![]() |
![]() |
วีระ บุรุษ “การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา”
“ยังทำให้ผมรู้สึกเสียใจ ไม่มากเท่ากับฝ่ายเรา”
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 5 กรกฎาคม 2557 06:39 น.
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เคยมีการเสนอข้อแลกเปลี่ยน แลกกับอิสรภาพ ของตน 3 ครั้ง แต่รับไม่ได้ เนื่องจาก เป็นกรณีที่ ทำให้ประเทศเสีย ผลประโยชน์ การดำเนินการ ของฝ่ายกัมพูชา ยังทำให้ผม รู้สึกเสียใจ ไม่มากเท่ากับฝ่ายเรา” นายวีระ สมความคิด บอกเล่าเพียงสั้นๆ ถึงความเจ็บปวด ที่ถูกกระทำจาก คนไทยบางคน ที่มีอำนาจวาสนา เป็นคณะผู้บริหารประเทศ
แต่ด้วยสปิริตอันสูงส่ง เขายินดีให้อภัย “ผมให้อภัยคนที่ให้ร้ายผม ผมจะปล่อยไป เรายังมีหน้าที่อีกเยอะ” .... “ ให้อภัย อโหสิกรรม ต่อคนที่ทำตนเอง ไม่โกรธ...” นายวีระตอบคำถาม ย้ำผ่านสื่อมวลชน เพื่อส่งสาส์นไปยัง นักการเมือง จากพรรคเก่าแก่ ที่ยืนอยู่ข้าง กัมพูชา ซึ่งกล่าวหาเขาว่า รุกล้ำเขตแดนกัมพูชา และ จารกรรมข้อมูล จนทำให้ถูกศาลกัมพูชา สั่งจำคุกเป็นเวลา 8 ปี ก่อนที่จะได้รับ พระราชทานอภัยโทษ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 25557 ที่ผ่านมา และกลับคืน สู่มาตุภูมิ ในวันรุ่งขึ้น
“รู้สึกดีใจ ที่ได้เดินทางกลับ ประเทศไทย ก่อนอื่น คงต้องขอขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง ที่ช่วยเหลือ ตนก็คาดไม่ถึง เหมือนกันว่า ทางการกัมพูชา จะเปลี่ยนใจพิจารณา ปล่อยตัวตน” นายวีระ แสดงความซาบซึ้ง
งานนี้ ต้องขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าคณะ รักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่สามารถทำให้ สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรี ของกัมพูชา ยอมขอพระราชทาน อภัยโทษ ให้กับนายวีระ โดยนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ปลัดกระทรวง การต่างประเทศ คือผู้ที่ถูกส่ง ไปเจรจา กับสมเด็จฯ ฮุน เซน อย่างเป็นทางการ พร้อมหารือ ตามแนวทางของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ขอให้กัมพูชา พิจารณาปล่อยตัว นายวีระ โดยคำนึงถึง ข้อเท็จจริง และด้านมนุษยธรรม รวมทั้ง ความสัมพันธ์ของ ทั้งสองประเทศ ซึ่งฝ่ายไทย ไม่ประสงค์จะแทรกแซง กระบวนการยุติธรรม ของกัมพูชา หลังจากสมเด็จฯ ฮุน เซน ได้รับฟังเสร็จแล้ว ก็เซ็นลงนาม ขอพระราชทาน อภัยโทษ ให้กับนายวีระ ทันที
“....ถือเป็นการประสาน ความร่วมมือกัน ของกระทรวง การต่างประเทศ และฝ่ายความมั่นคง ของ คสช. และถือเป็นโอกาสที่ดี ที่สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา ได้ให้โอกาส นายวีระ กลับมาทันที .... นายวีระกลับมา ถือเป็นเรื่องที่ดี และมีหลายเรื่อง ที่ประสานกันอยู่ เรื่องแรงงาน ที่ดูแลร่วมกัน ปลัดกระทรวงแรงงาน ก็ไปชี้แจงเกี่ยวกับ การดูแล แรงงานกัมพูชา ในประเทศไทย ด้วยตัวเอง ในส่วนของ กัมพูชาเอง ก็พยายามปรับ มาตรการต่างๆ เพื่อผ่อนคลาย เงื่อนไขต่างๆ ทุกอย่าง ก็เป็นไปด้วยดี” พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ถ่ายทอดคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อกรณีกัมพูชา ปล่อยตัวนายวีระ ที่สำเร็จได้เพราะ การถ้อยทีถ้อยอาศัย ซึ่งกันและกัน
