![]() |
![]() |
สัมภาษณ์พิเศษเปิดใจ “วีระ สมความคิด”
|
วันที่คุณเดินกลับมาประเทศไทย เจอประชาชน แห่ไปต้อนรับ รู้สึกอย่างไรบ้าง
ผมดีใจว่า ยังมีคนจำนวนหนึ่ง เข้าใจสิ่งที่เรากำลังทำ และเห็นว่า สิ่งที่เราทำ เป็นประโยชน์ เขาจึงอยาก จะตอบแทน ด้วยการมา ให้กำลังใจ มาต้อนรับเรา ด้วยตัวเอง เพราะอยากเห็นเรา กลับมา ตัวเป็นๆ อยากจับไม้จับมือเรา อยากเอา ดอกไม้มาให้ เห็นอย่างนี้ ก็มีกำลังใจ มากขึ้นครับ (ยิ้ม)
คิดว่าการใช้ชีวิตในเรือนจำเขมร คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อยากรู้ว่า ชีวิตที่นั่น เป็นอย่างไร
ผมคิดว่าไม่ยากอะไรนะ ถ้าปรับตัวได้ ตอนแรก สิ่งที่ผมกังวลคือ เราอยู่ในคุก ของศัตรู ผมเลยห่วงว่า จะมีอันตราย แต่พออยู่ไป สักพัก เขาได้รู้จักเราดีขึ้น ว่าไม่ได้เป็น อย่างที่เขาคิด และ เราปรับตัวได้ เลยเห็นว่า สิ่งที่เราเคยคิดว่า จะเป็นอันตราย หรือ จะเข้ากับเขาไม่ได้ มันก็ไม่ใช่ ผมทำตัว เป็นตัว ของตัวเอง ชอบช่วยเหลือคน มีน้ำใจ ตรงนี้ทำให้คนอื่น เกิดความประทับใจ กลายเป็น บอกต่อกัน ปากต่อปาก ทำให้ผมอยู่ที่นั่น ได้ราบรื่น ไม่มีปัญหาอะไร กับใคร
แล้วตอนผมอยู่ที่นั่น ทางการกัมพูชา จะส่งคน ให้มาดูแลผม เช่น เป็นผู้คุม หรือเป็นนักโทษ ที่ส่งมาดูแลเรา คือ เขาให้นักโทษ มาอยู่กับห้องเดียว กับผมเลย ซึ่งเป็นนักโทษเขมร ที่เขาไว้ใจ และเป็นสเป็ค ที่ผมตกลงกันไว้ คือ ขอคน ไม่สูบบุหรี่ และจะต้อง เชื่อฟังเรา ผมเลยมีนักโทษ มาอยู่เป็นเพื่อนร่วมห้อง พูดง่ายๆ คือมาเป็น คนรับใช้ ช่วยล้างจาน หาบน้ำ แต่เราก็ช่วย ดูแลเขา เหมือนกัน เช่น ทำอาหาร ให้เขากิน แบ่งอาหาร แบ่งของใช้ ให้ทุกอย่าง ดูแลเขา เหมือนเป็นลูกชาย ซึ่งเขาก็เรียก เราว่า เป็นพ่อ
พวกนักโทษที่มาอยู่ด้วย เป็นใครบ้างคะ คิดว่าน่าจะมี เรื่องเล่าสนุกๆ เกี่ยวกับพวกเขา มาเล่าให้ฟัง
ผมมีนักโทษมาอยู่กับผม ทั้งหมด 3 คน คนแรกชื่อ “เอือน” เอือนเป็น ช่างซ่อม จักรเย็บผ้า ในโรงงาน อุตสาหกรรม เขาถูกจำคุก เพราะถูกหาว่า ไปขโมย โทรศัพท์มือถือ ในโรงงานทอผ้า ความจริง เขาไม่ได้รู้เรื่องเลย แต่ถูกยัดข้อหา เลยถูกจับคุก แต่แค่ปีเดียว คือที่กัมพูชา ถ้าถูกจับแล้ว ไม่มีปล่อย จับผิด ก็ต้องขังก่อน อย่างน้อย 1 ปี เพื่อไม่ให้เสียหน้า คือ จับแล้วต้องผิด ไม่ผิดก็จะจับ คือ ถ้ากูหมั่นไส้ใคร กูก็จับ พอครบกำหนดคุมขัง เอือนจึงออกจาก เรือนจำไป
คนที่สองชื่อ “ตาน” คนนี้เคยอยู่เมืองไทย มาก่อน พูดไทยเก่ง เคยทำงาน เมืองไทย เป็นสิบปี แต่พอกลับไปที่เขมร กลับติดคุก ที่นั่นอยู่ 6 ปี เขาถูกตั้งข้อหาว่า ไปปล้นคนอื่น แต่เขาบอกเราว่า พอกลับไปกัมพูชา เลยไปเที่ยว และกินเหล้า กับเพื่อน แต่ถูกตำรวจจับ หาว่าไปปล้น เขายืนยันว่า ไม่ได้ไปปล้น ผมก็ไม่รู้ ว่าจริงไม่จริง แต่เขาบอกมา อย่างนี้
