ชาดก
อดีตชาติของพระพุทธเจ้า

คนจนกู้ชาติ (สุตนชาดก)


คนดีแม้ไม่มีทรัพย์
จนนักมักมากน้ำใจ
กู้ชนพ้นจากอบาย
ชาติไทใช่แท้ยั่งยืน

พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงแสดงชาดกแก่ภิกษุรูปหนึ่ง ผู้เลี้ยงมารดา พร้อมด้วยภิกษุทั้งหลายในที่นั้นให้ได้รับฟัง

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์อยู่ในนครพาราณสี มีเด็กทารกคนหนึ่ง กำเนิดขึ้น ในตระกูลของคหบดีผู้ตกยาก หมู่ญาติได้ตั้งชื่อให้ว่า สุตนะ

แม้สุตนะเติบโตเป็นหนุ่มรูปงามแล้ว มีปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นบัณฑิต แต่ก็ยากจน ต้องทำงาน รับจ้างได้ค่าแรงต่ำ ทรัพย์ที่ได้ก็นำมาเลี้ยงดูบิดามารดาของตน จนกระทั่งบิดาถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็ดูแลมารดาสืบไปอย่างดียิ่ง

ในเวลานั้นเอง พระเจ้าพรหมทัตทรงเป็นผู้มีพระทัยฝักใฝ่การล่าสัตว์ มีอยู่วันหนึ่ง พระองค์ เสด็จไปป่าไกลถึง ๑ โยชน์ (๑๖ กม.) พร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก แล้วรับสั่งกับทุกๆคนไว้ว่า

"ถ้าเนื้อ(สัตว์จำพวกกวาง)ตัวไหนหนีออกไปได้ ในทิศทางที่ใครยืนอยู่ คนนั้นจะต้องถูกปรับสินไหม (เสียเงินค่าปรับ)"

เหล่าผู้ติดตามทั้งหมดจึงพากันตั้งใจล้อมพวกเนื้อเป็นวงกว้างไว้ แล้วรุกไล่ด้วยเสียงและท่อนไม้ บังเอิญมี เนื้อตัวหนึ่ง วิ่งไปทิศทางที่พระราชาประทับยืนอยู่ พระราชาก็หมายพระทัยว่า

"ดีล่ะ วิ่งเข้ามาให้เราได้ยิงแท้ๆ"

ทรงเล็งเป้าหมาย แล้วยิงลูกศรออกไป แต่เนื้อตัวนี้ฉลาดนัก รู้จักหลบลูกศรที่พุ่งเข้าใส่ แล้วแสร้งทำเป็นถูกลูกศรล้มกลิ้งอยู่กับพื้น พระราชาทรงดีพระทัยมากเข้าใจว่า

"เนื้อถูกเรายิงเข้าให้แล้ว"

จึงทรงวิ่งรี่เข้าไปจะจับเนื้อนั้นไว้ แต่พอใกล้ถึงตัว เนื้อนั้นรีบลุกขึ้นวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว พวกข้าราช บริพารทั้งหลายเห็นเช่นนั้นก็ขำ อดไม่ได้ที่จะพากันหัวเราะเป็นการใหญ่ ในอาการทรงจับเก้อ ของพระราชา ทำให้พระองค์ทรงเสียหน้ามาก จึงทรงตัดสินใจวิ่งไล่ตามเนื้อตัวนั้นไปสุดกำลัง

ไกลออกไปๆ เนิ่นนาน กว่าจะทันได้ ก็เมื่อเนื้อนั้นอ่อนล้าแล้ว พอถึงตัวเท่านั้น ก็ทรงใช้พระขรรค์ ฟันเนื้อตัวนั้นขาดสองท่อนทันที แล้วก็ทรงล้มลงนอนกับพื้น หอบหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย เหลือเกิน ทรงทอดพระเนตรไปข้างหลัง ไม่มีผู้ใดติดตามมาแม้แต่คนเดียว ทรงทราบว่า พลัดหลง กันเสียแล้ว

