทุกโปรแกรม, การแต่งกาย เน้นสุภาพ เรียบร้อย)
เอกสารที่ใช้สมัคร
บัตรประจำตัวประชาชน และสำเนา หากรูปในบัตรไม่ชัด กรุณาส่งรูป ๑-๒ นิ้ว มาด้วย ๑ รูป
สอบถามรายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ ๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐

๕. การเข้าพักค้างที่สันติอโศก
ผู้ประสงค์จะมาพักในฐานะ อาคันตุกะ เพื่อศึกษาปฏิบัติ ทั้งชายและหญิง ต้องถือศีล ๘ เป็นอย่างต่ำ มีความสำรวมสังวร ให้ดูเหมาะสม พักค้างได้ไม่เกิน ๗ วัน
หากจะอยู่เกิน ๗ วัน ต้องแจ้งต่อหมู่สงฆ์ ในช่วงทำวัตรเช้า เรียกว่า วิกัปป์ เพื่อให้หมู่สงฆ์พิจารณาว่า สมควรให้อยู่ต่อไป ได้หรือไม่ หากเห็นสมควร ก็อยู่ศึกษาปฏิบัติ ได้ตามกฎระเบียบ และสามารถขอเลื่อนจาก อาคันตุกะจร เป็นอาคันตุกะประจำ เมื่อพร้อม และต้องการจะอยู่ศึกษา ปฏิบัติให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น
๕.๑ ผู้ที่ตั้งใจมาศึกษาปฏิบัติธรรม และอยู่เป็นประจำ
ผู้เข้าพักค้าง จะต้องถือศีล ๘ ให้ได้เป็นอย่างต่ำ ฝ่ายชายจะต้องได้รับอนุญาตจาก สมณะ ผู้รับหน้าที่ดูแล ส่วนฝ่ายหญิง ต้องได้รับอนุญาตจาก สิกขมาตุ ผู้รับหน้าที่ดูแล ผู้เข้าพักค้าง ในเขตพุทธสถานฯ ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ของพุทธสถานฯ อย่างเคร่งครัด
ฝ่ายชาย สถานที่พักค้างของฝ่ายชาย
- ชั้น ๒ ของวิหารพันปีฯ
- บ้านพักฝ่ายชาย (สูงอายุ) ข้างตึกฟ้าอภัยใหม่
- อาคารโรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก
ฝ่ายหญิง สถานที่พักค้างของฝ่ายหญิง คือ ที่ตึกขาวและตึกนวล (ฝ่ายหญิงต้องแต่งกายสุภาพ เช่น ไม่สวมเสื้อยืด กางเกงรัดรูป เป็นต้น)
๕.๒ ชาวชุมชน
คือ ผู้ถือศีล ๕ ละอบายมุข รับประทานอาหารมังสวิรัติ มีสถานที่พำนัก คือ
๑. อาคารตะวันงาย ๑ ซอยนวมินทร์ ๔๔
๒. อาคารตะวันงาย ๒ ซอยนวมินทร์ ๔๘
๓. อาคารตะวันงาย ๓ ซอยนวมินทร์ ๔๘
ผู้พักอาศัยที่ อาคารตะวันงาย ทั้งสามแห่งนี้ จะต้องได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการอาคารตะวันงาย ในที่ประชุม ชุมชนบุญนิยม สันติอโศก ก่อน
๔. ทาวน์เฮาส์ ซอยนวมินทร์ ๔๖ (ซอยกลาง) ด้านหน้า พุทธสถานสันติอโศก
พุทธสถานสันติอโศก จึงเกิดจาก การร่วมรวมพลัง ทั้งแรงกายแรงใจ สร้างสรรด้วยความเสียสละ อย่างเต็มใจ และด้วยแรงศรัทธา ในพระพุทธศาสนา ของกลุ่มพุทธบริษัทชาวอโศก อันประกอบด้วย นักบวช อุบาสก อุบาสิกา
เป็นการพิสูจน์และยืนหยัดยืนยัน ความเป็นไปได้ของ การอยู่ร่วมกัน เป็นสังคมทวนกระแส โดยมีรากฐาน ความคิดความเชื่อมั่น ในทฤษฎี มรรคองค์ ๘ (มีความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจาชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ มีใจตั้งมั่นชอบ) ของสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเป็นรูปธรรม โดยมี สมณะโพธิรักษ์ เป็นผู้นำพา