ตานมีเรื่องเล่าตลก ตรงที่พอเขามาอยู่กับผม ด้วยวัยที่เขายังเด็กอยู่ อายุแค่ 25 ปี ทั้งๆที่เขารักผม และอยากอยู่ด้วย แต่พอมา อยู่ด้วยจริงๆ กลับอยู่ด้วยไม่ได้ เพราะผมกิน มังสวิรัติ แต่เขายังอยาก กินเป็ด กินไก่ กินหมู บ้าง แต่ผมก็ไม่ทำ ให้เขากิน บอกว่า เอ็งอยู่กับพ่อ เอ็งก็ต้องกิน อย่างนี้แหละ เพราะผมกิน มังสวิรัติ (หัวเราะ) แล้วผมพาเขา ไหว้พระ สวดมนต์ทุกวัน เขาคงทนไม่ได้ (หัวเราะ) บอกอยู่ห้องเก่า ยังพอได้ฟัง เพลงบ้าง แต่ห้องผม เรือนจำ ไม่อนุญาต ให้มีวิทยุ เขาเลยไม่ได้ฟังเพลง นอกนั้น ยังถูกห้ามอ่านหนังสือ ห้ามเขียนหนังสือ คือทำอะไร ไม่ได้เลย เขาจึงขอย้ายออก ไปอยู่ห้องอื่น (หัวเราะ)
ส่วนคนที่สาม ชื่อ “แก้ว” เขาเป็นคนลาว คนนี้ผมขอให้เขา มาอยู่กับผมเอง เพราะผม บอกทางการ เขมรไปว่า สองคนแรก เป็นคนเขมรแล้ว คนที่สามนี้ ผมขอเลือกเองบ้าง พอทางการตกลง ผมเลยไปชี้ตัว เอาแก้วมาอยู่ด้วยเลย เพราะผมสงสารเขา เวลาเดินผ่าน ห้องขังเขา จะเห็นว่า เขาไม่ได้ออกจาก ห้องขังมาเลย ส่วนเขาจำผมได้ ตอนที่ผมถูกจับ เขายังอยู่ที่ประเทศลาว และดูข่าวผม พอเห็นผมเดินผ่าน ห้องขังทุกๆ วัน เขาเลยเรียก ถามว่า “พ่อวีระใช่ไหม” ผมเลย ถามว่า ใครล่ะ ทำไมพูดไทยได้ เขาตอบว่า ผมเป็น คนลาวครับ พอฟังเรื่องเขาแล้ว เห็นว่าถูกจับ โดยไม่ผิด เขามากับ ขบวนการ ค้ายาบ้า แต่เขาไม่รู้เรื่อง อะไรด้วย แต่โดนติดร่างแหมา พอผมเลือกเขา มาอยู่ด้วย เขาเลยดีใจ เหมือนตายแล้ว เกิดใหม่ (ยิ้ม)
อยู่ในห้องขัง อ่านหนังสือก็ไม่ได้ ฟังเพลงก็ไม่ได้ แล้วคุณวีระ ทำอะไร ในห้องขังบ้างคะ
ผมปฎิบัติธรรม มานานแล้ว ดังนั้นทุกวัน ผมจะสวดมนต์ ไหว้พระครับ
อยากเห็นสภาพ ความเป็นอยู่ของคุณ ในเรือนจำ กิจวัตรประจำวัน มีอะไรบ้าง
ผมอยู่ห้องเล็กๆ กว้าง 1.7 เมตร ยาว 4 เมตร ห้องเล็กนิดเดียว แต่อยู่กัน สองคน ผมนอน บนที่นอน ซึ่งก่อเป็นปูนขึ้นมา ส่วนเด็ก ที่อยู่กับผม ก็นอนข้างล่าง ที่เดินไม่มีเลย พอตอนกลางคืน ด้วยความที่เรา อายุมากแล้ว ผมก็จะเอา ขวดพลาสติกใหญ่ๆ ใบหนึ่ง เข้าไปด้วย เพื่อเอาไว้ปัสสาวะ ขี้เกียจเดิน เข้าห้องน้ำ เพราะตอน กลางคืน ไม่มีไฟ กลัวเดินไปเหยียบหัวเด็ก (หัวเราะ)
ปกติผมตื่นนอน ประมาณตี 4-ตี 5 ตื่นมา ก็จะทำวัตร สวดมนต์ก่อน 6 โมงกว่า ถึงออกมา จากมุ้ง แล้วรอเขามา เปิดประตูห้องให้ ตอน 8 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ ตลาดในเรือนจำเปิด ผมต้องรีบไปแย่งซื้อ เห็ดกับเต้าหู เพราะของ มีน้อย ที่นั่น ผมต้อง ทำอาหารเอง เพราะอย่างที่บอกว่า ผมกินมังสวิรัติ และเรือนจำที่โน่น แตกต่าง จากบ้านเรา เรือนจำประเทศไทย ห้ามทำอาหารเอง แต่เรือนจำ กัมพูชา อนุญาต ให้ทำอาหารได้ เพราะเป็น วิธีทุจริต อย่างหนึ่งของเขา เขาจะสามารถ ขายของสด เพื่อเป็นรายได้ เข้าผู้คุม
