ปลูกฝันไว้ในแผ่นดิน วันนั้นไม่ดีเลย ฉันรู้สึกได้เมื่อย่างเท้าเข้าโรงเรียน เด็กโตไม่ทำการบ้านมาสักคน พวกเขาอ้างว่า ไม่เข้าใจ คำถาม เราเสียเวลากับมันครู่ใหญ่ และฉันไม่อาจดูแลบทอ่านของเด็กเล็กๆ ได้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาเด็กกว่า จึงโง่กว่า พวกเขารู้ทันทีว่าจะทำอะไรซุกซนแบบเด็กๆ ได้โดยที่ฉันไม่รู้ การสอนโครงสร้างประโยค เป็นสิ่งที่เราต่อสู้กันมานานระหว่างศิษย์กับครู แม้ว่าฉันจะพยายาม อย่างมาก แล้วก็ตาม ส่วนเรียงความนั้นไม่มีทางใดเลยที่จะให้พวกเขาเขียนได้... 'พ่อของฉันทำงานหนัก และตอนกลางคืนก็ไปเล่นไพ่พื้นบ้านในร้านเหล้า' ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ เมร๎เซเดส อิปาร๎รากิร๎เร่ เขียนลงสมุด ในหัวข้อ 'งานของพ่อของฉัน' "เธอจะเขียนอะไรมากกว่านี้ไม่ได้หรือไง อย่างเล่าว่าพ่อ ของเธอเตรียมผืนดินอย่างไร มีผลผลิต อะไรบ้าง ใช้แทรกเตอร์ได้ดีไหม แล้วปลูกอะไรบ้างในสวน มีการรีดนมวัวบ้างไหม เอาวัวไปกินหญ้า หรือตัดขนแกะ บ้างหรือเปล่า แล้วขั้นตอนการทำเนยแข็งเป็นอย่างไร" "ค่ะ พ่อก็ทำทุกอย่างที่ครูพูดมา ใครๆ เขาก็รู้กันแล้วทั้งนั้นนี่คะ" "ไม่หรอกจ้ะ ไม่ใช่ทุกคนรู้ เรามาสมมุติกันว่าครูไม่รู้อะไรเลยและอยากจะรู้เรื่องเหล่านี้" ฉันกำลังถกเถียงกับเมร๎เซเดสอยู่ ขณะที่ผู้ตรวจการเดินทางมาถึงโรงเรียนโดยไม่ได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้า นับเป็นคราวเคราะห์ของฉัน ที่หล่อนเข้ามาในจังหวะที่ฆูลิต้ากับไมเต้กำลังแอบเล่นรูปลอกตัวการ์ตูนอยู่ และ โฆเซ่ อาราน่า ซุกหัวลงไปใต้ฝาโต๊ะนักเรียนเพื่อกินแซนด์วิชไส้กรอกหมูของเขา ฉันรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงกับอนาคตเมื่อได้เห็นรูกว้างสามรูที่ถุงน่องของหล่อน ผู้หญิงท่าทางอย่างนี้ หนำซ้ำ ยังเรื่องที่เกิดกับถุงน่องอีก หล่อนคงไม่มาดีเป็นแน่ "ทำไมถึงไม่ดูแลขจัดสิ่งกีดขวางตามทางออกเสียนะ" หล่อนพูดก่อนที่จะกล่าวคำทักทายฉันเสียด้วยซ้ำ ช่างโชคร้ายเสียจริง ! เหตุจำเพาะต้องมาเกิดที่ปากทางเข้าโรงเรียนเสียด้วย ฉันคิดว่าฟ้าถล่มลงตรงหน้า ผู้ตรวจการหยิกโฆเซ่ ที่เขาแอบกินแซนด์วิช โฆเซ่ตกใจมากจนไส้กรอกเลิศรสที่เขา นำมาจากบ้าน หลุดออก จากปากเขาถึงสามชิ้น จากนั้นเพื่อแสดงความเป็นมิตร หล่อนเข้าไปหยิกแก้มอันชอน