จากนั้นก็ทรงมัดเนื้อทั้งสองท่อนไว้ ทำเหมือนคานหามแล้วเสด็จกลับ ระหว่างทางทรงแวะ เข้าไปใต้ ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ที่สงบร่มรื่นอยู่ริมทางนั้นเอง

"บรรยากาศดีแท้ เราขอพักผ่อนสักครู่ตรงนี้แหละ"

ทรงถอดฉลองพระบาทให้เป็นที่สบาย เอนพระวรกายพิงต้นไทร แล้วทรงม่อยหลับไป ด้วยความอ่อนเพลีย

ณ ต้นไทรนี้เอง มียักษ์ (หมายถึงผู้ไม่มีศีล ๕ มักทำการฆ่าสัตว์ ฯลฯ) ตนหนึ่งชื่อ มฆเทพ อาศัยอยู่ ยักษ์ตนนี้จะกินมนุษย์และสัตว์ตัวใดก็ได้ ที่เข้าไปใต้ต้นไทรนี้ โดยได้สิทธิ์จาก ท้าวเวสสุวัณ (เจ้าแห่งยักษ์ตนหนึ่ง)ให้ไว้ มันจึงจับพระหัตถ์ของพระเจ้าพรหมทัตไว้แน่น แล้วปลุก ให้ทรงตื่นจากบรรทม โดยขู่ว่า

"ตื่น....ตื่น....เจ้ากำลังจะเป็นอาหารอันโอชะของข้าแล้ว"

พระราชาทรงสะดุ้งตกพระทัยตื่น ตรัสถามว่า

"เจ้าเป็นใคร"

"ข้าเป็นยักษ์ชื่อ มฆเทพ ผู้มีสิทธิ์กินมนุษย์และสัตว์ ที่เหยียบย่างเข้ามาบนผืนดิน ใต้ร่มเงา แห่งไทรนี้"

พระราชาพอเริ่มตั้งสติได้แล้ว ทรงพยายามหาทางรอด

"ท่านจะกินเฉพาะวันนี้ หรือจะกินเป็นประจำทุกวันเล่า"

"ฮ่ะ...ฮ่ะ...ถ้ามีมาทุกวัน ข้าก็จะกินทุกวัน"

พระราชาทรงหวาดหวั่นขึ้นมาทันที รีบรับสั่งเป็นคำมั่นสัญญาว่า

"เอาอย่างนี้เถิด เรานี้คือพระราชาแห่งนครพาราณสี วันนี้เจ้าจงกินเนื้อสองท่อน ที่เราล่ามาได้ นั้นก่อน จงปล่อยเราไป แล้วนับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเราจะส่งคนมาให้ท่าน ๑ คนทุกๆวัน พร้อมกับ สำรับอาหารอย่างดีอีก ๑ สำรับ"

ยักษ์ฟังแล้วถูกใจยิ่งนัก ตอกย้ำไปว่า

"ถ้าอย่างนั้นเจ้าจงอย่าลืมสัญญาเด็ดขาด เพราะในวันใดที่เจ้าไม่มีคนส่งมา วันนั้นข้าจะไป กินเจ้าเอง"

ทรงกล่าวรับรองหนักแน่นทันทีว่า

"เราเป็นถึงพระราชา ขึ้นชื่อว่าสิ่งไม่มีนั้น ย่อมไม่มีวันเกิดขึ้นสำหรับเรา"

ยักษ์รับคำปฏิญาณนั้นแล้ว ก็ปล่อยพระราชาไป พระองค์พอเสด็จกลับถึงพระนคร ก็ไม่รอช้า ทรงรีบเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้อำมาตย์คนสนิทฟัง แล้วตรัสถามว่า

"บัดนี้เราควรจะทำอย่างไรดี"

"ข้าแต่พระราชาผู้เป็นใหญ่ พระองค์ทรงกำหนดวันเวลาสิ้นสุดไว้กับยักษ์หรือไม่"

