ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน ( ต่อจากฉบับที่แล้ว) หลังจากที่ฉันเฝ้ารออย่างกระวนกระวาย เพียรไปถามยังสถานีขนส่งอยู่เรื่อยๆ ในที่สุด หนังสือก็มาถึง ลังใบใหญ่และหนักมากสองลัง ฉันต้องทิ้งมันไว้ที่ร้านกาแฟใกล้ๆ ป้ายจอดรถ แล้วไปขอ ให้คนมาช่วยยก ฉันเปิดลัง ที่โรงเรียน ช่างน่ายินดีเสียจริง ! มีหนังสือของฉัน สมัยยัง เป็นเด็กมากมาย หนังสือชุดของบาทหลวง เยซูอิต ชาวอเมริกัน ที่ชื่อฟินน์ ที่ฉันชอบ นักหนาเมื่อตอนอายุสิบสองปี...ใครกันจะสามารถลืม ทอม เฟล์แฟร์ และเปเป้ แรนลี่ ได้ เมื่ออ่านหนังสือ ชุดนั้นจบ แล้วของจูลส์ เวิร์น ของซัลการี ไหนจะวิลเตอร์ สก๊อตต์ กับแจ๊ค ลอนดอน อีกล่ะ แม้กระทั่ง หนังสือ ชุดของ มาริ เปป้า ซึ่งปัจจุบันไม่ได้พิมพ์แล้ว ในลังนั้นบรรจุความทรงจำทั้งมวลของฉันในวัยเด็กและวัยแรกรุ่น มันทำให้ฉันนึกถึง วันเก่าๆ หนังสือเกือบทั้งชุดของคุณพ่อฟินน์นั้น ฉันได้อ่านตอนที่หมอตัด ต่อมทอนซิลของฉันไป ชุดไอแวนโฮ กับโจรสลัด พ่อแม่ให้ฉัน เป็นของขวัญ ตอนสอบผ่านมัธยมปลาย ชุดของ มาริ เปป้า ฉันค่อยๆ ได้รับเป็นของขวัญ คริสต์มาส สะสม มาทุกปีจนครบ ส่วนชุดของ จูลส์ เวิร์น ฉันต้องอดออมเงินทีละเปเซต้า ไว้ซื้อตอนอายุสิบสี่สิบห้าปี ส่วนอีกลังหนึ่งนั้นมีพวกหนังสือใหม่ รูปเล่มดูพิถีพิถันกว่ามาก มีนักเขียน เช่น เอนิด ไบลตั้น ซึ่งตอนนี้ กำลังดังมาก ในหมู่เด็กๆ และชุดที่ดีมากคือเรื่อง โอดิสซี่ อีเนียด อีเลียด ดอน กิโฆเต้ เด ลา มันช่า ชองซง เดอ โรลองด์ ลาซาริโย่ เด ตอร๎เมส... ฉันรู้สึกมีความสุข เสียจริง ฝันของฉันสลายลงไปเป็นกองเมื่อ ' เด็กของโรงเรียน' เห็นหนังสือแล้วไม่รู้สึกอะไรเลย อ๋อ หนังสือเหรอ ! เป็นการแสดงความเห็นทั่วๆ ไป บางทีอาจจะเป็นความผิดของฉันเองที่ไปบอกเด็กๆ ว่าฉันมีสิ่งซึ่งจะทำให้พวกเขา
ประหลาดใจ อย่างมาก พวกเขาคงคิดว่า เป็นของเล่น หนังสือไม่ได้เป็นสิ่งดึงดูดใจ
พวกเขาเลยแม้แต่น้อย ฉันควรจะคิดได้ก่อนหน้านี้ เด็กๆ ของฉัน เคยชินกับ การมอง
หนังสือ ว่าเป็นเพียงอุปกรณ์ สำหรับการเรียนเท่านั้น หนังสือไม่ถือเป็นของขวัญ