พอไปตลาดเสร็จ ผมจะกลับมา ทำอาหาร ทำเสร็จ ก็ปิดประตู กินข้าว ทำครั้งหนึ่ง จะเผื่อกินทั้งวันเลย ผมกินอาหาร วันละ หนึ่งอย่าง แล้วที่โน่น จะพักเที่ยงตอน 11.00-14.00 น. ดังนั้น สามารถออกมาเดิน นอกห้องพักได้ ส่วนรอบบ่าย คือ 14.00-16.00 น. ผมจะไม่ค่อย ออกไปไหน ส่วนมาก จะออกมาเดิน หน้าห้องพัก เพราะหน้าห้อง จะมีทางเดินสั้นๆ ประมาณ 6 เมตร ผมจะชอบเดิน คนเดียว อยู่หน้าห้อง นั่นแหละ เพราะถ้าจะให้อยู่ ในห้องตัวเอง มันก็เป็นพื้นที่เล็กๆ แค่ 3-4 เมตร
พอหลัง 4 โมงเย็นถึง 8 โมงเช้า ผมจะอยู่ในห้องพัก อาบน้ำ กินข้าวเย็น ไหว้พระ สวดมนต์ ทำวัตรเย็น และนั่งสมาธิ อยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง พอ 4 ทุ่มก็นอน ถึงนอน ไม่หลับ ก็ต้องนอน เพราะไฟปิดหมดแล้ว ทั้งเรือนจำ
เวลาคุณทำอาหารมังสวิรัติ มีเมนูไหน ที่คุณชอบทำมาก เป็นพิเศษไหม
ไม่มีเมนู ที่ชอบทำที่สุด เพราะผมล็อกไว้หมดแล้วทั้ง 7 วัน (หัวเราะ) จำได้แม่นเลย วันจันทร์แกงส้ม วันอังคาร แกงเลียง วันพุธพะโล้ วันพฤหัสฯ แกงป่า วันศุกร์ต้มยำ วันเสาร์ แกงเขียวหวาน วันอาทิตย์ต้มซุป คือผมแพลนอาหาร 7 วัน ตามเครื่องแกง ที่แม่ส่งไปให้ จึงทำอาหารได้อยู่แค่ 7 อย่างนี้ (หัวเราะ)
แล้วสภาพชีวิตนักโทษคนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้างคะ มีนักโทษคนไหน ที่คุณรู้สึก ประทับใจบ้างไหม
ผมสงสารนักโทษ ที่ไม่มีญาติพี่น้อง เพราะคุณภาพชีวิตเขา จะแย่มาก ต้องกิน น้ำสกปรก ในห้องน้ำ เพราะไม่มีเงิน ซื้อน้ำสะอาดกิน ไม่มีเงินซื้ออาหารกิน อยู่ได้โดย การกินอาหาร ของเรือนจำเป็นหลัก แต่ถ้าเขาขยัน หรือมีเพื่อน ร่วมห้อง นิสัยดี เขาก็จะไม่ อดอยากมาก สามารถรับจ้างเพื่อนๆ ซักผ้า ล้างจาน บีบนวด แล้วคนอื่น ก็จะแบ่งอาหารให้บ้าง แบ่งบุหรี่ให้บ้าง
มีนักโทษคนหนึ่ง ซึ่งเคยอยู่ที่ เขาพระวิหาร คนชอบเรียกเขาว่า “ขะเมา” แปลว่า ไอ้ดำ ทีแรก เขาไม่ชอบผม เพราะเขาเป็นคน พระวิหาร และรู้ว่า ผมต่อต้านเรื่อง เขาพระวิหาร (หัวเราะ) แต่เขามีโรคประจำตัวคือ เป็นโรคลมบ้าหมู พอมีอาการที ก็จะชัก น้ำลาย ฟูมปาก แต่ไม่ค่อย มีคนช่วยเหลือ มีแต่คนอยากให้เขาตาย เพราะเขา มีอาการบ่อย คนคิดว่า เป็นภาระ หมอก็ไม่มาดูแล
ส่วนผมไม่รู้ว่า เขาเป็นลมโรคบ้าหมู วันหนึ่งเห็นเขาเดินมา เหมือนคนเมา และนั่งชัก น้ำลายฟูมปาก กัดลิ้นตัวเอง ผมเลยรีบไป ง้างปากเขา เพราะกลัว ลิ้นเขาขาด จากนั้น ช่วยบีบนวดเขา คนอื่นบอกว่า อย่าไปยุ่งกับมัน มันสกปรก แต่ผมก็บีบ นวดเขาจนฟื้น และพาเขา ไปหาหมอ หลังจากนั้น เขาเลยประทับใจ และดีกับผม เรียกผมว่า “อมๆ “ แปลว่าลุง เวลาเขาไม่มีเงิน ซื้อซีอิ้ว ก็จะมาขอเงินผม ไปซื้อซีอิ้ว หรือพอมีขนม ผมก็แบ่งให้ เวลาเขาไม่สบาย ก็แบ่งยาให้
