“สันติอโศก”

๖๕/๑ ซ.นวมินทร์ ๔๔ ถ.นวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. 02-3745230 , 02-7336699


๑. ประวัติ “พุทธสถานสันติอโศก”

โดยเหตุที่ ‘สมณะโพธิรักษ์’ บวชที่วัดอโศการาม และไปบรรยายธรรม บริเวณ ‘ลานอโศก’ ภายในวัดมหาธาตุ ยุวราชรังสฤษดิ์ อยู่เนืองๆ จนได้สมญานามว่า ‘ขวานจักตอก’ ทั้งเมื่อทำหนังสือ ออกเผยแพร่ ตั้งแต่ยุคแรกๆ ได้ใช้ชื่อว่า ‘เรวดียุครุ่งอรุณ ฉบับอโศก’ ส่วนนามปากกา ก็ใช้เป็นอย่างเดียวกันว่า ‘อโศก’ ไม่ว่าใครเขียนก็ตาม

ความที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับคำว่า ‘อโศก’ หลายสถานะ หลายเหตุการณ์ ดังกล่าว เราจึงได้ จับเอาคำว่า ‘อโศก’ มาเป็นชื่อเรียก ในการร่วมเผยแพร่ธรรมะ ตั้งแต่บัดนั้น จนเกิดกลุ่ม ผู้ปฏิบัติธรรม อันประกอบด้วย นักบวชและฆราวาสขึ้นมา

‘ญาติธรรมรุ่นแรก’ ได้ร่วมกันก่อตั้ง สถานที่ปฏิบัติธรรม ชื่อว่า ‘สวนอโศก’ ที่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ถวาย ‘สมณะโพธิรักษ์’ แต่ก็ยัง ไม่เข้ารูปเข้ารอย และไม่ลงตัว ด้วยเหตุหลายประการ

ต่อมาจึงย้ายไปที่แห่งใหม่ เรียกชื่อว่า ‘ธรรมสถานแดนอโศก’ ตั้งอยู่ที่ ต.ทุ่งลูกนก อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ และได้ใช้สถานที่นี้ อบรม บำเพ็ญธรรม จนกระทั่ง เกิดเหตุการณ์ ที่บีบคั้นมากมาย ทำให้ลำบาก ในการเผยแพร่ธรรมะ

สุดท้าย ‘สมณะโพธิรักษ์’ และ ‘หมู่สงฆ์’ จึงต้องตัดสินใจ ประกาศตนเป็น “นานาสังวาส” ตามพระธรรมวินัย เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๑๘ ที่ วัดหนองกระทุ่ม อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม

จากนั้น ‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้นำพาหมู่กลุ่มมาที่ ‘พุทธสถานสันติอโศก’ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ซึ่งเดิมเป็น “เรือนทรงไทย” หลังใหญ่ ที่คุณสันติยา (กิติยา) วีระพันธุ์ ผู้เป็นเจ้าของ ได้ถวาย ‘สมณะโพธิรักษ์’ ไว้ตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ และ “เรือนทรงไทย” หลังนี้เอง คือ จุดกำเนิดของ “วิหารพันปี เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ” ในปัจจุบัน

“เรือนทรงไทย” ที่คุณสันติยา (กิติยา)  วีระพันธุ์ ได้ถวายแด่ ‘สมณะโพธิรักษ์’

คุณสันติยา (กิติยา)  วีระพันธุ์ 
ผู้บริจาคที่ดินพร้อม “เรือนทรงไทย”
เมื่อ ปี ๒๕๑๕
(เสียชีวิตเมื่อ ๑ ต.ค. ๒๕๔๐.
สิริรวมอายุได้ ๗๐ ปี)

ส่วนคำว่า “พุทธสถาน” หมายถึง วัดของชาวอโศก ซึ่งมีอาณาเขต ติดกับเขต ‘ชุมชนบุญนิยม’ ของฝ่ายฆราวาส (ปัจจุบันมี ๙ แห่ง) และคำว่า “สันติ” หมายถึง ความสงบ

มูลเหตุที่ทำให้คุณสันติยา (กิติยา) วีระพันธุ์ ถวายที่ดิน พร้อม‘เรือนทรงไทย’ แด่ ‘สมณะโพธิรักษ์’ นั้น คุณสันติยา เคยบอกเล่าไว้ว่า เมื่อคราวที่ชีวิต ประสบความทุกข์ใจ อย่างมาก ได้ลองติดตามไปฟังธรรม ที่วัดอาวุธวิกสิตาราม และเกิดศรัทธาเลื่อมใส ประจวบกับเป็นช่วงที่กำลังสร้าง ‘เรือนทรงไทย’ หลังนี้อยู่พอดี จึงแจ้งความประสงค์ ถวายแด่ท่าน เพื่อใช้สอย ให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง ดีกว่าอาศัยอยู่กันเพียงไม่กี่คน แล้วคุณสันติยากับลูกๆ ก็ย้ายไปอยู่ ‘เรือนหลังเล็ก’ ที่เคยเป็นที่พัก ของคนงานก่อสร้าง ‘เรือนทรงไทย’ นั่นเอง

   ทางเข้าด้านหน้าพุทธสถานสันติอโศกสมัยแรก (พ.ศ. ๒๕๑๙)       

 

สมัยแรกๆ พื้นที่โดยรอบส่วนใหญ่ ยังเป็นแอ่งน้ำ และกอหญ้า โดยเฉพาะบริเวณด้านหน้าพุทธสถานฯ ต้องปรับปรุงกันเรื่อยมา อาทิ ถมพื้นที่เพื่อปลูกกุฏิ (ตามที่พระพุทธเจ้า ทรงอนุญาต คือ ขนาด ๗x ๑๒ คืบพระสุคต หรือราว ๑.๕ x ๒.๕ เมตร), ซ่อมแซมและต่อเติมตัวเรือน เพื่อให้ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น โดยชั้นบน ใช้เป็นโบสถ์ และสถานที่ทำงานเผยแพร่ธรรมะ ส่วนชั้นล่างเป็นที่แสดงธรรม, ที่ฉันอาหาร, ที่เก็บเล่ม พับกระดาษ เพื่อทำหนังสือ (สมัยนั้น ยังไม่ใช้เครื่องจักรมาก เหมือนปัจจุบัน) เป็นต้น เรียกว่าใช้เป็น ‘สถานที่หลัก’ ในการประกอบกิจวัตร และกิจกรรม

    กุฏิสมัยแรก (พ.ศ. ๒๕๑๙)

   กุฏิปัจจุบัน

 

นับเป็นการถืออุบัติของ “พุทธสถานสันติอโศก” เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๑๙ จากนั้น จึงทยอยเกิด “องค์กร” ต่างๆ นับถึงปัจจุบัน รวม ๘ องค์กร, เกิดกลุ่ม, เกิดชุมชน เครือข่าย เป็น‘ชุมชนพึ่งตนเองแบบครบวงจร’ ที่มีวิถีชีวิตตาม ‘ระบบบุญนิยม’ มีผลผลิตของแต่ละเครือข่าย บริโภคและใช้สอย ภายในชุมชน ผลผลิตส่วนเกิน ก็ได้นำออก เกื้อกูลต่อสังคม (โลกานุกัมปา)

 

วิหารพันปีเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ (พ.ศ. ๒๕๓๖) 

 

๑.๑ วิหารพันปีเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ

ทุกอย่างย่อมเสื่อมไปตามสภาพธรรม ‘เรือนทรงไทย’ หลังใหญ่ ที่ได้รับการใช้ประโยชน์อย่างมากมาย เพื่อมวลมนุษยชาติมานาน จึงชำรุดทรุดโทรม และเมื่อคุณตะวัน สิริวรวิทย์ มาสำรวจ ก็ได้พบว่า เสาเรือนถูกปลวกกัดกินจนกร่อน น่ากลัวว่าจะพังลงมา จึงได้ประชุมกัน และมีมติให้รื้อถอน ‘เรือนทรงไทย’ ออกทั้งหลัง โดยได้เริ่มรื้อถอน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ และก่อสร้าง “วิหารพันปี เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ” ซึ่งออกแบบโดย คุณอภิสิน ศิวยาธร ขึ้นมาแทนที่
(ตอกเสาเข็มลงต้นแรก เมื่อวันอังคารที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ และยังคงดำเนินการ ก่อสร้างอยู่จนทุกวันนี้)

บรรยากาศ “น้ำตก” ชั้นล่างสุดของวิหารพันปีฯ

 

‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้กำหนดประเด็น อันเป็นเป้าหมายสำคัญ ในการก่อสร้าง “วิหารพันปี เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ” ไว้เพื่อใช้สอย ให้เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง หลายประการ โดยมีแนวคิดว่า
๑. เป็นวิหารเอนกประสงค์ ที่แข็งแรงอยู่ยืนนาน
๒. ใช้ในงานกิจกรรมทางสังคมทั่วไปที่สมควรได้ด้วย
๓. เป็นที่ทำการ (office)
๔. เป็นพระเจดีย์ที่เคารพบูชา
๕. เป็นสถาปัตยกรรมที่มีศิลปะ
๖. มีธรรมชาติสัมพันธ์อย่างเหมาะสม
๗. กล่อมเกลาจิตวิญญาณบูรณาการอารมณ์

 

พระเจดีย์ทองคำ บนยอดโดมของพระวิหารพันปีฯ
เมื่อวันกาญจนาภิเษก (๙ มิถุนายน ๒๕๓๙)

 

อนึ่ง ปี ๒๕๓๙ เป็นปีที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ทรงครองสิริราชสมบัติ เป็นปีที่ ๕๐

‘สมณะโพธิรักษ์’ และชาวอโศกทั้งมวล จึงได้ถือเอา “วิหารพันปีเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ” อันเป็นที่เคารพ สักการบูชาสูงสุดนี้ เป็นราชสักการะ แด่องค์พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว

โดยเมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๙ ซึ่งตรงกับ วันวิสาขบูชา ‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้นำพาหมู่สงฆ์ ตลอดทั้งญาติธรรม กระทำพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ, พระธาตุ และ พระพุทธรูป ปางต่างๆ หลายสมัย รวม ๑๐ องค์ ประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ทองคำ จากนั้นได้อัญเชิญ พระเจดีย์ทองคำ ขึ้นสู่ยอดโดมสูงสุดของ “วิหารพันปีฯ” เพื่อเตรียมเฉลิมฉลอง

 

...

...

