บ้านเก้าไร่ สวนรักฟ้าบูชาดิน - เสฏฐชน - จากการอบรมลูกค้าพักชำระหนี้ของ ธกส.จำนวนมาก ทำให้รับรู้ข้อมูลต่างๆ ในวิถีการดำรงชีวิต ของเกษตรกรไทย จึงรู้สึกเห็นใจในความทุกข์ที่เขาเหล่านั้นมีอยู่ อันเนื่องมาแต่การไม่รู้จักบริโภค อุปโภคอย่างชาวพุทธที่พระพุทธองค์ ทรงแนะนำ สั่งสอนไว้ ก่อให้เกิดปัญหาในครอบครัว ต้องทุกข์ลำบาก เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ในการทำมาหากิน เพราะแม้จะผลิตได้มากเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอแก่การจับจ่ายใช้สอย เนื่องมาแต่พฤติกรรมตัวบุคคลเป็นต้นมา จนกระทั่งถึงวิธีการผลิต ทั้งๆ ที่พื้นเพเดิม เป็นเกษตรกรมาแล้ว และอยู่กับภูมิประเทศ ท้องถิ่นที่กำเนิด ก็มิวายไปก่อหนี้สิน ฉะนั้นนอกจากเรื่องให้ความรู้ด้านศีลธรรม เราก็ยังให้ความรู้เรื่องการทำกินอีกนานาชนิด เผื่อเกษตรกรคนใดจะนำไปทำอาชีพเสริม หรือเปลี่ยนอาชีพใหม่ก็สุดแล้วแต่ ความสมัครใจ ซึ่งมีทั้งการสาธิต แนะนำ ทำให้ดู ให้ทดลองทำเอง ตั้งแต่อาหาร ขนม สบู่ ยาสระผม น้ำยาล้างจาน ฯลฯ บางคนก็เอาไปทำได้ผลดีอยู่เหมือนกัน โดยส่วนตัวเรามีความรู้สึกว่าเกษตรกรน่าจะคงอาชีพของตนไว้ เพราะถึงอย่างไร ประเทศไทย ก็เป็นประเทศเกษตรกรรม คนไทยดั้งเดิมยังชีพในทิศทางนี้มาโดยตลอด แม้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามสถานการณ์ของโลก ที่บางสมัยจะนิยม ทำการค้า รับราชการ คนไทยก็ยังเหมาะกับอาชีพเกษตรกรอยู่ดี จากคำวิจารณ์ของฝรั่งคนหนึ่ง ที่มาสอดส่อง ได้แสดงความเห็นเมื่อเร็วๆ นี้เองว่า ประเทศไทยเหมาะสมกับ การทำเกษตร มากกว่า ด้านอุตสาหกรรม ถ้าคนไทยหันกลับไปทำสิ่งนี้แล้วไซร้ ประเทศไทยจะเจริญ รุ่งเรือง เป็นอยู่ผาสุกแน่นอน นำคำพูดของชาวต่างประเทศคนนี้มาพินิจดูแล้ว ก็ควรที่ผู้ถูกวิจารณ์จะพึงนำมาคิดตาม และคงจะคิดได้ เพราะคนไทยสมัยก่อนมีความเป็นอยู่ใกล้เคียงกับธรรมชาติมาก แม้อัตราเงินตรา จะไม่พุ่งสูงเท่าปัจจุบัน บางบ้านไม่มีเงินเลย เขาก็อยู่กันได้ มีความสดชื่น แจ่มใส จนได้รับสมญาว่า" สยามเมืองยิ้ม" ยุคนี้เสียอีกที่คนไทยซึ่งเคยมีอัธยาศัย" ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ" จนกระทั่งระดับ" เลี้ยงดูปูเสื่อ" ในครั้งก่อนๆ ทุกวันนี้แม้เราจะไปตามตำบล หมู่บ้าน คนไทยกลับมี สีหน้า เฉยเมย ไม่ทักทายคนแปลกถิ่น ไม่เชื้อเชิญคนต่างบ้าน ทั้งๆ ที่เป็นคนไทยด้วยกัน