เข้มแข็งจากข้างใน
- ศิวกานท์ ปทุมสูติ -

ขอโทษ, ถ้าการนำเสนอความคิดต่อไปนี้จะทิ่มตำหัวใจของคุณหรือใครให้เจ็บปวด เพราะมันจำเป็น สำหรับการกระตุ้นปลุกหัวใจที่ด้านชา และจิตวิญญาณที่ปวกเปียก ที่จะต้องเล่นไม้แข็งกันบ้าง

นวัตกรรมตัดต่อบทกวีและถ้อยคำเชื่อมโยงต่อไปนี้คงจะเป็นคำตอบ ซึ่งอาจไม่ไยดีกับความเข้าใจ หรือไม่เข้าใจของคุณ แต่จะแฝงนัยท้าทายคุณให้คิดโดยอิสระ เช่น เคยไหม ที่คุณจะกล้า สารภาพกับใครต่อใครว่า

ฉันไม่อายหรอกนะถ้าจะเผย
ว่าฉันเคยหลงทางไปต่างที่
หลงจนรู้ว่าทางเป็นอย่างนี้
มีมืดมีสว่างมีทางไป

ยากใช่ไหมล่ะ, หรือไม่คุณก็ไม่กล้าที่จะทำ ก็คุณมันเป็นคนขี้ขลาดและแถมยังมักจะรักษาฟอร์ม กลัวจะเสียศักดิ์ศรีอะไรก็ไม่รู้ ที่คุณก็ไม่ค่อยจะมีให้เสีย ลองคิดดูสิ, คุณจะมีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ถ้าคุณเป็นคนไม่กล้ารับผิดเมื่อทำผิด ไม่กล้ารับความจริงที่คุณเคยพลาดเคยพลั้ง ซึ่งนั่นมันก็คือ ความอ่อนแออย่างหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตวิญญาณของคุณนั่นเอง

เอาละ, ถ้าแม้นคุณไม่กล้าแบบที่ว่า ลองอ่านบทกวีต่อไปนี้อีกสักบท

เมื่อกระจกสองบานหันเข้าหา
มองหน้าเห็นหลังมิใช่หรือ
มองลึกยิ่งเห็นลึกเมื่อฝึกปรือ
ไยยังดื้อหลับตามิกล้ามอง

แบบนี้ล่ะกล้าไหม, กล้ารับความจริงจากกระจกแห่งความปรารถนาดีของผู้อื่น ที่มองเห็นคุณ ในมุมที่คุณมองไม่เห็นตัวเอง คุณก็ไม่กล้าอีกนั่นแหละผมว่า ก็คุณมันคนขี้ขลาด มิหนำซ้ำคุณก็มัก จะเป็นพวก "น้ำชาล้นถ้วย" อยู่ด้วย ไม่ค่อยจะมีนิสัยอย่างที่ปรากฏในบทกวีสองวรรคแรกต่อไปนี้

เพราะมหานทีอยู่ที่ต่ำ
จึงรับน้ำลำธารได้ทุกสาย
แต่ภูสูงเสียดเมฆพรรณราย
แม้ฝนหยาดสุดท้ายไม่อาจครอง

ตรงกันข้ามคุณมักจะมีนิสัยเป็นพวกเดียวกับบทกวีสองวรรคหลัง คือเป็นอ้ายภูเขาที่อยู่ใกล้เมฆฝน สูงเสียเปล่า แต่ไม่สามารถครอบครองหยาดน้ำฝน ซึ่งต่างกับท้องทะเลและมหาสมุทร ที่ยอมลดตัว อยู่ต่ำใต้ เพื่อรับน้ำจากห้วยละหานและลำธารทุกสาย

แต่ถ้าคุณจะเปลี่ยนใจยอมลดทิฐิมานะลงบ้าง ยอมเปิดประตูห้องหับที่มืดทึบเพื่อรับแสงสว่าง จากโลกภายนอกตัวตนสักหน่อย ก็ลองเริ่มต้นจากบทกวีต่อไปนี้