สำหรับ พวกเขา บรรดาเด็กโตดูกระตือรือร้นเพราะเป็นงานที่พวกเขาชอบ คนที่บ้านอยู่ใกล้ โรงเรียน ก็จะไป เอาอาหารว่างมาทาน บางคน ก็เอากรรไกรมาด้วยและเริ่มลงมือทำงาน ฉันฉวยโอกาสตอนนี้แหละ เริ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ให้แก่เด็กทั้งหลาย โดยเล่าบางตอนของ หนังสือ เล่มโน้นเล่มนี้ ซึ่งฉันเคยอ่าน มานานแล้ว ไม่รู้ว่าฉันทึกทักเอาเองหรือเปล่า แต่ฉัน รู้สึกว่า ความสนใจของพวกเขา ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ที่ฉันแปลกใจมากก็คือ เรื่องที่น่ากลัวๆ จะดึงความสนใจของเด็กๆ ได้มาก มีนิทานสเปน อยู่ในกองนั้นด้วย หลายเล่ม และฉันจำได้ว่า มีอยู่เรื่องหนึ่ง ชื่อความตายปรารถนาจะเป็น แม่อุปถัมภ์ ฉันเคยอ่าน ตอนยังเด็กมาก และเมื่ออ่านจบ ฉันก็ขนลุกไปหมด มันเป็น เรื่องของชายยากจนคนหนึ่ง ซึ่งต้องการจะหาแม่อุปถัมภ์ให้ลูกชายของเขา และความตาย ก็มาเสนอตัว หลายปีผ่านไป ลูกชายได้เป็นหมอ และมีการทำสัญญาตกลง กับความตาย ...ผู้เป็นแม่อุปถัมภ์ว่า คนไข้ทุกคน จะหายดี ถ้าหมอเข้าไปในห้องผู้ป่วย และความตาย ไม่ได้อยู่ในนั้นด้วย แต่ในทางตรงกันข้าม หากเห็นแม่อุปถัมภ์ที่หัวเตียง คนไข้ล่ะก็ เขาต้อง สละสิทธิ์ เพราะคนไข้นั้น เป็นของความตาย ผู้ซึ่งจะพาเขาไป " แล้วไงอีกครับ" มีเสียงสาม-สี่เสียงร้องถามฉันอย่างกลัวๆ แต่ก็อยากรู้ " ครูก็จำไม่ได้แล้วล่ะ รู้แต่เพียงว่าหมอได้ช่วยชีวิตพระมหากษัตริย์ และเจ้าหญิง โดยขัด คำสั่ง ความตาย ครูจำได้แค่นี้แหละ" ความหลงลืมของฉันได้ช่วยชีวิตห้องสมุดของโรงเรียนแห่งเบอิเรเชอาไว้ได้ ! ' เด็กของ โรงเรียน' หกคน ชายสี่ หญิงสอง ขออนุญาต ยืมหนังสือกลับบ้านในวันเดียวกันนั้นเอง และฉันซึ่งเคยโกรธมากทุกครั้งที่เห็นเด็กๆ ทะเลาะกัน กลับรู้สึก เป็นสุขยิ่งนัก ที่พวกเขา แย่งหนังสือกัน " ฉันขอก่อนใครนี่นา" " แต่ฉันอ่านเร็วกว่า เธอน่ะอ่านเป็นปีเลยกว่าจะคืน" " ฉันเป็นคนแรก ไม่ว่ามาติลเด้จะพูดยังไงก็ตาม" เราเลยใช้วิธีจับฉลากและอันชอนก็เป็นผู้โชคดี เขามีสิทธิจะเก็บหนังสือไว้ ที่บ้าน หนึ่งสัปดาห์เต็ม เด็กชาย หอบหนังสือไว้ ในอ้อมแขน อย่างพึงพอใจ ฉันอยากจะให้เด็กที่เหลือเลือกหนังสือเล่มอื่นๆ แต่ก็ไม่สำเร็จ พวกเขาอยากจะรู้แต่เรื่องนี้ เท่านั้น ว่าอะไรเกิดขึ้น กับลูกอุปถัมภ์ ของความตายกับกษัตริย์ และเจ้าหญิง แล้วเจ้า ความตายนี่ปรากฏตัว หลายครั้งหรือไม่ ฉันจึงตัดสินใจว่า ถ้าการจำตอนจบไม่ได้ จะเป็น การกระตุ้นให้พวกเขาอยากรู้ละก็ ฉันสามารถจะใช้วิธีเดียวกันนี้อีก อย่างน้อย ก็จนกว่า พวกเขาจะอยากอ่านหนังสือเอง โดยธรรมชาติ กับเด็กเล็กๆ นั้นง่ายมาก รูปภาพสวยๆ ในนิทานก็เพียงพอแล้วที่จะ ดึงดูดความสนใจ จากพวกเขา เด็กๆ จะมานั่ง ล้อมโต๊ะครู แล้วฉันก็จะอ่านเสียงดังๆ ให้ฟัง ' หนูน้อยหมวกแดง' ' สโนไวท์' ' เจ้าหญิงนิทรา' ' พิน็อคคิโอ' ' ปูร๎กาซิโต' ค่อยๆ เรียงแถว กัน ออกมาให้เด็กๆ ได้ฟัง และได้เห็น พวกเขาจ้องดูมันด้วยดวงตาเป็นประกาย ฉันคิดว่า ถ้าได้เริ่มต้นกับเด็ก ตั้งแต่พวกเขายังเล็ก ก็คงมีชัย ไปกว่าครึ่งแล้วละ ฉันมั่นใจว่า เมื่อเด็กๆ อ่านหนังสือออกเองแล้ว หนังสือจะเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับพวกเขา ไปโดย อัตโนมัติ
" แล้วเรื่อง ' ฆวนผู้ไม่กลัว' เธอไม่ชอบหรือ" " ผมอยากอ่านเฉพาะเรื่องความตายครับ" " โง่เสียจริงเธอนี่ ! เรื่อง ' ฆวนผู้ไม่กลัว' น่ากลัวกว่าตั้งเยอะ ลองคิดดูสิ เขาต้องอยู่ คนเดียว ในปราสาท ที่น่าขนพอง สยองเกล้า ถึงสามคืน ธรรมดาไม่มีใคร ที่เข้าไปแล้ว จะมีชีวิตรอดออกมา แม้แต่คนเดียว... อ่านแล้ว ขนตั้งเลยล่ะ จะบอกให้ว่า เขาเล่นโบว์ลิ่ง กับหัวกระโหลกด้วยนะ" ...ฉันเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงเขย่าขวัญ ฉันไม่ชอบเลย ที่ต้องพูด เช่นนี้ เพราะรู้สึกว่า กำลังใช้วิธีการสกปรก แต่เรื่องน่ากลัวๆ นี้ก็เป็นหัวข้อเดียว ที่พวกเขา สนใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่ได้ ถูกถ่ายทอดมา จากบรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งเล่าแต่เรื่อง น่ากลัวให้เด็กๆ ฟัง " ยังไงนะครับ เขาเล่นโบว์ลิ่งกับใครครับ" " ครูจำไม่ได้ รู้สึกจะเป็นผีที่ไต่ลงมาจากปล่องไฟทุกคืน" แล้วก็เริ่มมีการแย่งชิงกันอีกครั้ง อันชอนอยากจะได้หนังสือกลับไปอ่านใหม่อีกหน แต่บรรดาเด็กผู้หญิง ประท้วง "ก็เขาได้ไป ตั้งเจ็ดวันแล้วนี่... น่าจะได้อ่านหมดแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับความตาย และคุณหมอ คราวนี้ก็ถึง ตาที่คนอื่น จะได้อ่านบ้าง ต้องจับฉลากกันอีกครั้งค่ะ" " คุณครูช่วยให้ความยุติธรรมแก่เราด้วยค่ะ" มาติลเด้ประท้วงเสียงดัง เตเรซ่า อิปาร๎รากิร๎เร่ คือผู้ที่จับฉลากได้ในครั้งนี้และฉันประหลาดใจมาก ที่เธอเอา หนังสือ มาคืน เมื่อครบสามวัน " หนูไม่ชอบเหรอจ๊ะ" " ใครว่าคะ หนูจุดเทียนอ่านติดต่อกันสามวันรวดเลยล่ะค่ะ แม่จะไม่ได้ว่าหนูเปิดไฟทิ้งไว้ หนูอยากได้ เล่มอื่นอีกค่ะ แต่ต้องเป็นเล่มหนาๆ นะคะ"
ฉันเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็ว หันกลับมาที่กองหนังสือและหยิบเล่มของท่านเคานต์เตส ออฟ เซกูร์ ให้เตเรซ่า แม้แต่ในสมัยโน้นฉันว่า ผู้แต่งก็เชยไปหน่อยแล้ว แต่ฉันคิดว่านิทานเหล่านั้นอ่านง่าย และ ฉันก็มั่นใจว่า เด็กหญิง ทั้งหลายในนิทาน ซึ่งเป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่ เป็นเด็กที่อยู่ใน ปราสาท เวียงวัง และคติสอนใจ ท้ายบท จะทำให้เตเรซ่าชื่นชอบและฉันก็ทายถูก ในขณะที่ ยังมีการหยิบยืมหนังสือนิทานสเปน อยู่อย่างไม่หยุดหย่อน เรื่องของคุณหมอ กับความตาย และฆวนผู้ไม่กลัว ยังเป็นหัวข้อสนทนาในช่วงพัก เตเรซ่าซึ่งเป็นเด็กเงียบๆ เรียบร้อย กลับอ่านหนังสือห้า -หกเล่มจบแล้ว และยังขอยืมหนังสือเล่มใหม่ อยู่อย่าง สม่ำเสมอ ฉันคิดว่าน่าจะให้รางวัลแก่เตเรซ่าด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ซึ่งในขณะเดียวกัน ก็จะเป็น การกระตุ้น เด็กอื่นๆ ด้วย ฉันจึงแต่งตั้งให้ เตเรซ่า เป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด ตลอดเทอม ที่มีระยะสามเดือนนี้ ' เด็กของโรงเรียน' ที่เหลืออ้าปากค้างเมื่อได้ทราบ " ทุกคนที่สนใจเกี่ยวกับห้องสมุดจะมาเป็นบรรณารักษ์ก็ได้ ' เด็กของโรงเรียน' ทั้งหลาย จะมาขอยืม และคืนหนังสือ กับพวกเธอ แต่พวกเธอจะต้องดูแลให้หนังสือ อยู่ในสภาพดี และจัดให้เป็นระเบียบด้วย เราจะมาทำบัตรรายการกัน คนที่ส่ง ย่อความอย่างดี จาก หนังสือที่ตนอ่าน จะได้คะแนนเพิ่มขึ้น ในชั่วโมงภาษา และเราจะนำ ย่อความนั้น มาเข้า แฟ้มไปเรื่อยๆ จนครบทุกเรื่อง เมื่อเรามีบัตรรายการ ของหนังสือทุกเล่ม เวลาเลือก หนังสือ ก็สามารถจะเปิดดูได้ว่า เรื่องไหน เป็นอย่างไร เพื่อจะได้เลือกยืมเรื่องที่ชอบที่สุด เข้าใจไหม พวกเธอเห็นด้วยไหมล่ะ" เด็กๆ รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพูดดีไปหมด แต่ไม่รู้จะมีใครทำได้หรือเปล่า