ตอนหลัง เด็กที่อยู่กับผม ป่วยหนัก ปกติเราจะต้องหาบน้ำ มาไว้ใช้เองทุกวัน พอเด็ก ของผมป่วย ก็เลยแบกน้ำไม่ได้ ส่วนผมเอง ก็แบกน้ำไม่ไหว เพราะมีโรค ประจำตัว พอขะเมารู้ เขารีบไปหาบน้ำ มาให้ผมทันที พอให้เงิน เขาก็ไม่เอา บอกว่า อยากตอบแทน พระคุณ ขะเมาช่วยหาบน้ำทุกวัน จนเด็กของผมหายดี เขาถึงหยุด หาบน้ำไป ผมเลยรู้สึกว่า สิ่งดีๆ ที่ผมทำให้ ก็มีคนรู้บุญคุณ และกลับมา ช่วยเหลือเรา (ยิ้ม)
แล้วมีเรื่องประทับใจอะไร ในเรือนจำอีกหรือเปล่า
เรื่องประทับใจคือ ตอนผมถูกจำคุกได้ 6 เดือน ผมได้เจอเรื่องใหญ่ เกี่ยวกับ สิทธิมนุษยชน คือ นักโทษที่นี่ไม่รู้ว่า เรือนจำหลายๆ แห่งในกัมพูชา มีข้อตกลงกับ กาชาดสากลว่า กาชาดสากล จะเข้ามาช่วยเหลือ ความเป็นอยู่ ของนักโทษ ให้ดีขึ้น เช่น ช่วยปรับสภาพเรือนจำ ในกัมพูชา ให้ได้มาตรฐาน สากล ช่วยสนับสนุน ค่าอาหาร สร้างโรงพยาบาล สร้างห้องสมุด ซื้อผงซักฟอก สบู่ ยารักษาโรคผิวหนัง มาแจกนักโทษ ทุกคน แต่เรือนจำ ต่างๆ จะต้องรับเงื่อนไข คือ ต้องอยู่ภายใต้ ข้อตกลงของกฎหมาย มนุษยธรรม ระหว่างประเทศ ดังนั้น เรือนจำจะลงโทษ หรือทำร้ายนักโทษ ที่ผิดวินัย ด้วยวิธี ทารุณโหดร้ายไม่ได้
แต่มีอยู่วันหนึ่ง ช่วงเดือนพ.ค. 54 ผมได้เห็น ภาพทารุณนี้กับตา วันนั้น ผมเห็นผู้คุม จับนักโทษ ที่ไม่ได้ผิดอะไรมาก พวกเขาเป็นนักโทษสามคน ที่หนีออกมาจาก ช่องประตู ที่เรือนจำเจาะไว้ สำหรับส่งถังข้าว เพราะพอนักโทษ กลุ่มนี้ ไม่ได้ไปทำงาน จึงไม่ได้ ออกจากห้อง ถ้าจะออก ก็ต้องจ่ายเงิน แต่เขาไม่มีเงินจ่าย พออยากจะออก มาเดินข้างนอก จึงลักลอบ ออกจากห้อง ตอนที่ผู้คุม เปิดห้องต่างๆ เพื่อจะเอาถังข้าว เข้าไปส่ง แต่พอออกมาเดิน ผู้คุมจำได้ว่า พวกนี้ไม่ได้จ่ายตังค์นี่หว่า จึงโดนจับไปตี จนสลบเกือบตาย ผมเห็นเลยรีบไปห้าม บอกให้เด็ก ช่วยพูดเขมร แปลให้ ผู้คุมไม่พอใจ แต่ก็ยอมหยุด หลังจากนั้น ผมรายงานเรื่องไปถึง ผู้บัญชาการ กลายเป็นเรื่องใหญ่ พอกาชาด สากลมา ผมก็รายงาน เรื่องเลยไปถึง กระทรวง มหาดไทย มีการสอบสวน จนผู้คุมระดับเล็ก ถูกไล่ออก ส่วนผู้คุมระดับใหญ่ ถูกลดชั้น จากหัวหน้าตึก กลายเป็นคนเฝ้า ลานจอดรถ ข้างนอกเรือนจำ เลยกลายเป็น เรื่องฮือฮา
ตั้งแต่นั้นมา เรือนจำมีคำสั่งออกมาว่า ต่อไปนี้ ผู้คุมห้ามทำร้ายนักโทษ ผู้คุมเลย ไม่กล้าทารุณ นักโทษอีก (ยิ้ม) ปกติผู้คุม จะนั่งไขว่ห้างคุยกัน แต่เวลาผมเดินผ่าน เขาจะรีบ เอาขาลง เรียบร้อย เจี๋ยมเจี้ยม (หัวเราะ) ที่จริงนักโทษ ต้องทำอย่างนี้ กับผู้คุม แต่ผู้คุม กลับทำกับเรา เพราะเกรงใจเรา เห็นว่าเราเป็นคนดี สิ่งที่ผู้คุม กลัวเกรงผมคือ ผมเป็นคนเอาจริง ไม่กลัว ในเรื่อง ที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเจอเรื่อง ละเมิดสิทธิ เรื่องทุจริต คอร์รัปชั่น ผมก็จะไม่ยอม ดังนั้น เวลาผู้คุม จะไถเงิน นักโทษ ถ้าผมเดินไปปุ๊บ เขาจะหยุดทันที