หยิบความมืดหมองของชีวิต
มาพิศเพ่งดูจึ่งรู้ว่า
อีกด้านหนึ่งของมันคือปัญญา
ที่รอเวลาให้เราพลิก

เข้าใจไหม, การพลิกวิธีคิด วิธีแก้ปัญหา และวิธีรู้สึกกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในมุมตรงกันข้าม มันจะทำให้ คุณพบทางออกหรือทางเลือกใหม่ๆเสมอ คุณจะมัวยอมจำนนกับอะไรที่มันมีอำนาจเหนือคุณ อยู่หรือ ลองคิดซิว่า

ถ้าโลกคือละครโรงใหญ่
ผู้กำกับคือใครที่แอบซ่อน
เราจะยอมเขากำหนดทุกบทตอน
หรือจะต้อนผู้กำกับให้อับจน

อย่ามัวแต่ปล่อยให้ชีวิตของคุณไหลเอื่อยเฉื่อยไปตาม "ชะตาฟ้ากำหนด" หรือ "พรหมลิขิต" เลย นั่นมันเป็นวิถีของผู้สยบยอมต่างหากเอาเถอะ, ผมไม่เถียงเรื่องเวรเรื่องกรรมเก่า ที่คุณสั่งสมมา แต่ภพชาติก่อนหน้านี้ แต่กรรมที่คุณ สามารถกำหนดและสร้างสมได้ในชาติภพนี้มัน เป็นสิ่งที่ คุณควรตระหนักกระทำ และบันดาลให้มีให้เป็นได้ เบื้องต้นของการก้าวย่าง ให้คุณลองตั้งคำถาม และตอบคำถามแก่ชีวิตเสียก่อนว่า

พรุ่งนี้ของชีวิตจะไปไหน
จะไปได้อย่างไรจึงไปถึง
จะไปเพื่ออะไรใฝ่คำนึง
การไปจึงมีค่ากว่าได้ไป

"จะไปไหน อย่างไร เพื่ออะไร...การไปจึงมีค่ากว่าได้ไป"

คุณจะต้องหมั่นทบทวน

แต่...คุณก็ไม่ค่อยเป็นนักตั้งคำถามสักเท่าไร ผู้คนในประเทศของเราก็มักไม่ใช่นักตั้งคำถาม โดยเฉพาะการตั้งคำถามที่สำคัญๆ เกี่ยวกับชีวิตและสังคม จึงมักสืบสันดานกันมาแบบ "ว่านอนสอนง่าย" ไม่ต้องคิดอะไรมากไปกว่ารับฟัง ปฏิบัติตาม และ "นิ่งเสียตำลึงทอง"

จะหวังความงอกงามทางความคิดจากระบบการศึกษาก็ยิ่งแสนยาก ด้วยว่า

ที่เด็กเด็กคิดไม่เป็นทุกวันนี้
เพราะครูชี้ครูคิดอยู่นิจศีล
เพราะคำสอนป้อนปรามห้ามป่ายปีน
เพราะมือตีนถูกกำหนดไว้หมดแล้ว

การปฏิรูปการศึกษาที่ทำๆ กันอยู่ทุกวันนี้ ผมก็คิดว่ามันมีความหวังรางเลือนเหลือเกิน ที่จะจัด การเรียน การสอนให้เด็กๆ ในบ้านเมืองนี้กล้าคิดและคิดเป็น เพราะวันนี้ครูยังคิดไม่เป็น ที่ครูคิดไม่เป็น ก็เพราะครูไม่รักการอ่าน แม้ว่า พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติมาตรา ๒๔ จะกำหนด บังคับ ให้จัดการเรียนการสอนแบบให้เด็กมีกระบวนการคิดและคิดอย่างสร้างสรรค์ก็ตาม ครูก็ยัง ตีโจทย์ไม่ออกเลยว่าจะสอนอย่างไร ว่ากันไปแบบผิดๆ ถูกๆ ในที่สุดก็เข้าอีหรอบเดิม สอนแบบ "บอกความรู้" กันต่อไป และให้ตายเถอะ !

