page:
1/1
|
ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน ตอน ๑ ฉันเคยฝันถึงโรงเรียนที่ทันสมัย ปลูกสร้างอย่างดี มีบรรยากาศรื่นเริง แต่...ชีวิตก็เป็นเช่นนี้แหละ ! แม้กระทั่งในสารานุกรมก็ยังไม่ปรากฏชื่อหมู่บ้านแห่งนี้เลย ซิลเบีย น้องสาวของฉันพูดว่า "สงสัยจะกันดารและห่างไกลความเจริญน่าดู" ฟังแล้วใจฉันลงไปกองอยู่ที่ตาตุ่มเลยทีเดียว ดีแต่แม่ซึ่งมักจะคอยปลอบใจฉันเกือบทุกเรื่อง อุตส่าห์พูด ให้กำลังใจ "เรื่องนั้นไม่สำคัญนักหรอก ถ้าลูกถูกใจที่นั่น แล้วชาวบ้านก็รักลูกด้วย คงจะไม่มีปัญหาอะไร ความสุข ของคนเราน่ะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ สถานที่ว่าต้องใหญ่หรือเล็กสักหน่อย" แต่ฉันคิดคนละอย่างกับแม่ หากทางการจะส่งฉันไปที่แบบนั้นละก็ ไม่น่า ต้องให้ฉันตอบแบบสอบถาม ประหลาดๆ หรือ ทำข้อสอบ ยากเย็นแสนเข็ญถึงขนาดที่พอสอบผ่านฉันก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างเอกอุว่า ตัวเอง มีความสามารถ พร้อมจะบริหาร โรงเรียนที่มีนักเรียนถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบคนได้สบายๆ ในเมื่อฉันทำข้อสอบได้ดีมาก จนน่าจะได้รับคำชมจากคณะกรรมการ แล้วทำไมเขาถึงให้ฉันไปสอน ที่โรงเรียน ในหมู่บ้าน เล็กๆ อย่างนั้นได้นะ จะมีนักเรียนสักกี่คนกัน อาจจะเก้าคน เท่านั้นเอง ฉันคงจะคิดเพลิน และรำพึงออกมาเสียงดังจนซิลเบียหัวเราะ "พี่คงต้องเหนื่อยน่าดูเลย แต่ไม่ต้องกังวลหรอก ธรรมดาพี่ก็ชอบงานขีดๆ เขียนๆ มาแต่ไหนแต่ไร คราวนี้ พี่จะได้ อุทิศเวลาว่าง ให้งานเขียนได้เต็มที่ คงจะเยี่ยมไปเลยถ้าพี่ออกจากบ้านไปเป็นครูบ้านนอก แล้วกลับมา พร้อมกับรางวัล หรือพี่ว่าไง" ฉันไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะล้อเล่น เมื่อคิดถึงหมู่บ้านเล็กๆ ไกลลิบแห่งนั้นก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ท่ามันจะแย่ เอาการ อยู่หรอก ฉันรู้สึกได้เมื่อไปถึงสถานีขนส่งและมองเห็นรถคันแดงน้ำเงิน
ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าต้องเป็นรถร่วมสมัย กับโกด็อย "เปริโก้ แม่บอกให้มานี่" หล่อนพูดพลางพยักเพยิดให้ลูกชายท่าทางบึกบึน ซึ่งนั่งพาดขาไปบนที่นั่งอีกตัว อย่างสบาย อารมณ์ ช่วยยกเอากระเป๋าที่สวยงามของหล่อนไว้ใต้ที่นั่ง ฉันยืนอยู่ ณ ช่องแคบๆ ที่น่าหวาดเสียวและคอยอย่างปลงอนิจจัง ให้รถคันนี้ ออกเดินทางเสียที ถ้ามัน ยังวิ่งได้นะ และแล้ว รถก็ออกวิ่ง .....