ตัดสายป่าน Set the kite free - ลี เว่ย ฮวง -
เรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษโดย เทเรซ่า จาง
แปลโดย อธิธัช สาทรกิจ จากนิตยสาร
Tzu Chi, Buddhism In Action, Fall 2002

อย่าเสียใจหากมิได้อยู่เคียงข้างตอนฉันจากไป
บางครั้งอบอุ่นใจที่มีเธอไม่เคยห่าง
แต่บางครั้งต้องทุกข์ใจ ต้องพรากไป ใจสลาย
มีสิ่งใดที่เธอยังค้างคาใจ หรือสิ่งใดที่อยากทำ จงทำเถิด
เพื่อว่า หากวันใดฉันเกิดต้องจากไปกะทันหัน
หากไม่บอก ทำไม่ทัน ตัวเธอนั้นอาจตรอมใจ ต้องทุกข์ใจที่สายเกิน
หากวันใดรู้ว่าฉันหมดลมหายใจ จงปล่อยวาง และปล่อยฉันไป
ในยามนี้ขอให้เธอรับรู้ไว้ สิ่งดีใดที่ได้ทำให้แก่ฉัน
สิ่งดีนั้นล้วนแต่นำความปลื้มและสุขใจ ไม่เคยลืม
ทั้งยามหลับและยามตื่นตลอดมา
สุดท้ายนี้ขอให้เธอจดจำไว้ เมตตาธรรม
คำสวดวอนขอพรที่ต้องการ สวดให้ฉันไปดีมีสุขเทอญ

(ค้นหาปลายทางแห่งความหวัง ' คริสติน ลองเอเคอร์)

ในคืนวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่เครื่องบินของสายการบิน ไชน่าแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ซีไอ -๖๑๑ ตกที่บริเวณ ใกล้เกาะเป็งฮูนั้น ผมและเพื่อนอาสาสมัครฉือจี้ เดินทางไปที่สำนักงาน ของสายการบิน ไชน่าแอร์ไลน์ สาขา กรุงไทเป เพื่อปลอบขวัญบรรดาญาติพี่น้องของผู้เคราะห์ร้าย จากโศกนาฏกรรม ในครั้งนั้น ขณะที่เดิน ไปรอบๆ สำนักงาน ผมสะดุดตากับภาพของ อาสาสมัครสองคน ซึ่งกำลังปลอบโยน สตรีผู้หนึ่งอยู่ ทั้งคู่ตั้งใจ ฟังหญิง ผู้นั้น คร่ำครวญ พร้อมกับลูบหลังลูบไหล่ ปลอบใจเธออย่างอ่อนโยน

สามีของสตรีผู้นั้นเป็นหนึ่งในผู้ประสบเคราะห์กรรม เขากำลังเดินทาง ไปประเทศจีน เพื่อรายงานตัว เข้ารับงานใหม่ หลังจากตกงานมาเป็นเวลานาน ใครเลยจะคาดคิดว่า เขาต้องมาจบชีวิตลงในสภาพเช่นนี้

"เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว พ่อค้าชาวไต้หวันถูกฆาตกรรมในประเทศจีน สามีของดิฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย"
เฉิน หมิง ฮุย อาสาสมัครซึ่งนั่งด้านขวามือของหญิงผู้สูญเสีย ได้เปิดเผยเรื่องราวอันน่าสลดใจของเธอ "ดิฉันเข้าใจดีว่าคุณรู้สึกอย่างไร"

วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ผมได้เดินทางไปยังโรงงานรีไซเคิลเหล็กของหมิง ฮุย เมื่อไปถึงก็ทราบว่า เธออยู่ระหว่าง เดินทางไป สนามบินซุงชัน ในกรุงไทเป เพื่อสวดมนต์ให้วิญญาณของผู้เสียชีวิต ซึ่งร่างของพวกเขา ได้ถูกนำกลับมา จากเกาะเป็งฮูแล้ว หมิง ฮุย เดินทางกลับถึงโรงงานในหนึ่งชั่วโมงถัดมา

