เรียงถ้อยจากรอยธรรม...เป็นคำฝาก

การเดินทางเสี่ยงตาย เสี่ยงพิการ ผลาญทรัพย์สินและวันเวลา
เมื่อถึงเป้าหมายแล้ว เกิดบุญแก่ตน เป็นประโยชน์ต่อปวงชนมากหรือไม่?
พึงรู้...เดรัจฉานเดินทางเพื่อคงอยู่และต่อเผ่าสืบพันธุ์
ปุถุชนก็ปานนั้น ทั้งยังแสวงสวรรค์ให้สมใจตน
สาธุชนเดินทางเพื่อไปให้และแสวงธรรมยิ่งๆขึ้นไป
ส่วนอาริยะบุคคลนั้น ท่านไปเพื่อทำใจให้แจ้งนิพพาน
และแสวงหาการเกื้อกูล เยี่ยงนักปราชญ์ศาสดา
ซึ่งท่านแสวงหาการเกื้อกูลโดยส่วนเดียว...
เราจะเดินตามรอยทางใด?

ไตร่ตรองและถามตนเช่นนั้น เมื่อมีโอกาสออกจากสังคมเมือง ออกจาก office อันเคยชิน ไปสู่กิจกรรม ปลุกคนให้เป็นพระ เป็นสมณะแท้ของพุทธ เพียงออกจากที่ทำงาน ซึ่งซ้ายขวาหน้าหลัง มีงานท้าทายอยู่
ไม่รู้หมด เพียงนี้รู้สึกดี ต่อสุขภาพศีรษะบ้างแล้ว... และงานที่ไปนั้น จัดกิจกรรมในป่า จึงมีโอกาส นอนโคนไม้ นอนบรรจถรณ์พุทธะ หรือ ผืนดินใหญ่ไร้ขอบเขต รู้สึกมั่นคง เหมือนถูกโอบอุ้ม อยู่ในอ้อมอกแม่
อีกครั้ง แต่การนอนครั้งนี้ แมกไม้ใบบังหมู่ดาว กระนั้นสัญญาเก่า ครั้งเคยนอน ทุ่งโล่งได้ย้อนมา ให้ระลึกถึง จำได้ครั้งนั้น เห็นหมู่ดาว เต็มฟ้าเวิ้งว้าง และเพราะทุ่งโล่งกว้าง กับฟ้าเวิ้งว้างนั้น ทำให้ตนรู้สึก ประหนึ่งธุลีน้อย ในห้วงจักรวาลกว้างไกลไร้ขีดจำกัด... คนเราเพียงรู้สึกตน ไม่ยิ่งใหญ่ในโลกหล้า อาการซ่าของตน และคดีหมั่นไส้ จากหลายคน ไม่เกิดแล้ว

นอนครั้งนี้แม้มิใช่ทุ่งโล่ง แต่ด้วยป่าไร้มลพิษก็ทำให้หลับสนิทดีนัก ซ้ำอิ่มนอนได้ง่าย ตื่นแล้วกาย เบาหัวสบาย

ในงานครั้งนี้ เรามีกิจกรรมต้องเข้าร่วม ชีวิตจึงถูกสำนึกจัดระบบอีกครั้ง นอนไม่ดึกเกินไป ตื่นตีสามกว่า เล็กน้อย รับอาหารวันละหนึ่งมื้อ อย่างเป็นเวลา กับชีวิตที่ไร้ระบบอยู่บ่อยๆ ครั้นได้เข้ามาอยู่ในระบบ... รู้สึกดีจริงๆ โดยเฉพาะ รับอรุณด้วยไหว้พระ สวดมนต์ ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ เยี่ยงนี้ดั่งกำหนด หางเสือ เพื่อสังวร ก่อนดำเนินชีวิตรายวัน... ยิ่งในวันนั้น รู้สึกดีมาก กับคำสอนของ ครูบาอาจารย์ ซึ่งเข้าใจว่า เป็นยอดเพชร ในเพชรชั้นยอด ซึ่งได้เรียบเรียง เป็นเนื้อความ ตามประสาตนว่า... ความเติบใหญ่ อย่างยืนยง ในงานศาสนา ไม่อาจได้มา เพราะอัดฉีดเป่าลม ดั่งเป่าลูกโป่ง

หากเราหลงให้งานเติบใหญ่ โดยใช้วิธีอัดฉีดเป่าลม ต้องอัดฉีดเป่าลมอยู่ร่ำไป

และใครต่อใครที่ได้มาร่วมงาน เหล่านั้นก็เป็นเพียงคนหัวกลวงเท่านั้นเอง ซ้ำตนไม่ได้ วัดค่าศรัทธาบารมี ของตนมีแค่ไหน มิตรผู้ร่วมเกื้อกูล ของตนมีเท่าใด

ฉะนั้นในงานศาสนา หากหมายลดอัตตา หมายพัฒนาให้ยืนยง จงให้เมตตาและปัญญาก็พอ...ส่วนการง้อ หรือ ฉีดอัดยัดเป่า ไม่ใช่วิธีที่ดี ความประทับใจนี้ จะเป็นบทปฏิบัติของตน ในการทำงานสืบไป... ตะโกนใส่กะโหลก ตนเองเช่นนั้น

เพราะมาร่วมงานอบรม ซึ่งอยู่โซนชนบท จึงมีโอกาสเยี่ยมชมชาวบ้าน เห็นชัดเจนว่า คนไกลสีสัน สังคมเมือง หัวใจยังดูงาม ด้วยความเมตตาอยู่ เขาพร้อมเป็นผู้แบ่งปัน คือเห็นทั้งผู้เฒ่า ผู้เยาว์ขวนขวาย ใส่บาตร เลี้ยงนักบวชกัน เยอะมาก โดยเฉพาะภาพเด็กเล็กใส่บาตร ภาพประทับใจ ประมาณนี้ หาไม่ได้ง่ายเลย ในสังคมเมือง แต่ชนบทนี้ มีให้เห็นมาก และทุกวัน ที่ดูประทับตา มากสุด เหมือนจะเป็น คุณยายมากหลาย
ที่มือดำด้าน กร้านเกรียม ต่างขั้วกับสีข้าว ที่ขาวสะอาด คุณยายเหล่านี้ ที่น้อมข้าวใส่บาตร เข้าใจว่า ไม่เพียงใส่บาตรเท่านั้น เหมือนคุณยาย ได้บอกภิกษุทุกรูป ให้รู้ด้วยว่า ท่านทั้งหลาย กายสังขารเป็นเช่นนี้ มีความแก่ เป็นธรรมดา และดูภิกษุหลายรูป มักไม่ละเลย อาศัยคุณยายเป็นตำรา ว่าด้วยอนิจจัง จึงละลาบละล้วง ด้วยดวงตาพิจารณาหลายยายอย่างยิ่ง...แน่นอน มีคิดไปไกล... ทำไมคุณยายเหล่านี้ ถึงมือดำ? ใช่ คำตอบทั้งมวล ล้วนชี้ให้เห็นทุกข์ ในการครองเรือน

บ่ายของทุกวัน มีโอกาสสนทนาธรรม กับผู้สนใจใฝ่ธรรม ได้ตอกย้ำความจริงอีกข้อหนึ่งคือ ทุกชีวิต มีสิทธิ์ทุกข์ คนรวยคนสวย หนุ่มหล่อ หรือผู้มีตำแหน่งแต่งตั้ง กระทั่งผู้มากทรัพย์สิน มากความรู้ จากเห็นนี้ จึงอดบอกหลายคน ดังๆไม่ได้ว่า ทุกข์เป็นธรรมดา ในหมู่คน อย่าให้สมมุติของตน ครอบขังความทุกข์ เอาไว้เลย หลายคนเพราะได้สมมุติ ฉันเป็นครูบาอาจารย์ ฉันตำแหน่งใหญ่ จึงไม่อาจปรึกษาใคร... สุดท้ายเครียด ฆ่าสามี และฆ่าตัวตาย เรื่องมีมาแล้ว ฉะนั้นบอกไป... ใครไม่อยากทุกข์จงจำ และโดยจริง การร้องให้กับผู้รู้ ได้ทั้งดวงตาที่สดใส ทั้งหัวใจ ที่เบาสบาย เยี่ยงนี้จำเป็นอะไรต้องอาย! บ่ายวันหนึ่ง มีคนกลุ่มหนึ่ง มาคุยด้วย เรื่องอาการถือสา ซึ่งไม่ถือสาปุถุชน คนโลกีย์ แต่ถือสา ผู้ใฝ่ดีในเส้นทางธรรม แปลก...แต่จริง! จึงได้ทบทวน ประสบการณ์ตน และแบ่งปันบทพินิจ เพื่อจิตปลอดถือสา ให้คนกลุ่มนั้นฟังว่า...

ชีวิตทั้งชีวิตเป็นทุน พลาดท่าหรือบรรลุถึงอรหัตผลเป็นเดิมพัน
เมื่อต่างก็เป็นเช่นนี้ จำเป็นอะไรต้องเพ่งโทษถือสา โกรธเกลียดกัน
โลกยังกว้างใหญ่ สังสารวัฏยังนานยาว และทุกชีวิตมีสิทธิ์ศึกษานรกวิทยา
ผู้เข้าใจความจริงเช่นนี้ จิตย่อมผาสุกโดยดี

