แนะนำหนังสือ -
เกร็ดกรวด [email protected] -
น้ำหมักชีวภาพและจุลินทรีย์พื้นบ้าน ในภาวะที่โลกกำลังร้อนและแล้งขึ้น ทุกวัน ผู้คนอดอยากยากจน ผู้ที่มีโอกาสมากกว่าใช้ลัทธิบริโภคนิยม และ ทุนนิยมเสรีเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการผลิตเพื่อการตลาด เพื่อเงินตรา เพื่อความเจริญรุ่งเรือง ลอยลม โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อดินฟ้าอากาศ สภาพธรรมชาติ ผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งก็กำลังพยายาม อย่างมาก ที่จะฟื้นฟูดินฟ้าอากาศและสภาพธรรมชาติ เพื่อเป็นอมตทรัพย์ ตกทอดให้คนรุ่นหลัง ถ้ามีเมตตา ไม่อยากให้เหลือแต่สิ่งแวดล้อม ที่เป็นพิษเป็นมรดกจากคนรุ่นเรา ก็ต้องช่วยกันหน่อย หนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องช่วยหนึ่งในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เนื้อหาของหนังสือแบ่งเป็น ๖ บท คือ กลุ่มอินทรีย์พื้นบ้านที่มีประสิทธิภาพในหมวดสร้างสรร น้ำหมักชีวภาพ สร้างกสิกรรมไร้สารพิษที่เป็นจริง ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม ธรรมชาติ การผลิตน้ำหมักชีวภาพด้วยตนเอง และการประยุกต์ใช้น้ำหมักชีวภาพ บทที่ ๑ และบทที่ ๒ ให้ความรู้เกี่ยวกับจุลินทรีย์และน้ำหมักชีวภาพ เช่น ในน้ำหมักชีวภาพประกอบด้วย สารต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นประจุไฟฟ้าลอยอยู่ในของ เหลว จึงดึงดูดธาตุอาหารต่างๆ ของพืช ที่มีประจุบวก เช่น NH4+ ไปหุ้มรอบตัว แล้วใช้น้ำในดินเป็นตัวนำพาการดูดซึมเข้าสู่รากพืชได้โดยง่าย นอกจากนี้ ในน้ำหมักชีวภาพเองก็มีธาตุอาหารของพืชต่างๆ ที่สามารถดูดไปใช้ได้ทันที เช่น กรดอะมิโน และ กรดอินทรีย์ ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นโปรตีนและน้ำตาลให้พืชนำไปใช้โดยตรง ไม่ต้องสูญเสียพลังงาน ในการสร้างอาหารเอง พืชจึงนำพลังงานที่เหลือไปใช้ในการเจริญเติบโตด้านอื่นๆ และกรดอะมิโน จะเก็บธาตุอาหาร ประจุลบผ่านเข้าทางรากพืชด้วย เช่น NO3- (หน้า ๑๔) บทที่ ๓ กล่าวถึงประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพในการทำกสิกรรมไร้สารพิษ เช่น การปรับสภาพดิน ทำให้ดิน มีคุณภาพ ดีและง่ายต่อการเจริญเติบโตของพืช เร่งการสังเคราะห์แสงและการปรับตัวของพืช ให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมได้ดี การเพิ่มผลผลิต และลดศัตรูพืช บทที่ ๔ กล่าวถึงการใช้น้ำหมักชีวภาพฟื้นฟูสภาพแวดล้อมธรรมชาติ ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพ การรีไซเคิล กระดาษและพลาสติก การเปลี่ยนขยะสดให้เป็นปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูง กำจัดกลิ่นเหม็น บำบัดน้ำเสีย สลายพิษสารเคมี ป้องกันการทำลายชั้นโอโซน และป้องกันการพังทลายของหน้าดิน บทที่ ๕ และบทที่ ๖ บอกรายละเอียดวิธีการผลิตน้ำหมักชีวภาพและการนำไปใช้