หลังสูญเสียสามี หมิง ฮุย ใช้โรงงานซึ่งรกเรื้อ ไปด้วยสายเคเบิ้ลและวัสดุหมุนเวียนประเภทต่าง ๆ เช่น สเตนเลส อะลูมิเนียม อัลลอยด์ และทองแดง เป็นเสมือนบ้านของเธอ เธอชี้ให้ดูกองวัสดุเหล่านั้น พร้อมกับ ออกความเห็น เรื่องความสุรุ่ยสุร่าย ของผู้คนในปัจจุบัน เธอเล่าว่า บางครั้ง ก็พบข้าวของ ที่เจ้าของไม่ใช้แล้ว ทิ้งขว้าง อย่างไร้ค่า ทั้งที่ยังมีสภาพดีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อสองสามวันก่อน เธอพบหม้อหุงต้มใหม่เอี่ยม ซึ่งเธอได้มอบให้อาสาสมัคร ชุมชนของมูลนิธิฉือจี้ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์

หมิง ฮุย นำผมเข้าไปยังห้องที่เธอสามารถมองเห็นรถบรรทุกวิ่งเข้าออกโรงงานได้ตลอดเวลา และ ให้สัมภาษณ์ที่นั่น...

เช้ามืดของวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ค.ศ.๒๐๐๑ พวกหัวขโมยได้บุกรุกเข้าไปในโรงงาน ผลิตเครื่องเหล็ก ที่เมืองกวางตุ้ง ประเทศจีน ฆาตกรรมพ่อค้าชาวไต้หวันสองคนและคนท้องถิ่นอีกสามคน หนึ่งใน เหยื่อผู้เคราะห์ร้าย คือสามีของหมิง ฮุย

ทันทีที่ทราบข่าวร้าย สิ่งแรกที่ผุดขึ้นในใจของเธอก็คือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อกว่ายี่สิบปีที่แล้ว น้องชายของ ท่านธรรมาจารย์ เจิ้ง เอี๋ยน ถูกทำร้ายถึงแก่ชีวิตโดยไม่เจตนา ท่านธรรมาจารย์ได้กล่าวกับมารดา ของท่านว่า ถึงอย่างไร เราก็ไม่สามารถทำให้บุคคลอันเป็นที่รักฟื้นคืนชีพขึ้นได้ ก็ควรจะพยายาม ให้อภัยฆาตกร แทนที่จะอาฆาต พยาบาท หรือเคียดแค้นเขาวันที่ทราบข่าวร้าย เธอปิดโรงงาน และบินไป กวางตุ้งทันที เพื่อชี้ศพ ท่านธรรมาจารย์ เจิ้ง เอี๋ยนได้โทรศัพท์ถึงเธอ และปลอบใจว่า "อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ขอให้แล้วกันไป ประสก จงปล่อยวาง และทำใจยอมรับ อย่างเข้มแข็ง พวกเราพี่น้องฉือจี้ จะอยู่เคียงข้างประสกเสมอ"

"ความเกลียดชังควรถูกขจัดให้สิ้นไป และไม่ก่อมันขึ้นอีกในจิตใจ"เฉิน อา เต๋า ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ หมิง ฮุย ที่มูลนิธิฉือจี้ กล่าวเตือนสติว่า หากเธอยังเอาแต่จมปลัก อยู่กับความโศกเศร้า ไม่เลิกรา วิญญาณของสามี ผู้ล่วงลับ ก็มิอาจจะพักผ่อน อย่างสงบสุขได้ ในเมื่อโศกนาฏกรรมนั้น ได้เกิดขึ้นแล้ว ทางที่ดีที่สุดก็คือ ต้องทำใจยอมรับ และปล่อย ให้มันผ่านไป