ฉันช่างโชคร้ายเสียจริง ! ฉันอำลาชีวิตสุขสบายแบบเด็กในเมือง สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือรอยยิ้มของแม่ ซึ่งโบกมือให้ฉัน แม่น้ำตาคลอ ฉันรู้สึก เหมือนมีก้อน สะอื้นแล่นขึ้นมาจุกคอหอย และได้แต่กำมือแน่น หญิงเจ้าของกระเป๋าที่ก่อปัญหาซึ่งนั่งข้างๆ ฉัน กำลังสาธยายให้ใครต่อใครฟังว่า จะเอากระเป๋า เดินทาง ไปไว้บน หลังคารถ ไม่ได้เป็นอันขาด เคยมีคนถูกขโมยเสื้อ กันหนาวราคาแพงไปจากกระเป๋า บนหลังคารถ นั่นแหละ รถโดยสารออกวิ่งราวกบกระโดดพร้อมกับปล่อยควันโขมง ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีตะกร้าใส่ไก่ มาสองตัว บอกให้ฉัน นั่งข้างๆ หล่อนเขยิบให้ฉันนิดหนึ่ง แต่ก็พอนั่งได้ครึ่งก้นเท่านั้น เอาเถอะ ! เท่านั้นก็นับว่าดีเหลือหลายแล้ว นึกถึงความมีน้ำใจ ของหล่อน ที่เป็นเครื่องปลอบ ประโลมใจ ในยาม อ้างว้าง เช่นนี้ ในใจฉันเต็มตื้นด้วยความรู้สึกขอบคุณหล่อนเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้ฉันก็นั่งอยู่ ระหว่าง ตะกร้า กับหญิงสาว รุ่นราว คราวเดียวกับฉัน หน้าตาน่ารักทีเดียว แต่ดูท่าจะเริ่มเมารถเสียแล้ว เด็กชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตอนหน้ารถ หน้าผากเต็มไปด้วยรอยยาแดง ตะโกน โหวกเหวกให้แม่เขาเอาอะไร สักอย่าง ในกระเป๋าให้ ขณะเดียวกัน ทารกอายุไม่กี่เดือนช่วยเพิ่มสถานการณ์อันวุ่นวายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยการฉี่ ออกมา ช่างเป็น ความสมดุล ที่โกลาหลสิ้นดี ! รถเริ่มกระโดดและกระตุกแทนที่จะวิ่ง ทำให้ฉันต้องนั่งตัวเกร็ง พยายามขืนตัวไว้ไม่ให้หล่นลงไป ทับแม่ไก่ ในตะกร้า หรือ ทับเอาสาวน้อย ซึ่งท่าทางจะอาการหนักทีเดียว อากาศก็ช่างร้อนเสียจนแทบหายใจไม่ออก เมื่อหลายๆ อย่างมารวมกัน เล่นเอาฉันเกือบทนไม่ไหว เหมือนกัน ทุกครั้งที่รถจอด ณ หมู่บ้านสวยๆ ฉันก็ได้แต่ภาวนาขอให้เป็นหมู่บ้านที่ฉันต้องมาทำงาน แต่ช่างโชคร้าย เสียนี่กระไร รถจอดก็จริง แต่เพื่อรับผู้โดยสารขึ้นมาเพิ่มความแออัดเท่านั้น คนขึ้นใหม่ต้องยืนเบียดเสียด อยู่ตรง ทางเดินแคบๆ ระหว่างที่นั่ง "คุณจะไปเบอิเรเชอาใช่ไหม" หญิงเจ้าของไก่หันมาถามฉัน หลังจากนับเงินในกระเป๋าเป็นครั้งที่สาม เรียบร้อยแล้ว "ค่ะ" ฉันตอบเสียงเศร้าสร้อยจนแม้กระทั่งกษัตริย์เฮร็อด๒ ยังสะเทือนพระทัยไปกับฉันด้วยเทียวล่ะ เด็กหนุ่ม คนหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ มองดูฉันทั่วตัว ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนฉัน รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดง ราวกับ มะเขือเทศ เม็ดเหงื่อ ผุดพราว ขึ้นเต็มหน้าผาก และมือก็ชื้นแฉะไปด้วยเหงื่อ รถวิ่งผ่านหมู่บ้านแล้วหมู่บ้านเล่า...