ธรรมะกับการเกษตร - เสียงศีล ชาตวโร -
วิริเยน ทุกขมจฺเจติ
คนจะพ้นทุกข์ได้ เพราะความเพียร

ทุกวันนี้โลกอยู่ในยุคแห่งการแข่งขัน ช่วงชิง คนขี้เกียจก็จะอยู่อย่างลำบาก คนขยันก็จะอยู่ได้อย่างสบาย

เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๗ ผู้เขียนได้รับนิมนต์ให้ไปร่วมเป็นวิทยากร สัมมนา วิชาการเรื่อง "เมืองไทยเป็นครัวของโลกจริงหรือ" ที่กรมส่งเสริมการเกษตร และได้ รับมอบโล่เป็นคนดี "ศรี" เกษตร (อินทรีย์) ร่วมกับผู้รู้และมีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น อ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ, อ.สมหมาย หนูแดง ครูภูมิปัญญาไทย รุ่น ๒ (รุ่นเดียว กับผู้เขียน) เป็นเจ้าของไร่ทนเหนื่อยจากโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี, พ.ท.วีระ ใจหนักแน่น หรือผู้พันคิมซากัสส์ ผู้โด่งดังเรื่องน้ำหมักชีวภาพ สูตรกล้อมแกล้ม จากสถานีวิทยุ พลปตอ. และ รศ.อาภรณ์ ภูมิพันนา ผู้มีผลงานเขียน "ซับน้ำตาแม่ธรณี" "น้องหนูฟื้นฟูแผ่นดิน" ฯลฯ

ก่อนที่จะได้รับโล่ ก็ได้เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อเรื่อง "เมืองไทยเป็นครัวโลก ได้จริงหรือ" วันนั้นไม่กล้าฟันธงไปตรงๆ เพราะมีผู้หลักผู้ใหญ่นั่งฟังอยู่หลายท่าน ได้แต่บอกไปว่า ถ้าจะตอบตามหัวข้อที่ว่า "เมืองไทยเป็นครัวของโลกจริงหรือ" ก็ขอตอบว่า "ยังไม่แน่" (ใจจริงอยากจะตอบไปตรงๆ เลยว่า "ยังเป็นไปได้ยาก") เพราะทุกวันนี้เกษตรกร ๙๙% ยังใช้สารเคมีอย่างหนัก ทั้งปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า ยาคุมหญ้า ยาฆ่าแมลง ฆ่าหนอน ฯลฯ ผลผลิตปนเปื้อนสารพิษอยู่แทบทั้งนั้น ตั้งแต่ข้าว ผัก ผลไม้ และเดี๋ยวนี้มาตรฐานการส่งออกของผลผลิตด้านอาหาร ด้านการเกษตรก็เข้มงวดกวดขัน ต่างประเทศเขาก็ไม่อยากกินอาหารที่ ปนเปื้อน สารพิษ เหมือนกัน สังเกตได้ว่า เวลามีผลไม้ออกมามากๆ ไม่ว่าจะเป็นเงาะ ทุเรียน มังคุด ลำไย หรืออะไรก็ตาม ราคาจะถูกมากจนเกษตรกรแทบจะอยู่ไม่ได้ ถ้าผลไม้ ของเราปลอดสารพิษหรือไร้สารพิษ เราก็จะพอระบายไปสู่ตลาดโลกได้ แสดงว่าเรายังขายต่างประเทศแทบไม่ได้เลย มีแต่ข่าวส่งไปแล้วถูกตีกลับ ถูกส่งคืน เน่าเสียทิ้งกลางทะเลไม่รู้เท่าไหร่ แล้วอย่างนี้ครัวไทยจะเป็นครัวโลกได้อย่างไร?