นายวีระ เดินทางกลับบ้าน ด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ นิ่ง สงบ พร้อมกับการให้อภัย ให้อโหสิกรรม แก่คนที่ทำให้เขาต้อง ประสบชะตากรรม ทนทุกข์ อยู่ในคุกเขมร เป็นเวลายาวนาน ถึง 3 ปีครึ่ง และเข้ามอบตัว สู้คดีที่ติดค้างอยู่ หลังลงเครื่องบิน ที่สนามบิน สุวรรณภูมิ โดยขอความเมตตา ขอประกันตัว ให้เขากลับไปนอนบ้าน หลังต้องจาก บ้านเกิดเมืองนอน โดยถูกจับกุม และศาลชั้นต้น กัมพูชา ตัดสินเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2554 จำคุกเขา ด้วยข้อหา เข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้าพื้นที่ทหาร โดยไม่ได้รับอนุญาต และประมวลข้อมูล อันเป็นภัยต่อ การป้องกันประเทศ หรือ จารกรรมข้อมูล เป็นเวลา 8 ปี ปรับ 1,800,000 เรียล
มีการวิเคราะห์กันไป ต่างๆ นานา ว่าเหตุใด สมเด็จฯ ฮุน เซน จึงยอมปล่อยตัวนายวีระ แต่ที่พูดชัดๆ ตรงๆ ก็คือ นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีต ส.ว.สรรหา กลุ่ม 40 ส.ว. ที่มองว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน รู้ดีว่า ประเทศไทยเวลานี้ อำนาจรวมศูนย์ อยู่ที่คสช. ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นอาทิตย์อับแสง ไม่มีน้ำยาอะไรแล้ว การปล่อยตัวนายวีระ เป็นการแสดงออกถึง การญาติดีกับ ผู้นำใหม่ เพื่อปรับระดับ ความสัมพันธ์ ระหว่างไทย-กัมพูชา ให้ดีขึ้น
“ที่สำคัญมาจาก การเล่นบท ไม้แข็งของ คสช. ทั้งเรื่อง การกวาดล้างอาวุธ การฝึกอาวุธ การให้ที่พักพิง แก่ผู้ต้องหา ที่เป็นแกนนำ เพื่อไทย และเสื้อแดง โดยพบว่า มีความเกี่ยวโยงกับ กัมพูชา รวมถึง มาตรการเข้มข้น ด้านแรงงานกัมพูชา ในไทย ทำให้สมเด็จฯ ฮุน เซน จำต้องผ่อนปรน” อดีตแกนนำกลุ่ม 40 ส.ว. ระบุ
อย่างไรก็ตาม นอกจากความเห็นของ นายประสารแล้ว ถ้าหากนำ เหตุการณ์ย้อนหลัง มาวิเคราะห์ ก็จะพบ ความผิดปกติ ไม่น้อย สำหรับท่าที ที่เปลี่ยนไปของ 2 เพื่อนซี้ “ชั่ว” นิรันดร์คู่นี้ เนื่องจาก จะเห็นได้ว่า ในรอบหลายปี ที่ผ่านมา นักโทษชายหนีคดี ไม่ได้เข้าไปเหยียบ แผ่นดินกัมพูชา ให้เห็น และเลือก “สิงคโปร์” เป็นสถานที่บัญชาการ ของระบอบทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับ ที่มีข้อมูล ที่เคยปรากฏ ก่อนหน้านี้ว่า เหตุที่ความสัมพันธ์ เปลี่ยนไป ก็เพราะผลประโยชน์ ที่ขัดกัน
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็ตาม นี่ถือเป็นข่าวดีที่สุด แห่งสัปดาห์ก็ว่าได้
จากนี้ไป ก็รอดูว่า บุคคลที่ “ให้ร้าย” และ “กระทำ” ต่อเขา จะแสดงสปิริต ยินดีต้อนรับ กลับบ้าน และกล้าขอโทษ นายวีระสัก คำไหม เพราะคนไทย หัวใจรักชาติ ยังจำได้ดีว่า นายวีระ ต้องติดคุกกัมพูชา เพราะใคร และติดคุก ในช่วงรัฐบาลของใคร แล้วด้วยเหตุอันใด ที่ผ่านมา ถึงไม่มีใครช่วยเขา ออกมาเสียที