ส่วนหนึ่งของ พระบรมสารีริกธาตุ, พระธาตุ และพระพุทธรูปปางต่างๆ
ที่ประดิษฐาน อยู่ในพระเจดีย์ทองคำ

 

เมื่อถึงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๙ อันเป็นวันกาญจนาภิเษก ‘สมณะโพธิรักษ์’ จึงได้พาหมู่กลุ่ม ประกอบพิธีเฉลิมฉลอง มีการสวดมนต์ ทำวัตรเช้า, การแสดงธรรม, การอภิปราย และกิจกรรมต่างๆ

ญาติธรรม ก็ได้ร่วมใจกันเปิด ‘โรงบุญมังสวิรัติ’ หลายร้าน ตลอดทางเข้า ด้านหน้าพุทธสถานฯ และตลอดแนว ในซอยนวมินทร์ ๔๔ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระ อันเป็น มิ่งมหามงคล ครั้งนี้ด้วย

“พุทธสถานสันติอโศก” จึงเป็นที่ประดิษฐาน ของสิ่งสักการบูชาอันสูงสุด เป็นส่วนน้อมนำ ให้เกิดจิตศรัทธาเลื่อมใส ในพระพุทธศาสนา สมดังเจตจำนงของผู้ถวาย ที่ดินแปลงนี้ คือ คุณสันติยา (กิติยา) วีระพันธุ์ ซึ่งได้ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๐

กาลเวลาผ่านไป ผู้สนใจใฝ่ธรรม ก็เพิ่มขึ้นตามลำดับ ทั้งลาออกจากงาน มาปฏิบัติธรรม อยู่ประจำที่พุทธสถานฯ และในชุมชน ต่างช่วยกันทำงาน ที่เป็น “สัมมาอาชีพ” ตามหลัก “อาริยมรรคมีองค์ ๘” จนเกิดหน่วยงานต่างๆ ขึ้นหลายหน่วยงาน ซึ่งดำเนินงานโดยใช้หลัก ‘บุญนิยม’ ตามที่ท่าน ‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้อบรมและพาทำ

ปี ๒๕๔๖ ‘สมณะโพธิรักษ์’ พร้อมหมู่สงฆ์ และชาวชุมชนฯ มีมติเห็นสมควรให้ซื้อที่ดิน ด้านหน้าพุทธสถานสันติอโศก ตั้งแต่ทาวน์เฮาส์ หน้าพุทธสถานฯ ไปจนถึง อาคารพาณิชย์ ริมถนนนวมินทร์ ซึ่งประกอบด้วย ศูนย์มังสวิรัติ, ร้านกู้ดินฟ้า, ร้านดินอุ้มดาว, บจ.แด่ชีวิต, ร้านธรรมทัศน์สมาคม จากคุณมนัส หลิมขยัน (บุตรชายคนเดียว ของคุณมาลี หลิมขยัน เจ้าของที่ดิน ที่เพิ่งเสียชีวิตไป) มีเนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่ (๑,๑๗๗ ตารางวา) ภายใต้ “โครงการ ร่วมบุญปฐพีพุทธ วิหารพันปี เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ” ซึ่งญาติธรรมต่างร่วมบุญ ร่วมใจกันบริจาคตามกำลัง จนในที่สุด โครงการนี้ก็บรรลุเป้าประสงค์

ปัจจุบันพุทธสถานสันติอโศก มีพื้นที่ประมาณ ๑๓ ไร่เศษ.

พระพุทธาภิธรรมนิมิต ที่พุทธสถานราชธานีอโศก

 

๑.๒ พระพุทธาภิธรรมนิมิต

“พระพุทธาภิธรรมนิมิต” เป็นพระพุทธรูปองค์แรก ของชาวอโศก ซึ่ง ‘สมณะโพธิรักษ์’ กำหนดว่าเป็น ‘ปางตรีลักษณ์’ องค์พระพุทธรูป แกะสลักจากหินทราย สูง ๗.๑๒ เมตร กว้าง ๖.๓๑ เมตร หนา ๓.๕๗ เมตร หนักกว่า ๑๕๐ ตัน ประดิษฐานอยู่บนแท่นหินทราย ขนาดกว้าง ๖.๓๐ เมตร ยาว ๗.๒๐ เมตร หนัก ๑๒๖ ตัน ซึ่ง ‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้เป็นประธาน นำพาชาวอโศกทั้งมวล กระทำพิธีอัญเชิญ เคลื่อนองค์พระพุทธรูป มาประดิษฐาน ณ พุทธสถานราชธานีอโศก เมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ เวลา ๐๗.๐๗ น.

“พุทธาภิธรรมนิมิต” แปลว่า เครื่องหมายยอดเยี่ยมแห่งพุทธธรรม หรือเป็นเครื่องหมายอันยอดเยี่ยม แห่งธรรมะของพระพุทธเจ้า

‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้กล่าวถึงการประดิษฐาน พระพุทธรูปองค์นี้ว่า

“แต่แรกเราไม่ส่งเสริม การมีพระพุทธรูป เพราะว่าเราเอง แรกเริ่มขึ้นมา เราจะต้องเคร่งครัด จะต้องอยู่ในข้อจำกัดที่สะอาดให้มากๆ ยังไม่ไปเชื่อมโยงกว้าง ที่เราจะต้อง เข้าไปจัดการแก้ไข ไปเปลี่ยนแปลงอะไรต่ออะไร เราจะต้องอยู่ในระบบของศีลของธรรม หรือระบบดั้งเดิมของพุทธ ที่สำคัญคือ ตอนแรก อาตมาต้องพาเรา ‘พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง’ ออกจากน้ำเสียก่อน จนสอนพวกเราให้มีทั้งความรู้ ในการเคารพ ในความเป็นพระพุทธรูปเพียงพอแล้ว เราแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันแล้วในจิตใจ เราจึง ‘ ปฏินิสสัคคะ’ ทวนกลับไปมีพระพุทธรูป เพื่อเป็นตัวอย่าง เพื่อสอนและนำพาคนอื่นๆ ให้เคารพพระพุทธรูปให้ถูกต้อง เคารพชนิดที่เป็น ‘อเทวนิยม’ (ไม่ใช่เคารพอย่างเป็น ‘เทวนิยม’ )...

พระพุทธรูป ‘ปางตรีลักษณ์’ นี้ เป็นความคิดของ ‘คุณแสงศิลป์ เดือนหงาย’ ...

ลักษณะพระพุทธรูปของเรา ไม่ได้ทำมุ่นผมเป็นจุก อยู่บนพระเศียร หรือมุ่นยกแหลม อย่างที่เขาทำๆ กันมา เราทำศีรษะโล้นธรรมดา...... ‘พระอุณาโลม’ จะเป็นร่องลึก เข้าไปในพระนลาต ข้างในก็จะบรรจุ ‘พระบรมสารีริกธาตุ’ ซึ่งมี ๑๕๑ องค์....” ( สารอโศก. ลำดับที่ ๓๐๐. “สิบห้านาทีกับพ่อท่าน.” ธ.ค.’๔๙ - ม,ค.’๕๐ )

“ปางตรีลักษณ์” หมายถึง ลักษณะ ๓ ประการ คือ
๑. โลกุตระ คือ จิตบรรลุธรรม อยู่เหนือโลกีย์ จิตนั้นหลุดพ้นความเป็นทาสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทั้งด้าน “กาม” ทั้งด้าน “อัตตา”
๒. โลกวิทู คือ รู้เท่าทันโลกีย์ รู้แจ้งจริงในความเป็นโลกีย์ ที่ตนเคยเป็นทาส และปฏิบัติจนสามารถบรรลุธรรม มีจิตโลกุตระ อยู่เหนือสิ่งที่ตนเคยเป็นทาส ได้ถาวร
๓. โลกานุกัมปา คือ ความเอ็นดูต่อสัตวโลก มีจิตเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ความเกื้อกูลต่อมวลมนุษยโลก ช่วยคนให้พ้นทุกข์อริยสัจ

๑.๓ ขั้นตอนการบวชของชาวอโศก

การบวชหรือการเข้าสู่สถานะ “นักบวช” นั้น มีขั้นตอน และระยะเวลาทดสอบความพร้อม คือ ต้องมีการกลั่นกรองว่า ผู้บวชมีความตั้งใจจริง ที่จะใช้ชีวิต ตามพระธรรมวินัย มีศักยภาพ ของความเป็นผู้สละบ้านเรือน เข้าสู่ชีวิตนักบวชได้ มีความพร้อม ทั้งทางร่างกายและจิตใจ มิใช่อาศัยความเป็นนักบวช เพื่อหลบหนีปัญหาส่วนตัว บางประการ และปฏิบัติตน ได้เหมาะสมกับฐานะพุทธทายาท และพุทธสาวก ที่สำคัญคือ ต้องเป็นผู้ที่เรียนรู้ ชีวิตในชุมชนชาวอโศก และปฏิบัติขัดเกลา จนได้รับการรับรอง จากหมู่สงฆ์แล้ว มิใช่บุคคลทั่วไป ที่นึกอยากจะบวช ก็เข้าไปขอบวชได้เลย

นักบวชชาวอโศก มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย โดยพยายามรักษาสภาพ และข้อกำหนดต่างๆ ให้ถูกต้องตามพุทธบัญญัติ เช่น ‘กุฎิ’ ก็สร้างอย่างเรียบง่าย หลังเล็กๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว คือ ขนาด ๗ x ๑๒ คืบพระสุคต หรือประมาณ ๑.๕ x ๒.๕ เมตร

ผู้ที่จะสมัครเข้าเป็น นักบวชชาวอโศก มีข้อปฏิบัติดังนี้

๑. สมาทานรักษาศีล ๘ โดยสมัครเป็นอารามิก (คนวัดชาย) หรืออารามิกา (คนวัดหญิง) อยู่ภายในขอบเขต การดูแลของพุทธสถาน ๑ ปี จากนั้น จึงขอเลื่อนฐานะเป็น “ปะ” คือ ผู้ปฏิบัติธรรม โดยมีสมณะ ๕ รูป รับรอง เป็นลายลักษณ์อักษร และดูแลรับผิดชอบ

๒. “ปะ” หรือผู้ปฏิบัติ โดยปะชาย นุ่งกางเกงสีน้ำตาล ส่วนปะหญิง นุ่งผ้าถุงสีน้ำตาล สวมเสื้อสีน้ำตาล แบบสุภาพ ตามที่มีอยู่แล้ว ไม่โกนศีรษะ และต้องอยู่ปฏิบัติธรรม อย่างน้อย ๔ เดือน สำหรับฝ่ายชาย และ ๖ เดือน สำหรับฝ่ายหญิง

๓. “นาค” และ “กรัก” คือ ผู้ที่ปฏิบัติครบกำหนด ในฐานะของ “ปะ” แล้ว ก็มีสิทธิ์เตรียมตัวบวช โดยแจ้งความจำนงต่ออุปัชฌาย์ เพื่อให้อุปัชฌาย์ นำเรื่องเข้าพิจารณา ในหมู่สงฆ์ เมื่อที่ประชุมมีมติเห็นชอบเป็น “เอกฉันท์” แล้วจึงเลื่อนฐานะเป็น “นาค” สำหรับฝ่ายชาย และ “กรัก” สำหรับฝ่ายหญิง แต่หากหมู่สงฆ์ พิจารณาแล้ว ยังไม่เห็นชอบ ก็ต้องอยู่ในฐานะเดิมต่อไป ตามระยะเวลา ที่มติในที่ประชุมเห็นสมควร

“นาค” โกนผม สวมเสื้อคอกลมสีน้ำตาล มีขลิบที่คอเสื้อ สีน้ำตาลอ่อน

“กรัก” โกนผม สวมเสื้อแบบเดียวกับ “นาค” และมีสไบสีกรัก และฝ่ายหญิงต้องอยู่ในฐานะ “กรัก” อย่างน้อย ๑ ปี ๖ เดือน จึงมีสิทธิ์ขอบวช เลื่อนฐานะเป็น “สิกขมาตุ” ถือศีล ๑๐ เช่นเดียวกับ “สามเณร” ได้

๔. “สามเณร” คือ ผู้ที่ปฏิบัติในฐานะ “นาค” มาได้อย่างน้อย ๔ เดือน ก็จะมีสิทธิ์ขอเลื่อนฐานะ จากที่ประชุมสงฆ์ อย่างมีมติเป็น “เอกฉันท์” จึงสามารถเลื่อนฐานะเป็น “สามเณร” ถือศีล ๑๐ ได้

“สามเณร” ที่บวชใหม่ จะต้องศึกษาเป้าหมาย ของการบิณฑบาต จากหนังสือ “ศาสตร์และศิลป์ของบิณฑบาต” ให้ชัดเจนก่อน มิฉะนั้น จะไม่มีสิทธิ์ออกบิณฑบาต

๕. “สมณะ” คือผู้ที่ปฏิบัติในฐานะ “สามเณร” อย่างน้อย ๔ เดือนแล้ว ก็จะมีสิทธิ์ขอเลื่อนฐานะ จากที่ประชุมสงฆ์ อย่างมีมติเป็น “เอกฉันท์” จึงสามารถเลื่อนฐานะเป็น “สมณะ” ที่สมบูรณ์ได้ (สมณะ หมายถึง ผู้ถือปฏิบัติจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล และวินัย ๒๒๗ ข้อ)