จากข้อมูลการสำรวจพื้นที่ เกษตรอินทรีย์เปรียบเทียบกับเกษตรกรรมทั้งหมดแล้ว ของประเทศไทยมีเพียง ๐.๐๒% เท่านั้นเอง เกษตรกรเกือบทั้งประเทศยังเป็นหนี้เป็นสิน ยังยากจน ทั้งที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลก มีผักผลไม้หมุนเวียนให้กินได้ทั้งปี พันธุ์ข้าวของไทยก็มีชื่อเสียงระดับโลก จนมีประเทศอื่นพยายามแย่งไปจดลิขสิทธิ์เป็นของตัวเอง

ถ้าเกษตรกรไทยไม่พยายามปรับเปลี่ยนจากการเกษตรเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์ หยุดการใช้สารเคมีมาใช้ชีวภาพแทน ครัวไทยจะเป็นครัวโลกได้ยาก ถ้าศึกษาดีๆ รู้วิธีทำ วิธีใช้ เกษตรอินทรีย์จะช่วยลดต้นทุนการผลิต การตลาดก็จะดีขึ้น ผู้เขียนได้พยายามนำตัวอย่างของผู้ประสบผลสำเร็จด้านการทำเกษตรอินทรีย์ เกษตรชีวภาพมาให้เห็นหลายตัวอย่างแล้ว ทำไมเขาทำได้ ไม่ว่าจะเป็นข้าว ผัก ผลไม้ ถ้าทำกันจริงๆ แค่หนึ่งในสี่ของประเทศ เราจึงจะพูดได้ว่า "เมืองไทยเป็นครัวของโลกได้จริง"

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ได้จัดการอบรมผู้นำโรงเรียนชาวนาอินทรีย์ขึ้นที่ ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน
อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี โดยคัดแกนนำชาวนา กว่า ๔๐ จังหวัด ทุกภาคของประเทศรวม ๘๐ กว่าคน มาฝึกอบรมและระดมความคิด ช่วยกันพัฒนาอาชีพชาวนา ให้พ้นจาก ความลำบากยากจน โดยมีวิทยากรหลักๆ มาช่วย บรรยายให้ความรู้หลายท่าน เช่น คุณเดชา ศิริภัทร, ลุงทองเหมาะ, คุณพิมล, อ.วิวัฒน์ ศัลยกำธร, คุณไชยวัฒน์ สินสุวงค์ และ ดร.บุญหงษ์ จงคิด (ผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าว)

การที่ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนได้รับเกียรติให้จัดงานอบรมครั้งนี้ ก็เพราะปีนี้เป็นปีที่สอง ที่เราสามารถปลูกข้าวไร้สารพิษ เป็นข้าวอินทรีย์ ๑๐๐% ได้เป็นผลสำเร็จ โดยมีต้นทุน การผลิตต่ำกว่าปุ๋ยเคมีมาก และผลผลิตก็ดีกว่า

ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อนเป็นแหล่งผลิตน้ำสกัดชีวภาพครบวงจร มีทุกสูตร โดยเฉพาะ ที่ใช้กับการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตรวจวัดค่า N,P,K สูงกว่ามาตรฐาน (๐.๕) คือ N สูง ๑.๐๒๗๔, P สูง ๐.๘๔๖, K สูง ๐.๗๒๑๖ มีปุ๋ยหมัก อัดเม็ด ผสมแร่หิน ธรรมชาติหลายชนิด และมีขี้แดดนาเกลือ ซึ่งช่วยเพิ่มความหวาน ให้ผลไม้ได้มากขึ้น อีกด้วย

การอบรมครั้งนี้มีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี ท่านนายอำเภออินทร์บุรี และ เจ้าหน้าที่ ระดับสูงของ ธ.ก.ส.มาร่วมเปิดงาน ได้กล่าวปราศรัยกับผู้เข้าอบรม ให้แง่คิด และกำลังใจผู้เข้าอบรมเป็นอย่างมาก