ครูบางคนก่นด่าพวกเด็กเด็ก
สมองเล็กปัญญาลีบโง่เหลือหลาย
มิหนำซ้ำจิกหัวเป็นวัวเป็นควาย
โอ้เด็กเด็กช่างโชคร้ายเสียเหลือเกิน

ไม่ใช่แต่ครูเท่านั้นหรอกที่ทำบาปทำกรรมกับเด็กเรื่องคิดไม่เป็น จำเลยตัวดีที่เป็นต้นเหตุ อีกสองคน ก็คือ แม่และพ่อของเด็กๆ สังคมของเราไม่ใคร่นิยมเลี้ยงดูเด็กให้มีโอกาสพูดจา แสดงเหตุผล ในครอบครัว โดยเฉพาะการพูดจาถกเถียงหรือ ขัดแย้งกับผู้ใหญ่ไม่ค่อยจะได้รับการส่งเสริม เด็กๆ มักถูกปรามว่า "ผู้ใหญ่พูดอย่าสอด" หรือไม่ก็ "กูอาบน้ำร้อนมาก่อนมึง" มันก็เหมือนต้นไม้ ที่ขาดน้ำ มาแต่ต้นเล็กๆ แถมยังถูกปลูกในกระถางที่มีขนาดอันจำกัดอีกด้วย มันจะไปงอกงามเติบโต ได้อย่างไร

ภูมิคุ้มกันต้นไม้สวนใดพร่อง
เกิดแต่ดินสวนร่องเป็นเบื้องต้น
คนปลูกเลี้ยงบำรุงต้องปรุงปรน
หยุดโทษแดดโทษฝนโพนทะนา

ถามคุณว่า ถ้าวันหนึ่งใครสักคนที่คุณรักมีชีวิตจ่อมจมลงไปในห้วงเหวร้ายอะไรสักอย่าง คุณจะคิด อย่างไร ผมอยากให้คุณอ่านบทกวีบทต่อไปนี้อย่างจริงจังสักหน่อย

กว่าใครจะเป็นโจรสักคนหนึ่ง
ควรถามถึงใครเป็นแม่และเป็นพ่อ
ใครเป็นครูผู้ฟูมฟักและถักทอ
ใครมีส่วนเป็นต้นตอเหล่ากอโจร

"ใครมีส่วนเป็นต้นตอเหล่ากอโจร" คุณด้วยหรือเปล่า เมื่อการศึกษาผิดทิศผิดทาง และการสั่งสอน อบรมไม่ถูกต้อง ต่อให้คุณจัดการศึกษาที่มีบันไดไต่สูงไปถึงไหนก็แล้วแต่ มันก็มืดบอด กันไปเป็นฝูงๆ!

เรียนปริญญาตรีต้องขายโค
เรียนปริญญาโทขายนาไร่
เรียนปริญญาเอกหนี้บานตะไท
นี่การศึกษาเพื่ออะไรกันหรือคุณ

ปริญญาของบัณฑิตชนในวันนี้มันเป็น "ปริญญาเป็ด" มากกว่า "ปริญญานก" ที่เป็นดังนั้นก็ด้วย การเรียนการสอนที่มุ่งให้รู้กระจาย ไม่ใช่รู้แจ้ง ครูและนักการศึกษาส่วนน้อยนักที่จะเข้าใจว่า

การเรียนรู้ต้นไม้ทั้งไพรพนา
อาจไม่รู้จักป่าก็เป็นได้
หากศึกษาอย่างลึกซึ้งต้นหนึ่งใด
อาจรู้จักต้นไม้ทั้งไพรพนม

คุณจะไม่ลองศึกษาต้นไม้สักต้นหนึ่งให้เข้าใจอย่างถ่องแท้บ้างหรือ โดยเฉพาะต้นไม้ชีวิต ของคุณ คุณรู้จักมันดีแค่ไหน อย่ามัวแต่วางฟอร์ม "ทำเหมือนรู้จักโลกทั้งโลก ทั้งที่ยังไม่รู้จักตัวเอง" อยู่เลย

บางทีคุณก็มักเป็นพวก "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" หรือไม่ก็พวก "เงื้อง่าราคาแพง" ลองหยุดคิด ลองทำ ในสิ่งที่ควรทำเถอะครับ