๖. “สมณะ” ที่บวชใหม่ จะต้องศึกษาพระวินัยจาก “พระไตรปิฎก” โดยต้องอ่าน “พระไตรปิฎก” เล่ม ๑-๒ ให้จบเป็นอย่างน้อย ภายใน ๕ ปี

ธรรมสาระของการ “บิณฑบาต”
๑. เป็นการไปแสดงธรรมเป็นทานโปรดสัตว์ (คน) ของพระ
๒. เป็นสัมมากัมมันโตของผู้มีศีล-สมาธิ-ปัญญาแท้
๓. เป็นสัมมาอาชีวะของพระโดยตรงอย่างเอก
๔. เป็นมนุษยสัมพันธ์อันลึกซึ้ง
๕. เป็นพุทธประเพณีทุกกัปทุกกัลป์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
๖. เป็นศิลปะที่ “อันติมะ” (สูงสุดที่ยากแก่การอธิบาย)
๗. เป็นการพิสูจน์สัจธรรมแท้ ว่าคนอยู่ได้ด้วยคุณธรรมความดี
๘. เป็นสหกรณ์ตัวสำคัญยิ่ง
๙. เป็นของทำได้ยาก ต้องพากเพียรเรียนรู้ และอุตสาหะอย่างยิ่ง
๑๐. เป็น “ประธาน” ก่อให้เห็น “การให้ การเสียสละ” เกิด-มีอยู่ในโลก อย่างสำคัญ

เพราะโลก จะขาด “การให้ การเสียสละ” ไม่ได้! โดยเฉพาะการให้ด้วยศรัทธา ด้วยบูชา เคารพ, การให้โดยไม่มีการบังคับ, การให้อย่างยินดี เต็มใจ และให้ชนิด ไม่หวัง อะไรตอบแทน

 

๒. “๘ องค์กร” ในชุมชนบุญนิยมสันติอโศก

๒.๑ มูลนิธิธรรมสันติ (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐)
๒.๒ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔)
๒.๓ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๗)
๒.๔ ธรรมทัศน์สมาคม (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๑)
๒.๕ มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๗)
๒.๖ สมาคมศิษญ์เก่าสัมมาสิกขา (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗)
๒.๗ สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๗)
๒.๘ มูลนิธิบุญนิยม (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๙)

๒.๑ มูลนิธิธรรมสันติ

วัตถุประสงค์
๑. ช่วยธำรงรักษา บำรุงส่งเสริมการเผยแพร่สัจธรรม ของพระพุทธศาสนา
๒. ส่งเสริมการศึกษาปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา
๓. สนับสนุนส่งเสริมการจัดตั้ง การดำเนินงานเกี่ยวกับ การศึกษา พยาบาล สาธารณสุข หัตถกรรม อุตสาหกรรม การสื่อสาร การพาณิชย์ (ระบบบุญนิยม ที่ไม่แสวงหากำไร) และกฎหมาย
๔. บำรุงสาธารณประโยชน์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง

กิจกรรมสำคัญ
ได้แก่ พิมพ์หนังสือธรรมะ และวารสารรายเดือน “สารอโศก” เพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน เป็นหลัก, โครงการโรงเรียนสัมมาสิกขาฯ อันมีปรัชญาว่า “ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา”,
โครงการปฐมอโศก ต.พระประโทน อ.เมือง จ.นครปฐม,
โครงการ สามอาชีพกู้ชาติ (วงจรของกสิกรรมไร้สารพิษ -ปุ๋ยสะอาด -ขยะวิทยา) เป็นต้น

สถานที่ติดต่อ “มูลนิธิธรรมสันติ”
๖๗/๑ หมู่ ๕ ซ.นวมินทร์ ๔๘ (ประสาทสิน) ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐ โทร. ๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐

๒.๒ กองทัพธรรมมูลนิธิ

วัตถุประสงค์
๑. ส่งเสริมการศึกษา ปฏิบัติและเผยแพร่สัจธรรม ในพระพุทธศาสนา
๒. สนับสนุนให้ประชาชนรักษาศีล ในพระพุทธศาสนา
๓. ร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
๔. จัดการศึกษาเพื่อการกุศลให้แก่ผู้ด้อย และบุคคลทั่วไป
๕. เพื่อส่งเสริมการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ด้วยความเป็นกลาง และไม่ให้การสนับสนุน ด้านการเงินหรือทรัพย์สิน แก่นักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด

กิจกรรมสำคัญ
อบรมคุณภาพชีวิตแก่ข้าราชการ และประชาชน, อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติ, โครงการชุมชน ราชธานีอโศก อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำมูล ต.บุ่งไหม อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เป็นต้น

สถานที่ติดต่อ “กองทัพธรรมมูลนิธิ”
๖๕/๕ ซ.นวมินทร์ ๔๖ (ซอยหน้าพุทธสถานฯ) ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐ โทร. ๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐

๒.๓ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม

วัตถุประสงค์
๑. ธำรงรักษา บำรุงส่งเสริมและเผยแพร่สัจธรรม ของพระพุทธศาสนา
๒. ส่งเสริมการศึกษาปฏิบัติธรรม ในพระพุทธศาสนา
๓. ส่งเสริมการพิมพ์หนังสือธรรมะ เทปธรรมะ และอุปกรณ์ ในการเผยแพร่ธรรมะ ออกสู่สาธารณะ
๔. บำรุงสาธารณประโยชน์ โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง

กิจกรรมสำคัญ
เช่น จัดทำวารสาร “ดอกหญ้า” และวารสาร “ดอกบัวน้อย” ราย ๒ เดือน แจกแก่สมาชิก (ตั้งแต่ปี ๒๕๒๘) เผยแพร่อาหารมังสวิรัติโดย “ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย” (ชมร.)
ปัจจุบันมี ๓ สาขา คือ
ศูนย์มังสวิรัติ หน้าสันติอโศก กรุงเทพฯ,
ร้านชมรมมังสวิรัติฯ จ.เชียงใหม่,
ร้านชมรมมังสวิรัติฯ จ.นครราชสีมา

- โรงสีสมาคมผู้ปฏิบัติธรรม จ.ขอนแก่น สีเฉพาะข้าวกล้อง
- ห้องสมุดสมาคมผู้ปฏิบัติธรรม บริการประชาชนทั่วไป
- ชมรมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม [นศ.ปธ.] จัดกิจกรรม เช่น โรงบุญ ๕ ธันวามหาราช, จัดอบรม ‘พุทธทายาท’ ในช่วงปิดภาคเรียน เป็นต้น
- ชมรมสัมมาสิกขาพุทธธรรม
- โรงเจสมาคม จ.จันทบุรี

สถานที่ติดต่อ “สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม”
๖๗/๓๐ หมู่ ๕ ซ.นวมินทร์ ๔๖ ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐

๒.๔ ธรรมทัศน์สมาคม

วัตถุประสงค์และกิจกรรมสำคัญ
๑. ส่งเสริมการศึกษาปฏิบัติจริยธรรมของสมาชิก และสาธุชนทั่วไป ตามหลักสัจธรรม อันเป็นแก่นแท้ของ พระพุทธศาสนา
๒. ส่งเสริมกิจกรรมสาธารณประโยชน์ โดยไม่มุ่งผลทางการเมือง
๓. ส่งเสริมเผยแพร่พุทธธรรม ด้วยสื่อสาระสัจจะทุกประเภท เช่น หนังสือเล่ม หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เทปเสียง วิทยุ โทรทัศน์ วิดีโอ สไลด์ จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม สถาปัตยกรรม นาฏกรรม เพลง ดนตรี แผ่นภาพ โปสเตอร์ และสื่อสาร เผยแพร่ใดๆ
๔. ไม่มีนโยบายหรือเจตนา จัดตั้งโต๊ะบิลเลียด เพื่อเล่นการพนัน พนันเอาทรัพย์สินกัน และไม่มีเจตนาหาผลกำไร

สถานที่ติดต่อ “ธรรมทัศน์สมาคม”
๖๗/๕๐ หมู่ ๕ ถนนนวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐-๒๓๗๕-๔๕๐๖

๒.๕ มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน

วัตถุประสงค์
๑. ส่งเสริมจริยธรรมในการแก้ปัญหาโรคเอดส์ ตลอดจนปัญหาต่างๆ ทางสังคม
๒. ส่งเสริมให้คนในสังคม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีความเอื้ออาทรต่อกัน โดยการใช้สื่อเผยแพร่ต่างๆ รวมทั้งการฝึกอบรม
๓. ส่งเสริมและสนับสนุนแบบวิถีชีวิตที่ช่วยรักษาธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
๔. ดำเนินการเพ่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
๕. ไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมือง แต่ประการใด

กิจกรรมสำคัญ
เช่น โครงการจัดรายการวิทยุทั้งภาค AM และ FM ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เป็นเพื่อนทางจิต มิตรทางใจ, รายการโทรทัศน์, โครงการบริจาค และเผยแพร่สื่อธรรมะ ในโอกาสต่างๆ เป็นต้น

สถานที่ติดต่อ “มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน”
๖๗/๑๕๔ ซ.นวมินทร์ ๔๘ ถนนนวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐-๒๗๓๓-๔๐๐๐ โทรสาร. ๐-๒๗๓๓-๕๕๕๔

๒.๖ สมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขา (สศส.)

วัตถุประสงค์และกิจกรรมสำคัญ
๑. ส่งเสริมกิจกรรมที่เป็นสาธารณประโยชน์ และสนับสนุนกิจกรรมทุกประเภท ที่เป็นการเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ยังผลประโยชน์ แก่มวลสมาชิกโดยรวม โดยไม่ขัดต่อ ศีลธรรมอันดี และกฎหมายบ้านเมือง
๒. แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ประสานสัมพันธ์พี่น้อง ให้รักมั่น กลมเกลียวกันยิ่งๆ ขึ้น
๓. มุ่งส่งเสริมการสร้างอาชีพที่เป็นสัมมาอาชีพ แก่มวลสมาชิก
๔. การดำเนินการทั้งปวงด้วยวิถีทางแห่ง พุทธศาสนา

มีกิจกรรมสำคัญ อาทิ โครงการจัดงาน “คืนสู่เหย้าเข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา” และโครงการจัด โรงบุญมังสวิรัติ ในโอกาสต่างๆ เป็นต้น

สถานที่ติดต่อ “สมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขา” (สศส.)
๖๔๔ หมู่ ๕ ซ.นวมินทร์ ๔๔ ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐


๒.๗ สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม (นศ.ปธ.)