ได้ยินว่าภรรยาของคุณ คือ คุณขวัญ (พิศอำไพ สมความคิด) ไปเยี่ยมคุณ ที่เรือนจำ เป็นประจำ
ใช่ครับ ภรรยาจะมาเยี่ยมผม ทุกวันศุกร์ พอมาก็จะเอาของกิน ของใช้ เอายามาให้ ผมได้แบ่งยาพวกนี้ ไปให้นักโทษคนอื่นๆ ใช้ด้วย นักโทษ บอกว่า ยาผมดีกว่า ยาของ หมอที่นั่น กินยาหมอไม่หาย แต่กินยา ของผมหาย (หัวเราะ) ตอนหลัง ภรรยาผมจัดทำ เป็นโครงการเลย มีเอายา เอาหมอฟัน ไปรักษานักโทษ ที่เรือนจำ ในกัมพูชา เน้นเรือนจำ ที่มีคนไทยอยู่เยอะ แต่นักโทษชาติอื่นๆ ก็จะได้อานิสงค์ ได้รับการรักษา เหมือนกัน
ตอนคุณติดคุก อยู่ที่นั่น คิดว่าภรรยาคุณ คงจะไปเยี่ยม และบอกข่าวคราว ของเมืองไทย ให้ฟังบ้าง มีข่าวไหน ที่คุณรู้สึก เป็นห่วงที่สุด และเพราะอะไร
คงเป็นเรื่องที่ มีการชุมนุม ขับไล่รัฐบาล ผมห่วงเรื่อง ความปลอดภัย ของผู้ชุมนุม เพราะเราเคย เป็นแกนนำ เลยรู้ว่า ต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง ทั้งค่าใช้จ่าย ทั้งเรื่อง ความปลอดภัย ของคนที่อยู่ในม็อบ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
มีวันที่คุณรู้สึกเหนื่อย ท้อแท้บ้างไหมคะ อยากรู้ว่าสภาพตอนนั้น ของคุณ เป็นอย่างไร
ผมมีพื้นฐาน ในการปฏิบัติธรรม ดังนั้น ในความรู้สึกของผม เรื่องนี้ จึงไม่หนักหนามาก รู้สึกไม่มีอะไร มาบีบคั้น แต่มีบ้าง ที่รู้สึกท้อถอย เหนื่อยหน่าย ผิดหวัง แต่ไม่มาก เหมือนคนอื่น ที่อาจรู้สึกเสียใจ หรือเสียดายอะไร อย่างนี้ ผมเสียใจอยู่ เรื่องเดียวคือ ตอน หมาสุดที่รัก ของผมตาย ตอนที่ผมติดคุก ได้ปีกว่า มันตาย เพราะตรอมใจ ที่ไม่เห็นผม พอภรรยามาแจ้ง บอกว่า “ไอ้สัว” หมาของผม ตายแล้ว ผมจึงเสียใจ ที่ไม่มีโอกาส กลับมาดูแลมัน มากกว่า
แล้ววันไหน ที่รู้สึกตัวเอง มีความสุขที่สุด ใช่วันที่จะออกจาก เรือนจำ หรือเปล่า
ไม่ครับ ผมไม่ค่อยมีความรู้สึก อะไรที่พิเศษ หรือตื่นเต้นอะไรมาก จนเขามา บอกว่า จะปล่อยตัว ผมยังไม่เชื่อ กระทั่ง เขามาเปิดห้อง ให้เราออกจริงๆ ถึงได้คิดว่า จริงเว้ย มันคงปล่อยเราจริง
วันที่เดินออกจากเรือนจำ บรรยากาศเป็นอย่างไรคะ
พอเขาเปิดห้อง ให้ผมออกมา ผมเดินลงมาข้างล่าง เห็นผู้บัญชาการ เรือนจำ มาเองเลย เขากลับบ้านไปแล้ว ก็กลับมา ในชุดลำลอง ใส่กางเกงขาสั้น ใส่เสื้อยืด มาลาผม ส่วนผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการ ก็มากันเต็มเลย มาร่ำลากัน เขาบอก รอเดี๋ยวนะ ทางเจ้าหน้าที่เรือนจำ กำลังบึ่งรถ มอเตอร์ไซค์ ไปศาล เพื่อไปเอาคำสั่ง ปล่อยตัว จากศาล เพราะแม้ ฮุนเซน จะประกาศแล้วว่า ให้ปล่อยตัวผม แต่ถ้าไม่มี คำสั่งปล่อยตัว ก็ปล่อยตัว ไปไม่ได้