เพราะภาวะของการทำกินอัตคัด ฝืดเคือง จะแบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ แบ่งกันช่วย เหมือนสมัยก่อน ที่ยามจะปลูกบ้านสักหลัง ก็สามารถไหว้วานเพื่อนบ้านมาช่วย คนโน้นเลื่อยไม้ คนนี้ไสกบ คนนู้นยกเสา ฯลฯ ยามถึงหน้านา ก็บอกกล่าวขอแรงกัน ลงแขก ช่วยหว่าน ปลูก ไถ เก็บ ฯลฯ เจ้าบ้านเพียงแค่ตอบแทน ด้วยการทำ อาหารพื้นบ้าน จากผักพื้นเมือง ทำขนมจากข้าวในนา น้ำตาลจากต้น ฯลฯ มาเลี้ยงดูกัน ก็ถือว่าเป็นค่าแรงที่เยี่ยมยอดแล้ว มองไปรอบด้านภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นบ้านในเมืองใหญ่ เมืองหลวง หรือบ้านในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ล้วนละลานตาไปด้วย" บ้านไทย" ซึ่งไม่ต้องอาศัยเครื่องปรับอากาศ ไม่ต้องอาศัยเทคโนโลยีเหมือนทุกวันนี้ ซึ่งฝรั่งที่ตั้งใจมาเมืองไทยเพราะต้องการ ดู" บรรยากาศไทยๆ" ดังที่เคยเห็นในหนังสือ ตอนนี้เขาบอกว่าบรรยากาศอย่างนี้ ต้องไปดู ที่ลาว ที่เขมรแทน เพราะเมืองไทยไม่ต่างจากเมืองเขาเท่าไหร่นัก บางแห่งดูจะยิ่งกว่า ด้วยซ้ำ ฝรั่ง คนนั้นจึงต้องกลับไปเที่ยว-นอนที่เขมร ลาวแทน เขาบอกว่า บ้านไทย ย้ายไปอยู่ ที่นั่น ด้วยเหตุนี้เราจึงเกิดความคิดว่า น่าจะบอกเล่าเรื่องนี้ให้เกษตรกรไทยฟัง ให้เขารื้อฟื้น ความเป็นไทยกลับขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นทางออก พ้นจากความเป็นหนี้ นั่นคือเรื่อง "รั้วกินได้-สวนครัวทำเอง" ที่เราเคยพบเคยเห็นความเป็นมาแล้วในอดีต สมัย เด็กๆ เพื่อล้างและป้องกันนิสัยชอบไปซื้อกิน เอาอย่างความเจริญด้านวัตถุ คือแทนที่ จะปลูกเอง ทั้งๆ ที่มีที่ดินเพาะปลูกอยู่แล้ว กลับนิยมไปซื้อตามห้าง ศูนย์การค้า ฯลฯ ทำรั้วอัลลอยด์ รั้วเหล็ก รั้วปูน ฯลฯ แทนรั้วไม้ รั้วพืชยืนต้น พืชกินได้ และเราก็มีตัวอย่างที่จะเสนอให้เห็นกันชัดๆ ว่าเป็นสิ่งที่ยังเป็นไปได้อยู่ จึงขอแนะนำ "บ้านเก้าไร่ สวนรักฟ้าบูชาดิน" เป็นแม่แบบ เพราะเป็นตัวจริงที่เกิดแล้ว เป็นได้แล้ว เพียงระยะเวลา ๒ ปีเท่านั้น จึงขอความอนุเคราะห์จากผู้อยู่ที่นั่น ให้ช่วยเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง เพื่อนำมาเปิดเผยในรอบกว้าง ให้คนที่ต้องการรู้วิธี การกินอยู่อย่าง "เศรษฐกิจ พอเพียง" ว่าการ "พึ่งพาตนเอง" ได้นั้นเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องที่ผู้เขียนประสงค์จะเน้น "รั้วกินได้-สวนครัวปลูกเอง" เป็นหัวใจสำคัญ เพราะคิดว่าถ้าบ้านเกษตรกรไทย หรือคนไทยคืนกลับไปสู่สภาพนี้สำเร็จ คนไทยก็จะอยู่ผาสุก จิตใจสงบเยือกเย็น "บ้านไทย-เมืองไทย" ก็จะกลับคืนมา "บ้าน ๙ ไร่ สวนรักฟ้าบูชาดิน" ตั้งอยู่ปากทางเข้าพุทธสถานปฐมอโศก เลยป้อมยามตำรวจ ไปเล็กน้อย ประมาณดูด้วยตา เริ่มตั้งแต่รั้วกินได้ (ตามภาพที่ลงมายืนยัน) รวมตัวบ้าน สวนครัวปลูกเอง ดูจะไม่ถึง ๑ ไร่ เดิมทีที่ตรงนี้เป็นที่ทิ้งขยะ ดินถมที่ปลูกบ้านเหมือนทั่วๆ ไปซึ่งไม่มีสารอาหารที่จะใช้เพาะปลูกได้เลย แต่อาศัยความขยันหมั่นเพียร ความคิด สร้างสรร ทำให้คนที่อยู่ในบ้านนี้ร่วมแรงร่วมใจกันพลิกฟื้นแผ่นดิน ทำดินที่ตายแล้ว ให้ฟื้นคืนขึ้นมา ทำที่เป็นพงรกให้เขียวชะอุ่มด้วยอาหารพืชผักธรรมชาติ ทั้งจำพวกพืช สวนครัว พืชเพาะปลูก พืชไต่รั้ว พืชเถา ฯลฯ เกาะกันขึ้นไปทั่ว ดังคำบอกเล่าจาก "คุณแก่นขวัญ นาวาบุญนิยม" ว่า เป็นชีวิตเรียบง่าย พึ่งตนเอง ฝึกสมรรถภาพจนสามารถเก็บผลผลิตกินเอง แจกจ่าย ได้ทุกวัน ใครไปมาแวะรับประทานอาหาร ก็เก็บใหม่ๆ สดๆ ให้รับประทานกันได้ พืช ผัก ผลไม้ไร้สารพิษ ที่มีเอนไซม์เต็มร้อย คนป่วยมาเข้าคอร์สรักษาสุขภาพ ใช้พืชผัก ไร้สารพิษ ที่ปลูกรอบบ้านทำอาหาร ทำให้ฟื้นตัวได้รวดเร็ว ประหยัด เป็นวิถีชีวิตที่เข้าถึงธรรมชาติ ดินดี น้ำดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีไปพร้อมๆ กัน คนก็อยู่กันอย่างอบอุ่น สามัคคี ซึ่งมีผู้ที่อาศัย ประจำคือ ๑. คุรุน้อมบูชา๑ นาวาบุญนิยม คุรุ มวช.๒ วิทยาเขตปฐมอโศก มีหมอที่แวะเวียนมาสัมพันธ์ทำงาน คือ คุณหมอใจเพชร กับคุณหมอแสนดิน เริ่มสร้างชีวิตดินที่นี่ด้วยการเตรียมดินเพาะปลูก ดัดแปลงจากดินถมที่ปลูกบ้านทั่วๆ ไป ที่ทั้งแข็ง เหนียว ไม่มีสารอาหารเลย ให้เป็นดินนิ่ม ร่วน ซุย อุดมด้วยธาตุบำรุงพืชต่างๆ การเตรียมดิน วัสดุ : ๑. เศษผัก ผลไม้จากครัว วิธีทำ : ๑. ขุดดินลึก ๒ หน้าจอบ ทำเป็นแปลงขนาดตามต้องการ คุณแก่นขวัญยังเล่าถึงวิธีการปลูกอย่างง่ายและงอกงามทุกต้นว่า เมื่อดินมีชีวิต เอาเหล็กแหลมทิ่มลงลึกได้ ๕๐ ซม. แล้วให้ดำเนินการต่อดังนี้ ๑. นำเบี้ยผักที่เพาะไว้จุ่มน้ำเปล่า บีบดินให้หลุดล่อนออกจากภาชนะ แล้วจุ่มน้ำจุลินทรีย์เล็กน้อย
