หญิงใดรัก แต่งกาย หมายงดงาม
ชายหลงตาม งามชั่ว ยั่วยวนใหญ่
พุทธองค์ ทรงสอน สั่งเอาไว้
หญิงนั้นไง ให้เรียก "ยักษิณี"

นางยักษิณี (วลาหกัสสชาดก)

พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ได้ตรัสถามภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งกำลังถูก กามราคะ กลุ้มรุมในจิตใจ

"ดูก่อนภิกษุ เธอเกิดจิตกระสันอยู่จริงหรือ"

"จริงพระเจ้าข้า เพราะได้เห็นมาตุคาม(หญิงสาว)แต่งตัวงดงามนางหนึ่ง จิตใจจึงเกิดความกระสันขึ้น ด้วยอำนาจกิเลสตัณหา"

ลำดับนั้นพระพุทธองค์จึงตรัสสอนว่า

"ดูก่อนภิกษุ ธรรมดาหญิงที่แต่งตัวงดงาม เล้าโลมชายด้วยรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสของ มารยาหญิง กระทำให้ชาย ตกอยู่ในอำนาจ ของตน เขาเรียกว่า นางยักษิณี

นางยักษิณีจะเล้าโลมชายด้วยอาการกรีดกราย ครั้นรู้ว่าชายตกอยู่ในอำนาจแล้ว ก็จะทำให้ถึง ความพินาศ แห่งศีล สร้างความพินาศ แห่งขนบประเพณีอันดีงาม

แม้แต่ในกาลก่อน พวกนางยักษิณีก็ได้กระทำเช่นนี้ ลวงฆ่าพวกพ่อค้าทั้งหลาย ได้เคี้ยวกิน หมุบหมับ ตามสบาย มีเลือดไหลอาบแก้มและคางมาแล้ว"

แล้วทรงนำเรื่องของนางยักษิณีมาตรัสเล่า

ในอดีตกาล ณ กาะตามพปัณณิ มีเมืองชื่อ สิริสวัตถุ เป็นเมืองของเหล่านางยักษิณี อาศัยอยู่ จำนวนมาก

พวกนางยักษิณีเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ ด้วยการจับมนุษย์ที่มาเรือแตกอยู่ใกล้ ๆ เกาะนั้น โดยพวกที่ถูกจับ มาใหม่ๆ จะทำให้เป็น สามีของพวกตน ส่วนพวกเก่า จะโดนล่ามโซ่ คุมขังไว้ รอถูกกินเป็นอาหาร ไปในแต่ละวัน

แต่ถ้าหากไม่มีเรืออับปาง พวกนางยักษิณีก็จะตระเวนเที่ยวหาเหยื่อ ตามฝั่งสมุทร ตามเกาะอื่น ๆ เช่น เกาะไม้ขานาง ที่ฝั่งโน้นบ้าง เกาะไม้กากะทิง ที่ฝั่งนี้บ้าง

อยู่มาวันหนึ่ง......มีพ่อค้า ๕๐๐ คน นำเรือใหญ่บรรทุกสินค้าผ่านมา เกิดพายุจัด เรือจึงอับปาง ใกล้เกาะนั้น พวกพ่อค้าทั้งหมด ช่วยพากัน แหวกว่ายน้ำ ขึ้นเกาะได้โดยปลอดภัย

ส่วนพวกนางยักษิณีพอรู้ว่า มีเรือมาอับปาง ก็พากันตกแต่งร่างกายให้งดงาม แล้วถือของกิน ของเคี้ยว มากมาย ทั้งยังอุ้ม ทารกน้อยไปด้วย เพื่อลวงให้เหล่าพ่อค้า ทั้งหลายคิดว่า

"พวกนี้ก็เป็นมนุษย์เช่นเรา มีชีวิตความเป็นอยู่เช่นเดียวกับเรา"

เมื่อพวกนางยักษิณีเข้าไปหาพวกพ่อค้าแล้ว ก็จะกล่าวต้อนรับอย่างดีว่า

"เชิญดื่มน้ำใสสะอาดนี้เถิด เชิญกินของขบเคี้ยวนี้เถิด"

ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและหิวกระหาย บรรดาพ่อค้าทั้งหมด ก็พากันกินอาหารเต็มที่ จนกระทั่ง อิ่มหนำสำราญแล้ว ก็ให้รู้สึกอยากได้ที่พักผ่อน คราวนี้พวกนางยักษิณี จะชวนคุย ซักถามว่า