สมณะโพธิรักษ์ และชาวอโศก เชื่อว่า แนวคิดและการประพฤติปฏิบัติ ใน ระบบบุญนิยม จะนำพาสังคม ไปสู่ความสงบสุข ร่มเย็น เป็นทางรอดอย่างแน่นอน
ชาวอโศก มีจุดมุ่งหมาย สร้างสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี เต็มใจเสียสละ เพื่อสร้างสรร ทำประโยชน์แก่สังคม อย่างมี พลังร่วม ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ จากวิกฤตเศรษฐกิจ ในปัจจุบัน ที่มิได้กระทบกระเทือนเศรษฐกิจ ระบบบุญนิยม ในชุมชนฯเลย ชาวชุมชนฯ สามารถดำรงอยู่ ท่ามกลางสังคม ที่กำลังประสบปัญหาต่างๆ ได้อย่างแข็งแรง ทั้งยังเป็นที่พึ่งพิงของสังคมด้วย
ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก จึงสามารถยืนหยัด อยู่ในสังคมเมือง เพื่อพิสูจน์สัจธรรม ในพุทธศาสนาว่า มีผลทำได้จริงในยุคปัจจุบัน แม้จะอยู่ท่ามกลาง กระแสของราคะ โทสะ โมหะ เบียดเบียนกัน ด้วยความโลภโกรธหลง และเอารัดเอาเปรียบ อันเป็นความ หลง-วน อยู่ในวัฏฏะ อย่างไม่รู้จบสิ้น.
คำว่า สงบ ของพุทธศาสนาที่แท้จริง
มิใช่ความโดดเดี่ยว เดียวดาย ว้าเหว่
หรือหลบไปมุด หยุดว่างๆ นิ่งๆ กบดานอยู่
แล้วไม่ต้องรู้อะไร ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องสร้างอะไร
อย่างไร้คุณ-ไร้ค่า เช่นนั้น ไม่หรอก!
แต่คือ ความสร้างสรรจรรโลง ที่เจริญงอกงาม
ตั้งแต่คนหนึ่ง ไปจนถึงกลุ่มหมู่มนุษย์
ที่ยิ่งขยายโต ขยายใหญ่มากขึ้นๆ ไปได้อย่างดี
อย่างเรียบร้อย ราบรื่น สุขเย็น เบิกบานใจ
ไม่เดือดร้อน ไม่วุ่นวายเลย นั่นต่างหาก
จึงจะชื่อว่าถูกต้อง ตรงตามพระพุทธพจน์ที่ว่า
พหุชนหิตายะ ปฏิปันโน โหติ พหุชน สุขายะ
สมณะโพธิรักษ์
๗ มี.ค. ๒๕๒๒

ภาคผนวก
ก. พุทธสถานและชุมชนบุญนิยมในปัจจุบัน
- พุทธสถานสันติอโศก (เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ) โทร. 02-374-5230 , 02-733-6699
- พุทธสถานปฐมอโศก (อ.เมือง จ.นครปฐม) โทร. 086-559-6925 , 063-413-0125
- พุทธสถานศีรษะอโศก (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ) โทร. 088-585-0267
- พุทธสถานศาลีอโศก (อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์) โทร. 086-461-0031
- พุทธสถานสีมาอโศก (อ.เมือง จ.นครราชสีมา) โทร. 086-356-9759
- พุทธสถานราชธานีอโศก (อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี) โทร. 094-258-700
- พุทธสถานลานนาอโศก (อ.สันทราย จ.เชียงใหม่) โทร. 080-052-1950
- พุทธสถานทะเลธรรม (อ.เมือง จ.ตรัง) โทร. 089-853-7162
ข. สิ่งพิมพ์ที่ออกเป็นประจำ
- สารอโศก วารสารรายงานกิจกรรมของชาวบุญนิยม (รายเดือน )