พอหนังสือ จากศาลมาปั๊บ เขาให้ผมแปะโป้ง ลงกระดาษ 3 แผ่น เสร็จให้เรา เดินออก โดยไม่ตรวจ อะไรเลย เพราะเขาให้เกียรติ เดินออกไป เจอท่านทูต จอดรถรออยู่ ผมถามว่า จะพาไปไหน ท่านทูตบอก จะพาคุณวีระ ไปพักรับรอง ที่บ้านพัก ของผมก่อน ในสถานทูต และเดี๋ยวท่านปลัด จะมาพบ ที่สถานทูตด้วย ผมเลยไปร่ำลา กับคนอื่นๆ พวกที่รู้ข่าว ก็แห่กันมา เต็มหน้า เรือนจำเลย ส่วนผู้คุม ที่สนิทกับผม เขาขอให้ผม ไปบ้านเขาก่อน ผมจึงซ้อนท้าย มอเตอร์ไซค์เขา ไปที่บ้านพักเขา กลายเป็น ที่ฮือฮา กันใหญ่ (หัวเราะ) เขาพาผม ไปรู้จักบ้านเขา ภรรยา และลูกเขา เขารักผม และเป็น ผู้คุมคนเดียว ที่ดูแลผม ตั้งแต่วันแรก ที่ถูกจับ
แล้วตอนที่โทรไปบอก ข่าวดีกับภรรยา บอกกับภรรยา ว่ายังไงคะ
ตอนโทรหาคุณขวัญ เขากำลังขับรถ จะไปงานที่อนุสาวรีย์ฯ เสียงเขา เหมือนไม่เชื่อ ตอนผมบอกเขาว่า “เขาปล่อยแล้ว” เขาถามว่า “ใครๆ ปล่อยอะไร” เพราะเขา ไม่คิดว่า เราจะใช้โทรศัพท์ โทรหาได้ ผมก็บอก ใช้โทรศัพท์ ของไอ้นูน (ผู้คุม) โทรมา เขาปล่อยแล้ว คุณขวัญเลยบอกว่า ขอเช็กสถานทูตหน่อย เพราะที่ผ่านมา มีข่าวตลอดว่า จะได้รับ การปล่อยตัว แต่ไม่ได้ปล่อยสักที สุดท้าย พอกงศุลบอกว่า มาได้เลย เขาเลยบินมา ตอนเที่ยวบิน ตอน 21.20 น. ของวันนั้นเลย กว่าจะได้เจอกัน ก็ประมาณ 5 ทุ่ม
ครั้งแรกที่เห็นหน้าภรรยา นอกเรือนจำ รู้สึกอย่างไร
ผมก็ดีใจ ส่วนเขาก็โผเข้ากอด ร้องไห้เลย (ยิ้ม)
แล้วคุณวีระ ร้องไห้ด้วยไหม
ไม่ร้องครับ ผมไม่มีเสียน้ำตาอยู่แล้ว
อยากรู้ว่า ตอนติดคุกอยู่ที่นั่น นอกจากภรรยาแล้ว มีใครมาเยี่ยมอีก
มีนักธุรกิจ ที่ทำงานอยู่พนมเปญ , เพื่อนสวนกุหลาบ ,อาจารย์, พระหลายรูป ที่สนิทสนมกับผม และพล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติคุณทักษิณ ที่พล.อ. ชัยสิทธิ์ มาเยี่ยม เพราะภรรยาเขา เป็นเพื่อนร่วมเรียน ปปร 9 ที่สถาบัน พระปกเกล้า ด้วยกันกับผม เราเลยสนิทกัน เขาจึงมาเยี่ยม เป็นการส่วนตัว ไม่ใช่เพราะเรื่อง การเมืองนะ
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยไปเยี่ยมไหมคะ
ไม่เคยมา
ถ้ามีโอกาสเจอคุณอภิสิทธิ์ อยากจะพูดอะไรกับเขา
ไม่มีครับ ผมให้อภัยหมดแล้ว ผมให้อภัยทุกคน ที่ให้ร้ายผม ไม่ว่าเป็นใคร ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนกัมพูชา ผมไม่จองเวร ที่ผ่านมา ถือว่าจบแล้ว แต่ในอนาคต ไม่เกี่ยวนะ ถ้าในอนาคต ต้องเจอกัน ตามหน้าที่การงาน หรือ ต้องตรวจสอบกัน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ
มีเรื่องไหนที่คุณรู้สึก ไม่ได้รับความเป็นธรรม และอยากชี้แจงบ้าง