ด้วยความเอ็นดู ให้เขายืนขึ้น หล่อนว่า หล่อนแน่ใจว่า อันชอนเป็นเด็กฉลาดและบอกให้แกท่องสูตรคูณแม่เจ็ด อันชอนรู้ดี ฉันแน่ใจว่าอันชอน ทำได้ แต่การที่ผู้ตรวจการเข้าไปจับแก้มทำให้ เด็กชายตื่นเต้น แกทำได้ดีถึงเจ็ดคูณห้า พอเจ็ดคูณหก แกตอบว่าสามสิบหก ซึ่งไม่น่าเลย และหลังจากนั้นก็ผิดมาตลอด แกยืนยันว่า 'สามานยนาม' คือตัวที่ บอกประเภทของสิ่งของ และเมืองหลวงของโปแลนด์คือเบิร์น และอานิบัล นักรบชาวการ์ตาเฆน่า เป็นลูกของ อัลมานซอร์นักรบชาวมุสลิม ฉันรู้สึกแย่ แย่เอามากๆ เลยทีเดียว ทำไมเด็กๆ ซึ่งตอบอะไรต่อมิอะไรได้เมื่ออยู่กับฉัน เฉพาะในวันนี้ ถึงได้พูดอะไรไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว อันที่จริงก็มีถูกบ้างแต่น้อยมาก คำตอบของเด็กๆ ทำให้เรารู้ว่า อเมริกา ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ.1616 การกระจายกริยาคือคำนำหน้านาม แผนที่โลกเป็นแผนที่ที่ไม่มีตัวอักษร และแผนที่ เศรษฐกิจต่างหากที่แสดงที่ตั้งของทวีปอย่างสมบูรณ์ ผู้ตรวจการมีสีหน้าแย่ลงทุกขณะ ฉันคิดว่าเหตุการณ์ตรงหน้ากับบรรดานักเรียนของฉัน คงทำให้หล่อน ลืมเรื่องถุงน่อง และฉันก็อยากจะไปแอบอยู่ในที่ที่มั่นใจว่าจะไม่มีใครหาฉันพบ นี่ขนาดยังไม่เกิดเรื่องที่เลวร้ายที่สุดนะนี่ ! ช่างเป็นความหฤโหดที่ต้องเผชิญหน้ากับโฆเซ่ ! ทำไมหล่อนจึงไม่เรียก เตเรซ่า อิปาร๎รากิร๎เร่ ซึ่งฉันออกจะชื่นชมที่แกมีพัฒนาการก้าวหน้าขึ้นมาก ทำไม ไม่ถามมาติลเด้ โชมิน หรืออิญากิ ไม่ ! ต้องเป็นโฆเซ่นี่แหละ และยิ่งกว่านั้น ยังเป็นคำถาม เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์อีกด้วย "พ่อหนูผมทองท่าทางเป็นมิตรคนนี้ ต้องตอบสิ่งที่ฉันจะถามได้แน่เลย" ฉันไม่ปฏิเสธ ว่าหล่อนพูด สุภาพทีเดียว "หนูรู้ไหมจ๊ะว่ามีกษัตริย์แห่งแคว้นกาสตีญ่าอยู่พระองค์หนึ่งชื่อ ซานโช ซึ่ง ต่อมาพระองค์ ถูกลอบปลงพระชนม์ ที่หน้าประตูเมืองซาโมร่า..." โฆเซ่รับรู้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เกือบๆ จะเรียกความมั่นใจคืนมาได้ "รู้ไหมจ๊ะว่าใครเป็นคนลอบปลงพระชนม์" ไม่ ! โฆเซ่จำไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แต่หน้าตาที่เป็นมิตรและแดงเรื่อก็ไม่ได้ซีดลงแต่อย่างไร มาติลเด้ ซึ่งสอบได้ที่หนึ่ง ของชั้นนั่งอยู่ข้างหลังโฆเซ่ "บอกฉันหน่อยซิ" เด็กชายแอบถามเบาๆ ในจังหวะที่ผู้ตรวจการกลับไปที่โต๊ะเพื่อดูรายชื่อเด็ก พระเจ้าช่วย บอกแกทีเถอะ ช่วยบอกแกที ฉันร้องขออยู่ในใจ ฉันว่าแม้แต่หินผายังสะเทือนใจกับคำ วิงวอนนี้ มาติลเด้กระซิบบอกโฆเซ่ว่า "เบยิโด ดอลโฟส" ผู้ตรวจการหันกลับมาหน้าชั้นใหม่อีกครั้ง ฉันรู้สึกสงบขึ้นและหายใจลึกๆ โฆเซ่เกาหูข้างหนึ่งแล้วหันไปเกาอีกข้างหนึ่ง ฉันว่าแกสับสน ท่าทางแกจะหูหนวกละมัง ขนาดฉันยังได้ยิน ที่มาติลเด้บอกเลย แน่นอนแกต้องหูหนวกอย่างไม่ต้องสงสัย "โดส กอลโฟส" (แปลว่า คนสถุลสองคน มีเสียงคล้ายกับคำว่า เบยิโด ดอลโฟส ซึ่งเป็นชื่อของผู้ลอบฆ่า กษัตริย์ แห่งแคว้นกาสตีญ่า) เขาตอบอย่างสงบ และแน่นอนที่ว่าโรงเรียนจะพังครืนลงมาน่ะ ไม่ใช่...เพราะโรงเรียนไม่พังอย่างที่ฉันปรารถนาจะให้ มันเป็น มันยังอยู่ ทั้งฝาผนังสีน้ำเงิน ที่มีรอยด่างของหยดน้ำ และโต๊ะนักเรียนเก่าๆ ผู้ตรวจการมีสีหน้าเศร้าพอๆ กับฉัน "ฉันหวังว่า คราวหน้าเมื่อฉันมาเยี่ยมอีกครั้ง ซึ่งดูแล้วคงต้องเป็นเร็วๆ นี้ นักเรียนคงจะมีความพร้อม มากกว่านี้นะ" หล่อนบอก ฉันพยักหน้ารับ กลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ถ้าพูดอะไรออกมา "คุณอายุยังน้อยใช่ไหม" หล่อนถามอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย "พระเจ้าช่วย" นี่ก็อีกคนหนึ่งที่คิดว่าฉันเป็น 'เด็กสาวอรชรอ้อนแอ้น' ที่ไม่ประสีประสา ฉันคิด "ไม่ค่ะ ไม่ใช่" ฉันตอบเสียงดัง "แต่คุณดูเด็กนะ...เอาเถอะ ฉันไม่อยากให้คุณคิดว่าฉันโทษคุณคนเดียว ทว่าคุณต้องเอาใจใส่เด็กๆ ให้ดี พวกแก ต้องการการดูแลอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะพวกแกโง่" ฉันหันขวับราวกับถูกผึ้งต่อย "โง่หรือคะ คุณว่าพวกแกโง่ คุณกล้าเรียกเด็กที่สังเกตเพียงแค่ทิศทางลมก็รู้แล้วว่า ไม่ควรปล่อยฝูงแกะ ออกไปกินหญ้า เพราะเดี๋ยวพายุจะมา คุณรู้จักแยกแยะข้าวสาลีจากข้าวโอต ก่อนที่จะถูกขัดสี เปลือกไหมคะ และ มันอันตราย ถ้าเราไปหลบอยู่ใต้ต้นโอ๊ก ระหว่างมีพายุ เพราะมันจะเป็นเครื่องล่อ สายฟ้า แต่พวกแกสิคะ พวกแกรู้...รู้อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย...เช่นว่า ปลูกต้นสวีทเบซิลไว้ที่หน้าต่าง เพื่อไล่ยุง คุณนวดแป้ง และทำขนมปังเป็นไหมคะ น้ำยาที่ทำจากต้นยูคาลิปตัส ช่วยทำความสะอาดขนไก่ ไม่ให้มีพาราสิต และไม่เป็นอันตรายต่อลูกไก่ คุณรีดนมวัวเป็นหรือเปล่าไม่ทราบ แล้วถ้าต้องผสมพันธุ์ กระต่าย คุณแน่ใจหรือว่า จะไม่จับตัวผู้สองตัวมาผสมพันธุ์กัน คุณสามารถแยกแยะความต่าง ระหว่าง กิ่งต้นเฮเซลนัท กับกิ่งของต้นไม้ชนิดอื่น ที่ขึ้นตามทางเดินได้หรือคะ" ผู้ตรวจการมองฉันอย่างครุ่นคิด และไม่ได้พูดแทรกขัดจังหวะแต่ประการใด เมื่อฉันพูดจบ หล่อนยกมือ ข้างหนึ่งขึ้น จับไหล่ฉัน ราวกับฉันเป็นเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง "ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณรักพวกเขา และนี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในตัวครูคนหนึ่ง แต่คุณต้องไม่ลืมว่า คุณมาที่นี่ เพื่อจะอบรมเด็กๆ และฉันก็มาตรวจเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้สอนพวกเขา เข้าใจไหม" ฉันยอมรับว่าหล่อนพูดถูกและมีเหตุผล ฉันก้มหน้าด้วยความละอายใจ มีความรู้สึกว่าหล่อนเป็นคนดี และ รักเด็กๆ เช่นเดียวกัน...แต่ทำไมนะ ก็ในเมื่อผู้ตรวจการบอกว่าเด็กพวกนี้ซุกซน ประพฤติตัวไม่ดี ทำไมจึงให้พวกเขา หยุดพักช่วงบ่ายนี้ ฉันกลับบ้านอย่างเศร้าสร้อย และหดหู่ใจเสียจนขนาดอิซาเบลยังรู้สึกได้ ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้อิซาเบลฟัง เธอปลอบประโลมฉันเท่าที่จะทำได้ และเห็นด้วยว่า ทำไมต้องใ ห้หยุดพักช่วงบ่าย ถึงแม้ว่าเธอจะหวังดี แต่ฉันก็รู้สึกแย่เอามากๆ และช่วงหยุดพักที่ฉันไม่ได้ ทำงานนี้ ช่างยาวนาน ชั่วนิรันดร์เสียจริงๆ "ทำไมหนูไม่ไปหาเพื่อนล่ะ" คุณย่าถามขึ้นเมื่อเห็นฉันหาวเป็นครั้งที่สาม ฉันนั่งอยู่เฉยๆ ในห้องครัว ซึ่งไม่ใช่ ปกติวิสัยของฉัน ใช่แล้ว ที่จริงย่าก็มีเหตุผล ทางที่ดีฉันควรไปผ่อนคลาย ไม่ควรหมกมุ่น อยู่กับปัญหา นอกจากนั้น ฉันยังคิดจะถักเสื้อกันหนาวให้มาเรีย แล้วอานา มาริ ก็อาจสอนลายใหม่ให้ฉันได้ เกือบจะสองทุ่มแล้วล่ะ เมื่อฉันเข้าไปในบ้านอานา มาริ แต่ดูเหมือนทุกอย่างไม่ดีไปเสียหมด เพื่อนของฉัน ไม่อยู่บ้าน มีแต่เฟร๎มินนั่งเขียนจดหมายอยู่คนเดียว "สวัสดีครับ" เขาทักพลางจัดให้ฉันนั่งที่โซฟาหวาย ซึ่งฉันมักจะพูดว่าเป็นของฉัน เพราะมันนั่งสบายมาก เช่นเดียวกับ ของอื่นๆ ในบ้านหลังนี้ "อานาไม่อยู่หรอก" เขาบอก ฉันรู้สึกว่าเสียงของเขาเย็นๆ พิกล "คุณรู้ไหมว่า อานาจะกลับมาหรือเปล่า" เขายักไหล่และบอกให้ฉันคอย บางทีอานาอาจจะกลับมาในไม่ช้า ฉันยังรู้สึก เศร้าสร้อยเหมือนเดิม และรู้สึกว่ามารบกวนเฟร๎มิน แม่ของเขากำลังทำขนมปัง อยู่กับป้า และไม่เข้ามา ใกล้ห้องนี้เลย...ทำไมวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจึงดูแปลกไป ฉันเริ่มลงมือถักเสื้อไปเงียบๆ ไม่รู้ว่าควรจะไป หรืออยู่ต่อดี "ผมโกหกคุณ มูริเอล" เฟร๎มินพูดขึ้นทันทีทันใด เขายืนอยู่ข้างหลังฉัน มือโอบพนักพิงที่ฉันนั่งอยู่ ฉันเงยหน้าขึ้นพยายามที่จะยิ้ม อุ๊ย ! ทำไมเฟร๎มินถึงตาสวยนักนะ ฉันไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนเลย "คุณโกหกอะไรดิฉันเหรอคะ" "โกหกว่า บางทีน้องสาวผมอาจจะกลับมาในไม่ช้านี้ เธอไปเยี่ยมยายที่เอริซอนโด้โน่นแน่ะ พรุ่งนี้ถึงจะกลับ" "ก็ดีนี่คะ แต่ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณไม่บอกดิฉันก่อนหน้านี้" "คือผมกลัวว่า ถ้าบอกแล้วคุณจะกลับเลย" "แต่ดิฉันไม่ได้คิดกลับนี่คะ" ฉันค้านเสียงอ่อยๆ รู้สึกกลัวมาก ไม่รู้ว่ากลัวอะไร แต่รู้ว่าตัวเองตกใจมาก "คือว่า ผมรักคุณนะมูริเอล คุณไม่ได้สังเกตหรอกหรือ" ดวงตาของเขาหวานฉ่ำเมื่อมองดูฉัน ห่วงที่ฉันกำลัง ถักอยู่กับเข็มหลุดหมด รู้สึกว่ามือของฉันร้อนและเย็นสลับกันไป หน้าตัวเองคงจะแดงเป็นลูก ตำลึงสุก และไม่อาจ เอ่ยอะไรออกมา แม้แต่คำเดียว "คุณไม่รู้หรอกหรือมูริเอล" เขาถามใหม่อีกครั้งด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานต่างไปจากที่ฉันเคยรู้จัก "มะ..มะ..ไม่ค่ะ" ฉันตอบในที่สุด "แล้วคุณจะไม่ให้ความหวังแก่ผมบ้างหรือครับ" "ความหวังหรือคะ" ฉันถามอย่างโง่เง่าที่สุด รู้สึกเศร้าใจลงไปอีก ดวงตาสีเทาของเฟร๎มินเจิดจ้า เขาใส่เสื้อ สเว็ตเตอร์ สีเขียวเข้ม มีรอยหมึกเลอะอยู่ที่มือซ้ายของเขา "ใช่ครับ" เขาตอบ "ดิฉันคิดว่า ถ้าเป็นความหวังอย่างที่คุณต้องการล่ะก็ คงไม่ได้" ฉันพึมพำออกมาพลางนึกอยากจะหายตัว ไปในทันที และลืมแววตาของเขาให้หมดสิ้น ฉันรู้สึกเวียนศีรษะ รอยหมึกเลอะเริ่มหมุนวนอยู่รอบตัวฉัน ช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน ที่จะเอ่ยคำสั้นๆ คำเดียวว่า "ไม่" และโดยเฉพาะ เมื่อต้องออกมา จากริมฝีปาก ของผู้หญิง ฉันอยากร้องไห้เสียจริงๆ ! เฟร๎มินเดินห่างออกไป เคาะโต๊ะเป็นจังหวะกลองด้วยนิ้วของเขา "เฟร๎มินคะ คุณทำให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นไปอย่างเดิมไม่ได้หรือ" ฉันถาม ฉันไม่ได้รู้สึกหนาว แต่ฟันกลับ กระทบกัน ทำไมเรื่องอย่างนี้ถึงต้องเกิดกับฉันด้วยนะ "คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้" เขาตอบ "มันจะกลับไป เหมือนเดิมอีกไม่ได้หรอก บอกผมหน่อยซิว่า เพราะอะไร คุณถึงตอบว่าไม่" "เพราะว่า เพราะว่าดิฉันไม่ได้รักคุณแบบนั้นค่ะ เฟร๎มิน" ฉันพูดพลางรีบเก็บรวบรวมข้าวของของฉัน และกล่าวเพิ่มเติมอีกนิด "ดิฉันเสียใจมากเลยค่ะ" ฉันออกจากห้อง และเขาก็หยุดฉันด้วยคำถามตรงๆ ว่า "คุณรักคนอื่นใช่ไหมครับ" "ไม่ ไม่ใช่ ไม่รู้สิ ไม่ใช่หรอกค่ะ" "ผมสิเสียใจ เสียใจมาก มูริเอล" ฉันรู้สึกว่าเราต่างปลอบโยนซึ่งกันและกัน ฉันเปิดประตูและเกือบจะวิ่งออกไปยังถนน พยายามเริ่มเดินช้าๆ แม้ขาจะยังสั่นอยู่ก็ตาม หนีบถุงถักนิตติ้งไว้ใต้รักแร้ ทำไมทุกสิ่งทุกอย่างที่แสนเศร้า ต้องมาเกิดขึ้นกับฉัน ในวันเดียวกันหมดนะ เริ่มด้วยความล้มเหลว ต่อหน้าผู้ตรวจการ แล้วยังมาเรื่องเฟร๎มินอีก มีใครคนหนึ่งเดินผิวปากอย่างมีความสุขตามหลังมาจนฉันอิจฉา ครั้นหันหลังกลับไปจึงเห็นว่า เขาคือ หมอมิเกล นั่นเอง "สวัสดีครับ เป็นไงบ้างครับ" เขาตะโกนถาม หมอสวมกางเกงยีนส์และเสื้อสเว็ตเตอร์สีฟ้า มีปืนล่าสัตว์พาดไหล่และถือแฟ้มหนังอยู่ในมือ เป็นภาพ ที่น่าดูทีเดียว เขามาเดินเคียงข้างฉันโดยไม่หยุดผิวปาก และฉันก็รู้สึกขอบคุณ เพราะนี่อาจจะเป็นวิธี ที่ทำให้ฉัน รู้สึกดีขึ้น "คุณดูเศร้าจังเลย เกิดอะไรขึ้นหรือครับ" "กับดิฉันน่ะหรือ เปล่านี่คะ" หมอเล่าว่าเพิ่งไปทำคลอดฝาแฝดคู่หนึ่ง และเรื่องอย่างนี้มักทำให้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษ "ลูกของ มาเรีย โมเซฟ่า หรือคะ ดีจริง ! เมื่อไหร่ดิฉันถึงจะได้เห็นพวกแกล่ะคะ" "เมื่อไหร่ก็ได้ที่คุณต้องการ พ่อเด็กอยากจะอวดลูกเขาอยู่แล้ว" ดูเขาช่างมีความสุขกับวันนี้เสียจริง เด็กๆ สาม-สี่คนเล่นฟุตบอล อยู่ใต้ไฟถนนหน้าบ้านของ อาราน่า หมอมิเกล เตะลูกบอลเข้าประตูอย่างสวยงาม แล้วกลับมาเดินเคียงข้างฉันใหม่ พร้อมกับ ผิวปากต่อ "ช่วงนี้เริ่มล่าสัตว์แล้วหรือคะ" ฉันถาม "ไม่ใช่หรอกครับ ผมเอาปืนนี่ไปให้พ่อเด็กทำความสะอาดให้ระหว่างคอยฝูงนกพิราบ แถวนี้น่ะ จนกว่า นกพิราบ จะบินมาราวเดือนตุลาคม