- ข่าวอโศก น.ส.พ. ข่าวสารในแวดวงชาวบุญนิยมฯ (รายปักษ์)
- ดอกหญ้า วารสารสำหรับบุคคลทั่วไป ที่สนใจสัจธรรมของชีวิต (ราย ๒ เดือน)
- ดอกบัวน้อย วารสารสำหรับเยาวชน ผู้สนใจการใช้ชีวิตที่ดี (ราย ๒ เดือน)
สิ่งพิมพ์ดังกล่าวข้างต้น สามารถรับแจกได้ที่ แผนกธรรมปฏิสันถาร
- เราคิดอะไร น.ส.พ. สำหรับนักอ่าน และผู้แสวงหา (รายเดือน)
สำหรับ น.ส.พ. เราคิดอะไร สามารถสมัครเป็นสมาชิกที่ คุณศีลสนิท น้อยอินต๊ะ
สำนักพิมพ์กลั่นแก่น ชั้น ๒ ตึกฟ้าอภัยเก่า
นอกจากนี้ยังมีสิ่งพิมพ์, VCD, DVD ที่น่าสนใจ จำหน่ายในราคาบุญนิยม
ที่ร้าน ธรรมทัศน์สมาคม
ค. ลักษณะของชาวอโศก... นักข่าวสัมภาษณ์ 'สมณะโพธิรักษ์'
ถาม : พอจะบอกลักษณะของชาวอโศกได้ไหมว่า ชาวอโศกมีบุคลิก มีการยึดถืออย่างไรบ้าง ที่เป็นประเด็นสำคัญๆ
สมณะโพธิรักษ์ : แหม.. ไม่รู้จะบอกตายตัวอย่างไร หลักสำคัญที่สุดก็คือ ละกิเลส ละความเห็นแก่ตัว เสียสละให้จริงใจ และความเสียสละนี่ ก็จะต้องล้างความ 'ติด' ของตัวเอง เรา 'ติด' อะไรต้องล้างออก เมื่อล้างออกได้จริง เราจึงจะไม่บำเรอตน ไม่ซัพพอร์ทตนด้วยกิเลส ตนเองก็ไม่ต้องเปลืองขึ้น เมื่อตนเองไม่ต้องเปลือง ก็ไม่จำเป็นต้องไปโลภโมโทสัน กอบโกยมาให้แก่ตัวเองมากมาย เสร็จแล้ว แรงงานเรามี ความสามารถเรามี เราก็ช่วยกันสร้างสรร เกื้อกูลกัน เรามีวิธีการ ในการที่จะหมุนเวียน อาศัยซึ่งกันและกัน พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ โดยไม่ต้องมีรายได้ส่วนตัวสักบาท เราก็มีชีวิตอยู่ได้ ในสังคมพวกเรา อย่างนี้ เป็นการดำเนินชีวิต ที่เป็น "บุญนิยม"กันจริงๆ ซึ่งไม่เหมือนสังคมทั่วไป แต่มันมีระบบจริงๆ
ถาม : อย่างนี้จะทำให้ ถูกมองหรือเปล่าว่า นอกจากการเป็นอยู่ เฉพาะในกลุ่มเท่านั้น ถึงจะสามารถใช้ระบบนี้ได้ การนำไปใช้กับสังคมภายนอก ไม่สามารถที่จะใช้ ระบบนี้ได้
สมณะโพธิรักษ์ : จะพูดอย่างนั้นก็ถูก แต่ก็เฉพาะช่วงแรกนี้ เท่านั้นนะ เพราะการที่จะเป็นระบบ อย่างที่เราเป็นนี้ คนที่จะเป็นอย่างนี้ได้ก็ดี จนกระทั่ง เกิดเป็นระบบได้ก็ดี ก็ไม่ได้หมายความว่า เราอยู่โดดเดี่ยว โดยไม่มีประโยชน์กับคนอื่น หรือไม่สัมพันธ์กับคนอื่นๆ เพราะเราอยู่อย่างเรา ที่เป็นคนอย่างนี้นั้น ก็คือ คนที่มาฝึกตน ไม่เห็นแก่ตัว เสียสละ สร้างสรรกันจริงๆ เมื่อเราสร้างสรรได้มาก แต่เรากินน้อยใช้น้อย เราก็จะมีส่วนที่ เหลือเกินอยู่เสมอ
ส่วนเหลือส่วนเกิน ของแต่ละคน เราก็เอามารังสรรค์ ทั้งธรรมชาติ ทั้งสังคม บ้านเมือง สะพัดออกไป ต่อไป มันก็ไม่อยู่เฉพาะกลุ่ม คนอื่นๆ เห็นความจริงเห็นดี ก็แพร่ไป
เป็นต้นว่า เราขายสินค้าราคา "บุญนิยม" คือ ถูกกว่าราคาตลาด หรือถ้ากิจการเจริญขึ้น ก็ขายเท่าทุน และเจริญขึ้นไปอีก ก็ขายต่ำว่าทุน หรือเจริญยิ่งๆขึ้น ก็แจกฟรี ซึ่งเป็นบุญสูงสุด อย่างหนังสือ นิตยสาร หนังสือหลายเล่มที่เราทำ ส่วนมากก็แจกมาตลอด นี่เป็นการจำหน่าย ระบบ "บุญนิยม" ระดับสุด คือ แจกฟรี