เยอะแยะ เช่น เรื่องที่เรา ไม่ได้รับสิทธิ เหมือนนักโทษคนอื่น แทนที่รัฐบาล ฝ่ายไทย จะช่วยเหลือเรา อย่างจริงใจ ก็ไม่ช่วยเหลือ กลับไปเข้าข้างฝ่ายศัตรู และพยายามให้เรา ต้องยอมรับผิด ซึ่งผมรู้สึกว่า ผิดหวังมากนะ เป็นคนไทย ด้วยกัน ไม่น่าทำอย่างนี้ ผมไม่ได้ต้องการ เรียกร้องอะไร เพราะถ้าจะให้คืน ความเป็นธรรมมา มันก็ให้คืนมา ไม่ได้อยู่แล้วครับ จะมาเยียวยาอะไร เยียวยา เป็นตัวเงินเหรอ ผมก็ไม่ต้องการ
คุณเคยโกรธ รัฐบาลไทยบ้างไหมว่า ทำไมไม่มาช่วยเลย
ตอนแรกๆ ผมก็รู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่ใช่ว่า โกรธที่เขาทำกับเรานะ แต่โกรธว่า ทำไมมัน ทรยศแผ่นดิน ทำไม มันเลวอย่างนี้ ทำไมมันขายชาติ ผมโกรธตรงนี้ มากกว่า แต่ไม่ได้โกรธว่า ทำไมไม่มาช่วยเหลือเรา อะไรอย่างนี้
แล้วผมอยากให้เรื่องของผม เป็นกรณีสุดท้าย อย่าให้เกิดกับ คนไทย คนใดอีก โดยเฉพาะ คนไทยคนนั้น ที่ทำเพื่อประโยชน์ ของแผ่นดิน ประเทศนี้ ต้องตอบแทนเขา ดูแล ถ้าไม่ตอบแทนเขา ก็ไม่ควรที่จะเนรคุณ หรือมาทำกับเขา อย่างนี้
ได้ยินว่าความจริง คุณก็มีโอกาสกลับไทย แต่คุณไม่ยอม อยากรู้ว่า เบื้องหลัง ความจริง เกิดอะไรขึ้น
เรื่องนี้อย่าเพิ่งพูดเลย เพราะเขาขอร้องมา เดี๋ยวมันจะกระทบต่อ นโยบาย ปรองดอง และต้องกระทบกับ พรรคการเมือง หลายพรรค
จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด คุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ผมไม่ถือเป็นการเรียนรู้ แต่ถือเป็นประสบการณ์ มากกว่า ทำให้เรา ได้เรียนรู้คน มากขึ้น คนที่เรา เคยคิดว่า เป็นเพื่อนเรา พอถึงวันหนึ่ง เขาก็พร้อมจะเป็น ศัตรูกับเรา ทำร้ายเราได้ หรือเอาเรา ไปหาผลประโยชน์ได้ แต่กับคนที่เรา ไม่คาดคิด เมื่อถึงเวลา ที่เราลำบาก เขากลับกลายเป็น เพื่อนที่ดี ของเรา ซึ่งเรานึกไม่ถึงเลยครับ
หลังจากนี้ จุดยืนของคุณ ในเรื่องการเมือง และสังคม จะเป็นอย่างไรต่อไป
ก็ยังคงเหมือนเดิมครับ ผมจะช่วยดูแล ปกป้องผลประโยชน์ ให้ส่วนรวม ทำอย่าง ตรงไปตรงมา และจริงจัง ส่วนเรื่อง จะทำอะไรบ้าง ตอนนี้ผมยังไม่รู้ คงต้องกลับไป ออฟฟิศ และดูว่า งานค้างเก่าๆของผม เหลือกี่เรื่อง และมีเรื่อง ใหม่ๆ ที่เข้ามา ช่วงที่ผม ติดคุก อะไรบ้าง
แล้วคดีพิพาทไทย-กัมพูชา “บ้านหนองจาน” สระแก้ว ที่คุณลงพื้นที่ จนถูกทหาร กัมพูชา จับกุมล่ะ จะมีการสานต่อ คดีอย่างไรไหมคะ
ตอนนี้คดี ที่บ้านหนองจาน ยังเหมือนเดิมเลยครับ ยังไม่มีการแก้ไข เห็นเขาบอกว่า กำลังเจรจากันอยู่ แต่ก็หลายปีแล้ว ผมต้องกลับไปดูว่า ตอนนี้ การเจรจาตกลง เป็นอย่างไรบ้าง แล้วจึงค่อยดำเนินการ อีกทีครับ
ในความเห็นของคุณ คิดว่าตอนนี้ประเทศไทย ควรดำเนิน นโยบาย ระหว่างประเทศ กับประเทศ กัมพูชา อย่างไร