เจ็ดวันหลังเกิดเหตุการณ์ร้าย หมิง ฮุย กับลูกคนหนึ่งของเธอนำร่างสามีกลับไต้หวัน ทันทีที่เห็นภาพ อาสาสมัคร เกือบหนึ่งร้อยคน กำลังยืนรอที่สนามบิน เธอก็มิอาจสะกดกลั้น ความรู้สึกภายใน อีกต่อไป เมื่อเดินทาง กลับถึงโรงงาน และพบว่า เพื่อนอาสาสมัครได้ช่วยกันตั้งแท่น สำหรับพิธีศพ ไว้เรียบร้อยแล้ว ยิ่งทวี ความตื้นตันใจของเธอ จนท่วมท้นสุดจะพรรณนา

การเสียชีวิตของสามีและผู้เคราะห์ร้ายอีกสี่รายตกเป็นข่าวครึกโครมในหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง ที่ไต้หวัน และ ก่อให้เกิด ความตื่นตระหนก อย่างใหญ่หลวง เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันกับบุคคลหลายคน และ มีเงื่อนงำ สลับซับซ้อนไม่น้อย ดังนั้น หมิง ฮุย จึงตัดสินใจ เก็บตัวเงียบ ไม่ทำตัวให้เป็นข่าว จัดงานศพ อย่างเรียบง่ายที่สุด และยังได้บริจาคเงิน ช่วยงานทั้งหมด ให้แก่มูลนิธิฉือจี้ เพื่อนำไปช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยจากไต้ฝุ่นทอราจิ

แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างหลั่งน้ำตาให้การสูญเสียของเธอ ทว่า หมิง ฮุย กลับเป็นฝ่ายปลอบใจ พวกเขาเหล่านั้นแทน เธอเตือนตนเอง ไม่ให้ซ้ำเติมจิตใจ ด้วยความทรงจำ ที่แสนปวดร้าว น่าจะเป็นการดีกว่า หากใช้เวลาเหล่านั้น ไปรับใช้สังคม

ในระหว่างที่ให้สัมภาษณ์ ผมเห็นลูกชายคนเล็กของเธอกำลังขะมักเขม้นกับงานในโรงงาน เขาเป็นผู้ที่อยู่ ในเหตุการณ์ ร้ายนั้นด้วย แต่โชคดีที่เอาชีวิต รอดมาได้ เพราะได้ยินเสียงพวกหัวขโมย ขณะที่กำลัง นอนหลับอยู่

"จะมีอะไรดีขึ้นมาหากเรายังคงอาฆาตแค้นผู้ก่อกรรม"หมิง ฮุย ถามลูกชายซึ่งยังคงชิงชัง โกรธแค้นไม่หาย เธอเตือน สติเขาว่า ไม่ควรเก็บกักความรู้สึกโกรธแค้น เอาไว้ในใจ เพราะรังแต่จะนำมา ซึ่งความรู้สึก เป็นปรปักษ์ ต่อผู้อื่น และเพาะเมล็ดพันธุ์ แห่งความชั่วร้าย ให้หยั่งรากลึกลงในจิตใจ

เธอยังได้แสดงความเมตตาต่อผู้ต้องสงสัย เธอกล่าวกับพวกเขาว่า "เรื่องเศร้าได้เกิดขึ้นแล้ว ฉันไม่ต้องการ เรียกร้อง ค่าชดเชยใดๆ ทั้งสิ้น หากพวกคุณก่อคดีขึ้นจริง ก็หวังเพียงว่า คุณจะสารภาพผิด อย่างบริสุทธิ์ใจ นั่นอาจจะช่วย ลดหย่อนโทษลง"

แม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมาได้เพียงไม่ถึงหนึ่งปี และในขณะนี้ผู้ต้องสงสัยยังคงยื่นอุทธรณ์อยู่ ก็ตาม แต่สิ่งที่ผมได้ยินนั้น ฟังดูเหมือนว่า เธอกำลังระลึกถึง เรื่องราวที่เกิดขึ้น เนิ่นนาน จนแทบจะลืมไปเสียแล้ว

ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา เธอใช้เวลาไปกับการบริหารจัดการโรงงานให้ดำเนินไปอย่างราบรื่น เลี้ยงดูลูกๆ รวมทั้ง มีส่วนร่วม ในกิจกรรมต่างๆ มากมายของมูลนิธิฉือจี้ จนไม่มีเวลานึกถึงการจากไปของสามี

หลังอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่เกาะเป็งฮู เธอไปที่สนามบินซุงชันหลายครั้ง เพื่อสวดมนต์ ให้ผู้เสียชีวิต ครั้งใด ที่เห็นภาพ หีบศพ และครอบครัวของ ผู้ประสบเคราะห์กรรม ผู้กำลังร้องไห้ฟูมฟาย ด้วยความโศกเศร้า เธอก็หวนนึกถึง สภาพของตน ในคราวที่ ต้องสูญเสียสามี

เธอนึกถึงคติธรรมซึ่งครั้งหนึ่งท่านธรรมาจารย์เคยสอนไว้ว่า "ผู้ที่จากไปก็คล้ายดั่งว่าว พวกเขาปรารถนา จะล่องลอย ไปอย่างเสรีกับสายลม แต่พวกเราผู้ยังมีลมหายใจกลับพากันยื้อยุดฉุดรั้งพวกเขาให้กลับมา"ดังนั้น เธอจึงตั้ง ปณิธาน แน่วแน่ ที่จะตัดสายป่าน ซึ่งเหนี่ยวรั้งทั้งสองฝ่ายไว้ และเฝ้าสวดภาวนา ขอพร ให้ผู้ที่อยู่ ตรงปลาย ทั้งสอง จงมีแต่ความสุขสงบ

เธออยากจะฝากบอกครอบครัวของผู้เคราะห์ร้ายซึ่งยังคงเฝ้ารอคอยข่าวการค้นหา ร่างไร้วิญญาณ ของพวกเขาว่า "จงปล่อยว่าว ให้เป็นอิสระเถิด อย่ามัวยึดติด อยู่กับการค้นหาต่อไปเลย แม้จะพบศพ ก็คงจะเหลือ เพียงบางส่วน ของร่างกาย ซึ่งจะยิ่งทำให้ต้องเศร้าโศกเสียใจ มากไปกว่าเดิม ทำไมคุณถึง ไม่เก็บไว้เฉพาะ ความทรงจำที่ดีๆ และงดงาม ที่มีต่อผู้ที่จากไป ไว้ในหัวใจของคุณล่ะ"

เธอเชื่อว่า จะเป็นการดีและมีความหมายกว่า หากครอบครัวที่สูญเสียจะเอาเวลา ของพวกเขา ไปช่วยเหลือผู้อื่น แทนที่จะจมปลัก อยู่กับความเศร้าโศก อย่างเปล่าประโยชน์ ตัวเธอเองไดแปรเปลี่ยน ความเสียใจ ให้เป็นพลัง ซึ่งกระตุ้นให้เธอ ช่วยเหลือผู้อื่น เพราะเธอได้ค้นพบแล้วว่า นั่นคือ สิ่งที่มี ประโยชน์สูงสุด

คนงานกลุ่มหนึ่งกำลังคัดแยกวัสดุประเภทต่างๆ อยู่ภายในโรงงานท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว ใกล้ๆ กันนั้น มีกระป๋องอะลูมิเนียม ที่ถูกบีบอัดแล้ว วางไว้เป็นกองๆ กองละร้อยกิโลกรัม หมิง ฮุย เล่าว่า เนื่องจาก พวกเขา ดำเนินธุรกิจ ค้ากระป๋องสำเร็จรูป ให้ลูกค้าในประเทศจีน เธอและสามี จึงต้องเดินทาง ระหว่าง ไต้หวัน และจีนเป็นประจำ