ระบบแแจกฟรี ถือว่าได้บุญสูงสุด ขายต่ำกว่าทุนนี่ก็เรียกว่า ยังสู้แจกฟรีไม่ได้ ขายเท่าทุนก็เรียกว่า สู้ขายต่ำกว่าทุนไม่ได้ "บุญนิยม" ขั้นต่ำที่สุด ก็คือ ขายเกินทุนขึ้นมาหน่อย ขั้นนี้ก็คล้ายๆ "บุญนิยม"บ้าง แต่พยายามให้เกินทุนน้อยที่สุด เท่าที่จะสามารถน้อยได้ บวกราคาเกินจากทุน ให้ต่ำกว่าราคาตลาดให้ได้มากๆ นี่เป็นกฎหลัก ของวิธีขาย หรือวิธีกระจาย สู่มือผู้บริโภค เป็นหลักการของ "บุญนิยม"
ระบบการค้าของ "บุญนิยม" มีเนื้อหาสำคัญ อยู่ที่เราได้ "ให้"
เราได้"ให้" นี่คือ เรา"ได้" เรา"ให้แก่คนอื่น" นี่คือเรา"ได้แก่ตัวเรา" คุณพอเข้าใจมั้ย? เราได้"ให้" นี่เราเป็นผู้ชนะ นะ!
เราได้อะไร? ก็เราเป็นคนมีประโยชน์ไง เพราะเราเป็นคนได้"ให้" ใช่ไหม? เราก็เป็นคนมีคุณค่า แต่ถ้าเราไม่ได้"ให้"แก่ใครเขา ก็คือเราเป็นคนไม่มีประโยชน์นะ ใช่มั้ย? โดยสัจจะ จึงเป็นคนไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์แก่ใคร และตามจริงก็คือ คนไม่มีบุญ
เพราะฉะนั้น ความเป็นสัจจะตรงนี้แหละ เป็นสัจจะ "บุญนิยม" ซึ่งตรงข้ามกับ "ทุนนิยม" ของโลกทุกวันนี้ ที่แก้ไขปัญหาสังคมทั้งโลก ไม่สำเร็จ ใช้ระบบ "ทุนนิยม" มาแก้ไขปัญหาสังคม ไม่สำเร็จ ขอยืนยัน จะดูเหมือนแก้ไขได้ชั่วระยะหนึ่ง แต่ไปไม่ได้ตลอดสำเร็จ สมบูรณ์สุดยอด...
(จาก "การเมืองกับศาสนายังเป็นปัญหาที่ต้องตอบ"
ผลงานอันดับ ๕ กลุ่มสุดฝั่งฝัน ธ.ค.'๓๗. หน้า ๗-๑๐

ง. สาธารณโภคี ต่างกับ กงสี
...แต่ละกงสี เขาไม่ได้อยู่ใน ระบบบุญนิยม เขาอยู่ใน ระบบทุนนิยม... กอบโกยจากคนอื่น มาให้ตัวเอง เพราะฉะนั้น กงสี ก็จะทำเฉพาะ ครอบครัวของตนเอง คณะของตนเอง ให้ร่ำรวย เท่าไหร่ก็ไม่มีพอ ตามโลกีย์
แต่ลักษณะของกินของใช้ ร่วมใช้ร่วมกิน เป็น สาธารณะกองกลาง ของตระกูล นั้น เขาเป็น สาธารณโภคีของตระกูล แต่ออกจากตระกูลไป เขาไม่เผื่อแผ่ เขาไม่เกื้อกูล เขาไม่เสียสละ เหมือนอย่างกับแบบ สาธารณโภคี
สาธารณโภคี นั้นเราเผื่อแผ่ออกไป สู่คนข้างนอก ที่แม้ไม่ใช่เครือญาติ ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ของเราเลย เราก็เอื้อเฟื้อเจือจาน แจกจ่าย เสียสละ ให้อย่างมีเจตนารมณ์ อย่างมีความมุ่งมั่น เท่าที่เราจะสามารถเอื้อมเอื้อ เกื้อกว้างกับเขาได้ เท่าที่ทำได้ เราจะไม่ทำแบบเตี้ยอุ้มค่อม ทั้งๆ ที่เราเองเราไม่พอ เราก็ยังอุตส่าห์ไปช่วยคนอื่น ไม่ใช่! เรามีเราพอกินพอใช้ของเรา แล้วเราก็ไปช่วยคนอื่นได้ และที่สำคัญก็คือ กงสี นี่เขามุ่งสะสม ให้ครอบครัวของเขา ให้ร่ำรวยให้มากให้มาย แต่ กงสีของ สาธารณโภคี ไม่สะสมให้รวยขึ้นๆ มากมายไม่มีที่สิ้นสุด