"ไม่ได้กำหนด"

"โอ...พระองค์ทรงทำในสิ่งที่ไม่สมควรเลย แต่เมื่อมันเป็นเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็อย่าได้ทรงวิตก เพราะนักโทษในเรือนจำมีอยู่มาก พระเจ้าข้า"

"ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงรับเอาภาระนี้ไปทำด้วยเถิด"

อำมาตย์คนสนิทรับคำ แล้วตรงไปเบิกนักโทษจากเรือนจำออกมา หลอกให้แบกสำรับกับข้าว ไปส่งให้ยักษ์ โดยไม่ให้นักโทษรู้เรื่องอะไรเลย เป็นเช่นนี้ทุกๆวัน

ฝ่ายยักษ์พอกินสำรับอาหารที่จัดมาให้เสร็จ ก็กินคนที่ถือสำรับมาด้วย ทำให้เรือนจำทั้งหลาย หมดนักโทษในที่สุด เมื่อไม่มีคนนำสำรับอาหารไป

พระราชาก็ทรงหวาดกลัวว่า ความตายจะมาถึงตน อำมาตย์จึงต้องปลอบพระทัยว่า

"ยังมีผู้คนที่หวังได้ทรัพย์มากกว่าชีวิตข้าพระองค์จะให้วาง ห่อเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ(๔,๐๐๐ บาท) ไว้บนคอช้าง ให้เที่ยวตีกลองประกาศว่า ใครอยากจะได้ทรัพย์นี้ไป จงถือเอาสำรับอาหาร ไปส่งให้ยักษ์"

พระราชาทรงเห็นด้วย อำมาตย์จึงได้ทำไปตามนั้น ก็คราวนั้นเอง....สุตนะได้ยินคำประกาศแล้ว ก็คิดว่า

"เราทำงานกว่าจะได้ค่าจ้างแม้แค่ ๑ มาสก(๒๐ สตางค์) เพื่อให้เลี้ยงดูแม่นั้น ช่างแสนยาก ลำบาก ฉะนั้นเราน่าจะรับเอาทรัพย์ ๑,๐๐๐ นี้ไว้ให้แม่ได้ใช้ เพราะเรามั่นใจว่า จะกำราบยักษ์ ตนนี้ได้ อันจะเป็นกุศลมหาศาลแก่ชนทั้งหลาย แต่ถ้าเราต้องตายไป แม่ก็จะมีทรัพย์ใช้ อย่างสบายต่อไป"

เขาตกลงใจแล้ว จึงไปบอกให้มารดาทราบ แต่มารดาก็ห้ามไว้ถึงสองครั้งสองคราว

"อย่าเลยลูก แม่ไม่ต้องการทรัพย์"

ดังนั้นพอครั้งที่สาม สุตนะจึงไม่ยอมบอกมารดาอีก แต่ตรงไปหาอำมาตย์แล้วกล่าวว่า

"นำมาเถิดทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ข้าพเจ้าจะนำอาหารไปให้แก่ยักษ์เอง"

ได้รับทรัพย์แล้ว สุตนะก็นำไปให้มารดา แล้วกล่าวปลอบใจว่า

"แม่....แม่อย่าคิดอะไรมากนัก ลูกจะไปปราบยักษ์ จะทำความสวัสดีให้แก่มหาชน แล้วจะกลับ มาหาแม่ ฉันจะทำใบหน้าของแม่ที่เปียกน้ำตา ให้กลับเป็นยิ้มแย้มขึ้นในวันนี้ทีเดียว"

แล้วก็ไปยังราชสำนัก ถวายบังคมพระราชา พระองค์ตรัสถามว่า

"ดูก่อนพ่อหนุ่มรูปงาม เจ้าหรือจะเป็นผู้นำอาหารไป"

"ใช่แล้ว พระพุทธเจ้าข้า"

"เจ้ายังจะต้องการอาวุธอะไรไปอีกหรือไม่"