บรรยากาศของการอบรม เราจะให้ความรู้คู่คุณธรรม คือ ต้องตื่นขึ้นมาสวดมนต์ ไหว้พระนั่งสมาธิ ฟังธรรม ตั้งแต่ตี ๕ ถึง ๖ โมงเช้า ต่อจากนั้นฟังวิทยากร และลงมือ ฝึกภาคปฏิบัติ หัดทำปุ๋ย ทำน้ำสกัดชีวภาพ ทำแปลงผัก สำรวจนิเวศในแปลงนา อินทรีย์ เปรียบเทียบกับนาเคมี รายการภาคค่ำก็เป็นรายการเด็ดๆ กับวิทยากรพิเศษ ที่เชิญมา กว่าจะได้พักผ่อนก็เกือบ ๓ ทุ่ม ใช้เวลาอบรมทั้งหมด ๔ วัน ๓ คืน

ช่วงที่อบรม ข้าวในนาก็กำลังออกรวงเต็มทุ่ง ใกล้จะเก็บเกี่ยว เราได้ทดลองนับกอ ข้าวอินทรีย์ พบว่ามีถึง ๙๔ ต้น และออกรวงทุกต้น ส่วนข้าวเคมี เลือกกอใหญ่ที่สุด นับได้ ๕๐ ต้น เมื่อถอนข้าวขึ้นทั้งกอ ดูระบบราก ปรากฏว่า รากของข้าวอินทรีย์ ต้องใช้คน ๒-๓ คนช่วยกันยก แต่นาเคมีคนเดียวก็ยกขึ้น นี่คือข้อแตกต่าง ระหว่าง ข้าวอินทรีย์กับข้าวเคมี ที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ เรานำข้าวที่ถอนขึ้น ซึ่งมีดินติด พอสมควรใส่ภาชนะไว้ในที่อบรม นานประมาณ ๗ ชั่วโมง ปรากฏว่า ข้าวเคมี ใบเหี่ยวแห้งอย่างเห็นได้ชัด แต่ข้าวอินทรีย์กลับเขียวสดเหมือนอยู่ในแปลงนา แสดงว่า ข้าวเคมีไม่ยั่งยืน อ่อนแอ ต่างจากข้าวอินทรีย์มาก

กตัญญุโน หิ สปฺปุริสา กตเวทิโน
คนดีย่อมเป็นผู้กตัญญูและกตเวที

แม่ เป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ เพราะเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูก ดังนั้น สิ่งที่มีบุญคุณ ต่อมนุษย์จึงให้คำนำหน้าว่าแม่เสมอ เช่น แม่ธรณี, แม่คงคา, แม่โพสพ เกษตรกรต้องอาศัยแผ่นดิน แม่น้ำ ก่อให้เกิดข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของมนุษย์ แต่มนุษย์ไม่เคยดูแลหรือกตัญญูต่อแม่เหล่านี้เลย เอาแต่สิ่งเป็นพิษให้แม่ เช่น ปุ๋ยเคมี, ยาฆ่าหญ้า, ยาฆ่าแมลง แถมยังใช้ของมีคมฟันแม่ ใช้ไฟเผา เกษตรกรจึงเป็น ลูกเนรคุณ ต้องลำบากยากจน

เกษตรกรไทยในอดีตมีความเคารพนับถือธรรมชาติอย่างสูง โดยเฉพาะดินและน้ำ พวกเขาปฏิบัติต่อดินและน้ำอย่างเคารพ ยกย่อง ในฐานะผู้มีพระคุณ ชาวนาให้ ความเคารพในพระแม่โพสพ (ข้าว) จัดพิธีทำขวัญข้าวเมื่อข้าวตั้งท้อง ทำพิธีรับข้าว เข้ายุ้งฉางหลังการเก็บเกี่ยว และทำความเคารพ ระลึกถึงคุณแม่โพสพ ก่อนรับประทาน อาหาร เป็นต้น แม้แต่ในราชพิธียังมีพิธีเกี่ยวกับข้าว ที่เรียกว่า พระราชพิธี จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๔๗ ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน อินทร์บุรี ได้ฟื้นประเพณี ทำขวัญข้าว ขับขานตำนานการปลูกข้าว และพิธีลงแขกช่วยกันเกี่ยวข้าว ที่ทุ่งโพธิ์ชัย ปีนี้ทำนาอินทรีย์ ไม่ใช้สารเคมี ไม่เผาฟางในพื้นที่เกือบ ๕๐ ไร่ นอกจากจะประหยัด ต้นทุนการผลิตแล้ว ผลผลิตยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปีแรกได้ข้าว ๖๐ กว่าถังต่อไร่ ปีที่สอง ได้ข้าวเกือบ ๘๐ ถังต่อไร่ ดินดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะใช้ฟางหมักเป็นปุ๋ยลงไปในนา โดยใช้ น้ำสกัดชีวภาพสูตรพิเศษของเราช่วยย่อยสลายฟาง และเพิ่มสารอาหาร เพิ่มอินทรียวัตถุให้ดินอีกด้วย