ความร้อนทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ จนฉันแทบทนต่อไปไม่ไหว ที่น่าแปลก ก็คือ ไม่มีใครบ่น แม้แต่คนเดียว เขาเหล่านั้น ยอมรับสภาพที่น่าอึดอัดทั้งหลายนี้ได้ ด้วยปรัชญาชีวิต ที่แสนอัศจรรย์ หรือว่าที่เห็นนี้จะเป็นภาพลวงตาของฉันเพียงคนเดียว ฉันเสนอที่นั่งส่วนน้อยนิดของฉันให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งอุ้มเด็กขึ้นมาบนรถ แล้วตัวเอง จึงระเห็จ ไปยืนอยู่ ระหว่าง ตะกร้าที่มีฝาปิดสองใบกับแผงเหล็กที่กั้นเขตผู้โดยสาร กับคนขับรถ เฮ้อ ! เมื่อไหร่จะถึงเสียทีนะ ฉันรู้สึกแย่มาก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันเมารถ....โค้งแล้วโค้งเล่า ยิ่งคิดก็ยิ่งนึกชังหมู่บ้านเบอิเรเชอา มากขึ้น ทุกที กลิ่นเหมือนห้องโถงในโรงพยาบาล ที่ผู้ป่วยมานั่งคอยรับการรักษาโชยมาจากชายที่นั่งทางขวามือของฉัน มือข้างหนึ่ง ของผู้ชายคนหนึ่ง พันผ้าพันแผลเอาไว้ โอย...ฉันอาการไม่ดีเอาเสียเลย "มือเป็นอะไรล่ะ อัลฟอนโซ" ชายชราตาเดียวตะโกนถาม "เลื่อยมันบาดน่ะลุง" ชายที่มีผ้าพันแผลตอบ พร้อมกับมีกลิ่นเหล้าองุ่นและกระเทียมโชยออกมาจากปาก ฉันหลับตาและเกือบจะล้มลงตรงนั้น คนเรามีโอกาสจะประสบชะตากรรมที่ เลวร้ายที่สุด ในการเดินทาง เพียงครั้งเดียว ได้ไหม "เมารถเหรอ" ชายคนที่อยู่แถวหน้าถามอย่างห่วงใย เขาละสายตาจากหนังสือพิมพ์ แต่ไม่มีทีท่าว่า จะลุกขึ้น ให้ฉันนั่ง "ระวังหน่อยคุณ เดี๋ยวก็ล้มทับผลไม้ฉันเข้าหรอก !" หญิงเจ้าของตะกร้าร้องอย่างไม่พอใจ เพราะตะกร้า ของหล่อน อยู่ตรงสีข้างฉันพอดี "ขอโทษ" ฉันตะโกนอย่างไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้ ฉันจับราวเหล็กไว้แน่น หลับตาลง และนึกอยากตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป อันที่จริงสถานการณ์ก็มิได้เลวร้ายจนเกินไปนัก ยังนึกแปลกใจว่าทำไมจึงรู้สึก สิ้นหวังได้ถึงปานนั้น ปกติ ฉันเป็นคน รักสงบ แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากจะตะโกนหรือทุบตีใครสักคน ฉันคิดว่าตัวเอง อยู่ใน โรงพยาบาลบ้า ผู้คน ที่อยู่รอบๆ ตัวต้องเป็นบ้าไปแล้ว ถึงได้อารมณ์ดี และร่วมเดินทางไปที่ ที่เราจะไปกัน นี้ได้ ฉันรู้สึกว่ามีหมอกปกคลุมรอบๆ ตัว และได้ยินเสียงผู้โดยสารพูดคุยกันสับสนอลหม่าน "ได้ข่าวว่าลูกชายของเซราเปียออกจากสามเณราลัยแล้วล่ะ ตาพ่อจะว่าไงไม่รู้ คิดดูสิ ปีหน้า