"ข้าแต่สมมุติเทพ ขอพระราชทาน ฉลองพระบาททองคำของพระองค์ พระเจ้าข้า"

"เอ๊ะ! เพราะเหตุใดกันเล่า"

"ก็เพราะยักษ์นั้นจะกินแต่เฉพาะคนหรือสัตว์ ที่ยืนอยู่บนพื้นดินภายใต้ควงไม้ของตน ข้าพระพุทธเจ้า จึงจะไม่ยืนบนพื้นดินที่เป็นของยักษ์นั้น แต่จะยืนอยู่บนฉลองพระบาท ของพระองค์"

"ดีล่ะ แล้วเจ้ายังจะต้องการอะไรอีก"

"ฉัตร พระเจ้าข้า"

"ฉัตรหรือ เอาไปเพื่อประโยชน์อะไร"

"ก็เพราะยักษ์จะกินเฉพาะคนที่อยู่ภายใต้ร่มไทรของตน ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ยอมอยู่ภายใต้ ร่มไทรนั้น แต่จะยืนอยู่ภายใต้ร่มฉัตรของพระองค์"

"แล้วยังจะใช้อะไรอีกไหม"

"ขอพระขรรค์ของพระองค์ พระเจ้าข้า"

"พระขรรค์ของเราแค่นี้ จะมีประโยชน์อะไรแก่เจ้า"

"ยักษ์ทั้งหลายมีใจหวาดกลัวต่อพระขรรค์ แม้มนุษย์ทั้งหลายก็กลัวต่อพระขรรค์เช่นกัน พะยะค่ะ"

"เอาล่ะ แล้วเจ้ายังอยากได้อย่างอื่นใดอีก"

"เครื่องต้น(อาหาร) เต็มพระสุวรรณภาชน์ (ภาชนะทองคำ)ของพระองค์"

"เพราะเหตุใดกัน"

"เพราะว่า การนำเอาอาหารธรรมดาที่บรรจุด้วยถาดดิน ถาดกระเบื้องไป ไม่สมควรแก่ชายชาติ บัณฑิต อย่างข้าพระพุทธเจ้าเลย"

พระราชาทรงพึงพอพระทัยในคำตอบ แล้วทรงประทานทุกอย่างตามนั้น ทั้งทรงมอบคนรับใช้ คอยติดตามไปด้วย สุตนะกราบทูลก่อนไปว่า

"ขอพระองค์อย่าทรงวิตกใดๆเลย วันนี้ข้าพระพุทธเจ้าจะทรมานยักษ์ จะนำความสวัสดีกลับมา มอบให้แด่พระองค์"

แล้วให้คนช่วยถือสิ่งของทั้งหมด มุ่งตรงไปยังต้นไทรนั้น ถึงแล้วให้ทุกคนยืนอยู่ห่างๆ สุตนะเอง สวมฉลองพระบาททองคำ ขัดพระขรรค์ไว้ที่เอว กั้นเศวตรฉัตรบนศีรษะ อีกมือถืออาหารบรรจุ ถาดทองคำเข้าไปใต้ต้นไทรใหญ่

ขณะนั้นยักษ์มฆเทพกำลังเฝ้าดูอยู่ เห็นสุตนะแล้วให้รู้สึกแปลกใจว่า

"หนุ่มน้อยคนนี้ มีรูปร่างสง่างาม ตกแต่งกายด้วยของมีค่า ไม่เหมือนผู้มาในวันอื่นๆเลย จะมีเหตุอะไรหรือไม่หนอ"
เมื่อสุตนะเข้าไปใกล้ถึงเงาต้นไทร ก็ใช้ปลายพระขรรค์ผลักถาดอาหารเข้าไปภายใต้ร่มไทร ส่วนตนเอง ยืนอยู่สุดร่มไทรนั้นเอง แล้วกล่าวว่า