อยากรู้ว่าต้นน้ำมาจากไหน
คนป่าเดินขึ้นไปบนภูเขา
ขณะนักวิชาการปัญญาเยาว์
ต้องเขียนเค้าโครงวิจัย-ต้องใช้งบ

หยุดขยะงานวิจัยหรืองานวิจัยปัญญาอ่อนกันได้แล้ว ! จะได้ช่วยกันประหยัดงบประมาณประเทศชาติ เอาไปใช้ในสิ่งที่คุ้มค่าคุ้มประโยชน์มากขึ้น ถึงการวิจัยในชั้นเรียนที่กำลังฮิตกันอยู่ในระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐานวันนี้ก็เถอะ ถ้าครูยังสอน "แบบครู" เหมือนบทกวีบทต่อไปนี้ก็อย่าวาดฝันอะไรเลย คือ

ครูสอนเรื่องตอกไม้ไผ่ในหนังสือ
เสียงลูกศิษย์อึงอื้อช่วยครูอ่าน
จักสานกันบนกระดาษและชอล์กกระดาน
ให้แบบฝึกเป็นการบ้านเป็นประจำ

แต่ถ้าไม่ใช่เช่นนั้น ให้ครูลองพิจารณาการสอนใน "แบบยาย" ดูบ้าง คือ

ยายสานเสื่อลำแพนด้วยไม้ไผ่
หลานช่วยยายจักไม้อยู่ไม่ห่าง
เสียงยายชมยายด่าตอกหนาบาง
หัดให้หลานสานบ้างเป็นรางวัล

หรือไม่ก็ "แบบของผึ้งงาน" ต่อไปนี้
เมื่อคุณเพลินชมสวนมวลไม้ดอก
คุณจะบอกได้ไหมดอกใดหวาน
หากติดขัดด้วยปัญหาวิชาการ
เถิดลองถามผึ้งงานตัวน้อยน้อย

คุณเริ่มจะเห็นแล้วใช่ไหมว่าการศึกษาที่ถูกแท้ งานวิจัยที่ถูกทาง และการวางวิถีชีวิตที่ถูกวิธี เป็นอย่างไร หรือยังมัว "ติดกับ" หรือ "ติดกรอบ" อะไรอยู่ อ๋อ...ใช่สินะ

เราถนัดมือขวามานานแล้ว
จะเปลี่ยนแนวเป็นซ้ายให้ถนัด
ขวาจึงจับซ้ายยึดอยู่ฮึดฮัด
แต่ปล่อยอัตตาร้ายให้ลอยนวล

โอ้...เหนื่อยนะ ยากนะ ที่เราจะฝ่าด่าน "กับ"และ "กรอบ" อะไรสักอย่าง มิหนำซ้ำสิ่งที่คุณ และ นักวิชาการ บ้านนี้เมืองนี้สั่งสม มันก็มีไม่น้อยเลยที่ตกอยู่ภายใต้ความเป็นทาส

จักรวรรดิแห่งวัฒนธรรม
กำลังถูกกระทำเสน่หา
โดยอำนาจเพื่ออำนาจแห่งปรัชญา
ให้คุณค่ามวลรวม หลวม และ กลวง

เมื่อชนชั้นปัญญาไหลไปตามภาวะโบ๋กลวงตัวตน คิดเองไม่เป็น โพรงสมองล้วนเต็มไปด้วย ความคิด ของคนอื่นและวัฒนธรรมอื่น ก็แล้วนับประสาอะไรกับเด็กๆ และเยาวชนไทยวันนี้ จะมิพูดจา หรือร้องเพลงด้วยสำเนียงเสียงของ "ลูกครึ่ง" แต่งเนื้อแต่งตัวตั้งแต่ "เส้นผม" ถึง "ส้นตีน" ด้วยแฟชั่นของจักรวรรดิวัฒนธรรม และมันก็ยากที่ผมจะบอกว่า

ห้องสมุดของฉันคือป่า
ตำราคือใบไม้แห่งไพรสัณฑ์
ครูคือส่ำสัตว์วนารัญ
สถาบันคือดินน้ำลมไฟ