ผลสำเร็จครั้งนี้ทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่สนใจ ให้การสนับสนุน ท่านปลัดจังหวัด (มาเป็นตัวแทน ของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งติดประชุมสำคัญ) นายอำเภออินทร์บุรี และแขกผู้มีเกียรติ อีกหลายท่าน เช่น ท่านรองเอ็นนู ซื่อสุวรรณ (รองผู้จัดการใหญ่ ธ.ก.ส.) อ.ชนวน รัตนวราหะ (อดีตรองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร) คุณสุนัย เศรษฐบุญสร้าง (ที่ปรึกษา รมต. สาธารณสุข) รวมทั้งผู้ใหญ่บ้าน, กำนัน, อบต. และ เกษตรกรประมาณกว่า ๒๐๐ คน มาร่วมพิธีทำขวัญข้าว และลงแขกเกี่ยวข้าวกัน อย่างสนุกสนานเป็นกันเอง

ก่อนหน้าที่จะมีพิธีทำขวัญข้าว ก็มีผู้นำชาวนากว่า ๔๐ จังหวัด และเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. มาอบรมดูงานที่ ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน เราได้พิสูจน์ถึงความอุดมสมบูรณ์ ของข้าวอินทรีย์ เปรียบเทียบกับข้าวเคมี โดยลองถอนข้าวที่กอใหญ่ที่สุด ของข้าว อินทรีย์และข้าวเคมี ต่อหน้าผู้นำชาวนาทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.ประมาณ ๘๐ ท่าน ปรากฏว่า ข้าวอินทรีย์ ๑ กอ นับได้ถึง ๙๔ ต้น และกำลังตั้งท้องออกรวงทุกต้น ส่วนข้าวเคมี นับได้เพียง ๕๐ ต้น ยังออกรวงไม่หมดทุกต้น ซึ่งสร้างความประหลาดใจ และมั่นใจให้ผู้นำชาวนากว่า ๔๐ จังหวัด และเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.ในวันนั้นเป็นอย่างมาก พอถึงวันเกี่ยวข้าว ทางชมรมฯจึงจัดทำพิธีทำขวัญข้าวบูชาพระคุณแม่โพสพ และ ลงแขก เกี่ยวข้าวเป็นงานใหญ่ เพื่อให้พี่น้องชาวนาได้เห็นเป็นตัวอย่าง

ใครอยากพิสูจน์ความจริงลองชม VCD ซึ่งเราได้บันทึกภาพเหตุการณ์ไว้อย่างละเอียด ได้แก่
๑. พิสูจน์นาอินทรีย์ดีกว่านาเคมี
๒. พิธีทำขวัญข้าว ที่ทุ่งโพธิ์ชัย อินทร์บุรี
สนใจติดต่อได้ที่ ชมรมเพื่อนช่วยเพื่อน ตู้ ปณ ๖๗ ปทจ.นครปฐม ๗๓๐๐๐ (ราคาแผ่นละ ๕๐ บาท) ค่าส่งฟรี

เพื่อให้พี่น้องเกษตรกรมั่นใจและมีกำลังใจที่จะทำนาอินทรีย์ เพื่อลดต้นทุน -เพิ่มผลผลิต -พิชิตความยากจน

- หนังสือดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๔ เดือน กรกฎาคม - สิงหาคม ๒๕๔๗ -