ก็จะเตรียม บวช เป็นพระสงฆ์แล้ว" "ฉันกับมาร๎โกส๓ น่ะเหรอ ท่าจะบ้า เธอเข้าใจผิดแล้วละ ฉันเนี่ยนะจะชอบอีตามาร๎โกส ชาติหน้าบ่ายๆ โน่นแน่ะ !" "ไอ้หนูของฉันต้องไปเป็นทหารเกณฑ์ ส่วนนังหนูปีนี้ก็สิบเก้าแล้ว ปีหน้าก็จะไปแต่งงาน ที่เลอิซาโน่น" "เฟลิกซ๎ พรุ่งนี้เช้าต้องกลับลงมาให้ได้นะ บอกแล้วไงว่า ฝูงแกะนั่น จะมีประโยชน์ต่อแก" "อ้าว ! คุณไม่ได้บอกว่าจะไปเบอิเรเชอาหรอกหรือ" เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ ตัวฉัน ฉันรีบลืมตาอย่างรวดเร็ว หญิงเจ้าของไก่นั่นเอง พูดจบหล่อนก็หัวเราะ อย่างไม่ปิดบัง ผู้โดยสารลงจากรถเกือบหมดแล้ว เหลือฉันนั่งอยู่คนเดียว ฉันรู้สึกว่าฉันบ้านนอก กว่าใครเพื่อน ฉันเดินขาขวิดลงจากรถ ไม่คิดเลยว่าตัวเองจะโชคร้ายถึงปานฉะนี้ แถมหญิงเจ้าของกระเป๋าเดินทางสีน้ำเงิน ยังทิ้งทวน โดยการเอากระเป๋า มากระแทกสีข้างฉัน และที่ฉันยังไม่ร้องไห้ออกมา ก็เพราะความอาย เท่านั้นแหละ ฉันมองไปรอบๆ อย่างสับสน ผู้โดยสารทุกคนที่เดินทางมากับฉันต่างพากันหอบข้าวของแยกย้ายกัน ไปคนละทิศ ละทาง เหลือฉัน ยืนโดดเดี่ยวอยู่ข้างคูน้ำ ริมถนนและ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ท้องฟ้า ก็เริ่มมืดลง ทุกขณะ ชายคนหนึ่งเดินมาหาฉัน ไม่รู้เป็นเพราะอะไรทีแรกฉันจึงคิดจะวิ่งหนี ทว่าพอเข้ามาใกล้ ก็ดูไม่ใช่คน น่ากลัว แต่อย่างใด เขาเป็นชาย ร่างสูงและดูเซ่อซ่า ฉันระบายลมหายใจอย่างโล่งอก และตัดสินใจ ถามเขาถึง ทางเข้าหมู่บ้าน "คุณมากับรถที่มาจากปัมโปล๎น่าหรือเปล่าครับ" "ใช่ค่ะ ใช่" "คุณทราบไหมครับว่า มีครูมากับรถคันนี้หรือเปล่า" "ดิฉันนี่แหละครู" ฉันพูดราวกับกำลังตกอยู่ในความฝัน ใช่สิ ! ฉันนี่แหละครู และฉันก็อยู่ที่นี่ ในขณะที่เพื่อนๆ ของฉันคงเดินเล่นหรืออยู่ในโรงภาพยนตร์ "ว่าแต่ว่า...คุณน่ะเป็นครูที่มาสอนที่เบอิเรเชอานี่หรือครับ" "ใช่ค่ะ" "แต่คุณยังดูเด็กมากเลยที่จะเป็นครู เอาเถอะ จะทำไงได้ ! ผมชื่อเปโย่ เป็นเจ้าของบ้านที่ครูจะไปอยู่" "ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ" ฉันพูดพลางยื่นมือออกไป และพยายามลืมประโยคที่ว่า "จะทำไงได้" ฉันรู้สึกอยากแลก ทุกอย่างที่มี ขอเพียงให้ได้กลับบ้านเท่านั้น เขามองมือฉันครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจยื่นมือออกมาจับอย่างระมัดระวัง ราวกับว่า จะจับระเบิด ไดนาไมต์ ยังไงยังงั้น "เอ้อ....