อย่างไรก็ตาม, ผมอยากจะเตือนคุณว่า

กาลเวลาหลอมไม้ให้เป็นหิน
แล้วกาลก็กลืนกินหินไร้ค่า
ไม้บนดินหินบนภูดูเวลา
มีทางเลือกปรารถนาอนาคต

คุณและประเทศชาติของเราจะเลือกเป็นเช่นไร มันก็เป็นเรื่องของชะตากรรมที่คุณ คุณ คุณ คุณ คุณ คุณ คุณ และคุณนั่นแหละเป็นผู้กระทำ นำไป นั่นคือ

เราต่างมีประตูสู่โลกกว้าง
ทั้งมืดทึบอำพรางสว่างไสว
เปิดออกแล้วย้อนดูสู่ภายใน
ก่อนก้าวออกไปจากประตู

สำหรับผม, ไม่ว่าคุณจะเป็นเช่นไร หรือประเทศนี้จะเป็นไปทางใด ผมจะเป็นแบบของผม ผมไม่แคร์คุณ และไม่แคร์ใครทั้งนั้น

ฉันเชื่อในสิ่งที่ฉันสว่าง
ฉันสร้างในสิ่งที่ฉันเชื่อ
ฉันประจักษ์ว่าไฟอาศัยเชื้อ
ฉันจึงยอมเลือดเนื้อเป็นเชื้อไฟ

คุณจะคิดว่าผมอหังการก็เชิญ ผมพร้อมจะเป็นเช่นนั้น และผมก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผมมันไม่ใช่ อ้ายพวกพูดอย่าง ทำอย่าง เพราะว่า

ฉันจะมีชีวิตไปทำไม
ถ้าชีวิตฉันไร้ความเป็นฉัน
ฉันจะภาคภูมิใจอย่างไรกัน
ถ้าความเป็นเช่นนั้นมันไม่จริง

มีสำนวนเซนสำนวนหนึ่งกล่าวว่า "คนจัดดอกไม้ ดอกไม้จัดใจคน" ผมคิดว่านี่แหละคือ ปรัชญา ที่ยิ่งใหญ่ของซีกโลกตะวันออก ซึ่งมีตัวตนของพุทธะ ตัวตนของอุษาคเนย์ ที่มีคุณมีผมอยู่ใน ผลึกวิญญาณร่วม ทุกวันนี้ผมจึงตระหนักว่า

ฉันเขียนกลอนขณะกลอนก็เขียนฉัน
ผลัดกันมีอำนาจในอักษร
เมื่อใจเขียนใจกำหนดทุกบทตอน
เมื่อกลอนปรากฏกำหนดใจ

ผมไม่เคยขบถต่อสิ่งที่ผมเชื่อ และกาพย์กลอนทุกบทที่ผมเขียน ดังนั้น...

เมื่อน้ำใสสำหรับฉันอยู่ต้นน้ำ
ฉันจึงจ้ำพายทวนสวนกระแส
แม้ดวงตาแห่งสวะพะเรือนแพ
จะแลดูฉันอย่างหยันเยาะ

ผมจะไม่ใส่ใจกับดวงใจ (สวะ) ไร้สาระให้เสียเวลาอีกต่อไป มันหยันเยาะผมได้ ผมก็จะ"เสียดเย้ย" มันบ้าง ผมจะไม่ "มองหน้าผาถ้าแค่เห็นว่าเป็นผา" ซึ่ง "อาจไม่รู้ที่มาแห่งผาหิน" แต่ผมจะ "...มองผา ทะลุผาเห็นฟ้าดิน" เพื่อ"ยลยินปรัชญาแห่งผาภู" และผมก็จะปลอบประโลมจิตวิญญาณ ของตัวเอง ให้มุ่งมั่นองอาจว่า

เมื่อกลางวันดาวดวงนั้นก็มีอยู่
แต่ใครเล่าจะรู้ดาวมีแสง
ถ้าราตรีสีดำไม่สำแดง
ดาวเจ้าจะเจิดแจรงได้อย่างไร

ถ้าราตรีสีดำไม่สำแดง ดาวเจ้าจะเจิดแจรง ได้อย่างไร...