ผักที่ปลูกในบ้าน ๙ ไร่ สวนรักฟ้าบูชาดิน มีทั้งผักพื้นบ้านที่ปลูกครั้งเดียว แล้วดูแลเก็บผลผลิต ส่วนผักที่ต้องทำเป็นแปลงปลูก ดูแลมากหน่อย แต่ก็ทำให้มีหมุนเวียนใช้ได้ทุกชนิด ผักพื้นบ้านเกรดดีที่สุด มีอะไร ได้พยายามศึกษา และพยายามปลูกให้ครบ จนเหลือฝากกลับบ้านได้ ขณะนี้ที่นี่ฝึกคนที่เป็นหลักให้เข้าใจ ฝึกเด็กให้เป็นตัวจริง เพราะต้องการฝึกทั้งผู้ใหญ่และเด็กให้มีอธิศีล หัดปลูกพืชแล้วทำกินได้ ไม่ใจร้อน เวลาปลูกก็ทำดินให้ค่อยๆ ดี พืชผักค่อยๆ โต คนบ้านนี้ต้องการพึ่งตัวเองให้ได้ ไม่ต้องการพึ่งตลาด จึงสร้างสวนครัวในบ้าน มีทั้งสมุนไพร ใบหนาด ใบมะขาม ตะไคร้ พืชที่จะต้มน้ำสมุนไพรให้อาบได้เป็นประจำ เนื่องจากพื้นฐานเดิมของคนที่อาศัยอยู่แต่ละคนไม่ใช่เกษตรกรอาชีพ ถ้าปลูกพืชอย่างเดียวมากๆ เพื่อตัดไปกินแต่ละครั้งแล้วต้องปลูกใหม่ คนปลูกก็จะอ่อนล้า จึงต้องการปลูกพืชแบบยั่งยืน มีอายุยืน เผื่อไว้เวลาอายุมาก ทำงานหนักไม่ค่อยได้แล้ว แม้จะอยู่คนเดียวก็อาจใช้พื้นที่เพียง ๑ คูณ ๓ เมตรก็พอ แต่ขณะนี้บ้านสวนหลังนี้ ต้องทำเลี้ยงคนจำนวนมาก บริการเรื่องสุขภาพด้วย สอนเด็กเล็กด้วย ทั้งการรู้จักดูแลคนป่วย เตรียมสื่อเพื่อถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ ต้องฝึกให้เป็นทั้งหมดเป็นหลัก คู่กับการปฏิบัติใจ ให้รู้ว่าอะไรเป็นสาระ อะไรไม่เป็นสาระ เพราะเราต้องศึกษาว่า พืชชนิดไหนมีนิสัยอย่างไร พริกก็มีรายละเอียดของแต่ละพันธุ์ แต่ละต้น เช่น บางอย่างต้องปลูกนาน บางอย่างปลูกปีเดียว พริกบางพันธุ์ปลูกได้กินถึง ๑-๕ ปี ถ้าเกิดปัญหาเรื่องมดมารังแก ก็ใช้แกลบดำโรยบำรุงต้น รดด้วยน้ำผสมน้ำปัสสาวะเจือจาง เอาแกลบดำโรย มด ก็หาย ใบเขียวข้น ถ้ามะเขือใบหงิกก็ให้เด็ดใบบำรุงต้น มะละกอ ถ้าจะบำรุงให้ดี ต้นก็จะฟื้นคืนขึ้นมา ให้เด็ดใบทิ้ง แล้วหมั่นรดด้วยจุลินทรีย์ มะละกอ มะเขือพวง พริก มะเขือเปราะ ชอบน้ำปัสสาวะ ขี้เถ้า หากเรานำมารดต้นไม้ จะออกผลให้เรากินได้ตลอดปี บ้านสวนหลังนี้มีมะม่วง มะขาม ขี้เหล็ก ตะไคร้ ฯลฯ เป็นรั้ว การปลูกมะม่วง ต้องแกะเปลือกแข็งจากเมล็ดเสียก่อน เอาส่วนที่ขาวนิ่มวางลงบนดิน ๓ วันเท่านั้น ก็จะติด รากจะพุ่งลงดินลึกยาวแข็งแรง วิธีเพาะเมล็ดจะได้ผลดีกว่าการชำกิ่ง ต่อตา เอาเมล็ดที่เรากินเนื้อหมดแล้วนี่แหละไปเพาะจะโตเร็ว ได้ต้นแข็งแรง อายุยืน ไม้ยืนต้นที่เพาะเมล็ดมาปลูก จะทำให้เกิดผลระยะยาว ผู้รับประทานพืชประเภทนี้จะอายุยืนไปด้วย ดีกว่าพืชผักยกร่อง พืชล้มลุก ข้าวก็ปลูกเป็นข้าวฟ่าง ซึ่งอายุยืนถึง ๓ ปี ถ้าเตรียมดินดี เพาะเมล็ดลงถุงแล้ว ปลูกลงดินจะโตเร็วมาก ปลูกได้สัก ๑ เดือน ก็ปลูกไม้ยืนต้น หรือไม้เลื้อยระหว่างต้นอีก รั้วกินได้ก็จะเกิดขึ้นอย่างง่ายดายด้วยวิธีนี้เหมือนกัน ผู้เขียนถ่ายภาพทั้งบริเวณลงให้เห็นความหนาแน่น เขียวขจีของพืชนานาชนิด ทั้งที่นำมาเป็นอาหาร ยาสมุนไพร ปลูกคละเคล้าผสมกันถี่ยิบ โดยไม่ต้องห่วงวัชพืชจำพวกหญ้า เพราะหญ้าก็ใช้เป็นปุ๋ยได้ทันที เพียงเหยียบให้ต้นราบติดพื้น แล้วนำเปลือกผลไม้ขยะสดมาทับไว้ รดน้ำจุลินทรีย์อีกเล็กน้อย แล้วปล่อยให้ธรรมชาติช่วยทำปฏิกิริยากันเอง เราจะได้ดินดีในเวลาไม่นานเลย คุณแก่นขวัญบอกว่า เดิมที่ตรงนี้เป็นที่ทิ้งขยะ แต่ก็ยินดีเอาขยะมาแปรรูปกลับมาเป็นปุ๋ย ใช้ปรับสมดุล หากเป็นหลุมก็เอากระเชียงถม บางคนไม่รู้ว่าจะเอาขยะมาทำอะไรได้บ้าง แต่พอปฏิบัติมากขึ้นก็เข้าใจ เศษอาหาร วัสดุทิ้งแล้วที่เป็นขยะ กาก เศษอาหารเหลือจากการรับประทาน ไม่ว่าจะเป็นเปลือกผลไม้ ผักเน่า อาหารก้นจาน ฯลฯ ก็นำมาเป็นปุ๋ยได้ทันที น้ำล้างจานก็แยกส่วนน้ำ ส่วนเศษอาหารที่ค้างอยู่มาทำประโยชน์ ทำให้ โรงครัวไม่ต้องมีขยะ เศษอาหารติดค้างสกปรก เพราะผ่านการเก็บ กรอง คัดสรรมาใช้ได้เลย ไม่เกิดปัญหา หนูและแมลงสาบรบกวน เพราะครัวสะอาดไปในตัวเบ็ดเสร็จ เดี๋ยวนี้ผักพืชในพื้นที่ มีทั้งปลูกเป็นคู่และเดี่ยว มีสรรพคุณให้เรียนรู้ไปด้วย เช่น ยอดหว้า ก้างปลา ยอดมะขาม เป็นพืชบำรุงเลือด ลำไส้ ชมพู่น้ำดอกไม้ที่ปลูกเป็นแถว มะม่วงหิมพานต์ ยอดของมันช่วยบำรุงตับ นอกจากบรรดาสมุนไพรแล้ว ยังมีบ้านพักหลังเล็กๆ พอพักพิง จากแรงงานผู้ที่อาศัยไม่กี่คน
เป็น คุณแก่นขวัญซึ่งเป็นผู้ที่เคยพยาบาล ดูแลคนป่วยโรคมะเร็งมาก่อนเป็นระยะเวลานาน เกิดความรู้สึกสงสารผู้ป่วยอย่างยิ่งที่ต้องผจญกับความทุกข์ทรมานจากโรคร้าย และยากนักที่ใครจะรอดพ้นไปได้ แม้แพทย์เอง ก็ยอมรับว่าทุกคนมีเชื้อมะเร็งอยู่ในตัวเองเพียงแต่ไม่ปรากฏอาการ ตราบเท่าที่ร่างกายของผู้นั้นยังมีภูมิคุ้มกันอยู่ และสถิติผู้ป่วยโรคนี้จะกระเถิบวัยเยาว์ขึ้น ที่สมัยก่อนผู้ผ่านการสมรสและอายุ ๔๐ ขึ้นไปส่วนใหญ่จะเป็นกัน แต่ทุกวันนี้แม้อายุเพียง ๑๐ กว่าก็เป็นกันแล้ว และนับวันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผักไร้สารพิษเป็นทางออกอีกประตูหนึ่งที่คนน่าจะมาสนใจ และหัดรับประทานผักพื้นบ้านที่เกิดตามธรรมชาติ ทั้งที่เป็นรั้วบ้านและสวนครัว สวนป่า พืชไม้เลื้อยที่อิงอาศัยกันและกัน รวมถึงผักยกร่องด้วย เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผลักดันให้เธอหันมาสนใจเรื่องนี้ จากผลตรวจสอบพบว่า พืชผักที่ได้ผลในการป้องกันมะเร็งดีที่สุด มากกว่า ๗๐% ได้แก่ ใบมะม่วงอ่อน เพกา ชะมวง สะเดาดิน ผักชีฝรั่ง ผักโขมหัด ตังโอ๋ มะระขี้นก แมงลัก แขนงกะหล่ำปลี ตะไคร้ โหระพา ถั่วลันเตา แคบ้าน ยอดสะเดา ผักแว่น พริกไทย มะกรูด มะแขว่น ชะพลู พลูคาว แขยง ขึ้นฉ่าย ใบยอ หอมแย้ กระชาย ข่า ขิงแก่ ผักชีจีน ยี่หร่า ประเภทที่ป้องกันมะเร็งได้ดีมาก ให้ผล ๗๐% ได้แก่ ยอดสะเดาสด ฟัก หัวไชเท้า สะระแหน่ ดอกขี้เหล็ก หยวกกล้วย พริกหยวก ขิงอ่อน ผักชีลาว ประเภทที่ให้ผล ๓๐-๕๐% ได้แก่ ผักบุ้ง บวบหอม มะดัน ขี้เหล็ก มะขาม เม็ดกระถิน มะขามเทศ มะเดื่อ มะเขือม่วง มะเขือยาว มะเขือพวง มะอึก กระเจี๊ยบมอญ ความรู้ในเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณแก่นขวัญสนใจที่จะปลูกผักสวนครัว
เพื่อจะได้มีผักต่างๆ ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งรับประทานอย่างสะดวกและมากพอ
( บ้านสวนรักฟ้าฯนี้ ยังช่วยดูแลคนป่วยโรคมะเร็ง ด้วย)
๑. ต้องไม่เบียดเบียนกันและกัน บ้านหลังนี้ไม่ต้องใช้งบประมาณส่วนกลาง ไม่ต้องซื้อเมล็ดพืชกระป๋องจากตลาด
ไม่ต้อง ซื้อปุ๋ยมาใช้ ไม่ต้องหักร้างถางพงทำลายหญ้า แต่รู้จักปรับ แปรรูปสิ่งของต่างๆ
มาใช้ ให้กลมกลืน สอดคล้องกันไป ด้วยการเรียนรู้สิ่งสืบเนื่องโยงใยเกี่ยวข้องกันและกัน
ระหว่างคนกับจิตวิญญาณ ดินกับพืช พืชกับสัตว์ในดิน น้ำกับดิน อุณหภูมิกับสิ่งรอบตัว
ฯลฯ ใครไม่เคยทำมาก่อน ก็มาหัด ในบ้านจะมีมุมยาสมุนไพร น้ำจุลินทรีย์ ปี๊บใส่เมล็ดพืช
สำหรับเพาะปลูก มองไป รอบบริเวณบ้านจะ เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ต้นไม้
ที่กินได้หมด ทั้งยืนต้น ล้มลุก ผักแปลง หญ้า วัชพืช บนเสา เกาะรั้ว ไต่ฝาผนัง
ฯลฯ น่ารื่นรมย์ ทำให้บรรยากาศเย็น เพราะฝีมือของผู้เข้าถึงความรักฟ้าบูชาดิน
จึงได้ชื่อ จากพ่อท่าน แต่เดิมว่า "นา
๙ ไร่" เป็น
"บ้านสวนรักฟ้าบูชาดิน"
เมื่อมาอยู่ที่บ้านสวนรักฟ้าบูชาดิน เธอจึงเป็นกำลังสำคัญในการบุกเบิกพื้นดิน ที่เพาะปลูก ดูแลต้นไม้ ที่ปลูกไว้รายรอบทั้งสองฝั่ง ( ฝั่งตรงกันข้ามกับบ้านสวนด้วย) แล้วยังรู้ วิธีทำปุ๋ยสดง่ายๆ จากวัสดุที่มีอยู่รอบบริเวณนั้น โดยเฉพาะปุ๋ยจากมูลคน เธอบอกว่า เป็นปุ๋ยที่ดีที่สุด ทำได้ง่ายที่สุด ให้ผลผลิตเร็วที่สุด วิธีทำมีดังนี้ ๑. มูลคน ๑ ขัน วิธีผสม : นำข้อ ๑,๒,๓ มาคลุกให้เข้ากันดี แล้วนำข้อ ๔ มาคลุกเพิ่ม ใส่ไว้ในถุงปุ๋ย เก็บไว้ ใส่ต้นไม้ ใช้เวลา ๓ วันหรือ ๗ ชั่วโมงก็ใช้ได้แล้ว ต้นไม้ทุกชนิดใช้สิ่งนี้เป็นปุ๋ยได้หมด เพียงต้นละ ประมาณ ๑ ช้อนโต๊ะ ก็พอ อานุภาพของปุ๋ยมูลคนที่ผู้เขียนไปเห็น สมดังคำบอกเล่าจริงๆ ทั่วบริเวณสวนครัว ทั้งที่ เป็นบ้านสวนครัว ( สวนที่อยู่ติดกับตัวบ้าน) และป่าสวนครัว (สวนที่อยู่อีกฟากถนน) อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ทั้งที่กินได้ และนำมาเป็นยารักษาโรค ข้าวฟ่าง พริกหลายชนิด ฝรั่ง (ที่มีรสหวานกรอบ เนื้อนวล) ดินสีดำที่เย็นนุ่มเท้า เมื่อเราเหยียบ ย่างเข้าไปชม บอกถึงความบริบูรณ์ของสารอาหารในดิน จึงไม่ต้องสงสัยว่า พืชในสวนนี้ จะแข็งแรงงอกงามเพียงใด ( ภาพที่นำมาประกอบบทความนี้ย่อมยืนยันได้) อนาคต ตั้งเป้าว่าจะปลูกลูกเดือย ข้าวโพด และพืชอื่นๆ อีกหลายชนิด ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเปิดเผย เพราะมองเห็นทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ที่จะฟื้นฟูชีวิต เกษตรกร กสิกร ให้หลุดพ้นจากความเป็นหนี้ และให้ชีวิตคนไทย อยู่กันอย่างเรียบง่าย มีความสุข เพราะไม่ต้องใช้จ่ายเงินทองมาก ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับมลพิษที่เพิ่มขึ้นทุกวัน เหมาะกับคนในชนบท ชีวิตไทยๆ ที่อยู่กับพื้นดิน มีที่ดินทำกินอยู่แล้ว แม้ผู้ที่อยู่ในเมืองใหญ่ หากมีเนื้อที่มากจนต้องทำเป็นสนาม หรือใช้ทำอย่างอื่น ก็น่า จะปรับเปลี่ยนมาเป็นพืชกินได้ดีกว่า แม้มีเนื้อที่น้อยก็ทำได้เช่นเดียวกัน เพราะจากที่เห็น ณ บ้านสวนแห่งนี้ ภายในเนื้อที่ ๕๐ ตารางวา เต็มไปด้วยพืชกินได้สารพัด ผู้ที่กังวลเรื่องสารพิษหมดปัญหาไปเลย เพราะเรามีรั้วกินได้ สวนครัวปลูกเอง รองรับ ให้เรา ใช้บริโภคตลอดไป แม้ยามแก่เฒ่าไม่มีเรี่ยวแรงจะลงอีกแล้ว ก็ยังเก็บผลิตผล จากต้นไม้ยืนต้นจำพวกมะรุม แค ขี้เหล็ก มะขาม มะตูม ฯลฯ เลี้ยงชีพในระยะยาว ได้อีกนาน จากบทความนี้ คงจะเป็นแรงบันดาลใจ ผลักดันให้ผู้ที่กำลังหาทางออกได้พบ เห็นแล้ว และคงจะนำไปทำอย่างกัน ใครต้องการรายละเอียดในเรื่องใด ยินดีที่จะแนะนำให้ เพื่อเรา จะได้ก้าวไปสู่ความเป็นไทพร้อมๆ กัน ด้วยสามอาชีพกู้ชาติจริงๆ - ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๕ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๔๗ - |