"พวกท่านมาจากที่ไหนกันนี่ แล้วจะไปกันที่ใด มาทำอะไรกันถึงที่นี้"

พ่อค้าทั้งหลายก็จะตอบความจริงไปว่า

"พวกเราเป็นพ่อค้า เรือเกิดอับปาง ต้องติดเกาะอยู่ที่นี่"

เหล่านางยักษิณีได้ช่องได้โอกาส จะแสร้งวางเหยื่อล่อว่า

"ดีล่ะ! พ่อคุณเอ๋ย แม้แต่สามีของพวกเราทั้งหมด ก็เป็นพ่อค้าขึ้นเรือจากไปนาน นี่ล่วงสามเดือนกว่าแล้ว ก็ยังไม่กลับคืนมา ชะรอยพวกเขา คงจะตายหมดสิ้นแน่ พอดีกับพวกท่าน ก็เป็นพ่อค้าเหมือนกัน พวกเราเป็นหญิง ต้องมีที่พึ่งพิง จึงขอเป็นผู้รับใช้ ของพวกท่านเถิด"

แล้วก็เข้าเล้าโลมพวกพ่อค้า ด้วยมารยาหัวเราะ และจริตของสตรี พาเข้าไปพักผ่อนในเมือง ตามบ้านของตน เป็นอันว่า นางยักษิณีได้ทำให้พ่อค้าทั้ง ๕๐๐ คน ตกเป็นสามีได้สำเร็จ สมใจหมาย โดยหัวหน้า นางยักษิณี ก็ได้หัวหน้าพ่อค้า เป็นสามี นางยักษิณีที่เหลือ ก็ได้พ่อค้านอกนั้น เป็นสามี

ครั้นตกเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็นนางยักษิณีหัวหน้า หรือนางยักษิณีอื่น ๆ มักรอให้พวกพ่อค้าหลับแล้ว ก็จะลุกไปฆ่ามนุษย์ ที่คุมขังไว้ พอกินเลือดเนื้อเสร็จแล้ว จึงค่อยกลับมานอน ร่วมกับพ่อค้าอีก และ ทุกครั้ง ที่ได้กินเนื้อมนุษย์แล้ว ร่างกายของพวกนางยักษิณี จะเย็นผิดปกติ

ด้วยเหตุนี้เองทำให้หัวหน้าพ่อค้าได้รู้สึกเกิดสงสัยยิ่งนัก จึงคอยเฝ้าสังเกตอยู่ จนมั่นใจว่า เป็นยักษิณีแน่ ทั้งมั่นใจว่า หญิงอื่น ๆ ก็เป็นยักษิณีด้วย ดังนั้น จึงแอบบอกกับเพื่อนพ่อค้า ทั้งหลายว่า "พวกเรากำลัง ตกอยู่ในอันตรายแล้วหนอ หญิงทั้งหมดนี้ ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นพวก นางยักษิณีกินคน เร็วเถอะ พวกเราต้อง หาทางหนีกันไป จากที่นี่โดยเร็ว"

แม้จะบอกให้รู้ความจริงแล้ว แต่พวกพ่อค้าประมาณครึ่งหนึ่ง ก็ยังตอบว่า

"เราไม่เห็นว่าหญิงเหล่านี้จะดุร้ายอะไร ทั้งเราก็ไม่อาจละทิ้งพวกนาง ไปได้ด้วย พวกท่าน จงไปกันเถิด พวกเราจะไม่หนีไปไหนล่ะ"

ดังนั้น หัวหน้าพ่อค้าจึงพาพรรคพวกอีกครึ่งหนึ่ง ที่เชื่อถือในถ้อยคำของตน พากันหลบหนี ออกจาก เมืองยักษิณี แต่ก็ยังหาทาง ออกจากเกาะนั้นไม่ได้

ขณะนั้นเอง....มีม้าบินตัวหนึ่ง เป็นม้าวลาหก สีขาวปลอด ศีรษะคล้ายกา มีผมเป็นปอย สามารถบินเหาะ ไปไหน ทางอากาศ ได้รวดเร็ว ปกติจะบินจากป่าหิมพานต์ ไปหาข้าวสาลีกิน ที่สระแห่งหนึ่ง บนเกาะตามพปัณณิ พอกินอิ่มดีแล้ว ก่อนจะบินกลับไป ทุกครั้ง จะต้องแผ่เมตตาจิต ด้วยการกล่าวถึง ๓ ครั้งว่า