สำหรับพี่ใหญ่ แห่งบูรพาพยัคฆ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงกลาโหม ขณะนั้น และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. การได้กลับบ้าน ของนายวีระ คราวนี้ ถือเป็นการ ไถ่บาปแล้ว
แน่นอน กล่าวเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมมีคำอธิบาย ที่ดีกว่าใครอื่น เพราะถ้ารัฐบาล ไม่มีความชัดเจน ในการให้ความช่วยเหลือ ทหารจะไม่สามารถ ทำอะไรได้มาก
แต่สำหรับพลพรรค ประชาธิปัตย์ ไล่เรียงมาตั้งแต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีต นายกรัฐมนตรี, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรอง นายกรัฐมนตรี, นายศิริโชค โสภา, นายกษิต ภิรมย์ อดีตรมว. กระทรวงการต่างประเทศ จะว่าอย่างไร ส่วนนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ นั้น เขาเดินทางไปรับ นายวีระ ถึงสนามบิน สุวรรณภูมิ เพื่อแสดงออกว่า ยินดีอย่างยิ่ง แม้จะทิ้งกัน กลับมาก่อนก็ตาม
ถึงนายวีระจะไม่ฟูมฟาย ให้เสียบรรยากาศ การปรองดองของ คสช. และขอไม่เล่ารายละเอียด อะไรมากไปกว่านี้ แต่บุคคลข้างต้น ก็ควรรู้ว่า การยืนข้างกัมพูชา ผลักนายวีระ เข้าคุกเขมรนั้น เป็นตราบาป ที่คนไทย ไม่น่าทำกันลงคอ คลิปที่นายอภิสิทธิ์, พล.อ.ประวิตร และนายกษิต แถลงยืนยันว่า ทั้งนายวีระ นายพนิชและคณะ ล้ำเขตแดนกัมพูชา เป็นความเจ็บปวด ที่ฝังลึก อยู่ในใจของ ผู้ต้องโทษ ติดคุกเขมร ที่ไม่มีวันลืมได้ง่ายๆ
ดังที่นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ตัดพ้อต่อว่า หลังจากได้รับ พระราชทานอภัยโทษ ปล่อยตัวกลับเมืองไทย เมื่อเดือนก.พ. 2556 ที่ว่า "รัฐบาลที่ผ่านมา (รัฐบาลอภิสิทธิ์) ไม่ช่วย และปล่อย ให้สู้โดยลำพัง ทั้งยังรับรอง ให้ทางการกัมพูชา ในการบอกว่า คนไทยหาเรื่อง เข้าไปในพื้นที่เอง"
“ไม่ได้โกรธ เพราะว่า เขาไม่ช่วยเรา แต่โกรธว่า ทำไมเขา ไม่ช่วยดูแล ประเทศชาติ ทำกับจะเอา ประเทศชาติของเรา ไปใส่จานใส่พาน ถวายให้เขาเลยเหรอ ผลประโยชน์ของ ประเทศชาติ คือ จากที่เรา 2 คน ถูกกระทำมาเนี่ย จริงอยู่มันก็คือ การเสียสิทธิ์ เสียอิสรภาพ ของเรา มองในแง่ของคน 2 คนเนี่ย มันก็คือ การเสียอิสรภาพแค่นี้ แต่จริงๆ มันไม่ใช่แค่นั้น มันมากกว่านั้น ก็คือ ผลประโยชน์ ของประเทศชาติ ซึ่งรัฐบาล ไม่ยอมรักษาไว้มากกว่า ที่อยากจะให้มอง เพราะมันเกี่ยวเนื่องกัน คุณไม่เข้ามาดูแล ทั้งๆ ที่คุณเป็นรัฐบาล เป็นเจ้าหน้าที่ ผู้มีหน้าที่ แต่คุณละเว้น ที่จะไม่ดูแลสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่น่าโกรธ มากกว่าค่ะ”
นั่นคือ เสียงตำหนิของ “นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์” ต่อรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภายหลังได้รับ พระราชทาน อภัยโทษ และเดินทาง กลับมาถึงไทย ในวันที่ 1 ก.พ. 2556