วัตถุประสงค์และกิจกรรมสำคัญ
๑. ผนึกรวมตัวรวมแรงรวมใจกันของผู้ใฝ่ธรรม ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน โดยไม่แบ่งแยกสี หมู่กลุ่มหรือสถาบัน มวลสมาขิก มีส่วนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมทำกิจวัตร กิจกรรม กิจการ พึ่งพาอาศัย ซึ่งกันและกัน
๒. เชื่อมร้อยเครือข่ายประสานสัมพันธ์ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ต่างๆ ทั้งทางโลกและทางธรรม
๓. สนับสนุนส่งเสริมสัมมาอาชีพ ทักษะการดำรงชีวิต คุณภาพชีวิต จริยธรรม คุณธรรม ตามทฤษฏีบุญนิยม และเศรษฐกิจพอเพียง
๔. จัดหาจัดการทุนทรัพย์ อุปกรณ์ สถานที่ เพื่อสนับสนุนส่งเสริม งานด้านการศาสนา การสื่อสาร เศรษฐกิจพาณิชย์ การศึกษา การเงินการคลัง อุตสาหกิจชุมชน สุขภาวะ การบริโภค กสิกรรม ชุมชนสังคมสิ่งแวดล้อม การเมืองในส่วนที่เหมาะสม โดยไม่มุ่งหวังหาผลกำไร หรือรายได้ มาแบ่งปันกัน
๕. สนับสนุนส่งเสริมกิจกรรม ที่เป็นการกุศลสาธารณประโยชน์ ซึ่งไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีงาม ของประชาชน และบทบัญญัติของกฎหมาย
๖. การดำเนินกิจวัตรกิจกรรมกิจการทั้งปวง ไม่ขัดกับหลักธรรม ในพระพุทธศาสนา

อนึ่ง สมาคมฯ มีกิจกรรมสำคัญ อาทิ โครงการจัดงาน “คืนสู่เหย้าเข้าคืนรัง นศ.ปธ.” และโครงการจัด โรงบุญมังสวิรัติ ในโอกาสต่างๆ เป็นต้น

สถานที่ติดต่อ “สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม” (นศ.ปธ.)
๖๔๔ หมู่ ๕ ซ.นวมินทร์ ๔๔ ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐


๒.๘ มูลนิธิบุญนิยม

วัตถุประสงค์และกิจกรรมสำคัญ
๑. เพื่อสนับสนุนการทำงานเผยแพร่อุดมการณ์บุญนิยม
๒. เพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน ขององค์กรบุญนิยม และหรือสถาบันบุญนิยม ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อทำงาน ตามอุดมการณ์บุญนิยม
๓. ดำเนินการหรือร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่น เพื่อสาธารณประโยชน์
๔. ส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข ด้วยความเป็นกลาง และไม่ให้การสนับสนุน ด้านการเงินหรือทรัพย์สิน แก่นักการเมือง หรือพรรคการเมืองใด
๕. สนับสนุนส่งเสริมกิจกรรม ที่เป็นการกุศลสาธารณประโยชน์ ซึ่งไม่ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีงาม ของประชาชน และบทบัญญัติของกฎหมาย
๖. การดำเนินกิจวัตร กิจกรรม กิจการทั้งปวง ไม่ขัดกับหลักธรรม ในพระพุทธศาสนา

อนึ่ง สมาคมฯ มีกิจกรรมสำคัญ อาทิ โครงการจัดงาน “คืนสู่เหย้าเข้าคืนรัง นศ.ปธ.” และโครงการจัด โรงบุญมังสวิรัติ ในโอกาสต่างๆ เป็นต้น

สถานที่ติดต่อ “สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม” (นศ.ปธ.)
๖๔๔ หมู่ ๕ ซ.นวมินทร์ ๔๔ ถ.นวมินทร์
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๔๐
โทร. ๐-๒๓๗๔-๕๒๓๐

 

๓. วิถีชีวิตในสังคมบุญนิยม

“ระบบบุญนิยม” เริ่มต้นจากการ “สร้างคนดีมีศีล” ให้ได้ก่อน

“คนดี” ที่ว่านี้ คือ บุคคลผู้ถือ “ศีล ๕ ละอบายมุข” เป็นอย่างน้อย และจะต้องฝึกฝนตน สู่ทิศทางแห่ง“โลกุตระ” คือ ลดละการบำเรอตน ปฏิบัติให้เข้าถึงอริยสัจธรรม ไปตามลำดับ จนเกิด “โลกุตรจิต” ซึ่งเป็นผลจาก การปฏิบัติได้จริง ไม่หลบหลีกปลีกเดี่ยว อยู่ตามป่า, เขา, ถ้ำ
แต่ยังคงอยู่กับโลก อย่างรู้เท่าทันโลก (โลกวิทู) คือ รู้เท่าทันความทุกข์, รู้เท่าทันความเป็นไปของโลก โดยเห็นชัด ในกิเลสของตน ที่ยังมัวเมา ลุ่มหลงกับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อันเป็นเหตุแห่งการแก่งแย่ง เบียดเบียน เอารัดเอาเปรียบกัน อยู่ในสังคม

ดังนั้น คนดี จึงเข้าไปขวนขวายอนุเคราะห์สังคม อนุเคราะห์โลก (โลกานุกัมปายะ) ช่วยเหลือสังคมอย่างเสียสละ จริงใจ ตรงตามลักษณะของ พุทธศาสนาที่ว่า เป็นไปเพื่อ ประโยชน์เกื้อกูล แก่ปวงชนทั้งหลาย (พหุชนหิตายะ) และเพื่อความเจริญสุข แก่ปวงชนทั้งหลาย (พนุชนสุขายะ)

เป้าหมายการทำงานใน “ระบบบุญนิยม” จึงไม่ได้มุ่งค่าตอบแทนที่เม็ดเงิน ยิ่งไปกว่าการได้รู้จักตนเอง ด้วยอาวุธแห่งไตรสิกขา และตรวจตน มองตน มีสัญชาติแห่งคนตรง ไม่ย่อท้อ ต่อกิเลสตัวใด

เพราะถ้าเราไม่เห็นกิเลส ไม่รู้จักตัวเอง เราจะถูกกิเลสทำลาย ไม่สามารถพัฒนาตนเอง ให้พ้นกิเลสได้ และนี่คือ ค่าตอบแทนที่สูงค่า ของผู้ทำงานทุกคน

กิจการงานต่างๆ ของชาวอโศกใน “ระบบบุญนิยม” สามารถจัดแบ่งลักษณะให้เห็นชัด ในการค้าขาย ๔ ระดับ ดังนี้

ขั้นที่ ๑ ขายให้ต่ำกว่าราคาท้องตลาด มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงแต่พอเป็นเครื่องอาศัย ตามความจำเป็นของชีวิต ซึ่งมีระดับความสันโดษ ไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน ซึ่งยังไม่ถือว่า เป็นบุญนิยมทีเดียว
ขั้นที่ ๒ ขายเท่าทุน ยังไม่มีบุญ แต่ก็ไม่มีบาป ให้พออาศัยต่อทุนทำงานต่อไป ถือว่าเป็นการเริ่มต้นบุญนิยม ขั้นแรก
ขั้นที่ ๓ ขายต่ำกว่าทุนที่ลงไป โดยอาจไม่รวมค่าแรง ค่าโสหุ้ยต่างๆ ค่าวัตถุดิบซึ่งผลิตเอง หรือเก็บจากธรรมชาติ ขายต่ำลงได้มากเท่าไร ก็เป็นบุญมากเท่านั้น
ขั้นที่ ๔ แจก (ให้เปล่า) เป็นการสังเคราะห์เกื้อกูลกันไป

บริษัท พลังบุญ จำกัด เปิดดำเนินงาน อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๓๐ ด้วยทุนจดทะเบียน ๕ ล้านบาท ถือเป็น “แม่แบบ” สากลของการค้าขาย ใน “ระบบบุญนิยม” ซึ่งปรากฏให้เห็นได้ ทั้งด้านรูปธรรม และด้านนามธรรม

ด้าน รูปธรรม คือ การดำเนินกิจการค้า โดยมีเป้าหมาย เพื่อรับใช้สังคมทั่วไป อย่างเปิดกว้าง ไม่เลือกตัวบุคคล ผลประโยชน์ที่สังคมจะได้รับ คือ การได้ซื้อสินค้า ในราคาถูก และยุติธรรม ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจาก ความสำเร็จ ในการพัฒนาบุคลากรของบริษัท

ด้าน นามธรรม คือ การพัฒนาปรับปรุงแก้ไขตัวตน ให้เกิดญาณปัญญาในการฝึกหัดตน ให้มีความเสียสละ ซื่อสัตย์ ลดละกิเลสโลภ ขยัน สร้างสรร มีความประณีต และประหยัด โดยเน้นการฝึกกินอยู่อย่างเรียบง่าย กินน้อยใช้น้อย ไม่จำเป็นต้องมีรายได้สูง หรือ “ไม่มีรายได้เลย” โดยสละรายได้เข้ากองบุญนิยม ซึ่งจะเป็นส่วนสร้าง “ระบบสวัสดิการ” ดูแลพนักงานภายในบริษัท

นอกจาก บจ.พลังบุญ แล้ว ต่อมาได้ก่อเกิดบริษัทต่างๆ ตามมาอีก คือ บจ.แด่ชีวิต, บจ.ฟ้าอภัย, บจ.ขอบคุณ ซึ่งปัจจุบัน ได้ควบรวมทั้ง ๓ บริษัท แล้วจดทะเบียน จัดตั้ง บริษัทขึ้นใหม่ ใช้ชื่อว่า บริษัทพลังบุญ (บุญนิยม) จำกัด ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ แผนก ทำหน้าที่ต่างกัน ดังนี้ แผนกขอบคุณ เป็นฝ่ายผลิต, แผนกพลังบุญ เป็นฝ่ายขายปลีก และแผนกแด่ชีวิต เป็นฝ่ายขายส่ง เพื่อความเป็นปึกแผ่นของ “ระบบบุญนิยม”

“ระบบบุญนิยม” จึงคือการประกอบกิจการ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ค้ากำไรเกินควร ผลประโยชน์ทางการค้า จะต้องหมุนเวียนกลับคืนมาสู่ลูกค้า เป็นระบบ ที่จะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อมนุษย์ มีความเจริญทางปัญญาสูงสุด ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า คือ คนจะต้องลดละกิเลสโลภ โกรธ หลง และรู้จัก ‘เสียสละ’ เป็น ‘มนุษย์พัฒนา’ หรือเรียกว่า ‘มนุษย์วรรณะ ๙’ ที่มีความขยันหมั่นเพียร มักน้อยสันโดษ ไม่สะสม ซึ่งจะพัฒนาได้มากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพและคุณธรรม ของบุคคล

‘สมณะโพธิรักษ์’ และชาวอโศก เชื่อมั่นว่า คุณค่าที่มนุษย์ควรจะได้รับ เป็นทรัพย์ติดตัวไปอย่างแท้จริง คือ อาริยทรัพย์ ที่ต้องเสียสละให้ได้จริงๆ ลดละกิเลส ให้มากที่สุด ด้วยการให้ทาน บริจาคออกไป และช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น โดยมีหลักว่า

ผลได้ น้อยกว่าต้นทุน เรียกว่า กำไรอาริยทรัพย์
ผลได้ เท่ากับต้นทุน เรียกว่า เสมอทุน
ผลได้ มากกว่าต้นทุน เรียกว่า ขาดทุน, เป็นหนี้

๓.๑ อุดมคติแห่งบุญนิยม

“บุญนิยม” เป็นอุดมคติที่ ‘สมณะโพธิรักษ์’ ต้องการปลูกฝังหยั่งลงในสังคม เพื่อสร้างให้เป็นวัฒนธรรมประเพณี เหมือนชาวอินเดีย ที่ไว้หนวดเครา ไว้ผมยาวกันมาตลอด ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าสังคมจะเปลี่ยนแปลงทางแฟชั่น เป็นอย่างใด ชาวอินเดีย ก็ยังรักษาหนวดเครา และผ้าโพกผมยาว อยู่บนศีรษะ มาโดยตลอด

ในระบบ “บุญนิยม” มีองค์ประกอบที่สำคัญคือ “ฐานะ ๔” อันประกอบด้วย นักบวช นักบริหาร นักบริการ และนักผลิต

นักผลิต เป็นฐานะที่ ‘สมณะโพธิรักษ์’ ให้ความสำคัญอันดับแรก เพราะชาวไร่ชาวนา เป็นผู้สร้างอาหารเลี้ยงโลก แม้พระศาสดา ยังได้ตรัสไว้ว่า “อาหารเป็นหนึ่งในโลก” นอกจากนี้ ‘สมณะโพธิรักษ์’ ยังมีเจตนารมณ์นำพาชาวอโศก มาเป็นชาวไร่ชาวนา ในระบบกสิกรรมธรรมชาติ เพราะเป็น งานบุญ มากกว่าอาชีพอื่นๆ

ดังนั้น “ค่านิยม” ที่ยิ่งเหยียดหยามชาวไร่ชาวนา, กรรมกร ต่ำลงๆ เท่าใด “ค่าแท้” ของชาวไร่ชาวนา, กรรมกร ยิ่งสูงจริงขึ้นๆ มากเท่านั้น