"ดูก่อนมฆเทพ ผู้สถิตอยู่ ณ ต้นไทรนี้ พระราชารับสั่งให้นำอาหารประกอบด้วยเนื้อสัตว์อย่างดี มามอบให้แก่ท่าน เชิญท่านเอาไปบริโภคเถิด"

ยักษ์ได้ยินอย่างนั้นก็คิดว่า

"เราจะต้องหลอกหนุ่มคนนี้ ให้ถอดรองเท้าเข้ามาภายใต้ร่มไม้ แล้วจะได้จับกินเสีย" จึงส่งเสียง ตอบไป

"มาเถิดหนุ่มรูปงาม เจ้าจงถอดรองเท้าไว้ที่ตรงนั้น แล้วนำอาหารมาให้เรา ทั้งเรากับเจ้าจงมากิน ด้วยกันเถิด"

สุตนะรู้ทันในอุบายของยักษ์ จึงเตือนว่า

"ดูก่อนยักษ์ อย่ามาลวงเราสุตนะเลย เรารู้อยู่ ก็แล้วท่านจะยอมเสียประโยชน์มากมาย เพียงเพราะประโยชน์เล็กน้อยเท่านั้นหรือ หากคนทั้งหลายพากันหวาดกลัวการมอบความตาย จากท่าน ก็จะไม่มีใครนำอาหารมาให้ท่านอีกเลย แต่วันนี้หากท่านไม่กินเราหรือใครๆอีก วันต่อๆไป ก็จะมีคนกล้านำอาหารรสดี มาให้ท่านได้บริโภคทุกวัน

ฉะนั้นวันนี้ถ้าเราไม่ได้กลับไปพบพระราชา หรือไม่ได้พบหน้าแม่ของเรา ใครเล่าอยากจะเดิน มาหา ความตายอีก พวกเขาจะพากันโจษจันว่า ยักษ์กินคนชื่อสุตนะเสียแล้ว มันช่างโหดร้าย น่ากลัวจริงๆ แล้วจะไม่มีใครเอาสำรับอาหารมาให้ท่านอีกเลย

เมื่อเป็นเช่นนั้น นับตั้งแต่วันนี้ไป อาหารจะเป็นสิ่งหาได้ยากสำหรับท่าน แม้ท่านก็ไม่อาจออกไป จับกิน พระราชาของเรา ภายนอกร่มไทรนี้ได้ ฉะนั้นท่านจงกินแต่อาหารที่เรานำมาเถิด แล้วเรา จะกลับไปทูลพระราชา ให้ส่งอาหารเป็นประจำแก่ท่าน

อีกอย่างหนึ่ง แม้เราเองก็จะไม่ให้ท่านกินเราได้ เพราะเราจะไม่ไปยืนบนผืนดินของท่าน แต่จะยืน อยู่บนฉลองพระบาท ทั้งจะไม่ยืนใต้ร่มไทรของท่าน แต่จะยืนใต้ร่มฉัตรของตนเท่านั้น แล้วถ้าท่านจะต่อสู้กับเรา เราก็จะใช้พระขรรค์นี้ ฟันท่านให้ขาดสองท่อนเลยทีเดียว เพราะวันนี้ เราเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว มาเพื่อประโยชน์นี้โดยเฉพาะ"

มฆเทพทั้งโดนขู่ทั้งโดนปลอบ ก็อดคิดไม่ได้ว่า

"หนุ่มรูปงามนี้พูดถูก มีเหตุผลดียิ่งนัก เราเห็นทีต้องยอมจำนนต่อถ้อยคำของเขา"

แล้วเกิดจิตเคารพเลื่อมใสขึ้นมา จึงกล่าวว่า

"ดูก่อนสุตนะ ประโยชน์มากมายที่เจ้าพูดถึง ย่อมเจริญแก่เราจริงทุกประการ ฉะนั้นเราอนุญาต เจ้าจงกลับไปโดยสวัสดีเถิด ไปพร้อมกับพระขรรค์ ฉัตรและฉลองพระบาท จงได้ไปเห็นหน้าแม่ และแม่จงเห็นหน้าเจ้า"