หลังจากจบจากมหาวิทยาลัย พวกลูกๆ ก็เริ่มมาช่วยงานของครอบครัว หมิง ฮุย จึงมีเวลาอุทิศตน ให้มูลนิธิ ฉือจี้มากขึ้น แม้จะมีอายุถึง ๕๖ ปี แล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังกระตือรือร้น ที่จะเรียนรู้ และได้รับเลือก ให้เป็น หนึ่งใน คณะกรรมธิการ ของมูลนิธิฉือจี้เ มื่อปีครึ่งที่ผ่านมา หมิง ฮุย กล่าวว่า เธอได้ค้นพบความสุข อันแท้จริง จากการทำกิจกรรม ของมูลนิธิ ในอดีตเธอเคยเชื่อว่า มีเพียงทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น ที่สามารถนำมา ซึ่งความสุข แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่า ความสุข ที่เกิดจาก ความมั่งคั่ง ร่ำรวยนั้น ก็เป็นแค่ความสุข ชั่วครั้งชั่วคราว หาได้ยั่งยืนอะไรไม่ นอกจากจะเข้าเรียนคัดลายมือ ตัวหนังสือจีน การใช้ คอมพิวเตอร์ และการใช้ภาษามือ ซึ่งมูลนิธิจัดขึ้นแล้ว เธอยังมีส่วนร่วม ในกิจกรรมต่างๆ ของมูลนิธิฉือจี้ อีกด้วย หากทางโรงงาน ไม่ต้องการตัวเธอ อย่างเร่งด่วนแล้วละก็ เธอจะไม่มีวันยอมพลาด กิจกรรม ของมูลนิธิเลย

เนื่องจากเธอมีความกระตือรือร้นและรอบรู้เรื่อง วัสดุหมุนเวียน เธอจึงรับหน้าที่ เป็นหัวหน้า คณะทำงาน รีไซเคิล ของมูลนิธิฉือจี้ และเธอยังชักชวนคนงานของเธอ ให้เข้าร่วมโครงการ รีไซเคิล ของชุมชนด้วย

ลูกสะใภ้ของเธอบอกผมว่า เมื่อใดก็ตามที่หมิง ฮุยได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ เธอจะวางมือ จากงาน รีบผลัดเสื้อผ้า เป็นชุดเครื่อง แบบอาสาสมัครฉือจี้ และหายตัวไปทันที ราวกับกลุ่มควัน ทุกวันนี้ หมิง ฮุย ดำเนินชีวิต ด้วยหัวใจ ที่อิ่มเอิบ เวลาว่างยามค่ำคืน เธอกับลูกๆ มักจะคัดลอกคำสอน จากหลักธรรม ของพระพุทธองค์ นับแต่สามีจากไป เธอไม่เคยเผากระดาษเงินกระดาษทอง ตามประเพณีนิยม แต่กลับ เผากระดาษ ที่คัดลอกคำสอน หลักธรรม ของพระพุทธองค์ จำนวน ๕๐๐ ฉบับ (เพื่ออุทิศผลบุญ ให้แก่วิญญาณ ผู้ล่วงลับ) แทน

เธอบอกว่า ไม่เคยรู้สึกอ้างว้างโดดเดี่ยวเลยนับแต่สูญเสียสามี เพราะเดี๋ยวนี้ เธอเป็นหนึ่งในสมาชิก ของมูลนิธิ ฉือจี้ ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ ที่มีแต่ความอบอุ่น

เฉิน อา เต๋า ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเปรียบหมิง ฮุย เฉกเช่นดอกไม้ป่าที่งดงาม และเบ่งบาน อย่างอิสระ โดยไม่นำพาว่า จะมีใครชื่นชมหรือไม่ คำเปรียบเปรยนี้ เรียกเสียงหัวเราะ จากทั้งคู่ ในขณะที่มองดูพวกเธอ อย่างชื่นชม ผมรู้สึกสุขใจ เสมือนได้กลิ่นหอม ของดอกไม้ป่า โชยมาอ่อนๆ กับสายลม

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๖ มีนาคม - เมษายน ๒๕๔๖ ฉบับ...ย่อมโศกอยู่เช่นนี้)