นักบวชนั้น ‘สมณะโพธิรักษ์’ เตือนให้ระวัง อันตรายจาก เสือ ๒ ตัว คือ สตรี และ สตางค์ ทึ่ต้องบริสุทธิ์ สะอาด จาก ๒ สิ่งนี้ และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่อยู่แบบ ฤๅษีหนีโลก นักบวชในพุทธศาสนา จะต้องมี “มรรคองค์ ๘” เป็นเครื่องดำเนินชีวิต เพื่อยังประโยชน์ตน -ประโยชน์ท่าน ให้สมบูรณ์ โดยมีสัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ (มีการงานที่เป็น “สัมมาทิฏฐิ” คุ้มค่าข้าวค่าน้ำของผู้ถวาย)

นักบริหาร หรือนักปกครอง, นักการเมือง

‘สมณะโพธิรักษ์’ แบ่งไว้เป็น ๓ ระดับ คือ
๑. การเมืองปุถุชน
๒. การเมืองกัลยาณชน
๓. การเมืองอาริยชน

การเมืองระดับอาริยชน คือ การเมืองที่เป็นโลกุตระ นักการเมืองต้องมีคุณธรรม ถึงขั้นอริยบุคคล ไม่เป็นทาสของโลกธรรม (ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข) อย่างมั่นคง จริงใจ ตามฐานะแห่งความเป็นอริยะ จริงนั้นๆ (โดยได้มากได้น้อย ตามลำดับฐานะแห่งภูมิธรรม ของนักการเมืองแต่ละคน) ซึ่งจะต้องมีความเป็นอยู่ ที่ยากจนกว่า ‘นักบริหาร’ และ ‘นักผลิต’

นักบริการ หรือพ่อค้าแม่ขาย ‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้ให้หลักการค้าใน “ระบบบุญนิยม” ไว้ว่า
๑. ต้องพยายามขายให้ต่ำกว่าราคาตลาด ให้ได้มากยิ่งขึ้นๆ ที่สุด
๒. หากสามารถขายได้เท่าทุนยิ่งดี
๓. ถ้าสามารถขายได้ต่ำกว่าราคาทุน ก็จะได้บุญ เป็นกำไรอริยะเพิ่มขึ้น
๔. ยิ่งสามารถให้ฟรีได้เลย! โดยที่ตัวเองก็สามารถอยู่ได้ ก็ยิ่งเป็นความยอดเยี่ยมสูงสุด ของมนุษย์ ใน ‘ระบบบุญนิยม’ เลยทีเดียว

 

๓.๒ กิจการงานแห่งบุญนิยม

กิจกรรมในการพึ่งตนเอง ตามทฤษฎีเศรษกิจพอเพียง จนเป็นศูนย์ศึกษาและเรียนรู้ ด้านชุมชนเข้มแข็ง ในแนวทาง “บุญนิยม” ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ๑๓ ด้าน คือ

๓.๒.๑ ด้านศาสนา
ประกอบด้วย องค์กรทั้ง ๘ คือ มูลนิธิธรรมสันติ, กองทัพธรรมมูลนิธิ, สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม, ธรรมทัศน์สมาคม, มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อ, สมาคมศิษย์เก่าสัมมาสิกขา, สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม และมูลนิธิบุญนิยม

๓.๒.๒ ด้านการเมือง
มีคำขวัญว่า “เศรษฐกิจพึ่งตน ชุมชนเข้มแข็ง ประชามีธรรม ประเทศมีไท” ประกอบด้วย “พรรคเพื่อฟ้าดิน”

๓.๒.๓ ด้านการสื่อสาร
มีคำขวัญว่า “สื่อสร้างสรร ขยันช่วยสังคม ระดมบุญคุณธรรม” ประกอบด้วย
- บริษัท ฟ้าอภัย จำกัด, สำนักพิมพ์กลั่นแก่น, กลุ่มสุดฝั่งฝัน
- ธรรมปฏิกรรม, ธรรมปฏิสันถาร, ธรรมปฏิสัมพันธ์, ธรรมโสต, ธรรมรูป
- ห้องสมุดสำหรับประชาชนสมาคมผู้ปฏิบัติธรรม
- อินเทอร์เน็ตอโศก
- วิทยุชุมชน FM 107.75 MH z
- สถานีโทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ FMTV (Television For Mankind) โดยบริษัท เดินหน้าฝ่ามหาสมุทร จำกัด ซึ่งก่อตั้งเมื่อ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๐ มีคำขวัญว่า ทุกบรรยากาศ รายงานความจริง (Truth Media)

เริ่มแพร่ภาพ ส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม NSS6 เมื่อ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๐ ออกอากาศ ๒๔ ชั่วโมง มีรถ OB พร้อมถ่ายทอดสด เคลื่อนที่ บริการ “สื่อบุญนิยม” เพื่อสาธารณประโยชน์ โดยไม่มีการโฆษณาสินค้าใดๆ ดำเนินงานด้วยทุนสนับสนุน จากสถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ (สขจ.) และ จากการบริจาคผ่าน “มูลนิธิบุญนิยม” พร้อมด้วย “แรงงานฟรี” จากจิตอาสาทุกท่าน

๓.๒.๔ ด้านเศรษฐกิจพาณิชย์ ประกอบด้วย
- บริษัท พลังบุญ (บุญนิยม) จำกัด มี ๓ แผนก คือ แผนกพลังบุญ (ฝ่ายขายปลีก) แผนกแด่ชีวิต (ฝ่ายขายส่ง) และ แผนกขอบคุณ (ฝ่ายผลิต)
- ร้านกู้ดินฟ้า ๑ จำหน่ายพืชผัก และผลไม้ไร้สารพิษ จากเครือแหกสิกรรมไร้สารพิษ
- สำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาอโศก

๓.๒.๕ ด้านการศึกษา
มีปรัชญาการศึกษาว่า “ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา” ประกอบด้วย
- โรงเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก (สส.สอ)
- สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต วิชชาเขตสันติอโศก (ม.วช.)
- ชมรมสัมมาสิกขาพุทธธรรม (สส.พธ.)

มีปรัชญาการศึกษาว่า “ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชชา” ประกอบด้วย
- วิทยาลัยอาชีวศึกษา สัมมาสิกขาวิชชาราม (วสว.)

มีปรัชญาการศึกษาว่า “ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชชา” ประกอบด้วย
- วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม (ว.บบบ.)

๓.๒.๖ ด้านการเงิน การคลัง ประกอบด้วย
- กลุ่มสัจจะออมทรัพย์สันตินาครบุญนิธิ
- เงินสาธารณโภคี แบ่งออกเป็น ๗ กอง คือ
๑. กองกลางสงฆ์ ใช้ในกิจต่างๆ ของสงฆ์
๒. กองกลางสุข ใช้ในด้านสุขภาพ, สาธารณสุข
๓. กองกลางทุกข์ ใช้กับกิจทุกสิ่งทุกอย่าง
๔. กองกลางศึก ใช้สำหรับด้านการศึกษา
๕. กองกลางสื่อ ใช้ในกิจการสื่อสารด้านต่างๆ
๖. กองกลางค้า ใช้สำหรับกิจการด้านพาณิชย์
๗. กองกลางทำกิจกรรมเพื่อสังคม ใช้สำหรับกิจการสาธารณะทั่วไป

๓.๒.๗ ด้านอุตสาหกิจชุมชน ประกอบด้วย
- บริษัท พลังบุญ (บุญนิยม) จำกัด แผนกขอบคุณ ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำยา ทำความสะอาด ที่ไม่ทำลาย สิ่งแวดล้อม และยาสมุนไพร ใช้ทาภายนอก

๓.๒.๘ ด้านสาธารณสุข ประกอบด้วย

๓.๒.๙ ด้านการบริโภค ประกอบด้วย
- ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาจตุจักร (ชมร.กทม.)
- ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาหน้าสันติอโศก (ชมร.สตอ.)

๓.๒.๑๐ ด้านกสิกรรม ประกอบด้วย

‘สมณะโพธิรักษ์’ ให้ความสำคัญในเรื่อง “กสิกรรม” เป็นอย่างมาก ท่านได้กล่าวไว้ว่า มีเพียง ๓ อาชีพ นี้เท่านั้นที่จะ กู้ ช า ติ ได้ คือ กสิกรรมธรรมชาติ / ขยะวิทยา / ปุ๋ยสะอาด เขียนเป็นภาพวงจรได้ ดังนี้

วงจรที่สมบูรณ์ของ สามอาชีพกู้ชาติ

โดยเฉพาะประเทศไทย เป็นประเทศที่มีภูมิอากาศ เหมาะอย่างยิ่งในการทำกสิกรรม ท่านจึงเน้นย้ำให้ชาวอโศก ต้องเป็นหลัก ในเรื่องของ ‘กสิกรรมธรรมชาติไร้สารพิษ’ เพราะ ‘อาหารเป็นหนึ่งในโลก’ ซึ่งมีหลักอยู่ ๓ ประการ คือ
๑. ไม่ไถพรวนดิน
๒. ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี
๓. ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง

“หัวใจ” ของการทำกสิกรรมธรรมชาติ คือ การบำรุงดิน ให้อุดมสมบูรณ์ก่อน เพราะดินที่ไม่ดีนั้น คือดินป่วย ผลผลิตที่ได้มาก็ไม่สมบูรณ์ ผู้บริโภคก็จะป่วยด้วย เรียกว่า sick soil – sick plant – sick people ดินป่วย- ผักป่วย – คนก็ป่วย ดังนั้น ความอุดมสมบูรณ์ของ ‘ดิน’ ก็คือ ‘ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ’ และท่านได้ชี้ให้เข้าใจถึง “ปรัชญาธรรมชาติ” ว่า “พึ่งตนเอง ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม สร้างสิ่งแวดล้อม เอื้อเฟื้อพี่น้อง”

๓.๒.๑๑ ด้านศิลปะ วัฒนธรรม
ความหมายของ “ศิลปะ” ในวัฒนธรรมของชาวอโศก คือ ส่งเสริมให้เกิดความเข้าใจ ศิลปะ ว่าเป็น “มงคลอันอุดม” เป็นเหตุที่ก่อให้เกิด ความประเสริฐ แก่มนุษย์ นำพามนุษย์ไปสู่ ความเจริญอันสูงสุด ซึ่งมีทั้ง “สุนทรียศิลป์” มีทั้ง “แก่นศิลป์” และใช้ศิลปะในการสร้างสรร

“สุนทรียศิลป์” หมายถึง สิ่งที่สร้างที่ประกอบขึ้น เพื่อชี้ชวนให้คนสนใจ เพื่อไปเอา “แก่นศิลป์” หรือเอาสาระ ไม่ว่าจะเป็นการวาด การเขียน การปั้น วรรณกรรม ท่าทาง ลีลาฯ จะชี้ชวน เพื่อนำไปสู่สารประโยชน์ อันเป็นคุณค่าที่แท้จริแก่มนุษย์ ไม่ใช่เป็นมหรสพมอมเมา หรือเป็นอนาจาร เช่น ถ้าเขียนภาพโป๊เปลือย เมื่อคนดูภาพ แล้วเกิดการลดราคะได้ ก็เป็นศิลปะ แต่ถ้าดูแล้วราคะก็ขึ้น อย่างนี้เป็น อนาจาร

งานศิลปะดังกล่าว สามารถมองเห็นเป็นรูปธรรมได้จาก “วิหารพันปี เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ”

๓.๒.๑๒ ด้านชุมชน, สังคม
ประกอบด้วย พุทธสถาน, ชุมชน, องค์กรต่างๆ และกิจการงานใน “ระบบบุญนิยม”

๓.๒.๑๓ ด้านสิ่งแวดล้อม
ประกอบด้วย สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ (สขจ.) : Institute of Ethical Waste Management ซึ่งเป็นองค์กร ทางเศรษกิจ สังคมศาสนา ภายใต้การกำกับดูแลของ มูลนิธิบุญนิยม ก่อเกิดพร้อมกับ การเปิดตัวของโทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ FMTV (Television For Mankind) เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๐ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อนำรายได้ ที่เกิดจากกิจกรรม ไปเป็นทุนในการดำเนินงาน ซึ่งขณะนั้นใช้ชื่อว่า โทรทัศน์เพื่อแผ่นดิน FETV (Television For The Earth)