ผมว่าตอนนี้ น่าจะดีขึ้นแล้ว เขายืนยันว่า ปรับความสัมพันธ์ดีขึ้น แล้วนะครับ ผมว่าทั้งสอง ควรจะอยู่ร่วมกัน อย่างพี่อย่างน้อง ขอให้เคารพ ซึ่งกันและกัน ในกติกา กฎหมาย และสนธิสัญญาต่อกัน การจะทำใดๆ ที่จะก่อให้เกิด ความรู้สึก ที่ไม่ดี ระหว่างกัน ก็อย่าทำเลย เช่น การเข้ามาแบบ ไม่ถูกต้อง ไม่อะไรแล้วจะมา ใช้กำลังยึด อย่างนี้ ก็อย่าทำกันเลยครับ
คุณคิดว่าอะไร คือปัญหาที่แท้จริง ในเรื่องความสัมพันธ์ ของไทย และกัมพูชา
ปัญหาคือ เรื่องของการปกปิด ใช้อำนาจที่ไม่ถูกต้อง ตามกฎหมาย ไม่เคารพ คนในประเทศ ทั้งสองประเทศเลย ผู้นำทั้งคู่ ไม่เคารพกฎหมาย ของตัวเอง ไม่เคารพ รัฐธรรมนูญ ของตัวเอง อย่างของไทยคือ ไม่เคารพรัฐธรรมนูญ เช่น การไปตกลง ในเรื่อง ข้อตกลงสัญญา ระหว่างประเทศ ที่กระทบต่อบูรณภาพ แห่งดินแดน และต้องผ่าน รัฐสภา ก็ไม่ผ่าน แอบทำเองอย่างนี้
ประเทศเขมร ก็เหมือนกัน เขาก็มีกฎหมายนี้ แต่เขาก็ไม่ทำ แอบมุบมิบ ทำกัน จนประเทศ ทั้งสอง เสียหาย ประชาชนท ั้งสองประเทศ ถูกละเมิด ซึ่งผู้นำ ทั้งคู่ ไม่ควรทำ แบบนี้ ผมเห็นว่า ควรจะทำ ให้มันถูกต้อง ตามกฎหมาย ทำอย่างโปร่งใส ให้ประชาชน รับรู้ มีส่วนร่วม ในการตัดสินใจ และ เคารพกฎหมาย ระหว่างประเทศ จึงจะไม่เกิด ปัญหาอะไร
แล้วประเทศไทย หลังจากนี้ ควรจะเดินหน้า แบบไหน สังคมไทย จึงจะปรองดอง และมีความสุขได้
ผมคิดว่า ตรงนี้ทาง คสช. เขามีแผน และวิธีดำเนินการ ของเขาอยู่แล้ว ผมเพิ่งกลับมา เลยยังไม่รู้ รายละเอียด ในเรื่องของโรดแมป ของเขาเท่าไร จึงยังออกความเห็น เรื่องนี้ไม่ได้
สุดท้ายนี้ มีอะไรอยากฝาก ถึงสังคมไทย บ้างไหมคะ
ผมอยากจะขอให้สังคมไทย เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ อย่างถูกต้อง ผมไม่ได้ทำ เพราะอยากดัง อยากได้เงิน หรืออยากได้ตำแหน่ง ทางการเมืองใดๆ สิ่งที่ผมมา โดยตลอดนับ 10 ๆ ปี คือ ผมทำเพราะ อยากเห็น สังคมไทยดีขึ้น อยากเห็น การทุจริต คอรัปชั่น ลดลง อยากจะให้เข้าใจ ตรงนี้ให้ถูก เพราะถ้าเข้าใจถูกแล้ว ก็จะมีคน อยากทำ แบบผม เพิ่มขึ้น
แต่ถ้าเขาเข้าใจว่า ผมทำเพราะ ได้เงินได้ทอง เสแสร้งแกล้งทำ คนก็ไม่เกิด ศรัทธา ที่จะทำตาม เพราะรู้ว่า พวกนี้แกล้งทำดี เพราะต้องการ ไปเล่นการเมือง เขาก็ไม่อยากทำ มันก็ไม่มี แรงบันดาลใจที่ดี ผมอยาก ให้เข้าใจว่า คนที่ตั้งใจทำจริงๆ ยังมีอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีตัวตน และ จะอยู่ให้พิสูจน์ ไปอีกนาน จะได้มีคนมั่นใจว่า ทำอย่างนี้แล้ว สังคมไทย ให้การยอมรับ เขาจะได้มีกำลังใจ ในการทำเหมือนผม เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้วสังคมไทย ก็จะดีขึ้น
ชมคลิปวีระฝากข้อความถึงชาวไทย
เรื่องโดย ASTV ผู้จัดการ Live
สัมภาษณ์โดย สุพรรษา แก้วแสงธรรม
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9570000075301