ชาดกอดีตชาติของพระพุทธเจ้า

อโหสิเชื่อมมิตรภาพ (กุนตินีชาดก)

เคียดแค้นฆ่าเขา เขาฆ่าตอบ
เวรระงับไม่ได้ด้วยการจองเวร
บัณฑิตจึงอโหสิเชื่อมมิตรภาพ
ขณะที่คนพาลมัวโกรธแค้นอยู่

พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงเอ่ยถึงเรื่องราวของ นกกระเรียน ตัวหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ในพระราชวัง ของ พระเจ้า ปเสนทิโกศล ที่นครสาวัตถีในแคว้นโกศล

นกกระเรียนตัวนั้น มีลูกน้อยอยู่ ๒ ตัว ปกติทั้งแม่กับลูกนกได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เพราะนางนกนั้น จะถูกใช้งาน เป็นผู้ส่ง สาส์นของพระราชาไปยังที่อื่นๆอยู่เสมอๆ

มีอยู่คราวหนึ่ง เมื่อนางนกบินไปส่งสาส์นแล้ว มีพวกเด็กๆในราชสกุล พากันมาดูลูกนก จับลูกนกเล่นอย่างสนุกสนาน บังเอิญ พลั้งมือ บีบลูกนกทั้งสองจนตาย แล้วหลบหนีไปกันหมด

ครั้นนางนกกลับมา เห็นลูกน้อยตายหมด ก็เศร้าโศกเสียใจ โกรธแค้นอาฆาตยิ่งนัก เที่ยวสืบเสาะ เรื่องราว กระทั่งรู้ว่า พวกเด็กๆ เป็นผู้ฆ่าลูกของตน จึงหาโอกาสแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา

ภายในพระราชวังนั้นเอง มีเลี้ยงเสือโคร่งไว้ตัวหนึ่ง เพราะความดุร้ายจึงถูกล่ามเอาไว้

อยู่มาวันหนึ่ง...พวกเด็กๆเหล่านั้นชวนกันไปดูเสือตัวนั้น นางนกเห็นเป็นโอกาสแล้ว จึงคิดก่อเวรว่า

"เราจะแก้แค้นเด็กเหล่านี้ที่ฆ่าลูกของเรา เวลาได้มาถึงแล้ว"

ดังนั้นจึงทำทีเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเด็กๆ หลอกล่อเด็กทั้งหลายให้เข้าไปใกล้ๆเสือ ยุให้แหย่เสือเล่น เสือจึงตะปบใส่เด็ก ได้หลายคน แล้วฆ่าเด็กเคี้ยวกินอยู่ที่ตรงนั้นเอง นางนกเห็นเช่นนั้นแล้วก็สาสมใจ คิดขึ้นว่า

"บัดนี้ความปรารถนาของเราสำเร็จแล้ว เราได้ล้างแค้นแล้ว เห็นทีเราจะอยู่ที่นี้ไม่ได้อีกต่อไป เราจะบินไปอยู่ที่ป่าหิมพานต์ ดีกว่า" ข่าวคราวเรื่องนี้กระจายมาถึงหูของ ภิกษุ ทั้งหลาย พากันสนทนาที่ธรรมสภาว่า

"ท่านทั้งหลาย ได้ยินมาว่านางนกกระเรียนในพระราชวัง เป็นเหตุทำให้เด็กๆถูกเสือโคร่งกัดกิน เพื่อล้างแค้นเด็กๆ ที่ฆ่าลูก ของตน แล้วจึงหนีไปสู่ป่าหิมพานต์"

พระศาสดาเสด็จมาถึง พอได้ทราบเรื่องแล้ว จึงตรัสว่า
"มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนนางนกกระเรียนก็เคยจองเวรมาแล้วเหมือนกัน"
แล้วทรงนำเรื่องราวนั้น มาตรัสเล่า
.....................................................
ในอดีตกาล สมัยที่พระเจ้ากรุงพาราณสี ทรงปกครองบ้านเมืองโดยธรรม ได้มีนกกระเรียนตัวหนึ่ง ถูกใช้เป็นผู้ส่งสาส์น ระหว่างเมือง...

เหตุการณ์ได้เกิดขึ้น เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น...กระทั่งนางนกล้างแค้นได้สำเร็จ แล้วคิดจะจากไป จึงไปทูลลา กับพระราชา

"ข้าพระองค์ได้อาศัยอยู่ในพระราชวังนี้มาเนิ่นนาน พระองค์ทรงอุปถัมภ์บำรุงเลี้ยงดูไว้เป็นอย่างดี แต่มาบัดนี้ เพราะตกอยู่ ในอำนาจ ของความโกรธแค้น ทำให้จองเวรออกอุบายฆ่าเด็กเหล่านั้นตอบแทน ข้าพระองค์ก่อเหตุขึ้นแล้ว ไม่อาจจะอยู่ในที่นี้ อีกต่อไปได้ จึงขอทูลลาไปสู่ป่าหิมพานต์ พระเจ้าข้า"

พระราชาทรงสดับแล้วก็เห็นใจ มิได้ทรงแค้นเคือง มีพระทัยอโหสิกรรมให้ แล้วตรัสยับยั้งไว้ว่า

"ผู้ใดก็ตาม เมื่อคนอื่นทำกรรมอันชั่วร้ายให้แก่ตนแล้ว และตนก็ได้ทำตอบแทนแล้ว ย่อมรู้สึกได้ว่า เราได้ทำตอบแก่เขาแล้ว เวรของผู้นั้น ย่อมสงบลงด้วยอาการเพียงเท่านี้ ดูก่อนนางนกกระเรียน เจ้าจงอยู่ที่นี่เถิด อย่าไปที่อื่นเลย"

แม้จะตรัสขอร้องเช่นนั้น นางนกกระเรียนก็ยังตอบว่า

"มิตรภาพของผู้ที่ถูกทำร้ายกับผู้ที่ทำร้าย ย่อมเชื่อมกันไม่ติดอีก ใจของข้าพระองค์ ไม่ยอมให้อยู่ที่นี้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์ ขอทูลลา"

พระราชายังคงตรัสให้สติแก่นางนก และทรงขอร้องอีกครั้ง

"มิตรภาพของผู้ที่ถูกทำร้ายกับผู้ที่ทำร้าย ย่อมกลับเชื่อมติดกันได้อีกในพวกบัณฑิตด้วยกัน และจะไม่เชื่อมกันติดได้เลย ในพวก คนพาล ดังนั้น นางนกกระเรียนเอ๋ย เรากับเจ้าพึงอยู่ด้วยกันเถิด เจ้าอย่าไปเลย"

ตรัสห้ามอยู่อย่างนี้ นางนกก็ยังยืนกรานที่จะจากไป แล้วก็บินไปสู่ป่าหิมพานต์ ตามที่ต้องการ

......................................................
พระศาสดาทรงแสดงชาดกนี้จบแล้ว ตรัสว่า
"นางนกกระเรียนในกาลก่อนนั้น ได้มาเป็นนางนกกระเรียนตัวนี้เอง ส่วนพระเจ้ากรุงพาราณสี ก็คือ เราตถาคต"

- ณวมพุทธ -
ศุกร์ ๑๙ ต.ค. ๒๕๔๔
(พระไตรปิฎกเล่ม ๒๗ ข้อ ๖๗๐
อรรถกถาแปลเล่ม ๕๘ หน้า ๖๖๑)

- ดอกหญ้า อันดับที่ ๑๒๒ พ.ย. - ธ.ค. ๒๕๔๘ -