"จงมาเถิดผู้ปรารถนาจะไปสู่ฝั่งชนบท จงมาเถิดผู้ปรารถนาจะไปสู่ฝั่งชนบท จงมาเถิด ผู้ปรารถนาจะไป สู่ฝั่งชนบท เราจะพาไป"

เป็นเวลาพอดีกับพวกพ่อค้า ได้ยินเสียงเข้า จึงพากันเข้าไปหา ม้าวลาหก ยกมือขึ้นไหว้ แล้วกล่าวว่า

"ม้าผู้ประเสริฐ พวกข้าพเจ้าเชื่อถือถ้อยคำของท่าน จึงต่างก็ปรารถนา ที่จะไปสู่ชนบท ฝั่งโน้น"

"ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงขึ้นขี่บนหลังเราเถิด เราจะพาไปให้ถึง อย่างรวดเร็ว"

พ่อค้าบางคนจึงขึ้นขี่บนหลัง บางคนก็จับหางม้าไว้แน่น บางคนก็ยืนประนมมือไหว้ รอให้ม้าวลาหก มารับ ในเที่ยวต่อ ๆ ไป ในที่สุด.....ม้าวลาหกก็พาพวกพ่อค้า ที่หนีมาทั้งหมด ให้กลับคืน สู่ชนบทของตน ได้โดยปลอดภัย

ฝ่ายพวกนางยักษิณี เมื่อมีคนเรือแตก มาติดเกาะอีก ก็หลอกไว้เป็นสามีใหม่ แล้วจับพวกพ่อค้าสามีเก่า ที่ไม่ยอมหนีไปนั้น กักขังไว้ฆ่ากิน เป็นอาหาร อันโอชะต่อไป

พระศาสดาทรงจบธรรมเทศนานี้ ด้วยคำตรัสว่า

"พวกพ่อค้าครึ่งหนึ่ง ที่เชื่อคำของม้าวลาหกในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัทของเรา ในบัดนี้ ส่วนม้า วลาหกตัวนั้น ก็คือเราตถาคตเอง"

แล้วทรงย้ำเตือนสติให้เกิดปัญญาว่า

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากเหล่าภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ใดไม่ทำตามคำสั่งสอน ที่เราตถาคต แสดงไว้ดีแล้ว ผู้นั้นย่อมจะต้องถึง ความพินาศ ย่อมถึงความทุกข์ใหญ่ในอบาย ๔ (คือได้นรก ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย) เปรียบเสมือนพวกพ่อค้า ที่ถูกนางยักษิณี หลอกลวง ให้ตกอยู่ในอำนาจ ต้องสิ้นชีวิตไป ฉะนั้น

ส่วนผู้ใดทำตามคำสั่งสอน ที่เราตถาคตแสดงไว้ดีแล้ว ผู้นั้นย่อมจะไปถึง ฝั่งพระนิพพาน ดุจพวกพ่อค้า ที่เชื่อฟัง กระทำตามคำของ ม้าวลาหก ไปถึงฝั่งชนบท โดยสวัสดี ได้กลับคืน สู่ที่อยู่ของตน ฉะนั้น"

ครั้นจบคำตรัสนี้แล้ว ทรงประกาศอริยสัจทันที เมื่อจบสัจธรรมแล้ว ภิกษุผู้กระสันนั้น ก็ตั้งอยู่ใน โสดาปัตติผล ส่วนภิกษุอื่น ๆ อีกหลายรูป บ้างก็บรรลุเป็น พระโสดาบัน บ้างก็ได้เป็น พระสกิทาคามี บ้างก็ได้เป็น พระอนาคามี หรือแม้แต่ได้เป็น พระอรหันต์ก็มี

- ณวมพุทธ -
พฤหัส ๒๓ ก.ค. ๒๕๔๑
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๒๔๑,อรรถกถาแปลเล่ม ๕๗ หน้า ๒๕๑)


เชื่อผู้ใหญ่ เขาว่า หมาไม่กัด
เชื่อธรรมะ ปฏิบัติ ไม่กลัวผี
เชื่อพุทธองค์ หลุดพ้น ยักษิณี
เชื่อกรรมดี มีบุญ หนุนสุขใจ.

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๖ มีนา - เมษา ๒๕๔๖)