ฉันมองดูเตเรซ่าด้วยความรู้สึกใหม่ เต็มไปด้วยความเอ็นดูและขอบคุณ สำหรับฉัน แม้สามารถ กระตุ้นเด็ก ให้ตื่นขึ้น ได้เพียงคนเดียวก็คุ้มค่าเหลือเกินแล้ว อย่างไรก็ตามวันหยุดของสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์๙ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ การประเมินผลเทอมนี้ ค่อนข้างดี ถึงแม้ว่า จะยังมีเด็กอย่างโฆเซ่ ซึ่งไม่มีความอดทนที่จะอ่านนิทานเกี่ยวกับ ความตาย จนจบ แต่พยายาม ให้เพื่อนเล่าให้ฟัง ในชั่วโมงเลขคณิต เด็กหลายคน อ่าน หนังสือหลายเล่ม แม้จะไม่มีใครอ่านมากเท่ากับ เตเรซ่า ฉันก็ค่อนข้างพอใจ เมื่อตรวจดู บัตรรายการหนังสือ " พ่อน่าจะคิดวิธีนี้ออกแต่แรกนะ" บาทหลวงโฆเซ่ มาริ เอ่ยขึ้นที่โรงเรียน ในวันที่มาพูดคุย กับเด็กๆ ที่จะเข้าพิธีรับศีล กำลัง๑๐ และได้เห็นห้องสมุด อันต่ำต้อยของเราเข้า หนังสือ จัดอยู่ในลังเนยแข็ง ที่เอามาห่อ กระดาษใหม่อย่างดี " ดิฉันขอโทษค่ะที่แย่งความคิดคุณพ่อมา" " ไม่เป็นไร เธอจงดีใจอย่างที่พ่อดีใจ ใครทำน่ะไม่สำคัญหรอก ขอให้มีคนทำเถอะ"
พวกเขาก่อจลาจลไม่ยอมให้ครูกลับ และขู่คนขับรถว่าอย่าให้ฉันขึ้นรถ เด็กๆ เอากระเป๋า เดินทาง และกระเป๋าสะพาย ของฉันไปซ่อน จนในที่สุดเมื่อฉันสัญญากับพวกเขาว่า จะกลับมาอีกครั้ง ก่อนโรงเรียนเปิด แล้วเราจะไปทัศนศึกษากัน พวกเขาจึงยอม และเดิน ไปส่งฉันที่รถโดยสาร เด็กๆ สลับกันถือกระเป๋าเดินทาง กระเป๋าสะพาย และเสื้อคลุม กันหนาว เพราะทุกคน อยากจะมีส่วนช่วย แม้กระทั่งมิเกล ยังกระโดดข้ามรั้วบ้าน มายืน ข้างๆ เพื่อส่งฉัน " สวัสดี มูริเอล ! ผมแทบไม่เห็นคุณเลยช่วงหลังๆ มานี่ ปิดเทอมแล้ว เหรอ" " ก็เริ่มตั้งแต่บัดนี้ล่ะค่ะ ดิฉันกำลังจะกลับบ้าน" เขาทำเสียงจิ๊กจั๊ก และส่ายศีรษะด้วยท่าทางผิดหวังและไม่สบอารมณ์ " ผมมีแผนการมากมายสำหรับวันหยุดช่วงนี้" " เก็บไว้ก่อนสิคะ อาทิตย์หน้าดิฉันก็กลับมาแล้ว พวกคุณอย่าไปเที่ยวกันเองโดยลำพังล่ะ รอดิฉันด้วยนะคะ" เด็กๆ ตะโกนพูดกับพนักงานเก็บค่าโดยสารซึ่งฉันได้ยินเป็นบางคำ " เปริโก้ เธอจองที่วางกระเป๋าเดินทางของครูไว้ที่ดีหรือเปล่า" " กรุณาระวังเวลาจะเลี้ยวโค้งด้วยนะครับ"
ยานพาหนะเริ่มออกเดินทาง และฉันก็กล่าวคำอำลาต่อเบอิเรเชอา หมอและเด็กๆ โบกมือ ลาฉันอยู่กลางถนน (อ่านต่อฉบับหน้า) เชิงอรรถ - ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๕ กันยายน - ตุลาคม ๒๕๔๗ - |