จากรากเหง้าเดิม ‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้กำหนดกรอบ แนวทางย่างก้าว ชาวอโศก ผ่านวลี “สามอาชีพกู้ชาติ” อันประกอบด้วย

“ขยะวิทยา” จึงต้องจัดการอย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อสร้างรายได้ โอบอุ้มกิจกรรมของ โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ (Television For Mankind- FMTV) และเพื่อปลุกฟื้น จิตวิญญาณมนุษยชาติ สู่เป้าหมายหลัก ๕ ประการของ “ขยะวิทยา” คือ

การดำเนินกิจกรรม
๑. รับบริจาคของเก่าที่ไม่ใช้ ของใหม่ที่เกินจำเป็น นำมาแปรเป็นทุน สนับสนุน FMTV โดยจัดจำหน่ายที่ “ร้านดินอุ้มดาว” (ขายปลีก) และที่โกดังสินค้าของ “สถาบันขยะวิทยา ด้วยหัวใจ (สขจ.)” (ขายส่ง)
๒. ส่งเสริมและเผยแพร่ กิจกรรมของ สถาบันขยะวิทยาด้วยหัวใจ (สขจ.) ผ่านสื่อ FMTV ในรายการ “ดินอุ้มดาว” และบทความ ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ของชาวอโศก

 

๓.๓ หลักการแห่งบุญนิยม

นโยบายการค้า
๑. ขายถูก ๒. ไม่ฉวยโอกาส ๓. ขยัน อุตสาหะ ๔. ประณีต ประหยัด
หลักการตลาด
๑. ขายของที่ดี ๒. ราคาถูก ๓. ซื่อสัตย์ ๔. มีน้ำใจ ๕. ขายสด งดเชื่อ (เครดิตเหนือเครดิต)
อุดมคติ
๑. ขายถูกกว่าตลาด ๒. ขายเท่าทุน ๓. ขายต่ำกว่าทุน ๔. แจกฟรี
อุดมการณ์
๑. แรงงานฟรี ๒. ปลอดหนี้ ๓. ไม่มีดอกเบี้ย ๔. เฉลี่ยทรัพย์เข้ากองบุญ

 

๔. ประวัติ “ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก”

เมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๔๐ ชาวชุมชนฯ และผู้ที่ปฏิบัติธรรม อยู่ประจำพุทธสถานฯ ในฐานะต่างๆ คือ อาคันตุกะจร (ผู้มาปฏิบัติพักค้าง เป็นครั้งคราว) อาคันตุกะประจำ (ผู้มาปฏิบัติพักค้าง เป็นประจำ) อารามิก (ผู้สมัครอยู่วัดฝ่ายชาย) อารามิกา (ผู้สมัครอยู่วัดฝ่ายหญิง) ได้ประชุมร่วมกัน ณ ศาลาส่วนกลาง ของพุทธสถานฯ รวม ๕๘ คน โดยมีนักบวช ๕ รูปเป็นประธาน

นับเป็นการเริ่มต้น ของการรวมกลุ่ม เพื่อความสมานสามัคคี สร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ทำให้ได้ทราบทุกข์สุข ตลอดจนปัญหา ความเป็นไปของการทำงาน ในหน่วยงาน และองค์กรต่างๆ อันเป็นกิจการใน “ระบบบุญนิยม” ดังได้กล่าวมาแล้ว รวมถึงชาวชุมชนฯ ผู้พักอาศัยอยู่ใกล้พุทธสถานฯ ด้วย

ตั้งแต่นั้นมา ก็มีการประชุมชุมชนฯ เป็นประจำทุกเดือน โดยมี ‘สมณะโพธิรักษ์’ เป็นประธาน

ต่อมา ปี ๒๕๔๔ จึงได้จัดตั้งเป็น “ชุมชน” ขึ้นอย่างเต็มรูป และเนื่องจาก เรามีวิถีชีวิตอย่าง “ระบบบุญนิยม” ดังกล่าวแล้ว เราจึงใช้ชื่อว่า “ ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก” เช่นเดียวกับ ชุมชนบุญนิยมอื่นๆ ของชาวอโศก อาทิ ชุมชนบุญนิยม ปฐมอโศก, ชุมชนบุญนิยม ศีรษะอโศก, ชุมชนบุญนิยม ราชธานีอโศก เป็นต้น

ชาวชุมชนบุญนิยม สันติอโศก มิได้จำกัดขอบเขตเฉพาะ ผู้ปฏิบัติธรรม ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงพุทธสถานฯ เท่านั้น ญาติธรรมในกรุงเทพฯ ที่มาฟังธรรม มาร่วมกิจวัตร กิจกรรม ตามแนวคำสอนของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (หลักอาริยมรรค มีองค์ ๘) ซึ่งมาพักค้างเป็นครั้งคราว และมีความตั้งใจจริง ในการวิรัติตน ด้วยการถือศีล ๕ ละอบายมุข รับประทานอาหารมังสวิรัติ ก็ถือเป็นสมาชิกของ ชุมชนบุญนิยม สันติอโศก ด้วยเช่นกัน

๔.๑ สาธารณโภคี : เป้าหมายและนโยบายของ ชุมชนบุญนิยม สันติอโศก

ชาวชุมชนฯ อยู่กันอย่างเอื้อเฟื้อเกื้อกูล โดยมีระบบส่วนกลาง เรียกว่า “สาธารณโภคี” คือ เฉลี่ยแบ่งปัน ตามหลัก ‘สาราณียธรรม ๖’ คือมี เมตตากายกรรม. เมตตาวจีกรรม, เมตตามโนกรรม, สาธารณโภคี, ศีลสามัญญตา (มีศีลเสมอกัน โดยผู้มีคุณธรรมสูง ย่อมมีความเข้าใจ และเมตตาต่อ ผู้มีคุณธรรมต่ำกว่า ส่วนผู้มีคุณธรรมต่ำกว่า ก็พึงเคารพรัก ผู้มีคุณธรรมสูงกว่า) และ ทิฏฐิสามัญญตา (มีความเห็น สอดคล้องกัน เป็นหนึ่งเดียว) อันเป็นคุณธรรม ของการอยู่ร่วมกัน สร้างความเป็นพ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน (ญาติธรรม) ที่พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ ชาวอโศก จึงมีหลักปรัชญาว่า : -

การอยู่กันด้วย ‘สาราณียธรรม ๖’ ทำให้เกิดอานิสงส์ หรือเกิดผลตาม พุทธพจน์ ๗ (พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ ข้อ ๒๘๒-๒๘๓) คือมีความระลึกถึงกัน, รักกัน, เคารพกัน, สงเคราะห์กัน, ไม่วิวาทกัน, สมานสามัคคีกัน เป็นเอกีภาวะ (ความเป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียวกัน)

เราจึงอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น เสมือนครอบครัวใหญ่ พึ่งพาอาศัยช่วยเหลือดูแลกัน ยามเจ็บป่วย แม้ไม่มีทรัพย์สมบัติ และเงินเดือน ที่เป็นรายได้ส่วนตัวเลย

ธุรกิจการค้า ภายในชุมชนฯ อันเป็น “บุญนิยม” มีจุดมุ่งหมาย เพื่อบริการสมาชิกในชุมชนฯ เป็นหลัก แต่ก็ได้รับความนิยมจากประชาชน ในสังคมเสมอมา ทั้งเพิ่มขึ้น เจริญขึ้นเรื่อยๆ เพราะเราไม่เอาเปรียบผู้บริโภค และ มิได้มุ่งเอากำไรสูงสุด เป็นเป้าหมาย

อนึ่ง ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก มีหน่วยตรวจสอบ และพัฒนาคุณภาพผลผลิต ของชาวอโศก (ต.อ.) เพื่อให้สินค้าที่ผลิต มีคุณภาพดี ไม่เป็นพิษ ไม่เป็นภัย ทำให้ประชาชน เชื่อถือไว้วางใจ

เราจึงมีเศรษฐกิจสัมพันธ์กับสังคม อย่างเจริญดี อย่างมีคุณภาพ

 

กิจวัตรประจำวัน ของชาวชุมชน บุญนิยมสันติอโศก

๐๓.๓๐ น.- ๐๕.๐๐ น. ทำวัตรเช้า สวดมนต์และฟังธรรม จากสมณะผู้เป็นประธาน ในแต่ละวัน
๐๕.๐๐ น.- ๐๕.๓๐ น. นักเรียนสัมมาสิกขาฯ มาทำวัตรเช้า
๐๕.๐๐ น.- ๐๘.๔๕ น. แยกย้ายกันไปทำงานในฐานงาน ที่รับผิดชอบ
๐๕.๕๐ น.- ๐๗.๓๐ น. สมณะ สามเณร และสิกขมาตุ ออกบิณฑบาต
๐๘.๓๐ น.- ๑๑.๐๐ น. ฟังธรรม แล้วรับประทานอาหารร่วมกัน ระหว่างนี้ มีวิดีทัศน์ รายการที่น่าสนใจให้ชม หรือ มีการแจ้งเรื่องราว ที่ต้องรับทราบร่วมกัน
๑๑.๐๐ น.- ๑๖.๓๐ น. แยกย้ายกันไปทำงาน ในฐานงานที่รับผิดชอบ
๑๘.๐๐ น.- ๒๐.๐๐ น. ศีกษาธรรมะจากรายการ “สงครามสังคม ธรรมะการเมือง” และรายการ “เรียนอิสระ (ตามสำนึก)” โดย ‘สมณะโพธิรักษ์’ และคณะ
๑๘.๐๐ น.- ๑๙.๓๐ น. เฉพาะวันอาทิตย์ วิปัสสนาจอแก้ว (ชมวีดิทัศน์ ที่ผ่านการตรวจสอบ จากสมณะแล้ว)
โดยมีหลักการดู ๔ ประการ คือ
๑. เกิดอริยญาณ
๒. ทำการปฏิบัติ
๓. อัดพลังกุศล
๔. ฝึกฝนโลกวิทู เพิ่มพหูสูต
๒๑.๐๐ น. เข้านอนไม่เกิน ๓ ทุ่ม

 

๔.๒ งานประจำปีของชาวอโศก

๔.๒.๑ งานวันโพชฌังคาริยสัจจายุ วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม (ว.บบบ)
ณ ชุมชนบุญนิยมราชธานีอโศก จัดช่วงปลายเดือนธันวาคม ถึงต้นเดือนมกราคม รวม ๗ วัน

๔.๒.๒ งานฉลองหนาวธรรมชาติอโศก
ณ ชุมชนบุญนิยม ภูผาฟ้าน้ำ จัดช่วงปลายเดือนมกราคม รวม ๒ วัน มีจุดมุ่งหมาย ให้ชาวอโศกได้ไปพักผ่อน เที่ยวชมธรรมชาติ ได้ผ่อนคลาย หลังจากทำการงานมา ตลอดทั้งปี และมีโอกาสพบปะ คบคุ้นกันมากยิ่งขึ้น

ในงานมีการแข่งขัน “กีฬาอาริยะ’ เช่น แข่งเก็บผักป่า, สีข้าวด้วยมือ (ตำข้าว), ผ่าฟืน เป็นต้น

๔.๒.๓ งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์
ณ พุทธสถานศาลีอโศก จัดช่วงวันมาฆบูชา ราวเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม รวม ๗ วัน เพื่ออบรมบำเพ็ญธรรม สติปัฏฐาน ๔

๔.๒.๔ งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ
ณ พุทธสถานราชธานีอโศก จัดช่วงต้นเดือนเมษายน รวม ๗ วัน เพื่ออบรมบำเพ็ญธรรมสติปัฏฐาน ๔ เช่นเดียวกับ งานพุทธาภิเษกฯ