ถ้างั้น" เขาพูดอายๆ "ครูก็มาอยู่ที่เบอิเรเชอาแล้วละครับ ครูพร้อมเมื่อไหร่ เราก็ไปที่บ้านกัน ได้เลย" ฉันก้มลงหยิบกระเป๋าเดินทาง เพราะเปโย่ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยยกแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับตอนที่เขา ทักทายฉัน เขาก็ไม่ได้ ถอดหมวก แม้ฉันจะไม่ได้หวังให้เขาทำ เช่นนั้นก็ตาม เปโย่ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ก็อย่างที่ฉันบอกนับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่า ฉันรู้สึกเหนื่อยขึ้นทุกทีๆ ซ้ำยังต้องแบก กระเป๋า เดินทาง และ กระเป๋าสะพายอีกใบด้วย สิ่งเดียวที่ฉันปรารถนาก็คือ ถ้าฉันกำลังฝันไป ก็ขอ ให้ฉันตื่น หรือถ้า กำลังตื่นอยู่ ก็ขอให้รีบตายๆ ไปเสียเลย "มูริเอล ! เจ้าได้มาอยู่ที่นี่ เหมาะจริงๆ !" ฉันบอกตัวเองอย่างขมขื่นพร้อมกับมองไปยังบ้านหลายๆ หลัง ที่เกาะกลุ่มกัน และ ดูห่างไกลเหลือเกิน สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือให้การศึกษาแก่เด็กๆ เพราะเห็นได้ชัดว่า พวกแก ไม่มีวัน จะได้รับ จากพ่อแม่.... ซึ่งไม่เคยมีความเห็นอกเห็นใจ ที่จะลุกให้ผู้หญิงเมารถคนหนึ่งนั่ง หรือ ไม่ได้ช่วยหล่อน ถือกระเป๋า เดินทาง เมื่อต้องเดินเข้าหมู่บ้าน แม้กระนั้น เปโย่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสังเกตหรือรู้สึกถึงสภาพจิตใจฉัน เขาเดินจ้ำอ้าวๆ ด้วยขายาวๆ ของเขา และ ไม่ปริปาก พูดอะไรสักคำ ในที่สุดเราก็มาถึงหมู่บ้าน ฉันเห็นแต่เพียงเด็กๆ หน้าตาอยากรู้ อยากเห็น สองสามคน มองฉันมาจาก บนกำแพง สวนผัก พอฉัน ยิ้มให้ พวกเขาก็วิ่งไปแอบในบ้าน แล้วเราก็มาหยุดตรงหน้าอาคารหลังหนึ่ง ลักษณะคล้ายเล้าไก่พังๆ มันเป็นอาคารชั้นเดียว และ ดูทรุดโทรม "นั่นแหละครับโรงเรียน" ผู้นำทางบอกฉัน "โรง...โรง...เรียน หรือคะ" ฉันครางออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา ที่ฟังแล้วแม้แต่ตัวเอง ยังเศร้าใจ แต่เปโย่ไม่ได้สังเกตเห็น และไม่ได้ใส่ใจสักนิดว่าฉันรู้สึกอย่างไร เกิดมาฉันยังไม่เคยพบใครที่เฉยชา ไร้ความรู้สึก และ ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น มากเท่านี้ สิ่งแรกที่สุดที่เขาคิดว่าน่าจะทำคือ การพาฉัน ไปที่โรงเรียน เขาคงคิดว่า เป็นสิ่งที่ ถูกต้อง เหมาะสม ที่สุดแล้ว สำหรับสถานภาพความเป็นครูของฉัน (อ่านต่อฉบับหน้า) ๑
โกด็อย เป็นนักการเมืองคนหนึ่งในศตวรรษที่
๑๘ ในที่นี้ใช้เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่ารถเก่ามาก (หนังสือดอกหญ้า อันดับที่ ๑๐๘ กรกฎาคม ๒๕๔๖) |
page:
1/1
|
[ดอกหญ้า.] [เราคิดอะไร] [สารอโศก] [ข่าวอโศกรายปักษ์]