ผักพื้นบ้าน อาหารพื้นเมือง ทุกวันนี้พวกเรากินผักกันอยู่ไม่กี่ชนิด โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ทั้งๆที่ธรรมชาติมีผักให้เรากินมากมาย นับไม่ถ้วน คนสมัยก่อนและคนชนบทที่กินผักหลากหลายชนิด จึงได้รับสารอาหารเพียงพอแก่ความต้องการ ของร่างกาย แม้ไม่รู้ว่าแต่ละชนิดมีประโยชน์อย่างไร ทว่า คนเมืองสมัยปัจจุบัน ที่ดำรงชีวิตอย่างน่าสงสาร ห่างไกลแหล่งอาหารและธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ชีวิต สัมผัสสัมพันธ์รับผิดชอบเรื่องราวสำคัญใหญ่โต แต่ไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตตนเองได้ ต้องฝากท้อง ไว้กับแม่ค้า ฝากชีวิตไว้กับหมอ ฝากสติปัญญา และสมรรถนะไว้กับคอมพิวเตอร์และเครื่องจักรอื่นๆ หากอยากจะรู้ว่า นอกจากอาหารที่กินอยู่ประจำวันแล้ว ยังมีผักอะไรที่ควรจะซื้อหามากินบำรุงรักษา ร่างกาย ที่รับใช้เรามาอย่างหนักตลอดชีวิต น่าจะหาหนังสือ เล่มนี้มาอ่านดูบ้าง ในเล่ม ให้ความรู้เกี่ยวกับความหมายของพืชผักพื้นบ้าน รสของผักพื้นบ้าน คุณค่าทางโภชนาการของผัก ปริมาณสารอาหารในผักพื้นบ้าน ผักที่มีเบต้าแคโรทีน อาหารที่มีสารต้านมะเร็ง ผักพื้นบ้านกับการรักษาโรค และรายละเอียดของผักแต่ละชนิด จะขอยกตัวอย่างผักที่ผู้แนะนำชอบ (แต่ไม่ค่อยได้กิน) ก็แล้วกัน เช่น มะเขือยาวมีโปรตีนและแคลเซียมสูง กินเป็นประจำช่วยรักษาหลอดโลหิตและหัวใจให้เป็นปกติ ป้องกัน ความดันโลหิตสูง เสริมการทำงานของสมอง เสริมความจำ ลดอาการบวม ขับปัสสาวะ ถอนพิษไข้ บวบเหลี่ยม ผลอ่อนใช้บำรุงร่างกาย แก้ร้อนใน ขับ ปัสสาวะและขับเสมหะ ผลสดแก้คัน ใบใช้ต้มดื่ม ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ และตำพอกแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย รากใช้ต้มดื่มเป็นยาระบาย แก้บวมช้ำ ระบายท้อง เจ็บคอ นอกจากนี้ก็ยังมีผักที่ชอบอีกหลายอย่างเช่น ใบทองหลาง ชะอม ผักหวาน ตำลึง ขจร กะเพรา ฯลฯ แต่ละอย่างล้วนมีประโยชน์ คุณชอบผักอะไร ลองเปิดดูในหนังสือเล่มนี้ว่ามีประโยชน์อะไรบ้าง แล้วผักที่ไม่ชอบ อ่านแล้วรู้ว่า มีประโยชน์ จะได้ซื้อหามาทำอาหารกิน เปลี่ยนรสชาติจากที่กินประจำบ้าง
ธรรมชาติบำบัด : ศิลปะการเยียวยาร่างกายและจิตใจเพื่อสมดุลของชีวิต ปัจจุบันนี้มีวิธีดูแลสุขภาพและรักษาโรคภัยไข้เจ็บหลากหลาย แม้แต่ธรรมชาติบำบัดก็มีมากแนวทาง ฉะนั้นก่อนที่จะตัดสินใจใช้วิธีใด ก็ควรจะศึกษาให้ดี ศึกษาทั้งวิธีการและข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธี ศึกษา ทั้งสภาพร่างกายของตนเอง เพื่อจะได้ตัดสินใจเลือกในสิ่งที่เหมาะกับตนเองมากที่สุด