เราไม่มีอะไรทำหรอกครับ มูริเอล ทำไมคุณไม่แต่งงานกับผม เสียนะ" เขาถามอย่างกันเอง เป็นธรรมชาติที่สุด ราวกับกำลัง ขอให้ฉันไปดื่มกาแฟเป็นเพื่อน ฉันยืนนิ่งเป็นรูปปั้น ทำไม จะต้องเกิดเรื่องมากมาย ในวันเดียวกัน ฉันไม่อยากแม้แต่จะตอบ ได้แต่ก้มมองพื้นเขม็ง ฉันแน่ใจว่า กำลังมีไข้รุมๆ "คุณไม่คิดจะตอบอะไรผมเลยหรือ" "ไม่ค่ะ" ฉันพึมพำอย่างอายๆ "ทำไมถึงไม่ล่ะครับ" "ก็เพราะว่าไม่น่ะสิคะ" ฉันไม่มีน้ำใจสักนิดที่จะบอกเขาว่า เขาเป็นเพื่อนที่ดีและฉันก็ชอบเขามาก อย่างที่ควรจะทำกัน เมื่อเกิดกรณี เช่นนี้ ฉันรู้สึกเหน็ดเหนื่อย กับทุกสิ่งทุกอย่าง อีกทั้งยังตระหนักดีว่าฉันเพิ่งจะสูญเสียเพื่อน ที่ดีที่สุด สองคน ไปในชั่วพริบตา สิ่งนี้ทำให้ถ้วยแห่งความทุกข์และความขมขื่นของฉันปริ่มล้น "ผมไม่ได้ฝันหวานอะไรจนเกินไป แต่ผมคิดว่า ผมน่าจะพอมีหวัง" เขาพูด "คุณไม่อยากกลับไปคิดทบทวนให้ดีอีกครั้งหรือครับ ถึงแม้ตอนนี้คุณอาจจะยังไม่รักผม แต่บางที อีกหน่อย... ผมจะสอนให้คุณรู้จักความรักเอง มูริเอล ผมมั่นใจ กรุณาอย่าตอบผมเพียงสั้นๆ ง่ายๆ อย่างนี้ เลยนะครับ" "ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ มิเกล" ฉันตอบด้วยเสียงที่ฟังแปลกหูราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเอง "ใช่ค่ะ ดิฉันรักคุณ แต่เป็นความรักอีกแบบนี่คะ คงจะโหดร้ายและเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง ถ้าจะปล่อยให้ คุณคอย เพราะดิฉันรู้ดีว่าจะรักคุณเหมือนเพื่อนคนหนึ่งตลอดไป" "แต่ผมจะรักคุณตลอดไป ผมรู้ดี รู้ว่าจะไม่มีวันลืมคุณ...มูริเอล หากวันไหน ที่คุณเกิดเปลี่ยนใจ สัญญา กับผม นะครับว่า คุณจะบอกให้ผมทราบด้วย วิธีใดวิธีหนึ่ง" "แต่..." "ไม่เป็นไรหรอก สัญญาสิครับ" "ดิฉันสัญญาไม่ได้หรอกค่ะ มิเกล ไม่ได้จริงๆ" เราเดินมาจนถึงเสาไฟถนนอีกต้น ซึ่งอยู่หัวมุมบ้านของฉันพอดี แล้วเขาก็หันกลับมาจ้องหน้าฉัน ในทันที ทันใด "คุณเป็นอะไรไปหรือเปล่า ท่าทางคุณเหมือนไม่สบายนี่นะ" "ดิฉันน่ะหรือคะ คุณพูดอะไรน่ะ" "หูตาคุณดูอาการไม่ค่อยดีเลย จะไม่ให้ผมเข้าไปช่วยตรวจหน่อยหรือครับ แน่ละสิ คุณคงไม่ต้องการ" เขาเสริม เมื่อเห็นสีหน้า ตกอกตกใจของฉัน "แต่ดิฉันสบายดีนี่คะ" "ต้องไม่สบายแน่นอน ผมรับรองได้ คุณต้องเป็นอะไรสักอย่าง ผมว่าอย่างน้อย คุณควรกินแอสไพริน และรีบเข้านอน