บันทึกน้ำค้างหยดเดียว ดูรายการ Small Talk ทางโทรทัศน์ นอกจากได้ความบันเทิงจากความน่ารักของเด็กน้อยแล้ว ค่ำนี้ยังได้สัจจะชีวิตจากคนตัวเล็กด้วย พิธีกรถามว่า "จริงไหมที่ว่า ถ้าลูกทุกข์ พ่อแม่เป็นทุกข์ยิ่งกว่า" เด็กตอบว่า "ไม่จริง คนก่อก็ต้องทุกข์มากกว่า คนไม่ได้ก่อก็ไม่ต้องทุกข์" เป็นคำตอบที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง และอยู่เหนือความคาดหมายจริงๆ ในค่ำคืนเดียวกัน ปรากฏข่าวนายดาบตำรวจฆ่านักท่องเที่ยวตายถึงสองคนแล้วหลบหนี แม่ของนายดาบให้การอะไรไม่ได้เลยนอกจากร้องไห้ เสียใจในการกระทำของลูกนั้นแน่นอน แต่สงสารลูกที่ต่อแต่นี้จะต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุน และรับกรรมที่ก่อไว้หากถูกจับได้อีกเล่า ทำไมผู้ใหญ่จึงไม่สามารถเข้าใจสัจจะอย่างที่เด็กเข้าใจ เพราะอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น และอคติที่เพิ่มขึ้นกระนั้นหรือ ศาสนาพุทธสอนเรื่องกรรม ใครทำใครได้ เขาโตแล้ว รู้ดีรู้ชั่ว ซ้ำยังเป็นผู้รักษากฎหมาย ทุกคนต้อง รับผิดชอบกรรม (การกระทำ) ของตน ซึ่งหากเข้าใจ ใครก็ไม่ต้องเป็นทุกข์กับการกระทำ ของคนอื่น เพราะลำพังทุกข์ส่วนตัวที่มีก็นับว่ามากเกินพอแล้ว ************ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังระอุคุกรุ่นด้วยภัยจากน้ำมือของพาลชน ยิ่งใช้วิธีปราบปรามที่รุนแรง ความเลวร้ายก็ยิ่งขยายผลลุกลามใหญ่โต สงสารชาวบ้านสุจริตชนที่ต้องระวังภัยตลอดเวลา ซึ่งแม้จะระวังอย่างไรก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อมันมาถึงตัว ชีวิตช่างบอบบางราวแขวนอยู่ บนเส้นด้าย แม้กระนั้นเขาก็รักชีวิต แต่ในเวลาเดียวกัน คนบางกลุ่มก็ยังหลงระเริงกับปาร์ตี้ยาบ้า ยาอี ยานรก ราววิญญาณที่ถูกทรมาน ในอเวจี หลงใหลแฟชั่นที่ 'เผยความต่ำในตัว' และค่านิยมทรามที่นับวันจะหนักหนาสาหัส มอมเมาเยาวชนยิ่งขึ้น โลกลุกเป็นไฟอยู่อย่างนี้ พวกเธอยังมัวหลงระเริงอะไรอยู่ ห่างไกลเหลือเกินเจ้าข้าเอ๋ย ห่างไกลมากจากแก่นสารของการได้เกิดมาเป็นคน ได้พบพระพุทธศาสนา เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง ************ หากความต้องการสูงสุดของมนุษย์คือความสุข สิ่งแรกที่ต้องทำความเข้าใจคือนิยามของความสุข ที่แต่ละคนหมาย หากเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจวาสนาเป็นความสุข ทำไมคนเก่ง คนรวย คนสวย ผู้ประสบความสำเร็จมากหลายยังฆ่าตัวตาย คนที่อยากได้อะไรก็ได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้อง ตะเกียกตะกายไขว่คว้า กลับเซ็งชีวิตที่สะดวกสบายจนไม่เห็นความหมายของการมีชีวิตอยู่ ป่วยการกล่าวไปไยกับความสุขจากการทำให้ตัวเองขาดสติ สัมปชัญญะ ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี สมองที่ ควรโล่ง โปร่งก็ทำให้มึนชา ร่างกายที่ควรแข็งแรงก็ทำให้ทรุดโทรม ป่วยไข้ด้วยพิษภัยสารพัด ที่สรรหามาเสพ ************ สองสามวันก่อน บริษัทจัดกิจกรรมลงแขกเกี่ยวข้าวที่บ้านของพนักงาน ในจังหวัดขอนแก่นและนคร-ราชสีมา นับเป็นกิจกรรมแปลกใหม่ในชีวิตที่นึกไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะทำได้ กลัวเคียวเกี่ยวท้องทะลุ กลัวผิวเสียจากแสงแดดแผดกล้าในนาที่ร้อนระเบิด กลัวปวดหัว ปวดหลัง กลัวกระทั่งฝุ่นและละอองฟางที่จะทำให้ภูมิแพ้กำเริบ แต่พอได้ลงมือทำ ความกลัวที่เหลวไหล ไร้สาระต่างๆ ก็อันตรธานไปสิ้น มีความสุขสนุกสนานกับงานสร้างสรร แม้จะถูกเคียวเกี่ยวก้อย บาดเจ็บเลือดไหล เพราะเป็น 'มือใหม่-หัดเกี่ยว' ก็ไม่เดือดร้อน เห็นศักยภาพในตน ในหมู่กลุ่มมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี อบอุ่นใจในมิตรภาพ ความรู้รักสามัคคี ความเป็นพี่เป็นน้อง และ ความเรียบง่าย ของชีวิตชาวนาที่ต้องการแค่กินอิ่ม นอนหลับ ไม่ต้องคิดมากกับเศรษฐกิจที่ขึ้นๆ ลงๆ เพราะ "เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของจริง" ชีวิตไม่ใหญ่โตอัครฐานอะไรดอก ง่ายๆ ถูกๆ ขยันๆ แต่เป็นบุญเกื้อกูลโลก นี่คือชีวิตที่เปี่ยมความหมาย เป็นต้นหญ้าให้ร่มห่มดินให้ชุ่มชื้น ไม่เอาเปรียบเบียดเบียนใคร ยินดีทำหน้าที่ของตนเต็มความสามารถ โดยไม่น้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่ได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในปฐพี เม็ดเหงื่อที่หลั่งรินรดผืนนาวันนี้จึงมีความหมาย เพราะเห็นคุณค่าของเม็ดข้าวยิ่งกว่าเม็ดเงิน คือเกล็ดแก้วแววเพชรแห่งเม็ดเหงื่อ ที่หยาดเพื่อแผ่นดินถิ่นอาศัย ตะวันรอนอ่อนแสง ลมโบกโบยมาเย็นรื่น เพียงเท่านั้นก็พัดพาเอาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากไป และนำพาความชื่นใจมาให้แทนที่ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ ชีวิตนี้ยังจะต้องการอะไรอีก รวงข้าวงามสมบูรณ์ค้อมรวงต่ำคารวะแม่ธรณี ผิดกับข้าวลีบที่เชิดหน้าทระนง สรรพสิ่งสอนสัจธรรมอยู่แจ่มชัด เพียงเปิดตาเปิดใจใคร่ครวญใคร ผู้ใด คนประเภทไหนหรือที่มีคุณแก่แผ่นดิน ขอบคุณชาวนาที่ปลูกข้าวให้เรากินในมื้อนี้ ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๖ พฤศจิกายน- ธันวาคม ๒๕๔๗ |