๔.๒.๕ งานตลาดอาริยะปีใหม่อโศก
ณ ชุมชนบุญนิยมราชธานีอโศก จัดช่วงกลางเดือนเมษายน ซึ่งตรงกับ “ปีใหม่” ของไทย คือ “สงกรานต์” “อาริยะ” หมายถึง วัฒนธรรมของผู้เจริญ, ผู้ประเสริฐ เป็นความเจริญ ทางจิตวิญญาณ

· มีวัตถุประสงค์ คือ
๑. รักษาประเพณีการบิณฑบาต
๒. ช่วยกันสร้างตลาดอาริยะ (ขายต่ำกว่าทุน)
๓. ฟังสัจจะสาระจากปฏิบัติกร
๔. ฝึกตื่นนอนแต่เช้า
๕. ชาวเราได้ร่วมสังสรรค์
๖. ช่วยกันทำงาน
๗. เบิกบานใจและผ่อนคลาย

· อุดมการณ์ของตลาดอาริยะ
๑. กำไรของชีวิต คือ การให้ และการเสียสละ
๒. สินค้าที่ขาย ต้องขายต่ำกว่าทุน (ตั้งใจขาดทุน นั่นคือ ‘เสียสละ’)
๓. เจตนาให้ผู้ซื้อสินค้าได้แสดงน้ำใจ เปิดโอกาสให้ผู้อื่นซื้อ อย่างแบ่งปัน ไม่โลภ

  “ตลาดอาริยะ” จึงเป็นที่จำหน่ายสินค้า ของผู้ที่ตั้งใจผลิต เพื่อจำหน่าย จ่ายแจกอย่าง “เสียสละ” จริงๆ เท่าที่สามารถทำได้ ตามฐานานุฐานะ ของแต่ละบุคคล (ยิ่งขายต่ำกว่าทุน ได้มากเท่าไร ก็ยิ่งได้ ‘กำไรอาริยะ’ มากเท่านั้น) จึงต้องเป็น ผู้มีเลือดแห่งการเสียสละ อย่างแท้จริง และมีเลือดแห่งการสร้างสรร ที่แข็งแรงพอ การเอาผลผลิตของคนอื่น มาเสียสละนั้น ไม่ได้ผลเต็มที่ เท่าผลิตจากแรงกาย และหยาดเหงื่อของเราเอง โดยหัดเป็นผู้มักน้อยสันโดษ ไม่สะสม ไม่เกียจคร้าน สะพัด ส่วนที่เหลือออกไป อย่างตั้งใจเสียสละ อย่างมั่นใจ ในความขยันหมั่นเพียร และ ในสมรรถนะของเรา

๔.๒.๖ งานโฮมไทวัง

ณ ชุมชนหมู่บ้านราชธานีอโศก หรือชุมชนสันติอโศก จัดวันที่ ๖-๗ มิถุนายน เป็นงานที่มี ความสำคัญ คังนี้

๔.๒.๗ งานบัณฑิตศิษย์เก่า

ณ ชุมชนหมู่บ้านราชธานีอโศก หรือชุมชนสันติอโศก หรือชุมชนของชาวอโศก แห่งใดแห่งหนึ่ง ตามความเหมาะสมในขณะนั้นๆ จัดวันที่ ๘ มิถุนายน เป็นวันที่บรรดา ศิษย์เก่า จากมหาวิทยาลัยต่างๆ มาพบปะ และรับธรรมะจาก ‘สมณะโพธิรักษ์’

 

๔.๒.๘ งานอโศกรำลึก บูชาพระบรมสารีริกธาตุ

จัดวันที่ ๙-๑๐ มิถุนายน เป็นวันที่ชาวอโศกทุกแห่ง มาร่วมรำลึก ด้วยการปฏิบัติบูชา และสักการะ ‘พระบรมสารีริกธาตุ’ และพระธาตุฯ ที่บรรจุอยู่ใน พระเจดีย์ทองคำ บนยอดโดมของ ‘วิหารพันปี เจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ’

เนื่องจากปี ๒๕๓๙ นี้เป็นปีที่ พระบาทพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ ทรงครองสิริราชสมบัติ เป็นปีที่ ๕๐ และเนื่องใน มหามงคลนี้ ‘สมณะโพธิรักษ์’ พร้อมทั้งชาวอโศกทั้งมวล จึงร่วมฉลอง “วันกาญจนาภิเษก” ด้วยการถือเอา ‘พระเจดีย์ทองคำ’ นี้เป็นราชสักการะ แด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โดยเมื่อวันที่ ๙ มิ.ย. ๒๕๓๙ ‘สมณะโพธิรักษ์’ ได้พาหมู่สงฆ์ และญาติธรรม ประกอบพิธีเฉลิมฉลอง พระบรมสารีริกธาตุฯ ที่บรรจุอยู่ในเจดีย์ทองคำ บนยอดโดม ดังกล่าว วันที่ ๙ มิถุนายน ของปีต่อๆ มา จึงถือเป็น “วันบูชาพระบรมสารีริกธาตุ”

และวันรุ่งขึ้น คือ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ก็จะเป็นวัน “อโศกรำลึก” ซึ่งเป็นวันผนึกคุณธรรมสำคัญ ของชาวอโศกทั้งมวล ที่ตั้งใจปฏิบัติให้เป็นจริง ตามความหมายของ ‘วันอโศกรำลึก’

 

‘วันอโศกรำลึก’ มีความหมาย ๑๗ ประการ คือ เป็น
๑. วันส่วนตัว
๒. วันเล็กๆ น้อยๆ
๓. วันสะอาด
๔. วันเงียบ
๕. วันอบอุ่น
๖. วันสูญ
๗. วันอิ่ม
๘. วันอิสระ
๙. วันให้
๑๐. วันง่ายๆ
๑๑. วันจริงใจ
๑๒. วันกตัญญู
๑๓. วันสดชื่น
๑๔. วันรัก
๑๕. วันระลึกถึงพระคุณของบรรพชน
๑๖. วันรวมแก่น
๑๗. วันลึก

 

๔.๒.๙ งานคืนสู่เหย้าเข้าคืนรัง จัดโดยนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม (นศ.ปธ.)
ณ ชุมชนสันติอโศก ช่วงปลายเดือน มิถุนายน รวม ๒ วัน

๔.๒.๑๐ งานบูชาบุพการี
ณ ชุมชนอโศกทั่วทุกแห่ง จัดในวันที่ ๑๒ สิงหาคม หรือวันที่ใกล้เคียง เพื่อรำลึกถึง พระคุณของบุพการี เนื่องในโอกาส “วันแม่แห่งชาติ”

๔.๒.๑๑ งานมหาปวารณา
ณ พุทธสถานปฐมอโศก ซึ่งผนวกเอา งานวันเกิดชุมชนปฐมอโศกไว้ด้วย จัดในช่วงต้นเดือน พฤศจิกายน รวม ๔ วัน โดย ๒ วันแรก หมู่สงฆ์ ประชุมปวารณาต่อกัน และ ๒ วันต่อมา เป็นวันตักบาตรเทโว และวันฉลอง วันเกิด “ชุมชนปฐมอโศก”

“มหาปวารณา” คือการที่หมู่สงฆ์ชาวอโศก มาร่วมประชุม ชี้ข้อบกพร่องซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์บริบูรณ์ ได้ทบทวนการงาน ของปีที่ผ่านมา ทั้งกำหนด วางหลักเกณฑ์ และเป้าหมายการทำงาน ในปีต่อไป เพื่อให้สอดคล้องกับ สภาวะความเป็นจริงของสังคม เป็นปัจจุบัน

๔.๒.๑๒ โรงบุญ ๕ ธันวามหาราช

ณ ชุมชนชาวอโศกทั่วทุกแห่ง โดยญาติธรรมทั่วทุกภาค ทุกชมชน ร่วมกันจัดขึ้น ในวันที่สะดวก ตลอดเดือนธันวาคม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในวโรกาส วันเฉลิม พระชนมพรรษา ๕ ธันวา มหาราช

๏ หลักการจัดโรงบุญฯ ของชาวอโศก

๔.๒.๑๓ งานคืนสู่เหย้าเข้าคืนถ้ำสัมมาสิกขา
ณ ชุมชนหมู่บ้านราชธานีอโศก จัดช่วงปลายเดือนธันวาคม รวม ๓ วัน เป็นการคืนสู่เหย้า ของนักเรียนสัมมาสิกขา ที่จบการศึกษาแล้ว จะได้กลับมารวมตัวกันอีก เพื่อรื้อฟื้น ความหลัง ดึงคุณธรรม ดึงจิตวิญญาณเก่าๆ คืนมา ได้สนทนากับสมณะ สิกขมาตุ และพบปะ พูดคุย ทักทายถามไถ่ คุ้ยแคะ ขัดเกลากิเลสกันบ้าง อันจะเป็นทรัพย์แท้ ติดตัวตลอดไป

 

๔.๓ สภาวะ ๕ ประการ : ลักษณะของชาวอโศก, สภาพสัจธรรม ที่เหมาะที่สุดของมนุษย์

ด้วยวัฒนธรรม ดังกล่าว ชาวชุมชนสันติอโศก จึงมีวิถีชีวิตที่เป็นไป ตามสภาวะ ๕ ประการ คือ

อิสรเสรีภาพ (Independence)
หมายถึง ความไม่เป็นทาสผู้อื่น ไม่เป็นทาสค่านิยมของสังคม และไม่เป็นทาสกิเลสของตนเองด้วย จะรับใช้ผู้อื่น ก็รับใช้ด้วยความยินดีเอง รับใช้ในทางที่ดี และพาทำด้วย

ภราดรภาพ (Fratarnity)
คือ ความเป็นญาติพี่น้องทางธรรม ต่างมารวมเป็นกลุ่มหมู่ ที่แข็งแรง เหนียวแน่น แข็งแกร่งเหมือนหิน

สันติภาพ (Peace)
เป็นผลของอิสรเสรีภาพและสมรรถภาพ ของแต่ละบุคคล จึงเกิดภราดรภาพขึ้นมา ซ้อนเข้าไป ยิ่งเกิดอิสรภาพ สมรรถภาพ จึงเกิดบูรณภาพขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกิดความเต็ม ความเจริญ เต็มแล้วโตๆๆ

สมรรถภาพ (Efficiency)
หมายถึง ความสามารถ สมรรถนะ คนที่มีความรู้ความสามารถสูง ลักษณะที่จำเป็นสำคัญ สามารถสร้างงานให้วิจิตร

บูรณภาพ (Integrity)
คือ เต็ม ทำให้เต็ม ทำให้เจริญมั่นคง ทำให้ได้สมบูรณ์ ทำทั้งปัจจัยสี่ และสิ่งประกอบธรรมะทั้งปวง

สภาวะ ๕ ประการดังกล่าว หมายถึงความไม่ติดยึด ความเป็นอิสระ เหนือวัตถุ ทรัพย์ศฤงคาร ไม่หอบหวง ทุกคนต่างมี “อิสรเสรีภาพ (independence)” ในการแบ่งปันกัน จนเกิดความเป็นพี่เป็นน้อง

นั่นคือเป็น “ภราดรภาพ (fraternity)” เมื่ออยู่กันอย่างพี่น้อง จึงเกิดความสงบสุข เป็น “สันติภาพ (peace)” ไม่แย่งชิงทรัพยากร ซึ่งความสงบสุขนี้ ทำให้เรามีเวลาเพียงพอ ที่จะมาสร้างสมรรถภาพ ให้กับตนเอง ด้วยความขยันขันแข็ง โดยชาวอโศก จะเป็นผู้ที่กินน้อยใช้น้อย ที่เหลือจุนเจือสังคมอยู่แล้ว

ชาวชุมชน จึงเป็นผู้มี “สมรรถภาพ (efficiency)” ที่ดี สามารถสร้างสรรกิจการงาน โดยไม่เข้าพกเข้าห่อของตนเอง แต่นำไปสู่ส่วนรวม ชุมชน สังคม ประเทศชาติ และ มวลมนุษยชาติ จนเกิดเป็น “บูรณภาพ (integrity)”