คุณไม่ต้องตั้งปุจฉาในใจหรอกว่า ผมจะไปได้สักกี่น้ำ หรือผมจะสู้แบบ "เอาหัวเข่าเข้าหักพร้าคม" หรือ "ยอมหักไม่ยอมงอ" หรืออะไรๆ ทำนองนั้น เพราะถ้าคุณมีปุจฉาเช่นนั้น คุณก็ยังไม่รู้จักผม อย่างแท้จริง

ฉันนี่แหละต้นสนโอนลมลู่
แต่ก็สู้เสียดลมไม่ล้มได้
เมื่อลมสงบสงัดไม่กวัดไกว
ฉันก็ตั้งตรงใหม่ได้ทุกครั้ง

คุณจะดูถูกดูแคลนผมก็ได้นะว่า ผมก็แค่อ้าย"สนลู่ลม" ไม่เป็นไร ถ้าคุณจะตื้นเขินคิดตามสำนวน ดังกล่าวด้วยนิยามดาดๆ เพียงแค่นั้น แต่สำหรับผม ผมมองเห็นศิลปาการวิถีแห่งต้นสนยิ่งใหญ่นัก นั่นคือผมศรัทธาในความเป็นต้นสนที่ "ตั้งตรงสง่างามแบบรู้อ่อนโอนกับธรรมชาติวิถีตามโอกาส" ไม่เป็นทั้ง "พิณสายตึง" และ "พิณสายหย่อน" และนี่มิใช่หรือที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทาที่ตถาคต ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้เลือกเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

คุณยังหลับต่อไปกับซ้ายตกขอบและขวาสุดขั้วก็ช่างปะไร ผมไม่เอาด้วย เพราะนั่น มันไม่ใช่ ความจริง ความจริงที่มีอยู่ในโลกใบนี้มันเป็นความหลากหลาย ที่คุณและผมจะต้องใช้ปัญญา ที่ถูกต้องถ่องแท้คอนโทรลมัน นำพามันไปสู่ทิศที่สว่างงาม ไม่มีคำว่าชนะและไม่มีคำว่าแพ้ มีแต่ "สันติสุขทุกย่างก้าว" ...ทุกย่างก้าวนะผมขอย้ำ ไม่ใช่หมายเอาสันติสุขไปไว้ที่ปลายทาง ถ้าอย่างนั้น คุณจะไม่มีทางไปถึงได้เลย

ทั้งหมดที่ผมว่ามานี้มันคือการ "ทุบกระท้อนให้หวาน" และ "ตีเหล็กให้ได้พร้าเนื้อดี" แต่ถ้ากระท้อน อย่างคุณจะเป็นกระท้อนเน่า หรือเหล็กอย่างคุณจะเป็นเหล็กผุๆ ก็ช่างปะไร และจะบอกคุณ ด้วยบทกวี บทสุดท้ายว่า

ดอกน้ำค้างหอมอย่างไรในยามรุ่ง
สายลมทุ่งยามเช้าแหละเข้าถึง
เสียงจิ้งหรีดแหละบอกรู้อยู่ลึกซึ้ง
แต่ตะวันดวงหนึ่งอยู่ไกลนัก

ถ้าคุณเป็นสายลมเช้าหรือจิ้งหรีด ผมก็ยินดีที่จะเป็นดอกน้ำค้างอยู่ร่วมในรุ่งอรุณ

แต่ถ้าคุณเป็นดั่งดวงตะวันตามความหมายที่ปรากฏในบทกวีวรรคสุดท้าย ก็ขอเราอย่าได้พบ ได้เจอะเจอ กันอีกเลย.


หมายเหตุ บทกวีที่ร้อยเรียงในบทความนี้ เป็นส่วนของบทกวีที่ผมเขียนขึ้นในนาม จันทร์ วรลักษณ์ พิมพ์รวมเล่ม ในหนังสือกวีนิพนธ์ชื่อ ไม้ ตะปู และหัวใจ, ๒๕๔๗.

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๓ พ.ค. - มิ.ย. ๒๕๔๗ -