"การเดิน"
ความมหัศจรรย์ของการออกกำลังกาย และการบำบัดรักษา

ก่อนที่วิทยาการใหม่ๆ หรือเก่าๆ แต่เพิ่งค้นพบกำลังจะหลั่งไหลเข้ามาในสังคมไทยเหมือนทำนบแตก ก็คงต้องตั้งสติและรอบคอบ

อย่าเพิ่งด่วนเชื่อ เลื่อมใส
และอย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธ

แนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตในช่วง ๒ ทศวรรษที่ผ่านมา จะมีอยู่ ๓ ค่ายใหญ่ๆ ด้วยกัน นั่นก็คือ
๑. เน้นอาหารเพื่อสุขภาพ
๒. เน้นคำสอนทางศาสนา
๓. เน้นการออกกำลังกาย

จำได้ไหมครับ คุณหมออุดมศิลป์ ศรีแสงนาม ปลุกกระแสจ็อกกิ้ง - วิ่งเพื่อสุขภาพ หลังจากนั้น ก็แตกกระจาย เป็นหลากหลายรูปแบบ ของการออกกำลังกาย

แนวตะวันตกมีจ็อกกิ้ง แอโรบิค
แนวอินเดียมีโยคะ
แนวจีนมีรำมวยจีน รำดาบ ไทเก็ก ชี่กง ฯลฯ
และการออกกำลังกายกำลังก้าวพัฒนาไปถึง "การบำบัดรักษา" กันแล้วนะครับ

หากจะออกกำลังกาย หลายๆ คนอาจจะต้องไปเรียนท่าต่างๆ ยากง่ายสุดแต่ครูบาจารย์จะพาไป

เอ๊ะ ! การออกกำลังเพื่อสุขภาพยากเย็นขนาดนั้นหรือ?

ผมคิดถึงกระบวนการยุทธ์บู๊ลิ้มที่กล่าวว่า "สูงสุดคืนสู่สามัญ"

ครับ มีหลายๆ อย่างที่ได้ผลดี แต่เรากลับไม่เชื่อถือ ไม่ศรัทธา นั่นก็คือ "การเดิน"

ในรายการเจาะใจ มีการสัมภาษณ์ผู้หญิงคนหนึ่งที่มีอาการอัมพฤกษ์ และได้ยินเสียงแว่วออกมาจากตัวเองว่า "เดินซิ !"

เธอเชื่อและพยายามเดินทุกวัน จนถึงขั้นเป็นนักเดินมาราธอน บัดนี้สุขภาพสมบูรณ์ฟิตเปรี๊ยะ

เล่าเรื่องในรายการเจาะใจ ไม่ใช่สรุปว่า "เดิน" เท่านั้นที่จะช่วยได้นะครับ แต่อยากให้มองวิธีนี้บ้าง

วันนี้เรามีคำว่า "ภูมิปัญญาชาวบ้าน" อันหมายถึง การละเลยคุณค่าในสิ่งที่มีมาแต่เก่าก่อน

ความจริง "การเดิน" ก็เป็นของโบราณ เป็นวิชาบำบัดรักษาที่ติดตัวมาแต่อ้อนแต่ออก

แต่เพราะเป็นท่าง่ายๆ ที่แสนธรรมดา หลายๆ คนจึงหันไปหาแนวทางการออกกำลังกาย ที่ยุ่งยากและซ้บซ้อน จนถึงการเสียเงินค่าเรียน

"การเดิน" จะช่วยอะไรได้มากมาย

ความรู้สึกนี้ เหมือนชาวพุทธที่ตั้งค่า "พระโสดาบัน" ว่าจะต้องเหาะได้ ทั้งๆ ที่เป็นคนละเรื่อง !

อาจจะเป็นเพราะ "ความง่าย" เราจึงดูถูกดูแคลน

ท่าโยคะเป็นท่าของโยคี ที่อยู่กับที่เป็นอาทิตย์เป็นเดือน
ท่าไทเก็ก ท่ารำมวยจีน ฯลฯ ก็เป็นท่าที่ดัดแปลงจากการต่อสู้
ครับ เป็นท่าของแต่ละชนชั้นคิดค้นขึ้น
และในหลายๆ ท่าก็มาจากชนชั้นศักดินา
ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร จะศึกษาไว้ก็ไม่เสียหาย แต่อย่าลืมท่าประจำตัวของชีวิตมนุษย์ คือ "ท่าเดิน"

เพราะมนุษย์เราต้องมีธาตุทั้ง ๔ อันสมดุล ชีวิตจึงจะมีพลัง-แข็งแกร่ง
ดิน คืออาหาร
น้ำ คือสารหล่อลื่น
ลม คือการหายใจ
ไฟ คือการเคลื่อนไหว

วันนี้ที่บกพร่องกันมากก็คือ ธาตุดิน-กินมากไป ธาตุลม-หายใจสั้นไป และธาตุไฟ - เราไม่ค่อย ออกกำลังกาย

ใครที่ยังไม่ได้เรียนการออกกำลังกาย หรือไม่มีเวลาเรียน หรือเรียนแล้วแต่สมองไม่ดี จำไม่ได้ ก็อย่ากังวล นะครับ..... เดินให้มากขึ้น !

๑. เมื่อเดิน ร่างกายจะสันดาป เหงื่อทุกเม็ดจะระบายสิ่งโสโครกออกมา
ต่อมฮอร์โมน จะหลั่งสารสุข (เอนโดฟิน) ให้ซาบซ่าน

๒. เมื่อเดิน เราอาจฝึกอานาปานสติขั้นต้น ด้วยการกำหนดก้าวไปพร้อมกับลมหายใจ
เข้า...๑-๒-๓ ออก...๑-๒-๓
จิตเราจะผูกติดอยู่กับลมและเท้า !

๓. เมื่อเดิน เราจะผ่อนคลายด้วยจินตนาการ ในลมหายใจ
ทุกลมหายใจเข้า สิ่งดีๆ พลังดีๆ ความสุข สดชื่นจะไหลเข้า
ทุกลมหายใจออก สิ่งเลวร้าย ความเครียด ทั้งหลายจะไหลออก

๔. เมื่อเดิน เราจะสร้างนิมิตด้วยการฝึกจินตนาการ ในจุดที่ไม่สบาย เราจะจดจ่อ เราจะอธิษฐาน ให้กำลังใจ ...ต้องดีนะ ต้องหายนะ !

สำหรับอุปกรณ์การเดิน บางคนกังวลต้องรองเท้าราคาแพง จะทำให้ไม่บาดเจ็บ
ลองง่ายๆ สักทีดีไหมครับ รองเท้าผ้าใบคู่ละไม่กี่ร้อยก็น่าจะพอ
เริ่มแบบคนจนไว้ก่อน ประหยัดดีครับ

หมายเหตุ
๑. บทความชิ้นนี้ ผู้เขียนมิได้ต้องการให้ผู้อ่านยกเลิกการออกกำลังกายประเภทอื่นๆ แต่ต้องการให้ท่าน "เสริม" อาหารจานนี้ลงไปอีก ๑ จาน

๒. และถ้าท่านยังไม่ได้กินอาหารจานไหนเลย ผู้เขียนก็อยากจะให้ท่านรีบกิน "จานนี้" โดยเร็ว !

(ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๗ พฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๔๖)