การแบ่งปันบทพินิจเพื่อจิตเบาสบาย ดูเหมือนเป็นบทปฏิบัติ เพื่อจิตเอิบอิ่มเบาสบาย ด้วยเช่นกัน ฉะนั้น ทุกวันในงาน ช่วงบ่ายจึงขวนขวายกิจนี้... และรู้สึกดี เมื่อมาทบทวนก็ได้รู้ว่า ความรู้สึกดีเกิดมี เพราะตนไม่สาละวน อยู่เพียงตน ตนรู้จักฟังคน เข้าใจคน เกิดเมตตาต่อคน ที่สำคัญ ได้ทบทวนธรรม ที่ประพฤติมา เกิดปัญญาเท่าไร แบ่งปันให้เพื่อนมนุษย์ ไปคลายทุกข์ได้บ้างหรือไม่... เหล่านี้ก่อความรู้สึก... ได้ และมนุษย์เรา เพียงรู้สึก...ได้ คำว่าเสียเวลา ไร้ความหมายไปแล้ว

ร่วมงานครั้งนี้ต้องพูดไม่น้อย แต่ที่ติดหูตนกลับเป็นคำที่ฟังมา ฟังมามาก แต่มีสองคำ ซึ่งใช่
หนึ่ง "ค่ำแล้ว" สอง "อีร่าง" แน่นอน ไม่ใช่เรื่องหกโมงเย็น หรือหนึ่งทุ่ม หากหมายถึง ครูบาอาจารย์ซึ่ งชีวิตท่าน ดุจตะวันธรรม ตะวันธรรมที่บัดนี้ สนธยาแล้ว ท่านจะอยู่ชี้แนะ บอกสอนอีกเท่าไร ว่าไปดวงตะวัน ยังมีเวลาจบลงชัดเจน แต่ชีวิตมนุษย์ จะจบลงเมื่อไรใครรู้ ที่รู้ศิษย์กลับบ้านเก่า ก่อนครูมีอยู่จริง... แต่ไม่รู้ใคร จะเป็นรายต่อไป ส่วนคำว่าอีร่าง เป็นถ้อยคำช่วงสรุปงาน งานที่เน้นกู้แผ่นดิน โดยพระผู้ใหญ่ท่านว่า... ตาไปทาง หูไปทาง จมูกไปทาง ลิ้นไปทาง กายไปทาง อีร่างจะหนักเหนื่อย ปานไหน เราจะหาอบายมุข กามคุณ โลกธรรมบำเรอตนอีกเท่าไร แม้มาอยู่ทางธรรม แม้ลดการแสวงหา เหล่านั้นมาแล้ว หากไม่เรียนรู้ ลดอัตตา ทุกอย่างที่ทำไป ก็เพื่อบำเรออีร่าง เท่านั้นเอง... มีเพียงลดปรนเปรอ บำเรออีร่าง เราจึงมีเวลา ไปกู้ชาติกันเต็มแรง เต็มเวลา เป็นคนมีคุณค่า ของแผ่นดินอย่างแท้จริง!

ค่ำแล้ว หากมัวบำเรออีร่าง แม้พรุ่งนี้ชีวิตยังมีอยู่...วิเศษอะไรกว่าคนตายหรือ?

งานที่ไปร่วมจบลงแล้ว แต่ภารกิจกอบกู้ตนยังไม่อาจจบลงได้
ยิ่งภารกิจกอบกู้ผู้คนที่หันหลังให้สวรรค์ดูเหมือนเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น...
ก่อนจากถิ่นที่ร่วมงานมา จึงต้องบอกเตือนตนเพิ่มเติมไปอีกว่า...

ปรากฏการณ์ดั่งคลื่นทะเล ทยอยมา โถมถั่งมาไม่รู้จบ
ในปรากฏการณ์ พาลชนจะทำบาปโดยไม่ต้องเลือก
เพราะติดเป็นจริตนิสัยเป็นสันดานแล้ว
บัณฑิตจะเลือกทำบุญ เพราะรู้คุณของการฝึกตน
ส่วนอาริยะบุคคลผู้แสวงประโยชน์ใหญ่
จะใช้ปรากฏการณ์เพื่อบำเพ็ญบารมี
เพราะเข้าใจดีว่า โลกนี้ย่นย่อแล้วมีเพียงสอง
คือ ปรากฏการณ์กับจิตวิญญาณเท่านั้น
และสุข ทุกข์ สูงล้ำ ต่ำต้อย ไม่ได้เกิดด้วยเหตุคือปรากฏการณ์
แต่เกิดด้วยเหตุคือจิตวิญญาณ
จิตวิญญาณที่มากบารมี หรือไร้บารมี... นี้เอง

ผู้รู้ชี้ทางสวรรค์ให้ได้ แต่เดินออกจากนรกเป็นกิจของท่านทั้งหลาย

ปรารถนาดีจาก ส.ร้อยดาว ๑๒/๔/๔๕

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๑ พฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๔๕ ฉบับ จุดเทียนพรรษา)