จะดีกว่า ลาก่อน ผมเกรงว่าคงจะห้ามหัวใจให้เลิกรักคุณไม่ได้" ฉันเข้าบ้านและ นั่งเงียบๆ ที่เก้าอี้เตี้ยๆ ตัวหนึ่งในห้อง ไม่อยากพูดหรือทำอะไรสักอย่างเดียว แต่ก็ตกใจกับความโดดเดี่ยว เงียบเหงา ในห้องของฉัน คนที่บ้านและเพื่อนบ้านอีกสองคนที่ช่วยงานในไร่ลงมือกินอาหารเย็นกัน พวกเขาคุยกันอย่างออกรส โดยไม่ได้ สังเกตอากัปกิริยาของฉัน "ที่เห็นบ่อยๆ แถวนี้ระยะหลังมานี่ก็อีตาอาริเบ้" คนหนึ่งพูดขึ้น ฉันฟังอย่างสนอกสนใจ ฆาเบียร๎ มักจะผ่าน โรงเรียนตอนหกโมงเย็นและหยุดคุยกับฉันครู่หนึ่ง ฉันรู้สึกชอบคุยกับเขา และถ้าวันไหนไม่เห็นเขา โลกจะดู เศร้าลงทันที "เขาคงกำลังมองหาคนที่จะเป็นเหยื่อรายต่อไป" อีกคนหนึ่งตอบอย่างดูหมิ่นดูแคลน "เขาถลุงเงินพ่อ ไปมากมาย ทำทีว่าไปร่ำเรียน แล้วกลับมาบ้านโดยคิดเปลี่ยนแปลงโลกทั้งโลก" "แน่ละ แถวๆ นี้คงจะ...ผมไม่เชื่อว่า เขาจะสะดุดพบกับคนไร้เดียงสา" โตมัสหัวเราะ บาทหลวงโฆเซ่ มาริ กลับบอกว่า เราไม่ควรจะตัดสินใคร และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราไม่รู้เรื่องราว ความเป็นไป เสียก่อน แต่ชายหนุ่มทั้งหลายยังคงยืนกราน ใครๆ ก็รู้กันทั้งหมู่บ้านว่า เขาอยากได้ไร่องุ่น ของ อิปาร๎รากิร๎เร่ "ยึดเอาไปหรือ คงพยายามแลกเปลี่ยนไร่กันมากกว่ามั้ง" "ก็ถ้าจะแพ้หรือสูญเสียคงไม่ใช่เขาแน่ คุณพ่อไม่รู้จักเขาดีพอ ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนพรรค์ไหน... ขนาดคู่รัก ยังทิ้งเขา ไปก่อนแต่งงานเลย คุณพ่อไม่ทราบหรือครับ เพราะอะไรเขาถึงดูเศร้าสร้อยผิดหวัง ผมไม่เห็น เขาพูด กับใครเลย" ฉันลุกขึ้นช้าๆ พยายามไม่ให้ใครสังเกตเห็น และกลับขึ้นไปในห้อง เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ฉันเข้านอนทั้งชุด อย่างนั้น ดวงตาแดงช้ำเพราะร้องไห้อย่างหนัก ตอนเช้าฉันปวดศีรษะมาก และกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับโลก "ฉันจะบอกว่าฉันป่วย" ฉันคิด แต่แล้วกลับลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะนึกถึงภาพมิเกลเข้ามาในห้องพร้อมกระเป๋าใส่เครื่องมือแพทย์ สีดำ พลางพูด อย่างร่าเริงว่า "เกิดอะไรขึ้นกับแม่สาวน้อยคนนี้นะ" - ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๑๙ พฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๔๘ - |