 

๔.๔ โครงการเข้าวัดปฏิบัติศีล ๘

“โครงการเข้าวัดปฏิบัติศีล ๘” จัดครั้งแรก เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๖ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๔ โดยคณะสงฆ์ชาวอโศก เป็นผู้ดูแลอบรม

เป้าหมาย
๑. เพื่อพุทธศาสนิกชน ได้รู้จัก เข้าใจ คุ้นเคยพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น
๒. เพื่อปลูกฝังสัมมาทิฏฐิ ซึ่งเป็นเบื้องต้นของ มรรคองค์ ๘
๓. เพื่อฟื้นฟูสมาธิและการปฏิบัติธรรม ในระบบมรรคมีองค์ ๘ ให้แจ่มแจ้ง ชัดเจนมากขึ้น
๔. เพื่อเรียนรู้อยู่ร่วมกับมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ซึ่งเป็นสังคมพุทธบริษัท
๕. เพื่อสร้างจารีตประเพณี แนวทางอันดีไว้ให้เครือญาติ บุตรหลาน และอนุชน
๖. เพื่อผนึกพลังคนดีมีศีล ร่วมสร้างสังคมพุทธ สังคมเพื่อน หรือ สังคมกัลยาณมิตรสืบไป

แนวทางฝึกอบรม

๒. เน้นเสริมสร้างสุขภาพใจ ด้วยแนวธรรม คำสอนของพระพุทธองค์
๓. ภาคปฏิบัติถือศีล ๕ ตื่นตีสาม กินอาหารมังสวิรัติหนึ่งมื้อ เดินเท้าเปล่า ฝึกสติ
๔. ปฏิบัติกิจกรรมในงาน สัมมาอาชีพของชุมชน คุ้นเคยกับสังคมศาสนา
๕. พบพระเกจิฯ ถามตอบข้อสงสัยทุกประเด็น, สนทนาธรรมเป็นกลุ่ม

ระยะเวลา
สามคืนสองวัน ตั้งแต่เย็นวันศุกร์ถึงย็นวันอาทิตย์ โดยเริ่มลงทะเบียนเวลา ๑๖.๓๐ น. ทั้งหมดพักที่สันติอโศก เตรียมเครื่องนอน เช่น ผ้าห่มกันหนาว และกางเกงวอร์ม (สำหรับฝึกโยคะ) มาด้วย

ผู้เข้าอบรม และผู้สนใจปฏิบัติธรรม สามารถร่วมกิจกรรมได้ตลอด (ไม่เสียค่าใช้จ่าย)

ผู้ประสานงาน และรับผิดชอบโครงการ คือ สมณะกล้าจริง ตถภาโว

ผู้ดูแลและอนุมัติโครงการ คือ คณะสงฆ์พุทธสถานสันติอโศก

การสมัครเข้ารับการอบรม
สอบถามได้จากคณะทำงาน โครงการอุโบสถศีล หรือมาสมัคร เย็นวันศุกร์ เวลา ๑๖.๓๐ - ๑๘.๓๐ น. บริเวณใต้โบสถ์ สันติอโศก (เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ ของกิจกรรม และได้ประโยชน์ ในธรรมแบบเต็มๆ ทีมงาจะรับสมัครเฉพาะ ผู้ตั้งใจเข้าร่วมกิจกรรม ทุกโปรแกรม, การแต่งกาย เน้นสุภาพ เรียบร้อย)

เอกสารที่ใช้สมัคร
บัตรประจำตัวประชาชน และสำเนา หากรูปในบัตรไม่ชัด กรุณาส่งรูป ๑-๒ นิ้ว มาด้วย ๑ รูป

สอบถามรายละเอียด เพิ่มเติมได้ที่ ๐๒-๓๗๔-๕๒๓๐ , ๐๒-๗๓๓-๖๖๙๙

๕. การเข้าพักค้างที่สันติอโศก

ผู้ประสงค์จะมาพักในฐานะ “อาคันตุกะ” เพื่อศึกษาปฏิบัติ ทั้งชายและหญิง ต้องถือศีล ๘ เป็นอย่างต่ำ มีความสำรวมสังวร ให้ดูเหมาะสม พักค้างได้ไม่เกิน ๗ วัน

หากจะอยู่เกิน ๗ วัน ต้องแจ้งต่อหมู่สงฆ์ ในช่วงทำวัตรเช้า เรียกว่า “วิกัปป์” เพื่อให้หมู่สงฆ์พิจารณาว่า สมควรให้อยู่ต่อไป ได้หรือไม่ หากเห็นสมควร ก็อยู่ศึกษาปฏิบัติ ได้ตามกฎระเบียบ และสามารถขอเลื่อนจาก อาคันตุกะจร เป็น อาคันตุกะประจำ เมื่อพร้อม และต้องการจะอยู่ศึกษา ปฏิบัติให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น

๕.๑ ผู้ที่ตั้งใจมาศึกษาปฏิบัติธรรม และอยู่เป็นประจำ

ผู้เข้าพักค้าง จะต้องถือศีล ๘ ให้ได้เป็นอย่างต่ำ ฝ่ายชายจะต้องได้รับอนุญาตจาก “สมณะ” ผู้รับหน้าที่ดูแล ส่วนฝ่ายหญิง ต้องได้รับอนุญาตจาก “สิกขมาตุ” ผู้รับหน้าที่ดูแล ผู้เข้าพักค้าง ในเขตพุทธสถานฯ ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ของพุทธสถานฯ อย่างเคร่งครัด

ฝ่ายชาย สถานที่พักค้างของฝ่ายชาย

  1. พระอุโบสถฯ สันติอโศกฯ
  2. บ้านพักฝ่ายชาย (สูงอายุ) ข้างตึกฟ้าอภัยใหม่

ฝ่ายหญิง สถานที่พักค้างของฝ่ายหญิง คือ ที่ตึกขาวและตึกนวล (ฝ่ายหญิง ต้องแต่งกายสุภาพ เช่น ไม่สวมเสื้อยืด กางเกงรัดรูป เป็นต้น)

๕.๒ ชาวชุมชน

คือ ผู้ถือศีล ๕ ละอบายมุข รับประทานอาหารมังสวิรัติ มีสถานที่พำนัก คือ
๑. “อาคารตะวันงาย ๑” ซอยนวมินทร์ ๔๔ (ซอยเทียมพร)
๒. “อาคารตะวันงาย ๒” ซอยนวมินทร์ ๔๘ (ซอยประสาทสิน)
ผู้พักอาศัยที่ “อาคารตะวันงาย” ทั้งสองแห่งนี้ จะต้องได้รับ ความเห็นชอบ จากคณะกรรมการ อาคารตะวันงาย ในที่ประชุม ‘ชุมชนบุญนิยม สันติอโศก’ ก่อน
๓. ทาวน์เฮาส์ ซอยนวมินทร์ ๔๖ (ซอยกลาง) ด้านหน้าพุทธสถาน สันติอโศก

พุทธสถานสันติอโศก จึงเกิดจาก การร่วมรวมพลัง ทั้งแรงกายแรงใจ สร้างสรร ด้วยความเสียสละอย่างเต็มใจ และด้วยแรงศรัทธา ในพระพุทธศาสนา ของกลุ่มพุทธบริษัท ชาวอโศก อันประกอบด้วย นักบวช อุบาสก อุบาสิกา

เป็นการพิสูจน์และยืนหยัดยืนยัน ความเป็นไปได้ของ การอยู่ร่วมกัน เป็นสังคมทวนกระแส โดยมีรากฐาน ความคิดความเชื่อมั่น ในทฤษฎี “มรรคองค์ ๘” (มีความเห็นชอบ ดำริชอบ เจรจา ทำการงานชอบ เลี้ยงชีพชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ มีใจตั้งมั่นชอบ) ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเป็นรูปธรรม โดยมี ‘สมณะโพธิรักษ์’ เป็นผู้นำพา

แนวคิดและการประพฤติปฏิบัติ ดังกล่าว คือ “ระบบบุญนิยม” ซึ่ง ‘สมณะโพธิรักษ์’ และชาวอโศก เชื่อว่าจะนำพาสังคม ไปสู่ความสงบสุขร่มเย็น เป็นทางรอด อย่างแน่นอน

ชาวอโศก มีจุดมุ่งหมาย สร้างสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี เต็มใจเสียสละ เพื่อสร้างสรร ทำประโยชน์แก่สังคม อย่างมี ‘พลังร่วม’ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ จากวิกฤตเศรษฐกิจ ในปัจจุบัน ที่มิได้กระทบกระเทือน เศรษฐกิจระบบบุญนิยม ในชุมชนของเราเลย แม้แต่น้อย เราสามารถอยู่ ท่ามกลางสังคมหมู่ใหญ่ ที่ประสบปัญหาต่างๆ ได้อย่างแข็งแรง ทั้งยังเป็นที่พึ่งพิง ของสังคมด้วย

ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก จึงสามารถยืนหยัด อยู่ในสังคมเมือง เพื่อพิสูจน์สัจธรรม ในพุทธศาสนาว่า มีผลทำได้จริง ในยุคปัจจุบัน แม้จะอยู่ท่ามกลาง กระแสของราคะ โทสะ โมหะ เบียดเบียนกัน ด้วยความโลภ โกรธ หลง และเอารัด เอาเปรียบ อันเป็นความ “หลง-วน” อยู่ในวัฏฏะ อย่างไม่รู้จบสิ้น.

 

“ทาวน์เฮาส์”  ของชาวชุมชนบริเวณด้านหน้าพุทธสถานสันติอโศก

 

๖. ภาคผนวก

๖.๑ พุทธสถานและชุมชนบุญนิยมในปัจจุบัน

- พุทธสถานสันติอโศก (เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ) โทร. 02-374-5230 , 02-733-6699
- พุทธสถานปฐมอโศก (อ.เมือง จ.นครปฐม) โทร. 086-559-6925 , 063-413-0125
- พุทธสถานศีรษะอโศก (อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ) โทร. 088-585-0267
- พุทธสถานศาลีอโศก (อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์) โทร. 086-461-0031
- พุทธสถานสีมาอโศก (อ.เมือง จ.นครราชสีมา) โทร. 086-356-9759
- พุทธสถานราชธานีอโศก (อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี) โทร. 094-258-700
- พุทธสถานลานนาอโศก (อ.สันทราย จ.เชียงใหม่) โทร. 080-052-1950
- พุทธสถานทะเลธรรม (อ.เมือง จ.ตรัง) โทร. 089-853-7162

๖.๒ สิ่งพิมพ์ที่ออกเป็นประจำ

- สารอโศก วารสารรายงานกิจกรรมของชาวบุญนิยม.........รายเดือน
- ข่าวอโศก น.ส.พ. ข่าวสารในแวดวงชาวบุญนิยมฯ...........รายปักษ์
- ดอกหญ้า วารสารสำหรับบุคคลทั่วไป ที่สนใจสัจธรรมของชีวิต....ราย ๒ เดือน
- ดอกบัวน้อย วารสารสำหรับเยาวชน ผู้สนใจการใช้ชีวิตที่ดี.......ราย ๒ เดือน
สิ่งพิมพ์ดังกล่าวข้างต้น สามารถรับแจกได้ที่ แผนกธรรมปฏิสันถาร
- เราคิดอะไร น.ส.พ. สำหรับนักอ่าน และผู้แสวงหา..........รายเดือน

นอกจากนี้ ยังมีสิ่งพิมพ์, VCD, DVD ที่น่าสนใจ จำหน่ายในราคาบุญนิยม ที่ร้าน ‘ธรรมทัศน์สมาคม’

 

๖.๓ แผนที่เดินทางมา “พุทธสถานสันติอโศก”

๖๕/๑ ถนน นวมินทร์ ซอย ๔๔ (เทียมพร)
แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ๑๐๒๔๐

 

- จบ -

13Feb2025