จะมีการใช้สอย มีส่วนกลาง มีส่วนที่จะมีพอประมาณ จะไม่มุ่งสะสมให้รวยทับทวีขึ้น ไม่มีที่สิ้นสุด อันนี้เป็นข้อสำคัญ ที่ความแตกต่าง ระหว่าง สาธารณโภคี ที่เป็น ระบบบุญนิยม นี่มันจะเชื่อมโยงเป็นเครือแห ออกไปกับข้างนอกเขาไป ตามลำดับๆ หลักเกณฑ์สำคัญของ สาธารณโภคี คือ
- ไม่เป็นหนี้
- พึ่งตนเองให้รอด
- สร้างให้มากเกินกว่า ที่เรากินเราใช้ ขึ้นไปเรื่อยๆ มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
- แจกจ่ายเจือจานคนอื่น ขาดทุนของเรา คือ กำไรของเรา หรือเราอยู่ แบบคนจน ตามหลักของ ในหลวง ที่ท่านตรัสเลย
คนจน นี้ คือ เราไม่สะสมความร่ำรวย ให้แก่ตนเอง แต่เราก็ไม่ขัดสน เราอุดมสมบูรณ์ แต่เราไม่สะสมเพิ่ม อย่างที่เรียกว่า ร่ำรวยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มากเท่าไหร่ เราก็กอบโกย เอาของคนอื่นเขามา เป็นของตัวเองมากยิ่งขึ้นๆ อย่างนั้นไม่ใช่! .... มันมีความวิเศษกว่ากันตรงนี้....
(สมณะโพธิรักษ์. แสดงธรรมในรายการ เรียนอิสระฯ. วันที่ ๙ ก.ค. ๒๕๕๕. ณ ราชธานีอโศก /
สารอโศก. ลำดับที่ ๓๒๖. ก.ค. ส.ค. ๒๕๕๕. หน้า ๖๗)
สังคมหรือหมู่มวลมนุษย์ที่มี เศรษฐกิจชนิดสาธารณโภคี นี้ จะอยู่ร่วมกัน อย่างเป็นหมู่กลุ่ม ชุมชนที่มี เมตตาจริงๆ อย่างเพียงพอ.... แต่ต้องเป็น เมตตา แท้ๆ ที่มีคุณสมบัติของจิตวิญญาณ จนกระทั่งเป็น เหตุ ก่อให้เกิด คุณธรรม ทั้ง ๗ อย่างแท้จริง ได้แก่
- เป็นชุมชนที่มีความระลึกถึงกัน (สาราณียะ)
- เป็นชุมชนที่มีความรักกัน (ปิยกรณะ)
- เป็นชุมชนที่มีความเคารพกัน (ครุกรณะ)
- เป็นชุมชนที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (สังคหะ)
- เป็นชุมชนที่ไม่วิวาทกัน (อวิวาทะ)
- เป็นชุมชนที่พร้อมเพรียงกัน (สามัคคียะ)
- เป็นชุมชนที่มีเอกภาพ มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (เอกี ภาวะ)
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า สังคมที่มี เมตตา ทั้งกายกรรม ทั้งวจีกรรม อันเกิดมาจาก จิตวิญญาณ ที่เป็นเมตตา จริงๆ นั้น เพราะความมีคุณธรรม มีคุณสมบัติ ทั้ง ๗ นี้ มีคุณภาพสูง และมีคุณค่าเพียงพออีกด้วย จึงเกิด สาธารณโภคี ในสังคมชุมชน กลุ่มมนุษย์กลุ่มนั้น ได้อย่างแท้จริง ตามสัจจะ
(จาก สาธารณโภคี เศรษฐกิจชนิดใหม่. โดย สมณะโพธิรักษ์. หน้า ๑๑)

จ. สมณะโพธิรักษ์ ผู้นำชาวอโศก
สมณะโพธิรักษ์ (มงคล รักพงษ์) เกิดที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๗๗ บิดาเสียชีวิต ตั้งแต่ท่านยังเล็ก มารดา ได้มาประกอบอาชีพค้าขาย ที่ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นรกรากเดิม ของบรรพบุรุษ มารดาขยัน และค้าขายเก่ง จึงมีฐานะดี แต่ต่อมาถูกโกงและป่วย ฐานะทางการเงินจึงทรุดลง ด.ช. มงคล เป็นผู้ขยันหมั่นเพียร อดทน ช่วยเหลือมารดาค้าขาย ตลอดมา ต่อมาได้รับความช่วยเหลือ จากคุณลุง คือ นายแพทย์ สุรินทร์ พรหมพิทักษ์
เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมปลาย
ในกรุงเทพฯ แล้วได้เข้าศึกษาต่อ ที่ ‘โรงเรียนเพาะช่าง’ แผนกวิจิตรศิลป์
และเปลี่ยนชื่อเป็น ‘รัก รักพงษ์’ ขณะที่เรียนอยู่ ณ ที่นี้
ต่อมาท่านได้เข้าทำงานที่ บริษัทไทยโทรทัศน์ จำกัด (พ.ศ. ๒๕๐๑) โดยเป็นผู้จัดรายการเด็ก และรายการวิชาการต่างๆ จนมีชื่อเสียงในสมัยนั้น ทั้งยังเป็นครูพิเศษ สอนศิลปะ ในโรงเรียนต่างๆ ด้วย ซึ่งมีรายได้รวมกัน ถึงเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท (ขณะที่เงินเดือนของ นายกรัฐมนตรี สมัยนั้นเดือนละ ๑๒,๐๐๐ บาท) และเมื่อมารดา ถึงแก่กรรม ก็ได้รับภาระ เลี้ยงดูน้องๆ ทั้ง ๖ คน ให้ศึกษาเล่าเรียนจนจบ ตามความต้องการ ของน้องแต่ละคน
รัก รักพงษ์ มีความสามารถ ในศิลปะการประพันธ์ ทั้งเรื่องสั้น สารคดี บทกวี บทเพลง ฯ โดยเฉพาะ เมื่อเรียนอยู่ที่ โรงเรียนเพาะช่าง ก็ได้แต่งเพลง ผู้แพ้ ซึ่งได้รับ ความนิยมอย่างสูง ในสมัยนั้น (พ.ศ.๒๔๙๗ - พ.ศ.๒๔๙๘) รวมทั้ง เพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่อง โทน เช่น เพลงฟ้าต่ำแผ่นดินสูง, เพลงชื่นรัก, เพลงกระต่ายเพ้อ เป็นต้น ก็ได้รับความนิยมอย่างสูง เช่นกัน
รัก รักพงษ์ เคยศึกษาเรื่องไสยศาสตร์ อยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งมีผู้คนนิยมกันมาก จนกระทั่ง ท่านได้หันมาศึกษา พุทธศาสนา อย่างเอาจริงเอาจัง จนเกิดความซาบซึ้ง และเห็นคุณค่า จึงได้ปฏิบัติธรรม อย่างเคร่งครัดตลอดมา จนสามารถเลิกละอบายมุข ละโลกธรรม รับประทานอาหารมังสวิรัติ ๑ มื้อ จนเกิดความมั่นใจ แล้วจึงอุปสมบทที่ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ในคณะธรรมยุติกนิกาย เมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๑๓ ได้รับฉายาว่า พระโพธิรักขิโต โดยมี พระราชวรคุณ เป็นอุปัชฌาย์ และเข้ารับ การสวดญัตติฯ ในคณะมหานิกาย อีกคณะหนึ่ง โดยมีพระครูสถิตวุฒิคุณ เป็นอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๑๖
การปฏิบัติที่เคร่งครัดของท่าน และคณะ เช่น การฉันอาหารมังสวิรัติ วันละ ๑ มื้อ, ไม่ใช้เงินทอง, นุ่งห่มผ้าย้อมสีกรัก, ไม่มีการเรี่ยไร, ไม่รดน้ำมนต์-พรมน้ำมนต์, ไม่ใช้การบูชา ด้วยดอกไม้-ธูปเทียน, ไม่มีไสยศาสตร์ เป็นต้น ทั้งท่านไม่รังเกียจนิกายใดๆ มุ่งทำงาน เผยแพร่พุทธศาสนา เพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ให้ผิด พระธรรมวินัย เป็นสำคัญ เหล่านี้ ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า นอกรีต อันเป็นอุปสรรค ในการทำงานศาสนาตลอดมา ท่านและคณะ จึงประกาศลาออกจาก มหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ เป็น นานาสังวาส ตามพระธรรมวินัย มีสิทธิ ที่จะได้รับความคุ้มครอง ตามมาตรา ๒๕ ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย
อย่างไรก็ตาม พระโพธิรักษ์และคณะ ก็ได้รับการพิพากษา ว่าเป็น ผู้แพ้ ไม่สามารถเรียกตนเองว่า พระ ได้ จึงเรียกตนเองว่า สมณะ แทน และ ยังคงปฏิบัติเคร่งครัด เช่นเดิม ท่านได้นำพาหมู่กลุ่มชาวอโศก สร้าง ชุมชนบุญนิยม
ตามปรัชญาแห่งศาสนาพุทธ ที่เชื่อมั่นว่า สัมมาทิฏฐิ เป็นแกนสำคัญของมนุษย์และสังคม โดย
มีความเป็นอยู่เรียบง่าย
พึ่งตนเองได้
ไม่เอาเปรียบใคร
ตั้งใจเสียสละ
ถือศีล ๕ ละอบายมุข เป็นพื้นฐาน จนได้รับการขนานนามว่า ชุมชนคนพอเพียง
(X-cite ไทยโพสต์ ๑๓-๑๔ มี.ค.'๕๑. ปกหน้า )

ฉ. แผนที่เดินทางมา พุทธสถานสันติอโศก

๖๕/๑ ถนน นวมินทร์ ซอย ๔๔ (เทียมพร)
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ๑๐๒๔๐


ช. วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชน บุญนิยมสันติอโศก
พุทธศาสนา
หลักการดำเนินชีวิต
ลดละ ขยัน กล้าจน ทนเสียดสี หนีสะสม
นิยมสร้างสรร สวรรค์นิพพาน

|
|
บ้าน (บ) |
วัด (ว) |
โรงเรียน (ร) |
บ้าน (บ)
ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก
- อาคารตะวันงาย ๑
- อาคารตะวันงาย ๒
- อาคารตะวันงาย ๓
- ที่อยู่อาศัย, ร้านค้าบริเวณใกล้เคียง
(ในซอยนวมินทร์ ๔๔, ๔๖, ๔๘)
- บริษัทและฐานงานต่างๆ
- ร้านธรรมทัศน์สมาคม
- ศูนย์มังสวิรัติหน้าพุทธสถานฯ
- พรรคเพื่อฟ้าดิน
- สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ (สขจ.)
วัด (ว)
สังคมบุญนิยม
- พุทธสถานสันติอโศก
- สมณะ สามเณร สิกขมาตุ
- อารามิก อารามิกา อาคันตุกะฯ
- มูลนิธิธรรมสันติ
- กองทัพธรรมมูลนิธิ
- สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม
- ธรรมทัศน์สมาคม
- มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน
- สมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขา
- สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม
- มูลนิธิบุญนิยม
โรงเรียน (ร)
การศึกษาบุญนิยม
- รร. สัมมาสิกขาสันติอโศก (สส.สอ.)
- สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต วิชชาเขตสันติอโศก (ม.วช.)
- ชมรมสัมมาสิกขาพุทธธรรม
- ชมรมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม (นศ.ปธ.)
- วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม (ว.บบบ.)
ปรัชญาชุมชนบุญนิยม
พึ่งตนเองได้ สร้างสรร ขยัน อดทน ไม่เอาเปรียบใคร ตั้งใจเสียสละ
จุดหมายปลายทางของเราคือ
- เบิกบานแจ่มใส
- มัธยัสถ์
- สุภาพ
- สงบ
- หมดความอยาก
- สิ้นความเสพ

- จบ -
|