ขณะที่นายตายแน่ มุ่งมาจน กล่าวว่า ครั้งเมื่อตนเอง ถูกคุมขัง นาย ศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้หยิบแผนที่ หลักเขตที่ 46-47 ซึ่งมีความคลาดเคลื่อน กับแผนที่ ที่คณะของตนเองศึกษา โดยแผนที่ของ นายศิริโชค ระบุว่า ตนเองและคณะ ได้รุกล้ำเขต กัมพูชา แต่สำหรับ แผนที่ของตนนั้น ถือว่ายังไม่รุกล้ำ โดยได้ยึดเกณฑ์ จากการตั้งศูนย์อพยพ ของยูเอ็นเอชซีอาร์ ที่บ้านหนองจาน ซึ่งมีหลักว่า การขุดสระน้ำ ต้องตั้งอยู่ในประเทศ ที่ไม่มีสงคราม หรือ ประเทศที่ มีความสันติภาพ นั่นหมายความว่า สระน้ำ ต้องตั้งอยู่ ในพื้นที่ของ ประเทศไทย แต่ในแผนที่ของ นายศิริโชค ระบุว่า สระน้ำดังกล่าว อยู่ในเขตพื้นที่ ของประเทศกัมพูชา
เช่นเดียวกันกับ นายแซมดิน ที่ตอบคำถาม โกรธรัฐบาล อภิสิทธิ์หรือไม่ ที่ยืนยันว่า คนไทย ล้ำแดนเขมร ว่า “ตนแปลกใจ และงง ว่าทำไมไปบอกว่า เป็นของกัมพูชา ไม่ได้โกรธรุนแรง แต่การพูดแบบนั้น ไม่เพียงแค่ ทำให้เรารับโทษ แต่ทำให้ไทย เสียอธิปไตย เพราะเป็นเจ้าหน้าที่ ไปยอมรับอย่างนั้น ทั้งที่พี่น้องคนไทย ที่อยู่ตรงนั้น ก็มีเอกสารสิทธิ ชัดเจน สืบจากยูเอ็น ทหารที่ทำงาน อยู่ที่นั่น พี่น้องที่อยู่ตรงนั้น มันก็ชัดเจน ไม่ใช่เรื่อง ลึกลับสืบยาก แต่ในฐานะนายกฯ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ไปออกทีวี มันชัดเจนว่า ไปยอมรับ รองนายกฯ (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ก็บอกว่า ให้เป็นไปตามกัมพูชา พล.อ.ประวิตร (วงษ์สุวรรณ) ก็มาซ้ำอีก การทำแบบนั้น มันเป็นสิ่งที่ทำให้ ประเทศ เสียหายรุนแรง”
เสียงตำหนิ ตัดพ้อต่อว่าของ นางสาวราตรี นายตายแน่ และนายแซมดิน ทำให้สังคมไทย ได้รู้ว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ นอกจากจะไม่พิทักษ์ และปกป้อง อธิปไตย เหนือดินแดน แห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว ยังมีวาระซ่อนเร้น ทางการเมือง แอบแฝงอยู่ด้วย
เป็นที่รู้กันดีว่า นายวีระ ถูกจับกุม เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 พร้อมนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วม พิจารณา บันทึกการประชุม คณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ในขณะนั้น, ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงาน กองทัพธรรม, นางนฤมล จิตรวะรัตนา สมาชิกเครือข่าย คปต., นายกิจพลธรณ์ ชุสนะเสวี เลขาฯ ส่วนตัวนายพนิช นายตายแน่ มุ่งมาจน และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ผู้สื่อข่าว สถานีโทรทัศน์ ผ่านดาวเทียม เอฟเอ็มทีวี ที่ต้องการ เข้าไปพิสูจน์ การรุกล้ำอธิปไตยไทย บริเวณรั้วลวดหนาม พื้นที่พิพาท บ้านหนองจาน ต.บ้านโนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เป็นคณะที่ นายพนิช นำพาเข้าไป ตามคำสั่งของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น
หลักฐานก็คือ คำให้สัมภาษณ์ของ นายอภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. 2553 หลังจากคณะข้างต้น ถูกจับกุม ความว่า “คนไทยที่ถูกเขมร จับกุมทั้ง 7 คน เข้าไปดูพื้นที่ ตามที่มีชาวบ้าน มาร้องเรียน เรื่องที่ทำกิน รวมทั้งหลักเขตแดน ซึ่งผมได้มอบหมายให้ นายพนิช ไปประสานงานกับ บุคคลที่มีความคิดเห็น เรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อทราบปัญหา ข้อร้องเรียนต่างๆ และก่อนเดินทาง นายพนิชบอกว่า จะไปลงพื้นที่”