เพียงได้ยินคำของยักษ์ดังนี้ สุตนะก็ปลื้มใจว่า

"งานของเราสำเร็จแล้ว ยักษ์ตนนี้เรากำราบได้แล้ว"

ก่อนจะไปสุตนะกล่าวกับยักษ์อีกว่า

"ดูก่อนสหาย ท่านก็จงเป็นผู้มีความสุขพร้อมด้วยญาติทั้งปวงเถิด ทรัพย์เราก็ได้แล้ว และ พระดำรัส สั่งของพระราชา เราก็ได้สนองแล้ว เหลือสิ่งสุดท้ายที่เราอยากจะบอก แก่ท่าน ก็คือ

เมื่อก่อนนี้ท่านได้ทำอกุศลกรรมบาปไว้ จึงเกิดเป็นผู้กักขฬะหยาบคาย มีเลือดและเนื้อของผู้อื่น เป็นอาหาร แต่นับจากวันนี้ไป ขอท่านอย่าได้ทำบาปด้วยปาณาติบาต (ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต)อีกเลย"

แล้วบอกอานิสงส์ของศีล และโทษภัยของการทุศีล (ทำผิดศีลบ่อยๆ) กระทั่งยักษ์ยอมตั้งอยู่ ในศีล ๕ สุตนะจึงเอ่ยปากขึ้นว่า

"ท่านจะมีประโยชน์อะไร ด้วยการอยู่ในป่านี้ ไปเถิด ไปในเมืองด้วยกัน เราจะให้ท่านพักอยู่ที่ ประตูพระนคร มีลาภคืออาหารรสเลิศได้บริโภคมากมาย"

มฆเทพก็ยินยอมเชื่อฟัง สุตนะจึงให้ยักษ์นั่นแหละ เดินถือพระขรรค์ติดตามไปยังนครพาราณสี ข่าวนี้สร้างความแตกตื่นตกใจกลัวกันทั้งพระนครเลยทีเดียว ต่างก็เซ็งแซ่ว่า

"สุตนะจะพายักษ์เข้าเมือง"
"ยักษ์กำลังจะมากินคน"

พระราชายิ่งทรงหวาดกลัวใหญ่ ส่งอำมาตย์ให้รีบไปสืบความจริงมาโดยเร็ว ต่อเมื่อได้รู้ความจริง ทั้งหมดแล้วนั่นแหละ จึงแวดล้อมด้วยอำมาตย์ข้าราชบริพาร ออกไปต้อนรับสุตนะและยักษ์ ที่ประตูพระนคร

พระราชาทรงประทานอาหารรสเลิศแก่ยักษ์ ทรงให้ตีกลองเที่ยวประกาศให้ชาวเมือง มาประชุมกัน ได้ตรัสยกย่องสรรเสริญคุณงามความดีของสุตนะ แล้วโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ตำแหน่งเสนาบดี

นับแต่นั้นมา พระราชาก็ทรงดำรงอยู่แต่ในโอวาทของสุตนเสนาบดี ทรงทำบุญทำทาน มีสวรรค์ (สภาวะสุขของผู้มีจิตใจสูง) เป็นที่ไปในเบื้องหน้า


พระศาสดาตรัสชาดกนี้จบแล้ว ทรงเฉลยว่า

"ยักษ์มฆเทพในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระองคุลิมาลในบัดนี้ พระเจ้าพรหมทัตนั้นก็คือ พระอานนท์ ในบัดนี้ ส่วนสุตนะนั้นก็คือ เราตถาคต"

แล้วทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย ในที่สุดแห่งสัจธรรมนั้น พระภิกษุผู้เลี้ยงดูมารดารูปนั้น ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว

ณวมพุทธ
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๙๘๓
อรรถกถาแปลเล่ม ๕๙ หน้า ๒๒๔)

- หนังสือ ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๒ มีนาคม - เมษายน ๒๕๔๗ -