สำนักพิมพ์ สวนเงินมีมา เขียนคำนำไว้ตอนหนึ่งว่า "แนวคิดหลักของธรรมชาติบำบัดนั้นเชื่อว่า ร่างกายมนุษย์สามารถบำบัดรักษาตนเองได้ตามธรรมชาติ โรคภัยและอาการเจ็บไข้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงกระบวนการขจัดพิษตามธรรมชาติของร่างกาย ฉะนั้น หากมนุษย์ดำรงตนอยู่ในสภาวะสมดุลกับธรรมชาติแล้ว โรคร้ายและอาการเจ็บป่วยก็จะหมดไป" ฟังเหมือนง่าย แต่ถ้ารู้สึกว่าทำยาก ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร หนังสือเล่มนี้มีคำแนะนำตั้งแต่ความรู้เบื้องต้น สาเหตุของ โรคภัยไข้เจ็บ อาหาร มนุษย์คือสัตว์กินพืช อาหารตามหลักธรรมชาติบำบัด ธรรมชาติบำบัด ในชีวิตประจำวัน การล้างพิษ การ ดูแลตนเองเบื้องต้น ข้อจำกัดของธรรมชาติบำบัด และสุขภาพบุคคล กับสุขภาพสังคม ในเรื่องอาหารตามหลักธรรมชาติบำบัดนั้น ให้ความรู้เกี่ยวกับอาหารสด ผลไม้สด น้ำผักและผลไม้ น้ำมะพร้าว และอาหารมังสวิรัติ พร้อมทั้งสูตรและ วิธีทำอาหารมังสวิรัติ ๕ อย่าง คือ แกงเขียวหวาน น้ำพริกอ่อง ต้มยำเห็ด ผัดเผ็ดเห็ดสับ ฟรุตครีม ล้วนเป็นอาหารที่น่ารับประทานทั้งนั้นเลย สำหรับการล้างพิษมี ๓ วิธี คือ การอดอาหาร การสวนทวาร และการอบสมุนไพร แต่ละวิธีก็มี ข้อควรระวัง หรือข้อแนะนำต่างๆ เป็นต้นว่า "ไม่ควรใช้การสวนทวารอย่างผิดวัตถุประสงค์ คือใช้ เป็นวิธีแก้ปัญหา ปลายเหตุ โดยไม่คิดปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินการอยู่ของตนเอง เช่น รับประทาน เนื้อสัตว์ หรือ เบเกอรี่ แล้วคิดล้างพิษด้วยการสวนทวาร เพราะจะเป็นการรบกวนร่างกาย ซึ่งส่งผลเสีย มากกว่าผลดี" (หน้า ๘๒) ตอนท้ายของเรื่องสุขภาพบุคคลกับสุขภาพสังคม มีข้อความน่าประทับใจคือ "ถ้าอยากมีชีวิตที่เป็นสุข ต้องจัดการ ทั้งภายนอกและภายใน เริ่มต้นด้วยการใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับกฎธรรมชาติและกฎแห่งสุขภาพ เผยแพร่ความรู้ที่เราได้รับให้แก่คนอื่น รวมกลุ่มกับผู้ที่มีแนวคิดร่วมกันและหาทางสร้างสรรค์สิ่งดี ให้เกิด แก่โลกใบนี้ ร่างกายแข็งแรงไม่สามารถ อยู่อย่างเป็นสุข ในสังคมที่เสื่อมโทรมได้ หันมาเอื้ออาทรคนอื่น สักนิด เพราะโลกนี้ไม่ได้มีเราเพียงคนเดียว" (หน้า ๑๐๐)
หัวไม่ดีก็ประสบความสำเร็จได้ ผู้ที่รู้ตัวว่าจิตใจอ่อนแอ ท้อแท้หวั่นไหวอยู่เรื่อย ขอแนะนำให้อ่านหนังสือเล่มนี้ คนเราไม่ได้เกิดมาเก่ง ดี มีความสุขกันง่ายๆ ถ้าเชื่อกฎแห่งกรรม ก็จะเข้าใจว่าทุกคนต้องเพียรพยายามอย่างมาก กว่าจะได้รับผลที่ดี ตัวอย่างการต่อสู้อย่างหนึ่งที่ผู้เขียนเล่าไว้ในหนังสือเล่มนี้ คือการเปลี่ยนความปรารถนาทางเพศ เป็นพลัง ขับดันเพื่อบรรลุเป้าหมาย ผู้เขียนเล่าว่า ขณะที่กำลังเตรียมสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย โอซาก้านั้น ผู้เขียนอยู่ในช่วงวัย ๑๗-๒๐ ปี ซึ่งเป็นวัยที่ความต้องการทางเพศรุนแรงที่สุดในชีวิต เขาพยายาม เลี่ยงจากเรื่องนี้และบอกตัวเองว่า ถ้าคิดถึงเรื่องนี้บ่อยๆ "วันนี้เสียเวลาเล็กน้อย ในอนาคต จะมีเรื่องไม่สำเร็จ สะสมจำนวนมาก" เขาจึงตัดขาดจากสื่อยั่วยุพวกนี้อย่างถึงที่สุด และเมื่อเกิด ความต้องการ ทางเพศ เขาจะเริ่มคิดถึงเป้าหมายชีวิตของตนเอง นอกจากจะเล่าถึงการบังคับใจตนเอง แล้ว ผู้เขียนยังยกพระเจ้านโปเลียนขึ้นมาเป็นตัวอย่างด้วย ข้อด้อยอย่างยิ่งของคนไทยคือการดำรงชีวิตอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย จึงไม่มีพลังขับดันใดๆ แต่ก่อนนี้ยังมี พ่อแม่บังคับบ้าง เดี๋ยวนี้พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ไม่มีใครบังคับเด็กได้เลย กลัวแต่ว่าเด็กจะเกิดแรงกดดัน ลืมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า ตั้งตนบนความลำบาก กุศลธรรมเจริญ ปกติเด็กย่อมจะไม่รู้จักบังคับ จิตใจตัวเองอยู่แล้ว ผู้ใหญ่ก็ไม่กล้าบังคับอีกด้วย ชีวิตของพวกเขาจึงล่องลอยไร้หางเสือ จนน่าเป็นห่วงว่า จะล่มลงวันใด ที่ล่มไปแล้ว ก็มาก รอวันล่มก็เยอะ ส่วนที่กำลังหัน หัวเรือเข้าหาฝั่ง ก็ขอเอาใจช่วย ให้ถึงฝั่งโดยรอดปลอดภัย ผู้ใหญ่นี่แหละจะต้องทำตัวเองให้เป็นตัวอย่าง ใครที่ยังไม่มีเป้าหมายในชีวิต (หมายถึงเป้าหมายที่มีสาระ เช่น จะสร้างประโยชน์อะไรแก่สังคม เป็นต้น ไม่ใช่ เป้าหมายที่จะหาเงินอย่างเดียว) ลองตั้งเป้าหมายใกล้ๆ ให้ตนเองดูบ้าง เมื่อก้าวไปให้ถึงเป้าหมายแล้ว ก็ตั้งเป้าหมายใหม่ให้ไกลขึ้น ยากขึ้น จะได้พัฒนา ศักยภาพ ตนเองในการเดินทางไปให้ถึงเป้าหมาย หรือจะช่วยกันคิดในครอบครัว ตั้งเป้าหมายร่วมกันของครอบครัว แล้วเป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน ก้าวไป ด้วยกัน ให้ถึงเป้าหมายนั้น เช่น เดือนนี้จะลดการใช้ไฟฟ้าลงกี่หน่วย เป็นต้น คุณโทขุดะ โทราโอะ ยังทำได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้
อริยธรรม ๒๓ : หนังสือเพื่อสารธรรมทางพระพุทธศาสนา มูลนิธิกลุ่มศรัทธาธรรม จัดพิมพ์หนังสือ "อริยธรรม" ปีละ ๒ ครั้ง ในเดือนมิถุนายนและธันวาคม สำหรับ เล่มแรกของปี ๒๕๔๘ นี้ ในเล่มมีหลายเรื่องที่น่าสนใจ เช่น พุดตานกถา มหาปชาบดีเถรีวิทยาลัย โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประสบการณ์การปฏิบัติธรรม และธรรมะในมิลินทปัญหา เป็นต้น ท่านที่สนใจ ขอรับหนังสือดังกล่าวได้โดยส่งแสตมป์ดวงละ ๖ บาท พร้อมแจ้งชื่อ ที่อยู่ที่ชัดเจน ส่งไปที่ มูลนิธิกลุ่มศรัทธาธรรม ๑๔๒-๑๔๔ ถ.เมืองสมุทร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ๕๐๓๐๐ - ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๒๐ กรกฎาคม - สิงหาคม ๒๕๔๘ - |