ขณะที่คณะคนไทย 7 คนที่ถูกจับกุม มีข้อมูลยืนยันว่า บริเวณที่ถูกจับกุมคือ บ้านหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดน ที่อยู่ระหว่าง หลักเขตแดน ระหว่าง ไทยกับกัมพูชาที่ 46, 47 และ 48 นั้น เป็นดินแดนของไทย แต่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวง การต่างประทศ ที่เดินทางเจรจา กับนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวง การต่างประเทศ ของกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ กลับกล่าวอย่าง ชัดถ้อยชัดคำว่า “มีข้อมูลยืนยัน ระหว่างฝ่ายไทย และกัมพูชา โดยเฉพาะ พิกัดของทั้ง 7 คน ฝ่ายไทยทราบข้อมูลจาก ฝ่ายความมั่นคง ที่มีเจ้าหน้าที่ กรมสนธิสัญญา และกรมแผนที่ทหาร เข้าไปสำรวจ ใกล้กับจุดเกิด เหตุพบว่า มีการรุกล้ำเข้าไป ในเขตกัมพูชา ประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ โดยรุกล้ำเข้าไป ในหมู่บ้าน”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า คนไทยทั้ง 7 คน ยอมรับแล้วหรือไม่ ว่าล้ำเข้าเขตกัมพูชา นายกษิต ก็ตอบว่า “ยอมรับแล้ว ได้นำแผนที่ แสดงพิกัด พร้อมนำภาพวิดีโอคลิป มาให้ดูด้วย” ทั้งที่ นายวีระ, นางสาวราตรี และนายตายแน่ ไม่เคยยอมรับ สิ่งที่นายกษิต พูดเอง เออเอง
มิหนำซ้ำ ยังมีรายงาน ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายกษิตไม่พอใจ ในเหตุที่เกิดขึ้น เป็นอย่างมาก ถึงขนาด กล่าวออกมาว่า “การกระทำของ คณะคนไทย ถือเป็นการกระทำ ที่อ่อนหัด ไม่รู้กระบวนการ ของความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ” ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ไม่มีมาตรการใดๆ ออกมาช่วยเหลือ ให้คนไทยทั้ง 7 คน รอดพ้นจากคุกเขมร
เป็นความไร้เดียงสา หรือเจตนาแอบแฝง? น่าเสียดาย และน่าเสียใจที่สุด ที่นักการเมือง และข้าราชการของ รัฐบาลอภิสิทธ์ พยายาม แก้ไขปัญหานี้ ด้วยการพยายาม ทำให้แผ่นดินไทย บริเวณนั้น ให้เป็นของกัมพูชา และแก้ไขปัญหา ด้วยการเกลี้ยกล่อม ให้คนไทยทั้ง 7 คน สารภาพผิด ว่ารุกล้ำเข้าไป ในกัมพูชาอีกด้วย
นอกจากนั้น ยังตอกย้ำ ความเจ็บปวดหัวใจ ของคนไทยท ี่ถูกจับกุม ด้วยคำกล่าว อย่างหมดท่า และสิ้นหวัง ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในขณะนั้น ว่า ต้องรอ ให้กระบวนการ ทุกอย่างเสร็จสิ้น เวลานี้ทางรัฐบาล คงทำอะไรมากไม่ได้ เพราะเป็นอำนาจอธิปไตย ในกระบวนการ ทางศาลของกัมพูชา ส่วนที่ทางกัมพูชา ปฏิเสธในเรื่อง การขอพระราชทาน อภัยโทษนั้น ก็ไม่ทราบ ได้แต่ติดตามข่าว กับครอบครัวของ นายวีระ ก็ต้องรอให้ทุกอย่าง ยุติก่อน จึงจะสามารถ ทำความเข้าใจได้ ส่วนจะต้อง รอจนกว่า นายวีระและน.ส.ราตรี รับโทษ ก่อนหรือไม่ ต้องรอทาง กระทรวง การต่างประเทศ สรุปมาให้ทราบก่อน เวลานี้ทุกคน ที่สามารถพูดคุย ช่วยเหลือได้ ก็พยายาม ช่วยเหลืออยู่
เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ ลอยแพ ครอบครัว ของนายวีระ และนางสาวราตรี บากหน้า มาหารัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ เพื่อว่า จะขออาศัย ใบบุญ ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีความสนิทสนม อันดีกับสมเด็จฯ ฮุน เซน
เวลานั้น รัฐบาลพรรคเพื่อไทยท ี่มีความสัมพันธ์ที่ดี กับกัมพูชา เป็นความหวัง ช่องทางเดียว ที่จะทำให้นายวีระ และนางสาวราตรี ได้รับการปล่อยตัว ออกมา แต่บังเอิญ โชคร้ายที่ นายวีระ สมความคิด เป็นผู้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิง พจมาน ชินวัตร จนทำให้ศาลฎีกา แผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง ตัดสินให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 2 ปี โดยไม่รอ ลงอาญา ก็อาจจะสร้างความแค้น ให้กับทักษิณ อยู่ไม่น้อย และอาจไม่อยากให้ นายวีระ กลับประเทศไทย มาทำหน้าที่ ตรวจสอบ คอร์รัปชั่น นักการเมืองอีก ก็เป็นได้
ตลอดรัฐบาล พรรคเพื่อไทย การช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด ออกมาจากคุก จึงไม่สำเร็จ มีเพียงการประสาน เพื่อขอให้ปล่อยตัว นางสาวราตรี ส่วนนายวีระ ได้เพียงลดหย่อนโทษ ลง 6 เดือน
ทว่า ทันทีที่มีข่าว การปล่อยตัว นางสาวราตรี และลดโทษนายวีระ ออกมา ก็ปรากฏข่าวจาก นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดี กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ออกมาเปิดเผยว่า ทางกระทรวง การต่างประเทศ จะเร่งเจรจา พื้นที่ทับซ้อน ทางทะเลไทย-กัมพูชา เพื่อหาข้อสรุป ในการพัฒนา แหล่งปิโตรเลียม โดยเฉพาะ การนำก๊าซธรรมชาติ ในพื้นที่มาใช้ ให้เกิดประโยชน์ ของทั้ง 2 ประเทศ เพราะจะช่วยสร้าง ความมั่นคง ด้านพลังงานของไทย และรองรับปริมาณ ความต้องการใช้ก๊าซฯ ปรับตัวสูงขึ้น ทุกๆ ปี ทำให้สังคม ตั้งข้อสงสัยว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ก็ซ่อนเงื่อน แลกเปลี่ยน ผลประโยชน์ กับกัมพูชาโดยใช้นายวีระ กับนางสาวราตรี เป็นตัวประกัน เช่นกัน ใช่หรือไม่
ด้วยเหตุผล ทั้งหลายทั้งปวง ข้างต้น ไล่เรื่อยจาก รัฐบาลประชาธิปัตย์ ถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทย คงเป็นเหตุให้นายวีระ เอ่ยประโยคที่ว่า “….. ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เคยมีการเสนอ ข้อแลกเปลี่ยน แลกกับ อิสรภาพของตน 3 ครั้ง แต่รับไม่ได้ เนื่องจาก เป็นกรณีที่ ทำให้ประเทศ เสียผลประโยชน์ การดำเนินการ ของฝ่ายกัมพูชา ยังทำให้ตน รู้สึกเสียใจ ไม่มากเท่ากับ ฝ่ายเรา”
มรสุมชีวิตนายวีระ พัดผ่านไปแล้ว เขากลับมาอีกครั้ง และยังยืนหยัด จะทำหน้าที่ ดูแล ผลประโยชน์ ของประเทศ เหมือนเดิม อย่างที่เคยทำ โดยเฉพาะ การตรวจสอบ คอร์รัปชั่น และจะทำงาน ตรงนี้ต่อไป จนกว่าบ้านเมือง จะดีขึ้น พลพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย บางคน บางกลุ่ม ที่ทำกับนายวีระ ได้ลงคอ ฟังแล้ว จะรู้สึกสำนึก ได้บ้างไหม?
วันนี้ นายวีระไม่ได้ติดค้างใคร มีแต่คนไทย ที่ติดค้างน้ำใจของเขา
http://www.manager.co.th/AstvWeekend/ViewNews.aspx?NewsID=9570000075699